PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ประวัติวันปิยมหาราช

ประวัติวันปิยมหาราช

ปิยมหาราช วันปิยมหาราชตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเป็นที่รักใคร่อย่างล้นเหลือของพสกนิกรทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ พระองค์จึงได้รับการถวายพระราชสมัญญานามว่า “สมเด็จพระปิยมหาราช” ซึ่งมีความหมายว่า “พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน” ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ รัฐบาลจึงได้ประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคม เป็น “วันปิยมหาราช

พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ปิยมหาราช วันปิยมหาราช 23 ตุลาคม
ปิยมหาราช วันปิยมหาราช 23 ตุลาคม
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2396 เป็นโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระนางเจ้าฟ้ารำเพยภมราภิรมย์ (สมเด็จพระเทพศิรินทรา พระบรมราชินี)เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรลังกาศ ต่อมาเมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น กรมขุนพินิตประชานาถ
พระราชกรณียกิจของสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ในวันปิยมหาราช
  • เลิกทาส
  • ด้านการปกครอง
  • การสาธารณูปโภค
  • การศึกษา
  • การปกป้องประเทศ
  • การเสด็จประพาส
เลิกทาส
โปรดเกล้าฯให้ประกาศเลิกทาสในเมืองไทย
เลิกทาสพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติทรงมีพระทัยแน่วแน่ว่าจะต้องเลิกทาสให้สำเร็จให้จงได้ แต่การที่พระองค์จะทรงทำการเลิกทาสถือว่าเป็นเรื่องยากลำบากด้วยทาสนั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ อีกทั้งเจ้านายที่เป็นใหญ่ในสมัยนั้นมักมีข้ารับใช้เมื่อไม่มีทาสบุคคลเหล่านี้อาจจะไม่พอใจ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเหมือนกับที่เกิดขึ้นในต่างประเทศมาแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตราพระราชบัญญัติทาส เรียกว่า พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124 ซึ่งเป็น พระราชบัญญัติที่ตราขึ้นเพื่อกำหนดเรื่องทาสในเรือนเบี้ยให้เป็นไปอย่างเด็ดขาด โดยกำหนดให้เด็กที่เกิดจากพ่อหรือแม่ที่เป็นทาส ไม่จำเป็นต้องเป็นทาสอีกต่อไป กฎหมายโบราณแบ่งทาสออกเป็น 7 ชนิด
  1. ทาสสินไถ่
  2. ทาสในเรือนเบี้ย
  3. ทาสได้มาแต่บิดามารดา
  4. ทาสท่านให้
  5. ทาสช่วยมาแต่ทัณฑ์โทษ
  6. ทาสที่เลี้ยงไว้เมื่อเกิดทุพภิกขภัย
  7. ทาสเชลยศึก

โปรดเกล้าฯ เปิดปราสาทพระเทพบิดรให้สาธุชนเข้าถวายบังคมบูรพกษัตริย์ วันปิยมหาราช

โปรดเกล้าฯ เปิดปราสาทพระเทพบิดรให้สาธุชนเข้าถวายบังคมบูรพกษัตริย์ วันปิยมหาราช


ขอบคุณภาพจาก anusorn54055.files.wordpress.com
เมื่อวันที่ 20 ต.ค. สำนักพระราชวังออกหมายกำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันปิยมหาราช พ.ศ. 2560 ความว่า เลขาธิการพระราชวัง รับพระราชโองการเหนือเกล้าฯ สั่งว่า การพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานในวัน “ปิยมหาราช” ซึ่งเป็นอภิลักขิตสมัยคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดดังรายการต่อไปนี้
วันจันทร์ที่ 23 ต.ค. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิตไปยังพระบรมราชานุสรณ์ ที่พระลานพระราชวังดุสิต
เวลา 17.00 น. ทรงวางพวงมาลาแล้ว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะ กราบถวายบังคมพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการแล้ว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะ กราบถวายบังคมพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พ.ศ. 2560 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระอัฐิสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี และพระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา ออกประดิษฐานร่วมในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศล พระสงฆ์ 57 รูป สวดพระพุทธมนต์จบแล้ว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม พระราชาคณะถวายศีล และถวายพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 จบแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์ แล้วทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ที่สวดพระพุทธมนต์ 57 รูปและพระราชาคณะที่ถวายพระธรรมเทศนา สดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา เสด็จพระราชดำเนินกลับ
การนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้สาธุชนเข้าถวายบังคมสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชที่ปราสาทเทพบิดร ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น.

