PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

นิธิ เอียวศรีวงศ์: ความเหลื่อมล้ำ คำตอบอยู่ที่การเมือง

Tue, 2015-01-20 10:11

 ในเมืองไทย เราพูดกันถึงความเหลื่อมล้ำด้านรายได้มานานมาก มีผู้ศึกษานำตัวเลขความเหลื่อมล้ำด้านต่างๆ มาแสดงให้ดูหลายต่อหลายด้าน ระหว่างภาค, ระหว่างเพศ, ระหว่างจังหวัด, ระหว่างอาชีพ, ระหว่างระดับการศึกษา ฯลฯ และในระยะหลังๆ ก็มีตัวเลขความต่างด้านรายได้และการถือครองทรัพย์สินของประชากรที่ถูกจำแนกเป็น 5 กลุ่มให้เห็นอย่างน่าตระหนก สอดคล้องกับสำนึกของผู้คน ที่จำแนกตนเองออกตามฐานะทางเศรษฐกิจ ซึ่งไปกำหนดฐานะทางสังคมและวิถีชีวิตด้วย (แต่ไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าเป็นสำนึกทางชนชั้นตามทฤษฎีฝ่ายซ้ายได้)
ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้นำมาซึ่งความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสในทุกเรื่องนับตั้งแต่การศึกษา,การรักษาพยาบาล, ไปจนถึงการสร้างเส้นสาย
ความเหลื่อมล้ำที่ถูกพูดถึงในระยะแรก มักถูกปัดออกไป เพราะปัญญาชนไทยในช่วงนั้นยังเชื่อทฤษฎีการพัฒนาแบบน้ำหยดจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ จึงมองความเหลื่อมล้ำเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้นชั่วคราวบนวิถีทางพัฒนา แต่นับวันทฤษฎีนี้ก็พิสูจน์ตนเองว่าไม่จริง ไม่เฉพาะในเมืองไทย หากไม่จริงไปทั่วโลก เพราะความเหลื่อมล้ำเกิดขึ้นจากวิถีทางพัฒนานั่นเอง ยิ่งพัฒนาไปไกลเท่าไร ความเหลื่อมล้ำก็ยิ่งฝังรากลึกลงไปในระบบมากขึ้นเท่านั้น จนยากจะไถ่ถอนออกไปได้ง่ายๆ
ผมเข้าใจว่า การล้อมปราบผู้ชุมนุมเสื้อแดงอย่างโหดร้ายในปี 2553 ทำให้เห็นได้ถนัดว่า ความเหลื่อมล้ำที่ค่อนข้างสุดโต่ง (เมื่อดูตัวเลขค่าสัมประสิทธิ์จีนี) ของไทย นำมาซึ่งความแตกร้าวอย่างลึกในสังคม ซึ่งสร้างความตึงเครียดที่พร้อมจะระเบิดได้ในทุกรูปแบบ จึงเป็นเหตุให้ทุกฝ่ายยอมรับว่าความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ และต้องแก้ไขหรือบรรเทาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง
(อันที่จริง ต้องยอมรับเหมือนกันว่า รัฐธรรมนูญ 2540 ก็พยายามจะตอบโจทย์ความเหลื่อมล้ำด้วย แต่ดูเหมือนยังมองไม่เห็นภยันตรายของความเหลื่อมล้ำ เท่ากับความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลกลางในการบริหาร พูดอีกอย่างหนึ่งคือยังเพ่งมองความจำเริญทางเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายที่ใหญ่กว่าการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ)
เมืองไทยอาจมีเงื่อนไขของตนเองที่ทำให้สำนึกถึงความเหลื่อมล้ำแหลมคมขึ้นแต่ในความเป็นจริงแล้ว สำนึกที่แหลมคมขึ้นนี้เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา (และอีกหลายประเทศที่มีการประท้วงพวก 1% ตามขบวนการ occupy ในสหรัฐ) และในประเทศกำลังพัฒนาอีกหลายประเทศ เช่น จีน, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, อินเดีย ฯลฯ เป็นต้น (ทั้งๆ ที่ค่าสัมประสิทธิ์จีนีของเกือบทุกประเทศเหล่านี้ไม่สูงเท่าไทย)
ผลจากสำนึกเช่นนี้ก็เหมือนกับที่เกิดในเมืองไทยคือความขัดแย้งในสังคมรุนแรงขึ้นและเป็นอันตรายต่อเสถียรภาพทางการเมืองและสังคมหนักขึ้นทุกที ฉะนั้นจึงมีความพยายามในหลายประเทศที่จะบรรเทาปัญหานี้ลง
ในบางประเทศเช่นมาเลเซีย ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์มีอยู่แล้ว ซ้ำความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ยังสอดคล้องกับกลุ่มชาติพันธุ์เสียอีก ทำให้มาเลเซียพยายามแก้ปัญหานี้มาแต่ต้น เมื่อตอนได้เอกราชใหม่ๆ ค่าสัมประสิทธิ์จีนีของมาเลเซียสูงกว่าไทย แต่ในปัจจุบัน ต่ำกว่าไทยอย่างมีนัยสำคัญทีเดียว แม้กระนั้นคนก็ยังรู้สึกถึงความเหลื่อมล้ำอยู่นั่นเอง แม้ไม่ได้แบ่งกันตามกลุ่มชาติพันธุ์อย่างเดิมก็ตาม
ท่าน อ.ผาสุก พงษ์ไพจิตร ปลอบใจไว้ใน สู่สังคมไทยเสมอหน้า ว่าเรื่องนี้แก้ง่าย และเคยแก้สำเร็จมาแล้วในหลายประเทศ ซึ่งก็คงจะจริง ดังที่ท่านได้ยกตัวอย่างให้ดู ในกรณีประเทศไทย ท่านได้เสนอมาตรการสำคัญ 3 ประการที่ต้องเร่งทำ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย หนึ่งคือ การกระจายรายได้ (ค่าแรง 300 บาท, จำนำข้าวทุกเม็ดในราคาตันละ 15,000 บาท, ชะลอการชำระหนี้ ฯลฯ) แต่ท่านเตือนว่า มาตรการนี้ให้ผลลดความเหลื่อมล้ำได้ในระยะสั้น หากระยะยาวแล้วช่องว่างระหว่างรายได้ก็อาจถ่างออกไปได้อีก สู้มาตรการที่สองไม่ได้ นั่นคือการที่รัฐต้องผลิตสินค้าและบริการสาธารณะจำนวนมากที่คนอาจเข้าถึงได้เสมอกัน เช่นโครงการ 30 บาทขึ้นมาให้มาก ในขณะที่สินค้าและบริการสาธารณะเหล่านี้ควรมีลักษณะที่จะช่วยเพิ่มสมรรถภาพการผลิตของประชาชนไปพร้อมกันด้วยและสามคือการปฏิรูประบบภาษีเพื่อทำให้รัฐมีเงินใช้จ่ายเพื่อผลิตสินค้าและบริการสาธารณะดังกล่าวข้างต้น
อย่างไรก็ตามท่านอ.ผาสุกได้พูดถึงอุปสรรคขัดขวางการบรรเทาความเหลื่อมล้ำในสังคมต่างๆ ว่าคือกลุ่ม "คณาธิปไตย" (oligarchs) ซึ่งกุมอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองไว้ในสังคมต่างๆ
ผมคิดว่าอาจสรุปได้โดยไม่ผิดว่า อุปสรรคสำคัญของการลดความเหลื่อมล้ำในทุกสังคมคือการเมือง (ในความหมายกว้าง คือแต่ละกลุ่มมีความสัมพันธ์เชิงอำนาจต่อกันอย่างไร) แม้มีมาตรการที่ง่ายและเห็นผลในการลดความเหลื่อมล้ำอย่างไรก็ตาม หากการเมืองยังไม่หลุดออกไปจากการผูกขาดของกลุ่มคณาธิปไตย มาตรการดังกล่าวก็มักทำไม่สำเร็จ สิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือมาตรการลดความเหลื่อมล้ำให้ได้ผลนั้น ล้วนเป็นมาตรการที่รัฐต้องเป็นผู้นำทั้งสิ้น ฉะนั้นการเมืองจึงยิ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญขึ้นไปใหญ่
รัฐในเอเชียอาคเนย์นั้นล้วนเป็นรัฐที่มีกำลังไม่มากนักอัตราเฉลี่ยที่รัฐอาเซียนใช้จ่ายต่อหัวประชากรคือปีละเพียง 730 เหรียญสหรัฐ แน่นอนมีบางรัฐที่จ่ายน้อยกว่านี้มาก เช่นพม่าจ่ายเพียงปีละ 40 เหรียญสหรัฐ และบางประเทศเช่นสิงคโปร์จ่ายมากกว่านี้มาก หากเอาอัตรานี้ไปเทียบกับออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ก็จะเห็นว่าห่างกันไกล เพราะสองประเทศนั้นจ่ายแก่ประชากรของตนเฉลี่ยถึงปีละ 16,800 เหรียญสหรัฐ
ในส่วนหนึ่ง ก็เพราะรัฐอาเซียนมีรายได้น้อยกว่าออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์มาก จึงเก็บภาษีได้น้อยกว่า แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลเดียว เพราะที่จริงแล้วรัฐอาเซียนส่วนใหญ่แล้ว มักเก็บภาษีแบบลูบหน้าปะจมูก โดยเฉพาะเมืองไทย กล่าวคือเปิดช่องให้คนมีหลีกเลี่ยงภาษี (ทั้งโดยถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย) มากเกินไป เช่นในเมืองไทยให้เงื่อนไขในการลดหย่อนภาษีไว้มาก ซึ่งล้วนเป็นเงื่อนไขที่คนมีได้ประโยชน์ ในขณะที่คนธรรมดาไม่มีโอกาสได้เงื่อนไขเช่นนี้เลย หรือการเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มให้ครบ 10% ตามเป้าที่วางไว้ใน พ.ศ.2540 ฝ่ายการเมืองก็ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหรือรัฐประหาร ต่างก็เลื่อนออกไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่มีนักวิชาการคำนวณว่าหากจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 10 ก็จะทำให้รัฐสามารถจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นอีก 2.5% ของจีดีพี (ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 16.5 ของจีดีพี ในขณะที่ประเทศที่อยู่ในฐานะเศรษฐกิจระดับเดียวกับไทยเก็บได้ 22.5)
หรือการเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า และเก็บภาษีทรัพย์สิน รวมทั้งภาษีกำไรจากทุน (capital gains) แม้มีผู้เสนอมานานแล้ว และบางรัฐบาลก็ดำริว่าจะทำ แต่ก็ไม่เคยเป็นผลในทางปฏิบัติจริงเลย เพราะเมื่อไปดูผู้ถือครองทรัพย์สินและที่ดินกว่าครึ่งของประเทศ ตลอดจนทำกำไรจากทุนได้อย่างรวดเร็ว (โดยตนเองไม่ได้เป็นฝ่ายลงทุน เช่นรถไฟฟ้าผ่านใกล้ที่ดินของตน) ก็ล้วนเป็นคนหยิบมือเดียวที่กุมอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองไว้ในมือ หรือกลุ่มคณาธิปไตยหน้าเดิมนั่นเอง
ในทางการเมืองจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการปฏิรูประบบภาษีให้ก้าวหน้าไปกว่านี้ ความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะมีเงินเพื่อผลิตสินค้าและบริการสาธารณะซึ่งเปิดให้แก่ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน จึงทำได้จำกัด และมักถูกกลุ่มคณาธิปไตยโจมตีว่าเป็นนโยบายประชานิยมไปหมด (แม้แต่เป็นการเพิ่มสมรรถภาพในการผลิตของประชาชนในระยะยาวก็ตาม เช่นโครงการแจกแท็บเล็ตแก่นักเรียน ซึ่งมีจุดอ่อนด้านซอฟต์แวร์ ไม่ใช่การแจก)
การรัฐประหารครั้งหลังสุดนี้ ตัดโอกาสของการปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำไปโดยสิ้นเชิง เพราะเป็นการรัฐประหารของกลุ่มคณาธิปไตย เพื่อระงับพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตย อันเป็นช่องทางที่ประชาชนจะเข้ามากำหนดนโยบายสาธารณะได้ใกล้ชิดขึ้น ฉะนั้นแม้ผู้ทำรัฐประหารจะอ้างการปฏิรูป และสร้างองค์กรขับเคลื่อนการปฏิรูป ก็เป็นองค์กรที่เลือกสมาชิกเกือบทั้งหมดจากกลุ่มคณาธิปไตยเดิมนั่นเอง ดังนั้น การปฏิรูปภายใต้อำนาจรัฐประหาร จึงไม่ส่อเค้าว่าจะนำไปสู่การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยลงแต่อย่างใด
อันที่จริง แม้มาตรการลดความเหลื่อมล้ำจะเป็นมาตรการที่เข้าใจได้ง่ายๆ แต่มีรายละเอียดที่จะต้องต่อรองกันระหว่างคนกลุ่มต่างๆ อยู่มากทีเดียว (รวมทั้งกลุ่มคณาธิปไตยเดิมก็ควรมีสิทธิเสมอภาคในการต่อรองเช่นกัน) เช่นหากจะทำให้การเก็บภาษีมีลักษณะก้าวหน้ามากขึ้น จะก้าวหน้าในอัตราอะไร และ/หรือ ต้องแลกเปลี่ยนกับอะไร จึงจะทำให้ผู้คนยังอยากลงทุนในวิสาหกิจของตนเพิ่มขึ้น สินค้าและบริการสาธารณะอะไรที่จะเพิ่มสมรรถภาพการผลิตของประชาชนอย่างแท้จริง และสิ่งใดควรมาก่อนสิ่งใด เช่นจะปฏิรูปการศึกษากันอย่างไร แต่ละภาคส่วนควรมีบทบาทในระบบการศึกษาแค่ไหนและอย่างไร
ปัญหาเหล่านี้ต้องถกเถียงแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน เพราะเป็นปัญหาที่ไม่มีคำตอบสำเร็จรูป ไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่จะตอบแทนคนอื่นได้ คำตอบล้วนต้องมาจากการเจรจาต่อรองระหว่างกลุ่มต่างๆ ซึ่งควรมีอำนาจทางการเมืองที่ใกล้เคียงกัน การยึดอำนาจไว้ในมือของคณาธิปไตยภายใต้รัฐประหาร จึงไม่อาจนำไปสู่คำตอบใดๆ มากไปกว่ารักษาความเหลื่อมล้ำที่คณาธิปไตยได้ประโยชน์ไว้ต่อไปเท่านั้น
ในยามที่ประเทศไทยเผชิญวิกฤตอย่างหนักในด้านความเหลื่อมล้ำ(ค่าสัมประสิทธิ์จีนีเลวร้ายที่สุดในอาเซียน)ก่อให้เกิดความขัดแย้งร้าวลึก และความตึงเครียดในสังคมไทยอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เรากลับต้องเผชิญกับการรัฐประหาร ที่ทำให้โอกาสที่สังคมไทยจะแก้ปัญหานี้โดยสงบเป็นไปไม่ได้เอาเลย


