PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เตือน'ประยุทธ์'ตรวจสอบข่าวคนแดนไกลแจกเงินหัวคะแนน

"พุทธะอิสระ" โพสต์เฟชบุ๊คเตือน "ประยุทธ์" ตรวจสอบข่าวคนแดนไกลแจกเงินหัวคะแนนเคลื่อนไหวซ่องสุมมวลชน
หลวงปู่พุทธะอิสระโพสต์ข้อความผ่านเฟชบุ๊คส่วนตัว ใจความตอนหนึ่ง ระบุว่าหลังจากเดินทางมาจ.เชียงใหม่เพื่อติดตามโครงการรีไซเคิลขยะ ทำให้ได้รับข้อมูลว่ากำนัน ผู้ใหญ่บ้านหลายคน เริ่มมีเงินลอยมาเข้ากระเป๋า ตรวจสอบดูข้อมูลข่าวจากหลายแหล่ง เห็นว่ามีคนแดนไกลใจดีแจกเงินมาให้หัวคะแนนเอาไว้ใช้เคลื่อนไหวซ่องสุมมวลชน เพื่อต่อต้านคุณประยุทธ์ (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี) และรัฐบาล คุณประยุทธ์น่าจะตรวจสอบข้อมูลนี้ดูหน่อย ขืนปล่อยให้เนิ่นนานไปเดี๋ยวงานได้เข้ารัฐบาลแน่ ได้ยินมาว่ามวลชนเที่ยวนี้มีสารพัดสี คุณประยุทธ์เตรียมรับมือเอาไว้แล้วหรือยัง
หลวงปู่พุทธะอิสระ ระบุด้วยว่า มวลชนคนแจ้งวัฒนะเราต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลา ต้องเชื่อมั่นและให้กำลังใจรัฐบาล แต่หากเห็นว่าไม่อยู่ในร่องในลอยต้องส่งสัญญาณเตือน ถ้าหากตรงไปตรงมาชัดเจนยึดถือผลประโยชน์ชาติประชาชนเป็นหลัก พวกเราต้องสนับสุน ถ้าหากมีเภทภัยใดๆเกิดขึ้นแก่สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา เราต้องพร้อมที่จะออกมาปกป้อง เพราะช่วงเวลาอันไม่นานต่อไปนี้ คงจะมีเหตุการณ์ที่ฉันไม่อยากให้เกิดขึ้นคงจะเกิดขึ้นตามวิถีแห่งโลกแน่ คนรักพระเจ้าอยู่หัว รักราชวงศ์จักรี ควรเตรียมตัวพร้อม เพื่อออกมาปกป้องสถาบัน ควรรอสัญญาณ แล้วจะเรียกเมื่อชาติต้องการ แต่พวกเราจะไม่ไปก่อความวุ่นวายให้แก่บ้านเมือง ถ้าไม่มีกลุ่มใดคิดจะทำร้ายสถาบันหลักของชาติ พวกเราประชาชนคนเวทีแจ้งวัฒนะก็จะไม่ออกมาสร้างภาระให้แก่รัฐบาลเป็นอันขาด

ป.ป.ช.ยันทรัพย์สิน“บิ๊กตู่”ถูกต้อง-มีอยู่จริง ชี้ที่ดิน“พ่อ”ได้มาก่อนนั่งนายกฯ

ป.ป.ช. เผยผลตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินฯ “พล.อ.ประยุทธ์” พบมีความถูกต้อง-มีอยู่จริง ไร้สิ่งผิดปกติ เตรียมเก็บไว้เทียบในครั้งต่อไป ชี้ที่ดินมรดก “พ่อ” ได้มาก่อนยื่นในตำแหน่งนายกฯ – จ่อนำผลประชุมคณะทำงานร่วมฯชงที่ประชุม ป.ป.ช. พิจารณา 11 พ.ย.นี้ เผย อสส. ขอรายงานวิจัยทีดีอาร์ไอฉบับเต็ม-สอบพยานที่อ้างอภิปรายในสภา

เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2557 นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า เจ้าหน้าที่ของสำนักตรวจสอบทรัพย์สินภาคการเมืองได้รายการตรวจสอบดังกล่าวให้ทราบแล้ว พบว่า ทรัพย์สินที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยื่นมาให้ตรวจสอบนั้น มีความถูกต้อง และมีอยู่จริง ไม่พบว่ามีสิ่งผิดปกติ ซึ่ง ป.ป.ช. จะเก็บไว้เปรียบเทียบกับตอนยื่นแสดงรายการทรัพย์สินของ พล.อ.ประยุทธ์ ในครั้งต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่ดินย่านบางบอนที่เป็นมรดกของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งถูกวิจารณ์อยู่ในขณะนี้ได้ตรวจสอบด้วยหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า ป.ป.ช. ตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินฯที่ยื่นเข้ามาถึงความถูกต้องและความมีอยู่จริงเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ดินที่ปรากฏเป็นข่าวดังกล่าว เกิดขึ้นก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินเข้ามา

นายปานเทพ กล่าวด้วยว่า สำหรับรายงานการประชุมของคณะทำงานร่วมระหว่างฝ่าย ป.ป.ช. และอัยการสูงสุด (อสส.) นั้น นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานฝ่าย ป.ป.ช. ได้รายงานผลประชุมให้ทราบแล้ว พบว่า มีการพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ในเรื่องการสอบพยานบุคคลเพิ่มเติม ซึ่งพยานคนใดที่ ป.ป.ช. ไต่สวนไปแล้ว ก็จะไม่มีการนำมาพิจารณาใหม่ แต่สำหรับพยานเอกสารที่ตัวแทน อสส. ขอมาเพิ่มเติมจากที่ ป.ป.ช. ได้อ้างอิงไป เราก็จะหาให้ เนื่องจากมีพยานบุคคลอ้างอิงถึงพยานเอกสาร แต่ในส่วนพยานอื่น ๆ นั้น ป.ป.ช. เห็นว่าเพียงพอแล้ว
“ทางคณะทำงานของ อสส. ได้สอบถาม ป.ป.ช. ว่าได้ยืนยันการพิจารณาตามที่ ป.ป.ช. พิจารณามาใช่หรือไม่ จากนั้นเขาจะได้นำไปยืนยันต่อที่ประชุม อสส. ทราบแล้วค่อยกลับมาประชุมเพื่อให้คำตอบกันอีกครั้งโดยเร็ว อย่างไรก็ตามนายสรรเสริญ เตรียมรายงานข้อสรุปของที่ประชุมคณะทำงานร่วมฯให้แก่ที่ประชุม ป.ป.ช. ทราบในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้” นายปานเทพ กล่าว
รายงานข่าวจากที่ประชุมคณะทำงานร่วม ป.ป.ช.-อสส. แจ้งว่า พยานเอกสารที่ อสส. ขอให้ ป.ป.ช. ส่งรายละเอียดให้เพิ่มเติมคือ เอกสารงานวิจัยเรื่องจำนำข้าวของสถาบันทีดีอาร์ไอฉบับเต็ม และขอให้สอบพยานบุคคลที่มีการอ้างอิงถึงเอกสารจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องโครงการรับจำนำข้าวในสภาอีกด้วย