.วันปิยมหาราช ปีนี้



ลานพระราชวังดุสิต 23 ตุลาคม2560....วันปิยมหาราช ปีนี้ แตกต่าง กว่าทุกปี เพราะ มี พระเมรุมาศ จำลอง สำหรับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ "ในหลวง รัชกาลที่9" ปรากฏ ณ เบิ้องหน้า พระบรมราชานุสาวรีย์ ร.5 ด้วย......
ปีที่แสนเศร้า.... 107 ปี ที่แล้ว พสกนิกรชาวไทย สูญเสีย พระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ และเป็นที้รักของประชาชนไป "พระปิยมหาราช"
มาตอนนี้ คนไทย ได้สูญเสีย พระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ และเป็นที้รักของประชาชน ไปอักพระองค์หนึ่ง
พลเอกประยุทธ์ นายกฯ เคยบอกว่า เมื่อเสร็จสิ้นพระราชพิธีต่างๆ แล้ว จะดำเนินการ เรื่องการ ถวายพระนาม แด่ "ในหลวง ร.9" ที่เราเคย ขานพระนามว่า "พระภัทรมหาราช" แต่ต้องรอดูว่า ในที่สุดแล้ว จะ ถวายพระนาม เช่นไร

แผนสกัด นายกฯ “คนนอก” จากหลวงมุ่งกระแทกกลาง

09.00 INDEX แผนสกัด นายกฯ “คนนอก” จากหลวงมุ่งกระแทกกลาง


ข้อเสนอให้พรรคประชาธิปัตย์จับมือกับพรรคเพื่อไทยเพื่อต้าน”คนนอก”เข้ามาเป็น”นายกรัฐมนตรี”

เป็นข้อเสนอในเชิง”กลยุทธ์”

ดำเนินไปใน “กระสวน” จากความจัดเจนในแบบของ”หลวงมุ่งกระแทกกลาง”

1 กระแทกไปยัง “คนนอก”

เป็นคนนอกที่จะเล่นบท “ตาอยู่” ซึ่งมาดหมายจะคว้าพุงปลาไปในท่ามกลางความขัดแย้งระหว่าง “ตาอิน” กับ “ตานา”

1 กระแทกไปยัง”ประชาธิปัตย์”

เพราะภายในพรรคประชาธิปัตย์ยังมีพลานุภาพจาก”กปปส.” ดำรงอยู่อย่างหนาแน่นและรอคอยเวลา

ขณะที่”เพื่อไทย”อยู่ในจุด”ลอยตัว”

ระดับ นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาตกุล ผ่านการเมืองมาตั้งแต่ยุคก่อนการเปลี่ยนแปลงใหญ่เมื่อเดือนตุลาคม 2516

บ่มเพาะมาจาก “โดม เจ้าพระยา ท่าพระจันทร์”

มองออก แทงทะลุว่า ความฝันของนายกรัฐมนตรี”คนนอก” ประเภท “ตาอยู่”จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาดหาก 2 พรรคการเมืองใหญ่ไม่ร่วมด้วย

1 คือ พรรคประชาธิปัตย์ 1 คือ พรรคเพื่อไทย

จุดที่หลายฝ่ายมองอยู่ คือ การตบเท้าเข้าพรรคประชาธิปัตย์ ของแกนนำ “กปปส.”

ขณะที่ผู้นำ”กปปส.”เชียร์นายกรัฐมนตรี”คนนอก”

หากก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคประชาธิปัตย์เอนไปในแนวทางเดียวกับ”กปปส.”

นั่นคือ ความห่วงใยจาก นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาตกุล

กล่าวสำหรับพรรคเพื่อไทยมีทิศทางของตนเองแน่วแน่และมั่นคงมาตั้งแต่ต้น

นั่นก็คือ 1 ต้านรัฐประหาร

นั่นก็คือ 1 ต้านนายกรัฐมนตรี”คนนอก”

ปัญหาจึงมิได้อยู่ที่พรรคเพื่อไทย หากปัญหาอยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์

