PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ปิดเอกสารชี้แจงของบริษัท K-Water ต่อข้อกล่าวหาของ NGO เกาหลีใต้ รวม 7 ประเด็น พร้อมชาร์ตแจงสถานะการเงินบริษัท

เปิดเอกสารชี้แจงของบริษัท K-Water ต่อข้อกล่าวหาของ NGO เกาหลีใต้ รวม 7 ประเด็น พร้อมชาร์ตแจงสถานะการเงินบริษัท



ข่าว "เค-วอเตอร์" หนี้ท่วม

ข่าว "เค-วอเตอร์" หนี้ท่วม - ที่แท้สื่อไทยอ่านงบผิด

อ่านผลประกอบการหน้าเว็บบริษัทจัดการน้ำจากเกาหลีใต้ "เค-วอเตอร์" พบยังได้กำไรสุทธิ - มูดี้ส์ให้เครดิตระดับ A1 ส่วนกระแสข่าวหนี้ท่วม มีที่มาจากวงเสวนาจัดการน้ำที่สมาคมนักข่าวฯ มีการเชิญนักสิ่งแวดล้อมเกาหลีใต้ร่วมเสวนา ก่อนกลายเป็นข่าวพาดหัวหลายสื่อ
ตามที่บริษัท โคเรีย วอเตอร์ รีซอสเซส คอร์ปอเรชั่น หรือ "เค-วอเตอร์" รัฐวิสาหกิจของเกาหลีใต้ เป็นหนึ่งในบริษัทที่ชนะการประมูลการก่อสร้างตามแผนพัฒนาการทรัพยากรน้ำ โดย "เค วอเตอร์" สามารถประมูลการก่อสร้างได้ 2 โครงการ คือ คือ โมดูล เอ 3 และโมดูล เอ 5 ซึ่งเป็นโครงการแก้มลิงและฟลัดเวย์ ภายใต้วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท
และต่อมาเมื่อวานนี้ (26 มิ.ย.) มีสื่อมวลชนไทยหลายฉบับ รายงานข่าวดังกล่าวในทำนองว่า "เค-วอเตอร์" เป็นบริษัทที่มีปัญหาทางการเงิน และดำเนินโครงการล้มเหลวในเกาหลีใต้ เช่น โพสต์ทูเดย์ พาดหัวข่าวว่า"ชำแหละ" เค-วอเตอร์"หนี้ท่วม-ทำโครงการเหลว"
โดยผู้สื่อข่าวประชาไทพบว่าข่าวดังกล่าว ใช้ข้อมูลจากการเสวนา "เวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการจัดการน้ำ ระหว่างเครือข่ายภาคประชาชนไทย และเครือข่ายสิ่งแวดล้อมประเทศเกาหลีใต้" จัดโดยโครงการสื่อสุขภาวะชุมชนชายขอบและชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ถ.สามเสน เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. ที่ผ่านมา
ในรายการดังกล่าว ได้อ้างอิงการอภิปรายของวิทยากรในการเสวนาดังกล่าว คือ นายยัม ฮยุง ชอล (Yum Hyung Cheol) ผู้อำนวยการสหพันธ์สิ่งแวดล้อมเกาหลีใต้ (Korean Federation for Environmental Movement : KFEM ) ซึ่งให้ข้อมูลว่า
"ในปี 2012 จะพบว่าทรัพย์ของบริษัทเค-วอเตอร์ อยู่ที่ 6.76 แสนล้านบาท ทุนอยู่ที่ 3.04 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นหลัก 99.9% มีรายได้ 2.27 แสนล้านบาท ขณะที่หนี้สินอยู่ที่ 3.72 แสนล้านบาท ภาษีที่ได้ 9.9 หมื่นล้านบาท รายได้สุทธิอยู่ที่เพียง 8,000 ล้านบาทเท่านั้น"
"เมื่อไปดูประวัติการทำโครงการของเค-วอเตอร์ ในเกาหลี ตั้งแต่ปี 1967 ที่ก่อตั้งบริษัทในฐานะรัฐวิสาหกิจ จากช่วงปี 1970-1980 ได้งานก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่จำนวนมากทั่วประเทศเกาหลี"
"ถัดมาในปี 1980-1990 ย้ายไปรับงานระบบประปาและระบบน้ำ หลังจากนั้นตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา เริ่มทำงานที่ไม่ใช่ภารกิจหลัก แต่เป็นการก่อสร้างในภารกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาพื้นที่ชุ่มน้ำตลอดชายฝั่ง การก่อสร้างพนังกั้นน้ำป้องกันน้ำท่วม"
"สถานการณ์ทางการเงินของบริษัทเค-วอเตอร์ ตั้งแต่ปี 2006-2012 เห็นได้ว่าทุนจะอยู่เท่าเดิม แต่หนี้สินเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยในปี 2012 จะเห็นว่าหนี้สินสูงกว่าทุน ฉะนั้นเท่ากับว่าสถานการณ์ทางการเงินของเค-วอเตอร์ย่ำแย่ ภายในระยะเวลา 3 ปี คือตั้งแต่ปี 2009-2012 การดำเนินงานใน 2 โครงการหลักของเค- วอเตอร์ ได้แก่ 1.พัฒนาแหล่งน้ำหรือ 4 rivers project 2.พัฒนาคลองใช้เป็นฟลัดเวย์ พบว่าหนี้สินเพิ่มขึ้นถึง 758%”

นอกจากโพสต์ทูเดย์แล้ว ยังมีรายงานข่าวในสื่อไทยหลายฉบับ โดยข้อมูลมาจากวงเสวนาเดียวกัน เช่น สำนักข่าวอิศรา รายงานโดยพาดหัวว่า "NGO เกาหลีใต้ แฉ “เค-วอเตอร์” หนี้ท่วมหมื่นล้าน เชื่อทำฟลัดเวย์ในไทยไม่สำเร็จ" เดลินิวส์ พาดหัวข่าวว่า "นักสิ่งแวดล้อมเกาหลีใต้ชี้ "เค วอเตอร์" ทำผิดกฎหมายการเงิน-สิ่งแวดล้อม"
แนวหน้า รายงานโดยพาดหัวข่าวว่า "สื่อเกาหลีใต้แฉซ้ำ หนี้สินท่วม บี้สอบ ‘เค วอเตอร์’ งานแย่ไร้ประสิทธิภาพ เคยทำโครงการเจ๊งยับ นิวัฒน์ธำรงโต้ดีจริง" ส่วน เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ พาดหัวข่าวว่า"นักสิ่งแวดล้อมโสมขาวชำแหละ “เค วอเตอร์” ประวัติฉาว หวั่นโครงการน้ำ 3.5 แสนล.มีปัญหา"
ส่วน ไทยโพสต์ พาดหัวข่าวว่า "ทักษิณคบคิดKวอต้ม แฉประวัติบริษัทสุดแสบ/ลุ้นศาลเบรกเค้กน้ำ" พาดหัวรองว่า "แฉประวัติสุดแสบ เค วอเตอร์ สร้างหนี้ ก่อปัญหาสิ่งแวดล้อม ฉีกกฎหมาย ฮั้วก่อสร้าง เอ็นจีโอเกาหลีใต้ระบุทั้ง ป.ป.ช.และ สตง.แดนกิมจิตามตรวจสอบเข้มข้น และพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ 70% ไม่พอใจ ฮือฮารูปหมู่ "ทักษิณ-ผู้บริหารเค วอเตอร์" ว่อนเน็ต หึ่งตกเขียวโครงการล่วงหน้า พลิกปูม "แม้ว-ปู" ไปเกาหลีแล้วคนละ 2 หน ระทึก! ศาลปกครองสั่งคดีเอาอยู่ 3.5 แสนล้าน"
และหลังการนำเสนอข่าวดังกล่าว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ให้ความเห็นผ่านรายการ "วันฟ้าใหม่" ทางสถานีโทรทัศน์ Blue Sky Channel ด้วยโดยเรียกร้องให้รัฐบาลชี้แจง โดยกล่าวว่า โครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท โดยเฉพาะกรณีบริษัทเค วอเตอร์ที่มีหนี้สินจำนวนมากกลับได้ประมูลมากที่สุดนั้น ทางรัฐบาลโดยเฉพาะคณะกรรมการที่เป็นผู้พิจารณาคุณสมบัติของบริษัทต่างๆ ต้องออกมาชี้แจงตามข้อเท็จจริง นอกจากนี้ รัฐบาลต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเป็นไปตามกฎเกณท์กติกา ผลประกอบการ หนี้สิน ภาพรวมการทำงานของบริษัทเป็นอย่างไร เพราะเมื่อมีคนของเกาหลีมาตั้งข้อสังเกตรัฐบาลก็ต้องรับฟัง การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปเกาหลีก็มีคนมาวิจารณ์ว่าบริษัทนี้จะได้ประมูลแล้วก็ได้จริงๆ  เอาเข้าจริงบริษัทเค วอเตอร์คงไม่ดำเนินการโครงการเอง แต่อาจจะให้บริษัทของไทยเป็นผู้ดำเนินการต่อ