"ชวน"เชื่อ 36 อรหันต์ยกร่าง นำชาติเดินหน้า ไม่ถอยหลัง เอนก-สมบัติ ร่วมแสดงทัศนะ

7พ.ย.57
"ชวน"เชื่อ 36 อรหันต์ยกร่างรธน.จะนำพาประเทศเดินหน้า ไม่ถอยหลัง ชี้ ส.ส. ต้องมาจากประชาชน วอนอย่าเอาบ้านเมืองเป็นของทดลอง "สมบัติ" เผย จุดอ่อนรัฐสภาเกิดจากประชาชนอ่อนแอ พรรคเป็นของนายทุน แนะเลือกตั้ง ส.ส.จังหวัด ส่วน"เอนก" ยอมรับไทยขัดแย้งกันตั้งแต่ปี 2475 แต่ก็อยู่ร่วมกันได้ เสนอออกแบบรัฐบาลแบบผสม ดึงทุกฝ่ายร่วม ตั้งระยะเวลาเฉพาะกาล ลั่นพร้อมเขียนรธน.ให้ออกมาดีที่สุด 

เวลา 10.45 น. ได้มีการแสดงทัศนะ หัวข้อ"บทเรียนสู่อนาคตเพื่อประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ" โดยมีนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ กรรมาธิการ(กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ร่วมแสดงทัศนะ ทั้งนี้ นายชวน กล่าวว่า การร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา  ส่วนตัวเชื่อว่ากรรมาธิการยกร่างชุดนี้ จะสามารถนำพาประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้โดยที่ไม่พาประชาธิปไตยถอยหลัง ซึ่งการร่างรัฐธรรมนูญนั้นต้องกำหนดให้ประชาธิปไตยต้องเป็นไปตามมาตราฐานที่ประชาชนมีสิทธิเลือกผู้แทนราษฎรเองและต้องยอมรับในประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ  ทั้งนี้ รูปแบบที่มาของนักการเมืองนั้น ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่มาจากการเลือกตั้งหรือมาจากการแต่งตั้ง สุดท้ายก็จะได้ทั้งคนดีและคนไม่ดีเข้ามาปะปนกันและ อย่าหวังว่ารัฐธรรมนูญจะเขียนให้คนที่เข้ามาใช้อำนาจเป็นคนดีได้ทั้งหมด ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการตรวจสอบ เพื่อให้เกิดการจัดการดุลอำนาจ  คนที่จะมาเล่นทางการเมืองต้องเป็นมืออาชีพทางการเมืองอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นที่เป็นมืออาชีพในทางอื่นเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง จนเกิดปัญหา พร้อมย้ำว่าขณะนี้การเมืองไทยไม่ได้ด้อยกว่าประเทศอื่น เพียงแต่เป็นการสะดุดล้มลงชั่วคราวเท่านั้น 
http://www.matichon.co.th/online/2014/11/14153515361415351551l.jpg

"ประเทศไทยเราไม่ด้อยกว่าที่อื่น ประชาธิปไตยเราก้าวหน้ากว่า แต่เรามีอุบัติเหตุ หากผ่านไปได้เชื่อว่าเราจะไปไกลกว่าทุกประเทศ อย่าไปตำหนิว่าแย่กว่าประเทศใด ฝ่ายตุลาการต้องเข้มแข็ง  อย่าเอาบ้านเมืองไปทดลอง บ้านเมืองไม่ใช่ของทดลอง ความมั่นคงของประเทศไม่ใช่ของทดลอง จากบทเรียน 82 ปี เรารู้จุดอ่อนแล้ว ถ้าหาทางแก้ไขเหตุการณ์ยึดอำนาจก็คงไม่เกิดขึ้น "

http://www.matichon.co.th/online/2014/11/14153515361415351648l.jpg

ด้านนายสมบัติ กล่าวว่า การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรงไม่ใช่เป็นระบบประธานาธิบดี เพราะนายกรัฐมนตรีเข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศอย่างเดียวไม่ได้เป็นประมุข โดยให้จำกัดอำนาจที่ชัดเจนไม่ให้สามารถละเมิดได้ และยังถือว่าเป็นการปกครองระบบรัฐสภา แต่จุดอ่อนของระบบรัฐสภาในปัจจุบัน เกิดจากกลไกภาคประชาชนอ่อนแอไม่ใช่เกิดปัญหาจากตัวบทกฎหมาย เพราะ หากการเลือกตั้งของไทยประชาชนไม่สามารถเลือกคนที่ดีเข้ามาทำหน้าที่ได้ สุดท้ายระบบเลือกตั้งก็จะไม่ใช่ระบบที่ดี ดังนั้นความเป็นประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากยังมีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงเพราะประชาชนขาดวัฒนธรรมทางประชาธิปไตย

นายสมบัติ กล่าวต่อว่า
 ปัจจุบันพรรคการเมืองส่วนใหญ่กลายเป็นของนายทุน หากนักการเมืองยังสังกัดพรรคก็จะเป็นเหยื่อให้กับนายทุน  ดังนั้นการทำให้พรรคการเมืองรอดจากนายทุน ก็ควรกำหนดให้ประชาชนจ่ายภาษีให้กับพรรคการเมือง จะทำให้พรรคการเมืองดำเนินงานด้วยตนเองไม่พึ่งนายทุน ขณะเดียวกัน การจัดตั้งพรรคต้องกำหนดให้มีสมาชิกพรรคเพิ่มขึ้นและให้กรรมาการสาขาพรรคเข้ามามีบทบาท ทำให้พรรคการเมืองเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ส่วนวิธีการลดการซื้อสิทธิ์ขายเสียงได้ คือการให้ประชาชนเลือกฝ่ายบริหารขึ้นมาโดยตรง  โดยให้เลือกส.ส. บัญชีรายชื่อจังหวัด ถือจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง

http://www.matichon.co.th/online/2014/11/14153515361415351570l.jpg

ขณะที่นายเอนก กล่าวว่า 
เราขัดแย้งกันตั้งแต่  2475 แต่ก็อยู่กันได้ในสังคมอย่างประหลาด ขัดแย้งแต่รอมชอมกันได้ แม้แต่การยึดอำนาจครั้งที่ผ่านมา เรียกใครไปรายงานตัวก็ไปกันหมด ฝ่ายที่ยึดอำนาจก็กำลังรอดูว่ารัฐธรรมนูญจะออกมาอย่างไร และคิดว่าตัวเองจะกลับมามีอำนาจอีกครั้ง เมืองไทยมีดุลอำนาจมาก จนไม่มีใครเป็นนายกรัฐมนตรีได้นาน ทหารก็อยู่ได้ไม่นาน เมืองไทยมีสิทธิเสรีภาพสูงมาก   แต่บางช่วงเราพร้อมขาดสิทธิเสรีภาพ แต่อย่านานมากไม่อย่างนั้นจะมีการบ่น ซึ่งคิดว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ทราบจุดนี้จึงไม่ให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญนาน เรามีวิธีคิดได้หลายแบบ และต้องคิดเชิงบวก มีหลายอย่างอยากเสนอ เป็นไปได้หรือไม่ รัฐธรรมนูญเราให้ใครชนะแล้วชนะหมด แพ้เป็นฝ่ายค้านตลอดกาลเลย แต่เนเธอร์แลนด์เป็นรัฐบาลผสม  ไม่ได้ผลักดันใครเป็นฝ่ายค้านตลอดกาล

นายเอนก กล่าวว่า  อยากเสนอว่าควรจะออกแบบให้รัฐบาลต้องมีเสียง 2ใน3  แต่อยากให้มี 3ใน 4 รัฐธรรมนูญจะช่วยบีบให้สองฝ่ายมาร่วมกัน ฝ่ายขัดแย้งต้องร่วมกันเป็นรัฐบาลผสม อาจเขียนระยะเฉพาะกาล 5-10 ปี แต่การควบคุมรัฐบาลต้องใช้องค์กรอิสระ การพิจารณาเกี่ยวกับนักการเมืองต้องสำเร็จรวดเร็ว องค์กรอิสระควรมีไว้ แต่ต้องมีประสิทธิผล ตนไม่เชื่อมั่นฝ่ายค้านจะตรวจสอบรัฐบาลได้มาก ถ้าคิดจะปฏิรูปการเมืองต้องกล้าคิดใหม่ๆ ต้องเขียนรัฐธรรมนูญจากปัญหาของเรา เพราะปัญหาเราไม่เหมือนปัญหาของคนตะวันตก จะลอกเขาไม่ได้ ต้องเข้าใจสังคมไทยแท้ และออกแบบรัฐธรรมนูญมาให้สอดคล้อง เรามีปัญหามากคือระบบอุปถัมภ์ แต่คนไทยขาดไม่ได้ รัฐธรรมนูญจะยอมรับได้อย่างไร ให้ระบบอุปถัมภ์มีหลักการ อย่าให้ก้าวไปสู่คอร์รัปชันได้ออกมาแบบ รัฐธรรมนูญให้ทุนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองได้น้อย รัฐธรรมนูญฉบับนี้ต้องเริ่มคิด  สปช.กมธ.ไม่กีดกันพรรคการเมืองต่างสี เรายินดีฟังปัญหาและให้ท่านช่วยคิดว่าจะสร้างการเมืองอย่างไรไม่ทำลายอีกฝ่าย แต่ผิดก็คือผิดไม่ใช่สามัคคีจนมีนรู้ผิดถูก ขอให้มาช่วยกันแล้วเราจะเขียนรัฐธรรมนูญออกมาให้ดีที่สุด

“อุดมเดช” เผยคลื่นใต้น้ำมีไม่มาก แจง “ประยุทธ์” ยังไม่ใช้มาตรา 44 - ยันไม่สกัด “ยิ่งลักษณ์”

“อุดมเดช” เผยคลื่นใต้น้ำมีไม่มาก แจง “ประยุทธ์” ยังไม่ใช้มาตรา 44 - ยันไม่สกัด “ยิ่งลักษณ์”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
7 พฤศจิกายน 2557 14:59 น

ผบ.ทบ.ยืนยันนโยบาย คสช.เน้นทำความเข้าใจ เผยมีคนเห็นต่างเคลื่อนไหวแต่ไม่มาก ยันเวลานี้นายกฯ ไม่ใช้มาตรา 44 ควบคุมสถานการณ์ ชี้ปรองดองจะเกิดได้ ต้องอาศัยการผสมผสานทางความคิดและการยอมรับ เตรียมให้ ผบ.หน่วยไปคุย “วรชัย-ถาวร” เรียกร้องใช้ช่องทางสภาปฏิรูป ยันไม่คิดจำกัดหรือกลั่นแกล้ง “ยิ่งลักษณ์” อีกด้านแจงกรณีทหารยิงกันเองในค่ายที่ปัตตานี ยอมรับทหารเครียด เตรียมส่งชุดแพทย์ดูสภาพจิตใจเพิ่มพร้อมจัดกิจกรรมนันทนาการ

วันนี้ (7 พ.ย.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และ รมช.กลาโหม ให้สัมภาษณ์หลังจากเป็นประธานกล่าวให้โอวาท คณะนักกีฬายิงปืนยุทธวิธีกองทัพบก กลุ่มประเทศอาเซียน ครั้งที่ 24 ถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านการทำงานของรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า สถานการณ์ขณะนี้ยอมรับว่ามีความเคลื่อนไหวของผู้เห็นต่าง แต่ไม่รุนแรงมาก ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล ทั้งนี้ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังเน้นการพูดคุยทำความเข้าใจ พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังทำอะไรอยู่ โดยเฉพาะในบางเรื่องบางประเด็นที่อาจเกิดความไม่เข้าใจกัน
     
       ทั้งนี้ ตนได้สั่งการไปยังหน่วยที่รับผิดชอบในพื้นที่ ให้ยึดนโยบายของทางนายกรัฐมนตรี เพื่อเสริมสร้างให้ความเข้าใจ กับกลุ่มคนเห็นต่าง และตนเชื่อว่าประเทศจะเดินไปได้ คงไม่มีปัญหาอะไร

ส่วนการนำมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญช่วยคราวมาปฎิบัติกับผู้เห็นต่างนั้น รัฐบาลยังไม่ได้ดำเนินการขอให้ทุกคนสบายใจและร่วมมือกันในการทำให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้า
     
