PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2560

รายชื่อกก.ปฏิรูปตำรวจ สังคมต้องยอมรับ-เชื่อมั่น

26/5/60 ไทยโพสต์
กระบวนการปฏิรูปตำรวจที่เป็นหนึ่งในประเด็นที่มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ถึงความคืบหน้าในทางปฏิบัติ หลังนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวไว้ว่า การที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้โยกย้ายนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ จากปลัดกระทรวงยุติธรรมไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นเพราะรัฐบาลมีภารกิจที่ต้องให้นายชาญเชาวน์ดำเนินการ คืองานการปฏิรูปกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม รวมถึงการปฏิรูปตำรวจ จึงโยกย้ายนายชาญเชาวน์ให้มารองรับงานดังกล่าวอยู่ที่สำนักนายกรัฐมนตรี
จากท่าทีดังกล่าวข้างต้น ทำให้คาดได้ว่า นายชาญเชาวน์ น่าจะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ ที่เป็นกรรมการใหญ่สุดที่จะมาทำเรื่องปฏิรูปตำรวจอย่างเป็นทางการตามรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญให้อำนาจหน้าที่ไว้โดยตรง พร้อมกับกำหนดระยะเวลาไว้ว่าต้องดำเนินการศึกษาและจัดทำแผนปฏิรูปให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่รัฐธรรมนูญประกาศใช้ ที่ก็คือไม่เกิน 6 เมษายน 2561
ที่ผ่านมา แม้จะมีการตั้งกรรมการศึกษาเรื่องการปฏิรูปตำรวจมาหลายชุดหลายรัฐบาล เช่น สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เคยตั้ง พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ศึกษาเรื่องนี้ หรือในยุค คสช. ทั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ก็มีการตั้งกรรมาธิการ อนุกรรมาธิการ หลายคณะพิจารณาศึกษาเรื่องการปฏิรูปตำรวจมากมาย จนมีผลการศึกษาออกมาหลายแนวทาง เช่นล่าสุดกับผลการศึกษาของอนุกรรมาธิการเฉพาะกิจในคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่าง สนช.กับ สปท. ที่เสนอให้โอนสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปขึ้นตรงกับ รมว.ยุติธรรมแทนที่จะขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรีแบบในปัจจุบัน แต่คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจตาม รธน.ฉบับปัจจุบัน จะมีความสำคัญมากกว่ากรรมการทุกชุดที่เคยแต่งตั้งศึกษาเรื่องนี้กันมา เพราะเป็นกรรมการที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ จึงทำให้หลายฝ่ายเริ่มจับตามองการทำงานของกรรมการที่จะตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีในเร็วๆ นี้ หลังมีการดึงอดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม ไปนั่งแท่นเตรียมรอเป็นกรรมการชุดดังกล่าวแล้ว ซึ่งก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าจะให้เป็นประธานเลยหรือไม่
ทั้งนี้ เรื่องการปฏิรูปตำรวจ ถูกเขียนไว้ใน รธน. ที่เชื่อมโยงกับหลายมาตรา เช่น มาตรา 258 ที่บัญญัติว่า ให้ดําเนินการปฏิรูปประเทศอย่างน้อยในด้านต่างๆ ให้เกิดผล โดยในส่วนของเรื่องการปฏิรูปตำรวจ อยู่ใน (ง.) ด้านกระบวนการยุติธรรม ที่ รธน.มาตราดังกล่าว บัญญัติไว้ตอนหนึ่งว่า ให้ดําเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับ หน้าที่ อํานาจ และภารกิจของตํารวจให้เหมาะสม และแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล ของข้าราชการตํารวจให้เกิดประสิทธิภาพ มีหลักประกันว่าข้าราชการตํารวจจะได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม ได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้ง และโยกย้าย และการพิจารณาบําเหน็จความชอบตามระบบคุณธรรม ที่ชัดเจน ซึ่งในการพิจารณาแต่งตั้งและโยกย้ายต้องคํานึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกัน เพื่อให้ข้าราชการตํารวจสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีอิสระ ไม่ตกอยู่ใต้อาณัติของบุคคลใด มีประสิทธิภาพ และภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตน
และมาตรา 260 ที่เขียนต่อมาว่า ในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายตามมาตรา 258 ด้านกระบวนการยุติธรรมให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ประกอบด้วย (1) ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้ความซื่อสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรมเป็นที่ประจักษ์และไม่เคยเป็นข้าราชการตํารวจมาก่อน เป็นประธาน (2) ผู้เป็นหรือเคยเป็นข้าราชการตํารวจ ซึ่งอย่างน้อยต้องมีผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติรวมอยู่ด้วย มีจํานวนตามที่คณะรัฐมนตรีกําหนด เป็นกรรมการ (3) ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้ความซื่อสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรมเป็นที่ประจักษ์และไม่เคยเป็น ข้าราชการตํารวจมาก่อน มีจํานวนเท่ากับกรรมการตาม (2) เป็นกรรมการ (4) ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงยุติธรรม เลขาธิการสํานักงาน ศาลยุติธรรม และอัยการสูงสุด เป็นกรรมการ โดย รธน.บัญญัติให้คณะกรรมการดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ถ้าการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ ให้การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตํารวจดําเนินการตามหลักอาวุโสตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกําหนด
ก้าวย่างของการปฏิรูปตำรวจต่อจากนี้ จึงคาดหวังไว้ว่า คณะรัฐมนตรี จะตั้งคนมาเป็นกรรมการปฏิรูปตำรวจ ทั้งตัวประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ที่เมื่อประกาศออกมาแล้ว ต้องเป็นบุคคลที่สังคมในวงกว้างให้การยอมรับ เพื่อให้การปฏิรูปตำรวจที่จะออกมา สังคมเชื่อมั่นตั้งแต่ก้าวแรก ว่าการปฏิรูปตำรวจจะเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่การซื้อเวลาแบบที่ผ่านมา.