เผยแพร่ครั้งแรกใน: มติชนรายวัน 19 มกราคม 2558

IPU จี้ สนช.สอบคุมตัว 'พิชัย-การุณ-จาตุรนต์'


เลขาธิการสหภาพรัฐสภา ให้ สนช.เร่งตรวจสอบกรณี คสช.คุมตัวอดีตสมาชิกรัฐสภา 3 ราย คือ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ นายการุณ โหสกุล และนายจาตุรนต์ฉายแสง และรายงานผลภายในเดือนมกราคม ปีหน้า
    
เว็บไซต์ตามติดภารกิจ สนช. รายงานว่า ในโอกาสที่ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. พร้อมคณะผู้แทนไทยเป็นหัวหน้าคณะผู้แทน สนช. เข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา หรือ IPU ที่นครเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ในโอกาสนี้ คณะผู้แทนไทย ได้เข้าพบ นายมาร์ติน จุนกอง เลขาธิการสหภาพรัฐสภา เพื่อชี้แจงสถานการณ์การเมืองและโรดแมป คสช.
เลขาธิการสหภาพรัฐสภา เสนอให้ สนช.เร่งตรวจสอบกรณี คสช.ควบคุมตัวนายการุณ โหสกุล  นายจาตุรนต์ ฉายแสง  และนายพิชัย นริพทะพันธุ์ ไปปรับทัศนคติ ตามข้อร้องเรียนของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล โดยให้รายงานผลการตรวจสอบต่อสหภาพรัฐสภา ก่อนการประชุมคณะกรรมาธิการครั้งต่อไปในเดือน มกราคม ปีหน้า
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเด็นที่เลขาธิการสหภาพรัฐสภาขอให้ สนช.ตรวจสอบกรณี คสช.คุมตัวผู้เห็นต่างนั้น  เว็บไซต์ตามติดภารกิจ สนช. ได้ลบเนื้อหาส่วนนี้ออกไป หลังจากโพสต์ได้เพียงไม่นาน

