PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

ธีรชัย ธีรนาmธนานุบาล :คำเตือนแก่ กก ผจก ธนาคารทหารไทย

คำเตือนแก่ กก ผจก ธนาคารทหารไทย

วันนี้ กระทรวงการคลังล้มประมูลเงินกู้ 1.3 แสนล้านไปเรียบร้อยแล้ว

ในช่วงบ่าย ผมไปอัดเทปรายการที่ ทีวี เนชั่น บางนา ผมได้ติดตามผลการประมูลจากแบงค์พาณิชย์ต่างๆ ช่วงแรกนั้น ได้ข้อมูลว่า ธนาคารทหารไทยเป็นผู้ชนะประมูล จะเป็นผู้ให้กู้แก่รัฐบาลงวดแรก 2 หมื่นล้าน

ผมคาดว่ารัฐมนตรีคลังได้ตั้งความหวังไว้กับธนาคารทหารไทยมาก เพราะถึงแม้จะมีแบงค์ต่างประเทศเข้ามาถือหุ้นใหญ่ แต่ทางการก็ยังถือหุ้นอยู่ในธนาคารนี้เป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการคลัง จึงยังมีอิทธิพลในธนาคารนี้่พอสมควร

แต่การที่ธนาคารพาณิชย์จะให้กู้แก่รัฐบาลนั้น เขาต้องมีการพิจารณาความถูกต้องตามกฎหมายให้ถี่ถ้วน เพราะถ้าการกู้ผิดกฎหมาย แบงค๋ที่ให้กู้อาจจะไม่ได้รับชำระคืน หรือกว่าจะได้คืน ก็ต้องมีขบวนการทางกฎหมายยาวนาน ภาษานักบริหารความเสี่ยง เขาเรียกว่า Legal Risk หรือความเสี่ยงทางกฎหมาย

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่นของผู้ฝากเงิน และของสถาบันการเงินต่างประเทศ ที่ค้าขายกับแบงค์อีกด้วย

ถ้าผู้ฝากเงินเห็นพฤติกรรมว่า แบงค์ไม่ได้ยึดหลักการบริหารงานอย่างระมัดระวัง ผู้ฝากเงินอาจจะเร่งถอนเงินกัน ดังเกิดขึ้นแล้วที่ ธกส. และ แบงค์ออมสิน ความเสี่ยงนี้เรียกว่า Reputation Risk หรือความเสี่ยงทางชื่อเสียง

สุดท้าย ผู้บริหารยังจะมีสิทธิโดนผู้ถือหุ้นฟ้องคดีแพ่ง เป็นการส่วนตัวอีกด้วย โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นที่เป็นสถาบัน เช่น กองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

ผมขอถือโอกาสนี้ ให้ข้อมูลเพิ่มแก่ กก ผจก ธนาคารทหารไทย

วันนี้ ผมได้เห็นเอกสาร 2 ฉบับ ที่ชี้ชัดว่าแบงค์ใดที่ให้กู้แก่รัฐบาลนั้น มีความเสี่ยงมากกว่าที่คิด

หนึ่ง หนังสือจากกฤษฎีกาที่แสดงความเห็นว่ารัฐบาลสามารถกู้เงิน 1.3 แสนล้านได้ โดยไม่ขัดรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ใช้ความเห็นของ ** คณะกรรมการกฤษฎีกา ** แต่เป็นความเห็นของเลขากฤษฎีกาคนเดียว

และขั้นตอนการพิจารณาก็ไม่ได้สุขุมรอบคอบเท่าใด เพราะกระทรวงการคลังมีหนังสือถามไป ลงวันที่ 23 มกราคม 2557 กฤษฎีกาก็มีหนังสือตอบในวันเดียวกัน ลงวันที่ 23 มกราคม 2557 ด้วย

สอง ถึงแม้กฤษฎีกาจะได้มีความเห็นดังกล่าวก็ตาม แต่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง ก็ได้ตระหนักว่า การกู้เงินครั้งนี้ อาจจะผิดกฎหมาย

โดย ผอ. สบน. ได้ทำบันทึกถึงปลัดกระทรวง เพื่อส่งต่อรัฐมนตรี เตือนว่า

" การที่ กกต. มีความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงการกู้ยืมเงินโดยการปรับลดวงเงินกู้และค้ำประกันหนี้ของรัฐวิสาหกิจบางแห่ง และนำวงเงินมาเพิ่มให่แก่ ธกส. สำหรับนำมาใช้จ่ายในโครงการรับจำนำข้าวตามนโยบายของรัฐบาลนั้น อาจมีผลกระทบต่อความรับผิดชอบของคณะรัฐมนตรี หากมีการวินิจฉัยชี้ขาดโดยองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ต่อไปว่า การดำเนินการดังกล่าว อาจเป็นการฝ่าฝืนหรือละเมิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ อันอาจมีผลทำให้เกิดความรับผิดชอบในทางกฎหมายและในทางการเมืองตามมาได้ "

พูดเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ ดิฉันขอเตือนนะคะ ว่าศาลรัฐธรรมนู อาจจะตัดสินว่า การกู้ 1.3 แสนล้าน ผิดกฎหมาย และหากเป็นเช่นนี้ คณะรัฐมนตรีจะต้องติดคุกกันหมดนะคะ

และยังมีข้อเตือนเพิ่มเติมอีกว่า

" สบน. จึงมีข้อสังเกตว่า การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2557 สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือก (นาปี) ปีการผลิต 2556/ 2557 ตามมติคณะรัฐมนตรีข้างต้น อาจถูกวินิจฉัยชี้ขาด โดยองค์กรที่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญฯ ต่อไปได้ว่า การดำเนินการดังกล่าว ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 181 (3) หรืออาจถูกฟ้องดำเนินคดีได้ "

พูดเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ สบน. ขอเตือนว่า ข้าราชการกระทรวงคลัง ในการกู้ 1.3 แสนล้าน อาจจะมีความผิดมาตรา 181 (3) และอาจถูกฟ้องคดีด้วย นะคะ

สบน. จึงได้สรุปบันทึกราชการฉบับนี้ว่า

" จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา หากเห็นชอบ ขอได้โปรดนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณาทบทวน หรือสังการยืนยันต่อไป "

พูดเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ ดิฉันไม่อยากติดคุกแล้วค่ะ จึงขอเตือนให้รัฐมนตรีคลังทบทวน ควรเลิกการกู้ 1.3 แสนล้านเสียค่ะ แต่ถ้าท่านยังดื้อดึง ก็ขอเชิญให้ท่านสั่งการยืนยัน เพื่อท่านจะได้รับผิดชอบเต็มๆ และติดคุกแต่คนเดียวนะคะ ดิฉันขอไม่ไปด้วยนะคะ

ปลัดกระทรวงการคลัง (หรืออาจเป็นรองปลัดทำหน้าที่แทน) เสนอเรื่องต่อไปยังรัฐมนตรีคลัง " เรียนท่านรัฐมนตรี เพื่อโปรดพิจารณาทบทวน หรือสั่งการยืนยัน "

พูดเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ ผมก็ไม่เอาด้วยแล้วนะครับ ถ้าท่านไม่ยกเลิก ก็ขอให้ท่านเป็นผู้สั่งการ และติดคุกไปคนเดียวก็แล้วกัน

ท้ายบันทึก รัฐมนตรีคลังแทงเรื่อง ถึงรองปลัดกระทรวงการคลัง และ ผอ. สบน. โดยสั่งการยืนยันให้ข้าราชการดำเนินการกู้ 1.3 แสนล้านต่อไป

เป็นอันว่า ขณะนี้ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลัง เขาเปลี่ยนใจแล้ว

และเขาทำหลักฐานเพื่อวิงวอนให้รัฐมนตรีคลังฉุกคิดแล้ว

พูดง่ายๆ ก็คือ บัดนี้ เขาตระหนักกันแล้ว ว่าการกู้ 1.3 แสนล้านนี้ น่าจะผิดกฎหมาย

จึงขอให้ กก ผจก ธนาคารทหารไทยรับทราบข้อมูลนี้ไว้ด้วย เพราะแบงค์นี้มีแบงค์ต่างประเทศระดับใหญ่สุดของโลกถือหุ้นอยู่ด้วย

สำหรับแบงค์ระดับโลกเหล่านี้ เขาจะไม่สนใจกำไรที่อาจจะได้ หากมีความเสี่ยงแบบนี้

สำหรับแบงค์ระดับโลกเหล่านี้ เขาจะไม่ยินยอมให้มีการโอนอ่อนตามแรงกดดันทางการเมืองเด็ดขาด เขาจะเน้นรักษาชื่อเสียงไว้อย่างมั่นคง

ทหารVsตำรวจใครชักดาบก่อนได้เปรียบ?