นายกฯ รับได้รายชื่อ คกก.ปฏิรูปตำรวจแล้ว - ปล่อยตาม กม. ผอ.สามเสนแสดงทรัพย์สิน

นายกฯ รับได้รายชื่อ คกก.ปฏิรูปตำรวจแล้ว - ปล่อยตาม กม. ผอ.สามเสนแสดงทรัพย์สิน

โดย MGR Online   

27 มิถุนายน 2560 16:49 น. (แก้ไขล่าสุด 27 มิถุนายน 2560 17:07 น.)
นายกฯ รับได้รายชื่อ คกก.ปฏิรูปตำรวจแล้ว - ปล่อยตาม กม. ผอ.สามเสนแสดงทรัพย์สิน
        “ประยุทธ์” เผยได้รายชื่อคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจแล้ว แต่ขออุบไว้ก่อน ย้ำเน้นปฏิรูปองค์กร พร้อมระบุแสดงบัญชีทรัพย์สิน ผอ.โรงเรียนสามเสนฯ ให้เป็นไปตามกฎหมาย
       
       วันนี้ (27 มิ.ย.) เมื่อเวลา 13.45 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ให้สัมภาษณ์ถึงการระงับการโยกย้ายตำรวจไว้ก่อนว่า ตนคิดว่ามันไม่สมควรในเรื่องนี้ต้องไปสอบสวนกันมา ตรงไหนผิดตรงไหนถูก เฉพาะกรณีไป คำสั่งทั้งหมดมีตั้งหลายพันคน ถ้าไปยกเลิกเขาทั้งหมดจะถูกต้องหรือไม่ ตรงไหนมีปัญหาก็ไปแก้ไขตรงนั้น อย่าไปมองทั้งหมด คนที่เขาทำงานวันนี้จะทำอย่างไรกับเขา และเขาก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปแล้ว ต้องคุ้มครองสิทธิของเขาด้วย ต้องเป็นบางกรณีแยกแยะไม่ออก มันยังอยู่ในกระบวนการอยู่ ในเรื่องการปฏิรูปตำรวจตนให้ความสำคัญอยู่แล้ว วันนี้ตนย้ำในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่ใช่ที่ผ่านมาตนไม่สนใจ ตนมีการให้พิจารณาของคณะกรรมการภายในของตำรวจมาแล้ว คราวนี้รัฐบาจะต้องตั้งคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจซึ่งในวันนี้มีรายชื่อออกมาแล้ว แต่ตนยังไม่สามารถแถลงได้ ได้รวบรวมไว้ที่ฝ่ายกฎหมายอยู่ จะต้องทำงานให้สอดคล้องกับคณะปฏิรูปตำรวจภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญ
       
       นายกฯ กล่าวว่า เราเหลือเวลา 9 เดือน ตนคงจะเน้นเรื่องของการปฏิรูปองค์กรซึ่งมีหลายกิจกรรมด้วยกัน มี 3 กลุ่มงานหลัก ได้แก่ เรื่องการปฏิรูปองค์กรตำรวจ การปฏิรูปกฎหมายกระบวนการยุติธรรมของตำรวจ และเรื่องบุคลากร ในแต่ละกลุ่มงานจะมีกลุ่มงานย่อยอีกหลายสิบกิจกรรมอยู่ข้างล่าง ตรงนี้ตนได้สั่งการให้รองนายกรัฐมนตรีไปดำเนินการข้างล่างให้ตรงกับตรงนี้ และคณะกรรมการปฏิรูปของรัฐบาลจะดำเนินการ และจะดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกันพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการเป็นคณะกรรมการปฏิรูป ซึ่งมีทั้งพลเรือน ข้าราชการตำรวจ และที่ไม่ใช่ข้าราชการตำรวจ รวมถึงผู้ที่มีส่วนร่วมทุกภาคส่วน ผู้ที่มีผลได้ผลเสียจากการทำงาน ในวันนี้ต้องทำให้เกิดความชัดเจนให้มากยิ่งขึ้น
       
       นายกฯ กล่าวด้วยว่า ก็ให้ใจเย็นๆ เพราะสิ่งเหล่านี้ถ้าได้คำตอบมาก็แก้ได้เลย ใช้กฎหมาย ใช้คำสั่ง ตนก็ทำได้ทันที แต่จะต้องรอบคอบ เพราะการทำนั้นมีผลกระทบในระยะยาวด้วย เราต้องมาดูว่าจะมองจากต่างประเทศอย่างเดียว ประเทศไทยตนเคยบอกไปแล้ว เหมือนต่างประเทศมากน้อยเพียงไหนไปดู คนของเราสังคมของเรามีแต่เพียงว่าจะทำอย่างไรให้เจ้าหน้าที่ทำงานตามกฎหมาย สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับภาคประชาชน ประชาชนก็ร่วมเป็นกำลังใจช่วยกันเฝ้าระวัง ถ้าเราโยนกันไปมาก็เป็นแบบนี้ ไม่ไว้ใจซึ่งกันและกันตลอดไป หลายอย่างผู้กระทำผิดกฎหมายก็จะต้องคุ้มครองเขา แต่การคุ้มครองไม่ใช่ว่าจะให้ทำความผิดต่อไปได้ เพราะจะไปสู่เรื่องการเรียกรับผลประโยชน์ เรื่องการแต่งตั้ง การเลื่อนยศ ปลด ย้าย ก็จะไปอยู่ในหัวข้อของการปฏิรูปบุคลากร ในเรื่องเงินเดือน เงินค่าตอบแทน ค่าปรับก็จะไปว่ากัน ใน 3 กลุ่มงานหลักที่ตนได้บอกไป ตนได้ให้คอนเซปไปทำตามนั้น ได้มอบหมาย นายวิษณุ
       
       พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีอดีตนายกสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนสามเสนวิทยาลัยและอาจารย์ด้านคุรุศาสตร์เสนอนายกรัฐมนตรี สั่งการให้ผู้อำนวยการโรงเรียนแสดงบัญชีทรัพย์สินก่อนรับตำแหน่ง และหลังพ้นจากตำแหน่งเพื่อแก้ปัญหาแปะเจี๊ยะว่า ตกลงรัฐบาลนี้มีนายกรัฐมนตรีอยู่คนเดียวหรือเปล่า มีทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา และคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เขากำกับไม่ใช่หรือ เพราะฉะนั้นถ้าทุกคนเอาอะไรมาให้ตนแก้เล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดมันไม่ใช้ระบบการบริหารราชการแผ่นดิน ก็ให้เขาเป็นผู้ดำเนินการ ในเรื่องการให้แสดงบัญชีทรัพย์สินก่อนและหลังรับตำแหน่ง กฎหมายเขาว่าอย่างไร การให้แสดงบัญชีทรัพย์สินของระดับอธิการบดีมันก็วุ่นไปหมด เพราะว่าไม่เคยทำ พอประกาศออกมาจริงๆ มันเป็นหน้าที่ขององค์กรอิสระเขาจะพิจารณาเองว่าควรจะเป็นอย่างไร อันไหนควรจะเปิดเผย อันไหนควรจะเก็บไว้จนเกษียณอายุ ถ้าไม่มีปัญหาก็จบไป มันมีกฎหมายอย่างนี้อยู่ เพราะฉะนั้นทุกคนจะต้องเข้าใจด้วย 

ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องมือปืนป๊อปคอร์น



ประเด็นใหญ่ ของการที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องมือปืนป๊อปคอร์น คือการที่อัยการโจทย์ ไม่นำสืบพยานให้ครบถ้วน โดยเฉพาะพยานผู้ถ่ายภาพ จึงยกประโยชน์ให้จำเลยแม้จะรับสารภาพก็ตาม ... ดังนั้น ถ้าดูรูปการณ์แล้ว ศาลฎีกาก็น่าจะตัดสินไปในทางเดียวกัน
-------
ศาลอุทธรณ์ ยกฟ้อง มือปืนป๊อปคอร์น วิวัฒน์ ยอดประสิทธิ์ คดีพยายามฆ่ากลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ที่บริเวณห้างไอทีสแควร์ ย่านหลักสี่ เมื่อ ก.พ.ปี 57 ชี้หลักฐานไม่เพียงพอ แต่ยังให้นำตัวไปขังระหว่างฎีกา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า มีประเด็นว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดหรือไม่ คดีนี้โจทก์มีพนักงานสอบสวน ได้สืบสวนทราบว่า มีคนร้ายเกี่ยวข้องกับการยิงรวม 21 คน ในจำนวนนี้มีชายชุดดำ คือจำเลยคดีนี้รวมอยู่ด้วย ดังที่ปรากฏในภาพนิ่งที่เห็นชายชุดดำ ในสถานที่และเวลาเดียวกับที่เกิดเหตุหลายรูป แม้โจทก์จะมีเทปภาพเคลื่อนไหวหรือวีทีอาร์กับภาพนิ่ง จากหนังสือพิมพ์ แต่โจทก์ไม่นำสืบถึงความเกี่ยวข้องหรือนำตัวผู้ถ่ายหรือนำประจักษ์พยานมาเบิกความประกอบให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องพยานโจทก์จึงมีข้อสงสัยว่า จำเลยเป็นผู้กระทำผิด จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยพิพากษายกฟ้องแต่ให้ขังไว้ระหว่างฎีกา
อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/985200