       “ขอยืนยันว่าขณะนี้นายกรัฐมนตรี ยังไม่ใช้มาตรา 44 ในการควบคุมสถานการณ์ สิ่งที่นายกฯ พูดก็เพื่อต้องการบอกให้ทุกคนเข้าใจว่า คสช.ยังมีอำนาจอยู่และสามารถดำเนินการได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะหยิบมาใช้ในทันทีทันใด ทั้งนี้การดำเนินการกับกลุ่มผู้ต่อต้านยังยึดหลักการทำความเข้าใจเหมือนเดิม” พล.อ.อุดมเดชกล่าว
     
       เมื่อถามว่า ได้มีการเรียกตัวนายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย และนายถาวร เสนเนียม อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ มาพูดคุยในฐานะที่ทั้งสองได้ออกมาให้สัมภาษณ์กดดันการทำงานของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หรือไม่ พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า กำลังดูอยู่ และพยายามทำความเข้าใจ ถ้ามีโอกาส จะให้ ผบ.หน่วยที่ดูแลพื้นที่นั้นๆ เข้าไปพูดคุย เชื่อว่าทุกคนอยากให้ประเทศเดินไปข้าง แต่มีวิธีการแสดงออกที่แตกต่างกันไปตามความคิด แต่เชื่อว่าไม่เหนือบ่ากว่าแรงของเจ้าหน้าที่
     
       เมื่อถามว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านปรากฏในพื้นที่ใดบ้าง พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า หากใช้คำว่าการเคลื่อนไหวจะมองเป็นภาพใหญ่เกินไป จากข้อมูลทราบว่ามีการพูดคุยให้ข้อคิดเห็นกัน มีการแสดงออกผ่านการจัดเวทีเสวนา อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้มีกฎระเบียบอยู่แล้วว่าจะดำเนินการใดๆ ต้องขออนุญาต คสช.ก่อน และจะต้องไม่มีการพูดคุยที่ทำให้เกิดความแตกแยก ยุยงปลุกปั่นในทางที่ไม่ถูกไม่ควร ที่ผ่านมาก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีเพียงเล็กๆ น้อยๆ พูดคุยกันก็ไม่มีอะไร อย่างไรก็ตามขอเรียกร้องให้กลุ่มเห็นต่างทุกกลุ่ม ได้ใช้ช่องทางสภาปฏิรูปแห่งชาติ ทั้ง 11 ด้าน มากกว่า แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างพูดโดยใช้ช่องทางข้างนอก ภาพที่ออกจะไม่ก่อให้เกิดความรักความสามัคคี
     
       เมื่อถามว่า ทางสำนักงานอัยการสูงสุดและคณะป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เตรียมจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีโครงการรับจำนำข้าวจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องอีกหรือไม่ พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า ทุกอย่างต้องยึดตามความถูกต้อง อะไรถูกหรือผิด ผลจะแสดงออกมาเองตามขั้นตอนและวิธีการ ตนเชื่อมั่นว่าความถูกต้องมีอยู่
     
       เมื่อถามว่า คสช.ไม่ได้สะกัดกั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือสมาชิกพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า ผู้บังคับบัญชาระดับสูงในรัฐบาลต่างเข้าใจว่าความปรองดองจะเกิดขึ้นได้นั้น ต้องมีการผสมผสานความเข้าใจทางความคิด การยอมรับและพึ่งพอใจของทุกฝ่าย เพราะฉะนั้นจะไปจำกัดหรือกลั่นแกล้งใคร ท่านนายกรัฐมนตรีจะไม่ทำ เพราะยุทธศาสตร์แห่งความสำเร็จต้องมีความเข้าใจ และยอมรับในสิ่งที่จะเกิดขึ้น ซึ่งในรอบปีนี้ เราจะมีการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ ถ้าหากไม่เป็นที่ยอมรับ ก็ไม่รู้จะทำไปทำไม ซึ่งตรงนี้รัฐบาลเองก็เข้าใจ จึงไม่ได้เข้าไปแบ่งแยก เพียงแต่ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ทุกสี ต้องพยายามเข้าใจ ไม่เคลื่อนไหวไปคนละทิศละทาง และหันหน้ามาคุยกันบนเวทีที่เราเปิดให้
     
       พล.อ.อุดมเดชยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี (ฉก.ปน.) ยิงกันเองจนมีทหารบาดเจ็บและเสียชีวิตว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ เพราะการปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นงานหนัก รวมถึงปัญหารอบๆ ตัวมารุมเร้าเข้ามา ทั้งนี้ ตนได้เน้นย้ำและมอบนโยบายในช่วงที่เข้ารับหน้าที่ผู้บัญชาการทหารบกใหม่ๆ โดยรับนโยบายมาจากนายกรัฐมนตรี ให้ดูแลสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และอยากให้เป็นปีที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดความสงบมากยิ่งขึ้น
     
       ทั้งนี้ ตนได้มอบภารกิจและรายละเอียดต่างๆ ไปมากพอสมควร ให้กับ พล.ท.ปราการ ชลยุทธ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า) ร่วมถึงผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจในจังหวัดต่างๆ โดยใช้รองแม่ทัพภาคที่ 4 มาดูแล ก็มีรายละเอียดมากพอสมควร ได้มีการพูดคุยและลงไปตรวจเยี่ยม ทุกคนก็เน้นจะให้เกิดความสำเร็จขึ้นมา และอาจจะมีความเครียดอะไรบ้าง รวมถึงเรื่องส่วนตัวของกำลังพล เพราะทุกคนต้องเสียสละห่างบ้านและครอบครัวเพื่อมาทำงานตรงนี้ จึงเกิดความเครียด รวมถึงความกดดันเพื่อให้งานไปสู่ความสำเร็จ จึงอยากให้ประชาชนได้เข้าใจ
     
       อย่างไรก็ตาม ตนได้สั่งการเพิ่มเติมให้ชุดแพทย์ที่อยู่ในพื้นที่เข้ามาตรวจเช็กความพร้อมสภาพจิตใจ ความรู้สึก หรือด้านจิตแพทย์ ของกำลังพลในหน่วย พร้อมทั้งจัดกิจกรรมสันทนาการให้กับกำลังพลเพื่อให้เกิดความสบายใจ ส่วนเรื่องระเบียบวินัยก็ต้องดูแลให้อยู่ในมาตรฐานที่เหมาะที่ควร นอกจากนี้ตนยังต้องรอผลการสอบสวนข้อเท็จจริงต่อเหตุการณ์ดังกล่าว

คิวนายกฯไปต่างประเทศยาว

นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC) ครั้งที่ 22 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 9-11 พฤศจิกายน 2557 // จากนั้น จะเดินทางต่อไปยัง กรุงเนปิดอร์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 25 ระหว่างวันที่ 12-13 พฤศจิกายน 2557
Cr.Toto INN News.

