PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ศรส.ตามเช็คบิล"สนธิญาณ"อีก จ่อแจ้งข้อหากบฏคุมตัวต่อ พร้อมงัด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาคุมธุรกรรมทางการเงิน "ดร.เสรี"

ศรส.ตามเช็คบิล"สนธิญาณ"อีก จ่อแจ้งข้อหากบฏคุมตัวต่อ พร้อมงัด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาคุมธุรกรรมทางการเงิน "ดร.เสรี"

วันพฤหัสบดี 13 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 14:25 น.

เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 13 ก.พ. ที่ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.)กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด(บช.ปส.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในฐานะกรรมการ ศรส. พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.ท.(หญิง)อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล ร่วมกันแถลงผลการประชุม นายธาริตกล่าวว่า ศรส.ได้รับรายงานความคืบหน้าการดำเนินคดีกับแกนนำกปปส.และแนวร่วม กรณีร่วมกันกระทำผิดด้วยการขัดขวางการเลือกตั้งด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคใต้ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย เป็นการล่วงละเมิดสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรง ขณะนี้ มีจำนวนคดีประเภทขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศ 156 คดี คดีประเภทเป็นเจ้าหน้าที่กกต.จงใจละทิ้งหน้าที่ไม่จัดการเลือกตั้ง 132 คดี รวมทั้งสิ้น 288 คดี และศาลได้ออกหมายจับแล้ว 44 คน ขณะนี้สถานที่ราชการต่างๆ ที่ถูกปิด ก็เปิดได้ถึง 48 แห่งแล้ว

"อย่าง ไรก็ตาม แกนนำ กปปส.บางกลุ่ม ยังพยายามส่งมวลชนไปรบกวนการเปิดสถานที่ทำการของส่วนราชการ เช่น เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ด้านหน้าประตูกรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ถนนพหลโยธิน บางเขน ซึ่ง ศรส.ได้จัดเจ้าหน้าที่เข้าผลักดัน และต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง กลุ่มกปปส.จึงกลับไป ทั้งนี้เพราะศรส.พยายามหลีกเลี่ยงการใช้กำลังปะทะที่รุนแรง แต่ก็มิได้นิ่งเฉย ศรส.ขอร้องกลุ่ม กปปส.ให้เห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการปิดสถานที่ ราชการเป็นสำคัญ โดยขอให้ยุติการรบกวนการเปิดสถานที่ราชการด้วย"กรรมการ ศรส.ย้ำ

นายธาริตกล่า วอีกว่า ศรส.เห็นสมควรแต่งตั้งคณะทำงานประสานงานกับ กกต.เพื่อให้การจัดการเลือกตั้งใหม่ในช่วงเดือนเม.ย.นี้เป็นไปด้วยความสงบ เรียบร้อย โดยมีตำรวจ ทหาร และข้าราชการกรมการปกครองร่วมเป็นคณะทำงาน และมีผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.อารี อ่อนชิต เป็นหัวหน้าคณะทำงาน และผู้อำนวยการ ศรส.โดยความเห็นชอบของที่ประชุมได้สั่งการ และกำชับให้เจ้าหน้าที่ของศรส.เร่งรัดการเข้าจับกุมแกนนำผู้กระทำผิดของ กปปส.ทั้งที่ศาลได้อนุมัติออกหมายจับไว้ และผู้กระทำผิดซึ่งหน้า โดยเฉพาะการ์ดที่ให้การคุ้มกันผู้ถูกออกหมายจับ โดยให้พิจารณาดำเนินการตามความจำเป็นและเหมาะสม

ผู้ สื่อข่าวสอบถามถึงกรณีศาลมีคำสั่งไม่ให้ควบคุมตัวนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม 1 ใน 19 แกนนำ กปปส.ตามความผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ต่อนั้น จะดำเนินการอย่างไร นายธาริต กล่าวว่า ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวได้ 7 วันแล้วต้องไปขออำนาจศาลผัดฟ้องฝากขัง ซึ่งจะครบ 7 วันในวันที่ 16 ก.พ.นี้ แต่เนื่องจากเป็นวันหยุดราชการจึงไปขออำนาจศาลฝากขังในวันนี้ในความผิด ตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่เมื่อศาลมีคำสั่งก็ต้องปฎิบัติตาม แต่ในวันเสาร์ที่ 15 ก.พ.นี้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอตำรวจ อัยการ จะแจ้งข้อหาร่วมกันเป็นกบฏตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพื่อขอควบคุมตัวอีกครั้ง ส่วนกรณีดีเอสไอสั่งอายัดบัญชี ดร.เสรี วงษ์มณฑา แกนนำ กปปส.กับพวกรวม 7 คน และศาลแพ่งให้ยกเลิกอายัดบัญชีนั้น ทางดีเอสไอไม่ขัดข้อง พร้อมปฎิบัติตามคำสั่งศาล แต่ทาง ศรส.จะออกคำสั่งระงับการทำธุรกรรมทางการเงินโดยใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ต่อไป.


พล.ท.เจ้ายอดศึก ประธานสภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน

พล.ท.เจ้ายอดศึก ประธานสภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน ...เป็นบุคคลที่เคารพนับถือที่สูงสุดอยู่ในใจคือ...1.สมเด็จพระเรศวร มหาราชถึงขนาดเป็นประธานจัดสร้างเหรียญด้วยตนเอง 2.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับพระราชนีฯ ของไทย ....