แผนปฏิรูปกองทัพ-



แผนปฏิรูปกองทัพ---ออกแผนปรับลดอัตรากำลังพล ผู้ทรงคุณวุฒิและนายทหารปฏิบัติการ ร้อยละ 2.5 ต่อปีจนถึงปี 2571
พลตรี คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม กล่าวว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม สั่งการในที่ประชุม ผบ.เหล่าทัพ ให้ จัดทำแผนความต้องการอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่สอดคล้องกับแผนพัฒนากองทัพ โดยเฉพาะ ยุทโธปกรณ์ของสหรัฐอเมริกา ว่า ตัองการอะไร เพื่อที่ นายกฯ ไปเป็นข้อมูล ในการเดินทางไปพบ หารือ กับ ประธานาธิบดี Donald Trump ที่สหรัฐฯ ปลาย กค.นี้ ตามคำเชิญ.
เผื่อว่ามีการหารือเริ่องความร่วมมือเรื่องความร่วมมือทางการทหาร และความช่วยเหลือ ทางการทหาร
พลตรีคงชีพ กล่าวถึงความคืบหน้า ในการปฏิรูปกองทัพให้มีขีดความสามารถที่เหมาะสม ว่า พลเอกประวิตร รมว.กลาโหม. สั่งการให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ เร่งดำเนินการ สรุปจำนวน/ชนิดอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพที่มีอยู่ในปัจจุบัน และความต้องการที่จำเป็น ในการเสริมสร้างขีดความสามารถกองทัพ
โดยคำนึงถึงศักยภาพและขีดความสามารถของประเทศรอบบ้าน รวมทั้งภัยคุกคามในห้วงเวลา ประกอบการพิจารณาให้มีขีดความสามารถในการทำสงครามจำกัด ควบคู่กับการปฏิรูปการจัดหน่วยให้เหมาะสม ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน ตามที่นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมาย
โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ประสานกองบัญชาการกองทัพไทยและเหล่าทัพ ในการจัดเตรียมข้อมูลร่วมกัน
ทั้งนี้ เพื่อเป็นข้อมูลให้ นายกฯ ในการเดินทางไปพบ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา. พบ Donald Trump ที่อเมริกา ปลาย กค.นี้
ส่วนการปฏิรูปกองทัพมีพัฒนาการและความคืบหน้าตามลำดับ นั้น ที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมได้ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปกองทัพมาตลอด ด้วยการปรับให้กองทัพมีขนาดที่เหมาะสม มีขีดความสามารถด้านกำลังพลและยุทโธปกรณ์ ที่เพียงพอต่อการตอบสนองความเสี่ยงของภัยคุกคามด้านความมั่นคงของภูมิภาค โดยคำนึงถึงความเป็นประชาคมอาเซียน
​​
พล.อ.ประวิตร ได้กำหนดเป็นนโยบายของกระทรวงกลาโหม ให้กองทัพต้องปฏิรูปทั้งโครงสร้างการจัดหน่วย ระบบบริหารจัดการ และพัฒนากำลังพลและยุทโธปกรณ์ให้มีความคล่องตัวและเหมาะสมกับปฏิบัติภารกิจที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
โดยมีความคืบหน้าที่สำคัญ สรุปได้ดังนี้
 ได้ทบทวนสภาพแวดล้อมความมั่นคงและจัดทำ ยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2560-2579 เสร็จสิ้นแล้ว
โดยกำหนดวิสัยทัศน์คือ “การมีกองทัพชั้นนำ มีบทบาทสำคัญด้านความมั่นคงของรัฐและมีบทบาทในการส่งเสริมความมั่นคงของภูมิภาค”
 กำหนดแนวความคิดสำคัญในการพัฒนาเสริมสร้างกำลังกองทัพ ในด้าน การเตรียมกำลังและการใช้กำลัง
 แนวความคิดด้านการจัดเตรียมกำลัง ได้จัดทำแผนหลักรองรับ 2 แผน คือ แผนแม่บทการปฏิรูปการบริหารจัดการและการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2560-2569 และแผนพัฒนาขีดความสามารถกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2560-2569 เสร็จสิ้นแล้ว
 แนวความคิดด้านการใช้กำลัง ตามยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศกระทรวงกลาโหมจะครอบคลุมแนวทางใช้กำลังและขีดความสามารถของกองทัพที่ต้องการพัฒนากำลังตามห้วงระยะเวลา เพื่อให้กองทัพมีความพร้อมเผชิญกับภัยคุกคามทางทหารและภัยคุกคามอื่นๆ
​ที่ผ่านมามีการปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการและการปฏิรูประบบงาน ทั้ง 18 ระบบงาน โดยขอสรุปการดำเนินการที่สำคัญ พอสังเขปดังนี้
 ด้านโครงสร้างการจัดหน่วย ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์ไซเบอร์กระทรวงกลาโหม การจัดตั้งศูนย์ฝึกบรรเทาสาธารณภัยกองทัพไทย การจัดตั้งศูนย์การลาดตระเวนทางอากาศและเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ จัดตั้งกรมทหารพรานนาวิกโยธิน ซึ่งเป็นกำลังประจำถิ่นในการดูแลแก้ปัญหา จชต
. การปรับปรุงโครงสร้างศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากล การปรับปรุง แปรสภาพโครงสร้างหน่วยกำลังรบทั้ง ทบ. ทร. และ ทอ. รวมทั้งศึกษาภาระงานเพื่อยุบรวมปรับลดอัตรากำลังพลในส่วนที่ไม่จำเป็น
 ด้านกำลังพล ตราพระราชบัญญัติกำลังพลสำรอง พ.ศ.2558 พร้อมกับจัดทำแผนแม่บทการพัฒนากิจการกำลังสำรองระยะ 5 ปี นำระบบข้าราชการพลเรือนกลาโหมมาใช้ ปรับปรุงหลักสูตรและระบบการศึกษาให้มีมาตรฐานเดียวกัน ปรับลดอัตรากำลังพลในส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิและนายทหารปฏิบัติการ ร้อยละ 2.5 ต่อปีจนถึงปี 2571
 ด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ จัดทำแผนแม่บทอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ พ.ศ. 2558 -2563 เสนอร่าง พ.ร.บ. สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เพื่อการวิจัยพัฒนา มุ่งสู่การใช้งานและการพึ่งพาตนเอง
 ด้านการสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงกับต่างประเทศ การจัดตั้งศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน และการลงนามความร่วมมือทางทหารกับ กห. ประเทศต่างๆ เป็นต้น
 ด้านธรรมาภิบาลและความโปร่งใส จัดทำแผนป้องกันและปราบปรามการทุจริตของ กห. ปี 58 - 60 และทบทวนเพื่อจัดทำแผนปี 60 – 64 เพื่อกำหนดเป็นแนวทางปฏิบัติร่วมกัน