000
อ่านผลประกอบการหน้าเว็บบริษัท-ยังได้กำไร-มูดี้ส์ให้เครดิต A1
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวประชาไท เทียบรายงานที่สื่อฉบับต่างๆ นำเสนอในเรื่องผลประกอบการของเค-วอเตอร์ เทียบกับผลประกอบการของบริษัท ปี ค.ศ. 2012 ซึ่งอยู่ในเว็บไซต์ของบริษัทดังกล่าว ซึ่งพบว่า ในปี ค.ศ. 2012 ผลประกอบการของบริษัทซึ่งมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจเกาหลีใต้ดังกล่าว แม้จะมีหนี้สิน แต่ก็ได้กำไร และไม่ได้ขาดทุนสะสมอย่างที่มีการนำเสนอข่าว
โดยในปี ค.ศ.2012 เค-วอเตอร์ มีสินทรัพย์ 25,016,382,827,000 วอน (25.02 ล้านล้านวอน) หรือ 6.77 แสนล้านบาทโดยประมาณ มีหนี้สิน 13,777,920,820,000 วอน (13.78 ล้านล้านวอน) หรือ 3.73 แสนล้านบาทโดยประมาณ มีเงินลงทุน 11,238,500,000,000 วอน (11.2 ล้านล้านวอน) หรือ 3.04 แสนล้านบาทโดยประมาณ
นอกจากนี้ในปี ค.ศ. 2012 เค-วอเตอร์ มีรายรับ 3,668,445,409,000 วอน (3.67 ล้านล้านวอน) หรือ 9.93 หมื่นล้านบาทโดยประมาณ มีกำไรก่อนเสียภาษี 401,689,496,000 วอน (4.02 แสนล้านวอน) หรือ 1.09 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิหลังเสียภาษี 308,295,352,000 วอน (3.08 แสนล้านวอน) หรือ 8.35 พันล้านบาท
ส่วนที่สื่อมีการนำเสนอของนายยัม ฮุง ชยอล ผู้อำนวยการสหพันธ์สิ่งแวดล้อมเกาหลีใต้ (KFEM) ที่รายงานว่าสถานการณ์การเงินของ เค วอเตอร์ มีหนี้สินเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก จนมีหนี้สินสูงกว่าทุน "พบว่ามีหนี้สินเพิ่มขึ้นถึง 758%" ฯลฯ นั้น ผู้สื่อข่าวประชาไทได้ตรวจสอบส่วนผลประกอบการย้อนหลังของ 7 ปีก่อน พบว่าเค-วอเตอร์มีหนี้สินเพิ่มขึ้น จากเดิมในปี ค.ศ. 2006 มีหนี้สิน 1.74 ล้านล้านวอน มาเป็น 13.78 ล้านวอน ในปี ค.ศ. 2012 อย่างไรก็ตาม แม้จะมีหนี้สินสะสมเพิ่มขึ้นทุกปี และผลประกอบการของเค-วอเตอร์ ยังคงก็มีกำไรสุทธิ
โดยใน ค.ศ. 2006 เค-วอเตอร์ มีสินทรัพย์ 11,397,405,000,000 วอน (11.40 ล้านล้านวอน) หรือ 3.09 แสนล้านบาท มีหนี้สิน 1,743,575,000,000 วอน (1.74 ล้านล้านวอน) หรือ 4.72 หมื่นล้านบาท มีรายรับ 1,721,104,000,000 วอน (1.72 ล้านล้านวอน) หรือ 4.66 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิหลังเสียภาษี 217,005,000,000 วอน (2.17 แสนล้านวอน) หรือ 5.88 พันล้านบาท
ค.ศ. 2007 พบว่า เค-วอเตอร์ มีสินทรัพย์ 11,443,850,000,000 วอน (11.43 ล้านล้านวอน) หรือ 3.1 แสนล้านบาท มีหนี้สิน  1,575,552,000,000 วอน (1.58 ล้านล้านวอน) หรือ 4.27 หมื่นล้านบาท มีรายรับ 1,498,004,000,000 วอน (1.50 ล้านล้านวอน) หรือ 4.06 หรือหมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิหลังเสียภาษี 158,736,000,000 วอน (1.58 แสนล้านวอน) หรือ 4.30 พันล้านบาท
ค.ศ. 2008 เค-วอเตอร์ มีสินทรัพย์ 11,981,700,000,000 วอน (11.98 ล้านล้านวอน) หรือ 3.24 แสนล้านบาท มีหนี้สิน 1,962,286,688,000 วอน (1.96 ล้านล้านวอน) หรือ 5.31 หมื่นล้านบาท มีรายรับ 2,044,532,725,000 วอน (2.04 ล้านล้านวอน) หรือ 5.54 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิหลังเสียภาษี 138,773,516,000 วอน (1.39 แสนล้านวอน) หรือ 3.76 พันล้านบาท
ค.ศ. 2009 เค-วอเตอร์ มีสินทรัพย์ 13,277,070,000,000 วอน (13.28 ล้านล้านวอน) หรือ 3.60 แสนล้านบาท มีหนี้สิน 2,995,639,000,000 วอน (3 ล้านล้านวอน) หรือ 8.11 หมื่นล้านบาท มีรายรับ 2,005,384,000,000 วอน (2 ล้านล้านวอน) หรือ 5.43 หมื่นล้านบาท มีกำไรสุทธิหลังเสียภาษี 81,576,000,000 วอน (8.16 หมื่นล้านวอน) หรือ 2.21 พันล้านบาท
ค.ศ. 2010 เค-วอเตอร์ มีสินทรัพย์ 18,484,424,534,000 วอน (18.48 ล้านล้านวอน) หรือ 5.01 แสนล้านบาท มีหนี้สิน 7,960,714,386,000 วอน (7.96 ล้านล้านวอน) หรือ 2.16 แสนล้านบาท มีรายรับ 2,144,749,561,000 วอน (2.14 ล้านล้านวอน) หรือ 5.81 หมื่นล้านบาท มีกำไรสุทธิหลังเสียภาษี 142,103,845,000,000 วอน (1.42 แสนล้านวอน) หรือ 3.95 พันล้านบาท
และ ค.ศ. 2011 เค-วอเตอร์ มีสินทรัพย์ 23,425,915,630,000 วอน (23.43 ล้านล้านวอน) หรือ 6.34 แสนล้านบาท มีหนี้สิน 12,580,936,220,000 วอน (12.58 ล้านล้านวอน) หรือ 3.41 แสนล้านบาท มีรายรับ 6,325,785,989,000 วอน (6.33 ล้านล้านวอน) หรือ 1.71 แสนล้านบาท มีกำไรสุทธิหลังเสียภาษี 293,267,171,000 วอน (2.93 แสนล้านวอน) 7.94 พันล้านบาท
ขณะเดียวกัน ในเว็บไซต์ เค-วอเตอร์ ยังเผยแพร่ผลการจัดอันดับเครดิตของสถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือโดยมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส หรือมูดี้ส์ ให้เค-วอเตอร์ อยู่ในระดับ A1 และ S&P ให้เค-วอเตอร์อยู่ในอันดับ A+
อนึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. รายการฮาร์ดคอร์ข่าว ออกอากาศทาง ททบ.5 มีการนำเสนอข่าวกรณีเค-วอเตอร์ ชนะประมูลโครงการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย 2 โครงการ โดยก่อนเข้าสู่รายงานดังกล่าว ผู้ประกาศข่าวได้กล่าวแนะนำรายการว่า "มีการเปิดเผยข้อมูลว่าบริษัทเค-วอเตอร์นั้นมีหนี้สินอยู่ถึง 700% และไม่เคยรับหน้าที่ในการบริหารจัดการกับโครงการขนาดใหญ่ ก็เลยกังวลกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น" อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าสู่รายงานพิเศษได้ประมาณ 30 วินาที ก็ถูกตัดเป็นโฆษณาทีโอทีแทน และไม่มีการออกอากาศรายงานข่าวดังกล่าวอีก (ชมวิดีคลิป) โดยภายหลัง นสพ.ข่าวสด รายงานข่าว ผู้บริหาร ททบ.5 ชี้แจงว่าเป็นการตัดสินใจระงับการออกอากาศเอง เนื่องจากข้อมูลที่ได้ไม่มีความชัดเจนพอ เป็นเพียงข้อมูลที่ถูกเสนอออกมาผ่านสื่อสาธารณะ ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการถูกหมิ่นประมาทและฟ้องร้อง กองบรรณาธิการจึงตัดสินใจไม่นำออกอากาศ เพื่อป้องกันตัวเองและสถานี (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
 หมายเหตุ: ใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่ 1,000 วอน เท่ากับ 27.08 บาท
////////
ที่มา : เวปประชาไทย

นิตยสาร-น.ส.พ.แห่ปรับตัว ขายคอนเทนต์ออนไลน์เพิ่มรายได้

 27 มิ.ย. 2556 เวลา 12:19:27 น.

จาก ผลสำรวจผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวน 11,000 รายใน 9 ประเทศ พบว่าช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา พฤติกรรมผู้บริโภคยอมที่จะจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงข่าวสารทางอินเทอร์เน็ตกัน มากขึ้น

หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์รายงานว่า มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในสหราชอาณาจักร อเมริกา เดนมาร์ก ฝรั่งเศส และเยอรมนี พบว่าผู้บริโภค 11% ยินยอมที่จะจ่ายเงินเพื่ออ่านข่าวออนไลน์ในปีที่ผ่านมา ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นกว่า 1 ใน 3 จากปีก่อนหน้านี้

ในปีนี้ ทางมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดยังได้ขยายการสำรวจไปยังประเทศสเปน อิตาลี ญี่ปุ่น และบราซิลเป็นครั้งแรก ซึ่งพบว่าสัดส่วนของผู้ที่ยอมจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงข่าวออนไลน์นั้นใกล้เคียง กับกลุ่มประเทศที่เอ่ยขึ้นมาข้างบนอยู่ที่ 20% โดยตัวเลขดังกล่าวรวมตั้งแต่การสมัครสมาชิกแบบรายปี จนถึงค่าธรรมเนียมเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการเลือกอ่านเพียงบางหัวข้อ

ผลลัพธ์ดังกล่าวสร้างความ หวังที่ริบหรี่ให้กับบรรดาหนังสือพิมพ์และแมกาซีนเป็นอย่างมาก เพราะแม้ตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังเป็นสัดส่วนที่น้อยอยู่ โดยสื่อสิ่งพิมพ์เหล่านี้ต่างได้ประสบปัญหาอย่างหนักจากการลดลงอย่างต่อ เนื่องของรายได้ที่มาจากธุรกิจดั้งเดิม คือ "สิ่งพิมพ์"

ที่ผ่านมา ผู้ให้บริการ "ข่าว" จำนวนมากต่างหันมาให้น้ำหนักในการลงทุนด้านสื่อดิจิทัล แต่ส่วนใหญ่ก็ต้องพบกับอุปสรรค เพราะลำพังกับค่าโฆษณาที่เรียกเก็บจากสปอนเซอร์บนหน้าเว็บข่าวออนไลน์ก็อาจ ไม่เพียงพอ ด้วยอัตราค่าโฆษณาที่ไม่สูงมากนักทำให้หลายค่ายตัดสินใจที่จะเรียกเก็บค่า บริการจากกลุ่มผู้อ่านในการเข้าดูคอนเทนต์ข่าว คอลัมน์ และรายงาน

ต่าง ๆ บนหน้าเว็บไซต์ แทนที่จะให้ดูแบบไม่เสียเงินอีกต่อไป

หาก ดูจากความเคลื่อนไหวของหนังสือพิมพ์ "เดอะซัน" ของเจ้าพ่อวงการสื่อ "รูเพิร์ต เมอร์ด็อก" แห่งบริษัท นิวส์ อินเตอร์เนชั่นแนล ก็เริ่มที่จะเรียกเก็บค่าบริการ 2 ปอนด์ต่อสัปดาห์ จากการใช้งานเว็บไซต์ของตนตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ เช่นเดียวกับ "เดอะ เทเลกราฟ" และ "นิวยอร์ก ไทมส์" เองก็ได้เรียกเก็บค่าบริการดังกล่าวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยรู้จักกันในชื่อของ "เพย์วอลล์ส" (Paywalls)

รายงานดังกล่าวยัง พบอีกว่า บรรดาผู้ที่ยังไม่พร้อมจะจ่ายเงินเพื่ออ่านข่าวออนไลน์ที่มีสัดส่วน 14% ให้เหตุผลว่า พวกเขาอาจจะยอมจ่ายค่าบริการดังกล่าวในอนาคตก็เป็นได้ หากในที่สุดแล้วไม่สามารถเข้าไปอ่านข่าวเดิม ๆ แบบ "ไม่เสียเงิน" ได้อีกต่อไป

"โรเบิร์ต พิคาร์ด" หัวหน้าวิจัยที่สถาบันรอยเตอร์ส ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับวิชาชีพสื่อสารมวลชนในมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ออกมาเตือนว่า แม้ข้อมูลดังกล่าวจะแสดงให้เห็นว่าโอกาสของการจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงคอนเทนต์ ข่าวในรูปแบบดิจิทัลจะพัฒนาขึ้น แต่ผู้ผลิตคอนเทนต์เหล่านี้ต้องไม่ลืมที่จะเรียกเก็บแบบ "มีเหตุผล" ด้วยเช่นกัน

"การจ่ายเงินเพื่ออ่านข่าวออนไลน์ ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่ออกมาตอบโจทย์บุคคลเฉพาะกลุ่มมากกว่าที่จะเป็นสิ่ง ที่ผู้บริโภคใช้กันอย่างแพร่หลาย"

จากรายงานการสำรวจดังกล่าวยังพบ อีกว่า แม้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่ปัจจัยหลักที่ทุกค่ายเผชิญเหมือนกัน คือ การที่หนังสือพิมพ์ในรูปแบบดั้งเดิมถูกท้าทายจากคู่แข่งที่ผลิตสื่อออนไลน์ โดยเฉพาะในญี่ปุ่นและอเมริกา ผู้ที่สามารถครองใจผู้บริโภคได้มากกว่าคือบรรดาสำนักข่าวที่ผลิตแต่ "คอนเทนต์ออนไลน์" โดยเฉพาะ

อย่างไรก็ตาม บางประเทศอย่างในสหราชอาณาจักรและเดนมาร์ก สื่อดั้งเดิมยังคงเป็นเจ้าตลาดในพื้นที่ของข่าวออนไลน์อยู่ ด้วยสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 80% เหตุผลหลักเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรยัง "เชื่อมั่น" ในข่าวที่มาจากสื่อดั้งเดิมมากกว่าข่าวที่มาจากบล็อกหรือโซเชียลมีเดีย จากข้อมูลพบว่า 79% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเชื่อมั่นในเว็บไซต์อย่าง "บีบีซี" และ "สกาย"

อายุก็เป็นส่วนสำคัญต่อความเปลี่ยนแปลงดัง กล่าว โดยพบว่ากลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 25-34 ปี เป็นกลุ่มที่พร้อมจะจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงข่าวออนไลน์มากที่สุด สอดคล้องไปกับความชำนาญในเทคโนโลยี และ

1 ใน 4 ของกลุ่มนี้ยังมีรายได้อยู่ที่ 25,000-50,000 ปอนด์ และแม้ผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรยังค่อนข้างอนุรักษนิยม แต่กลับพบว่าหากเป็นคนที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปีนั้น มีผู้บริโภคถึง 30% ที่ใช้โซเชียลมีเดียในการค้นหาข่าวใหม่ ๆ