อยากให้คนไทยได้อ่าน พล.ท เจ้ายอดศึก

ผู้นำสูงสุดของ SSA และ RCSS ได้กล่าวถึงสาเหตุที่ตนเองและประชาชนไทใหญ่เคารพศรัทธาพระเจ้าอยู่หัวของคนไทยเป็นอย่างยิ่งว่า "ตั้งแต่ผมเป็นผู้นำกองทัพไทใหญ่และมาตั้งฐานอยู่ที่ดอยไตแลง เมื่อปี ๒๕๔๒ เป็นต้นมา ผมจัดพิธีบูชาคารวะสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระราชินีฯ มาตลอดทุกปี ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา อันที่จริง ผมเริ่มคิดมาตั้งแต่ยุค MTA (พ.ศ.๒๕๒๘ - ๒๕๓๘) ที่ขุนส่าเป็นผู้นำแล้ว แต่ผมยังเป็นนายทหารเล็ก ๆ ทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่เคารพพระองค์ท่านอยู่ในใจ" ความนับถือในพระราชวงศ์ไทยของผม มีเหตุมาตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓ เจ้ากอนเจิง ผู้นำไทใหญ่ ตอนนั้นคัดเลือกผมกับเพื่อนทหารไทใหญ่ ประมาณ ๑๐ คน ไปเป็น รปภ.ร่วมกับหน่วย ตชด.๓๒๗ ของไทย ไปถวายอารักขาสมเด็จพระเทพฯ เมื่อครั้งเสด็จหมู่บ้านเปียงหลวง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ ตอนนั้นเป็นเด็ก ผมไม่รู้เรื่องอะไร เขาให้ไปก็ไป ให้จัดแถวก็จัดแถว ผมกับ ตชด.ไทยได้เข้าเฝ้า พระองค์ท่านถามว่า สบายดีหรือเปล่า เป็นไทใหญ่หรือเปล่า อยู่ที่ไหน ผมตอบว่า เป็นไทใหญ่ครับ อยู่บนดอย วันนั้นท่านสอนให้รักสามัคคีกัน ให้เรียนหนังสือให้เก่ง ถ้าเก่งจะทำอะไรก็ง่าย พอผมอายุ ๒๓ ปี ผมป่วยต้องมาเข้าโรงพยาบาลที่เชียงใหม่ นอนอยู่หลายวันผมได้ดูทีวี ก่อนนั้นไม่เคยดู ผมได้เห็นพระเจ้าอยู่หัวพูดในทีวี ผมฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง มีหมอคนหนึ่งพอพูดภาษาไทใหญ่ได้ เขาเข้ามาพูดคุยให้กำลังใจผม ผมถามหมอ กษัตริย์ของไทยช่วยเหลือคนไทยอย่างไรบ้าง คนไทยเชื่อถือเขาอย่างไร เขาดีหรือเปล่า หมอผู้หญิงอายุประมาณ ๒๕ ปี ตอบดีมาก ตอบให้ผมเข้าใจง่าย ๆ เขาบอกกษัตริย์ของไทยดีไม่ดีเขาไม่พูด แต่คนไทยเชื่อถือมาก เป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทย คนวิจารณ์กันเยอะ ยังไงก็แล้วแต่ ผมพูดมาตลอด ไม่ว่าการเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เรื่องความเชื่อถือศรัทธาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯของผมและคนไทใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะลาว ไทย ไทใหญ่ คนเชื้อสายไท-ลาวทั่วโลก มีกษัตริย์องค์เดียวคือ พระเจ้าอยู่หัวเป็นสัญลักษณ์ของเชื้อชาติ ต่อให้ไทยรบกับไทใหญ่ ผมก็ยังศรัทธาในพระเจ้าอยู่หัวอยู่เช่นเดิม และจะจัดพิธีบูชาพระเจ้าอยู่หัวอย่างไม่เปลี่ยนแปลง เพราะพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้เป็นแบบอย่างของมนุษย์ที่สมบูรณ์ พระองค์ท่านไม่ได้พัฒนาแค่เพียงประเทศเท่านั้น แต่พระองค์ท่านมุ่งพัฒนามนุษย์ นี่คือสิ่งที่ผมศรัทธาอย่างที่สุด" ในยามประเทศไทใหญ่ล่มสลาย และทหารประชาชนไทใหญ่ได้รวมกำลังกันลุกขึ้นต่อสู้กู้ชาติ งสิ่งสูงสุดที่ยึดเหนี่ยว ประสานจิตใจคนไทใหญ่ไว้ว่าคือ พระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้เอง ประชาชนไทใหญ่ในพม่าต่างนับถือพระเจ้าอยู่หัวไทยอย่างยิ่ง ในรัฐฉานเงินไทยที่มีรูปพระเจ้าอยู่หัวฯ คนเมืองจะไม่เอาไว้ในที่ต่ำ แต่จะเก็บไว้บนหิ้งสูงเพื่อบูชา แม้พม่าบีบคั้นไทใหญ่ ชาติเราจมหาย ไม่มีที่พึ่ง ทั้งทหารและประชาชนคนเมืองไทใหญ่ นับถือพระเจ้าอยู่หัว นับถือพระนเรศวรกันทั่วทั้งเมือง บนยอดดอยไตแลง แผ่นดินแสนไกลริมขอบฟ้า ที่ตั้งของกองทัพกู้ชาติไทใหญ่ พิธีบูชาคารวะในหลวงดำเนินไปอย่างศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ สูงสุดตามพระราชประเพณีของไทใหญ่ที่เคยจัดพิธีถวายการบูชาคารวะกษัตริย์ของตน ในชั่วโมงปัจจุบันพระเจ้าอยู่หัวของไทยถือเป็นมิ่งขวัญ เป็นแบบอย่าง เป็นศูนย์รวมของความศรัทธา ที่ปกแผ่พระบารมีอันร่มเย็นไปคุ้มครองเหล่าประชาชนไทใหญ่และกองกำลังกู้ชาติ ผู้ทุกข์ยาก ที่ยังอดทนฝ่าฟันทุกทางเพื่อสู้นำเอกราชและความสงบสุขมาให้ประชาชนบนแผ่นดินรัฐฉาน อย่างไม่สิ้นสุดและไม่มีวันยอมแพ้ โดย นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์:ใครว่า 28 เขตไม่มีผู้สมัคร

ใครว่า 28 เขตไม่มีผู้สมัคร

กกต. พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า "ไม่มีผู้สมัคร 28 เขตในภาคใต้" ผมไม่ทราบท่านลืมไปหรือเปล่าว่า มีผู้สมัครแล้ว โดยเป็นผู้สมัครแบบ "บัญชีรายชื่อ" หรือ "ปาร์ตี้ลิสต์"

เพราะผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อนั้น ครอบคลุมไปทุกเขตทั่วประเทศ ประชาชนสามารถลงคะแนนได้ทุกหน่วยเลือกตั้ง แม้กระทั่งผลคะแนนของบัญชีรายชื่อ หากยังไม่ได้นับครบทุกหน่วย ก็ไม่สามารถประกาศผลคะแนนได้

อย่างผม เป็นผู้สมัครบัญชีรายชื่อของพรรครักประเทศไทย หมายเลข 3 ประชาชนใน 28 เขตดังกล่าวสามารถเลือกพรรคผมได้เมื่อเข้าคูหาเลือกตั้ง โดยกาที่ใบบัญชีรายชื่อพรรค ดังนั้น ที่ไม่มีผู้สมัครเป็นเพียงบางส่วน คือ "ผู้สมัคร ส.ส. เขต" เท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องออกพระราชกฤษฎีกาใหม่แต่อย่างใด

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เป็นเรื่องที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนไขว้กันไปมาอยู่ ต้องระมัดระวัง ไม่ตีความเข้าข้างฝั่งใดฝั่งหนึ่ง

ผมขอยืนยันอีกครั้งว่า 28 เขต มีผู้สมัครแล้ว ใครจะบอกว่า 28 เขตยังไม่มีผู้สมัคร ผมขอเถียง เพราะผมเป็นหนึ่งในผู้สมัคร ที่ประชาชน 28 เขตภาคใต้ สามารถกาเลือกผมได้ในแบบบัญชีรายชื่อ หรือ ปาร์ตี้ลิสต์นั่นเอง


พิชิต ชื่นบาน:บันทึกที่เห็นต่าง เรื่องเลือกตั้ง : ปัญหาการบังคับใช้กฎหมาย หรือปัญหาการตรา พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง

บันทึกที่เห็นต่าง เรื่องเลือกตั้ง : ปัญหาการบังคับใช้กฎหมาย หรือปัญหาการตรา พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง

เรื่องการดำเนินการเลือกตั้งกรณีไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน 28 เขตเลือกตั้ง (8 จังหวัดภาคใต้) ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสนอ “ให้มีการกำหนดวันสมัครรับเลือกตั้งเพิ่มเติม โดยการตราพระราชกฤษฎีกา โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการลงคะแนนเลือกตั้งใหม่ใน 28 เขตเลือกตั้ง”

ในเรื่องนี้ หากนำมาเรียบเรียงสภาพปัญหาและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2556 โดยกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557 และ กกต.ได้มีประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่องการสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2556 กำหนดวันสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2556 ถึงวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557 นั้น

ณ วัน เวลา ที่กำหนดให้มีการรับสมัครข้างต้นรวม 5 วันทำการ ใน 28 เขตเลือกตั้ง (8 จังหวัดภาคใต้) มีผู้สมัครไม่ใช่ไม่มีผู้สมัคร และเนื่องจากมีการชุมนุมประท้วงขัดขวางการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง รวมทั้งการสมัครรับเลือกตั้ง ทำให้คณะกรรมการการเลือกตั้งไม่สามารถรับสมัคร และผู้สมัครไม่สามารถยื่นหลักฐานและใบสมัครได้ ข้อเท็จจริงในเวลานั้น ผู้สมัครต้อง “ดิ้นรน” เพื่อให้เกิดสิทธิเป็นผู้สมัคร โดยนับแต่วันที่ 1 ม.ค. 57 บรรดาผู้สมัครก็ได้ขอความเป็นธรรมและขอร้องต่อ กกต.เพื่อ “ขยายระยะเวลารับสมัคร” ออกไป และขอให้แก้ไขประกาศ ระเบียบ และวิธีการรับสมัครเสียใหม่ ให้สามารถยื่นหลักฐานและใบสมัครได้ แต่ กกต. ไม่เคยมีคำตอบให้แก่ผู้สมัคร อีกทั้งเลขา กกต. ยังแนะนำให้ผู้สมัครไปใช้สิทธิทางศาล โดยยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ซึ่งผู้สมัครก็จำยอมปฏิบัติตาม โดยยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ได้สิทธินั้น แม้ศาลจะยกคำร้องของผู้สมัคร แต่ในคำสั่งของศาลก็ยังคงมีคำวินิจฉัยที่สำคัญต่อทางออกของปัญหาที่ผู้สมัครมายื่นคำร้องต่อศาล คือ “อำนาจหน้าที่ในการควบคุม หรือจัดให้มีการเลือกตั้งเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ” โดยมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2557

เหตุที่ต้องเรียบเรียงข้อเท็จจริงรวมทั้ง วัน เวลา และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อันเป็นสภาพปัญหาก็เพื่อจะให้ทุกฝ่ายช่วยกันคิดพิจารณาว่า ตกลงแล้วปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากบุคคลผู้มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย หรือปัญหาการตรา พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง คือ