ทูตอังกฤษบอก “ประหลาดใจ” ที่ได้อ่านรายงานข่าวใน The Nation ของกวี จงกิจถาวร

ทูตอังกฤษบอก “ประหลาดใจ” ที่ได้อ่านรายงานข่าวใน The Nation ของกวี จงกิจถาวร ที่บอกว่า การมาเยือนเมืองไทยของพลเรือโท Simon Ancona จากอังกฤษ เป็นเรื่องน่าเฉลิมฉลองทางการทูต (“diplomatic jamboree”) เพราะแสดงถึงความปรารถนาที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับไทย หลังการรัฐประหารเมื่อปีที่แล้ว แต่ Mark Kent ทูตอังกฤษบอกในทวิตว่า นายทหารท่านนี้มาเยือนเมืองไทย เพราะเขาเชิญมาเอง ไม่ได้มาเพราะรัฐบาลไทยเชิญไปสักหน่อย สื่อสลิ่มทำงานอย่างเข้มแข็งเหมือนเดิม “กวี” นี่ไม่ใช่นักข่าวเด็ก ๆ แล้วนะ หุหุ
ทวิตของทูตอังกฤษhttps://twitter.com/KentBKK/status/655990395340361730
ข่าวใน The Nation ที่กวี จงกิจถาวรเขียนhttp://www.nationmultimedia.com/…/Welcome-to-Thailands-dipl…

ครม.เห็นชอบปรับปรุงพ.ร.บ.มั่นคงยุค “จอมพลสฤษดิ์” หลังใช้มานาน 56 ปี

วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558 มติชน

ครม.เห็นชอบปรับปรุงพ.ร.บ.มั่นคงยุค “จอมพลสฤษดิ์” หลังใช้มานาน 56 ปี “วิษณุ” ให้เหตุผลมิติมั่นคงเปลี่ยนไป เพิ่มฝ่ายวิชาการ-ศก.-การเมืองในโครงสร้าง พร้อมทำแผนมั่นคงคล้ายแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ เป็นแนวทางให้ทุกกระทรวงปฏิบัติ
http://www.matichon.co.th/online/2015/10/14453382381445338280l.jpg
เมื่อเวลา 14.40 น. วันที่ 20 ตุลาคม ที่ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ตามที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีได้อธิบายในที่ประชุมเกี่ยวกับพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สภาความมั่นคงแห่งชาติที่ใช้มาตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี รวมระยะเวลากว่า 56 ปี โดยมีการปรับแก้ไขครั้งล่าสุดเมื่อ 50 ปีที่แล้ว แต่วันนี้มิติด้านความมั่นคงเปลี่ยนแปลงไป จึงมีการปรับแก้ไขให้มีความทันสมัยกับสถานการณ์ อาทิ การแก้ไขโครงสร้างความมั่นคงที่ผ่านมามีแต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอย่างเดียว แต่จะเพิ่มคณะกรรมการที่เป็นฝ่ายนักวิชาการ ฝ่ายเศรษฐกิจเข้าไปด้วย เพราะปัจจุบันมิติความมั่นคงเกี่ยวข้องกับสังคม การเมือง เศรษฐกิจและภาควิชาการ

พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า จะมีการจัดตั้งสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเพื่อจะทำแผนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงนำเสนอต่อสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) และครม.ออกมาเป็นแผนลักษณะเหมือนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องจะต้องนำแผนดังกล่าวไปดำเนินการให้สอดคล้องกับการบริหารราชการแผ่นดินด้วยซึ่งในที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามร่างพ.ร.บ.ฉบับแก้ไขดังกล่าว

‘นายกฯ’บอกจากนี้ไปมีเรื่องสำคัญถึงจะพูด



‘นายกฯ’บอกจากนี้ไปมีเรื่องสำคัญถึงจะพูด

‘นายกฯ’บอกจากนี้ไปมีเรื่องสำคัญถึงจะพูด

“นายกฯ”บอกจากนี้ไปมีเรื่องสำคัญถึงจะพูด แจงไม่ใช่ยุทธศาสตร์ใหม่ แต่เพื่อลดความขัดแย้ง

 
 
 
          วันที่ 20 ตุลาคม 2558 เมื่อเวลา 09.00 น. ก่อนกาปรระชุม ครม. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุที่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยมีภารกิจทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้าอย่างเดียว ว่า “ทำไม แล้วผมไม่ทำงานหรืออย่างไร”
 
          ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นยุทธศาสตร์ในการที่จะให้สัมภาษณ์ใหม่กับสื่อมวลชนหรือไม่ พล.อ .ประยุทธ์ กล่าวปฏิเสธว่า “ผมไม่มียุทธศาสตร์ แต่ผมอยากพูดเมื่อไหร่ผมก็จะพูด แต่ที่ต้องหยุดก็เพราะว่าผมไม่อยากพูดไง”
 
          ผู้สื่อข่าวบอกกับนายกฯ ว่า ไม่พูดนานๆ ประชาชนคงคิดถึง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า“ผมคิดถึงเค้ากว่าที่เค้าคิดถึงผมอีก แต่ต่อไปเรื่องสำคัญๆ ผมก็จะพูด ไม่สำคัญก็จะไม่พูด ไม่เพิ่มความขัดแย้งเพราะความขัดแย้งตอนนี้มีเยอะอยู่แล้ว ขออย่าไปเริ่มกันนักเลย เพราะทุกอย่างจะเดินหน้าไม่ได้นะ”
 
          เมื่อถามว่า จากนี้ไปจะลดการให้สัมภาษณ์ลงใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตอบคำถามดังกล่าว




“บิ๊กตู่” โชว์พลังแข้งมวยไชยา ก่อนประชุม ครม.
 
          โดยก่อนการประชุม กระทรวงวัฒนธรรม โดยนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม ได้นำศิลปินดาราเข้าพบ  พล.อ.ปรยุทธ์  เพื่อรณรงค์กิจกรรมเนื่องในปีรณรงค์ความเป็นไทย ผ่านโครงการชู 3 ระดับ วิถีท้องถิ่น วิถีไทย วัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมอาเซียน และมรดกไทย มรดกโลก เพื่อเสริมสร้างความเป็นไทยสู่ประชาชน ประเทศอาเซียน และประเทศทั่วโลกผ่านกิจกรรมต่างๆ

          มี พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาปกรณ์ รองนายกรัฐมนตรี และนางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมรณรงค์ ซึ่งระหว่างการเยี่ยมชม อาจารย์แม่มาตา เทวลัยองค์พระบิดา มารดาศรีมหากาลี มอบพระสารีริกธาตุให้กับนายกรัฐมนตรี จุดประสงค์อยากให้นายกฯและคนทั้งประเทศ เป็นประเทศที่มีบุญที่สุดในโลก อยากให้ส่งเสริมเรื่องของพุทธศาสนา ซึ่งนายกรัฐมนตรีระบุว่าจะเก็บรักษาไว้ที่ทำเนียบรัฐบาล
 