สงครามเย็นระหว่าง ทหาร-ตำรวจ ในกรุงเทพ ตอนนี้คานกำลังกันน่าดูในช่วงสองสามวันนี้ กำลังพลอาวุธครบมือของตำรวจถือว่าเอาเข้ามากรุงเทพระดับหลักหมื่นนายแล้ว ยังไม่รวมที่ระดมเพิ่มทันทีจาก สน.ต่างๆในกรุงเทพและจังหวัดโดยรอบอีกหลายพันนาย ตอนนี้ถือว่าถ้าเทียบหมัดกำลังพลกันแล้วยกนี้ตำรวจนำทหารแบบอัตราต่อรองทิ้งขาด

แต่หมัดเด็ดของทหารที่โยกเข้ามาสองเดือนแล้วคือชุดรถหุ้มเกราะเบา BRT, REVA, Type85 ที่ทหารเอาเข้ากรุงเทพมาเดือนที่แล้วที่ใช้ในการสวนสนามและส่วนหนึ่งเอาเข้ามาจอดวันเด็กในที่ต่างๆ แต่ถึงวันนี้ทหารก็ยังไม่เอากลับหน่วยยังคงค้างในกรุงเทพไม่ได้ไปไหน ถือว่าเป็นหนามตำใจรัฐบาลอย่างยิ่ง เพราะบิ๊กตู่สั่งชั่วโมงเดียวทหารก็วิ่งออกมาประจำจุดได้ทั่วกรุงเทพ คนน้อยแต่อาวุธหนักถือว่าพลิกเกมส์กลับได้สบายๆ ทหารกำลังพลสามพันนายก็กวาดตำรวจหลักหมื่นได้ไม่ยาก

ส่วนรถห้มเกราะหนักของ ทบ.ไม่อยากจะนับรวมด้วยเลย เพราะถือว่ามวยรุ่นใหญ่เอามายิงในกรุงเทพครั้งสุดท้ายคือกบฎหม่องสัณห์ จิตรปฏิมา ครั้งนั้นปืนใหญ่ 105mm ของ M60 คำรามยิงล้มเสาส่งวิทยุจากลานพระรูปฮือฮาทั้งกรุงเทพ ก่อนหน้านั้นก็เคยเอามาถล่มราชดำเนินครั้ง 14 ตุลาปี 16 แต่ครั้งนี้ ทบ.มีซุกในกรุงเทพไว้ฝูงหนึ่ง เอาแค่รถถังรุ่นเก่าปู่ๆแบบ M60 A1 หรือ M48 A5 ให้เด็กปีนเล่นวันเด็กก็ถือว่าเกินพอแล้วในบรรดากำลังที่ซุกไว้ในกรุงเทพ

เมื่อวานกับวันนี้ตำรวจได้สั่งการไปยัง ตชด.เคลื่อนกำลังรถหุ้มเกราะล้อยางขนาดเบา V-150 RPG-7 ออกมาจากที่ตั้งชายแดนเขมรเข้ากรุงเทพมาหนึ่งชุด และวันนี้คาดว่าจะเข้ามาอีกชุดรวมแล้วสองชุดที่เอาเข้ามาประมาณ 20คัน เข้ามาแบบเงียบๆไม่มีการออกข่าวให้ชาวบ้านรู้แบบทหาร แต่มันไม่รอดสายตาของคนหรอกเพราะอย่างไรก็ต้องวิ่งบนถนนเข้ามาในกรุงเทพ

อาวุธของ V150 ที่ใช้กับ ตชด. ป้อมปืน .50cal กับ MG3 ถือว่าเล็กระดับเด็กเล่นถ้าเป็นการใช้ในสงครามเต็มรูปแบบ แต่ถ้าในสงครามกลางเมืองมันคืออาวุธหนักที่เหลือจะพอที่จะซัดกับอะไรก็ได้ที่วิ่งบนถนนทุกรูปแบบ ไอ้ปืน .50 เพียงนัดเดียวมันระเบิดเครื่องยนต์รถเทลเลอร์กระจายเหมือนแตงโมงตกพื้น เข้าห้องเครื่องยนต์กังหันไอพ่นของ ฮ. ทุกรุ่นก็กระจายร่วงทันที LAV ทุกรุ่นของทหารก็ต้องคิดหนักเหมือนกันถ้าเจอกับกระสุนเจาะเกราะขนาด .50

แต่ที่เด็ดก็คือ V150 RPG-7 คือรถหุ้มเกราะเบาของตำรวจที่ติดอาวุธหนักระดับทหารใช้ รุ่นนี้นี่มันเอาเข้ามาปราบรถถังโดยเฉพาะ เอาไอ้รุ่นนี้เข้ามาในกรุงเทพเหมือนเปิดหน้าชกกับทหารเห็นๆ

งานนี้ห้ามกระพริบตา ซามูไรกล่าวว่าใครชักดาบก่อนได้เปรียบ

เครดิตภาพ Markrura
///ขอบคุณข้อมูลจากคุณ Von Richthofen


"ชัชชาติ" โพสต์ยกย่อง 2 สาว หลังฝ่าม็อบใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้า 2557

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ โพสต์เฟซบุ๊กยกย่อง 2 สาว ฝ่าวงล้อมผู้ชุมนุมรักษาสิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้า 2557 ว่าเป็นผู้ที่ไปใช้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี

วันนี้ (30 มกราคม 2557) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้โพสต์ภาพลงใน เฟซบุ๊ก ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ โดยขอยกย่องผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี 2 คน คือ คุณสุวินันท์ ชัยปราโมทย์ สาวที่ปีนรั้วขอใช้สิทธิเลือกตั้ง และคุณพิจาริณี รัตนชำนอง สาวที่ถือไฟฉาย สัญลักษณ์ของแสงสว่าง ท่ามกลางความมืดมน ที่พยายามฝ่าวงล้อมผู้ชุมนุมไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของระบอบประชาธิปไตย

สำหรับข้อความบนเฟซบุ๊ก ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ มีใจความดังนี้

ที่ผ่านมา มีคนตั้งฉายาผมขำ ๆ ว่า รัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี แต่จากเหตุการณ์เลือกตั้งล่วงหน้าที่ผ่านมา ผมขอบอกว่า ความแข็งแกร่งของผม เทียบไม่ได้เลย กับความแข็งแกร่งของผู้หญิงสองท่าน ที่ผมขอเรียกว่า "ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี" คือ คุณสุวินันท์ ชัยปราโมทย์ สาวที่ปีนรั้วขอใช้สิทธิเลือกตั้ง และ คุณพิจาริณี รัตนชำนอง สาวที่ถือไฟฉาย สัญลักษณ์ของแสงสว่าง ท่ามกลางความมืดมน ที่พยายามฝ่าวงล้อมผู้ชุมนุมไปใช้สิทธิ์