คสช.ตีปาก “เจ๊ปอง” ปั่นข่าวในโซเชียลฯ ยันไม่มีรายงานตัว เผย “คลื่นใต้น้ำ” เอาอยู่

โฆษก คสช.ปราม “อัญชะลี กปปส.” มันปากโพสต์เฟซบุ๊กล่าตัวแกนนำสองฝ่ายเข้าค่ายทหาร ยันไม่ได้ทำแบบนั้นแล้ว แต่สั่งหน่วยงานความมั่นคงแต่ละพื้นที่ใช้ดุลยพินิจเอง การจัดงานก็ขอเข้าไปสังเกตการณ์ คลื่นใต้น้ำเน้นขอความร่วมมือมากกว่า เผยยังดูแลได้อยู่
       
       

       
       วันนี้ (7 พ.ย.) พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ในฐานะทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก พิธีกรรายการโทรทัศน์ และแนวร่วมคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวในทำนองที่ว่า คสช.จะเรียกบุคคลระดับแกนนำของกลุ่มทางการเมืองสองฝ่ายเข้ารายงานตัวอีกครั้งว่า สิ่งที่มีการเผยแพร่ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กในขณะนี้เป็นเพียงกระแสข่าวเท่านั้น ขอยืนยันว่าขณะนี้ คสช.ไม่มีการดำเนินการในลักษณะเช่นนั้นแล้ว
       
       โดยเรื่องการรักษาความสงบได้มอบหมายให้หน่วยงานความมั่นคงของแต่ละพื้นที่เฝ้าระวัง และใช้ดุลพินิจเอง โดยเฉพาะการจัดงานต่างๆ ก็จะมีการสอบสวนข้อมูลก่อนจัดงาน และขอเข้าไปสังเกตการณ์ในระหว่างการจัดงานด้วย ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความร่วมเป็นอย่างดีจากทุกฝ่าย ส่วนเรื่องคลื่นใต้น้ำต่างๆ ที่ยังมีอยู่นั้น คสช.ได้กำชับให้หน่วยงานความมั่นคงก็ได้ส่งเจ้าหน้าไปเข้าตรวจสอบและทำความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง
       
       “เราให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในแต่ละพื้นที่ติดตามความเคลื่อนไหวทั้งหมด ตอนนี้คงไม่ถึงขั้นต้องเรียกเข้ามารายงานตัวเหมือนที่มีการพูดกันในสังคมออนไลน์ ส่วนเรื่องคลื่นใต้น้ำก็กำชับให้เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด แต่การดำเนินการก็เป็นไปในลักษณะขอความร่วมมือกันมากกว่า โดยที่ต้องคำนึงถึงการรักษาบรรยากาศให้สงบเรียบร้อยด้วย ที่ผ่านมาก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี โดยความเคลื่อนไหวของคลื่นใต้น้ำในตอนนี้ยังอยู่ในระดับที่ดูแลได้อยู่” พ.อ.วินธัยระบุ

เปิดชื่อ 3 สนช.สาย “วงษ์สุวรรณ” ไม่รับเรื่องถอดถอน “นิคม -สมศักดิ์” อ้างปรองดอง

เปิดชื่อ 3 สนช.สาย “วงษ์สุวรรณ” ไม่รับเรื่องถอดถอน “นิคม -สมศักดิ์” อ้างปรองดอง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
6 พฤศจิกายน 2557 23:46 น.  

เปิดเผยรายชื่อ 3 สนช. “ธานี - ชัชวาลย์ - บุญเรือง” คนใกล้ชิด “พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” ไม่รับเรื่องถอดถอน “นิคม - สมศักดิ์” อ้างสนองนโยบายปรองดองของ คสช. ขณะที่กลุ่ม 40 ส.ว. ผนึกสายวิชาการยันต้องรับเรื่องไว้ก่อนเนื่องจากไม่มีกฎหมายให้ปฏิเสธ แต่เชื่อสุดท้ายไม่สามารถเอาผิดทั้งคู่ได้ เพราะต้องใช้เสียงถึง 132 เสียงขึ้นไป อีกทั้งรัฐธรรมนูญปี 50 ไม่มีผลบังคับใช้แล้ว ขณะที่ สนช. สายทหารหลายรายหนีไปทอดกฐิน
     
       วันนี้ (6 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผลการลงคะแนนที่ออกมาให้รับเรื่องคดี นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ และ นายนิคม ไวยรัชพานิช ไว้พิจารณา 87 - 75 เสียงนั้น ถือเป็นสิ่งที่ผิดคาดพอสมควร เพราะก่อนหน้านี้สมาชิกส่วนใหญ่ซึ่งเป็นทหารมีความเห็นไม่อยากให้รับเรื่องไว้พิจารณา แต่ปรากฏว่า เมื่อถึงวันลงมติ มีสมาชิก สนช. ไม่ยอมเข้าร่วมประชุมถึง 30 คน ส่วนใหญ่เป็น สนช. สายทหาร โดยให้เหตุผลว่า เดินทางไปร่วมงานทอดกฐินของกองทัพบก ขณะเดียวกันในช่วงก่อนการลงมติ มีผู้แสดงตนว่าอยู่ในห้องเป็นองค์ประชุมถึง 190 คน แต่มีผู้ใช้สิทธิลงมติเพียง 177 คน โดยอีก 13 คน ไม่ยอมลงมติแต่อย่างใด
     
       ทั้งนี้ สำหรับการอภิปรายในที่ประชุมลับ มีผู้ลุกขึ้นอภิปราย 24 คน โดยมี สนช. 21 คน นำโดย นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม นายตวง อันทะไชย นางพิไลพรรณ สมบัติศิริ นายมนุชญ์ วัฒนโกเมนร นายมนตรี ศรีเอี่ยมสะอาด นายสมชาย แสวงการ นายทวีศักดิ์ สูททวาทิน นายกล้านรงค์ จันทิก นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อภิปรายสนับสนุนให้ที่ประชุมรับเรื่องไว้พิจารณาเนื่องจากเห็นว่า สนช.ต้องรับเรื่องไว้พิจารณาตามกฎหมายของ ป.ป.ช. ที่ส่งเรื่องมาให้ เทียบเคียงได้กับการพิจารณาคดีของศาลเวลารับฟ้อง ที่จะยังไม่ไปดูเนื้อหาของคดี แต่จะดูว่า ผู้ฟ้องมีอำนาจฟ้องหรือไม่ และคำฟ้องถูกต้องหรือไม่ และผู้รับมีอำนาจรับหรือไม่ อีกทั้งสังคมยังจับตามองเรื่องนี้อยู่ หากไม่รับเรื่องจะชี้แจงอย่างไร
     