1. การขยายระยะเวลารับสมัครสามารถทำได้ตามกฎหมาย แต่ทำไมเพิกเฉยไม่ดำเนินการ
นับตั้งแต่มีประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2556 ยังมีประกาศคณะกรรมการ
การเลือกตั้งอีก 3 ครั้ง คือ วันที่ 14 , 24 มกราคม และ 6 กุมภาพันธ์ 2557 ในเรื่องการย่นหรือขยายระยะเวลา หรืองดเว้นการดำเนินการเกี่ยวกับการเลือกตั้งเสียใหม่ในหลายกรณี และประการสำคัญคือมีการขยายระยะเวลาในการแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่เล็กน้อยกว่า การที่ผู้สมัครรับสมัครไม่ได้ กกต. ยังยอมขยายระยะเวลาให้ และโดยข้อเท็จจริงแล้ว นับแต่เมื่อมีผู้สมัครร้องขอให้ขยายระยะเวลาการรับสมัคร และศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง มีคำวินิจฉัยยกคำร้องนับตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม ต่อเนื่องติดต่อกันจนถึงวันที่ 24 มกราคม 2557 รวม 23 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาพอสมควร และก่อนวันเริ่มลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าวันที่ 26 มกรามคม 2557 ที่ กกต. สามารถจะขยายระยะเวลารับสมัคร และแก้ไขประกาศระเบียบ และวิธีการเพื่อให้เกิดการรับสมัครได้ โดยไม่ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายโดยเฉพาะ พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 9 ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจย่นหรือขยายระยะเวลาในการดำเนินการเกี่ยวกับการเลือกตั้งได้ แต่ทำไมไม่ดำเนินการใช้อำนาจหน้-าที่ซี่งมีอยู่ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและกฎหมาย อันเป็นเหตุให้เกิดปัญหาที่ต้องมาจัดการเลือกตั้งภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557

ข้ออ้างที่ว่า การขยายระยะเวลาจะกระทบต่อการจัดการเลือกตั้ง ต่อมาอ้างว่าการดำเนินการลงคะแนนเลือกตั้งใหม่ กรณีไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งแม้ที่ผ่านมาไม่เคยมีแนวทางปฏิบัติมาก่อน และการเลือกตั้ง ส.ส.ตาม พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2556 ยังไม่เสร็จสิ้น หรืออำนาจตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 235 และ 236 (1) มีขอบเขตจำกัดให้กระทำได้เท่าที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น และไม่มีบทบัญญัติให้อำนาจและอาจเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 7 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส. ข้ออ้างทั้งหลายทั้งปวงล้วนแต่เป็นข้อขัดแย้งต่อการกระทำของคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนวันเลือกตั้งทั่วไปทั้งสิ้น เพราะข้อเท็จจริงปรากฏว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ใช้อำนาจตามกฎหมายมีประกาศให้ย่นหรือขยายระยะเวาการดำเนินการเกี่ยวกับการเลือกตั้งในเรื่องอื่นๆ รวม 3 ครั้ง ในช่วงเวลาก่อนการเลือกตั้งทั่วไป และหลังวันเลือกตั้งทั่วไป เช่น ประกาศเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2557 แต่ในเรื่องนี้กลับละเลย เพิกเฉยไม่ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายตามอำนาจที่มีอยู่ ดังนั้น ระหว่างการออกประกาศให้ขยายระยะเวลาในการแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งซึ่งกระทำผิดรัฐธรรมนูญเพราะไม่ไปเลือกตั้ง กับการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจะให้ขยายระยะเวลาในการรับสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ตามที่กฎหมานให้อำนาจไว้ เรื่องใดสำคัญกว่ากัน และหากขยายระยะเวลารับสมัคร ณ เวลาที่ตนสามารถใช้อำนาจดังกล่าวได้ ก่อนวันเลือกตั้งทั่วไป ( 2 ก.พ. 2557) ก็จะไม่มีปัญหาที่ กกต. ต้องมาทำหนังสือขอให้รัฐบาลออก พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ใช่หรือไม่

2. อำนาจหน้าที่ของ คณะกรรมการการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2556 เป็นกฎหมายเพื่อเป็นประตูให้มี ส.ส.จำนวน 500 คน การใช้อำนาจหน้าที่เพื่อให้มี ส.ส. 500 คนนั้น เป็นอำนาจหน้าที่ซึ่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายให้ไว้แก่คณะกรรมการการเลือกตั้งที่จะใช้อำนาจเพื่อเป็นเครื่องมือของตนในการผลิต ส.ส.จำนวน 500 คน เพื่อให้มีการเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญมาตรา 127 ประกอบมาตรา 93 ดังนั้น เมื่อมีการขัดขวางการรับสมัครเลือกตั้งทำให้ไม่สามารถรับสมัครได้ คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องออกประกาศขยายการรับสมัครเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ผู้สมัคร ส.ส.ครบทั้ง 375 เขต ในเวลาที่มีปัญหาเพื่อให้การจัดการรับสมัคร ส.ส.ครบทุกเขตก่อนวันเลือกตั้งทั่วไป (2 ก.พ.57) ปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้น ผู้สมัครก็จะไม่เสียสิทธิ กกต.ก็ได้ทำหน้าที่ครบถ้วนสมบูรณ์ตามกฎหมาย และมีข้อคิดว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ประกอบ พ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้ง และ พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส. ส.ว. รวมทั้งประกาศและระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งใช้บังคับกับการเลือกตั้งมาหลายครั้งแล้ว โดยไม่มีปัญหาในเครื่องมือที่ใช้แต่ประการใด เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องนำมาพิจารณาด้วย ทำไมครั้งนี้จึงเป็นปัญหา

ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันพิจารณาและหาคำตอบว่า ปัญหาจากการเลือกตั้งที่ไม่เสร็จสิ้นตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เกิดจากปัญหาการบังคับใช้กฎหมายภายหลัง พ.ร.ฎ.ยุบสภา 2556 หรือเป็นปัญหาการตรา พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ฯ หากถือเป็นปัญหาที่ต้องตรา พ.ร.ฎ.เลือกตั้งแล้ว จะเป็นการตรา พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ที่ซ้ำซ้อน ฟุ่มเฟือย และสุ่มเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญ แต่หากเห็นว่า ปัญหาเกิดจากตัวบุคคลผู้บังคับใช้กฎหมายไม่ใช่เกิดจากปัญหาการตรา พ.ร.ฎ.เลือกตั้งแล้ว หากเอาประเทศเป็นตัวตั้ง ต้องช่วยกันทำความถูกต้องครับ


เสธน้ำเงิน : เปิดโปง..เผยจุดตายรัฐอั้งยี่แดงฆ่าชาวนา สู่กลศึกม้าไม้เมืองทรอย

โดย แฉ..ความลับ


13 ก.พ.57 เปิดโปง..เผยจุดตายรัฐอั้งยี่แดงฆ่าชาวนา สู่กลศึกม้าไม้เมืองทรอย

จากการที่ระบอบชั่วอั้งยี่รัฐแดง อ้างว่าการชนะเลือกตั้ง (ขี้โกง) คือ ใบอนุญาตสัมปทานประเทศ จะโกงอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา หนึ่งในการโครตโกงนั้นที่สร้างความเจ็บปวดรวดร้าว อดอยาก ทุกข์เข็ญ ให้ชาวนา 8 ล้านคนอย่างถ้วนหน้า เนื่องจากถูกรัฐอั้งยี่แดงของปูเน่าชักดาบโกงเงินค่าจำนำข้าว ชาวนาอดอยากจนไม่มีอะไรจะกิน ลูกไม่มีเงินไปโรงเรียน หนี้สินท่วมหัว และทยอยฆ่าตัวตายทั้งผูกคอตาย และกินยาฆ่าตัวตัวตาย ไปแล้วกว่า 9 คน

ในขณะที่ชาวนากำลังอดอยากตายไม่มีอะไรจะกิน ปูเน่าและสมุนแก๊งค์อั้งยี่ กลับถลุงเงินภาษีจากหยาดเหงื่อและน้ำตาชาวนาเป็นค่าอาหาร กินล้างกินผลาญ โดย
1. ค่าเบี้ยเลี้ยงชายชุดดำ 700 บาทต่อคน (แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 400 บาท จะเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงโดยตรง และ 300 บาท จะถูกหักเป็นค่าอาหาร 3 มื้อ ที่มีแต่ไข่ต้มกับน้ำปลา ) ถ้านับตั้งแต่ 9 ตุลาคม 2556 เป็นต้นมาน่าจะไม่ต่ำกว่าราว 1,000 ล้านบาท (ยังไม่นับราวค่าน้ำมัน และจัดซื้ออาวุธมาทำร้ายประชาชนอีกนับไม่ถ้วน) หรือคิดเป็นราคาข้าวชาวนา 66,667 ตัน !!