ไม่สำคัญว่าท่านทั้งสองเลือกพรรคไหน หรือกา No Vote แต่ที่สำคัญคือ ท่านได้รักษาสิทธิ์ในการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของระบอบประชาธิปไตย

ผมขอคารวะ ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี ทั้งสองท่านอย่างเต็มหัวใจครับ


'อภิสิทธิ์' ยกหลักสิทธิส่วนบุคคล ลงคะแนนเลือกตั้ง

"..เป็นสิทธิเฉพาะตัว เป็นสิทธิเลือกตั้ง มันเป็นของบุคคล พรรคไม่มีหน้าที่ไปสั่งบอกว่าเขาจะต้องทำอย่างไร เขามีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและเป็นสิทธิของเขา
แต่ถ้าเขาไม่ไปใช้สิทธิแล้วก็มันไปเข้าเงื่อนไขกฏหมายที่ถูกตัดสิทธิเขาก็ต้องยอมรับ อันนี้คือสิ่งที่เป็นหลักนะครับ"

- อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, 30 ม.ค.57
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการใช้สิทธิ์เลือกตั้งวันที 2 ก.พ.นี้
ที่มา : 'อภิสิทธิ์' ยกหลักสิทธิส่วนบุคคล ลงคะแนนเลือกตั้งhttp://news.voicetv.co.th/democracycrisis/95763.html


วัดอุณหภูมิประท้วงล่าสุด ยูเครน, เขมร เทียบกับไทย

การเมือง : ทัศนะวิจารณ์
วันที่ 30 มกราคม 2557 01:00
กาแฟดำ

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

เกาะติดวิกฤติทางการเมืองบ้านเราเองยังไม่พอ ต้องเหลียวหลังแลหน้า การประท้วงยืดเยื้อเคียงคู่กับของไทย คือ ที่ ยูเครน และ กัมพูชา พร้อมกันไปด้วย

เพราะว่ามีทั้งบทเรียน ประสบการณ์ และความคิดคำนึงที่ควรจะแลกเปลี่ยนกันในหมู่ประชาชน เพื่อแสวงหา “ทางออก” ให้บ้านเมือง ในยามที่ผู้คนออกมาต่อต้านรัฐบาลกันอย่างกว้างขวางเกือบทุกมุมโลก

ข่าวล่าสุดจากยูเครนและกัมพูชา ไม่ต่างจากไทย ตรงที่เกิดความรุนแรงเมื่อเจ้าหน้าที่บุกเข้าปะทะกับผู้ประท้วง ความรุนแรงกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก หากผู้กุมอำนาจไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว เพราะว่ากลัวจะสูญเสียอำนาจ ขณะที่ฝ่ายต่อต้านมองไม่เห็นทางออกของบ้านเมือง หากไม่มีการปฏิรูปบ้านเมือง

ประธานาธิบดีวิคเตอร์ ยานูโควิช เจรจากับผู้นำฝ่ายค้านแล้วยอมถอยก้าวเล็กๆ หนึ่งก้าว นั่นคือ ยอมยกเลิกกฎหมายที่ห้ามกิจการเดินขบวนหลายอย่าง รวมถึงจับคนที่เข้ายึดที่ทำการราชการเข้าคุก และห้ามคนเดินขบวนใส่หน้ากากและสวมหมวกกันน็อค

อีกทั้งยังเสนอตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับฝ่ายค้าน เพื่อแลกกับการเลิกการประท้วง แต่ฝ่ายค้านบอกปัดทันที เพราะหากยอมรับข้อเสนอเช่นนั้น ก็เท่ากับเป็นการหักหลังประชาชนที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลทำข้อตกลงร่วมมือกับสหภาพยุโรป แทนที่จะกลายเป็นสหายของรัสเซีย ที่หลายคนมองว่าต้องการจะครอบงำยูเครนมากเกินไป

ก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียว รัฐมนตรียุติธรรมของรัฐบาล ขู่ว่า ถ้าการเดินขบวนที่ยืดเยื้อมากว่าสองเดือน (เริ่มต้นใกล้ๆ กับการประท้วงของ “มวลมหาประชาชน” ที่กรุงเทพฯ ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน) จะมีการประกาศ “ภาวะฉุกเฉิน”

เรียกว่าเดินตามแบบของประเทศไทยกันเลยทีเดียว

ยิ่ง นายกรัฐมนตรีมีโคลา อะซารอฟ ลาออกจากตำแหน่งไม่กี่ชั่วโมงก่อน ที่รัฐสภาจะเตรียมลงมติถอดถอนเขา ก็กลายเป็นการเมืองอลหม่านเพิ่มขึ้น

สรุปว่าสถานการณ์การเมืองที่ยูเครน ยังไม่มีท่าทีว่าจะสงบลงได้ ตรงกันข้ามการประท้วงได้กระจายตัวไปทางจังหวัดด้านตะวันตกอย่างกว้างขวางขึ้น เพราะเป็นบริเวณที่ชาวยูเครนมีความสนิทชิดเชื้อกับสหภาพยุโรป ขณะที่จังหวัดทางตะวันออกจำนวนไม่น้อยยืนอยู่ข้างรัฐบาล เพราะอยู่ใกล้กับรัสเซียมากกว่า

ที่ กัมพูชา ผู้ประท้วงถูกสารวัตรทหารบุกเข้าสลายหน้ากระทรวงข่าวสาร เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทำให้มีคนบาดเจ็บอย่างน้อย 10 คน

ตำรวจใช้ทั้งระเบิดควันและกระบองไฟฟ้ากับฝูงชน

ผู้ประท้วงกลุ่มนี้ ไม่ได้มาจากกลุ่มประท้วงใหญ่ ที่ผู้นำฝ่ายค้าน สม รังสี เป็นแกนนำ หากแต่นำโดยผู้จัดรายการวิทยุอิสระ ที่นำคนประมาณ 1,000 คน ไปประท้วงรัฐบาลที่ไม่ยอมเปิดกว้างให้รายการวิทยุรับใช้ประชาชนคนทั่วไป

แต่จริงๆ แล้ว นักเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายฝ่าย ได้เข้าร่วมการประท้วง เพื่อเรียกร้องให้ นายกฯ ฮุนเซน จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพราะว่าการหย่อนบัตรเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม มีการโกงกันอย่างมโหฬาร

ฮุนเซน สั่งตำรวจเข้าสลายการชุมนุมระหว่างวันที่ 2-4 มกราคม ที่ผ่านมา ห้ามผู้ประท้วงเข้าไปในสวนสาธารณะ ที่ชื่อ “สวนเสรีภาพ” กลางเมืองพนมเปญ เกิดการปะทะกันจนเกิดความวุ่นวาย

แม้ว่าการเดินขบวนที่กัมพูชาจะซาลง แต่บรรยากาศความตึงเครียดยังคุกรุ่น และตราบใดที่ผู้กุมอำนาจยังไม่ยอมฟังเสียงของผู้ไม่พอใจในแวดวงต่างๆ ความรุนแรงก็ยังเป็นปรากฏการณ์ที่หลีกเลี่ยงได้ยาก

วัดดีกรีของความดุเดือดเลือดพล่านกันแล้ว สถานการณ์ในไทยของเราอ่อนไหวที่สุด และมีโอกาสจะระเบิดเป็นสงครามกลางเมืองมากกว่ายูเครนและกัมพูชา

สวดมนต์ให้ประเทศไทย

ทำเหรียญหลวงปู่ทวดกปปส.สมทบทุนม็อบ

เจ้าของโรงหล่อพระนครปฐม ทำเหรียญหลวงปู่ทวด กปปส. จำหน่ายผู้ชุมนุมนำรายได้สมทบทุนม็อบ 

เมื่อวันที่ 30 ม.ค.2557 นายกฤษณ์ ฤทธิ์เดช ชาวชุมพร เจ้าของโรงหล่อพระนครปฐม ได้จัดทำเหรียญหลวงปู่ทวด(ก.ป.ป.ส.) ลุงกำนันสุเทพ มาจำหน่ายให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมกปปส.ที่แยกราชประสงค์เพื่อนำเงินรายได้ไปสนับสนุนกลุ่มกปปส.