อาวุธมะกันแพง...แต่อยากซื้อ ฮ.Black Hawk เพิ่มให้ครบฝูง

อาวุธมะกันแพง...แต่อยากซื้อ ฮ.Black Hawk เพิ่มให้ครบฝูง
‪"บิ๊กป้อม" ยัน ไม่ได้เตรียมซื้ออาวุธ US เพราะราคาแพง แต่สั่ง ผบ.เหล่าทัพเตรียมข้อมูลทางทหารให้นายกฯไปอเมริกา คุย ปธน.Donald Trump ยันไม่ใช่ให้ลิสต์รายการซื้ออาวุธ แต่อาจมีความช่วยเหลือทางทหาร ความร่วมมือต่างๆ ข้อมูล อาวุธยุทโธปกรณ์สหรัฐฯที่เรามีอยู่
ยอมรับ อยากซื้อ ฮ.Black Hawk ให้ครบฝูง‬ แต่ก็ไม่รู้ทางสหรัฐฯจะให้ความช่วยเหลืออะไรหรือไม่ เพราะตอนเราซื้อ ตอนแรก สหรัฐฯก็ไม่ได้ให้เงิ่อนไขพิเศษอะไรกับเรา
ทั้งนี้ ฮ.Black hawk ของทบ.มี6 ลำ อต่หากครบฝูง คือ12 ลำ
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีสั่งการให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพสำรวจยุทโธปกรณ์ ที่เคยได้รับการสนับสนุนมาจากสหรัฐอเมริกา ก่อนที่นายกฯจะเดินทางไปเยือนสหรัฐในเดือนก.ค.ว่า ตนให้สำรวจดูว่าในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ไทยกับสหรัฐได้มีความร่วมมือกันในเรื่องใดบ้าง เช่นเรื่องด้านการศึกษา การฝึกร่วมทางทหาร และยุทโธปกรณ์ที่มีการแลกเปลี่ยนกัน เป็นต้น
ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า การเดินทางไปครั้งนี้ของนายกฯจะมีแนวโน้มจะการจัดซื้อยุทโธปกรณ์จากสหรัฐฯนั้นพลเอกประวิตร กล่าวว่า มันไม่เกี่ยวกัน เราไม่ได้จะซื้อ เพราะยุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯมีราคาแพง

ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่ไทยซื้อยุทโธปกรณ์จากจีนบ่อยครั้งคิดว่าสหรัฐจะมีท่าทีอย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า คงไม่มีอะไรเพราะทางสหรัฐฯ ก็รู้ว่าไทยไม่มีงบประมาณในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์
และหากว่าทางสหรัฐให้ความช่วยเหลือ เรื่องยุทโธปกรณ์ก็ต้องดูก่อน เช่น ฮ.Black Hawk ที่เรามีอยู่ นั้น ยังไม่ครบฝูง หากจำเป็นก็ต้องซื้อก็จะต้องซื้อให้ครบฝูง
ส่วนการจัดซื้อจะได้เงื่อนไขพิเศษหรือไม่นั้น ยังไม่ทราบ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีเรื่องใดที่ได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯเป็นกรณีพิเศษ

พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวถึงเรื่องการรายงานผลการค้ามนุษย์ TIP Report ของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ที่จะประกาศผลการจัดอันดับออกมาในคืนนี้ ว่า ไทยได้ดำเนินการมาอย่างเต็มที่แล้ว แต่ตนยังไม่สามารถตอบได้ว่าผลจะออกมาดีหรือไม่ แต่มั่นใจว่าทำเต็มที่แล้ว
ส่วนผลจะเป็นอย่างไรยังไม่ทราบ ตนยังตอบไม่ได้
ส่วนที่ทางสหรัฐฯจะมาตรวจการดำเนินการของไทยอีกครั้งในเดือนก.ค.นี้ก็พร้อมและสามารถมาตรวจได้ตลอดเวลา

กลอนแปด..ของ..."บิ๊กตู่"

กลอนแปด..ของ..."บิ๊กตู่"
เสธ.ก้อง พันเอกอธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผช.โฆษกรัฐบาล อ่านกลอน..."ไทยแลนด์4.0"
นายกฯบิ๊กตู่ สวมบท "สุนทร ตู่"แต่งกลอน "ไทยแลนด์4.0"ให้ ครม. เขียนมาด้วยลายมือ.. คุย..ผมก็แต่งกลอนเป็น‬

คำว่าไทย คือไทย ด้วยใจรัก
ร่วมใจภักดิ์ ต่อชาติ ศาสนา
สถาบัน คงอยู่ คู่นานมา
เป็นม่านฟ้า ปกป้อง ล้วนผองไทย
มาวันนี้ สืบสาน ทำงานต่อ
แผ่นดินพ่อ แผ่นดินแม่ ช่วยแก้ไข
ให้ยั่งยืน ตื่นเถิด สังคมไทย
ก้าวต่อไป อนาคต ให้มั่นคง
เราลูกหลาน ช่วยสาน สืบงานต่อ
อย่ารั้งรอ ขัดแย้ง แกล้งเล่าขาน
ทำวันนี้ ดีกว่า ปล่อยช้านาน
ทำเพื่อบ้าน เมืองเรา ให้เท่าทัน
ทั้งเกษตร อุตสาหกรรม เศรษฐกิจ
เปลี่ยนชีวิต รายได้น้อย ค่อยส่งเสริม
คนละน้อย ร้อยท่อ ช่วยต่อเติม
เร่งส่งเสริม รายได้ ให้มั่นคง
พัฒนาคน การศึกษา พาไทยรุ่ง
ล้วนต้องมุ่ง ตามประสงค์ จำนงหมาย
สร้างสังคม ปลอดภัย ไม่วุ่นวาย
ช่วยผ่อนคลาย มีสุข ทุกครอบครัว
สิ่งสำคัญ วันนี้ คือกฎหมาย
ไม่ท้าทาย ยึดถือ เป็นพื้นฐาน
ช่วยกันทำ ช่วยกันเริ่ม เสริมยาวนาน
เป็นการงาน ผองไทย ร้อยใจกัน
ประชารัฐ ช่วยเสริม ใช้เติมแต่ง
ทุกหนแห่ง กิจกรรม ทำสร้างสรรค์
ไทยเจริญ ด้วยไทย ไปพร้อมกัน
ทำความฝัน ต้องการ ให้เป็นจริง
ต้องลดแรง เร่งขจัด ความขัดแย้ง
ลดระแวง เชื่อมั่น เพื่อวันหน้า
สืบสานต่อ โบราณ นานนำมา
ให้ก้าวหน้า ด้วยไทย ใจมั่นคง
สู่เศรษฐกิจ 4.0 จากมูลฐาน
ทุกกิจการ พัฒนา อย่าใหลหลง
สู้อาชีพ สู้งาน บ้านมั่นคง
มุ่งจำนง ปวงชน ทุกคนไทย