ปมเงื่อนอยู่ที่”เพื่อไทย”กับ”ประชาธิปัตย์”จะสามารถจับมือได้หรือไม่

อภิสิทธิ์ ชี้ เป็นช่วงเวลาคนไทยไม่เลือกข้างเลือกสี

อภิสิทธิ์ ชี้ เป็นช่วงเวลาคนไทยไม่เลือกข้างเลือกสี


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการต้องถาม ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ฟ้าวันใหม่ว่า ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ เราได้เห็นภาพความเป็นหนึ่งเดียวของคนไทยอีกครั้ง แสดงให้เห็นว่าที่คนชอบพูดว่าประเทศไทยเป็นสังคมที่แตกแยกแบ่งขั้ว แต่เมื่อมีศูนย์รวมจิตใจเราก็จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ฉะนั้นตลอดเดือนนี้ จะเห็นประชาชนไม่เลือกข้างเลือกสีหรือเลือกอะไรทั้งสิ้น ส่วนกรณีนี้จะสามารถเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดการสร้างความปรองดองได้หรือไม่นั้น ยืนยันว่าถ้าเราน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 รวมถึงการน้อมนำกระแสพระราชดำรัสในหลายโอกาสที่พระองค์ทรงพระราชทานให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฏเกณฑ์กติกา การรู้หน้าที่โดยทำหน้าที่นั้นเต็มกำลังสามารถ และปรัชญาความพอเพียง เราก็จะสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองได้ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากความสุดโต่ง การใช้อารมณ์ การกระทำแบบไม่มีขอบเขต และการมีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง ดังนั้นส่วนตัวมองว่าการสร้างความปรองดอง ควรให้ความสำคัญกับกติกาในการอยู่ร่วมกันมากกว่าที่จะไปมองเรื่องจุดสุดท้าย เช่น เรื่องการนิรโทษกรรม เป็นต้น

เมื่อถามว่าหลังเสร็จสิ้นงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรแล้ว รัฐบาลและคสช.ควรคิดต่อไปอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) คงมีแผนพิจารณาในหลายเรื่อง สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรที่จะดำเนินการต่อด้วยการยึดมั่นในปรัชญาและแนวทางที่พระองค์ท่านได้พระราชทานไว้ หากทำในสิ่งที่ประชาชนมีความเป็นหนึ่งเดียว และใช้ประโยชน์จากตรงนี้ในการนำสังคมส่วนรวมไปข้างหน้า ตนเชื่อว่าจะได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่าย

นายกฯใช้เวลาวันหยุดทบทวนปัญหา-เป็นห่วงชีวิตความเป็นอยู่เกษตรกร

นายกฯใช้เวลาวันหยุดทบทวนปัญหา-เป็นห่วงชีวิตความเป็นอยู่เกษตรกร


นายกฯ ห่วงเกษตรกร แนะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูก ย้ำรัฐบาลยินดีช่วยเหลือทุกรูปแบบ วอนทุกฝ่ายร่วมมือขจัดปัญหาการเกษตรที่เรื้อรัง

เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พล.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้เวลาช่วงวันหยุดทบทวนภารกิจและปัญหาสำคัญของบ้านเมือง โดยเฉพาะปัญหาปากท้องและชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกร ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยย้ำว่าการจัดสรรพื้นที่เพาะปลูกอย่างเหมาะสม การทำไร่นาสวนผสมควบคู่กับการเลี้ยงสัตว์ เช่น ไก่ ปลา สุกร ฯลฯ เพื่อให้มีรายได้เสริมและลดรายจ่ายของครอบครัว ตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็นแนวทางที่ควรนำไปประยุกต์ใช้
“การทำให้สินค้าเกษตรมีราคาดีขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ที่สำคัญคือการเพิ่มมูลค่าผลผลิตและลดต้นทุนการผลิต เกษตรกรควรพิจารณาปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกโดยใช้พันธุ์ที่มีคุณภาพ ใช้วิธีอินทรีย์และนวัตกรรมเข้ามาช่วย เช่น ปลูกข้าวอินทรีย์ แปรรูปยาง หรือปลูกปาล์มที่ให้น้ำมันสูงขึ้น เพราะตลาดมีความต้องการมาก ขณะเดียวกันต้องลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งการจ้างคน การใช้ปุ๋ยเคมีที่ไม่จำเป็น และประหยัดการใช้น้ำ นอกจากนี้ ควรรวมกลุ่มให้เกิดความเข้มแข็ง สร้างอำนาจต่อรอง เพื่อไม่ให้ถูกกดราคา โดยรัฐบาลกำลังจัดหาและพัฒนาตลาด ทั้งตลาดทั่วไปและตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มผู้รักสุขภาพ กลุ่มที่ชอบสินค้าแปลกใหม่ เป็นต้น เพื่อให้ผู้ค้าสามารถขายสินค้าได้โดยตรง โดยจะกระจายอยู่ทั่วประเทศและขยายไปยังต่างประเทศด้วย” พล.อ.สรรเสริญ กล่าว

พล.อ.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรียังกล่าวด้วยว่า หากพี่น้องเกษตรไม่ร่วมมือหรือปรับเปลี่ยนวิธีการทำการเกษตรกร ก็คงไม่มีรัฐบาลใดช่วยแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนได้ นอกจากใช้วิธีพยุงราคาซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่มีวันจบสิ้น เปรียบเหมือนการให้ยาเลี้ยงไข้แต่ไม่มีวันหาย ที่ผ่านมาการปลูกพืชตามกระแสจนปริมาณล้นตลาดเป็นปัญหาใหญ่ ทำให้ราคาผลผลิตตกต่ำ ดังนั้น เมื่อทุกคนมองเห็นจุดอ่อน มีการยื่นข้อเรียกร้อง และภาครัฐบาลรู้ความต้องการของตลาด ทั้งเกษตรกรและรัฐบาลจึงต้องพร้อมใจกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