นายกฤษณ์ กล่าวว่า ผลิตเหรียญขึ้นมาเพื่อสมทบทุนสนับสนุนการชุมนุมของกปปส.โดยวางแผนจะผลิตทั้งหมด 9,999 เหรียญ แต่ตอนนี้ผลิตได้ 2,000 เหรียญ จำหน่ายเหรียญละ 499 บาท โดยจำหน่ายที่บริเวณเวทีสี่แยกราชประสงค์เท่านั้น โดยมีหมายเลขประจำเหรียญแต่ละเหรียญและเป็นเหรียญรุ่นแรกของการชุมนุม ซึ่งเหรียญลำดับที่ 1 เป็นของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
เลขาธิการกปปส. ลำดับที่ 9 เป็นของ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ หนึ่งในแกนนำกปปส.

นายกฤษณ์ กล่าวไปว่า เหรียญดังกล่าวปลุกเสกโดย หลวงพ่อตุด วัดธรรมถาวร จังหวัดชุมพรและหลวงพ่อท้วม วัดศรีสุวรรณ จังหวัดสุราษฎธานี โดยเหรียญดังกล่าวมีสีทอง ด้านหนึ่งเป็นรูปหลวงปู่ทวด อีกด้านหนึ่งเป็นรูปนายสุเทพและอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยมีการจำลองลายเซ็นต์ไว้บนเหรียญด้วย โดยเริ่มจำหน่ายวันนี้เป็นวันแรก

ขณะที่บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มกปปส.ที่บริเวณแยกราชประสงค์ตั้งแต่ช่วงเช้ามีพิธีกรขึ้นเวทีแจ้งความเคลื่อนไหวของกิจกรรมการเดินขบวนของนายสุเทพในวันนี้ สลับกับการแสดงดนตรี โดนผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ได้เดินทางไปร่วมเดินขบวนกับนายสุเทพ ก่อนจะกลับมาปักหลักชุมนุมในช่วงเย็น


ศักดิ์ชัย กาย นั่งนับเงิน 3 ล้านบาท ที่ได้จากการจำหน่าย เสื้อในม็อบ มวลมหาประชาชน เพื่อนำมามอบ ให้ลุงกำนันสุเทพ

คุณศักดิ์ชัย กาย นั่งนับเงิน 3 ล้านบาท ที่ได้จากการจำหน่าย เสื้อในม็อบ มวลมหาประชาชน เพื่อนำมามอบ ให้ลุงกำนันสุเทพ

เป็นค่าใช้จ่าย ซื้ออาหาร และ เครื่องใช้ในการที่พี่น้อง มวลมหาประชาชน ที่มาช่วยชาติ รวมทั้งที่ได้ บริจาคมาแล้ว ทั้งหมด 10 ล้านบาท
///โดย พลังประชาชน โค่นล้มระบบทักษิณ

"แดงพิษณุโลกกลับใจ! หันหลังให้เพื่อไทย-แม้ว บอกสู้เพื่อ “ทักษิณ” สู้ไม่ไหวแล้ว"..

พิษณุโลก - เสื้อแดงพิษณุโลกกลับใจ เลิกเคลื่อนไหวร่วมพรรคเพื่อไทย-ก๊กแดง บอกผิดหวังกับระบอบแม้ว ทำ พท.กลายเป็นพรรคเพื่อใคร คอยฟังแต่คำสั่งดูไบ ยันสู้ร่วมกับเสื้อแดงมาตลอด แต่วันนี้ให้สู้เพื่อ “ทักษิณ” สู้ไม่ไหวแล้ว 

วันนี้ (30 ม.ค.57) นายกิตติพันธุ์ ยวนทอง แกนนำ นปช.พิษณุโลก หรือเสื้อแดงพิษณุโลก วัย 52 ปี ได้นัดนัดหมายสื่อมวลชนในจังหวัดพิษณุโลกที่ถนนวังจันทน์ หน้าศาลจังหวัดพิษณุโลก เพื่อเปิดใจถึงความรู้สึกที่มีต่อพรรคเพื่อไทย หลังเข้าฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น กรณีที่กลุ่ม นปช.พิษณุโลก รวมตัวก่อเหตุขัดขวางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ไม่ให้ไปรักษาความสงบที่กรุงเทพฯ

นายกิตติพันธ์เปิดเผยว่า วันนี้ศาลชั้นต้นนัดตนมารับฟังคำพิพากษา คดีที่ขัดขวางเจ้าหน้าที่ไม่ให้ไปปฏิบัติหน้าที่ที่กรุงเทพฯ ที่หน้าค่าย ตชด.31 พิษณุโลก เมื่อปี 2553 ซึ่งเหลือตนต่อสู้คดีอยู่คนเดียวตามลำพัง และวันนี้ศาลก็ได้ตัดสินยกฟ้อง ส่วนจะมีการอุทธรณ์หรือไม่ตนก็ไม่ทราบ ขึ้นอยู่กับอัยการจังหวัด

แต่ตนผิดหวังกับพรรคเพื่อไทย เพราะนับตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมาตนร่วมกิจกรรมกับกลุ่ม นปช.พิษณุโลกมาตลอดเพื่อต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย เป็นทั้งแกนนำ ลงทั้งเงิน ทั้งแรง

ร่วมกับเสื้อแดงพิษณุโลกทำกิจกรรมต่อต้านรัฐประหาร เรียกร้องประชาธิปไตย เมื่อปี 2553 ก็เป็นแกนนำร่วมกับ นปช.พิษณุโลก ขัดขวางเจ้าหน้าที่ที่หน้าค่าย ตชด.31 เพราะไม่ต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปปฏิบัติหน้าที่ที่กรุงเทพฯ จนถูกส่งฟ้องดำเนินคดีต่อ นปช.พิษณุโลกอีกหลายคน

ในการต่อสู้คดีก่อนหน้านี้เคยมีอดีต ส.ส.มาช่วยประกันตัว แต่หลังจาก ส.ส.หมดสภาพตามรัฐธรรมนูญ ตนก็เรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยมาช่วยประกันตัวตน แต่เขาไม่มา และไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ จากพรรคเพื่อไทย กระทั่งศาลได้ตัดสินชั้นต้นยกฟ้องในวันนี้

“ผิดหวังกับพรรคเพื่อไทย ผิดหวังกับระบอบทักษิณ พรรคเพื่อไทยบอกว่าเรียกร้องประชาธิปไตย แต่พรรคกลับไม่ใช่พรรคประชาธิปไตย ไม่มีประชาธิปไตยในพื้นที่ เป็นพรรคที่รับคำสั่งโดยดูไบอย่างเดียว คำสั่งชี้เป็นชี้ตายทุกอย่าง ไม่ว่างบประมาณ ไม่ว่าอะไรทุกอย่าง จะมีกลุ่มของตระกูลชินวัตรอย่างเดียว”

นายกิตติพันธ์บอกว่า เราเล่นการเมือง เรียกร้องประชาธิปไตยมาตั้งแต่พลังธรรม ในฐานะที่ตนเป็น นปช.เพื่อร่วมเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ปรากฏว่าขณะนี้พรรคไม่เป็นประชาธิปไตย ความเป็นประชาธิปไตยไม่มี เป็นพรรคเพื่อใคร