       ส่วน สนช.อีก 3 เสียง เห็นว่า ไม่ควรรับเรื่องไว้พิจารณา ได้แก่ นายธานี อ่อนละเอียด พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ และพล.ต.ท.บุญเรือง ผลพาณิชย์ คนใกล้ชิด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ โดยให้เหตุผลว่า รัฐธรรมนูญปี 50 ไม่มีผลบังคับใช้แล้ว จึงไม่สามารถรับเรื่องไว้ถอดถอนได้ อีกทั้งเพื่อความปรองดองตามนโยบาย คสช. จึงไม่ควรเอาผิดอีก
     
       ทั้งนี้ เมื่อมีการเสนอให้ประชุมและลงมติรับ ทำให้สมาชิก สนช. มีความกล้ามากขึ้นที่จะแสดงความเห็นและกล้าลงมติ ทำให้ สนช. บางส่วนที่ยังไม่ตัดสินใจ หันมาลงมติให้รับเรื่องไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม ผลคะแนนที่ออก สนช. หลายคนวิเคราะห์ไปในทางเดียวกันว่า ในที่สุดคงไม่สามารถลงมติถอดถอนนายสมศักดิ์และนายนิคมได้ในขั้นตอนการลงมติ เนื่องจากต้องใช้เสียง 3 ใน 5 ของ สนช. ทั้งหมด หรือ 132 เสียงขึ้นไป และส่วนใหญ่ก็ไม่มีบทลงโทษได้ เพราะ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดตามฐานของ รธน. 50 ซึ่งสิ้นสภาพไปแล้ว

ถกคดีข้าว“ปู”นัด3ไม่จบ! ป.ป.ช.-อสส. งัดกม.สู้แหลก-ไฟเขียวสอบพยานเพิ่ม

ถกคดีข้าว“ปู”นัด3ไม่จบ! ป.ป.ช.-อสส. งัดกม.สู้แหลก-ไฟเขียวสอบพยานเพิ่ม

เขียนวันที่
วันศุกร์ ที่ 07 พฤศจิกายน 2557 เวลา 13:10 น.
เขียนโดย
isranew

6

ตามคาด! ถกข้อไม่สมบูรณ์คดีอาญาจำนำข้าว “ยิ่งลักษณ์” คณะทำงานร่วมฯ นัดที่ 3 ไร้ข้อยุติ เผยในที่ประชุมงัดข้อกันเรื่องกฎหมาย ป.ป.ช. ยอมให้สอบพยานเพิ่มบางคน อสส. ชี้จำเป็นต้องสอบทั้งหมด ลั่นยังไม่ถึงขั้นตอนที่ ป.ป.ช. ฟ้องเอง
PIC-aorsorsor-7-11-57 1
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2557 เวลา 09.30 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ มีการประชุมของคณะทำงานร่วมระหว่างคณะกรรมการ ป.ป.ช. และอัยการสูงสุด (อสส.) พิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ในคดีอาญาโครงการรับจำนำข้าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
หลังการประชุมร่วมกันระหว่าง 3 ชั่วโมง นายวุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์ รอง อสส. ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานฝ่าย อสส. เปิดเผยว่า การประชุมในครั้งนี้ยังไม่ได้ข้อยุติ แต่มีการตกลงกันได้ในบางประเด็น เช่น ในเรื่องการสอบพยานเพิ่มเติม ที่ฝ่าย ป.ป.ช. จะยอมไต่สวนเพิ่มเติมให้บางราย เพื่อให้ได้ตามที่เราต้องการ อย่างไรก็ดีฝ่ายเราต้องการให้สอบพยานเพิ่มเติมตามที่เสนอไปทั้งหมด เพราะเห็นว่ายังมีความจำเป็นในเรื่องพยานหลักฐานอยู่ ทั้งนี้พยานที่ฝ่ายเราขอให้สอบเพิ่มเติมไปนั้น ก็ครอบคลุมทั้งชุดที่ ป.ป.ช. สอบเอง และชุดที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขอมาก่อนหน้านี้ และ ป.ป.ช. ปฏิเสธ ทั้งนี้คาดว่าจะต้องสอบพยานทั้งหมดเกิน 10 คน ภายหลังการหารือเสร็จสิ้น ก็จะนำเรื่องนี้ไปเสนอแก่ อสส. เพื่อพิจารณาดูว่ามีมูลพอที่จะฟ้องหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า ป.ป.ช. สามารถดำเนินการฟ้องคดีเองได้เลยหรือไม่ นายวุฒิพงศ์ กล่าวว่า ยังไม่ถึงขั้นตอนที่ ป.ป.ช. จะดำเนินการฟ้องคดีเอง ต้องรอให้ฝ่าย อสส. รายงานผลในทีประชุมให้กับ อสส. ก่อน ซึ่งหาก อสส. อาจเห็นไปในแนวทางเดียวกับ ป.ป.ช. ก็ได้ หากครบถ้วนแล้วจะดำเนินคดี แต่ถ้า อสส. ชี้ว่ายังต้องสอบพยานเพิ่ม หรือต้องหารือในบางประเด็น ก็อาจจะต้องมีการหารือกันอีกครั้ง 
“ทาง ป.ป.ช. ก็ยอมสอบพยานในบางคน แต่ อสส. เห็นว่าในข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้ ต้องสอบทุกคน โดยตอนนี้แต่ละฝ่ายก็ยังยันกันอยู่ ยังไม่ได้ข้อสรุป” นายวุฒิพงศ์
ด้านนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานฝ่าย ป.ป.ช. กล่าวว่า ยอมรับว่าในวันนี้ยังหาข้อสรุปกันไม่ได้ เพราะ ป.ป.ช. ทำตามที่ อสส. ขอมาทั้งหมดไม่ได้ เพราะยังมีปัญหาข้อกฎหมายที่ยังเห็นต่างกันบางส่วน ป.ป.ช. ยืนยันว่าไม่ใช่หน้าที่ของ ป.ป.ช. แต่ อสส. ก็บอกว่า เป็นข้อที่ทำได้ ดังนั้นจึงยังไม่ได้ข้อยุติ ทาง อสส. จึงบอกว่าจะต้องกลับไปดูข้อกฎหมายอีกครั้ง เป็นการมองกฎหมายกันคนละมุม ตอนนี้ก็ยุ่งกันใหญ่ จะต้องคุยกันใหม่ เพราะตอนนี้ยังเหมือนวนในอ่าง 
นายสรรเสริญ กล่าวด้วยว่า การที่ รอง อสส. ระบุว่า ป.ป.ช. แข็ง ก็ใช่ที่เขาว่าเราแข็ง เพราะเราไม่ยอม เรายึดกฎหมาย และเราเห็นว่าสำนวนในคดี หลักฐานต่าง ๆ ข้อไต่สวนต่าง ๆ เป็นหลักฐานที่เพียงพอที่จะดำเนินคดีแล้ว แต่เขายังเห็นต่าง อย่างไรก็ตามในส่วนของการสอบพยานเพิ่มนั้น ป.ป.ช. ก็รับที่จะไปทำบางส่วนให้ แต่บางส่วนที่ยังเหลือก็ยืนยันว่าทำไม่ได้ ทั้งนี้การประชุมในวันเดียวกันนี้ ไม่ได้เรียกว่า จบไม่สวย แต่ยังไม่จบ เพราะวันนี้ต่างคนต่างยัน ก็เลยยังไม่จบ อย่างไรก็ตามยังไม่ได้มีการกำหนดในการนัดหารือครั้งต่อไป เพราะทั้ง ป.ป.ช.-อสส. จะต้องรายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการก่อน
/////////////
ถกคดีข้าว“ปู”ส่อยืดเยื้อ 7 พ.ย.ไม่จบ ป.ป.ช.-อสส.เสียงแตกปมสอบพยานเพิ่ม