นายกฯให้กำลังใจน้องไปป์ รับรางวัล Maths Prize Winner



น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี  ร่วมงาน speech day ของโรงเรียน Harrow พร้อมเป็นกำลังใจให้น้องไปป์ในการรับรางวัล Maths Prize Winner








ยามาดะ (Yamada).. ซามูไรอโยธยา


นครศรีธรรมราชเป็นหัวเมืองใหญ่ทางภาคใต้และถือเป็นหัวเมืองเอกที่มีความสำคัญมาแต่สมัยโบราณ เจ้าเมืองมียศเป็นถึงเจ้าพระยา แต่ทราบหรือไม่ว่าครั้งหนึ่ง นครศรีธรรมราชเคยมีเจ้านครเป็นนักรบซามูไรจากญี่ปุ่น ซึ่งนามของซามูไร ผู้ที่โชคชะตาดลบันดาลให้เขาได้กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินอโยธยา ก็คือ ยามาดะ นากามาสะ

ชาวญี่ปุ่นได้เดินทางเข้ามาค้าขายกับอยุธยาเป็นเวลานานแล้ว และตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๐๘๓ ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทย โดยมีชุมชนชาวญี่ปุ่นในกรุงศรีอยุธยาที่บริเวณหมู่บ้านญี่ปุ่นซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาตอนใต้ของเกาะเมือง ส่วนนักรบซามูไรได้เข้ามาเป็นทหารรับจ้างในกองทัพอยุธยาตั้งแต่สมัยของสมเด็จพระนเรศวร

ดังมีบันทึกในคราวสงครามยุทธหัตถีในปีพุทธศักราช ๒๑๓๓ ว่า พระเสนาภิมุขขี่ช้างพลายเฟื่องภพไตร ถือพลอาสาญี่ปุ่น ๕๐๐ ซึ่งต่อมาในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ ได้มีการจัดตั้งขึ้นเป็นกรมอาสาญี่ปุ่น เจ้ากรมมีตำแหน่งเป็นออกพระเสนาภิมุขถือศักดินา ๑,๐๐๐ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้แสดงให้เห็นว่ามีชาวญี่ปุ่นจำนวนมากที่เข้ามาแสวงโชคยังอยุธยา โดย ยามาดะ นากามาสะ เองก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นด้วย

"ยามาดะ นากามาสะ" เกิดที่เมืองโอวาริ ซึ่งปัจจุบันอยู๋ใกล้ ๆ กับนาโงย่า เป็นกำพร้าบิดาแต่เล็กและอาศัยอยู๋กับมารดาและบิดาเลี้ยง เมื่อโตขึ้นได้เป็นซามูไรระดับล่างทำหน้าที่หามแคร่ของจิอุเอมอน โอคุบุ ไดเมียว (เจ้าเมือง) แห่งแคว้นซุนชู ในเวลาต่อมา ยามาดะได้หนีออกจากบ้านและติดตามเรือสินค้าของพ่อค้าจากแคว้นซูรุกะที่เดินทางไปค้าขายยังไต้หวัน

หลังเสร็จสิ้นการค้าแล้ว ยามาดะได้ติดตามเรือสินค้าลำดังกล่าวเดินทางมาเมืองไทย ซึ่งขณะอาศัยอยู่ในเมืองไทยยามาดะได้ประกอบอาชีพค้าขายจนร่ำรวย และต่อมาได้สมัครเข้าเป็นทหารอาสาญี่ปุ่น หลังจากนั้นได้เลือนตำแหน่งจนเป็นถึงออกญาเสนาภิมุขเจ้ากรมอาสาญี่ปุ่น

ในระหว่างดำรงตำแหน่งนั้น ยามาดะยังทำหน้าที่เป็นคนกลางในการติดต่อค้าขายระหว่างไทยกับญี่ปุ่นด้วย จนมาถึงปลายรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรมพระองค์ประชวรหนักใกล้สวรรคตและได้มอบราชสมบัติให้กับพระเชษฐาธิราช ผู้เป็นราชโอรสแทนที่จะมอบให้พระศรีศิลปผู้เป็นพระอนุชาซึ่งเป็นพระมหาอุปราชตามธรรมเนียม

ซึ่งในการนี้พระเจ้าทรงธรรมได้ทรงปรึกษากับออกญาศรีวรวงศ์อดีต จมื่นศรีสรรักษ์ ข้าหลวงเดิมและขุนนางคนสนิท เนื่องจากเวลานั้น เหล่าขุนนางได้แบ่งเป็นสองฝ่ายโดยฝ่ายหนึ่งหนุนหลังพระมหาอุปราชอยู่ ออกญาศรีวรวงศ์จึงได้เกลี้ยกล่อมออกญาเสนาภิมุขหรือ ยามาดะ ให้ช่วยเหลือพระเชษฐาธิราชในการขึ้นครองราชย์ ออกญาเสนาภิมุขตกลงและได้นำกองอาสาญี่ปุ่นเข้าตรึงกำลังในพระราชวังหลวง

วันที่ ๒๒ เดือนอ้าย ปีมะโรง (พ.ศ. ๒๑๗๑) พระเจ้าทรงธรรมสวรรคต สมเด็จพระเชษฐาธิราชเสด็จขึ้นครองราชย์สืบต่อ จากนั้นออกญาศรีวรวงศ์ก็ได้กำจัดขุนนางฝ่ายตรงข้ามจนหมด จากการนี้ทำให้ออกญาศรีวรวงศ์ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ โดยเจ้าพระยากลาโหมยังคงวางแผนถอนรากถอนโคนฝ่ายตรงข้ามให้หมดสิ้น แต่เนื่องจาก ในยามนั้น พระศรีศิลป์ องค์อุปราชยังทรงผนวชอยู่ ออกญากลาโหมจึงขอร้องให้ยามาดะจัดการ โดยให้นำตัวพระศรีศิลป์กลับมาในสภาพของฆราวาสให้ได้

ยามาดะได้ลวงพระศรีศิลป์ว่าจะช่วยให้ครองราชย์และได้ขอให้เสด็จกลับไปในฐานะมหาอุปราช พระศรีศิลป์หลงเชื่อและยอมลาสิกขาออกมา จึงถูกกุมตัวไปขังไว้ที่เพชรบุรี ทว่าขุนนางคนสำคัญของพระศรีศิลป์คือ หลวงมงคล ได้ลอบเข้าไปช่วยพระองค์ออกมาได้ จากนั้นหลวงมงคลได้รวบรวมรี้พลได้สองหมื่นและประกาศให้พระศรีศิลป์ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่เพชรบุรีนั่นเอง

หลังจากทราบข่าว ทางกรุงศรีอยุธยาได้แต่งตั้งออกญารามคำแหงเป็นแม่ทัพถือพลสองหมื่น พร้อมออกญาเสนาภิมุขคุมนักรบซามูไร ๘๐๐ นาย เข้าปราบกบฏครั้งนี้

และในการนี้เอง ที่ยามาดะได้ลวงหลวงมงคลว่าจะแปรพักต์และนำทหารญี่ปุ่นมาเข้าด้วย ทำให้หลวงมงคลเกิดความชะล่าใจ ครั้นถึงเวลาออกรบจึงสั่งให้ไพร่พลมุ่งโจมตีแต่กองทัพกรุงอย่างเดียว โดยมิต้องสนใจทหารญี่ปุ่น แต่ยามาดะกลับสั่งให้ทหารของตนเข้าตีทัพกบฏอย่างดุเดือด ผลก็คือ กองทัพกบฏแตกพ่ายและพระศรีศิลป์ถูกจับตัวได้อีกครั้ง ก่อนจะนำมาสำเร็จโทษที่กรุงศรีอยุธยา

ต่อมาสมเด็จพระเชษฐาธิราชเกิดระแวงเจ้าพระยากลาโหมและวางแผนกำจัด แต่เจ้าพระยากลาโหมรู้ตัวจึงชิงลงมือก่อนโดยนำกำลังยึดพระราชวังและจับพระเชษฐาธิราชสำเร็จโทษ ครั้นเมื่อแผ่นดินว่างกษัตริย์ เจ้าพระยากลาโหมได้ปรึกษากับเหล่าขุนนางว่าจะยกผู้ใดเป็นกษัตริย์เหล่าขุนนางซึ่งเกรงกลัวเจ้าพระยากลาโหมได้พากันเสนอให้เจ้าพระยากลาโหมขึ้นเป็นกษัตริย์แทน

แต่ออกญาเสนาภิมุขซึ่งขณะนั้นมีอำนาจมากได้คัดค้านและเห็นว่าควรให้เชื้อสายพระเจ้าทรงธรรมขึ้นครองราชย์ เจ้าพระยากลาโหมจึงได้ยกเอาสมเด็จพระอาทิตยวงศ์พระอนุชาของพระเชษฐาธิราชขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่เนื่องจากทรงมีพระชนม์เพียงสิบชันษา เจ้าพระยากลาโหมจึงเป็นผู้สำเร็จราชการแทน

หลังจากนั้นเจ้าพระยากลาโหมได้กำจัดออกญารามคำแหงซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่มีอำนาจมากคนหนึ่ง โดยเพ็ดทูลว่าออกญารามคำแหงคิดการเป็นกบฎ พระเจ้าอยู่หัวจึงสั่งประหารเสีย ทำให้ออกญาเสนาภิมุขโกรธแค้นเจ้าพระยากลาโหมเป็นอันมาก เนื่องจากออกญารามคำแหงนั้นเป็นสหายสนิทของตน

เจ้าพระยากลาโหมจึงเริ่มไม่ไว้วางใจออกญาเสนาภิมุขและคิดหาวิธีกำจัดให้พ้นทาง ต่อมาเมืองนครศรีธรรมราชเป็นกบฎ จึงให้ออกญาเสนาภิมุขไปปราบ เมื่อออกญาเสนาภิมุขปราบกบฎสำเร็จ เจ้าพระยากลาโหมได้ขอให้มีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง ออกญาเสนาภิมุขเป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราช ซึ่งการแต่งตั้งครั้งนี้ ทำให้ เจ้าพระยากลาโหมสามารถขจัดออกญาเสนาภิมุขไปจากเมืองหลวงได้สำเร็จ

เมื่อขจัดเสี้ยนหนามได้แล้ว เจ้าพระยากลาโหมซึ่งมีอำนาจสูงสุดในขณะนั้น ได้กล่าวโทษ สมเด็จพระอาทิตยวงศ์ว่า ไม่สนใจราชกิจเอาแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ และให้ปลดออกจากราชสมบัติเสีย จากนั้นจึงปราบดาภิเษกขึ้นเป็น สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ครั้นเมื่อออกญาเสนาภิมุขทราบเรื่องทั้งหมดก็ไม่พอใจมาก เนื่องจากตนเองยังมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าทรงธรรมอยู่และเห็นว่าถ้าพระอาทิตยวงศ์ยังครองราชย์อยู่ ออกญาเสนาภิมุขซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระองค์เนื่องจากเป็นครูสอนดาบซามูไรให้ ก็ยังมีโอกาสจะกลับมาเป็นใหญ่ในกรุงอีกครั้ง ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่เจ้าพระยากลาโหมได้ขึ้นเป็นกษัตริย์นี้ ก็อาจทำให้ออกญาเสนาภิมุขถูกกำจัดได้ง่ายๆ

อย่างไรก็ตาม ออกญาเสนาภิมุขก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวอันใด เนื่องจากได้เกิดการแข็งเมืองของนครรัฐปัตตานี ซึ่งไม่พอใจพวกญี่ปุ่นที่มีอำนาจในนครศรีธรรมราช โดยนครปัตตานีได้สมคบกับบรรดาหัวเมืองมลายูและพวกโจรสลัดรวมกำลังกันยกทัพมาตีนครศรีธรรมราช ออกญาเสนาภิมุขได้ยกทัพเมืองนครและพลอาสาญี่ปุ่นไปทำศึกครั้งนี้ แม้ว่าจะเอาชนะกองทัพปัตตานีได้ แต่เขาก็ต้องอาวุธจนบาดเจ็บสาหัส

