PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2561

สถานีคิดเลขที่ 12 : ข่าวจากนายกรัฐมนตรี โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน

สถานีคิดเลขที่ 12 : ข่าวจากนายกรัฐมนตรี โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน



บุคคลระดับหัวหน้ารัฐบาลนั้น มีอำนาจหน้าที่ไม่ธรรมดา ควบคุมสั่งการหน่วยงานต่างๆ มากมาย จะตรวจสอบข้อมูลข่าวกรองใดๆ ย่อมสามารถค้นหาความจริง หาร่องรอย หาพยานหลักฐานต่างๆ ได้ไม่ยากเย็นนัก
วันก่อนมีข่าวจากโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า นายกรัฐมนตรีได้กล่าวในที่ประชุม ครม. ให้ทุกกระทรวง โดยเฉพาะมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกส่วนราชการ ดำเนินการให้ความรู้กับประชาชน เนื่องจากมีข่าวในลักษณะทำนองเชิญชวนประชาชนไปเลือกตั้งในรูปแบบและลีลาแปลกๆ เช่น ไปทำให้บัตรเสียโดยวิธีที่แนบเนียนให้มากที่สุด หรือกาบัตรไม่เลือกใครเลย
ข่าวนี้เป็นประเด็นใหญ่ทันที ชี้ให้เห็นว่า มีขบวนการป่วนเลือกตั้งปรากฏขึ้นมาแล้ว
จากนั้น นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เด้งรับเรื่องนี้ทันที ย้ำว่าหากมีขบวนการชักชวนประชาชนให้กาบัตรเสียเกิดขึ้น ก็เป็นหน้าที่ กกต.ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน หากมีมูลก็ต้องรีบดำเนินการหาหลักฐาน
แต่เพียงแค่นี้อาจจะยังไม่เพียงพอ
เพราะมีกลุ่มสมาคมที่เคลื่อนไหวให้มีการตรวจสอบเรื่องต่างๆ ในทางการเมือง ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ กกต. ซึ่งมีอำนาจ ควบคุม กํากับ ดูแลการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม หรือเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องตรวจสอบข้อมูลการป่วนเลือกตั้งดังกล่าวนี้ อย่างจริงจัง
ดังนั้น กกต.ควรต้องเชิญนายกรัฐมนตรี มาให้ข้อมูลเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ
หากได้พยานหลักฐานที่แน่นอน จะได้เร่งจัดการให้เกิดความชัดเจน เพราะถือว่าข่าวนี้มีผลกระทบต่อการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง สร้างความสับสน ทำให้เกิดบรรยากาศเสียหายต่อกระบวนการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย จึงไม่ควรปล่อยเลยไป
ฟังข้อเสนอดังกล่าวแล้ว น่าสนใจทีเดียว

เพราะระดับหัวหน้ารัฐบาล หากได้ข่าวได้รับรายงานเชิงลึก ระบุถึงขบวนการปั่นป่วนการเลือกตั้ง ย่อมต้องเป็นข่าวกรองซึ่งมีที่มาที่ไปชัดเจน กระทั่งต้องมีหน่วยความมั่นคง ออกติดตามหาข่าวเพิ่มเติม กระทั่งแกะรอยหาพยานหลักฐานเพื่อดำเนินการอย่างเข้มข้นแล้ว
ดังนั้นถ้า กกต.เชิญหรือขอข้อมูลจากนายกรัฐมนตรี ก็น่าจะได้ร่องรอยขบวนการป่วนเลือกตั้ง เพื่อจะได้แก้ไขทำให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างเรียบร้อยที่สุด
แน่นอนว่าข่าวจากบุคคลระดับนายกรัฐมนตรีนั้น ต้องไม่ใช่แค่พูดกันเล่นๆ
ทั้งทำให้นึกถึงนายกรัฐมนตรีอีกรายหนึ่ง ซึ่งเคยตอบข้อถามในสภาผู้แทนราษฎรถึงเหตุการณ์รุนแรงเมื่อปี 2553 โดยนายกฯคนนี้ ได้ชี้ว่าการเปิดวงเจรจาในช่วงแรกที่เสื้อแดงเริ่มชุมนุม ควรจะเป็นทางออกเพื่อให้ทุกอย่างยุติลงได้รวดเร็ว
แต่เพราะตัวแทนฝ่าย นปช.ที่มาร่วมเจรจานั้น ได้รับโทรศัพท์จากต่างประเทศ จนเป็นอุปสรรคต่อการพูดคุย
อีกฝ่ายเลยลุกขึ้นมาโต้ตอบกลางวงประชุมสภาว่า ถ้าบุคคลระดับนายกรัฐมนตรี ระบุว่ามีโทรศัพท์จากต่างประเทศ ขอให้แสดงหลักฐานให้ชัด เพราะมีหน่วยงานข่าวกรองสามารถตรวจสอบได้ไม่ยาก
ลงเอยก็แค่คำพูดจริงๆ นายกรัฐมนตรีคนนั้นพูดจาในประเด็นโทรศัพท์ โดยไม่มีพยานหลักฐานมายืนยัน
ทั้งที่ควรจะหามาได้ ถ้ามันเป็นเรื่องจริ