เขียนวันที่ วันอังคาร ที่ 04 พฤศจิกายน 2557 เวลา 15:30 น.เขียนโดยisranews

ถกคณะทำงานร่วมฯคดีรับจำนำข้าว “ยิ่งลักษณ์” ส่อยืดเยื้อ 7 พ.ย.นี้คาดไร้ข้อยุติ เหตุ อสส.-ป.ป.ช. เสียงแตกปมสอบพยานเพิ่ม “วุฒิพงศ์” ลั่นขอให้ฟังสิ่งทีเสนอไปบ้าง เผยส่งบันทึกตารางพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ไปแล้ว รอฟังคำตอบ เมิน สนช.รายหนึ่งวิจารณ์เป็นต้นเหตุทำคดีช้า

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2557 นายวุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์ รองอัยการสูงสุด (อสส.) ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานฝ่าย อสส. ในคดีโครงการรับจำนำข้าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ว่า ฝ่ายเราแจ้งข้อไม่สมบูรณ์ไปหลายข้อ แต่ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เขาบอกว่าสมบูรณ์แล้ว และที่คุยกันมา 2 ครั้งเขาก็ยืนยันตามเดิม ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2557 นี้ต้องคุยกันอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ดี อสส. เห็นว่า ควรจะต้องมีการเรียกบุคคลมาสอบพยานเพิ่ม แต่ฝ่าย ป.ป.ช. กลับไม่ค่อยเห็นพ้องด้วยเท่าไหร่ ดังนั้นเราจึงทำบันทึกไปให้เขาดูว่าตกลงแล้วจะเอาอย่างไร จะรับข้อไหนได้บ้าง

นายวุฒิพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับในการประชุม 2 ครั้งทีผ่านมา ก็ยังทิ้งข้อไม่สมบูรณ์เอาไว้ และไม่มีมติว่าเห็นกันอย่างไร พอจะพิจารณาข้ออื่นเพิ่มเติมก็หมดเวลา ยังมีอีกหลายข้อที่ไม่สมบูรณ์ตามตารางที่เราทำไปให้ ซึ่งเรายืนยันว่า ขอให้มีการสอบพยานเพิ่มเติม หรือ่าไต่สวนเพิ่มเติม และให้ ป.ป.ช. พิจารณาก่อนว่าจะทำอย่างไร เห็นด้วยในประเด็นไหนบ้าง เพื่อจะได้เร่งคดี เพราะสังคมบอกว่าเราช้า เราก็พยายามทำให้เร็ว ดังนั้นวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ จะเห็นด้วยกันหรือไม่ก็ต้องรอดูกัน อาจจะได้เรื่องมากขึ้น หรือฝ่าย ป.ป.ช. อาจบอกว่า สำนวนสมบูรณ์หมดแล้ว ที่ อสส. บอกให้ไต่สวนพยานเพิ่มนั้นไม่เห็นด้วย ก็ว่ากันมา

“จริง ๆ ที่เขาให้รวบรวมข้อไม่สมบูรณ์ แต่ผมยังรวบรวมไม่ได้ เพราะฝั่งนู้นบอกว่าสมบูรณ์หมดแล้ว จริง ๆ เขาควรไปสอบตามที่เราบอกหน่อยนะ เขาจะได้รู้ว่า สอบแล้ว ได้ความอย่างนี้ ส่งมาทางผม จะได้ดูว่าสมบูรณ์หรือยัง จะได้รวบรวมให้ อสส. พิจารณาสั่งดำเนินคดี ส่งศาลต่อไปหรือไม่ แต่ตรงนี้ก็ยังไม่รู้ พอเราเสนอไป เรื่องนี้ไม่สมบูรณ์ขอให้สอบพยานเพิ่ม แต่ทางนั้นเขาก็บอกว่าของตัวเองสมบูรณ์แล้ว จึงยังไม่ได้เนื้อหาสรุป มันก็ยันกันอยู่อย่างนี้” นายวุฒิพงศ์ กล่าว


ส่วนกรณีที่มีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รายหนึ่งระบุว่า 7 พฤศจิกายนนี้ อสส. จะยังไม่ฟ้องคดีเพราะปล่อยให้ยืดเยื้อนั้น นายวุฒิพงศ์ กล่าวว่า เขาก็คงจะคิดไปเอง ถามว่าเขาเคยเห็นสำนวนหรือยัง สำนวนมีกี่ลัง เขาก็ว่าของเขาไป ตนก็ไม่อยากยุ่งหรือไปตอแยอะไร เราก็ทำงานในส่วนของเรา ที่สุดแล้วเขาจะรู้เองว่า อสส. จะฟ้องหรือไม่

"มาร์ค" หอบดอกไม้รับวันคล้ายวันเกิด "สนธิ ลิ้ม" ครบรอบก่อตั้งสื่อผู้จัดการ

สุดชื่นมื่น !!! "มาร์ค" หอบดอกไม้รับวันคล้ายวันเกิด "สนธิ ลิ้ม" ครบรอบก่อตั้งสื่อผู้จัดการ
Cr:ทีนิวส์
"อภิสิทธิ์" พร้อมด้วย "องอาจ คล้ามไพบูลย์" มอบช่อดอกไม้แก่สนธิ เนื่องในวันคล้ายวันเกิด 67 ปี และครบรอบก่อตั้งสื่อผู้จัดการ