นายกิตติพันธ์ย้ำว่า นปช.พิษณุโลกน่าสงสาร ทุกคนร่วมมือร่วมใจกันดี ต่อสู้เรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยมาตลอด แต่ว่านักการเมืองกลับคอยฉกฉวยผลประโยชน์มากกว่า ประชาชนคนพิษณุโลกรักประชาธิปไตย นปช.พิษณุโลกอยากเห็นประเทศชาติอยู่ตรงกลาง ให้ฝ่ายซ้าย ฝ่ายขวารักสามัคคีกัน

“ผมร่วมกับเสื้อแดงมาตลอด วันนี้อยากสู้ แต่สู้เพื่อทักษิณ ผมสู้ไม่ไหวแล้ว”

ผู้สื่อข่าวถามเหตุที่ผิดหวังเพราะพรรคเพื่อไทยไม่ได้เลือกเขาลงสมัคร ส.ส.ในพื้นที่พิษณุโลกใช่หรือไม่ นายกิตติพันธ์อ้างว่าไม่ใช่ แต่การรับสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.พิษณุโลก นั้น จู่ๆ มีคนของพรรคเพื่อไทยมาลงสมัคร ส.ส. ซึ่งคนเสื้อแดง นปช.พิษณุโลกยังไม่รู้จักเลย แล้วอย่างนี้เรียกว่าพรรคเลือกคน ประชาชนเลือกพรรคหรือไม่

“ไม่ใช่เพียงพิษณุโลกเขตเดียว ทั่วประเทศเป็นอย่างนี้หมด ค่าของคนอยู่ที่คนของใคร อยู่ที่คนมีเงินไหม แล้วประชาชนมันจะมีประชาธิปไตยหรือไม่ เขาเห็นว่าเพื่อไทย เห็นว่ายิ่งลักษณ์ แค่นี้หรือ”

นายกิตติพันธ์เผยต่อว่า ตนสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยช่วงปี 2552 คงจะไปลาออกแล้ว ไม่อยากเห็นประชาชนแตกแยกกัน วันนี้ตนก็เป็นเสื้อแดง เป็น นปช. แต่เป็นเสื้อแดง เพื่อให้เป็นประชาธิปไตย ไม่ให้เป็นประชาธิปไตยเพื่อใคร คนแตกต่างทางความคิดได้ แต่ไม่แตกแยก ไม่ใช่ว่าคนคิดต่างไม่ใช่พวก

นายกิตติพันธ์บอกอีกว่า ทุกวันนี้ประชาชนคนไทยเสพสื่อเพียงข้างเดียว บางคนเอียงซ้ายตลอด บางคนเอียงขวาตลอด มันต้องเสพหลายๆ ข้าง ควรจะสลับฟังทั้งสองข้าง ทุกวันนี้บ้านเมืองแตกแยก ความเห็นต่าง ที่จริงแล้วเป็นประชาธิปไตย

“แต่ความเห็นต่าง แล้วไม่เคารพ ทะเลาะกัน ถึงฆ่ากันตาย มันคุ้มไหมครับ”

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าไม่เคลื่อนไหวทางการเมืองร่วมกับเสื้อแดง แล้วจะร่วมกับกลุ่มเสื้อขาว หรือเสื้อเหลือง นายกิตติพันธ์ย้ำอีกว่า จะไม่อยู่ทั้งสองฝ่าย ขออยู่กลางๆ จะไม่ร่วมกิจกรรม นปช.เด็ดขาด และเตรียมไปลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย

“ผมเป็นเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย ไม่ใช่เสื้อแดงเพื่อใคร ผิดหวังกับระบบทักษิณ ปั้นมาด้วยมือ แต่ไม่ขอลบด้วยเท้า แม้กระทั่งช่วงรัฐประหารผมก็ไม่อยากพูด ผมทำอะไรให้ทักษิณ แต่ทักษิณไม่เคยช่วยอะไรผม เขาไม่เคยให้อะไรผม ผมดูแลตัวเองมาโดยตลอด”

http://astv.mobi/AUx7dRh
17

"กำนันสุเทพ"เมินเสียงขู่ รบ.เดินหน้าประท้วงเลือกตั้งต่อ จัดปิกนิคไล่ทรราชกลางถนน แข่งเลือกตั้ง 2 ก.พ.

เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 30 มกราคม ที่เวทีปทุมวัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ขึ้นปราศรัยโดยได้สวมเสื้อสีแดงเนื่องจากเทศกาลตรุษจีน ทั้งนี้ ยังได้กล่าวอวยพรให้ผู้ชุมนุมมีความสุข พร้อมกล่าวด้วยว่า สีแดงเป็นสีแห่งความดี แต่ผู้ร้ายเอาไปใส่กัน ในปี 2553 แต่ตอนนี้ผู้ร้ายไม่ใส่เสื้อแดงแล้ว ทั้งนี้ ใน 3 วันนี้ กปปส.จะเดินขบวนใหญ่เพื่อแสดงพลังของมวลมหาประชาชนขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบอบทักษิณ ซึ่งนำเสื้อคลุมประชาธิปไตยมาสวมใส่ อ้างประชาธิปไตย แต่พอได้อำนาจมาก็เป็นเผด็จการไม่ฟังเสียงประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนว่ามีการช่อโกงทุจริตคอร์รัปชั่น สุ่มเสี่ยงต่อการล้มละลาย ดังนั้นจึงเห็นพ้องร่วมกันที่จะต้องปฏิรูปประเทศไทย เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งเรื่องด่วนที่ทำได้ทันทีมี 5 ด้าน คือ การปฏิรูปพรรคการเมือง ปฏิรูปกฏหมายการเลือกตั้ง ปฏิรูปโครงสร้างตำรวจ ผู้ว่าฯต้องมาจากการเลือกตั้ง เป็นต้น จะทำสำเร็จได้ต้องทำด้วยมือของประชาชนเพราะหากให้นักการเมืองพรรคเพื่อไทยปฏิรูปก็คงไม่มีทางยอมปฏิรูปแน่นอน

“การเลือกตั้งจะเป็นวิธีที่จะทำให้ตระกูลชินวัตรมีอำนาจต่อไปและต่อไปเรื่อยๆ เป็นการชอบแล้วที่ประชาชนคนไทยผู้รู้ ผู้ตื่น เห็นว่าต้องมีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง แต่ฝ่ายนั้นพยายามออกมาพูดว่าการเลือกตั้งก่อนปฏิรูป พูดว่าการเลือกตั้งเป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตย ประเทศที่เจริญแล้วต้องตัดสินกันด้วยระบอบการเลือกตั้ง ที่พูดแบบนี้เพราะมันรู้ว่ามันชนะอยู่แล้ว แล้วยังนำแถลงการณ์สหรัฐฯมากล่าวอ้างว่าพวกเราขัดขว้างการเลือกตั้ง ผมถามคุณยิ่งลักษณ์จริงๆว่านักการเมืองสหรัฐทุจริตโกงการเลือกตั้งจนกระทั่งประชาชนออกมาประท้วงแบบนี้หรือเปล่า ผมเป็นกำนันจบปริญญาโทด้านทฤษฎีการเมืองจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐ ผมขอท้า นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ปฏิบัติหน้าที่รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตัวต่อตัวมาออกทีวีที่เวทีนี้ว่าเถียงกันเลยว่าการเลือกตั้งของไทยกับสหรัฐอเมริกาแตกต่างกันอย่างไร” นายสุเทพ กล่าว