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฯ ได้แนะนำเรื่องของการเรียนรู้วัฒนธรรมโบราณกับความเป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยนายกฯแนะนำว่า ในเรื่องของ“ธงกฐิน”หลายคนอาจยังไม่รู้จักและไม่เข้าใจความหมาย อยากให้ช่วยกันอนุรักษ์ และฟื้นฟูให้ทุกคนได้มีความเข้าใจเพราะไม่เช่นนั้นอาจจะสูญหายไปได้ ก็ขอให้ทุกคนได้ช่วยกัน  และนายกฯ ได้เยี่ยมชมซุ้มมารยาทไทย อาหารไทยท้องถิ่น การใช้ผ้าไทยผ้าถิ่น การใช้ภาษาท้องถิ่น การส่งเสริมภาพยนต์ไทย ภูมิปัญญาไทย กิจกรรมประเพณีการแสดงเพลงฉ่อยของชาวมอญ ขนมไทยโบราณ และศิลปมวยไทยไชยา หรือมวยคาดเชือก โดยหลังชมศิลปมวยไทยไชยา พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้ออกลีลาแม่ไม้มวยไทย“เหวี่ยงแข้งไชยยา”หรือการเตะตัดเข้ากระเดียดน้ำ ( บั้นเอว) ใส่นักมวย เพื่อโชว์สื่อมวลชนเรียกฮือฮาด้วย พร้อมระบุว่าวิชาศิลปมวยไทยแบบนี้ควรจะให้กระทรวงศึกษาธิการบรรจุในภาคบ่ายให้กับนักเรียนหลังที่เลิกเรียนทางวิชาการแล้ว เพื่อที่นักเรียนคนใดสนใจจะได้ศึกษาเพิ่มเติม
 
          ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งหลังแนะนำให้ทุกคนช่วยกันรักษาและฟื้นฟูศิลปว่า“ทำอะไรก็แล้วแต่อย่าให้เป็นภาระ” ว่า จะทำอะไรในการณรงค์ก็ต้องให้ประชาชนทำด้วยความสมัครใจ อย่างเช่นของการแต่งกายแบบไทยๆนั้น ที่ผ่านมาก็ไม่ได้บังคับ แต่เป็นการขอร้องว่าใครทำได้ก็ทำ มีก็ใส่ไม่มีก็ไม่ต้องใส่ อย่ามาเถียงกันให้เกิดความเสียหาย

ปิดตำนาน5เสือกองสลาก "บิ๊กแดง"ไม่ต่อโควต้าให้! | เดลินิวส์

เดลินิวส์ 20/10/58

เมื่อวันที่ 20 ต.ค. ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ประธานคณะกรรมการสลากฯ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการสลากฯ มีมติเห็นชอบไม่ต่ออายุสัญญารับสลากฯ ไปจำหน่าย (โควตาสลากฯ) กับนิติบุคคลทั้งหมด รวมทั้งองค์กร หรือมูลนิธิต่าง ๆ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้พิการ รวมทั้งสิ้นกว่า 2,495 แห่ง รวมทั้งสิ้น 15.8 ล้านฉบับ หรือคิดเป็น 7.9 ล้านคู่ โดยให้มีผลตั้งแต่งวดวันที่ 1 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป และส่งผลให้ต่อจากนี้ไป จะไม่มี 5 เสือ หรือเรียกได้ว่า เป็นการอวสานปิดตำนาน 5 เสือลงทันที 

ทั้งนี้ การไม่ต่ออายุโควตาสลากฯ ให้นิติบุคคลทั้งหมด รวมทั้งองค์กร หรือ มูลนิธิต่าง ๆ เนื่องจากสำนักงานสลากฯ ต้องการนำส่วนดังกล่าวเข้ามาสู่โครงการสั่งซื้อ-สั่งจองสลากฯ ล่วงหน้า เพื่อให้เป็นการดำเนินงานตามแผนงานระยะที่ 2 (โรดแมประยะที่ 2) เพราะต้องการแก้ปัญหาการขายสลากฯ เกินราคาที่เอาเปรียบสังคมมาเป็นเวลานาน ซึ่งจะช่วยให้สลากฯ กระจายให้กับผู้ค้ารายย่อยมากที่สุด และประชาชนก็จะซื้อสลากฯ ได้ในราคาคู่ละ 80 บาท ตามนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่ตั้งเป้าหมายไว้ 

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลรายงานบรรยากาศโครงการสั่งซื้อ-สั่งจองสลากฯ ล่วงหน้า ทั้งวันที่ 3 ต.ค.และวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา พบว่ามีประชาชนให้ความสนใจจำนวนมาก โดยมีการทำธุรกรรมของโครงการดังกล่าวผ่านระบบเน็ตแบงก์ ของธนาคารกรุงไทย เพิ่มขึ้น ส่งผลให้สลากฯ ในระบบทั้งสั่งซื้อ-สั่งจองสลากฯ ล่วงหน้าหมดลงอย่างรวดเร็ว เพราะเกิดจากการปรับตัวและการเปลี่ยนแปลงของประชาชนในการทำธุรกรรมผ่านอินเทอร์เน็ตมากขึ้น "สำนักงานสลากฯ ยืนยันว่าจะไม่พิมพ์สลากเพิ่ม เกินกว่าความสามารถในการพิมพ์แต่ละงวดอยู่ที่ 100 ล้านฉบับหรือคิดเป็น 50 ล้านคู่ เนื่องจากการไม่ต่ออายุสัญญาดังกล่าวจะทำให้ประชาชน เข้ามาจองสลากฯ ล่วงหน้าจากเดิมที่จองได้งวดละ 26 ล้านฉบับ หรือคิดเป็น 13 ล้านคู่ เพิ่มขึ้นเป็น 41.8 ล้านฉบับ หรือคิดเป็น 20.9 ล้านคู่ ประกอบกับนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ไม่ต้องการให้มุ่งเน้นเสี่ยงโชคการ พนันมากเกินไป โดยเชื่อว่าการดำเนินงานดังกล่าว ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง เพื่อให้กลไกของตลาดสลากฯ ออกฤทธิ์ และปรับตัวได้อย่างสมบูรณ์"พล.ท.อภิรัชต์กล่าว 

พล.ท.อภิรัชต์ กล่าวว่า ไม่กังวลว่าจะถูกนิติบุคคล องค์กร หรือ มูลนิธิต่าง ๆ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนพิการเข้ามาฟ้องร้อง เนื่องจากได้ดำเนินตามสัญญาที่ทำไว้ร่วมกัน เมื่อหมดสัญญา สำนักงานสลากฯ จึงมีสิทธิ์ที่จะคัดสรรสลากฯ ใหม่ ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการกระจายสลากฯให้กับผู้ค้ารายย่อย และประชาชนสามารถซื้อได้ในราคาคู่ละ 80 บาท โดยยอมรับว่าพนักงานสลากฯ บางส่วนอาจไม่พอใจบ้าง แต่ที่ผ่านมาได้หารือกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีแล้ว ว่าจะปรับฐานเงินเดือน และโบนัสให้กับเจ้าหน้าที่ พนักงาน ทุกราย เพื่อทดแทนสวัสดิการเดิมที่หายไป ขณะที่ การเปิดจำหน่ายผ่านออนไลน์ ยังไม่พร้อมที่จะดำเนินการ เพราะต้องการดูผู้ค้าสลากฯ รายย่อยก่อน 

พล.ต.ฉลองรัฐ นาคอาทิตย์ ผู้อำนวยการสลากฯ กล่าวว่า กระบวนการและระยะเวลาตามมติที่คณะกรรมการไม่ต่อโควตาสลากฯ นั้น ส่งผลให้ต้องปรับลดสัดส่วนการพิมพ์ใหม่ เนื่องจากปัจจุบันสำนักสลากฯ ได้พิมพ์สลากฯ สูงสุดแต่ละงวดไว้ที่ 100 ล้านฉบับ หรือคิดเป็น 50 ล้านคู่ แบ่งเป็น ระบบโควตา 74 ล้านฉบับ หรือคิดเป็น 37 ล้านคู่ และดำเนินการผ่านโครงการสั่งซื้อ-สั่งจองสลากฯ ล่วงหน้า 26 ล้านฉบับ หรือคิดเป็น 13 ล้านคู่ เมื่อการยกเลิกโควตาสลากฯ นิติบุคคล องค์กร หรือมูลนิธิต่าง ๆ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนพิการมีผลบังคับใช้ จะทำให้งวดวันที่ 17 ธ.ค. มีสลากฯ สั่งซื้อ 7.9 ล้านคู่ และสั่งจองงวดวันที่ 30 ธ.ค. มีสลากฯ เปิดให้จองได้กว่า 41.8 ล้านฉบับ หรือคิดเป็น 20.9 ล้านคู่ ซึ่งประชาชนสามารถเข้ามาสั่งซื้อ-สั่งจองสลากฯ ได้เพิ่มขึ้น 