2. ค่าอาหารที่จัดเลี้ยงภายในศูนย์รวมสัตว์ (ศรส.) ใช้ประมาณวันละไม่ต่ำกว่า 1-2 แสนบาท , บางวันมีราคาสูงเกือบ 5 แสนบาท ตามเมนูอาหาร ที่เป็นที่ต้องการของบวกคางคกขึ้นวอในรัฐอั้งยี่แดง โดยอาหารถูกสั่งตรงมาจาก "โรงแรมหรู" ระดับห้าดาว เพื่อจัดเลี้ยงให้กับ รก.ครม.เทียม และคณะทำงานงานของศูนย์รวมสัตว์ (ศรส.) ทั้งหมด

3. ที่ผ่านมากองพิธีการ สำนักเลขาธิการนายกเทียม เคยตั้งงบรับรอง ค่าอาหารของปูเน่า ที่ปรึกษา และคณะทำงานราวๆ 50 คน สวาปามคิดเป็นราคา 4,237 บาท/หัว , วันละ 211,850 บาท ( เท่ากับข้าว 14 ตัน) , เดือนละ 6 ล้านบาท , ปีละ 77 ล้านบาท หรือคิดเป็นราคาข้าวชาวนา 5,133 ตัน..คนหรือเปรตยัดห่านี
รายการอาหารหรูของปูเน่าและคณะนี้จะ "สลับสับเปลี่ยน" ทุกวัน...เมนูอาหาร นั้นประกอบไปด้วย
"มื้อเช้า" เป็น"อาหารหรู" เช่น
- กุ้งห่มสไบ
- ต้มยำกุ้งมังกร
- ปลาหิมะทอดกับซอสพริกไทยสด
- หน่อไม้ฝรั่งผัดหอยเชลล์
- ผัดกะเพราเป็ดกรอบ
- ตบท้ายด้วยของหวานและผลไม้ หรือ ข้าวเหนียวมะม่วง
ส่วน "มื้อกลางวัน" ในยามปกติระบุว่า(อาจจะ)ไว้ต้อนรับแขกจึงออกสไตล์ "กึ่งยุโรป" เช่น
- ปูนิ่มเสิร์ฟกับสลัดเบอร์รี
- หอยเชลล์ห่อปลาแซลมอนเสิร์ฟกับไข่ปลาคาร์เวีย
- ซุปใสใส่เกี้ยวตับบด
- เนื้อสันในเสริฟกับตับห่านและซอสไวน์แดง
- ตบท้ายของหวานมื้อกลางวันคือ ช็อกโกแลตมูสไส้เสาวรส เสิร์ฟกับไอศกรีมกะทิ, กาแฟหรือชา เป็นต้น
ซึ่งค่าอาหารของปูเน่า ที่ปรึกษา และคณะทำงาน หรือ ศูนย์รวมสัตว์ (ศรส.) จากโรงแรมหรู ระดับห้าดาว ปีละ 77 ล้านบาท นี้ สามารถนำมาเลี้ยงอาหารชาวนาที่อดอยากตายมื้อละ 40 บาท x 3 มื้อ จำนวน 3,400 คน ได้ถึง 6 เดือน!!..แม่เจ้า

แต่แกนนำพรรคแดงสู้แล้วรวย เช่น นกแสก กลับบอกถีบหัวส่งชาวนา บอกว่าเป็นจุดอ่อนของพรรคเผาไทย และบอกว่าถ้าชาวนารอเงินจำนำข้าวไม่ไหว ให้กินใบประทวนแทนไปก่อน

สายจากคนใน รายงานมาว่าข้าวที่รัฐอั้งยี่แดงรับจำนำมานั้น เกือบทั้งหมดยังไม่มีการระบายหรือขายไปยังต่างประเทศเลย เงินหลายเเสนล้านบาทจึงทำให้ไม่มีเงินจ่ายชาวนา กระแสแรงในกลุ่มชาวนาบ่นกันรุนแรงว่ารัฐอั้งยี่แดงทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ยอมขายข้าว เเละเสียความรู้สึกกับบริษัทเผาไทยมาก ส่วนใหญ่บอกลาขาดจะไม่เลือกอีกเเล้ว เพราะหลอกลวง ผิดคำพูดนับครั้งไม่ถ้วนในการนัดชำระจ่ายเงินจำนำข้าวที่ค้างจ่ายมากถึง 1.3 เเสนล้านบาท

ทางแกนนำแก๊งอั้งยี่แดงได้ไปพบและรายงานสถานการณ์ต่างๆ ให้ชายดูไบรู้ที่พม่า ส่งผลให้ตอนนี้ชายดูไบกังวลใจที่สุด เพราะชาวนาคือฐานเสียงสำคัญของบริษัทเผาไทย ซึ่งแก๊งค์นี้ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นชาวนาทั่วประเทศเดินทางเข้ามาจนถึงกรุงเทพฯ เพื่อชุมนุมเรียกร้องให้จ่ายเงินที่โดนชักดาบไป และยังจะโดนชาวนารุมฟ้องร้องฐานฉ้อโกงอีกหลายพัน-หมื่นคดี

“ ความหวาดหวั่นนี่คือฐานเสียงที่หายไปจำนวนมาก และมีผลโดยตรงกับพรรค ชายดูไบจึงเครียดจัดสั่งการให้เร่งหาเงินที่ไหนก็ได้มาจ่ายเร็วที่สุด และใช้ทุกกลยุทธ์ชั่วในการหาเงิน “..แต่ไม่ยอมควักกระเป๋าตัวเองสักบาท ซึ่งในรายงานของต่างประเทศคาดการณ์ว่า 2 ปีที่ผ่านมา พรรคเผาไทยได้ผันเงินจากหยาดเหงื่อและน้ำตาชาวนา ไปเป็นของตนเองรวยขึ้นกว่า 3.5 แสนล้านบาท

ชายดูไบจึงหวังลม ๆ แล้ง ๆ หน้ามืดว่า ให้แก๊งค์อันธพาลแดง ใช้กองกำลังติดอาวุธโจมตีหรือลอบสังหารแกนนำมวลชน กปปส. ซึ่งตอนนี้พวกแก๊งค์นรกอเวจีชั่วนี้ก็ต่างหัวหด หวั่นไหวกับการถูกสันติอหิงสวน และปีอบคอร์นที่หนักกว่าจากชายไร้สีนิรนาม อีกแผนคือใช้ศูนย์รวมสัตว์ (ศรส.) จับกุมแกนนำ กปปส. ข่มขู่คุกคามให้ประชาชนยุติการชุมนุม เพื่อที่บริษัทเผาไทยของตนจะสามารถตั้งรัฐบาลได้ในที่สุด..

ซึ่งเป็นไปไม่ได้เช่นกันเพราะหากใช้ชายชุดดำควบคุมฝูงชน (คฝ) เข้าสลายการชุมนุม ก็จะโดนชาย 3 สีที่ออกอาการฮึ่มๆ ไว้โอบล้อมตีจากด้านหลัง โดยประกาศกฎอัยการศึกครอบพื้นที่เอาดื้อๆ ครั้นจะใช้หน่วยปฏิบัติการพิเศษลอบจับกุมแกนนำในที่ชุมนุม ก็จะโดนชายไร้สีนิรนาม สวนกลับที่หนักกว่า ต่อสู้ป้องกันกันแกนนำในอารักขาจนชายชุดดำขึ้นไปเยี่ยมญาติเก่าเป็นเบือแน่ ๆ ซึ่งข้อนี้เป็นที่รู้ ๆ กันอยู่ว่าชายไร้สีนิรนามเป็นใคร

ในที่สุดปูเน่าและพวกจะต้องพ้นจากตำแหน่ง ต้องคำพิพากษาอย่างเด็ดขาด และถูกจับกุมคุมขังแน่นอน ชายดูไบรู้ข้อนี้ดี จึงส่งสัญญาณผ่านคนใกล้ชิดมาว่า อยากให้ประเทศกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว การเลือกตั้งต้องเดินหน้าไปให้จบ และเผยไต๋พ่ายแพ้แล้วว่า “ ปัญหาทุกอย่างต้องจบลงบนโต๊ะเจรจา แม้แต่สงครามโลกยังจบลงที่โต๊ะเจรจา “