09.00 INDEX แผนลึก คสช.ต่อ ประชาธิปัตย์ ทั้งดูด ทั้งดึง และ แยกสลาย

09.00 INDEX แผนลึก คสช.ต่อ ประชาธิปัตย์ ทั้งดูด ทั้งดึง และ แยกสลาย



ความสัมพันธ์ระหว่าง “คสช.” กับ “พรรคประชาธิปัตย์”กำลังมีปัญหาและนับวันปัญหายิ่งทวีความแหลมคม ร้อนแรงมากยิ่งขึ้น กระทั่งอาจเกิดคุณภาพใหม่ขึ้น

เป็นคุณภาพซึ่งจะกำหนดทิศทางใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์

ก่อนและหลังรัฐประหารคสช.อาจถือว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพันธมิตรเพราะว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นสะพานเชื่อมที่สำคัญ

แต่ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งท่าทีและความสัมพันธ์ระหว่างคสช.กับ พรรคประชาธิปัตย์ยิ่งมีระยะห่าง

โดยเฉพาะยุทธศาสตร์”สามก๊ก”จาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

เพราะในความเป็นจริง คสช.ต้องการให้เหลือเพียง 2 ก๊กระหว่างคสช.กับพรรคเพื่อไทยเท่านั้น


แรกที่ได้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ มาเป็นพันธมิตรผ่านพรรครวม พลังประชาชาติไทย ยุทธวิธีของคสช.ต่อพรรคประชาธิปัตย์ก็คือ

1 พยายามดึง 1 พยายามแยกสลาย

ดึงให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นองคาพยพหนึ่งในแนวต้านพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเรียกว่า”ระบอบทักษิณ”หรืออะไรก็ตาม

แต่เมื่อดึงให้เป็นพวกยุ่งยากจึงพยายามบ่อนเซาะ ทำลาย


นั่นก็เห็นได้จากการดูดเอาคนของพรรคประชาธิปัตย์ 1 ดูดเข้ามาโดยตรงดังกรณีของ นายสกลธี ภัททิยกุล นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ และที่กำลังดูดจากหลายพื้นที่ในภาคกลาง

1 ใช้พรรครวมพลังประชาชาติไทยเป็นเครื่องมือทั้งด้วยการดูดเอาคนจากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนและส่ง”หุ่นเชิด”ไปแย่งยึดการนำภายในพรรค

เป้าหมายขั้นสุดท้ายก็คือ สร้างความมั่นใจว่าจะได้พรรคประชาธิปัตย์มายืนเรียงเคียงข้างกับพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย

เป็นหลักประกันในการสืบทอดอำนาจของคสช.

ก่อนการเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นภายในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นภายในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 คสช.ต้องการความมั่นใจ

1 ความมั่นใจผ่าน”พรรคพลังประชารัฐ”

ขณะเดียวกัน 1 ความมั่นใจผ่าน”พรรครวมพลังประชาชาติ ไทย”และ”พรรคประชาธิปัตย์”

วางน้ำหนัก พลังประชารัฐ รวมพลังประชาชาติไทย ประชาธิปัตย์ ตามยุทธศาสตร์ 20 ปี

สูตร ‘นิ่ง’ สยบเกม ‘ขยับ’

สูตร ‘นิ่ง’ สยบเกม ‘ขยับ’



บท “สงบ สยบความเคลื่อนไหว” ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม จากอาการ “แกว่ง” กระแทกของ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” ที่โพสต์ข้อความออกมาตอบโต้ หลังโดน “บิ๊กป้อม” ติดเบรก

“ท่าทีและน้ำเสียงขึงขังน่ากลัวจัง ไม่นุ่มนวลอ่อนหวาน เหมือนตอนมาเกาะโต๊ะขอเป็น ผบ.ทบ.เลย”
ซีน “ทักษิณ” ขุดกรุเรื่องราวหนหลัง เย้ยเชิงประจาน คิวที่ “บิ๊กป้อม” ไม่เต้นโต้กลับ

รุ่นใหญ่ใจ “นิ่ง” ส่งแค่รอยยิ้ม ให้กับ “คำถามที่ไม่ขอตอบ”

จะมีก็เพียง พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงรายการเขย่าจากอดีตผู้นำ บอกเรื่องนี้ “บิ๊กป้อม” ไม่รู้สึกโกรธหรือโมโห และประชาชนรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น

“ถามว่าจะเอาเรื่องในอดีตมาพูดกันทำไม การนำเรื่องแบบนี้มาพูด แล้วจะมีใครคบด้วย”

ฉายบท “ผู้ใหญ่” ไม่ทะเลาะ และ “ไม่อยากคบ”