“รัฐบาลยินดีสนับสนุน ส่งเจ้าหน้าที่ลงไปให้คำแนะนำ เพื่อทำงานร่วมกัน รวมทั้งอยากให้พี่น้องเกษตรกรไปติดต่อพูดคุยปรึกษาหารือกับบุคลากรด้านการเกษตรทุกระดับที่อยู่ในพื้นที่ หรือศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ที่มีอยู่กว่า 880 แห่งทั่วประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล พัฒนาความรู้ และปรับเปลี่ยนวิธีการเพาะปลูกให้ทันสมัยและสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ยกระดับรายได้และเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ตนเองและครอบครัว” พล.อ.สรรเสริญ กล่าว

ชอบของแพง

ชอบของแพง

กรณีที่ประชุม ครม.เมื่อ วันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา เห็นชอบข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทย ให้กรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ดำเนินการจัดซื้อเครื่องตรวจจับความเร็วแบบพกพา
ลอตแรกจำนวน 849 เครื่อง ในวงเงิน 572 ล้านบาท

โดยกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัยจะเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อเอง

เมื่อจัดซื้อแล้วจึงมอบให้สำนักงานตำรวจแห่งชาตินำไปใช้ตรวจจับความเร็วรถซิ่ง ซึ่งก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงเพิ่มขึ้นทุกปี

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าเครื่อง ตรวจจับความเร็วรถแบบพกพาเป็นเครื่องมือจำเป็นที่ตำรวจต้องมีไว้ใช้ทำงาน

ถ้ามีการจัดซื้อเครื่องมือตรวจจับ ความเร็วแบบพกพาเพิ่มขึ้นจะเป็นประโยชน์ในการปราบปรามนักซิ่งตีนผีท้านรก และช่วยลดสถิติอุบัติเหตุจากการขับรถโดยประมาทได้อย่างสำคัญ

แต่สาเหตุที่การจัดซื้อเครื่องมือตรวจจับความเร็วแบบพกพากลายเป็นข่าวอึกทึกครึกโครม

เพราะราคาเครื่องตรวจจับความเร็วแบบพกพาที่กรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัยเสนอขออนุมัติ ครม.ตั้งราคาไว้สูงถึงเครื่องละ 675,000 บาท

แพงหูฉี่อย่าบอกใครเชียว

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ราคาแพงหูฉี่อย่างเดียว

ก่อนหน้านี้ กระทรวงมหาดไทยเคยขออนุมัติจัดซื้อเครื่องตรวจจับความเร็วแบบพกพาแบบเดียวกัน
ตั้งราคาแพงอื้อซ่ายิ่งกว่านี้ด้วยซ้ำไป

โดยเดือนธันวาคมปี 2558 กระทรวงมหาดไทยได้เคยขออนุมัติจัดซื้อเครื่องมือตรวจจับความเร็วแบบพกพาจำนวน 1,064 เครื่อง ในวงเงินงบประมาณ 957 ล้านบาท

หรือราคาเฉลี่ยเครื่องละ 900,000 บาท

แต่ถูกสำนักงบประมาณทักท้วงว่าเครื่องตรวจจับความเร็วแบบพกพาที่กระทรวงมหาดไทยเสนอขออนุมัติจัดซื้อราคาแพงเว่อร์เกินควร

เนื่องจากเครื่องตรวจจับความเร็วแบบพกพาที่ตำรวจใช้อยู่ในปัจจุบันมีราคาเพียงเครื่องละ 130,000 บาท ก็สามารถใช้งานได้เป็นอย่างดี

แม้ผ่านการใช้งานหนักมากว่า 15 ปี ก็ยังแข็งแรงทนทาน

ด้วยเหตุนี้ที่ประชุม ครม.จึงสั่งให้กรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัยเอาโครงการนี้กลับไปแก้ไขปรับปรุง
ในที่สุดกระทรวงมหาดไทยก็เอาโครงการนี้ใส่ตะกร้าล้างน้ำกลับมาเสนอที่ประชุม ครม.อีกครั้ง (หลังผ่านไป 2 ปี)

โดยยอมลดราคาจากเครื่องละ 900,000 บาท เหลือเครื่องละ 675,000 บาท

ลดกระหน่ำลงอีก 25 เปอร์เซ็นต์

จนได้รับไฟเขียวจาก ครม.ให้เดินหน้าจัดซื้อได้ตามที่ขอมา

“แม่ลูกจันทร์” มองแง่ดีว่าโครงการจัดซื้อเครื่องตรวจจับความเร็วแบบพกพาที่ได้รับไฟเขียวจาก ครม.ล่าสุด สามารถซื้อได้ในราคาถูกกว่าที่เคยเสนอครั้งแรกถึงเครื่องละ 225,000 บาท

ถ้าคิดรวม 849 เครื่อง จะประหยัดภาษีประชาชนได้ถึง 191 ล้านบาท ทีเดียว

แต่ถึงกระนั้น “แม่ลูกจันทร์” ยังมีปัญหาคาใจอีก 2 ประการ

1, เครื่องตรวจจับความเร็วแบบพกพา ราคาถูกกว่าและใช้งานได้ดีก็มีให้ซื้อ จำเป็นอย่างไรจึงต้องซื้อของราคาแพง??