พระเจ้าปราสาททองทรงทราบเรื่องทั้งหมด ด้วยความพอพระทัยและได้มีคำสั่งลับให้ออกพระมะริดน้องชายเจ้านครเก่า วางยาพิษสังหารเจ้านครชาวญี่ปุ่นผู้นี้เสีย ในที่สุดยามาดะหรือออกญาเสนาภิมุขก็เสียชีวิตลงด้วยยาพิษ จากนั้นออกพระมะริดจึงนำกำลังเข้ายึดเมืองนคร ทว่า ออกขุนเสนาภิมุข (โออิน) บุตรชายของยามาดะกลับสังหารออกพระมะริดและนำนักรบซามูไรเข้ายึดเมืองนครไว้

จากนั้นได้วางแผนยกทัพไปตีกรุงศรีอยุธยา ทางฝ่ายพระเจ้าปราสาททอง เมื่อทรงทราบเรื่องจึงให้กวาดล้างชาวญี่ปุ่นในกรุง ทำให้พวกทหารญี่ปุ่นในกรุงศรีอยุธญารวมกำลังกันตีฝ่าวงล้อมและไปสมทบกับ โออินที่นครศรีธรรมราช

ทางฝ่ายโออิน ได้ปกครองเมืองนครอย่างกดขี่ ปล้นชิงผู้คนตามใจชอบ ทำให้ชาวเมืองก่อจลาจล นอกจากนี้ยังเกิดการขัดแย้งกันเองในหมู่ชาวญี่ปุ่น ทำให้ต้องเลิกล้มแผนตีกรุงศรีอยุธยา และในที่สุด เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ในเมืองนคร เริ่มเป็นอันตรายต่อพวกตน โออินจึงตัดสินใจนำชาวญี่ปุ่นฝ่ายเดียวกับตน หลบหนีไปยังกัมพูชา โดยได้อาสาเป็นแม่ทัพให้กับกษัตริย์กัมพูชา และได้เสียชีวิตในการรบกับกองทัพล้านช้างในเวลาต่อมา

- ที่มา : www.komkid.com

ย้อนรอยตำนาน "ผ้าเหลือง" ฉาว!! วิกฤตศรัทธา "พระสงฆ์ไทย" ที่ยากจะลืมเลือน?


วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน 2013 เวลา 11:37 น. เขียนโดย จำนง ศรีนคร หมวด เรื่องเด่น

"...ยิ่งความเจริญทางโลกเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ ข่าวคราวในทางไม่สู้ดีเกี่ยวกับ พระสงฆ์ หรือ บรรพชิต ผู้ครองอาภรณ์แห่งธรรม ก็ยิ่งปรากฎตามหน้าสื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นข่าวเล็กข่าวใหญ่ แต่ทุกครั้งย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมศรัทธาของประชาชนทั่วไป.."
ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ ที่ตามหลักพระพุทธศาสนา พระรัตนตรัย อันประกอบไปด้วย พระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์ ถือเป็นแก้วสามประการประกอบกันและทำหน้าที่ธำรงคุณงามความดี ผิดชอบชั่วดีแก่มนุษย์มาหลายพันปี
พระพุทธ และ พระธรรม เป็นของสูง เป็นแก่นแท้และหลักการนำสู่การคิดปฏิบัติ โดย พระสงฆ์ มีบทบาทสำคัญในการสืบทอดพระพุทธศาสนา และถือเป็นผู้น่าเลื่อมใส สามารถตัดกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวงได้ เป็นที่สมควรแก่การกราบไหว้บูชา
แต่ถ้า พระสงฆ์ ไม่ควรเป็นที่กราบไหว้บูชา จะเกิดอะไรขึ้น?
ยิ่งความเจริญทางโลกเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ ข่าวคราวในทางไม่สู้ดีเกี่ยวกับ พระสงฆ์ หรือ บรรพชิต ผู้ครองอาภรณ์แห่งธรรม ก็ยิ่งปรากฎตามหน้าสื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นข่าวเล็กข่าวใหญ่ แต่ทุกครั้งย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมศรัทธาของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกรณีที่เป็นข่าวคราวโด่งดังตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน มีปรากฎแล้วมากมาย จากวันนั้นจนวันนี้ ก็ไม่มีทีท่าจะจบจะสิ้
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ในฐานะปกครองสงฆ์ ได้รวบรวมข้อมูลที่พระสงฆ์ถูกร้องเรียนมากที่สุดและส่วนใหญ่พบว่าเป็นเรื่องจริง และเป็นการผิดวินัย ที่ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด โดยเรื่องร้องเรียนที่พศ. พบมากที่สุดนั้น เป็นเรื่องการบิณฑบาตไม่เหมาะสม ซึ่งมีทั้งพระจริง และฆราวาส(พระปลอม)
นอกจากนี้ยังมี การฉันอาหารตอนเย็น เล่นพนัน การเปิดเพลงเสียงดัง ทะเลาะวิวาทกับฆราวาส รับเงิน ใช้ของแพง ซื้อลอตเตอรี่ การดูหนังโป๊ มีสีกาอยู่ในกุฏิซึ่งก็จะถือเป็นการปาราชิกร้ายแรง หรือแม้แต่พฤติกรรมไม่สำรวมในรูปแบบเพศที่สาม การไปเกี่ยวข้องกับการเมือง และการร่วมชุมนุมต่อต้านตามสถานที่ต่างๆ มีการแสดงท่าที่ไม่สำรวม ทั้งนี้พระไม่สามารถเล่นการเมือง หรือเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทางการเมืองได้ โดยมีคำสั่งของมหาเถรสมาคม พ.ศ.2538 ห้ามไว้อย่างชัดเจน
หากย้อนไปในอดีต กรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับพระเกิดขึ้นมากมาย หลายกรณีก็เป็นเรื่องราวใหญ่โตตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคมไทยอย่างครึกโครมมาแล้ว อาทิ