‘พันธุ์เก่า’ ไม่ได้ไปต่อ

‘พันธุ์เก่า’ ไม่ได้ไปต่อ

ปี่กลองเชิดฉิ่งโหมโรงตามเงื่อนเวลาที่กระชั้นเข้ามา
เดดไลน์ก่อนวันที่ 5 กรกฎาคม ไฟต์บังคับสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ต้องร่อนใบลาออก เพื่อเลี่ยงเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ
นัก “ลากตั้ง” เตรียมแต่งตัวรอลงสนามเลือกตั้ง
ในจังหวะที่เซียนจอมเก๋าก็ขยับแข้งขยับขา เดินหน้ากระตุกเรตติ้งกันคึกคัก
อาศัยเหลี่ยมกระแทกทหาร เทกแอ็กชั่นปฏิเสธอำนาจพิเศษ แบบที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แท็กทีมพรรคเพื่อไทย แตะมือลูกข่าย “ทักษิณ” ประสานเสียงคัดค้านระบบไพรมารีโหวต ต่อต้านยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
นักเลือกตั้งอาชีพหันมาปรองดอง ต้องช่วยกันรักษาผลประโยชน์ในเส้นทางอำนาจตัวเองไว้
ดิ้นสู้ ไม่ยอมให้ทหารตีกินง่ายๆ
แต่นั่นก็ไม่แน่ว่าจะสายเกินไปหรือไม่ กับการยื้ออ้อยออกจากปากช้าง
เพราะโดยรูปการณ์ที่มันสวนทางกับกระแสข่าววงใน หลายสายยืนยันตรงกัน สถานการณ์ไหลมาถึงตรงนี้ ยุทธศาสตร์ของฝ่ายคุมเกมอำนาจ
ล็อกคำตอบไว้ 2 ทางเลือก
ทางแรกเลย ยังไม่ปล่อยเลือกตั้ง ลากยาวต่อไป เพราะตามรูปการณ์ที่หัวเชื้อความขัดแย้งยังแฝงอยู่ทุกอณู เลือกตั้งไปก็ไม่มีประโยชน์ เสี่ยงปฏิวัติเสียของซ้ำซาก
หรืออีกทางหนึ่งคือมีการเลือกตั้ง แต่มีเงื่อนไขต้องเซ็ตซีโร่ โดยให้เป็นพื้นที่ของนักการเมืองรุ่นใหม่ นักการเมืองพันธุ์เก่าโดนล้างบางหมด
ว่ากันตามโจทย์บังคับออกมาแบบนี้ นั่นหมายถึงนักการเมืองที่ส่งเสียงเย้วๆกันอยู่ ส่วนหนึ่งคงต้องล้มหายตายจากไปเกินกว่าครึ่ง ไม่ว่าจะด้วยเงื่อนไขทางคดี คุณสมบัติติดล็อกในรัฐธรรมนูญ หรือด้วยเหตุปัจจัยอะไรก็ตามแต่
ที่แน่ๆพวกที่มีส่วนร่วมในการก่อวิกฤติ ไม่มีสิทธิ์ไปต่อ
โดนตัดตอนไม่ให้กลับมาก่อปัญหาซ้ำอีก
เรื่องของเรื่อง ด้วยเงื่อนไขกระแส “ปฏิรูป” มันเอื้อกับฝั่ง คสช.มากกว่า
ดูจากสถิติที่สะท้อนจาก “นิด้าโพล” ประชาชนหนุนพรรคประชาธิปัตย์จับมือกับพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล แต่เชื่อว่ายากจะเป็นไปได้เพราะแตกต่างกันคนละขั้ว
แต่ขณะเดียวกันก็เห็นด้วยกับการผุดพรรคการเมืองเพื่อหนุน คสช.เป็นรัฐบาล
นั่นหมายถึงตามสภาพความเป็นจริง ประชาชนส่วนใหญ่ก็เข้าใจเงื่อนไขสถานการณ์บังคับทางการเมือง พร้อมรับได้กับสภาพรัฐบาลที่ผิดรูปผิดร่างในช่วงเปลี่ยนผ่านประเทศ
ในเมื่อนักการเมืองเองยังแก่งแย่งผลประโยชน์ไม่เลิก ก็เป็นประโยชน์กับรัฐบาลทหาร ตัวแทนชนชั้นนำที่ยังอยู่ในชัยภูมิได้เปรียบ ส่อเค้าคุมเกมอำนาจยาว
เข้ากับบทวิเคราะห์ของนายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล นักวิชาการ อดีตคนเดือนตุลาฯ ที่ฟันธงเลยว่า รัฐบาล คสช.จะใช้ยุทธศาสตร์ผ่านไทยแลนด์ 4.0 และโครงการประชารัฐ
ในการดีลอำนาจแลกประโยชน์กับประชาชน
ไม่ใช่ฟอร์มทหารเดิมๆที่ใช้ปลายกระบอกปืนบีบบังคับ ยั่วกระแสตีกลับ
และก็อย่างที่เห็นๆ กับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจที่ยึดโยงกับยุทธศาสตร์ทางการเมือง ตามแผนที่วางโดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ
ค่อยๆรุกคืบ วาง “มัดจำ” กับประชาชนคนไทย
ด้านหนึ่งก็เร่งเครื่องโครงการรถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้า ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (อีอีซี) ใช้เม็ดเงินมหาศาลจากเมกะโปรเจกต์ กระตุ้นเศรษฐกิจในภาพกว้าง
แต่นั่นก็ยังถือเป็นเรื่องไกลตัวชาวบ้าน แว่วๆโจทย์ใหญ่รัฐบาลต้องเร่งอุดรอยโหว่เรื่องปัญหาปากท้อง ต้องรีบอัดฉีดช่วยเหลือ
ผู้มีรายได้น้อย เกษตรกรที่ประสบปัญหาราคาพืชผล
ตามรูปการณ์คงหนีไม่พ้นการจ่ายเงินสดช่วยเหลือเพื่อลดขั้นตอน บรรเทาภาวะปากท้องเฉพาะหน้า พร้อมๆกับกระตุ้นการใช้จ่าย ช่วยการหมุนเวียนเศรษฐกิจฐานราก
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องระวังไม่ให้ซ้ำรอยอดีตรัฐบาล เผลอแจกดะไม่ได้
ต้องลดโทนประชานิยม เป็นแค่ “สวัสดิการประชารัฐ”.