ตำราพิชัยยุทธ์นั้นบอกว่า “ เมื่อใจหวั่นไหวจึงต้องชักกระบี่ก่อน จุดอ่อนจึงถูกเปิดเผย เพราะจุดอ่อนถูกเปิดเผย จึงเปิดช่องให้ถูกจู่โจม “

ส่งผลให้ชาย 3 สีเห็นจุดอ่อนรูเบ่อเร่อ จึงกำหนดยุทธการม้าไม้เมืองทรอย (ซุ่มกำลังไว้ในของบรรณาการม้าไม้ตัวใหญ่นำคนและอาวุธเข้าเมือง ตีชิงจากใจกลางยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ) โดยให้กำลังพลดูแลประชาชนให้ปลอดภัยใช้ ม.พัน1 รอ.ดูแลพื้นที่ปทุมวัน คลองเตย วัฒนา , ร.1พัน 3 รอ. ดูแลพื้นที่ ราชเทวี พญาไท , ป.พัน1 รอ. ดูแลพื้นที่ของดุสิต พระนคร , ร.11พัน2 รอ. ดูแลพื้นที่ของหลักสี่ ดอนเมือง , นี่ยังไม่นับการทะยอยนำกำลังเข้ามาทีน้อย ๆ และอาวุธหนักที่ยังไม่ขนกลับต่างจังหวัดอีกเพียบ !!

เมื่อสถานการณ์ได้เปรียบแล้ว บ่าย 12 ก.พ. บิ๊กชายชุดเขียวจึงตั้งคำถามแบบเสียวสันหลังกับ ผบ.ชายชุดดำที่เข้าพบว่า...ทำไมคดียิงขวัญควาย ทำงานรวดเร็ว ทั้งๆ ที่คดีอื่นๆ ที่มีการทำร้ายประชาชน หลักฐานชัดเจน แต่กลับไม่มีความคืบหน้า !!!..นักรบย่อมได้กลิ่นสัญญาณลมหายใจออกแรง ที่พัดออกจากจมูกนักรบด้วยกันดี

บิ๊ก 3 สีย่อมฝังแค้นที่ปูเน่ากับสมุนเคยแอบดอดไปหารือ กกต. 2 คน ว่าจะขออนุมัติย้ายชาย 3 สีใหญ่ๆ สัก 3-4 คน แต่ กกต.ไม่ยอมและข่าวรั่ว ทำให้ลมออกหูถึงขั้นบิ๊กสีเขียวชี้หน้าด่าปูเน่าในห้องประชุม จนปูเน่าน้ำตาคลอ และเขารู้ว่าหากปูเน่าและบริษัทเผาไทย ได้กลับมาเป็นรัฐบาลเทียมอีกครั้ง พวกเขาก็จะอำนาจต่อรองลดลง และอาจถูกปลดย้ายได้

ดังนั้นเมื่อจุดอ่อนศรัตรูถูกเปิดเผย ไฉนเลยชาย 3 สีจะไม่จู่โจม ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมามีการประชุม ครม.ที่สถานที่ของชาย 3 สี จึงได้มีการส่งสัญญาณพูดชัดเจนกับปูเน่าว่าให้ลาออก เพื่อเปิดทางให้มีการแต่งตั้งรัฐบาลชั่วคราว เพื่อการปฏิรูปประเทศ เพราะชาย 3 สีประคองและอดทนต่อไปไม่ไหว ความชอบธรรมหมดสิ้นไปแล้ว โดยฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ปูเน่าต้องไปจากอำนาจ คือ
1. ทุกข์ของชาวนาที่ถูกโกงจำนำข้าว ทำให้ชาวนาฆ่าตัวตายแทบทุกวัน โดยรัฐอั้งยี่แดงกู้ยืมเงิน 1.3 แสนล้านมาคืนหนี้ให้ชาวนาไม่ได้
2. ข้าวที่รับจำนำมาที่อยู่ในโกดัง 15-18 ล้านตัน มีสต๊อคลม ไม่เหลืออยู่ครบจำนวนจริง หรือมีคุณภาพแย่ จึงเกิดการเผาข้าวในโกดังข้าวขึ้น ข้าวสารติดไฟยาก แต่ข้าวเปลือกติดไฟง่าย แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือการฉีดน้ำไปมากๆๆ ข้าวจะได้เน่า เสียเป็นจำนวนมาก ไม่สามารถขายได้ นี่คือกลโกงที่แท้จริง กว่าจะระบายข้าวออกมาทันเพื่อใช้หนี้ชาวนา ความมั่นคงของประเทศสั่นคลอนหนัก เพราะทุกข์ของชาวนา คือทุกข์ของแผ่นดินของพ่อ
3. ฟางอีกเส้นคือ การที่ชายดูไบเรียกประชุมสมุนโจรที่ไว้ใจที่พม่า เพื่อวางยุทธศาสตร์ในการต่อรอง วางกำลังโจรที่จะป่วนประชาชน และวางคนที่จะรับตำแหน่งสำคัญต่อไป เพื่อรักษาอำนาจ เพราะมันชี้ให้เห็นถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังรัฐอั้งยี่แดงอย่างจริง เป็นหลักฐานกระทบความมั่นคงของประเทศ

ทำให้ชาย 3 สีอยู่เฉยๆ ต่อไม่ได้แล้ว จึงพร้อมใจออกมายื่นคำขาดให้ปูเน่าลาออก เพราะหมดความชอบธรรมทุกประการแล้ว โดยให้เวลาปูเน่าไม่เกิน 21 ก.พ. มิฉะนั้นจะไม่รับรองว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะขณะนี้กำลังพลหลักๆ เข้ามาดูแลพระนครหมดแล้ว..ใครขืนถือหางรัฐอั้งยี่แดงตอนนี้ทั้ง ผบ.ชายชุดดำ , ริดสีดวง ฯลฯ เตรียมม้วนเสื่อรอดูหนังฉายรอได้เลย

เสธ ได้ข่าวว่าแก๊งค์แดงสู้แล้วรวย จะแสร้งทำทีนัดกันทำบุญในวันที่ 14 ก.พ.นี้ ที่จุดก่อสร้างหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ใกล้โบนันซ่า เขาใหญ่ โคราช เพื่อซักซ้อมกันใช้กองกำลังติดอาวุธที่เหลือเพียงน้อยนิดกรำศึกใหญ่กับชาย 3 สี...

ซึ่งงานนี้วิเคราะห์ว่าคงมีชายไร้สีนิรนามถือถุงข้าวโพดไปเยี่ยมแกนนำเหมือนขวัญควาย โกตี๋ แน่ๆ เพราะเขารอจังหวะออกมาจากห้างแถวลาดพร้าวมานานแล้ว เพื่อมอบความเป็นธรรมครบมือหูดับไหม้ให้...แก้กรรมมันแก้ยาก..แก้สันดานชั่วมันง่ายกว่า

รูปูถูกอุดจนหมดแล้วทุกทาง..ขาปูถูกหักจนเดินไม่ได้แล้ว..โอกาสแบบนี้เขาให้ลงดีๆ ขืนยังไม่ลง..ก็จะต้องเจอรองเท้าบู๊ทถีบตกหน้าหงายตกจากเก้าอี้

@เสธ น้ำเงิน
ที่มา : https://www.facebook.com/topsecretthai


นายกฯ-ผบ.เหล่าทัพ กลุ้ม โครงการจัดซื้อจัดจ้าง กว่า100โครงการ รวมทั้ง 3 จ.ใต้ ติดขัด การเบิกจ่ายงบประมาณ เพราะต้อง ขอ กกต.