ที่น่าสนใจ “ทักษิณ” แกว่ง เล่นแรงรอบนี้ ได้หรือเสียต้องประเมินกัน เพราะเอาเข้าจริงข้อต่อข้อเชื่อมที่ “นายใหญ่” หวังเกาะเกี่ยวเหลืออยู่น้อยนิด เส้นสายสัมพันธ์ที่บางเบาไปทุกที

แต่เมื่ออารมณ์ลากมาที่จุดเสี่ยงสะบั้น คำว่า “ไม่คบ” คิวนี้ “ทักษิณ” มีสะดุ้งมากกว่า

ในสถานการณ์ ไม่เสียเวลาทะเลาะ “บิ๊กป้อม” กำลังอยู่ในสเต็ปโกยแต้ม โดยเฉพาะกับช็อตเร่งเครื่องแก้ปมปัญหาหนี้สินให้ชาวบ้าน เรียกคืนที่ดินจากนายทุนขาเหี้ยมดอกเบี้ยโหด ล่าสุดยกคณะเดินทางไปเป็นประธานมอบคืนโฉนดที่ดิน และทรัพย์สิน ให้แก่ชาวบ้านเป็นรอบที่ 3 กว่า 4,000 ล้านบาท ที่ จ.กาฬสินธุ์
ชาวบ้านได้เฮ เสียงเชียร์ “ลุงป้อมสู้ๆ” ได้แต้มและได้ “คึก”

เป็นชิ้นโบแดง สะสมแต้มให้รัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. โดยเฉพาะในคิวเร่งเครื่อง “ตีตั๋วไปต่อ” ของน้องรัก ก็น่าจะมี “พี่ใหญ่” เป็น “ลมใต้ปีก” สำคัญ

ในจังหวะที่พี่ใหญ่ “ใจนิ่ง” เหมาะกับห้วงที่การเมืองกำลังปั่นป่วน ป้อมค่ายการเมืองได้ขยับก็มาพร้อมกับแรงกระเพื่อมไหว “บิ๊กตู่” ต้องประกาศยึดดีเดย์ตามโรดแม็ป ในกระบวนการขั้นตอนที่ต้องเดินไป

คุมโทนสถานการณ์ ประคองเกมกันอยู่

รวมไปถึงคิวแทรก “ปรับ ครม.” จากหลายปมที่อาจถึงจุดตัดสินใจยกเครื่องรีเฟรชแบรนด์รัฐบาล ทั้งกรณีแรงบีบรัฐมนตรีไขก๊อก เพราะถูกวางตัวไว้ในพรรคพลังประชารัฐ

ไปจนถึงรายการรื้อโละรัฐมนตรีโลกลืม เสนาบดีงานฝืด

ประกอบกับจุดจับจ้อง สถานะ “อาจารย์ยักษ์” วิวัฒน์ ศัลยกำธร รมช.เกษตรฯ ที่มีกระแสไม่ได้ไปต่อ โยงเข้าปมที่คัดค้านนำเข้าสารเคมีพาราควอต คลอร์ไพริฟอสและไกลโฟเซต ทำให้จ่อถูกปรับออก

แต่อีกมุมก็ถูกมอง ใช้ปมต้าน “พาราควอต” เสริม “เกราะ” เก้าอี้

แรงกระเพื่อมจากกระแสข่าวปรับ “อาจารย์ยักษ์” ต่อเนื่องไปถึงคิวปรับ ครม. ที่ต้องชั่งน้ำหนักเหมือนกัน ในห้วงเวลาที่เหลืออยู่ตามดีเดย์เลือกตั้ง 24 ก.พ.2562 4–5 เดือนจากนี้

ถ้าต้องยกเครื่องใหม่ กับเวลาเร่งโชว์งานด้วยทีมใหม่ จะเพียงพอหรือไม่

นั่นไม่เท่ากับการทำความเข้าใจต่อสาธารณะ ทลาย “เกราะ” รัฐมนตรีที่ “ภาพ” หรูดูดี โดยเฉพาะที่กระทรวงเกษตรฯ จุดสำคัญที่ถึงเวลาต้องเร่งเครื่องดูแลฐานรากชาวบ้าน เกษตรกร

ขณะที่เรื่องของสารเคมี ข้อมูลที่ออกมายังฟุ้งหลากหลาย เลิก-ไม่เลิกใช้ ได้หรือเสีย กับความจำเป็นต้องใช้งาน หรือประเด็นสารเคมีชนิดอื่นๆที่เกษตรกรอาจใช้แทน เข้าทางเตะหมูเข้าปากหมาหรือเปล่า

ด้วยสไตล์รับข้อมูลรอบด้าน อย่างไร “บิ๊กตู่” ต้องดูภาพรวม ก่อนจะตัดสินใจ “เลิก-ไม่เลิกใช้” อยู่แล้ว
และแน่นอน นั่นก็ต้องรวมถึงคิวยกเครื่อง ครม. งานโชว์รอบสุดท้ายที่ผู้นำพยายาม “นิ่ง” สยบแรงขยับ
“บิ๊กตู่” ชั่งน้ำหนัก ประเมินผลงานลูกทีมโค้งสุดท้ายอีกที.

ทีมข่าวการเมือง