นายสุเทพ กล่าวต่อว่า ตนประกาศชัดเจนว่า ต่อต้านการเลือกตั้งคราวนี้ จะตั้งข้อหาเท่าไรก็เชิญ แต่อยากบอกพี่น้องข้าราขการทั้งหลายว่า การเลือกตั้งคราวนี้เป็นเพียงการซักฟอกเพื่อกลับมามีอำนาจ ดังนั้น อย่าไปเป็นเครื่องมือ ขณะนี้มีประชาชนภาคใต้ไปปิดล้อมสถานที่เก็บบัตรเลือกตั้งอยู่จึงไม่สามารถนำบัตรเลือกตั้งออกมาได้ ตนขอกราบเลยว่า ทหาร โดยเฉพาะ แม่ทัพภาคที่ 4 อย่ายุ่งกับการเลือกตั้งคราวนี้ อย่านำเจ้าหน้าที่ทหารไปคุ้มกันบัตรเลือกตั้ง เพราะประชาชนอยากให้ทหารออกมาคุ้มกันประชาชน ไม่ใช้คุ้มกันบัตรเลือกตั้ง เจตนารมย์ของประชาชนคือ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับกองทัพ เพราะเป็นเรื่องระหว่างประชาชนกับตระกูลชินวัตรเท่านั้น ทั้งนี้ เราไม่สนใจการเลือกตั้งแล้ววันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ จะไม่ไปการเลือกตั้งด้วย ไม่ต้องมาขู่ว่าจะเสียสิทธิ์เพราะจะมาปิกนิคกันที่กลางถนน อย่างไรก็ตาม พรุ่งนี้( 31 ม.ค.) คณะกรรมการ ศรส.จะมาเจรจากับเราที่เวทีปทุมวัน แต่ขอประกาศว่า ไม่เจรจาด้วย เพราะไม่ว่าง กำลังทำงานใหญ่จะไปเดินขบวนไล่ จะเริ่มออกเดินที่เวทีลาดพร้าว ส่วนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ให้หาเสื้อแดงมาใส่จะไปเดินอวยพรพี่น้องที่เยาวราชกัน และในวันที่ 2 กุมภาพันธ์จะเป็นวันชุมนุมใหญ่ เป็นปิกนิคไล่ทรราช ไม่สนการเลือกตั้ง แต่ใครอยากจะไปก็เชิญ

นส.ด่วนถึงผอ.ลต.ให้ยกเว้นการประทับตราบัตรลต.ส.ส.แบ่งเขตในวันที่2ก.พ.57


สื่อนอกชี้ไทยมีโอกาสร้อยละ 10 เจอรัฐประหาร


สื่อต่างชาติประเมินว่าประเทศไทยมีโอกาสที่จะเผชิญกับการรัฐประหารถึงร้อยละ 10 ภายในปีนี้ เนื่องจากความวุ่นวายทางการเมือง บวกกับประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดการรัฐประหารมากที่สุดในโลก

 
 
เว็บไซต์หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ของสหรัฐฯ รายงานผลการประเมินความเสี่ยงในการเกิดรัฐประหารทั่วโลกประจำปี 2014 ของนายเจย์ อัลเฟลเดอร์ นักรัฐศาสตร์ชื่อดัง ซึ่งระบุว่าประเทศไทยอยู่ในพื้นที่สีแดง ติดอันดับที่ 10 ของโลกในฐานะประเทศที่เสี่ยงต่อการเกิดรัฐประหารมากที่สุด โดยโอกาสที่ไทยต้องเผชิญกับการรัฐประหารมีมากถึงร้อยละ 10
 
 
วอชิงตันโพสต์ระบุว่าเหตุผลที่ไทยเสี่ยงต่อการถูกรัฐประหารเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เป็นเพราะไทยมีประวัติเป็นประเทศที่เคยเกิดการรัฐประหารมาแล้วหลายครั้ง เรียกได้ว่ามากที่สุดในโลก อีกทั้งในขณะนี้ยังมีความวุ่นวายทางการเมือง ทำให้โอกาสที่เกมการเมืองจะพลิกผันจนเกิดการรัฐประหารมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง
 
 
นอกจากนี้ การประเมินดังกล่าวยังพบว่าในปีนี้ กลุ่มประเทศที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดรัฐประหารมากที่สุด 10 อันดับแรกของโลก ยกเว้นประเทศไทย ล้วนอยู่ในแอฟริกา โดยเฉพาะแถบซับซาฮารา โดยประเทศที่เสี่ยงต่อการเกิดรัฐประหารมากที่สุดคือกินี ที่มีโอกาสเจอการรัฐประหารถึงร้อยละ 26.5 ตามมาด้วยมาลีและมาดากัสการ์ 
 
 
ขณะที่อียิปต์ ซึ่งเพิ่งเกิดรัฐประหารไปเมื่อปีที่แล้ว ก็ถูกประเมินว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดรัฐประหารซ้ำอีกครั้ง โดยเป็นประเทศเสี่ยงต่อการมีรัฐประหารอันดับที่ 16 ของโลก ส่วนเมียนมาร์ ซึ่งเป็นประเทศที่กำลังอยู่ในระหว่างการปฏิรูปเปิดประเทศ พัฒนาประชาธิปไตย ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดรัฐประหารเป็นอันดับที่ 22 ของโลกเช่นกัน โดยไทยและเมียนมาร์เป็นเพียง 2 ประเทศในอาเซียนที่ติดอันดับเสี่ยงต่อการเกิดรัฐประหารในปีนี้
 
 
สำหรับเกณฑ์การประเมินความเสี่ยงของการรัฐประหารในประเทศต่างๆ นายอัลเฟลเดอร์พิจารณาจากประวัติศาสตร์การเมืองและเงื่อนไขในการเกิดรัฐประหารครั้งก่อนของประเทศนั้นๆเป็นหลัก รวมถึงประเมินระบบการเมืองและพฤติกรรมของชนชั้นนำทางการเมืองในประเทศประกอบด้วย
30 มกราคม 2557 เวลา 17:25 น.

สมชาย แสวงการ สว.สรรหาเข้าพบ พันโทหญิง แทมมี่ ดักเวิร์ด สส. สหรัฐ เพื่ออธิบายเหตุการณ์การชุมนุมเรียกร้องการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง

สมชาย แสวงการ สว.สรรหาเข้าพบ พันโทหญิง แทมมี่ ดักเวิร์ด สส. สหรัฐ เพื่ออธิบายเหตุการณ์การชุมนุมเรียกร้องการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง
มาพบกับขวัญใจคนไทยสสหญิงพันโท แทมมี่ ดักเวิร์ด เล่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์การชุมนุมเรียกร้องการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้งและเหตุที่ผู้ชุมนุมถูกลอบยิงลอบขว้างระเบิดให้เธอฟัง เพื่อขอให้ช่วยคนไทยอธิบายความต่อให้สสสวเเละรัฐบาลสหรัฐเข้าใจอย่างถูกต้อง ไม่ใช่บิดเบือนเหมือนที่ทูตหรือสำนักข่าวบางแห่งรายงานผิดๆ ดีมากครับเธอรับไปทำต่อ และฝากห่วงมายังคนไทยทุกคนครับ

FBแดงบอกให้เตรียมทำใจลต.2ก.พ.ปะทะกันหลายเขต


การเลือกตั้งวันที่2ก.พ.นี้ จะถูกต่อต้านจากพวกระยำสัส ในทุกๆวิถีทาง ทั่วประเทศ เพียงเพื่อจะช่วยพรรคประชาธิปัตย์ให้พ้นการสิ้นสภาพพรรคการเมือง

มันจะทำทุกทาง ทุกอย่าง ทุกสิ่ง เพื่อให้การเลือกตั้งไม่สมบูรณ์ และไม่สามารถเปิดสภาได้ ตั้งรัฐบาลใหม่ไม่ได้ ...แม้นว่าจะเป็นวิธีที่ทำให้เกิดการเจ็บ การตาย การสูญเสีย เกิดความเสียหายต่อมวลรวมของประเทศ ก็ตาม..

ขอให้ทุกท่านทราบเอาไว้นะครับในเบื้องต้นว่า..