2, ในเมื่อตำรวจเป็นผู้ใช้เครื่องมือตรวจจับความเร็วแบบพกพาทำไมไม่ให้ตำรวจเป็นผู้จัดซื้อมาใช้เอง??
อืมม์...มันแปลกดีมั้ยล่ะโยม

“แม่ลูกจันทร์”

กะเทาะ “แก่น” อำนาจพิเศษ “ปลดล็อก” พรรค : เหลี่ยมนิติรัฐ มัดมือการเมือง

กะเทาะ “แก่น” อำนาจพิเศษ “ปลดล็อก” พรรค : เหลี่ยมนิติรัฐ มัดมือการเมือง

ฝนถล่ม กระตุกต่อมผวา “น้องน้ำ” ซ้ำรอยปี 2554

โดยเฉพาะภาพน้ำท่วมถนนวิภาวดีรังสิต รถติดวินาศสันตะโร จากปริมาณฝนที่ตกหนักเป็นประวัติการณ์ จนระบบระบายน้ำของกรุงเทพมหานครรับไม่ไหว พร่องน้ำไม่ทัน

พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม.ทำได้แค่ขอโทษ ยอมรับผิดรับสภาพกันไป

นั่นแค่น้ำจากฝนกระหน่ำยังทำกรุงเทพฯ จมบาดาล

ส่วนสถานการณ์ที่ภาคอีสาน หนักสุดที่จังหวัดขอนแก่น น้ำล้นเขื่อนอุบลรัตน์ไหลท่วมเมือง ภาคเหนือเกิดน้ำป่าไหลหลากที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน ต่อเนื่องถึงภาคเหนือตอนล่าง สุโขทัย พิษณุโลก กำแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ ฯลฯ

น้ำล้นตลิ่งแม่น้ำ ท่วมบ้านเรือนประชาชนและถนนหนทาง

ขณะที่สถานการณ์ภาคกลางที่จังหวัดลพบุรี ประตูระบายน้ำพัง อ่างเก็บน้ำแตกท่วมไร่นา อยุธยา อ่างทอง ชัยนาท ระดับน้ำขึ้นสูงท่วมบ้านเรือนไร่นา เสียหายเป็นจำนวนมาก

หลังจากนี้ รัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. น่าจะต้องเริ่มเดินหน้ากระบวนการเมกะโปรเจกต์บริหารจัดการน้ำมูลค่า 2 แสนกว่าล้านบาท

ตั้งวงถกกันอย่างจริงๆจังๆ ทั้งการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ การขุดคลองเชื่อมเส้นทางน้ำไหลลงสู่ทะเล การกันพื้นที่ทุ่งรับน้ำ การสร้างแนวตลิ่งกั้นฝั่งแม่น้ำ การจัดการกับพวกรุกล้ำแม่น้ำลำคลอง ฯลฯ

ถึงเวลาต้องยึดความเดือดร้อนของประชาชนที่เห็นกันจะจะตรงหน้ามาก่อนกระแสการคัดค้านที่เป็นข้ออ้างนามธรรมของพวกที่ไม่ได้สัมผัสทุกข์ของประชาชน

“บิ๊กตู่” ต้องกล้าชน เลิกหงอเลิกกลัวเอ็นจีโอกันเสียที

เพราะถ้าไม่ทำในยุคนี้ที่อำนาจพิเศษเด็ดขาดเต็มมือ ก็ไม่ต้องพูดถึงยุครัฐบาลปกติจะทำได้

น้ำสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทยประเมินมูลค่าไม่ได้แล้ว

แต่ที่แน่ๆ ณ เบื้องต้นนี้ รัฐบาลและ กทม.จะต้องบริหารจัดการควบคุมสถานการณ์น้ำ ไม่ให้กระทบพระราชพิธีสำคัญของพสกนิกรชาวไทย

ในห้วงสัปดาห์สุดท้าย ก่อนถึงวันที่ 26 ตุลาคม

ล่าสุดสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร เสด็จพระราชดำเนินไปทรงยกนพปฎลมหาเศวตฉัตรยอดพระเมรุมาศ และพระราชทานโคมไฟหลวงและหีบพระเพลิงไปในการพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร

มีการอัญเชิญไปยังพระเมรุมาศจำลองในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลจำนวน 9 แห่ง จังหวัดต่างๆ 76 แห่ง และต่างประเทศ 94 แห่ง

รองรับประชาชนที่จะร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์จำนวนมาก

ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็มีการเตรียมกระบวนการต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ผู้นำต่างประเทศที่แสดงความจำนงเข้าร่วมพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ “ในหลวงรัชกาลที่ 9”

ร่วมแสดงความอาลัยในพระราชพิธีประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักรไทย

สมพระเกียรติองค์พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก

ภายใต้บรรยากาศความเศร้าโศกของลูกๆชาวไทยที่รวมพลังถวายองค์พ่อแผ่นดินเป็นครั้งสุดท้าย
ละซึ่งกิจกรรมและพฤติกรรมที่ไม่เหมาะไม่ควร

โดยเฉพาะในส่วนของการเมืองที่ตามวิถียังคงดำเนินไปต่อเนื่อง เพราะผูกโยงอยู่กับกระบวนการบริหารประเทศ

แต่ส่วนใหญ่นักการเมืองก็รับรู้ได้โดยกาลเทศะ

ไม่ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย กระแทกกระทั้นกันรายวันเหมือนยามปกติ

แม้จะไม่วายมีรายการ “ผิดคิว” กรณีของ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานมูลนิธิไทยพึ่งไทย ที่เป็นโต้โผใหญ่นำประชาชนในพื้นที่ฐานเสียง จัดกิจกรรมวางดอกดาวเรืองแทนใจแสดงความอาลัยในพระราชพิธีสำคัญ

แต่มีภาพของการขึ้นรถแห่ พร้อมป้ายชื่อหรา

มันก็เลยเป็นที่มาของเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังไปทั่วบ้านทั่วเมืองในมุมของความไม่เหมาะสม ผิดกาลเทศะ ตามปรากฏการณ์อย่างที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม พูดเสียงเครียด ควรใช้ดุลพินิจบ้าง ทำในช่วงนี้ เหมาะสมหรือไม่

เอาชื่อตัวเองมาหาเสียงแบบนั้น ทำไม่ได้

ขณะที่ “เจ๊หน่อย” ต้องแถลงขอโทษทั้งน้ำตา ยืนยันไม่มีเจตนาแฝงอะไร

แต่นั่นก็ทำให้เสียอาการทรงตัวไปเยอะ

โดยเฉพาะสถานะของแคนดิเดตแม่ทัพพรรคเพื่อไทย ที่ตามกระแสถือว่าเจ้าแม่เมืองกรุงเป็น “ตัวเต็ง” จะได้รับธงจาก “นายใหญ่” ให้นำพรรค ในการเลือกตั้งรอบต่อไป

พอเจอช็อตสะดุดหัวทิ่มแบบนี้ ก็มีเสียงวิเคราะห์จากหลายฝ่าย ฟันธงตรงกัน “เจ๊หน่อย” ลำบากแล้ว

พร้อมๆกับชื่อของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรมว.คมนาคม โผล่มาเป็นตัวเต็งแทน

ตามรูปการณ์กรณี “เจ๊หน่อย” ถือได้ว่าเป็น “จุดเปลี่ยน” สำคัญทางยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย ในการจัดทัพสู้ศึกเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในครั้งต่อไป

ในเงื่อนไขสถานการณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศย้ำสัญญาประชาคมให้ได้ยินกันไปทั่วโลก จะประกาศวันเลือกตั้งในเดือนมิถุนายน และเข้าคูหากาบัตรกันในเดือนพฤศจิกายน ปีหน้า 2561

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็เริ่มมีเสียงทักว่าด้วยปัจจัยแปรผันที่จะสอดแทรกได้

แบบที่ “ครูหยุย” นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แสดงความเป็นห่วงร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่จะถูกยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ทำให้ต้องเสียเวลาแก้เนื้อหา

ซึ่งนั่นอาจทำให้การเลือกตั้งล่าช้าออกไป

หรือแม้แต่ “ซือแป๋” นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ก็เริ่มแบะท่ายอมรับเลยว่า ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดนทักท้วงเยอะมาก แทบทุกมาตรา

ยอมรับสภาพกลายๆกฎหมายลูกมีแววล่าช้า คุมเกมไม่ได้

เรื่องของเรื่อง มันก็เป็นไปตามเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญที่มีขั้นตอนตามกระบวนการทางเทคนิคข้อกฎหมายที่เกี่ยวโยงกับหลายฝ่าย กว่ากฎหมายลูกจะสะเด็ดน้ำต้องใช้เวลา