นายกฯ-ผบ.เหล่าทัพ กลุ้ม โครงการจัดซื้อจัดจ้าง กว่า100โครงการ รวมทั้ง 3 จ.ใต้ ติดขัด การเบิกจ่ายงบประมาณ เพราะต้อง ขอ กกต. เร่งดำเนินการ ส่งผลต่อการแก้ปัญหา นายกฯ ให้ 12 โครงการอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เร่งด่วน

มีรายงานว่า ในการพูดคุยของนายกฯ กับ ผบ.เหล่าทัพ ผลกระทบจากการยุบสภาและ เป็น รัฐบาลรักษาการ เรื่องหนึ่ง คือ การจัดซื้อจัดจ้างในโครงการต่าง ๆ ของเหล่าทัพ ที่เป็นโครงการผูกพันงบประมาณข้ามปี ซึ่งนายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงเพราะขณะนี้มีโครงการจัดซื้อจัดจ้างที่ต้องหยุดชะงักในช่วงที่ผ่านมา กว่า 100 โครงการ

นายกฯ จึงได้สั่งการให้เหล่าทัพมีการจัดทำแผนรายละเอียดทั้งหมด12โครงการและเสนอมายังกระทรวงกลาโหมเพื่ออนุมัติ และเสนอให้ทาง กกต.พิจารณาต่อไป

รวมทั้งแผนการจัดสรรงบประมาณเพื่อลงไปในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยในที่ประชุม นายกฯและ ผบ.เหล่าทัพ มีความเป็นห่วงสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ เพราะได้รับผลกระทบ ด้วยเช่นกัน. และได้หารือ เรื่องปัญหาภาคใตัที่มีการก่อเหตุรุนแรง สะเทือนขวัญ มากขึ้น


เผยหนังสือ"รัฐบุคคล""ปราโมทย์"ถึง"ประธานองคมนตรี"

ปราโมทย์ นาครทรรพ ทำหนังสือถึงประธานองคมนตรี ขอให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใช้อำนาจพิเศษประกาศงดใช้รัฐธรรมนูญ ปี 2550 บางมาตรา

ปราโมทย์ นาครทรรพ หนึ่งในคณะ "รัฐบุคคล"ทำ หนังสือถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนม์ ประธานองคมนตรี ขอให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใช้อำนาจพิเศษประกาศงดใช้รัฐธรรมนูญ ปี 2550 บางมาตรา เพื่อลดความขัดแย้ง

 (12 กุมภาพันธ์ 2557) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีการแชร์ภาพหนังสือที่ นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ ทำถึงประธานองคมนตรีในโลกออนไลน์ โดยหนังสือฉบับดังกล่าว นายปราโมทย์ นาครทรรพ ทำขึ้นเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2556 มีใจความว่า...

ด้วยวิกฤตการณ์การเมืองไทยที่ทวีความรุนแรงขึ้น แม้จะมีการประกาศยุบสภา เพื่อประกาศให้มีการเลือกตั้ง 2557 แล้ว ก็ยังไม่อาจคลี่คลายสถานการณ์การเมืองไปในทิศทางที่ดีได้ เนื่องจากหลาย ๆ

ฝ่ายมองว่า การเลือกตั้ง 2557 ไม่อาจเป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้

ซึ่งกระผมก็ได้ปรึกษากับนักกฎหมายหลายท่าน รวมถึงผู้นำเหล่าทัพบางท่าน อีกทั้งได้มีการหารือองคมนตรีที่เป็นอดีตประธานศาลฎีกาเพิ่มเติม จึงแน่ใจว่า วิธีที่จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ คือ การขอให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใช้อำนาจพิเศษประกาศงดใช้รัฐธรรมนูญ ปี 2550 บางมาตรา เพื่อลดความขัดแย้งทางการเมือง

โดยข้อความในหนังสือที่นายปราโมทย์ นาครทรรพ ทำถึงประธานองคมนตรี มีรายละเอียด ดังนี้

ด่วนที่สุด

11 ธันวาคม 2556

กราบเรียน ฯพณฯ ท่านประธานองคมนตรี

กระผมใคร่กราบเรียนว่า วิกฤติและความขัดแย้งนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก ไม่มีทางสงบง่าย ๆ แม้ว่าจะมีการยุบสภาและกำหนดวันเลือกตั้งก็จะยิ่งลุกลามยิ่งขึ้น เพราะบัดนี้ประชาชนทุกอาชีพได้ตื่นรู้แล้ว

ว่าการเลือกตั้งที่เสรีและบริสุทธิ์ยุติธรรมไม่มีทางเป็นไปได้ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญและเลือกตั้งฉบับปัจจุบัน และภายใต้กลุ่มการเมืองที่สักแต่มีชื่อว่าพรรค ที่มีอยู่ในขณะนี้

หนทางและวิธีการที่จะระงับความขัดแย้งและเดินหน้าไปสู่การปฎิรูปทางหนึ่ง อาจจะได้แก่การนำใช้หลักกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างถูกต้อง และควบคุมกระบวนการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมิให้บานปลายไปในทางที่ผิด

ด้วยคำขอร้องของหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง กระผมได้เสนอให้ใช้พระราชอำนาจพิเศษ หรือ Royal Prerogetive ที่สอดคล้องกับหลักรัฐธรรมนูญสากลและนิติราชประเพณี นั่นก็คือ การมีพระบรมราชโองการประกาศงดใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เฉพาะบางมาตราที่เป็นอุปสรรคต่อการขจัดความขัดแย้งและปฎิรูป

กระผมได้ปรึกษาท่านผู้รู้ทางกฎหมายหลายท่าน รวมทั้งผู้นำเหล่าทัพบางท่าน ก็ได้นำไปหารือองคมนตรีที่เป็นอดีตประธานศาลฎีกา มีความเห็นว่าน่าจะเป็นวิธีการที่ทำได้ ไม่มีปัญหา เพราะพระเจ้าอยู่หัวเคยดำรัสว่า "ถ้าจะให้ทำก็ไม่กลัวแต่ต้องให้ศาลบอก" และวิธีการดังกล่าวนี้ ศาลก็ทราบดีว่าเป็นพระราชอำนาจที่ถูกต้องตามหลัก extra-constitution ไม่ขัดกับหลัก "The King Can Do No
Wrong" และคติว่า "เป็นกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ" แต่อย่างใด กับทั้งจะเป็นการระงับ "ภัยพิบัติอันขัดแย้งในปัจจุบัน clear and present danger" ซึ่งองค์รัฎฐาธิปปัตย์จะต้องทรง "จัดการ" เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม

อนึ่ง กระบวนการนำพระราชโองการดังกล่าวนี้มาประกาศ ก็ไม่จำเป็นต้องรบกวนเบื้องยุคลบาทให้มาพระราชทานด้วยพระหัตถ์หรือทรงอ่านด้วยพระองค์เองแต่อย่างใด เนื่องจากมีครรลองปฏิบัติที่ถูกต้องอยู่แล้ว ส่วนการลงนามสนองพระบรมราชโองการเป็นคณะ ก็เคยกระทำมาก่อนแล้วในสมัย พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 1 เมษายน 2476 ดังสำเนาที่กระผมแนบมานี้

จึงขอเรียนมาได้โปรดพิจารณาขอให้ราชเลขาธิการนำความขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อให้ทรงมีพระบรมราชโองการให้ทันท่วงที ก่อนที่จะมีการปะทะกันเสียเลือดเสียเนื้อเป็นประวัติการณ์ในเร็ววันนี้ด้วย

ควรมิควรประการใดแล้วแต่จะโปรด
นายปราโมทย์ นาครทรรพ


























แกะรอย'โต๊ะเจรจา'หยุดวิกฤติการเมืองก่อนพัง

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ 2557

แกะรอย'โต๊ะเจรจา'หยุดวิกฤติการเมืองก่อนพัง

แกะรอย'โต๊ะเจรจา' หยุดวิกฤติการเมืองก่อนพัง : ปกรณ์ พึ่งเนตรรายงาน

               จังหวะก้าวทางการเมืองหลังวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 อันเป็นวันจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เป็นการทั่วไปซึ่งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยยืนยันหัวเด็ดตีนขาด ว่าถึงอย่างไรก็เลื่อนไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงนั้น ได้นำพาสถานการณ์บ้านเมืองเดินเข้าสู่จุดอับของทุกฝ่าย

               รัฐบาลรักษาการที่นำโดยพรรคเพื่อไทย แม้จะได้ภาพความชอบธรรมจากการหย่อนบัตรเลือกตั้งตามกติกาประชาธิปไตยไปนอนกอด ทว่าก็ประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการไม่ได้ เปิดสภาไม่ได้ เลือกนายกฯ ก็ไม่ได้ และตั้งรัฐบาลชุดใหม่ไม่ได้

               ขณะที่ฝ่าย กปปส. หรือคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แม้จะชุมนุมกดดันจนการเลือกตั้งไม่สมบูรณ์ ชัตดาวน์จนการบริหารราชการแผ่นดินพิกลพิการ แต่ก็ไม่สามารถบีบให้รัฐบาลรักษาการหยุดปฏิบัติหน้าที่ได้