'นัสเซอร์'ฉะแหลกสนช.สีเขียว

'นัสเซอร์'ฉะแหลกสนช.สีเขียว เหน็บนักการเมืองเลวยังเรียกพี่
Cr:แนวหน้า
7 พ.ย. 57 นายนัสเซอร์ ยีหมะ หัวหน้าการ์ด คปท. ได้โพสต์ข้อความลงยังเฟซบุ๊คส่วนตัวที่ใช้ชื่อว่า "Nusser Yeemahd" แสดงความคิดเห็นถึงกรณีที่ประชุม สนช.มีมติ 87 ต่อ 75 เสียง รับพิจารณาเรื่องถอดถอน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา วานนี้ (6 พ.ย.) โดยมีสนช.จำนวนหนึ่งไม่เข้าร่วมประชุม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสนช.สายทหาร ซึ่งให้เหตุผลว่า เดินทางไปร่วมงานทอดกฐินของกองทัพบก
โดยนายนัสเศอร์ ระบุข้อความว่า "พอตอนคัดเลือก ได้ตำแหน่งใหม่ๆ กระสัน อยากเป็นกันจัง พอเวลามีประชุม มีลงมติ อ้างติดนุ่น ติดนี่ อ้างแม้กระทั่งไปกฐิน ถามจริงๆเหอะ ไอ้เงินเดือนทิ่ได้ เขาจ้างมาทำงานแทนประชาชน ไม่ใด้จ้างมาทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สำเหนียกบ้าง ไหนบอกไม่ไช่นักการเมือง แต่พฤติกรรมทิ่เห็นช่วงหลังๆ นักการเมืองเลวๆบางคนยังเรียกพี่ ‪#‎หรือจะเถียง‬"

ผบ.ทบ.รับเรียก"วีระชัย"และแกนนำหลายคนคุยงดพูดและเคลื่อนไหวแล้ว

เรียกมาคุย.....ไม่แก้แค้น สกัดกั้นใคร
บิ๊กโด่ง ผบทบ. เผย ผบ.หน่วยทหาร ในแต่ละพื้นที่ เชิญ แกนนำกลุ่มต่างๆมาพบ ทำความเข้าใจ ยอมรับ ทหารคุย"วรชัย เหมะ"และอีกหลายคน ขอความร่วมมือ งดพูด เคลื่อนไหว แต่ขอให้เสนอความเห็น ผ่านช่องทาง ที่เตรียมไว้ ถ้าตั้งกลุ่ม ตั้งสภาของตนเอง ไปออกข่าว ไปแสดงความเห็นไป ก็จะไม่เกิดเอื้อต่อการสร้างความ รักสามัคคี แต่มองว่า คลื่นใต้น้ำ หรือ กลุ่มเคลื่อนไหวไม่ใช่ใหญ่โต อะไรมาก ท่านนายกฯ แค่ต้องการป้องปราม เท่านั้น ยังสามารถพูดคุยขอความร่วมมือกันได้ เชื่อว่า ประเทศเรา จะต้องไปได้ ถ้าแตกสามัคคี ยุยงปลุกปั่น ประเทศก็ไปไม่ได้ ยัน คสช.ไม่คิดแก้แค้น สกัดกั้นใคร

"จริงๆไม่มีอะไรมาก เป็นปกติจะมีคนเห็นต่าง จริงๆ ไม่มีข้อมูลว่าจะมีอะไรมาก และไม่ได้ห่วงกังวลอะไร นายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายว่าให้พยายามพูดคุยทำความเข้าใจในสิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ จึงพยายามอย่างยิ่งที่จะสร้างความเข้าใจ จึงได้เน้ยย้ำในการเสริมสร้างความเข้าใจ การสร้างความรักสามัคคี ยังเชื่อประเทศไทยยังคงเดินหน้าต่อไปได้ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

ส่วนคลื่นใต้น้ำที่ได้รับรายงานมีการเคลื่อนไหวลักษณะอย่างไร พลเอกอุดมเดช กล่าวว่า ทราบว่ามีการพูดคุยเสวนาแสดงความเห็น การแสดงออกในการเสวนา ซึ่งมีกฏระเบียบอยู่แล้วว่าต้องอนุญาตก่อน และต้องไม่มีเนื้อหาที่ทำให้เกิดการแตกตวามสามัคคีหรือการยุยงปลุกปั่น ซึ่งที่ผ่านมาก็เรียบร้อยดี
"อยากให้ทุกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปซึ่งรัฐบาลดำเนินการอยู่ แม้ไม่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) แต่สามารถเข้ามาส่งคิดเห็นให้สปชได้ หากไปตั้งกลุ่มไปตั้งสภาเอาเองเกรงว่าจะทำให้เกิดสภาพไม่เอื้อต่อความรักษความสามัคคี และความเรียบร้อย
ดังนั้น รัฐบาลเห็นว่ายังไม่จำเป็นต้องใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ขอให้เข้าใจว่าคสช.มีอำนาจ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำ
"ผมสั่งการว่าให้ใช้วิธีการทำความเข้าใจ ที่ผ่านมาหลายอย่างอาจทำให้เกิดความไม่เข้าใจ แต่ขอให้กลับมาเข้าสู่ระบบตามที่วางไว้ซึ่งต่อไปจะมีการดำเนินการตามกระบวนการปฏิรูปต่อไป ซึ่งมีแนวทางแล้วว่าคนที่ไม่มีโอกาสเป็นสปช.จะมีส่วนร่วมอย่งไร" พลเอก อุดมเดช กล่าว

เมื่อถามว่ายืนยันได้หรือไม่ว่าจะไม่การสกัดกั้นฝ่ายรัฐบาลเดิมหรือพรรคเพื่อไทย พลเอก อุดมเดช กล่าว่า ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ด้วยการผสมผสานแนวคิด ที่เป็นที่ยอมรับ และความพึงพอใจ จะไปจำกัดใครหรือกลั่นแกล้งใคร นายกรัฐมนตรีจะไม่ทำ ยุทธศาสตร์จึงต้องสร้างการยอมรับและความพอใจ ถ้าสิ่งที่รัฐบาลทำแล้วไม่เกิดการยอมรับจะทำไปทำไม ขอให้เข้าใจและไม่เดินไปคนละทิศคนละทาง