ไม่ได้เสกกันได้ภายในชั่วข้ามวันข้ามคืน

ที่แน่ๆ พล.อ.ประวิตร ในฐานะโต้โผใหญ่ของรัฐบาลคสช.ก็ยืนกรานเสียงแข็งเลยว่า กำหนดการเลือกตั้งต้องขึ้นอยู่กับกระบวนการกฎหมายลูกเสร็จเรียบร้อยแล้วเท่านั้น

ฟังประกาศเลือกตั้งจาก “บิ๊กตู่” แล้วมาดูกระบวนการตามเงื่อนไข “บิ๊กป้อม”

มันก็ยังเป็น “ความชัด” ซ้อนอยู่ใน “ความไม่ชัด”

แต่อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งในปีหน้า 2561 จะเกิดขึ้นตามกำหนดที่หัวหน้า คสช.ประกาศสัญญาประชาคมหรือต้องลากออกไปตามปัจจัยแปรผันที่คุมเกมไม่ได้

สิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นก่อนก็คือการปลดล็อกทางการเมือง

ตามท้องเรื่องที่นักการเมืองทุกป้อมค่ายส่งเสียงเรียกร้องให้ คสช.ไฟเขียวให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมได้ ตามเงื่อนไขความจำเป็นในการต้องเตรียมความพร้อมก่อนเลือกตั้ง

ในจังหวะที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองก็ประกาศบังคับใช้แล้ว

โดยแนวโน้มฟังจากทั้ง พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร ก็บอกให้รอไปว่ากันภายหลังพระราชพิธีสำคัญผ่านพ้นไปแล้ว จะพิจารณาอนุญาตให้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้

ยังไงก็หนีไม่พ้นต้องเจาะรูระบายแรงดันไว้ก่อน

ภายใต้เงื่อนสถานการณ์ที่บทบัญญัติหลักรัฐธรรมนูญที่ถือเป็นกฎหมายแม่บทออกมาบังคับใช้แล้ว แต่บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญยังให้ คสช.ถืออำนาจพิเศษเป็นเครื่องมือคุมเกมการเมือง

แต่นั่นมันก็แค่ “เหลี่ยมนิติรัฐ” มัดมือนักเลือกตั้ง

ในเมื่อทุกอย่างยังอยู่ภายใต้ “รัฏฐาธิปัตย์”.
“ทีมการเมือง”

แหยงเสี่ยงตายน้ำตื้น

แหยงเสี่ยงตายน้ำตื้น

เสียรังวัดติดกันสองงานซ้อนๆ

ตามคิวที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. แสดงอาการมึนตึง หลีกเลี่ยงการขึ้นโพเดียมตอบคำถามสื่อมวลชน ภายหลังเหลือบเห็นคำถามกรณี ซีอีโอเฟซบุ๊ก “มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก” ปฏิเสธข่าวไม่มีแผนเดินทางมาเยือนประเทศไทย

สวนทางการตีปี๊บที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ประโคมข่าวเจ้าพ่อเฟซบุ๊กจะมาประเทศ ไทยปลายเดือนตุลาคมนี้ เพื่อเข้าพบ “บิ๊กตู่” หารือทิศทางการขยายตัวเฟซบุ๊กในภูมิภาคอาเซียน

สุดท้ายกลายเป็นเรื่องหน้าแหกของรัฐบาล แม้แต่ “บิ๊กตู่” ยังหลงร่วมทึกทักจะมีการมาหารือเรื่องแสวงหาความร่วมมือการป้องกันแก้ไขปัญหาผลกระทบอาชญากรรมข้ามชาติ

ยังไม่รวมเรื่องที่หลอกคนจนดีใจเก้อก่อนหน้านี้ กรณี นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ออกมาให้ข่าว รัฐบาลเตรียมเพิ่มวงเงินบัตรคนจนจากเดือนละ 200-300 บาท เป็น 700-800 บาทต่อเดือน
แต่สุดท้ายกลายเป็นเรื่องไม่จริง จนทีมงานโฆษกรัฐบาลต้องแถลงข่าวชี้แจง รัฐบาลยังไม่มีนโยบายดำเนินการในเรื่องดังกล่าว เพราะยังอยู่แค่ในชั้นศึกษาความเป็นไปได้เท่านั้น

ถึงขั้นที่นายกรัฐมนตรีออกมาตำหนิปลัดกระทรวงการคลังในวง ครม. ที่ให้ข่าวโดยไม่มีการหารือกับ รมว.คลัง กลายเป็นประเด็นบานปลาย ถูกขยายความกลายเป็นเรื่องการเมือง