ทีมข่าวการเมือง

ปฏิรูปกฎหมายปฏิวัติระบบราชการ : ปลดล็อกการเมือง

ปฏิรูปกฎหมายปฏิวัติระบบราชการ : ปลดล็อกการเมือง



รัฐบาลและ คสช.จะปฏิรูปอะไรในช่วงเวลาที่เหลือก่อนจะมีการเลือกตั้ง”
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) บอก ทีมข่าวการเมือง ระหว่างที่ให้สัมภาษณ์ชนิดเปิดใจว่า เป็นสิ่งที่สังคมตั้งคำถามต่อรัฐบาลและ คสช.
ก่อนเฉลยว่า เมื่อ พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติและ พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ ที่เป็นตัวกำหนดทิศทางของประเทศ มีผลบังคับใช้เมื่อไหร่ย่อมมีผลกระทบต่อ ป.ย.ป. เพราะตามกฎหมายกำหนดให้มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ซึ่งเป็นตัวจริงเสียงจริงตามรัฐธรรมนูญ
ฉะนั้น ในวันที่ 24 ก.ค.นี้ ป.ย.ป.จะประชุมในช่วงเปลี่ยนผ่าน เพื่อสรุปส่งมอบงานให้ ตัวจริงเสียงจริง ซึ่งเป็นงานจาก 4 แท่ง ประกอบด้วย คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามยุทธศาสตร์ (มินิคาบิเนต) คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง
แท่งมินิคาบิเนตน่าจะอยู่ต่อ เพราะเป็นเครื่องมือของนายกรัฐมนตรีใช้ตามงาน แท่งยุทธศาสตร์ชาติ กำลังต่อจิ๊กซอว์ยุทธศาสตร์ชาติ ยุทธศาสตร์กระทรวงและยุทธศาสตร์ภาคเคลื่อนไปพร้อมกัน นี่คือสิ่งที่จะส่งมอบให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเอาไปต่อยอดปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
แท่งการปฏิรูป ความชอบธรรมของรัฐบาลและ คสช.ที่เข้ามาเพราะต้องการปฏิรูปก่อนหน้านั้นมีประเด็นปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการขับเคลื่อนประเทศสู่อนาคต ทั้งด้านเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งมีม็อบตลอด การทุจริตคอร์รัปชัน และประสิทธิภาพของภาครัฐ
ปรากฏว่า วันนี้เราลงมือทำ ปฏิรูปนำร่องในหลากหลายมิติในรอบ 3 ปี รวมถึงการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง และกำหนดวาระการปฏิรูปก่อนส่งมอบให้รัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
แท่งการปฏิรูป แม้ส่งมอบงานให้กับตัวจริงเสียงจริงแล้ว แต่รัฐบาลยังมีหน้าที่จะต้องปฏิรูปในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ โดยไม่ก้าวก่ายส่วนที่จะตั้งขึ้นมาใหม่ การปฏิรูปย่อมต้องใช้ระยะเวลายาวถึงจะเห็นผลเป็นรูปธรรม อย่างประเทศจีนใช้เวลา 30 ปี ปฏิรูป 6 พันเรื่อง แต่ยังเหลืออีก 3 พันเรื่องจะต้องสานต่อ
รัฐบาลจะส่งมอบงาน 10 ด้านบวกหนึ่ง ประกอบด้วย การเมือง ความเหลื่อมล้ำ กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เศรษฐกิจสังคม การศึกษาและสาธารณสุข สื่อสารมวลชนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การต่างประเทศ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน การปฏิรูปด้านยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และด้านอื่นๆ
การปฏิรูปแต่ละด้านเกี่ยวโยงกับยุทธศาสตร์ชาติที่บอกเป้าหมายและทิศทางของประเทศ 20 ปี