ทั้งนี้ สำนักงานสลากฯ จะประเมินผลการดำเนินงานตามมติของคณะกรรมการอีกครั้ง โดยให้เวลา 3 เดือน หรือการจำหน่ายสลากฯ 3 งวด ซึ่งจะครบในเดือน ม.ค.59 ก่อนที่นำมาประเมินอีกครั้งว่า แนวทางดังกล่าวได้ผลที่น่าพอใจหรือไม่ แต่เบื้องต้นมองว่าการไม่ต่อสัญญาจะช่วยให้สลากฯ ในระบบเกิดความเท่าเทียมกัน เพราะดำเนินการผ่านโครงการสั่งซื้อ-สั่งจองสลากฯ อย่างยุติธรรม 

รายงานข่าวจากสำนักงานสลากฯ กล่าวว่า สำหรับ 5 เสือจะเป็นชื่อเรียกในอดีต แต่ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ 3 เสือ หรือนิติบุคคล 3 รายใหญ่เท่านั้น ประกอบด้วย บริษัท สลากมหาลาภ จำกัด, บริษัท หยาดน้ำเพ็ชร และห้างหุ้นส่วนขวัญฤดี ที่มีบทบาทในสลากฯ มาเป็นเวลานาน“

อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/economic/355624

บิ๊กหมู สั่งปรับโครงสร้าง สายการบังคับบัญชา ศูนย์ปรองดองฯ คุมเอง

บิ๊กแกละ พลเอกพิสิทธิ์ สิทธิสาร เสธ.ทบ.และเลขาธิการ กอ.รมน.เผย พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบทบ.และเลขาฯคสช. คุมเอง ศูนย์ปรองดอง คสช. สั่งปรับโครงสร้างใหม่ ให้ศูนย์ปรองดองฯขึ้นตรงกับเลขาฯคสช. จากเดิมที่ขึ้นตรงกับ ปลัดกลาโหม และแต่งตั้งให้ พลโทจีรพันธุ์ มาลีแก้ว รองเสธ.ทบ.เป็น ผอ.ศปป. โดยทำงานร่วมกับศูนย์ดำรงธรรม ของมหาดไทย อย่างใกล้ชิด
พร้อมเผย คสช.ส่งทหาร และนศ.รด.ลงพื้นที่ หมู่บ้านทั่วประเทศทำความเข้าใจกับ พ่อแม่ คนในครอบครัว และชาวบ้านเรื่องการทำนา ฤดูน้ำน้อย-การร่าง รธน. และขอให้ นักเรียนนายร้อย จปร. นักเรียนพยาบาล ช่วยชี้แจงกับเพื่อน ญาติ คนวัยเดียวกัน
พร้อมขอร้องนักศึกษาอย่าออกมาเคลื่อนไหว สร้างคยามลำบากรัฐบาล ให้โอกาสรัฐบาลทำงาน และให้ใช้ช่องทางแสดงความเห็นที่ รัฐบาลและคสช.เปิดไว้ให้

สื่อฯสหรัฐฯและตะวันตกเฉยๆกับข่าวทางการตุรกีรายงานว่าพบค่ายฝึกไอซิสเด็กในเมืองอิสตันบูลประเทศตุรกี

-------------
วันนี้ (20 ต.ค.58) สำนักข่าว Hurriyet Daily News พาดหัวข่าวเรื่องหนึ่งว่า "พบค่ายฝึกผู้ก่อการร้ายไอซิสรุ่นเด็กในเมืองอิสตัสบูล - รายงาน" (ISIL child training camp discovered in Istanbul: Report) และ Sputnik news ของรัสเซียพาดหัวข่าวว่า "ทะลายค่ายฝึกไอซิสเด็กในอิสตันบูล" (ISIL Child Training Camp Busted in Istanbul) ข่าวเดียวกันนะครับ แต่เช็กดูเบื้องต้นจาก google ยังไม่เห็น สื่อฯกระแสหลักของฝั่งสหรัฐฯและตะวันตกลงข่าวนี้เลย 

นั่นไม่ได้หมายความว่าข่าวนี้ไม่น่าเชื่อถือนะ เขาจะลงหรือไม่นั่นเป็นเรื่องของเขา แต่เมื่อสื่อฯตุรกีและสื่อฯกระแสหลักของรัสเซียลงข่าวนี้เราก็เอามาเล่าให้ฟัง Hurriyet Daily News ไม่ได้อ้างถึงแหล่งข่าวจากฝ่่ายใด บอกแต่เพียงว่าเป็นรายงานข่าว และเมื่อตรวจดูแล้ว Hurriyet Daily News เอาข่าวนี้มาจากหนังสือพิมพ์รายวัน Vatan ของตุรกีอีกทีหนึ่ง แต่สื่อฯรัสเซียลงแหล่งข่าวให้ด้วย ดังนั้นแอ็ดมินจึงเลือกที่จะแปลข่าวจาก Sputnik ให้แฟนเพจได้อ่านกันนะครับ แต่ถ้าใครสนใจแหล่งข่าวจากตุรกีก็สามารถเข้าไปอ่านได้เองจากลิ้งค์ข้างล่างที่อ้างอิงไว้ให้ด้วย

รายงานข่าวบอกว่า ตลอดช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจตุรกีได้นำกำลังหลายชุดเข้าจับกุมผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสมาชิกของกลุ่มก่อการร้ายไอซิสได้ 50 คน ทางการกล่าวโดยคร่าวๆว่า มีผู้ต้องสงสัยในจำนวนนี้ 24 คนกำลังฝึกเด็กให้รู้จักเอาชีวิตรอดตามกฎหมายของพวกไอซิสด้วย (กรรมหละสิครับท่าน! ซีไอเอของสหรัฐฯก็ฝึกพวกกบฏฝ่ายค้านสายกลางอยู่ในตุรกีไม่ใช่รึ? แล้วที่ผ่านมารอดหูรอดตาสหรัฐฯไปได้อย่างไร? และแล้วก็มีหลักฐานยืนยันแล้วว่าไอซิสได้ซึมเข้าไปอยู่ในตุรกีเรียบร้อยแล้ว จีนเคยเตือนตุรกีแล้วว่าถ้าเล่นกับไฟ ระวังไฟมันจะเผาไหม้ตัวเอง ที่แย่มากๆก็คือการฝึกเด็กให้เป็นผู้ก่อการร้ายนี่สิ)

เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ผ่าน เจ้าหน้าที่จากหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายกรมตำรวจอิสตันบูลได้บุกเข้าตรวจค้นบ้านเรือนจำนวน 17 หลัง ระหว่างปฏิบัติการ ทางการของตุรกีได้จับกุมบุคคลได้ 50 คน ทั้งหมดเป็นผู้ต้องสงสัยว่ามีการเชื่อมโยงกับขบวนการก่อการ้ายไอซิส และมี 13 คนที่ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุระเบิดพลีชีพในกรุงอังการาเมื่อต้นเดือนนี้ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 102 คน

ในการสืบสวนสอบสวนในครั้งนี้หน่วยต่อต้านการก่อการร้าย IPD ของตุรกียังกล่าวด้วยว่า จากข่าวกรองที่รวบรวมมาได้ซึ่งบ่งชี้ว่ามีผู้ต้องสงสัยหลายคนที่ถูกจับกุมในจำนวนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องในการล้างสมองเด็กด้วย (brainwashing children)

สำนักข่าว Hurriyet Daily News ของตุรกีรายงานว่า ผู้ต้องสงสัยจำนวน 24 คนได้ใช้ห้องใต้ดินในอพาร์ทเม้นท์ของพวกเขาเป็น "แคมป์ฝึกกลุ่มติดอาวุธ" โดยที่รายงานข่าวบอกว่า พวกเขาได้สอนกฎระเบียบเบื้องต้นของไอซิสเกี่ยวกับการมีดำรงค์ชีวิตในรัฐอิสลามให้กับพวกเด็กๆด้วย (…they reportedly "lectured children on the basics of ISIL as well as how to live in an Islamic state. คำว่า "รัฐอิสลาม" ในที่นี้รู้กันโดยทั่วไปว่าเป็นเมืองที่อยู่ในการควบคุมของกลุ่มก่อการร้ายไอซิส ไม่ใช่ประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามทั่วโลก)

รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า ผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับกุมได้เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นส่วนมากเป็นผู้ที่มีถิ่นฐานมาจาก Uzbek (Kazakhstan เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศเอเซียกลาง จากข่าวของรัสเซียที่มีมาอยู่เรื่อยๆก่อนหน้านี้เปิดเผยว่าผู้ก่อการร้ายไอซิสบางส่วนในซีเรียหรือตะวันออกกลางก็เดินทางไปจากกลุ่มประเทศเหล่านี้ด้วย) ในเดือนสิงหาคม กลุ่มก่อการร้ายอัลเคด้าซึ่งมีชื่อว่าขบวนการ Uzbekistan Islamic Movement ได้ให้ปฏิญาณว่าเป็นพันธมิตรกับกลุ่มก่อการร้ายไอซิส (จะชื่ออะไรก็พวกเดียวกันนั่นแหละ แต่ถ้าได้รับอาวุธและเงินทุนจากสหรัฐฯ สหรัฐฯจะตั้งชื่อให้พวกนี้ใหม่ว่าเป็น "กบฏสายกลาง" - Syrian moderate rebels) และหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (ของตุรกี?) คาดว่ามีกลุ่มหัวรุนแรงผู้ก่อการร้ายชาวอุซเบกประมาณ 5,000 กว่าคนกำลังต่อสู้ร่วมกับกลุ่มก่อการร้ายไอซิสในซีเรีย (แต่ไปฝึกในตุรกีนี่นะ? สหรัฐฯตอบได้ไหมครับว่าพวกนี้ก็เข้าฝึกในแคมป์ "กบฏสายกลาง" ของสหรัฐฯในตุรกีและประเทศต่างๆด้วย?)

รายงานข่าวยังบอกอีกว่า กรุงอังการาได้เริ่มทำลายขบวนการก่อการร้ายหลังจากที่เกิดเหตุระเบิด (พลีชีพ) เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา ตามรายงานของสำนักอัยยการสูงสุดของตุรกี (Turkey’s Chief Public Prosecutor’s office) บอกว่า หนึ่งในผู้ต้องสงสัยว่าเป็นมือระเบิดพลีชีพที่รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้มีการยืนยันแล้ว

สำนักข่าว Hurriyet ของตุรกีอ้างแถลงการณ์ของอัยยการว่า "หนึ่งในผู้ก่อเหตุระเบิดพลีชีพสองครั้งได้รับการยืนยันว่าเป็นนาย Yunus Emre Alagoz ส่วนมือระเบิดพลีชีพอีกคนซึ่งได้รับการยืนยันด้วยภาพถ่ายและจากการทดสอบหลายชิ้นกำลังนำไสู่การระบุตัว"

วันเดียวกันนี้ สำนักข่าว Hurriyet Daily News พาดหัวข่าวว่า "นายกรัฐมนตรีตุรกีกล่าวว่า: ได้มีการการยืนยันหนึ่งในมือระเบิด (พลีชีพ) ในกรุงอังการาแล้ว" (One Ankara bomber identified: Turkish PM) (ข่าวนี้สื่อฯตุรกียืนยัน นายกฯตุรกีก็ยืนยัน ด้วยการตรวจสอบ DNA)

นอกจากนี้แล้วรายงาข่าวยังบอกอีกว่า ระหว่างการบุกค้น เจ้าหน้าตำรวจได้พบคลังเก็บวัตถุระเบิดขนาดใหญ่ ซึ่งรวมทั้งระเบิด TNT หนัก 60 กิโลกรัมด้วย และมีสารแอมโมเนียมไนเตรทถึง 1,500 กิโลกรัม และเสื้อสำหรับใช้เป็นอุปกรณ์ (ก่อเหตุระเบิด) พลีชีพอีก 10 ตัว (ซ่องโจรชัดๆเลยนี่ อยู่ในตุรกี สมาชิกของนาโต้ และพันธมิตรของสหรัฐฯด้วยนะครับ)

"เฉลิม" มาเอง !! ปกป้อง "ยิ่งลักษณ์" ไม่ได้ละเว้นปฏิบัติหน้าที่คดีจำนำข้าว

"เฉลิม อยู่บำรุง" เข้าให้ถ้อยคำชี้แจงคดีจำนำข้าว ต่อคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด แจง "ยิ่งลักษณ์" ไม่ได้ละเว้นปฏิบัติหน้าที่

วันนี้ ( 20 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กระทรวงพาณิชย์เวลา 13.00 น. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้าให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดที่มีนายจิรชัย มูลทองโร่ย เป็นประธาน โดย ร.ต.อ.เฉลิม ได้นำเอกสารเกี่ยวมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในระหว่างการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวจำนวน 53 หน้าเข้ามามาชี้แจงและนำมาข่าวแก่ผู้สื่อข่าว

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวภายหลังการเข้าให้ถ้อยคำ ว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขณะที่เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ ทำให้เกิดความเสียหายต่อโครงการรับจำนำข้าวเพราะการกำหนดนโยบายได้ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.)อีกทั้งน.ส.ยิ่งลักษณ์ยังได้กำชับให้ระมัดระวังการดำเนินการให้มีการตรวจสอบทุกขั้นตอน และมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ มีตนเป็นประธานซึ่งได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและได้ดำเนินการจับกุมและดำเนินคดีผู้กระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ยืนยันว่าอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ มีความห่วงใยต่อโครงการจำนำข้าวแต่เมื่อเป็นนโยบายของพรรคที่ประกาศต่อรัฐสภาว่าจะใช้วิธีการรับจำนำข้าวก็ต้องดำเนินการ แต่ไม่ได้ปล่อยปะละเลย ประมาท เลินเล่ออย่างร้ายแรงและควรรอการคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมืองตัดสินก่อนว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์มีความผิดหรือไม่ก่อนที่จะกล่าวหา

นอกจากนี้ ในระหว่างการแถลงข่าวร.ต.อ.เฉลิม ได้ทวงถามถึงคดีฟ้องเรียกค่าเสียหายบริษัท ฟิลลิป มอร์ริสกรณีสำแดงเอกสารเท็จในการนำเข้าบุหรี่ซึ่งมีการสั่งฟ้องให้ชดใช้ความเสียหายให้กับรัฐ 80,000 ล้านบาทและอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งฟ้องแล้ว แต่ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ จนถึงขณะนี้โดยระบุว่า หากตนพบความไม่ชอบมาพากลในคดี จะขออนุญาตคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) แถลงข่าว โดยไม่เอาประเด็นทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อติดตามในเรื่องนี้ต่อไป

ประวัติของนายปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซีย : กับอนาคตของโลก ตอนที่ 5