@พระครูใบฎีกานิกร ธรรมวาที (นายนิกร ยศคำจู) วัดสันปง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
เป็นเรื่องราวใหญ่โตเมื่อ พ.ศ.2533 พระนิกรซึ่งเป็นอดีตพระนักเทศน์เสียงทองแห่งยุค มีผู้คนแห่ไปฟังการเทศน์ไม่ขาดสาย จนถึงขั้นต้องเปิดสำนักปฏิบัติธรรมหลายสิบแห่งทั่วประเทศ พระนิกรได้สร้างความปวดร้าวให้แก่ชาวพุทธ เมื่อมีความสัมพันธ์กับ นางอรปวีณา บุตรขุนทอง จนมีลูกด้วยกัน พระนิกรพยายามตอบโต้ข่าวว่ามีผู้อิจฉาในชื่อเสียงของตน อีกทั้งบรรดาลูกศิษย์ก็พยายามหาหนทางตอบโต้ข้อกล่าวหาว่าเป็นการกลั่นแกล้งโดยไม่เชื่อว่า พระที่ยึดมั่นในศีลธรรมและเทศน์ได้ไพเราะจะทำตัวเช่นนั้น แม้มีหลักฐานมากมายจนถึงขั้นปาราชิก แต่พระนิกร ยังไม่ยอมถอดผ้าเหลืองและยังมีคนอีกมากมายหลงศรัทธาอย่างไม่ลืมหูลืมตา แม้จะเต็มไปด้วยหลักฐาน ตั้งแต่จดหมายรัก ภาพถ่าย จนถูกดำเนินคดีทั้งศาลยุติธรรมและศาลสงฆ์ ซึ่งในที่สุดศาลสงฆ์ มีมติระบุความผิดพระนิกรว่า เป็น "ปฐมปาราชิก" คือการเสพเมถุนกับอิสตรี ขาดจากความเป็นพระ แม้จะกลับมาบวชใหม่ก็ไม่สามารถดำรงความเป็นสมณเพศได้ เปรียบดังตาลยอดด้วนที่ไม่สามารถเจริญเติบโตและงอกเงยได้อีกต่อไป
จึงเป็นเหตุให้มีการแก้ พ.ร.บ.ปกครองสงฆ์ พ.ศ. 2535 (ฉบับที่ 2) ให้ตำรวจ/อัยการ จับพระสึกได้ เรื่องนี้มีคำพิพากษาศาลฎีกาลงวันที่ 15 เดือนมกราคม พ.ศ. 2541 ยืนยันในพฤติกรรมไว้ชัดเจน
โดยคดีอาญา นางอรปวีณา บุตรขุนทอง กับพวกเป็นฝ่ายโจทก์ มีนายนิกร ยศคำจู เป็นจำเลย ใจความว่า เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2533 เวลากลางวัน จำเลย ซึ่งขณะนั้นครองสมณเพศ ได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพ.ต.ท.พิทักษ์ สุวรรณ พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลดอนเมือง ว่า เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2533 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา ขณะที่จำเลยจะเดินทางไปต่างประเทศ โจทก์และพวกยึดเอาหนังสือเดินทาง ตั๋วเครื่องบิน กระเป๋าเดินทาง และข่มขู่ให้ไปด้วย มิฉะนั้นจะทำร้าย แล้วพาจำเลยไปกักขังไว้ที่บ้านเลขที่ 1669/665 หมู่บ้านปิ่นเจริญ 2 พร้อมข่มขู่บังคับจะเอาเงินห้าล้านบาท ใช้อาวุธปืนบังคับให้จำเลยถอดจีวรออก แต่งกายแบบฆราวาส กระทำพิธีผูกข้อมือแต่งงานกับโจทก์ พร้อม ถ่ายภาพ และขู่ว่า หากไม่จ่ายเงิน จะนำภาพไปเปิดเผยทางสื่อมวลชน จำเลยกลัวจึงสั่งจ่ายเช็คธนาคากรุงเทพ จำกัด สาขาประตูช้างเผือก ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2533 จำนวนห้าล้านบาท
การแจ้งความดังกล่าวทำให้ฝ่ายโจทก์ถูกพนักงานสอบสวนควบคุมตัว ได้รับความเสียหาย ทั้งที่ไม่ได้มีการกระทำความผิดในข้อหากรรโชกและทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพเกิดขึ้นตามที่จำเลยกล่าวหา ศาลฎีการตรวจสำนวน ประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำเลยหรือไม่ เห็นว่า ในขณะที่จำเลยกระทำความผิด จำเลยเป็นพระภิกษุ ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสันปง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีชื่อเสียง เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั่วไป และเป็นผู้ที่อบรมสั่งสอนประชาชนให้ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรมอันดี แต่จำเลยกลับมากระทำความผิดเสียเองเช่นนี้ เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป การกระทำของจำเลยจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษ ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจในการลงโทษจำเลย โดยไม่รอการลงโทษนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
@พระยันตระ อมโรภิกขุ (พระวินัย อมโร) หรือ นายวินัย ละอองสุวรรณ
พระยันตระ เป็นที่รู้จักดีเนื่องจากเคยเป็นพระสงฆ์นักปฏิบัติธรรมชื่อดังที่มีผู้เคารพศรัทธามากของเมืองไทยและต่างประเทศในช่วงหนึ่ง ก่อนจะถูกฟ้องคดีกล่าวหาว่าต้องปาราชิกาธิกรณ์และถูกมติมหาเถรสมาคมลงให้พ้นจากภาวะพระภิกษุ และหลบหนีออกนอกประเทศเมื่อ พ.ศ.2537 ไปอาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาในสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองจนถึงปัจจุบัน
นายวินัย ละอองสุวรรณ เป็นชาวนครศรีธรรมราช ก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เขาได้ปฏิบัติตนเป็นนักพรตฤๅษีอยู่หลายปีจนเป็นที่รู้จักกว้างขวาง ต่อมาได้อุปสมบทเป็นพระสงฆ์ในธรรมยุติกนิกายเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2517 ณ พัทธสีมาวัดรัตนาราม อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช พระวินัย เมื่ออุปสมบทมักใช้คำแทนตัวว่า พระยันตระ ซึ่งแปลว่าผู้ไกลจากกิเลส ที่เคยใช้มาตั้งแต่ยังเป็นฤๅษียันตระ เมื่อบวชแล้วเป็นที่รู้จักดีทำให้มีผู้ศรัทธาบวชเพื่อเข้าเป็นลูกศิษย์มากมาย ทำให้เขามักแวดล้อมไปด้วยพระสงฆ์คอยอุปัฏฐากอยู่เสมอ ๆ นอกจากนี้ยังมีผู้ศรัทธาสร้างสำนักวัดถวายเขาหลายแห่ง โดยทุกวัดที่สร้างในสำนักเขาจะใช้คำว่า "สุญญตาราม" ประกอบด้วยเสมอ สำนักที่เป็นที่รู้จักดีคือ วัดป่าสุญญตาราม กาญจนบุรี และยังมีสำนักวัดป่าสุญญตารามของเขาในต่างประเทศอีกหลายแห่ง เช่นที่ วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น
ใน พ.ศ.2537 นายวินัยได้ถูกฟ้องร้องหลายข้อหาและถูกตั้งอธิกรณ์ว่าล่วงละเมิดเมถุนธรรมปาราชิกาบัติ กับนางจันทิมา หรือแม่ดญ.กระต่าย อันเป็นหนึ่งในจตุตถปาราชิกาบัติที่ทำให้ขาดจากความเป็นพระภิกษุตามพระวินัยบัญญัติ โดยมีการต่อสู้ด้วยพยานหลักฐานมากมายตามสื่อต่าง ๆ เป็นข่าวโด่งดังในสมัยนั้น จนในที่สุดได้ถูกมติมหาเถรสมาคมพิจารณาอธิกรณ์ปรับให้พ้นจากความเป็นพระภิกษุ เพราะพิจารณาได้ความว่าเขาต้องอาบัติหนักดังที่ถูกฟ้องร้อง แต่นายวินัยไม่ยอมรับมติสงฆ์ดังกล่าว ด้วยการปฏิญาณตนว่ายังเป็นพระภิกษุและเปลี่ยนสีจีวรเป็นสีเขียว ทำให้ถูกสื่อต่าง ๆ ขนานนามว่า จิ้งเขียว, สมียันดะ, ยันดะ เป็นต้น ก่อนที่นายวินัยจะลักลอบทำหนังสือเดินทางปลอมเพื่อหลบหนีออกจากประเทศไทยไปอยู่ในสหรัฐอเมริกาและได้รับสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง ทำให้นายวินัยสามารถหลบหนีคดีความอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้จนถึงปัจจุบัน
@ พระอิสรมุนี สำนักสงฆ์ป่าละอู จังหวัดเพชรบุรี
พระอิสระมุนี หรือ พระพีระพล เตชะปัญโญ เดิมชื่อ นายบรรหาร อดีตเจ้าอาวาสวัดธรรมวิหารี (วัดร่วมใจพัฒนา-วัดป่าละอู) อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เป็นพระสงฆ์สายวิปัสสนา ซึ่งเป็นที่นับถือเลื่อมใสจากอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร และ ภริยา พจมาน ชินวัตรเป็นอย่างมาก
พระอิสระมุนี เป็นอดีตพระเลขาของหลวงปู่ชา สุภัทโทแห่งวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาเกิดขัดแย้งกับลูกศิษย์ของหลวงปู่ชา ถูกกล่าวหาว่าโกงเงินของวัดจนถูกจับสึก จึงเดินทางมาที่จังหวัดเพชรบุรี ปักกลดและตั้งสำนักสงฆ์ บริเวณป่าละอู ตำบลป่าแดง อำเภอแก่งกระจาน พัฒนาจนกลายเป็นวัดธรรมวิหารี มีเนื้อที่กว่า 200 ไร่ในปัจจุบัน
พระอิสระมุนีเป็นพระนักเทศน์ที่มีความสามารถ สั่งสอนธรรมะให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม ได้นิยามถึงตัวตนของตนเองไว้ว่า เราผู้มีชื่อว่า อิสระมุนี ไม่ใช่ฐานันดรบุคคล ไม่ใช่พระมหาเถระผู้มีวาสนายิ่งใหญ่มหึมา ที่ใคร ๆ จะต้องกราบไหว้ ไม่ใช่พระมหาผู้มีความรู้กว้างขวางจนไม่มีใครเทียมเท่า ไม่ใช่บัณฑิตศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยใด ไม่ใช่นักปราชญ์หรือนักวิชาการ หรือนักคิดที่ถูกคนเขาให้ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์กันเป็นกระบุง ๆ เพราะฉะนั้น เราจึงมีชื่อว่า อิสระมุนี ผู้ที่ต้องการรู้จักเราก็จงรู้ที่ออกมาจากใจของเราตามที่กล่าวมานี้เถิด
คำสั่งสอนของของพระอิสระมุนี เคยเป็นที่เลื่อมใสของ พ.ต.ท.ทักษิณ พ.ต.ท.ทักษิณมักนำคำสอนของพระอิสระมุนีมากล่าวอ้างอิงกับสื่อมวลชน เช่นเดียวกับคำสอนของพุทธทาสภิกขุ และเคยเดินทางมาสนทนาธรรมกับพระอิสระมุนี นอกจากนี้เมื่อ พ.ศ.2543 ยังให้นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย เข้าอุปสมบทและศึกษาพระธรรมกับพระอิสระมุนีอยู่ระยะหนึ่ง
กระทั่ง พระอิสระมุนีตกเป็นข่าวว่าต้องปาราชิก หลังจากมีเพศสัมพันธ์กับสีกาคนสนิท ถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2544 จากการสืบสวนของทีมงานรายการถอดรหัส ทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวีในขณะนั้น ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม มีหลักฐานเป็นจดหมายเขียนถึงสีกาสาว 10 หน้ากระดาษและเทปสนทนาทางโทรศัพท์ ซึ่งพระอิสระมุนีก็ได้สึกจากสมณเพศในทันที ข่าวพระอิสระมุนีนี้ทำให้ไอทีวีได้รับรางวัลสารคดีเชิงข่าวยอดเยี่ยม รางวัล "แสงชัย สุนทรวัฒน์" จากสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ประจำพ.ศ.2544
@ พระภาวนาพุทโธ(นายจำลอง คนซื่อ)
พ.ศ.2538 ไม่มีข่าวไหนที่สั่นคลอนความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนเท่ากับ ข่าวคาวความอื้อฉาวของพระภาวนาพุทโธ ที่ขณะนั้นถือว่า กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง แซงหน้าความมีชื่อเสียงของบรรดาพระวิปัสสนาจารย์ทำให้ศรัทธาของพุทธศาสนิกชนจากทั่วสารทิศ ต่างหลั่งไหล และมุ่งตรงไปสู่วัดสามพราน ทั้งลาภและสักการะจำนวนมหาศาล จึงเป็นผลพลอยได้เข้าสู่วัดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่นอกเหนือจากการอบรมสั่งสอนวิปัสสนากรรมมัฏฐานแล้ว พระภาวนาพุทโธ ยังได้รับอุปการะเด็กชาวเขาจากจ.แม่ฮ่องสอน และจากจ.เชียงใหม่ ให้ได้รับการศึกษาเลี้ยงดู โดยนำมาพักอาศัยภายในวัดสามพราน ซึ่งหากเป็นเด็กผู้หญิง ก็ให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแม่ชีภายในวัด
พฤติกรรมของอดีตพระภาวนาพุทโธนั้น ถูกระบุในคำพิพากษาว่า เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2531-2538 ต่อเนื่องกัน แต่เรื่องมาปรากฏเป็นข่าวในพ.ศ.2538 เมื่อมีพระลูกวัดโพธิ์เรียง ซึ่งเป็นญาติของเด็กหญิงชาวเขา เหยื่อของพระภาวนาพุทโธคนหนึ่ง ทราบพฤติกรรมดังกล่าว จึงได้ทำเรื่องร้องเรียนต่อกรมการศาสนา และตำรวจกองปราบปราม ซึ่งเมื่อสื่อได้ข้อมูล-ข้อเท็จจริง ข่าวจึงถูกกระพือ ถัดจากนั้นมาอีก 9 ปีเต็ม ทั้งการดำเนินการในชั้นของพนักงานสอบสวน ชั้นอัยการ และชั้นศาล จนกระทั่งเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2547 ศาลชั้นต้น จึงพิพากษา นายจำลอง คนซื่อ หรืออดีตพระภาวนาพุทโธ ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงอายุไม่เกิน 13 ปีและไม่เกิน 14 ปี ซึ่งมิใช่ภรรยาตน และฐานได้กระทำต่อศิษย์ที่อยู่ในความดูแล และพวกแม่ชีถูกฟ้องฐานเป็นผู้สนับสนุน เป็นธุระจัดหา และชักพาหญิงไปเพื่อสำเร็จความใคร่เพื่อการอนาจารเด็กหญิงชาวเขาถึง 6 คน โดยพิพากษาจำคุกเป็นเวลาถึง 160 ปี แต่ตามกฎหมายสามารถจำคุกจำเลยได้เพียง 50 ปีเท่านั้น โทษจึงคงเหลือจำคุก 50 ปี มีการสู้คดีกันต่อแต่ทั้งศาลอุทธรณ์และศษลฎีกาก็ยังคงพิพากษายืน
โดยคำพิพากษาศาลฎีกาบอกความถึงพฤติกรรม โดยศาลฎีกาเห็นว่า พยานโจทก์ที่เป็นผู้เสียหายเบิกความสอดคล้องกันทั้ง ๙ปากถึงพฤติการณ์จำเลยว่า ได้มีจำเลยที่เป็นแม่ชี พาผู้เสียหายรายละ๑คน เข้ามาที่กุฏิทางห้องน้ำ อ้างว่าต้องไปทำความสะอาดห้องบันทึกเทป จากนั้นได้ให้ผู้เสียหายไหว้พระพุทธรูป จำเลยที่จึงเดินมาจากชั้น๒ทางบันได้เหล็ก แล้วให้ผู้เสียหายมากราบที่ตัก แล้วใช้มือลูบผม แล้วให้ผู้เสียหายไปปูที่นอน หรือให้ช่วยบีบนวดที่ขา จากนั้นจำเลยที่๑จะเดินมาทางด้านหลังแล้วโอบกอด โดยให้แม่ชีช่วยจับแขนขา จำเลยจึงจูบที่นมแล้วใช้อวัยวะเพศสอดใส่กระทำชำเรา เมื่อสำเร็จความใคร่แล้วก็ให้ผู้เสียหายกินยาคุมกำเนิด แล้วพาไปล้างอวัยวะเพศที่ก๊อกน้ำในห้องน้ำ ก่อนให้แม่ชีพากลับห้องพัก สำหรับรายที่ครั้งแรกไม่ยินยอมก็จะถูกลงโทษด้วยการเดินจงกลมกลางแดดบนพื้นดินที่มีกรวดหินแหลมคม