แท่งปรองดองมีโรดแม็ปชัดเจน รัฐบาลและ คสช.มีความตั้งใจจริง โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความปรองดอง
คาดรายละเอียดสัญญาประชาคมคงออกมา 10 ด้าน เป็นเรื่องพื้นฐานที่คาดเดากันออกอยู่แล้วว่ามีอะไรบ้าง เช่น ปมความเหลื่อมล้ำ ซึ่งจะยึดโยงกับการปฏิรูป ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความปรองดอง
มาถึงวันนี้ ป.ย.ป.ยังมีงานอีกหลายอย่างที่จะต้องทำ รวมถึงด้านการยกเครื่องกฎหมายให้ทันสมัยต่อการปฏิรูปและเดินหน้ายุทธศาสตร์ชาติ โดยมีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาเพื่อกำกับการปฏิรูปกฎหมาย
ซึ่งชุดนี้มีคณะกิโยติน จะเข้าไปปรับรื้อกฎหมายที่ล้าสมัย เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาและปฏิรูปประเทศ การปรับปรุงกฎหมายที่มีอยู่เพื่อสนับสนุนการปฏิรูปประเทศ และการพัฒนากฎหมายใหม่
เพื่อสนับสนุนการปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ
ถ้าส่งมอบงานให้ตัวจริงเสียงจริงไปแล้วคณะไทยแลนด์ 4.0 จะอยู่ไหน นายกรัฐมนตรีบอกว่ารัฐบาลจะต้องช่วยเรื่องการปฏิรูป เดินไปข้างหน้าด้วยกัน ฉะนั้น อาจจะตั้งคณะกรรมการคล้ายๆชุดนายบวรศักดิ์ขึ้นมาขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 ร่วมกับภาคเอกชน
ยุค 4.0 ไม่ใช่นวัตกรรมอย่างเดียว จะต้องเปลี่ยนวิธีคิดของทรัพยากรมนุษย์ โดยเริ่มจาก “ปฏิวัติความคิดปฏิรูปตัวเอง” นายกรัฐมนตรีถึงเน้นว่า ยุค 4.0 จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าคนไทยไม่ใช่ 4.0 ไม่ว่าจะอยู่ระดับไหนขอให้มีความรู้สึกว่าพรุ่งนี้ชีวิตของเราต้องดีขึ้น ถึงสอดรับกับการปฏิรูป เราถึงมีโครงการประชารัฐให้เอกชนเข้ามาช่วย เร่งเทงบประมาณลงไปชุมชน เพราะต้องการให้มีการปฏิรูปในพื้นที่
การปฏิรูปต้องมีคานงัดสองคาน คือ “การปฏิรูปกฎหมาย-ปฏิรูประบบราชการ”
เพื่อนำไปสู่กระบวนการขับเคลื่อนการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างเป็นระบบ
คานงัดสองตัวนี้เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ถ้าแก้ไม่ได้ต่อให้มีความคิดดีแค่ไหนก็ทำไม่ได้ หากยังไม่ปฏิรูประบบราชการ ฉะนั้นเวลาที่เหลือก่อนจะมีการเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรีพยายามปลดล็อกคานงัดสองคานนี้ หลายเรื่องจำเป็นต้องใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา 44 เพื่อผ่าทางตัน
และต่อให้กฎหมายเขียนดีอย่างไร ถ้าระบบราชการไม่ปฏิรูป รับรองไม่มีทางปฏิรูปประเทศสำเร็จ ระบบราชการในอนาคตต้องตอบโจทย์การสร้างภาครัฐที่น่าเชื่อถือ เป็นภาครัฐที่เปิดกว้าง เชื่อมโยงกัน มีสมรรถนะสูงและยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง
ต่อไประบบราชการจะให้บริการตามความต้องการเฉพาะปัจเจกบุคคล โดยแต่ละบุคคลสามารถออกแบบ เลือกรูปแบบ วิธีการในการรับบริการได้ บริการประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง เชื่อมโยงทุกส่วนราชการในการให้บริการประชาชน ให้บริการเชิงรุก นำเสนอบริการที่เหมาะสมแก่ผู้รับบริการแต่ละบุคคล ขอรับบริการได้หลากหลายช่องทาง ขอรับบริการได้หลากหลายบริการ ณ ช่องทางเดียว
การเปิดเผยข้อมูลในรูปแบบค่าตั้งต้น สามารถนำไปใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ประชาชนร้องขอ การใช้ แลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกันระหว่างหน่วยงานรัฐ การมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคส่วนต่างๆในการให้คำปรึกษา ร่วมตัดสินใจ ร่วมตรวจสอบ เพื่อสร้างความรู้สึกในการเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานภาครัฐ
การดำเนินงานที่ตอบสนองทันที ทันต่อการเปลี่ยนแปลง มีการคาดการณ์ วางแผนดำเนินงานล่วงหน้า มีความเชี่ยวชาญ ชำนาญในหลากหลายสาขาวิชาและข้ามสาขาวิชา การนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติได้จริง มีประสิทธิภาพ การกำหนดนโยบายสาธารณะ โดยคำนึงถึงความต้องการของประชาชนและใช้ข้อมูลเชิงลึกเป็นหลัก การบูรณาการทำงานร่วมกันเชิงยุทธศาสตร์ ตั้งแต่ระดับการวางนโยบายไปจนถึงการนำไปปฏิบัติ
การทำงานมีการเชื่อมโยงผ่านระบบดิจิทัลอย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ ทำงานสถานที่ใดก็ได้ทั่วทุกมุมโลก การใช้ประโยชน์หน่วยงานสนับสนุนร่วมกัน เพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และสร้างนวัตกรรมการทำงานใหม่ๆ
การปรับเปลี่ยนรูปแบบการปฏิบัติราชการ ต่อไปจะตั้งง่ายยุบง่าย มีการจ้างงานตามเงื่อนไขสัญญา ให้ความสำคัญกับประเด็นภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีโมเดลร่วมบริการจัดการในยุค 4.0 เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน ความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนกับภาคของประชาชน และความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคประชาชน พร้อมวางรูปแบบการโอนอำนาจจากส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่นแบบมีเงื่อนไข
ภายใต้การบริการจัดการงบประมาณตามวาระการขับเคลื่อนและระดับการบริหารจัดการ จะทำให้การจัดสรรงบประมาณมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาความซ้ำซ้อนของภารกิจและงบประมาณ สะท้อนภาพบูรณาการของภารกิจและงบประมาณ
เพื่อตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ
นับจากนี้ไปเราจะเดินหน้า “ปฏิรูปกฎหมาย-ปฏิรูประบบราชการ”
มันเป็นเรื่องยาก ถ้าไม่ยากจะทำไปทำไม ถ้าคิดจะทำแต่เรื่องง่ายๆ ก็ลูบหน้าปะจมูกกันไป
ขอถามว่า ถ้ารัฐบาลนี้ไม่ทำและไม่ทำวันนี้ เมื่อไหร่จะได้ทำ
อย่าถามว่า ทำได้หรือไม่ แต่ควรถามว่าจะมาช่วยให้มันเกิดขึ้น ได้อย่างไรจะดีกว่า
เพราะสิ่งที่ ป.ย.ป.ทำล้วนเป็นงานที่ยาก แถมถูกท้าทายพอสมควร
สำเร็จเมื่อไหร่ ประชาธิปไตยจะไม่หวนกลับไปสู่วงจรเดิมอีกต่อไป.
ทีมการเมือง