เปิดช่องให้รัฐบาลถูกโจมตีเป็นการเพิ่มวงเงินหวังเอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายใหญ่ขายสินค้าได้เพิ่ม อีกทั้งในระดับนโยบายยังไม่รู้ว่า จะไปเอาเงินเพิ่มมาจากไหนในภาวะที่งบประมาณรัฐบาลมีอยู่อย่างจำกัด
ถูกฝ่ายการเมืองฉวยจังหวะตีกินเล่นงาน ฉุดโครงการบัตรคนจนที่กำลังติดลมบนเสียเครดิต

เรือแป๊ะเจอคลื่นกระแทกพุ่งใส่โดยไม่จำเป็น ในช่วงที่กำลังตั้งลำสั่งสมผลงาน และยังมีแนวโน้มต้องเตรียมตั้งรับแรงกระเพื่อมที่ตั้งเค้าเข้ามาถี่ขึ้นหลังจากนี้

อย่างที่เห็นจากกรณีความโปร่งใสการก่อสร้างร้านค้าและห้องน้ำ อุทยานราชภักดิ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ วงเงิน 15 ล้านบาท ที่ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาหลอนรัฐบาลอีกรอบ

จน “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ต้องออกมาการันตีความถูกต้อง พร้อมสั่งให้กองทัพบกเร่งชี้แจงรายละเอียดในโครงการทั้งหมด

รวมถึงกรณีที่ ครม.อนุมัติให้จัดซื้อ เครื่องตรวจจับความเร็วแบบพกพา 849 เครื่อง วงเงิน 573 ล้านบาท แบบเงียบๆตามที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เสนอมา เพื่อป้องกัน และลดอุบัติเหตุบนท้องถนน

เบ็ดเสร็จตกราคาเครื่องละ 600,000 กว่าบาท ก็ถูกทักท้วงยังเป็นการจัดซื้อในราคาสูงเกินจริง ซึ่งอธิบดี ปภ. ต้องออกมาชี้แจงว่า ยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการเตรียมการ ยังไม่มีการจัดซื้อจริง

การันตีจะมีการประกวดราคาแข่งขันตามระเบียบราชการอย่างเคร่งครัด โปร่งใส เป็นธรรม และใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า

สองเรื่องร้อนๆที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างทั้งโครงการอุทยานราชภักดิ์ และการจัดซื้อเครื่องตรวจจับความเร็ว ถูกแหย่ให้เป็นเรื่องฉาวในช่วงนี้ ตั้งท่าดิสเครดิต ปั่นกระแสให้ระแวงรัฐบาลทหารเรื่องการใช้งบประมาณ

กระแสจ้องจับผิดรุมเร้ารัฐบาล ในช่วงที่ “ลุงตู่” กำลังทำแต้มเร่งสปีดผลงาน นั่งหัวโต๊ะเร่งเครื่องให้คณะกรรมการชุดต่างๆโชว์ผลงานให้เข้าตาประชาชน

นั่นก็ย่อมเป็นธรรมดาตามธรรมชาติการเมืองแบบไทยๆที่ต้องถูกอีกฝ่ายเตะตัดขา ไม่ให้ตีกินทำคะแนนได้ง่ายๆในภาวะที่กำลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง เดือนพฤศจิกายน 2561

แต่ที่ดูเหมือนจะระวังตัว ไม่ให้พลาดเป็นพิเศษคือ มติ ครม.ล่าสุดที่สั่งให้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ไปหาทางผ่อนปรนกฎเหล็ก ร่างมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ที่จะบังคับใช้ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี รมต. ส.ส. ส.ว. รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ

เนื่องจากมีการกำหนดเกณฑ์จริยธรรมกว้างเกินไป ตามปมหวาดเสียวที่รัฐบาลทหารเป็นห่วงเรื่องการกำหนดข้อห้ามในร่างมาตรฐานทางจริยธรรมดังกล่าวสวนทางกับธรรมชาติการทำงานของฝ่ายการเมือง
อาทิ การกำหนดข้อห้ามรับของที่มีผู้ให้เนื่องในโอกาสงานประเพณี สวนทางกฎหมาย ป.ป.ช.ที่ให้รับของขวัญได้ไม่เกิน 3,000 บาท หากเป็นกรณี ครม.ลงพื้นที่มีคนเอาผ้าขาวม้ามาผูกเอว นำกระเช้าดอกไม้มาให้ แม้ราคาไม่ถึง 3,000 บาท อาจเข้าข่ายผิดร่างมาตรฐานจริยธรรมดังกล่าวได้

หากไปเจอพวกจอมร้องเรียนยื่นตีความ นายกฯและ รมต.ในอนาคตก็มีสิทธิ์กระเด็นตกเก้าอี้ได้ง่ายๆ
เงื่อนไขหมิ่นเหม่ สั่นคลอนเสถียรภาพตัวเองในอนาคต อำนาจพิเศษผวาสะดุดขาตัวเอง
ไม่อยากตายน้ำตื้นในกติกาที่สร้างขึ้นมากับมือ.

ทีมข่าวการเมือง