               การณ์กลับกลายเป็นว่า กปปส.ต้องหาทุนจัดม็อบตั้งเวทีแบบยืดยาวไม่รู้จบ เพราะรัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็จะอยู่รักษาการแบบไม่สนอะไรทั้งนั้น แม้จะมีกรณีชี้มูลความผิดโดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รออยู่ในประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมิชอบ โดยมีสมาชิกรัฐสภาเข้าคิวขึ้นเขียงถูกถอดถอนถึง 308 คนก็ตาม

               เพราะเซียนกฎหมายอย่าง โภคิน พลกุล จากคณะทำงานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ชี้ช่องว่ายังมีประเด็นต้องตีความกันอีกมาก โดยเฉพาะเสียงของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่จะใช้ยื่นถอดถอนจำนวน 3 ใน 5 เท่าที่มีอยู่นั้น หมายถึงอะไรกันแน่ ส.ว.ที่ถูกชี้มูลความผิดและต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ต้องรับรวมเป็น ส.ว.เท่าที่มีอยู่หรือไม่ และเสียงที่จะใช้ถอดถอนจริงๆ ควรเป็นเท่าไร

               แต่แม้จะถูกถอดถอน รัฐบาลรักษาการของพรรคเพื่อไทยก็ยังคงอยู่ เพราะนายกรัฐมนตรีไม่ได้มีชื่อถูกชี้มูลความผิดกรณีนี้ และถึงจะมีกรณีอื่น ตัวนายกฯ รักษาการก็เปลี่ยนเอารัฐมนตรีที่ไม่ได้เป็น ส.ส.มาปฏิบัติหน้าที่แทนได้อยู่ดี

               นี่คือข้อได้เปรียบของรัฐบาลที่กอดความชอบธรรมจากกติกาประชาธิปไตยเรื่องการเลือกตั้ง...

               แต่จุดอ่อนที่เปราะบางที่สุดของรัฐบาล คือ "กรณีทุจริตจำนำข้าว" ซึ่งว่ากันว่าอย่างไรเสีย นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คงหนีความรับผิดชอบไม่พ้น แม้จะมีเซียนกฎหมายในพรรคเพื่อไทยพยายามตีความว่าหลักฐานไปไม่ถึงก็ตามที

               ขณะที่จุดเปราะบางของฝ่าย กปปส. นอกจากการรักษาระดับการชุมนุมเอาไว้ให้นานที่สุด ซึ่งถือเป็นงานหินอย่างยิ่งแล้ว ยังมีเรื่องการรักษาเนื้อรักษาตัวไม่ให้ถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีอำนาจเต็มตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มที่โดนข้อหากบฏ เพราะหากพลาดถูกจับ โอกาสที่จะไม่ได้ประกันตัวยาวมีสูงอย่างมาก ถึงขั้นต้องเดินคอตกเข้าเรือนจำหลังผ่านการควบคุมตัว 30 วันแรกตามอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

               ด้วยข้อจำกัดของ "คู่ขัดแย้งหลัก" ซึ่งชัดเจนว่าไม่มีฝ่ายใดเอาชนะเหนืออีกฝ่ายได้อย่างเด็ดขาด และสถานการณ์มีแนวโน้มยืดเยื้อเกินครึ่งปี ส่งผลต่อเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศอย่างมหาศาล แรงกดดันจากทุกฝ่ายย่อมถาโถมเข้าใส่ทั้งรัฐบาล และ กปปส. ฉะนั้นการ "พูดคุยเจรจา" เพื่อหาทางออกที่ยังพอมีต้องเกิดขึ้น

               ที่ผ่านมามีความพยายามของกองทัพที่จะเข้ามาเป็นกาวใจ รวมทั้งการแสดงบทบาทของอดีตขุนพลบูรพาพยัคฆ์ระดับ "พี่ใหญ่" และ "พี่รอง" อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

               ตามด้วยเครือข่ายภาคธุรกิจ 7 องค์กร ที่เสนอตัวตั้งเวทีกลาง แต่ก็ถูกเมินจากคู่ขัดแย้งหลัก

               แต่นั่นเป็นความพยายามช่วงก่อนการเลือกตั้ง และก่อนที่สถานการณ์จะปรากฏชัดว่ากำลังเดินไปสู่ "เดดล็อก" จริงๆ เช่นวันนี้

               ล่าสุดจึงมีข้อมูลยืนยันค่อนข้างชัดเจนว่า มีการเปิดโต๊ะเจรจาระหว่างตัวแทนของคู่ขัดแย้งหลักทั้ง 2 ฝ่าย โดยมีผู้ใหญ่ระดับสูงในบ้านเมืองเป็นผู้อำนวยความสะดวก

               วงพูดคุยมีบุคคลเข้าร่วมอย่างน้อย 5 คน คือ ผู้ใหญ่ระดับสูงในบ้านเมือง อดีตนายทหารยศ "พลเอก" สายบูรพาพยัคฆ์ แต่เป็นรุ่นใหญ่กว่า "2 ป." พี่ใหญ่กับพี่รองที่เอ่ยถึงข้างบน ส่วนฝ่ายการเมืองที่อาจถือเป็นตัวแทนของคู่ขัดแย้งหลัก ก็คือ นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งสนิทสนมใกล้ชิดและเป็นดองกับ สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ขณะที่อีกรายคือ วัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีพาณิชย์ที่ต่อสายถึง "คนทางไกล" ได้

               ส่วนคนที่ 5 บนโต๊ะเจรจา ข่าวยังค่อนข้างสับสนหลายกระแส บ้างก็ว่าเป็น วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และอดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรีหลายรัฐบาล รวมทั้งรัฐบาลของ 2 ขั้วขัดแย้ง

               การเจรจาโต๊ะนี้มีมาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดคือเมื่อวันศุกร์หรือเสาร์ที่ผ่านมานี้เอง...

               ข้อยุติเบื้องต้นมี 2 เรื่องใหญ่ๆ คือ 1.จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล โดยบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อว่าเหมาะสม คือ วิษณุ เครืองาม ยังไม่ชัดว่าจะให้เป็น "นายกฯ คนกลาง" หรือทำหน้าที่ "คนกลาง" ไปประสานตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลกันแน่

               2.ถ้าคู่ขัดแย้งหลักตกลง จะหาช่องช่วยเหลือเรื่องคดีที่พัวพันกันยุ่งอีนุงตุงนัง ทั้งข้อหากบฏของแกนนำ กปปส. และคดีที่พัวพันไปถึงนายกฯ ยิ่งลักษณ์ โดยเฉพาะทุจริตโครงการรับจำนำข้าว

               ว่ากันว่าฝ่าย วัฒนา เมืองสุข ได้นำข้อเสนอไปบอกกับ "คนทางไกล" แล้ว แต่ฝั่งนั้นก็มีเงื่อนไขกลับมาบางประการ รวมทั้งเงื่อนไขจากพรรคเพื่อไทยด้วย ขณะที่ นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ได้ไปคุยนอกรอบกับ สุเทพ เทือกสุบรรณ และสุเทพได้เรียกประชุมแกนนำ กปปส.ล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ เพื่อหารือประเด็นนี้

               แม้ผลจะยังไม่ปรากฏชัด แต่ "วงใน" แนะให้จับตาดูสถานการณ์ความรุนแรงที่ลดระดับลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงนี้ โดยเฉพาะ "เอ็ม 79" และ "ระเบิด" ดูจะหยุดทำงานชั่วคราว

               ขณะที่คดีสำคัญ "เลือกตั้งเป็นโมฆะ" ที่อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญนั้น ล่าสุดศาลมีมติไม่รับคำร้อง รวมทั้งยกคำร้องของพรรคเพื่อไทยที่กล่าวหา สุเทพ เทือกสุบรรณ และพวกกระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ว่าด้วยการได้อำนาจการปกครองที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย

               นักสังเกตการณ์การเมืองหลายรายเชื่อว่า นี่อาจเป็นสัญญาณดีๆ จากโต๊ะเจรจา หรือการพักรบชั่วคราวเพื่อรอพิจารณาเงื่อนไขของแต่ละฝ่าย!
............................................
(หมายเหตุ : แกะรอย'โต๊ะเจรจา' หยุดวิกฤติการเมืองก่อนพัง : ปกรณ์ พึ่งเนตรรายงาน)
 

กกต."ฮึ่ม! "ช่อง11" เสนอเนื้อหาอาจไม่เป็นกลางวันเลือกตั้ง จี้ขอผังรายการ-ชื่อวิทยากรให้ความเห็นซีกเดียว

กกต."ฮึ่ม! "ช่อง11" เสนอเนื้อหาอาจไม่เป็นกลางวันเลือกตั้ง จี้ขอผังรายการ-ชื่อวิทยากรให้ความเห็นซีกเดียว via@phanasGook