ท่านนายกฯของพวกเรา จะทำทุกอย่างเช่นกัน เพื่อให้การเลือกตั้งครั้งนี้สำเร็จในเปอร์เซนต์ที่สูงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้นว่าจะต้องใช้รถหุ้มเกราะของตำรวจ คุ้มครองหน่วยนับคะแนน หรือหน่วยเลือกตั้งบางจุดก็ตาม หรือแม้นจะต้องใช้อาวุธหนักเข้าคุ้มครองหีบเลือกตั้งก็ตาม..

ขอให้ทุกท่านเตรียมใจเอาไว้รับสถานการณ์ด้วยว่า .. จะเกิดการปะทะกันไปทั่วในหลายๆเขต จะเกิดสถานการณ์รบปะทะหรือจลาจลขนาดต่างๆทั่วไปทั้งปริมณฑลโดยรอบหน่วยเลือกตั้งใหญ่ๆ..

ท่านกลัวมั้ยครับ ?? ถ้าท่านกลัว อย่าไปเสี่ยงครับ ถ้าสถานการณ์ชุลมุน ต้องรักษาชีวิตเอาไว้ครับ ผมไม่ดราม่าการเมือง การเลือกตั้งแม้นสำคัญก็จริง แต่นั่นก็ไม่ใช่ที่สุดของชีวิตเรา.. ครั้งหน้ายังมี..รักษาตัวเอาไว้ครับ..

สำหรับท่านที่ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย และพร้อมที่จะรบปะทะ..ท่านต้องสู้ให้เป็นครับ ปะทะให้เป็น ดูสถานการณ์ ดูสภาพการณ์โดยรอบ ดูทางหนีทีไล่ให้ดี อย่าให้มันจับได้ เพราะตายแน่ๆ ถ้าจำเป็นต้องแลกชีวิต ก็พยายามแลกให้คุ้มครับ ..พวกการ์ด มันสวะสังคมครับ เป็นขยะของประเทศ ถ้าต้องแลกชีวิต เราควรแลกกับระดับแกนนำขึ้นไปครับ..

เราไม่มีที่ให้ถอยแล้วครับ ถ้ายอมมัน เราจะเป็นทาสในเรือนเบี้ยในเวลาต่อมา ถ้าเราสู้ โอกาสชนะยังพอมี ..อาจแยกประเทศ อาจเปลี่ยนระบอบ อาจเกิดรัฐบาลพลัดถิ่น อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าเราสู้..

การต่อสู่ การเจ็บ การตาย เพื่อสร้างบ้านแปลงเมือง แค่นี้เรื่องเล็กครับ บรรพบุรุษ บรรพชนเรา เผชิญมาสาหัสมากกว่านี้ร้อยเท่าพันเท่า..ครั้งนี้รุ่นเรา ยังไม่ได้แค่ขี้ตีนบรรพชนไทยยามที่ต้องกู้เอกราชเลยครับ ..


เสริมสุข:ดวงดาวมันบอกว่านางยกอยู่ไม่ได้แล้ว...


"ก็ดวงดาวมันบอกว่าเดือนมีนานี่อยู่ไม่ได้แล้ว จากต้นเดือนหน้า วันที่ 3 กพ.ดาวอังคารย้ายออกมาเล็งดวงเมือง เหตุการณ์จะเร่ิมรุนแรงมากขึ้น พอเดือนมีนานี่ยังไงก็อยู่ไม่ได้ ทหารเขาไม่ออกมาหรอก ก็คุมเชิงให้อย่างนี้ คอยปรามไม่ให้พวกป่วนสร้างสถานการณ์ให้รุนแรง ยังไงทหารก็ไม่ออกมา มายึดอำนาจไม่มี ต้องรอสถานการณ์ …

"แล้วตอนนี้ที่พูดมาให้ได้ยินแล้วคืออาจทำเอง ตร.ทำเอง ยึดอำนาจให้รัฐบาล มีกองกำลังตร.อยู่ ทำแล้วจะอยู่ได้หรือ ก็ขนาดไม่ทำมันยังอยุ่ไม่ได้ มายึดอำนาจเองมันจะอยู่ได้ไง ต้องดู่ว่ามันจะกล้าไหมตอนนี้มันมีสองพวกในตร. ที่ก่อเหตุนี่ตร.ทั้งนั้นก็รู้กันอยู่ แต่ตร.ดีเขาก็มี เขาไม่เห็นด้วย

แล้วตอนจบจะเป็นไง "แต่ตอนจบนี่ดีนะไปปลายปีนู่นเลย เดือนพย. ที่มันวุ่นวายทั้งหมดเพราะคนที่อยู่นอกประเทศมันสั่งการมา มันไม่รุ้เรื่อง ไม่รุ้สถานการณ์ มันจะเรือหายกันใหญ่ " ...อดีตทหารใหญ่ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่โตในกองทัพบก และเคยเป็นหนึ่งในห้าเสือกองทัพบก วิเคราะห์สถานการณ์ให้ฟังตามสายโดยอิงสถานการณ์กับดวงดาวที่ได้ศึกษามายาวนาน เชื่อว่าหลังดาวอังคารย้ายออกสถานการณ์การเมืองจะรุนแรงมากขึ้น ……ไม่เชื่อห้ามลบหลู่ทีเดียวเชียว

หากพิจารณาช่วงเวลาทหารใหญ่ท่านนี้ทำนายทายทักตรงกับหัวงเวลาที่ปปช.อาจสรุปผลการสอบสวนในหลากหลายเรื่องของนางยกและพรรคเพื่อไทย รวมถึง กรณีสส.พรรคเสียบบัตรแทนกัน อาจมีโทษถึงประหารซึ่งจะส่งผลให้เกิดการกระเด็นกระดอนของมวลสมาชิกพรรค


ผบ.หน่วยซีล เผยข้อมูลต่อกมธ.ทหารกรณีกองกำลังทหารเขมร

ฟังท่านผบ.หน่วยซีลเค้าหน่อยน๊า admin...puk 30 ม.ค.57

แหล่งข่าวด้านความมั่นคง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา พล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ (ผบ.นสร.) ได้เข้าชี้แจงข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการทหารสภาผู้แทนราษฎร ถึงกรณีที่ระบุว่า มีกองกำลังจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาก่อเหตุในช่วงการชุมนุมของ กปปส.โดยเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการนำข้อมูล และภาพถ่ายจากการติดตามของหน่วยข่าว พร้อมยืนยันว่า มีรถตู้นำคนจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาทางชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นระยะๆ

โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้อำนวยความสะดวก พร้อมทั้งมีแกนนำเสื้อแดงเป็นผู้ประสานงาน โดยส่วนหนึ่งไปอยู่แถวตลาดไท และเขตอิทธิพลย่านปทุมธานี มีนบุรี หนองจอก ซึ่งขณะนี้เรากำลังเจาะอยู่ว่า 4 - 5 วัน จะเป็นอย่างไรต่อไป

นอกจากนี้ ทาง ผบ.นสร.ยังให้ข้อมูลกับทางคณะกรรมาธิการทหารอีกว่า กลุ่มคนจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาทางชายแดน โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายเสื้อแดงนำรถตู้ขบวนนี้เข้ามา ซึ่งทหารไม่มีอำนาจหน้าที่จะไปตรวจค้นได้

แหล่งข่าวคนเดิม ยังกล่าวอีกว่า พล.ร.ต.วินัย ยังได้นำเอกสารสรุปการปฏิบัติงานของหน่วยจากการปฏิบัติงานของพลซุ่มยิงของ นสร.เมื่อปี 2553 มาชี้แจง โดยเนื้อหาระบุว่ามีความเคลื่อนไหวของกลุ่มดังกล่าวมาตั้งแต่การชุมนุมเมื่อปี 2553 โดยยืนยันว่า มีการพบศพของคนเชื้อชาติกัมพูชาที่เสียชีวิตบริเวณหน้าลานพระบรมรูป รัชกาลที่ 6 สวนลุมพินี 23 ศพ ซึ่งจากการตรวจการณ์พบว่า คนเหล่านี้ไม่ใช่คนไทย แต่เป็นคนกัมพูชา และอาจเป็นกองกำลังทหารที่ได้รับการฝึกฝน มีการจัดกำลังเป็นชุดปฏิบัติการพิเศษ "