By TRACHOO KANCHANASATITYA 

ความเดิมตอนที่แล้ว คลิก นายปูตินกำลังมีมุมคิดอยู่สามด้านครับ หนึ่งด้านคนที่รักเค้าเพราะเค้าสร้างความรุ่งเรื่องให้ประชาชน ด้านที่สองคือ คนเริ่มกังขาในความคิดของเค้าว่ากำลังทำอะไรจะเป็นประธานาธิบดีกันไปทำไมให้มันหลายสมัยเหลือเกิน และ ด้านที่สามคือ ความคิดของตัวเค้าเอง อันนี้สิครับที่สำคัญ 
บล็อกที่ 5 นี้ผมหวังว่าผู้อ่านจะไปคิดเอาเองว่า ด้านที่ 3 นี้มันเกี่ยวกับอะไรนะครับ 
หลังจากที่นายปูตินได้แสดงออกให้ผู้นำโลกตะวันตกได้รู้ว่า อย่ามาหวังว่าคนอย่างผมจะเดินตามเส้นทางที่พวกคุณขีดไว้ ระบอบประชาธิปไตยแบบของคุณมันไม่ใช่ทางของผมหรอก ถ้าอ่านมาตั้งแต่ต้นจะทราบว่าปรัชญาชีวิตของนายปูตินคือ นำความยิ่งใหญ่กลับมาให้รัสเซียอีกครั้ง เค้ารักความยิ่งใหญ่ของความเป็นสหภาพโซเวียตมาก รักการเป็น KGB มาก ต่อมาเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายและเค้าได้เข้ามาทำสิ่งที่เค้าฝัน เค้าจึงเดินหน้าอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม (ก็แหงล่ะครับ เค้าไม่ได้นับถือพราหมณ์) 
เมื่อเค้าได้ขึ้นตำแหน่งประธานาธิบดีแทนนายเยลต์ซินต์ สิ่งที่เค้าตอบแทนนายเก่าก็คือ ทำนิรโทษกรรมทุกอย่างให้กับนายเยลต์ซินทั้งหมดเพื่อให้สมกับที่ได้รับการคาดหวัง หลังจากนั้นก็ดำเนินนโยบายสร้างเศรษฐกิจที่ดีให้กับประเทศของเค้าประชาชนของเค้าห้วงแรกๆทางโลกยุโรปและอเมริกาก็มองเค้าในทางที่ไว้วางใจ 
นายปูตินส่งสายตาให้จอร์จ บุช เกิดความไว้วางใจ
นายปูตินส่งสายตาให้จอร์จ บุช เกิดความไว้วางใจ
ในปี 2001 ในการประชุมสุดยอดที่ Slovania ประธานาธิบดีจอร์ช บุช ถึงกับประกาศความไว้วางใจในตัวปูตินให้โลกรู้ว่า เป็นคนที่ไว้ใจได้ เค้าบอกว่าเค้ามองเข้าไปในตาของปูตินแล้วเค้าพบความน่าไว้วางใจ  “I looked the man in the eye. I found him to be very straight forward and trustworthy and we had a very good dialogue. I was able to get a sense of his soul. He’s a man deeply committed to his country and the best interests of his country and I appreciate very much the frank dialogue and that’s the beginning of a very constructive relationship,” Bush said.
นักวิจารณ์บอกว่า จอร์จ บุช ตกหลุมของนายปูตินเสียแล้ว เพราะนายปูตินถูกฝึกให้เป็นสายลับ เค้าสามารถแสดงสายตาได้หลายแบบเพื่อที่จะหลอกศัตรู วันนั้นเค้าแสดงสายตายที่ทำให้โลกตายใจในสิ่งที่เค้าเป็น และ สิ่งที่เค้าจะทำ นายปูตินทำให้อเมริกาคิดว่า สงครามเย็นจบลงแล้วและเป็นหน้าที่ของอเมริกาและรัสเซียที่จะรักษาสันติภาพของโลก
 แต่หลังจากนั้นอีกไม่นานในยุคสมัยของนายจอร์จ บุชนั้นเอง พวกเค้าเริ่มรู้สึกว่า ไม่ใช่แล้ว นายปูตินไม่ใช่คนอย่างที่เค้าคิดไว้ จากตอนแรกที่นายปูตินพยายามที่จะทำให้ผู้นำยุโรปต่างๆเห็นว่ารัสเซียอยากที่จะเป็นส่วนนึงของยุโรป เมื่อเรื่องราวกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือว่านายปูตินไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
วิกฤติการณ์ในยูเครน เป็นสิ่งที่สะท้อนความคิดของนายปูตินที่จะสร้างความย่ิงใหญ่ให้กับรัสเซียอีกครั้ง และ อเมริกาก็ไม่รอช้าที่จะเอาเหตุการณ์ในยูเครนมาสร้างภาพความเป็น”ผู้ร้าย”ให้กับนายปูตินทันทีครับ
ยูเครนอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซียเป็นสะพานไปสู่ยุโรป
ยูเครนอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซียเป็นสะพานไปสู่ยุโรป
เรื่องราวก็คือ เมื่อยุโรปเริ่มรู้ว่านายปูตินไม่ได้อยากจะเป็นส่วนนึงของยุโรปแล้ว สิ่งที่พวกเค้าร่วมกันทำคือลดความแข็งแกร่งของรัสเซียลงให้ได้ ด้วยการที่จะดึงยูเครนมาเป็นฝ่ายของยุโรปและลดอิทธิพลของนายปูตินในยูเครนลงให้ได้เพราะยูเครนคือสะพานที่เชื่อมรัสเซียกับยุโรปทั้งหมด
ทางอียูเสนอที่จะให้เงินกู้กับทางยูเครน แต่ประธานาธิบดี Viktor Yunikovych ที่มาจากสายรัสเซียไม่เอา(เพราะรัสเซียไม่ให้เอา) ประชาชนในยูเครนก็ลุกฮือขึ้นขับไล่ประธานาธิบดี นาย Yunikovych หนีออกจากประเทศ ชนชาวยูเครนเลยตั้งรัฐบาลขึ้นมาใหม่ และรัสเซียไม่ยอมรับรัฐบาลชุดนี้ แต่ในยูเครนก็ยังมีคนส่วนมากอีกส่วนนึงที่เป็นสายรัสเซีย ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันเลยเกิดวิกฤติการณ์ในยูเครนขึ้น รัสเซียแอบส่งทหารและอาวุธเข้าไปรบกับทหารของรัฐบาลที่ตั้งขึ้นหลังจากนาย Yunikovych บินหนีออกมา เกิดความวุ่นวายไปทั่วยูเครน
Euromaidan panoramic view taken from the top of the Revolution Christmas tree. December 8, 2013.
Euromaidan panoramic view taken from the top of the Revolution Christmas tree. December 8, 2013.
คราวนี้อเมริกาได้ที ก็เอาเรื่องนี้ประโคมไปทั่วโลกว่า นายปูตินรุกรานประเทศเพื่อนบ้านหวังให้พวกยุโรปคว่ำบาตรการค้ากับรัสเซีย ซึ่งพวกยุโรปต้องซื้อแก็ซธรรมชาติจากรัสเซีย พวกยุโรปก็ลังเลๆเพราะอากาศมันหนาว (555555555555 เลยทำเป็นเฉยๆไปก่อน) แต่ อเมริกาจะปล่อยให้ยุโรปทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้ เพราะเท่ากับว่า รัสเซียจะมีเงินจากการขายพลังงานเอามาต่อกรกับอเมริกาและทำศึกในยูเครนต่อไป เรื่องนี้อเมริกายอมไม่ได้เด็ดขาด จนกระทั่ง…………….
MH17 ตกลงในยูเครน ใครยิง?
MH17 ตกลงในยูเครน ใครยิง?
สายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ MH17 ถูกยิงตกในยูเครน ทันทีที่เครื่องบินตกข่าวสารจากโลกตะวันตกก็ออกมาทันทีว่า ทหารฝ่ายต่อต้านรัฐบาลยูเครนที่รัสเซียหนุนหลังเป็นคนยิง ข่าวคราวที่ออกมาเป็นแรงกดดันให้ยุโรปจะทำทองไม่รู้ร้อนไม่ได้แล้ว พวกยุโรปเลยต้องตัดสินใจคว่ำบาตรการค้ากับรัสเซีย (สังเกตุได้ว่า นักท่องเที่ยวชาวรัสเซียที่มาเมืองไทยหายไปทันทีกว่า 50% เพราะค่าเงินรูเบิลตกรูดลงมา 50% ออกมาเที่ยวกันไม่ไหว) แต่เรื่องนี้เป็นที่น่าสังเกตุว่า การที่เครื่องบินตกครั้งนี้ใครได้ประโยชน์ รัสเซียไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย คนที่ได้รับประโยชน์ก็คือ อเมริกาที่พยายามป้ายสีให้กับนายปูติน อันนี้จนวันนี้ก็ไม่มีใครออกมาพิสูจน์ว่า ใครเป็นคนยิงเครื่องบิน MH17 ลำนั้น แต่มีข่าวลือออกมาว่ามีภาพดาวเทียมที่รู้ว่า ใครเป็นคนยิงแล้ว อนิจจา คนพวกนี้เค้าเอาชีวิตคนมาต่อรองกันแบบนี้เลยหรือนี่