‪#‎voicelive‬ ‪#‎กกต‬ ‪#‎เลือกตั้ง‬


“สนธิญาณ” เฮ! ศาลยกคำร้องตำรวจขอควบคุมตัวเพิ่มอีก 7 วัน รอปล่อยตัว 16 ก.พ.นี้

ตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี พร้อมด้วยตำรวจ 191 คุมตัว “สนธิญาณ” มาขออำนาจศาลขยายเวลาควบคุมตัวตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพิ่มอีก 7 วัน ด้านเจ้าตัวยิ้มสู้ไม่มีความวิตกกังวล พร้อมยื่นคำร้องคัดค้านการควบคุมตัวต่อ ศาลรอไต่สวนพิจารณามีคำสั่งต่อไป ล่าสุดศาลมีคำสั่งให้ยกคำร้องการขอควบคุมตัวของตำรวจ และเตรียมปล่อยตัวในวันอาทิตย์ที่ 16 ก.พ.นี้


เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (13 ก.พ.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พ.ต.ท.เทพพิทักษ์ แสงกล้า พนักงานสอบสวน สน.พญาไท ในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ของศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.)ได้มายื่นคำร้องขอขยายเวลาการควบคุมตัวครั้งที่ 1 ของ นาย สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม อายุ 52 ปี ผู้ต้องหาที่ 19 ตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

คำร้องระบุว่า ศาลอาญาได้อนุญาตให้จับกุมและควบคุมตัวผู้ต้องหานี้ตามหมายจับที่ 35/2557 ลงวันที่ 5 ก.พ.2557 ต่อมาวันที่ 10 ก.พ.2557 เจ้าพนักงานได้จับกุมตัวผู้ต้องหาและนำไปควบคุมไว้ที่บก.ตชด.ภาค 1 ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และเจ้าพนักงานได้สืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรง เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันในการระงับเหตุการณ์ร้ายแรงเป็นเวลา 7 วัน จนถึงวันที่ 16 ก.พ.นี้ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ แต่การดำเนินการยังไม่เสร็จสิ้น ด้วยความจำเป็นดังกล่าวจึงขอควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้อีกเป็นเวลา 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 17 ก.พ.- 23 ก.พ.นี้ ท้ายคำร้องระบุด้วยว่า หากปล่อยตัวผู้ต้องหานี้ อาจไปปกระทำการหรือร่วมกระทำการจนก่อให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ได้อีก

โดยวันนี้ พ .ต.อ.วิสูตร ฉัตรชัยเดช รองผบก.ภ.จว.ปทุมธานี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร จ.ปทุมธานีและกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (บก.สปพ. หรือ 191 ) ได้คุมตัวนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม หนึ่งในแกนนำ กปปส. และอดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวทีนิวส์ ผู้ต้องหาในข้อหาฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งถูกจับกุมได้ที่ร้านชาบูตง ภายในห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้นใต้ดิน เมื่อวันที่ 10 กุมพาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อมายื่นคำร้องต่อศาลอาญาขอขยายระยะเวลาควบคุมตัวตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพิ่มอีก 7 วัน

อย่างไรก็ตามทนายความของสนธิญาณได้ยื่นคำร้องคัดค้านการขอขยายระยะเวลาการควบคุมตัวนายสนธิญาณ ของพนักงานสอบสวน ต่อมาเวลา 11.00 น.ศาลจึงได้ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนคำร้องของทั้งสองฝ่ายจนเสร็จสิ้น

นายสนธิญาณได้แถลงต่อศาลว่า ระหว่างการเคลื่อนไหว ตนเองต้องทำธุรกิจ 7-8 บริษัท ซึ่งไม่คิดทำอะไรที่เป็นภัยโดยชุมนุมตามสิทธิรัฐธรรมนูญ ไม่มีพฤติกรรมฝ่าฝืน และไม่ขัด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ขณะที่ถูกตำรวจจับกุมตัวได้นั้น กำลังจะเซ็นเช็คของบริษัท ซึ่งปฏิบัติตัวตามปกติเช่นทุกวัน ส่วนการขึ้นเวทีปราศรัยก็ได้รับเชิญขึ้นเวที 4-5 ครั้ง เนื่องจากตนเองเป็นสื่อมวลชนจึงปราศรัยในเนื้อหาเกี่ยวกับการทุจริตจำนำข้าว รวมทั้งความเสียหายจากระบอบทักษิณ พร้อมทั้งร้องขอให้ศาลปล่อยตัวตนก็ยินยอมที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาล

ขณะที่พ.ต.ท.เทพพิทักษ์ แสงกล่า พนักงานสอบสวน ศรส.แถลงต่อศาลขอคัดค้านการปล่อยตัวผู้ต้องหา เนื่องจากนายสนธิญาณเป็นกรรมการ กปปส. และมีพฤติการณ์ขัดขวางการเลือกตั้งที่ผ่านมา ซึ่งแสดงเจตนารมณ์ต่อสู้คัดค้านรัฐบาลจนถึงปัจจุบัน พร้อมกับนำหลักฐานเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งมาให้ศาลพิจารณาด้วย

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การควบคุมตัวตามประกาศมาตรา 11 (1) ของ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 กฎหมายห้ามมิให้มีการควบคุมผู้นั้น โดยปฏิบัติเยี่ยงผู้กระทำผิดอาญา หากแต่เป็นการควบคุมเพื่อประโยชน์ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น จึงต้องกระทำเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของกฎหมายดังกล่าว กรณีได้ความตามทางไต่สวนว่าการควบคุมผู้ต้องหาที่ 19 ตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ผ่านมาเป็นระยะเวลา 4 วัน โดยมีการซักถามข้อมูลและข้อเท็จจริงต่างๆ พอสมควรแล้ว ซึ่งผู้ต้องหาที่ 19 ก็ให้ความร่วมมืออย่างดี ฉะนั้นการที่ผู้ร้องอ้างว่ายังมีกรรมวิธีซักถามเพื่อหาข้อยุติในข้อเท็จจริงหรือเปลี่ยนแปลงปรับเปลี่ยนทัศนคดีและพฤติการณ์ของผู้ต้องหาที่ 19 ต่อเนื่องไปอีก ซึ่งเมื่อคำนึงถึงระยะเวลาการควบคุมที่ผ่านมาแล้ว การควบคุมตัวเพื่อซักถามข้อเท็จจริงอีกเห็นว่าเป็นเรื่องเกินความจำเป็นไม่ต้องด้วยเงื่อนไขของกฎหมายที่จะควบคุมผู้ต้องหาที่ 19 ไว้ต่อไปอีก ส่วนข้ออ้างของผู้ร้องที่หวั่นเกรงว่าหากปล่อยผู้ต้องหาที่ 19 ไปอาจจะไปกระทำการหรือสนับสนุนให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉินและผู้ต้องหาที่ 19 มีท่าที่จะเข้าร่วมการชุมนุมต่อไปนั้น เห็นว่าข้อหวั่นเกรงดังกล่าวเป็นเรื่องของอนาคต เมื่อนำมาชั่งน้ำหนักกับสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่ควรได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ถือไม่ได้ว่ามีความจำเป็นเพียงพอ ที่จะควบคุมตัวไว้อีก ศาลจึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาการควบคุมตัวผู้ต้องหาที่ 19 ต่อไปอีก ให้ยกคำร้อง

นายสนธิญาณให้สัมภาษณ์ระหว่างเจ้าหน้าตำรวจจะนำตัวขึ้นรถกลับไปควบคุมตัวยังตชด.ภาค 1 ว่า ขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรม และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตชด.ภาค 1 ทุกคน โดยเห็นว่ารัฐบาลทรราชได้จับกุมตัวและสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจค้นบ้านพักอย่างไม่ถูกต้องและยังกล่าวหาว่าเป็นคลิปตัดต่อ ซึ่งตนจะนำหลักฐานต่างๆ ไปขอความเป็นธรรมต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และจะดำเนินคดีต่อผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

ภายหลังศาลมีคำสั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวนายสนธิญาณกลับไปยัง ตชด.ภาค 1 ทันที เพื่อควบคุมตัวจนครบกำหนด 7 วันก่อนจะปล่อยตัวต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะปล่อยตัวนายสนธิญาณในวันอาทิตย์ที่ 16 ก.พ.นี้ ที่ ตชด.ภาค 1 เนื่องจากจะครบกำหนด 7 วันของการควบคุมตัว