พล.ร.ต.วินัย ได้แสดงให้เห็นว่า มีแผนภูมิการวางกำลัง มีการเดินแปรรูปขบวน อาวุธประจำกาย มีการดักฟังเสียง และก็มีรูปถ่าย หลังจากที่เกิดเหตุฝ่ายทหารเข้าไปไม่ได้ ท่านบอกว่าอีกฝ่ายเขาเก็บศพใส่รถออกไป เป็นรถบรรทุกหกล้อและรถแช่แข็ง ด้านสวนลุมฯ ห่างจากตึกประมาณ 300 เมตร ใช้วิธีการตรวจด้วยกล้องส่องสองตา โดยตอนเช้าจะมีการนำคนมาอีก 8 คน ผู้หญิง 3 ผู้ชาย 5 พร้อมแกนนำคนสำคัญ 1 คน เก็บปลอกกระสุนมาล้างเลือด เพื่อทำลายหลักฐาน" แหล่งข่าวอ้างคำพูดของ ผบ.นสร.

โดนไล่งับ..."รบ.บี้ “วิชา” เหมาะสอบจำนำข้าวหรือไม่ หลังว่อนเน็ต รับซี้ “มีชัย” ก่อนทาบนั่ง ป.ป.ช."..

สะพัดโลกออนไลน์คำสัมภาษณ์ “วิชา” เผยอดีต ปธ.วุฒิฯ ที่คุ้นเคยกันทาบให้นั่ง ป.ป.ช.และคนอื่นที่ถูกทาบก็รู้ใจกัน คน รบ.แจง ได้ยินตั้งแต่หลังรัฐประหารไม่นาน โยงตั้งองค์อิสระ มรดกรัฐประหาร หวังเล่นงาน “ทักษิณ” และบริวาร จนถึงปัจจุบัน ข้องใจเหมาะสมสอบจำนำข้าวหรือไม่ 

วันนี้ (30 ม.ค.57) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ในสังคมออนไลน์มีการเผยแพร่ข้อมูลที่ระบุว่าเป็นคำให้สัมภาษณ์ของ นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ให้ไว้ในหนังสือที่ระลึกวันศาลยุติธรรม 21 เม.ย.50 โดยนายวิชา ยอมรับว่า ไดัรับการทาบทามจาก นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานวุฒิสภา ให้เข้ามารับตำแหน่ง ป.ป.ช.ภายหลังจากการรัฐประหารเพียงวันเดียว เมื่อพิจารณาเห็นว่า บุคคลที่จะมาร่วมเป็น ป.ป.ช.มีความคุ้นเคยกันดีจึงได้ตอบรับ และเป็น ป.ป.ช.มาจนถึงปัจจุบัน

โดยเนื้อหาได้ปรากฎในหน้า 33 ของหนังสือดังกล่าวมีใจความว่า

“...ในวันรุ่งขึ้นจากวันปฏิวัติ มีท่านผู้พิพากษาที่ไปช่วยงานในคณะ จะเรียกว่าช่วยงานรึเปล่า เรียกว่าเป็น คณะผู้พิพากษา ที่ว่าจะต้องเข้าไปชี้แจงข้อมูล ท่านโทรศัพท์มาหาผมว่า เขาจะทาบทามให้เป็น กรรมการ ป.ป.ช.จะเอามั้ย ผมก็ถามว่ามีใครบ้าง เขาก็บอกว่า มีการทาบทามท่านวสันต์ ท่านอุดม ผมก็บอกว่าดีสิ ถ้าเผื่อเป็นกลุ่มที่รู้ใจกันอยู่แล้ว

...ท่านผู้ใหญ่ที่อยู่ในกระบวนการนี้ ตอนนี้น่าจะเปิดเผยได้คือ ท่านมีชัย ฤชุพันธุ์ ท่านโทรมาหาผมโดยตรง...”

ภายหลังจากปรากฏข้อมูลดังกล่าว ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังแหล่งข่าวในรัฐบาลซึ่งได้ระบุว่า ในความเป็นจริงได้ยินเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อปี 50 ภายหลังการรัฐประหารปี 49 ไม่นาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นการทำงานขององค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นในช่วงนั้น ที่ทำหน้าที่เป็นมรดกของคณะรัฐประหารอย่างชัดเจน อีกทั้งพยายามเล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่ตลอดเวลา จนมาถึงวันนี้ ป.ป.ช.ก็ทำตัวเป็นเครื่องมือให้กับขบวนการต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ และรัฐบาลเพื่อไทยในทุกๆประเด็น ทั้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รับลูกมาจากศาลรัฐธรรมนูญ ที่สำคัญยังมีเรื่องโครงการรับจำนำข้าวที่สังคมจับตามอง ก็ปรากฎว่าให้นายวิชาเป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทั้งที่พฤติกรรมที่ผ่านมามีอคติกับรัฐบาลมาโดยตลอด

ทั้งนี้ เมื่อข้อมูลเรื่องนายมีชัย ทาบทามนายวิชา มาเป็น ป.ป.ช.ด้วยความสัมพันธ์ส่วนตัวเผยแพร่ออกมาในทางสาธารณะ แกนนำพรรคเพื่อไทยหลายคน จึงคำถามถึงความเหมาะสมในการทำหน้าที่ของนายวิชาที่จะเข้าไปเป็นตัวหลักในการตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าวที่รัฐบาลกำลังถูกตรวจสอบจาก ป.ป.ช.เพราะอาจส่งผลให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลไม่ได้รับความเป็นธรรม

http://astv.mobi/AKNGukP


เอาข้าวกูไปจ่ายเงินกูมา กปปส.พิษณุโลก และชาวนาบุกห้องทำงานผู้ว่าเมืองสองแคว

กปปส.พิษณุโลก และชาวนาได้เดินรณรงค์ผ่านที่ว่าการอำเภอเมืองพิษณุโลก ก่อนบุกไปจวนผู้ว่าการราชการจังหวัดพิษณุโลก แต่คนงานบอกผู้ว่าฯ ไม่อยู่ ทำให้มวลชนพร้อมใจกันเปลี่ยนเป้าหมายมุ่งหน้าไปยังศาลากลางจังหวัดแทน ก่อนที่จะยกขบวนขึ้นไปชั้น 3 ซึ่งเป็นห้องทำงานของนายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัด อย่างรวดเร็ว ไม่มีการถามไถ่หรือเจรจากับพนักงาน ข้าราชการหน้าห้องผู้ว่าฯ โดยที่หน้าห้องและฝ่าย อส.ป้องกันจังหวัดไม่ทราบมาก่อนว่าจะมีมวลชน กปปส.-ชาวนาบุกมาประท้วง ทำให้ไม่มีการเฝ้าระวังใดๆ

จากนั้นแกนนำกลุ่มได้ผลักประตูเปิดห้องผู้ว่าฯ และเป่านกหวีดดังสนั่น พร้อมเดินเข้าไปบริเวณโต๊ะทำงานของนายระพี ซึ่งมีฉากหลังเป็นภาพสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงม้า ก่อนนำป้ายกระดาษที่เขียนว่า “เอาข้าวกูไป จ่ายเงินกูมา” ไปวางบนโต๊ะทำงานผู้ว่าฯ พร้อมตะโกน เอาข้าวกูไป จ่ายเงินกูมา ดังสนั่นพร้อมเสียงนกหวีดลั่นห้อง

หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที กลุ่ม กปปส.และชาวนาทราบว่าผู้ว่าฯ ไม่อยู่จึงพากันเดินทางกลับไปตั้งเวทีที่ศาลหลักเมือง

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9570000011767