จากเหตุการณ์ในยูเครน โลกเริ่มสงสัยตัวนายปูตินขึ้นมา โลกเริ่มกลับมาใช้คำว่า สงครามเย็นกันอีกครั้ง อเมริกา และ รัสเซียกำลังกลับมาแข่งขันกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้รัสเซียไม่ได้มามือเปล่าดันมีเพื่อนซี้จากจีนที่พร้อมที่จะก้าวไปด้วยกัน เพราะจีนก็ถูกอเมริกากดดันไม่ให้มีอำนาจมากเกินไป หนทางที่จะสกัดจีนได้คือการสกัดเส้นทางน้ำมันที่จะวิ่งจากตะวันออกกลางไปยังจีน แต่ การที่รัสเซียมีแหล่งพลังงานเหลือเฟือ จีนจึงเห็นทางรอดของอนาคต อีกทั้งการร่วมมือกับรัสเซีย เท่ากับเป็นการกดดันอเมริกาได้ดีที่สุด
คู่ซี้ที่อเมริกากังวลใจ
คู่ซี้ที่อเมริกากังวลใจ
ขณะเดียวกันนายปูตินก็รู้ดีว่าเค้าต้องรักษา Popularity ไว้ให้ได้ทั้งภายในและภายนอกประเทศ การกดดันให้เศรษฐกิจของรัสเซียพังพินาศเป็นสูตรเก่าเล่ายี่ห้อของอเมริกาที่จะหวังสร้างให้เกิดการวุ่นวายในประเทศรัสเซียเพื่อยืมมือผู้คนในประเทศออกมาเดินต่อต้านนายปูติน แล้วอเมริกาก็จะเข้าไปทำเก๊กหล่อในประเทศรัสเซียอีกที แต่นายปูตินไม่ได้โง่ นายปูตินเริ่มแผนโปรยสเน่ห์ผู้นำรุ่นใหม่ หนุ่ม หล่อ แข็งแรง เพื่อสร้างความนิยมในตัวเองให้แตกต่างจากผู้นำที่ผ่านมาของสหภาพโซเวียต และเริ่มสร้างภาพว่า ที่รัสเซียแย่ทุกวันนี้ก็เพราะไอ้พวกยุโรปนี่แหละ ความนิยมในตัวเค้าในประเทศรัสเซียกับความโหดของเค้าในการจัดการกับฝ่ายตรงข้ามสยบสถานการณ์ได้ระดับนึงเลยทีเดียว
ผู้นำหนุ่ม แข็งแรง
ผู้นำหนุ่ม แข็งแรง
 นอกจากความนิยมภายในประเทศ เค้ายังต้องการมิตรประเทศอีกมากมายที่จะร่วมเป็นกลุ่มพลังต่อรองกับอเมริกา เค้ามองไปทั่วๆแล้วพบว่า ห้วงเวลาที่รัสเซียอ่อนแอ อเมริกาก็วางตัวเป็นตำรวจของโลกเข้าจุ้นกับกิจการภายในประเทศต่างๆทั่วโลกจนคนเริ่มเอือมระอา แต่ว่า ประเทศเหล่านั้นทำอะไรไม่ได้ ประเทศที่กำลังเซ็งๆกับอเมริกาเหล่านี้แหละ คือพันธมิตรชั้นดีของปูติน 
แสนยานุภาพของรัสเซียที่โลกตะลึง
แสนยานุภาพของรัสเซียที่โลกตะลึง
เมื่ออเมริกาหวังครองแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางแต่เพียงผู้เดียวด้วยการสร้าง ISIS ขึ้นมาเพื่อสร้างความวุ่นวายไปทั่วตะวันออกกลาง ถึงจุดๆนี้เป็นจุดที่ลงตัวพอดีเมื่อ ISIS ก้าวเข้าไปในซีเรีย นายปูตินมองเห็นโอกาส กระสุนนัดเดียวได้นก 4 ตัวคือ
  1. ได้ใจชาวตะวันออกกลางและชาวโลกที่เอือมระอาต่อพฤติกรรมของ ISIS เต็มทน
  2. ได้ใจคนทั่วโลกที่จะมีใครสักคนมาปราบตำรวจเถื่อนของโลกเสียที
  3. ซีเรียที่ติดกับทะเลเมดิเตอเรเนียน เป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญมาก การได้ซีเรียมาเป็นพวกเท่ากับเค้าจะมีท่าเรือในทะเลเมดิเตอเรเนียนไว้กดดันพวกนาโต้ได้อย่าง”เนียนๆ”
  4. สุดท้ายคือ การแสดงแสนยานุภาพของกองทัพรัสเซีย ที่ทำให้โลกเชื่อว่า รัสเซียไม่เป็นสองรองใคร ยิ่งการยิงขีปนาวุธจากเรือทะเลสาปแคสเปี้ยน บินๆเลี้ยวลัดเลาะเข้าถล่มรัง ISIS ในซีเรียที่ห่างออกไปถึง 1400 กิโลเมตร สร้างความซี้ดซ้าดให้กับผู้ที่ติดตามความทันสมัยของแสนยานุภาพของรัสเซียเป็นอย่างมากว่า ทำได้อย่างไร ไกลขนาดนี้และแม่นราวกับจับวาง (อเมริกาโดย CNN พยายามปล่อยข่าวว่า มีขีปนาวุธไปตกในอิหร่านมีคนล้มตาย แต่ ไม่มีหลักฐานเป็นภาพออกมา แถมอิหร่านก็ปฏิเสธข่าวด้วย หน้าที่ CNN เค้าหละครับ )
ปูตินถล่ม ISIS ในซีเรียด้วยขีปนาวุธจาก Caspian Sea
ปูตินถล่ม ISIS ในซีเรียด้วยขีปนาวุธจาก Caspian Sea
ศึกถล่ม ISIS ในซีเรียครั้งนี้ถึงใจพระเดชพระคุณผู้คนไปทั่วโลก รวมทั้งหลายๆคนในประเทศไทยไปด้วยเลย ถ้าวัดความนิยมในตัวของนายปูตินแล้วเชื่อว่า คะแนนความนิยมพุ่งกระฉูดไม่ว่าทางอเมริกาจะพยายามที่จะลดคะแนนลงด้วยแผนอะไรอย่างไรก็ตาม
ข่าวคราวที่น่าเชื่อถือว่า นายปูติน มีส่วนกับการคอรัปชั่น การกำจัดฝ่ายต่อต้านอย่างเหี้ยมโหด การรู้เห็นเป็นใจกับแก๊งอาชญากรรม และอื่นๆอีกมากมายหลายคดีพอจะมีมูล ทำให้เค้าต้องหาทางอยู่ในตำแหน่งไปอีกสักพักนึง ซึ่งเชื่อว่าเค้าคงจะเป็นไปจนถึงปี 2024 เป็นอย่างน้อย ระหว่างนี้เค้าคงต้องหาทางลงจากตำแหน่งอย่างสวยสดงดงามและที่สำคัญ รัสเซียจะต้องกลับมายิ่งใหญ่ให้ได้อีกครั้งในยุคของเค้า จนกว่าจะมีลูกน้องคนโปรดที่จะมาแทนและปกป้องเค้าจากการเช็คบิลย้อนหลังให้ได้สักคน ซึ่งตอนนี้ยังมองไม่เห็นใครสักที เค้าคงต้องอยู่ไปอีกนานพอควร
ปูตินกับการรักษาตำแหน่ง
เส้นทางการปกครองรัสเซียของนายปูตินมองไปข้างหน้าแล้วคงจะไม่ราบรื่น เพราะอเมริกาเองคงไม่อยากเห็นว่ามีใครสักคนที่แข็งแรงพอที่จะมาขวางทาง แถมจีนเองก็เข้าเป็นพวกกับรัสเซียในย่านตะวันออกนี้อย่างเด่นชัด หลายปีก่อนที่รัสเซียอ่อนแอ อเมริกาก็เข้าไปวุ่นวายสร้างกลุ่มหัวรุนแรงในอัฟกานิสถานเป็นกันชนไม่ให้รัสเซียแผ่อิทธิพลลงมาทางตะวันออกกลาง จากนี้ไปความคิดความอ่านของอเมริกาจะเปลี่ยนไป การถล่ม ISIS เด็กในคาถาของอเมริกาเป็นสิ่งบอกเหตุให้อเมริการู้ว่า รัสเซียจะไม่ทนอีกต่อไปนะจ๊ะ อย่ามาใช้มุกเดิมๆอีกขอร้อง
ด้วยความคาดหวังของนายปูตินเองเลยที่จะนำรัสเซียกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง เค้าจึงบริหารจัดการประเทศมาถึงจุดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าชายคนนึงที่ตกงานกลับบ้านเกิดจะกลายมาเป็นคนที่กำลังเปลี่ยนสมดุลย์ของโลกได้ในวันนี้ 
ขอจบบทความ 5 ตอนไว้เพียงเท่านี้ครับ ผมหวังว่า ความเข้าใจแนวคิดของนายปูติน จะทำให้ท่านพอมองเห็นเหตุการณ์ของโลกในอนาคตได้บ้างไม่มากก็น้อยครั