ข้อพิเคราะห์ของศาลฎีกาตามพยานหลักฐาน ได้แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมของจำเลยและพวกเป็นเช่นใด นอกเหนือจากพฤติกรรมที่ทำให้ขาดจากความเป็นพระแล้ว จำเลยยังสู้อุตส่าห์ป้องกัน ด้วยการให้กินยาคุมกำเนิด ส่วนรายไหนไม่ยินยอม กลับลงโทษให้ไปเดินจงกรมกลางแดดบนพื้นดินที่มีกรวดหินแหลมคม ซึ่งพฤติกรรมการลงโทษเหยื่อที่ไม่ยินยอมด้วยการนำการเดินจงกรม อันเป็นหนึ่งในวิธีปฏิบัติของวิปัสสนามาเพื่อสนองตัณหาของตนเอง
แม้อดีตภาวนาพุทโธยังจะอ้างถึงความเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทั้งด้านวิปัสสนากรรมมัฏฐาน และความเอื้ออาทรที่มีต่อเด็กผู้ยากไร้ชาวเขา โดยต่อสู้ว่า ตนเป็นพระมีชื่อเสียงด้านบำเพ็ญภาวนา และนำเด็กชาวเขาที่นับถือศาสนาอื่นมาเป็นชาวพุทธ สร้างความไม่พอใจแก่ศาสนาอื่น จึงร่วมกันกลั่นแกล้งปั้นเรื่อง นอกจากนี้ห้องที่เกิดเหตุก็ไม่ตรงกับบันทึกแผนที่ของเด็ก และอวัยวะเพศของตนก็ผิดปกติไม่อาจร่วมเพศได้ ส่วนอวัยวะเพศผู้เสียหายก็ไม่มีร่องรอยถูกชำเรา แต่ศาลก็พิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยผิดวิสัยของผู้ปฏิบัติธรรมจริง
@เณรแอ(นายหาญ รักษาจิตร์) 
เป็นเจ้าของต้นตำรับ กุมารทอง ของขลัง รวมทั้งมนต์ดำเสน่ห์ยาแฝดที่ชื่อดัง บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดหนองระกำ อ.หนองโดน จ.สระบุรี อยู่หลายปี แม้ว่าอายุจะถึงวัยที่ต้องอุปสมบทเป็นพระภิกษุ แต่เณรแอก็ไม่ยอมอุปสมบท แต่เลือกที่จะร่ำเรียนไสยศาสตร์มนต์ดำจากอาจารย์เขมร จนว่ากันว่ามีอาคมแก่กล้า ช่ำชองการทำเสน่ห์ยาแฝด การสะเดาะเคราะห์ และปลุกเสกของขลัง จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว แต่ละวันมีลูกศิษย์ลูกหาเดินทางไปให้ เณรแอ ทำพิธีทางไสยศาสตร์ให้จำนวนมาก
กระทั่งพ.ศ.2537 เณรแอ ใช้ใต้ถุนเมรุวัดหนองระกำทำพิธีปลุกเสกกุมารทอง ของขลังตามท้องเรื่องในวรรณคดีดัง ขุนช้างขุนแผน ที่เณรแอและผู้คลั่งไคล้ไสยศาสตร์ เชื่อกันว่า เป็นผีเด็ก ที่ใครมีไว้ในครอบครองแล้วจะทำให้เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน การค้าการขายได้กำไรดี แต่พิธีกรรมปลุกเสก กุมารทอง ในครั้งนั้น ทำให้เณรแอต้องติดคุกอยู่ 1 ปีเต็ม เนื่องจากในพิธีปลุกเสก มีการบันทึกภาพวิดีโอขั้นตอนการปลุกเสกไว้อย่างละเอียดยิบ โดยเฉพาะขั้นตอนการย่างศพเด็ก และมีการนำวิดีโอเทปไปเผยแพร่ในสื่อมวลชนต่างๆ จนเป็นข่าวครึกโครม
หลังจากนั้นไม่นาน กรมการศาสนาได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.หนองโดน ให้ดำเนินคดี เณรแอ ในข้อหาอุตริมนุษยธรรมที่ไม่มีตัวตน ซึ่งศาลจังหวัดสระบุรีได้พิพากษาให้จำคุกเป็นเวลา 1 ปี พฤติกรรมของเณรแอถึงกับมีผู้สร้างภาพยนตร์นำเรื่องราวไปถ่ายทำภาพยนตร์ให้ชื่อว่า "เณรแอจอมขมังเวทย์" ทำให้ชื่อเสียงของเณรแอเป็นที่จดจำของคนไทยทั้งประเทศจนถึงบัดนี้
หลังจากพ้นโทษ แม้ว่า เณรแอ จะไม่ได้ถือครองผ้าเหลือง แต่ก็ไม่ได้ห่างหายไปจากแวดวงไสยศาสตร์ เณรแอได้ใช้บ้านพักทรงไทย ปลูกสร้างอยู่ในเนื้อที่ 5 ไร่ ที่สระบุรี เป็นสถานที่ทำเสน่ห์ยาแฝดให้แก่ผู้ที่ศรัทธา จนกลายเป็นคนมีฐานะ มีทรัพย์สินอยู่ในความครอบครองหลายสิบล้านบาท
พ.ศ.2538 เณรแอ ได้แต่งงานกับ นางชไมพร รักษาจิตร์ โดยยังคงยึดอาชีพหมอเสน่ห์ ทำมาหาเลี้ยงครอบครัว แต่ก็ต้องเลิกรากันไป โดยนางชไมพรอ้างว่าทนพฤติการณ์ของเณรแอไม่ไหว กรณีบังคับให้หลอกลวงหญิงสาวที่มีปัญหาครอบครัวให้มาทำพิธีไสยศาสตร์ และได้ฟ้องหย่าต่อศาล ต่อมาพ.ศ.2548 นางชไมพรเข้าร้องเรียนต่อนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี กล่าวหาเณรแอ ว่าเป็นจอมลวงโลก มีพฤติการณ์ต้มตุ๋นหลอกลวงประชาชน อ้างพิธีทางไสยศาสตร์หลอกข่มขืนหญิงสาวที่หลงเชื่อ แถมยังแอบถ่ายวิดีโอไว้แบล็กเมล์เหยื่อ โดยนางปวีณาได้ประสานไปยัง พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบก.ปดส.ในขณะนั้น ให้สืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีเณรแอในข้อหาฉ้อโกงประชาชน จนทำให้เณรแอต้องระเห็จเข้าคุกอีกครั้ง
ทั้งนี้ระหว่างการเข้าตรวจค้นบ้านพักของเณรแอ เมื่อเช้ามืดวันที่ 10 กรกฎาคม 2548 ตำรวจพบ เณรแอนอนอยู่ในห้องพักกับหญิงสาววัย 19 ปี รายหนึ่ง โดยหญิงสาวรายนี้ยอมรับกับตำรวจว่า เดินทางมาพบเณรแอเพื่อให้ทำเสน่ห์ยาแฝดให้ แต่ไม่มีเงินจ่ายค่าพิธี จึงต้องยอมร่วมหลับนอนกับเณรแอแทน นอกจากนั้นยังพบเครื่องรางของขลังและอุปกรณ์การทำพิธีไสยศาสตร์อยู่เต็มบ้าน ทั้งพระพุทธรูป รูปปั้นกุมารทอง หัวกะโหลกลงอักขระหลายขนาด ตะกรุด ปลัดขิก ขวดน้ำมันพราย หุ่นขี้ผึ้งปั้นหญิง-ชายกอดกันและมัดติดกัน
อย่างไรก็ตาม ของกลางที่พบไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบได้ในบ้านพักของจอมขมังเวทรายนี้ แต่ที่ทำให้ตำรวจแปลกใจคือ มี ยาทน ยาไวอากร้า และยากล่อมประสาท ซุกซ่อนอยู่ใต้ฐานพระภายในห้องทำพิธีอีกด้วย
ปัจจบัน เณรแอ ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จากคำพิพากษาศาลอาญารัชดาฯคดีฉ้อโกง เป็นเวลา 100 ปี แต่คำให้การของจำเลยมีประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง จึงลดโทษให้เหลือจำคุก 75 ปี อย่างไรก็ตาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา91 (2) ให้ลงโทษจำคุกจำเลยไว้สูงสุดที่ 20 ปี จากการสืบสวนของตำรวจ ปดส.ในครั้งนั้น พบว่ามีหญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อของเณรแอ ทั้งสิ้น 33 คน ในจำนวนนั้นมีดารา นักแสดง และผู้ที่มีชื่อเสียงในสังคม หลายรายรวมอยู่ด้วย
@พระราชภาวนาวิสุทธิ์หรือพระไชยบูลย์ ธัมมชโย (นายไชยบูลย์ สิทธิผล)
เป็นข่าวครึกโครมเมื่อมีการตรวจสอบความโปร่งใสทางการเงินของพระในวัดพระธรรมกาย และสถาบันหรือโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวกับวัดพระธรรมกายทั้งหมด โดยเฉพาะการสอบสวนถึงการที่อัยการถอนคดีความของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเพื่อตัดตอนการพิจารณาคดีของศาล ว่า มีเงื่อนงำอะไรอยู่เบื้องหลังหรือไม่ โดยมีข้อเท็จจริงในการถอนฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2549
ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 704 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนายสุนพ กีรติกุลผู้พิพากษาอาวุโส เจ้าของสำนวน และองค์คณะออกนั่งบัลลังก์ พิจารณาคดีดำ หมายเลขที่ 11651/2542และคดีดำหมายเลข 14735/2542 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพระราชภาวนาวิสุทธิ์หรือพระไชยบูลย์ ธัมมชโย หรือนายไชยบูลย์ สิทธิผล อายุ 62 ปี อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และนายถาวร พรหมถาวร อายุ 57 ปี ลูกศิษย์คนสนิท เป็นจำเลยที่ 1-2ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุนเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือผู้อื่นโดยสุจริต และเป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต และโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
โดยร่วมกันยักยอกทรัพย์และเงินบริจาคของวัดพระธรรมกาย จำนวน 6.8 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินเขาพนมพา ต.หนองพระอ.วังทรายพูน จ.พิจิตร โดยโอนกรรมสิทธิ์ใส่ชื่อนายถาวร จำเลยที่ 2 และเงิน จำนวน 29,877,000บาทไปซื้อที่ดินเนื้อที่ 902 ไร่เศษ ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร และ ต.ท่าข้าม อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์โอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยที่ 2 เช่นกัน
ทั้งนี้ เรืออากาศโทวิญญ วิญญกุล อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2549 สรุปว่า ตามที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสอง เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 และวันที่ 16 ธันวาคม. 2542 ตามลำดับโดยกล่าวหาว่า จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันกระทำผิด โจทก์ขอเรียนว่าการดำเนินคดีนี้ สืบเนื่องจากจำเลยที่ 1 กับพวกไม่ปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่มีว่า ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำสั่งสอนโดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้พระสงฆ์ที่หลงเชื่อคำสอนบิดเบือนแตกแยกออกไปกลายเป็นสองฝ่าย มีความเข้าใจความเชื่อถือ พระพุทธศาสนาตรงกันข้าม เป็นการทำลายพระพุทธศาสนาทำให้พระสงฆ์แตกแยกเป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบัน และอนาคตที่หนัก
ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษแต่เป็นการทำที่ถูกต้องคือ ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที (5 เมษายน .2542) ในชั้นต้นหากมิใช่มีเจตนาถือเอาสมบัติของวัดเป็นของตนจริง ๆ แต่เมื่อถึงอย่างไรก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะที่เป็นพระคืนให้แก่วัดก็แสดงชัดแจ้งว่า ต้องอาบัติ ปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาดเช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระ ปลอมเป็นพระด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครองทำความเศร้าหมองเสื่อมเสียให้เกิดแก่สงฆ์ให้พระพุทธศาสนา
คำร้องถอนฟ้องระบุต่อไปว่า บัดนี้ ข้อเท็จจริงในการเผยแพร่คำสอนปรากฏจากอธิบดีกรมการศาสนาผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เลขาธิการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะภาค 1 ว่า ในปัจจุบันจำเลยที่ 1กับพวก ได้เผยแพร่พระพุทธศาสนาตรงตามพระไตรปิฎก และนโยบายของคณะสงฆ์ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้เป็นที่ยอมรับทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งได้ให้ความร่วมมือช่วยเหลือกิจการของศาสนาทั้งของคณะสงฆ์ ภาครัฐ และเอกชนจำนวนมาก
สำหรับในด้านทรัพย์นั้น ปรากฏว่าจำเลยที่ 1กับพวกได้มอบทรัพย์สินทั้งหมด ซึ่งมีทั้งที่ดินและเงินจำนวน 959,300,000 บาท คืนให้แก่วัดพระธรรมกาย การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1 กับพวก จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ครบถ้วนทุกประการแล้ว
ประกอบกับขณะนี้บ้านเมืองต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติทุกหมู่เหล่าเห็นว่า หากดำเนินคดีจำเลยทั้งสองต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักรโดยเฉพาะพระภิกษุ สามเณรและประชาชนทั้งในและต่างประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ และไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งให้ถอนคดีนี้ ดังนั้น โจทก์จึงขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ทุกข้อกล่าวหาขอศาลโปรดอนุญาต" คำร้องระบุ
ทั้งนี้ ศาลได้สอบถามว่าจำเลยทั้งสองจะคัดค้านหรือไม่ จำเลยทั้งสองแถลงว่า ไม่คัดค้านพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสอง ก่อนศาลมีคำพิพากษา เมื่อจำเลยทั้งสองคนไม่คัดค้านที่โจทก์ถอนฟ้องจึงมีเหตุอันสมควรที่ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.35จึงอนุญาตให้ถอนฟ้องจำเลยทั้งสอง และจำหน่ายคดีของโจทก์ออกจากสารบบความของศาลอาญา
อย่างไรก็ดีสำหรับยักยอกทรัพย์วัดพระธรรมกายที่อัยการยื่นฟ้องต่อศาลอาญามีเพียง 2 คนเท่านั้นคงเหลือสำนวนคดียักยอกทรัพย์ที่รอการสั่งคดีในชั้นอัยการอีก 3 สำนวน ประกอบด้วย
1.คดีที่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ นางกมลศิริ คลี่สุวรรณ และนายมัยฤทธิ์ ปิตะวนิค ลูกศิษย์คนสนิท เป็นผู้ต้องหาซึ่งถูกกล่าวหาว่าร่วมกันเบียดบังเงินวัด จำนวน 95 ล้านบาทเศษไป ซื้อที่ดิน
2.คดีที่พระราชภาวนาวิสุทธิ์นางสงบ ปัญญาตรง นายมัยฤทธิ์ ปิตะวนิค และนายชาญวิทย์ ชาวงษ์ ลูกศิษย์คนสนิท เป็นผู้ต้องหา เบียดบังเงินจำนวน 845 ล้านบาทเศษ
และ 3. คดีที่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ร่วมกับนายเทิดชาติ ศรีนพรัตน์ นายมัยฤทธิ์ปิตะวนิค และนางอมรรัตน์ สุวิพัฒน์ หรือสีกาตุ้ย ลูกศิษย์คนสนิท ผู้ต้องหาร่วมกันปลอมแปลงเอกสารและสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
@หลวงปู่เณรคำ
เช่นเดียวกับกรณีของหลวงปู่เณรคำ ซึ่งกำลังเป็นข่าวดังในขณะนี้ ในเรื่องพฤติกรรมไม่เหมาะสม การใช้ของแพงเกินสมณศักดิ์ และการมีภาพถ่ายคู่กับสีกาในลักษณะไม่เหมาะสมนั้น เป็นเรื่องที่จะต้องมีการตรวจสอบโดยขั้นตอน ซึ่งขณะนี้สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ก็ได้ตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ขณะที่กรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร ก็ไม่ได้นิ่งเฉย โดยนายสันตศักดิ์ จรูญงามพิเชษฐ์ ประธานกรรมาธิการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม เปิดเผยว่า มีการนำเรื่องหลวงปู่เณรคำเข้าพิจารณาแล้ว และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการเชิญทุกฝ่ายเข้ามาชี้แจง
โดยพฤติกรรมที่ปรากฎ บวชตั้งแต่อายุ 12 แล้วปฏิบัติทางสมาธิภาวนาแบบอุกฤษฏ์คือยอมตายถ้าไม่บรรลุธรรม จนมีสมาธิจิตสูงถึงระดับฌาณ 8 มีฤทธิ์อภิญญา ขณะนี้ท่านอายุเพียง 30 ปีเศษเท่านั้น แต่ที่ท่านเรียกตัวเองว่า หลวงปู่ เพราะรวมกับอายุในชาติที่แล้ว ท่านระลึกชาติได้หลายแสนชาติ เห็นนรก เห็นเทวดาและองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ต่างๆ ช่วงที่ธุดงค์อยู่ตามป่าตามถ้ำ อ้างว่าได้สัมผัสกับผี เปรต พญานาค เทวดามากมาย 

แต่ที่โด่งดังกลับเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างความฮือฮาในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก กับภาพถ่ายในอิริยาบถต่าง ๆ เช่น ชูสองนิ้วในศูนย์การค้า โดยภายในคลิปเป็นภาพคณะสงฆ์จำนวน 3 รูปนั่งอยู่บนเครื่องบินส่วนตัว (ว่ากันว่า ลูกศิษย์ถวายให้ใช้เดินทางไกล หรือกรณีเร่งด่วน) หูเสียบหูฟังไอโฟน สวมแว่นตาดำและกระเป๋าหลุยส์วิตตอง โดยเครื่องบินเครื่องดังกล่าวบินลงจอดที่สนามบินอุบลราชธานี ซึ่งทราบข้อมูลเบื้องต้นว่าพระบนเครื่องบิน มีชื่อว่า หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก วัดป่าขันติธรรม อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ผู้เขียนหนังสือ ชาติหน้าไม่ขอเกิด และนิพพานมีจริง ซึ่งล่าสุดคลิปดังกล่าวได้ถูกลบออกจากยูทิวบ์ไปแล้ว เหลือก็แต่ภาพที่กำลังเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อยู่ตอนนี้เป็นภาพหน้าคล้ายที่นอนกับสีกา

ภาพเหล่านี้ ทำให้พุทธศาสนิกชนหลาย ๆ คนเคลือบแคลงใจ และตั้งคำถามว่า นี่หรือคือพระสงฆ์ที่อ้างตนว่ามีสมาธิจิตสูงถึงระดับฌาน 8 เนื่องจากพฤติกรรมที่แสดงออกมาค่อนข้างขัดแย้ง โดยเฉพาะการยึดติดในตัววัตถุ สิ่งของ ทั้ง ๆ ที่ตามหลักความเป็นจริงในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ควรมุ่งสู่ความหลุดพ้น และปล่อยวางไม่ใช่หรือ

แม้บางคลิปถูกลบออกไปแล้ว แต่เรื่องหนึ่งที่หลายคนตั้งคำถามก็คือ หลักการตลาดเพื่อโปรโมตตัวเอง โดยตั้งชื่อให้ดูขลัง แสร้งทำตัวให้น่าเลื่อมใส อวดอ้าง อิทธิฤทธิ์ อภินิหารหรือไม่?
พระพุทธ และ พระธรรมนั้นไม่มีเสื่อม มีแต่บุคคลที่เสื่อม อ่านแล้วก็อย่าเพิ่งหมดศรัทธาในการทำคุณงามความดี...แม้เรื่องฉาวโฉ่จะมีมาเรื่อยๆ แต่พระสงฆ์ดีๆ ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ก็ยังมีอีกมาก อยู่ที่เราจะเลือกศรัทธากันอย่างมีสติหรือไม่...

เจ้าสัวซีพี แนะทฤษฎี 2 สูง แก้วิกฤติ

เจ้าสัวซีพี แนะทฤษฎี 2 สูง แก้วิกฤติ

5 years agoThai Idol
ชม 18,656 ครั้ง
 

ธนินท์ เจียรวนนท์

"พยายามทำให้ประชาชน มีเงินเหลือ

ซึ่งประชาชน จะประหยัดการใช้เงิน โดยอัตโนมัติ 

เนื่องจากของแพง" 

เจ้าสัวซีพี แนะรัฐบาล ใช้ทฤษฎี 2 สูง

ขึ้นเงินเดือน-ดันราคาสินค้าเกษตร แก้เศรษฐกิจประเทศ

          

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กล่าวในการสัมมนา  "ทางเลือกสุดท้าย ทางรอดของประเทศ” โดยเชื่อว่า การปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการและค่าแรงขั้นต่ำให้สูงกว่าราคาน้ำมัน ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อ เพราะภาวะเงินเฟ้อหมายความว่า ประชาชนมีเงินแต่ซื้อของไม่ได้ ดังนั้นควรปล่อยให้ราคาสินค้าสูงขึ้นตามความเป็นจริงและช่วยให้ประชาชนมีรายได้สูงขึ้นไปพร้อม ๆ กัน

         "รัฐบาลญี่ปุ่น เป็นรัฐบาล ที่จนที่สุด เนื่องจากมีหนี้มากที่สุด โดยเป็นหนี้กับประชาชน ขณะที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าหนี้ในโลก เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นฉลาด ปล่อยให้ราคาสินค้าแพง เงินเดือนสูง ญี่ปุ่นใช้ทฤษฎีนี้ คือพยายามทำให้ประชาชนมีเงินเหลือ ซึ่งประชาชนจะประหยัดการใช้เงินโดยอัตโนมัติ  เนื่องจากของแพง นอกจากนี้รัฐบาลญี่ปุ่นได้กู้เงินจากประชาชน ดอกเบี้ยต่ำ ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐตระหนักว่าเงินมาจากการกู้ยืมจากประชาชน" นายธนินท์ กล่าว

       ทฤษฎี 2 สูงทำให้ประชาชนมีทางเลือก มีเงิน การพัฒนาด้านเทคโนโลยีก็เกิดขึ้น และในที่สุดราคาสินค้าเกษตร จะถูกลงมาเองตามธรรมชาติ อย่างเมื่อก่อนไก่เป็นอาหารคนรวย แต่ตอนนี้ไก่กลับมีราคาถูกกว่าหมู เนื่องจากรัฐบาลไม่เข้าไปแทรกแซงราคา ทำให้มีการพัฒนาเทคโนโลยี ต้นทุนต่ำลง คนกล้าลงทุนมากขึ้น

 

นิตยสาร Forbes ได้ตีพิมพ์รายชื่ออภิมหาเศรษฐีติดอันดับโลกประจำปี 2008 ซึ่งหนึ่งในชาวไทยที่ติดอันดับเศรษฐีโลกคือ เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ กัปตันใหญ่ผู้บริหารนาวาเครือเจริญโภคภัณฑ์นั่นเอง ดิฉันเองเคยเขียนเรื่องนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงและ CEO ระดับโลกมาหลายท่านแต่ยังไม่เคยเขียนเรื่องของคุณธนินท์

ใช่ว่าคุณธนินท์ไม่สำคัญ แต่เป็นเพราะว่ามีคนเขียนเรื่องของท่านมากมายทั้งในรูปบทสัมภาษณ์ บทความ ตลอดจนพอคเก็ตบุ๊คเรื่องประวัติชีวิตการทำงานและวิสัยทัศน์ธุรกิจของท่าน

อย่างไรก็ตามวันนี้ขอเขียนถึงท่านสักที เหตุเพราะมีแรงจูงใจมาจากการได้ชมเทปบันทึกการบรรยายของท่าน ตามคำเชิญของสภาพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติเมื่อวันที่ 6 มี.ค. ที่ผ่านมาในหัวข้อเรื่อง "ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจไทย" (หากผิดพลาดเรื่องชื่อหัวข้อ หรือวัน เวลาที่จัด ต้องขออภัยเพราะดิฉันมิได้ชมรายการตั้งแต่ต้น) โดยการบรรยายของท่านมีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจและการบริหารคนอยู่หลายประการ ซึ่งดิฉันขอนำมาเล่าให้ฟังในคอลัมน์นี้

น้ำมันบนดิน Vs. น้ำมันใต้ดิน

คุณธนินท์ได้กล่าวถึงทรัพยากรธรรมชาติที่ชาติต่างๆ ล้วนต่างมีและอาจจะหมดไปในไม่ช้า ยกตัวอย่างเช่น ประเทศในกลุ่มโอเปคมีน้ำมันอันเป็นทรัพยากรที่หายาก ทั้งนี้ได้มีการวิเคราะห์กันแล้วว่า หากยังมีการขุดเจาะน้ำมันใช้ ในอัตราที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน น้ำมันดิบก็จะหมดจากโลกในอีก 100 ปีข้างหน้า ทั้งนี้กลุ่มโอเปคตระหนักดีว่า น้ำมันที่ตนครอบครองอยู่ย่อมมีวันหมดไป จึงพยายามกำหนดราคาน้ำมันให้สูงเข้าไว้ เพื่อตักตวงผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุดขณะที่ยังมีเวลาอยู่

แต่สำหรับประเทศไทยนั้น เป็นประเทศเกษตรกรรมมีการเพาะปลูกข้าว ยางพาราเป็นอันดับต้นๆ ของโลก นอกจากนี้เทคโนโลยีในการทำฟาร์มกุ้งก็เป็นอันดับหนึ่งของโลก ผลผลิตทางการเกษตรของเราจึงเปรียบเสมือนเป็น "น้ำมันบนดิน" ของประเทศไทย ที่ใช้ไม่มีวันหมดหากมีการค้นคว้าวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตร ดังที่เครือเจริญโภคภัณฑ์มีนโยบายพัฒนาด้านวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นประเทศไทยจึงควรตระหนักถึงคุณค่าของ "น้ำมันบนดิน" และพยายามพัฒนาการเกษตรเพื่อยกระดับราคาผลิตผลของเราให้สูงขึ้น จะได้ไปสู้กับราคาน้ำมัน

ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ใช่เป็นอุปสรรค

คุณธนินท์ได้แสดงความเห็นที่น่าไปขบคิดอีกด้วยว่า ท่านคิดว่า เมืองไทยน่าจะสร้างเขื่อนเพื่อกักเก็บน้ำให้พอ ทั้งนี้อาจจะมี NGO บางกลุ่มออกมาคัดค้านการสร้างเขื่อนเพราะเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาทำให้ปลาบางชนิดอาจสูญพันธุ์ไป ในเรื่องนี้คุณธนินท์มีความเห็นว่าเราน่าจะนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหา เช่น ถ้ากลัวว่าปลาชนิดใดจะสูญพันธุ์ ก็ให้เพาะปลาพันธุ์นั้นๆ มาเลี้ยงในเขื่อน ดิฉันฟังไอเดียของคุณธนินท์ก็ออกจะเห็นคล้อยตามอยู่ ส่วนจะทำได้จริงหรือไม่ ขอยกประเด็นนี้ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุวิทยาและสิ่งแวดล้อมไปวิเคราะห์ต่อถึงความเป็นไปได้

แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ "วิธีคิด" ของคุณธนินท์ต่างหาก ดิฉันชอบตรงที่ท่านเป็น "นักแก้ปัญหา" ตัวยง ในขณะที่หลายคนมีไอเดียดีๆ อยากจะทำโน่นทำนี่ แต่ติดขัดเพราะเจอคำทักท้วงหรือปัญหา แล้วก็เลยหยุดคิดไม่ทำต่อ แต่ถ้ามีจิตใจเป็นนักสู้ และนักแก้ปัญหาอย่างคุณธนินท์ ก็จะพยายามวิจัยค้นหาว่าจะนำเทคโนโลยีตัวไหนมาแก้ปัญหา หรืออุปสรรคนั้นๆ ให้หมดไป วิธีคิดแบบนี้น่านิยมเพราะมันจะทำให้มีการค้นคว้าสร้างความรู้และทฤษฎีใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา

คนคือเทคโนโลยีและทรัพยากรที่สำคัญที่สุด

แม้ว่าคุณธนินท์จะให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีมาก แต่คุณธนินท์ยืนยันว่า คนคือเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุด เพราะคนเป็นผู้สร้างเทคโนโลยีขึ้นมา คนจึงเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด ดังนั้นทางซีพีจึงมีนโยบายพัฒนา และให้ผลตอบแทนบุคลากรอย่างคุ้มค่า เพื่อเป็นแรงจูงใจให้คนดีมีฝีมือมีกำลังใจผลิตผลงานที่ดี นอกจากนี้ท่านยังแสดงความเห็นอีกด้วยว่า "เงินเดือนข้าราชการน้อยไป" ซึ่งดิฉันเห็นด้วยเต็มที่ ดังนั้นจึงยากที่จะจูงใจ และรักษาคนดีๆ ให้ทำงานเป็นข้าราชการ

คุณธนินท์ยกตัวอย่างประเทศจีนในปัจจุบันว่า ขณะนี้เงินเดือนของข้าราชการนั้นพอๆ กับหรืออาจมากกว่าเงินเดือนของผู้ที่ทำงานในบริษัทเอกชนชั้นนำ ซึ่งข้อนี้ดิฉันยืนยัน เพราะตนเองเพิ่งเดินทางไปเซี่ยงไฮ้มา และพบคนจีนที่เซี่ยงไฮ้เล่าว่า ขณะนี้เงินเดือนของข้าราชการจีนสูงกว่าเงินเดือนของบริษัทต่างชาติอีกแน่ะ!

ไม่ทราบว่ารัฐบาลไทยจะมีความเห็นอย่างไร ?

 

เขาเป็นผู้นำคนเดียวในสังคมธุรกิจไทย ที่สร้างอาณาจักรธุรกิจจากเล็กๆ จนยิ่ง ใหญ่ระดับภูมิภาคที่สำคัญ ที่มีความสามารถ ในการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงระดับโลก ภูมิภาค และสังคมไทยอย่างดี

เครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นเพียงกลุ่ม ธุรกิจกลุ่มเดียวที่พัฒนาธุรกิจสอดคล้องกับโอกาสใหม่ของสังคมไทยอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ชนิดที่ไม่มีธุรกิจใดในประเทศทำได้

ทั้งนี้ต้องยอมรับความสามารถของ ผู้นำ - ธนินท์ เจียรวนนท์

ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกลุ่มซีพี มีประสบการณ์การเรียนรู้ระดับโลก 2 ช่วงที่สำคัญมาก สำหรับวางรากฐานและพัฒนาธุรกิจที่เป็นจริง และเป็นธุรกิจ พื้นฐานที่สุดของภูมิภาคนี้และของโลก

ครั้งแรกในช่วงต้นทศวรรษ 2510 คือการเรียน รู้เทคโนโลยีการผลิตทางการ เกษตรที่สำคัญจากตะวันตก โดยเฉพาะการร่วมมือกับ Aber Arcers แห่งสหรัฐฯ ในการพัฒนาพันธุ์ไก่ อันเป็นรากฐานและองค์ประกอบสำคัญของอุตสาหกรรมการผลิตอาหารครบวงจรในช่วงที่ผ่านมา อันเป็นที่มาของโมเดลการผลิตที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพสูง สามารถสร้างเครือข่ายการผลิตที่กว้างขวางจากระดับประเทศ สู่ระดับภูมิภาค

ในช่วง 20 ปีจากนั้น ก็คือการเรียนรู้และพัฒนาการผลิตอย่างเข้มข้นอยู่เสมอจาก เจ้าของเทคโนโลยีระดับเล็กและกลางของโลก ด้วยการประยุกต์ที่เข้ากับสังคมเกษตรของไทย และภูมิภาคได้อย่างกลมกลืน จนเป็นการปฏิวัติการผลิตอาหารที่สำคัญในระดับภูมิภาคไป

อีกช่วงหนึ่งที่สำคัญมากคือ ช่วงพัฒนาการเรียนรู้เทคโนโลยีการจัดการ ตั้งแต่การได้มาซึ่งโครงการสร้างระบบโทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย ในเขตเมืองหลวง ในต้นทศวรรษที่ 2530 ด้วยการร่วมทุนกับ Bell Atlantic แห่งสหรัฐฯ การร่วมมือครั้งนี้ ซีพีไม่ได้เป็นเจ้าของเทคโนโลยี และไม่มีทางจะพัฒนาเป็นเจ้าของเทคโนโลยีการสื่อสารได้ แต่การร่วมทุนครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการมอง ที่ผลตอบแทนอย่างสูง และรวดเร็วมากกว่าอุตสาหกรรมอาหารแล้วก็คือ ได้เรียนรู้เทคโน โลยีการจัดการกับระบบสื่อสาร ที่มองอย่างมีเเผน แต่ในที่สุดก็ได้พัฒนาการเรียนรู้อย่าง ถึงแก่นขององค์กรใหญ่ระดับโลก ซึ่งก็คือเทคโนโลยีหรือโนว์ฮาวว่าด้วยการจัดการ ซึ่ง ถือว่าเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงของธุรกิจ เพื่อความ อยู่รอด เพื่อการปรับตัวและรักษาความสามารถในการแข่งขันในอนาคต

ซึ่งนับว่าเป็นการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างมาก

ปัจจุบันกลุ่มซีพี เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีเครือข่ายมาก กระจายทั่วไปในระดับภูมิภาค การบริหารยุคนี้ได้ผ่านมาตรฐานการบริหารงาน การผลิต บุคคล และการเงินทั่วๆ ไป ไปแล้ว ไปสู่การบริหารเครือข่ายอย่างมีประสิทธิภาพ

วันนี้เขามีพันธมิตรระดับโลก ซึ่งเป็น แนวคิดที่แตกต่างจากอดีต ซีพีในวันนี้มีความ สัมพันธ์กับ Bell Atlantic ธุรกิจสื่อสารระดับต้นๆ ของโลกจากสหรัฐฯ KfW สถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเยอรมนี หรือ Allianz บริษัทประกันอันดับต้นๆ ของโลกจาก เยอรมนี การเรียนรู้จากพันธมิตรระดับโลก ซึ่งพวกเขานับว่าอยู่แนวหน้าในความชำนาญ ด้านการจัดการเชิงยุทธ์ การวางยุทธศาสตร์ และการปรับตัวเชิงยุทธศาสตร์เพื่อรองรับกับ สังคมธุรกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

นี่คือสิ่งที่ธนินท์มีมากกว่านักธุรกิจรุ่น เดียวกับเขาหรือรุ่นต่อๆ มา ที่ให้ความสำคัญ ในเรื่อง "สายสัมพันธ์" กับอำนาจรัฐแบบเดิม อย่างเข้มข้น แม้ว่าซีพีและธนินท์จะให้ความ สำคัญในสิ่งนั้นอยู่ไม่น้อย (โดยให้ความสัมพันธ์กว้างขึ้นในระดับภูมิภาค) แต่เขาก็มีสิ่งที่มากกว่าสิ่งนั้นในเชิงสาระของความ เป็นธุรกิจอีกมาก" ข้อความบางตอนจาก 50 ผู้จัดการ ปีที่แล้ว)

อย่างไรก็ตาม ธนินท์ได้พัฒนา "การ บริหารสายสัมพันธ์" ในระดับสูงไปอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจาก "สายสัมพันธ์" ในระบบอุปถัมภ์ นั่นคือ การเข้าถึงนโยบายการปรับตัวเข้ากับยุทธศาสตร์ใหม่ของประเทศ

ธนินท์ได้ส่งตัวแทนเข้าไปอยู่ในกระบวนการตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐอย่างต่อ เนื่อง กระจายตามจุดต่างๆ ในขณะที่โมเดล การพัฒนา การบริหารประเทศที่ดำเนินอย่าง ไร้ทิศทาง

แต่กลับค้นคิดโมเดลใหม่ ที่เป็นระบบครั้งแรกซึ่งถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ ธนินท์ เจียรวนนท์ เป็นผู้นำธุรกิจใหญ่ คนแรกๆ ที่เข้าถึง และเดินหน้าเข้าสู่กระบวน การสร้างโมเดลนั้นด้วยตนเอง ด้วยการให้ความสำคัญกับยุทธศาสตร์ใหม่ของประเทศ ซึ่งสัมพันธ์กับความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก

นี่ถือว่าเป็นความสามารถเชิงผู้นำองค์กรใหญ่ที่สำคัญ และต่อเนื่องที่สุดของสังคมไทยเลยทีเดียว

ประวัติ

ธนินท์ เจียรวนนท์ แต่งงานแล้วและมีบุตร 5 คน นายธนินท์เริ่มทำงานเป็นครั้งแรกที่ร้านเจริญโภคภัณฑ์ เมื่ออายุได้ 19 ปี โดยทำงานในตำแหน่งแคชเชียร์ หลังจากนั้นได้โยกย้ายไปทำงานที่สหพันธ์สหกรณ์ค้าไข่แห่งประเทศไทย และบริษัทสหสามัคคีค้าสัตว์ จำกัด (ตามลำดับ) จนเมื่ออายุ 25 ปี ได้กลับมาทำงานอีกครั้งที่เจริญโภคภัณฑ์ ปัจจุบันเป็นผู้บริหารระดับสูงของเครือเจริญโภคภัณฑ์ รับผิดชอบบริหารงานในตำแหน่งประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีว่าเป็นบริษัทผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นกลุ่มบริษัทชั้นนำของไทย มีกลุ่มธุรกิจในเครือฯรวม 10 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร,กลุ่มธุรกิจเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยและเคมีเกษตร, กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ, กลุ่มธุรกิจการตลาดและการจัดจำหน่าย, กลุ่มธุรกิจพลาสติก, กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์, กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม, กลุ่มธุรกิจยานยนต์และอุตสาหกรรมทั่วไป กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร และกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง

ลำดับเศรษฐีของนายธนินท์

ในปี พ.ศ. 2549 นายธนินท์ ได้รับการจัดอันดับเป็นเศรษฐีอันดับ 390 ของโลก โดยเป็นคนไทยอันดับ 3 ของประเทศไทย รองมาจาก นายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของธุรกิจเบียร์ช้าง และ นายเฉลียว อยู่วิทยา เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มบำรุงกำลังกระทิงแดง จัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์บ

  • เศรษฐีของโลกอันดับ 390 ในปี พ.ศ. 2549
  • เศรษฐีของโลกอันดับ 387 ในปี พ.ศ. 2548
  • เศรษฐของประเทศไทยอันดับ 3 ในปี พ.ศ. 2548
  • เศรษฐีของโลกอันดับ 342 ในปี พ.ศ. 2547
  • เศรษฐีของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันดับ 15 ในปี พ.ศ. 2547
  • เศรษฐีของโลกอันดับ 329 ในปี พ.ศ. 2546
  • เศรษฐีของโลกอันดับ 351 ในปี พ.ศ. 2545