PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2559

แผน12ยุทธศาสตร์20ปี

เห็นชอบแผนพัฒนาฯ ฉ.12 ยึดเศรษฐกิจพอเพียง-คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา

 
เมื่อวันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งครม.มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  (สศช.) เสนอ ดังนี้  1. เห็นชอบร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564)  2. มอบหมายสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำกราบบังคมทูลเกล้าถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) ต่อไป  ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2559 – 30 กันยายน 2564 
 
โดยเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลได้สรุปสาระสำคัญของเรื่องไว้ว่า  สศช. รายงานว่า  แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 จะสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายน 2559 โดย สศช. ได้จัดทำ ร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 บนพื้นฐานของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2539)  โดยหลักการสำคัญของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ประกอบด้วย (1) ยึดหลักปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” (2) ยึด “คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา” (3) ยึด “วิสัยทัศน์ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” มาเป็นกรอบของวิสัยทัศน์ประเทศไทยในแผนพํฒนาฯ ฉบับที่ 12 (4) ยึด “เป้าหมายอนาคตประเทศไทยปี 2579”  เป็นกรอบการกำหนดเป้าหมายที่จะบรรลุใน 5 ปีแรก  และเป้าหมายในระดับย่อยลงมา  ควบคู่กับกรอบเป้าหมายที่ยั่งยืน และ (5) ยึดหลักการนำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างจริงจังใน 5 ปี
 
วัตถุประสงค์และเป้าหมายการพัฒนาในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12  ประกอบด้วย (1) เพื่อวางรากฐานให้คนไทยเป็นคนมีสุขภาวะและสุขภาพที่ดี ตลอดจนเป็นคนเก่งที่มีทักษะความรู้ความสามารถและพัฒนาตนเองได้ต่อเนื่องตลอดชีวิต (2) เพื่อให้คนไทยมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม  ผู้ด้อยโอกาสได้รับการพัฒนาศักยภาพ  รวมทั้งชุมชนมีความเข้มแข็งพึ่งพาตนเองได้ (3) เพื่อให้เศรษฐกิจเข้มแข็ง แข่งขันได้ มีเสถียรภาพ  และมีความยั่งยืน (4) เพื่อรักษาและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ (5) เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดิน มีประสิทธิภาพ  โปร่งใส  และมีการทำงานเชิงบูรณาการ (6) เพื่อให้มีการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค  และ (7) เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยมีความเชื่อมโยงกับประเทศต่าง ๆ ได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ 
 
เป้าหมายรวม  ประกอบด้วย (1) คนไทยมีคุณลักษณะเป็นคนไทยที่สมบูรณ์  (2) ความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้และความยากจนลดลง (3) ระบบเศรษฐกิจมีความเข้มแข็งและแข่งขันได้  (4) ทุนทางธรรมชาติและคุณภาพสิ่งแวดล้อมสามารถสนับสนุนการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (5) มีความมั่นคงในเอกราชและอธิปไตยและเพิ่มความเชื่อมั่นของนานาชาติต่อประเทศไทย และ (6) มีระบบบริหารจัดการภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ กระจายอำนาจ และมีส่วนร่วมจากประชาชน
 
ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ มี 10 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย 1) ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ 2) ยุทธศาสตร์การสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม 3) ยุทธศาสตร์การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน 4) ยุทธศาสตร์การเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 5) ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคั่งและยั่งยืน 6) ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการในภาครัฐ การป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบ และธรรมาภิบาลในสังคมไทย 7) ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์  8)  ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัย  และนวัตกรรม 9)  ยุทธศาสตร์การพัฒนาภค เมือง และพื้นที่เศรษฐกิจ และ 10) ยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนา

ไฟเขียว Medical Hub ระยะ 10 ปี 

รวมถึง ครม. ยังมีมติ เห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ ดังนี้ 1. เห็นชอบหลักการยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) โดยให้ สธ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรมตามกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล (ถึงเดือนกรกฎาคม 2560) แล้วดำเนินการต่อไปได้ ส่วนกิจกรรมใดที่เป็นการดำเนินการซึ่งเกินกว่ากรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ให้นำเรื่องดังกล่าวบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติรูปเพื่อให้รัฐบาลชุดต่อไปที่จะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินพิจารณาดำเนินการต่อไปตามนัยมติข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2559 (เรื่อง การเสนอโครงการที่ต้องขออนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี) 
 
ทั้งนี้ ในส่วนงบประมาณและเงินจากแหล่งอื่นสำหรับดำเนินการตามยุทธศาสตร์ดังกล่าว ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรี ที่เกี่ยวข้องต่อไป
 
2. ในการดำเนินการเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hab)กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการโดยไม่ให้กระทบต่อประสิทธิภาพในการให้บริการสุขภาพแก่ประชาชนชาวไทยด้วย ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (พ.ศ. 2559 – 2568) มีวิสัยทัศน์พันธกิจที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขของโลกภายใน 10 ปี โดยมีเป้าประสงค์ใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ 1. ศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub) 2. ศูนย์กลางบริการสุขภาพ (Medical Service Hub) 3. ศูนย์กลางบริการวิชาการและงานวิจัย (Academic Hub) 4. ศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Product Hub)
 
ยุทธศาสตร์ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ดังนี้ 1) เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการจัดบริการสุขภาพ 2) พัฒนาบริการรักษาพยาบาล 3) พัฒนาบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ 4) พัฒนาบริการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก 5) พัฒนาบริการวิชาการและงานวิจัยทางการแพทย์ (Academic Hub) 6) พัฒนายาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ และ 7) ส่งเสริมการตลาดและประชาสัมพันธ์ 
 
ทั้งนี้ แผนระยะเร่งด่วน 2 ปี จะดำเนินการในปี 2559 – 2560 และระยะปานกลาง – ระยะยาว 8 ปี จะดำเนินการตั้งแต่ พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป โดยมีการติดตามและประเมินผลตามตัวชี้วัดของยุทธศาสตร์ พร้อมทั้งจัดทำรายงานผลการดำเนินงานเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย 

นายกฯลั่น ไม่มีใครกดดัน ให้ใช้ม.44เลิกขึ้นศาลทหาร ผมไม่กลัวใครทั้งนั้น

"ผมไม่กลัวใครทั้งนั้น"!!!
นายกฯลั่น ไม่มีใครกดดัน ให้ใช้ม.44เลิกขึ้นศาลทหาร ผมไม่กลัวใครทั้งนั้น เพราะเป็นผู้รับผิดชอบ เข้ามาแล้ว ทำบ้านเมืองให้สงบสุข/ แถลงผลงาน 2 ปี ไม่สนจะฟังหรือไม่ฟัง แนะ สื่ออย่าสนใจ แต่ข่าวสายตัวเอง สนใจแต่การเมือง เป็นผลลบทำร้ายประเทศ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวถึงการแถลงผลงานรัฐบาลครบรอบ 2 ปี ในวันที่ 15 ก.ย. ว่า ประชาชนสามารถรับฟังได้จากการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ โดยมีการแถลงครึ่งวัน แต่ผมคงไม่ได้พูดคนเดียวครึ่งวัน โดยผมจะพูดในหลักการ ที่ผ่านมาก็พูดจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว
ส่วนการคาดหวังว่าประชาชนจะติดตามนั้น ขนาดผม พูดวันศุกร์ยังไม่ฟังเท่าไรเลย แต่ถ้าไม่ฟังก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ร่วมมือ มีการต่อต้านมากขึ้น ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรถ้าไม่ช่วยกัน
ถามว่าจะมีนโยบายอะไรเซอร์ไพรส์ในวันแถลงหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่มี จะต้องเซอร์ไพรส์อะไร ที่ประเทศชาติจะต้องเปลี่ยนแปลงในอนาคตไม่เซอร์ไพรส์เหรอ คิดว่าธรรมดาเหรอที่จะต้องทำในอีก 20 ปีข้างหน้า วันนี้หยุดมากี่ปีแล้ว โดย 2 ปีที่ผ่านมาก็ประกาศนโยบายพอแล้ว จะเอาอะไรใหม่ทุกวัน ทั้งของรัฐบาล คสช. และความคิดเห็นอื่นๆอีกตรงนี้หล่ะเซอร์ไพรส์ในวันหน้าที่จะเกิดผล
"สื่อต้องดูทุกด้าน การเมืองเศรษฐกิจการลงทุน ถ้าเขียนตรงนี้ไม่ดี ไม่ดูทุกด้าน ก็จะเขียนการเมืองไปอีกแบบ เศรษฐกิจมันก็เลวลง ในประเทศก็ไม่เกิดความเชื่อมั่น มันก็ติดที่เดิม นี่คือข้อเท็จจริงไม่ได้ตำหนิสื่อ แต่ต้องคิดใหม่ แต่อะไรที่ติติงได้ก็ยอมรับถ้ามีหลักการและเหตุผลเพียงพอ อย่าทำให้คนใช้ความรู้สึกในการใช้ชีวิต
และอย่าเปิดพื้นที่ให้คนไม่ดีมาพูดส่งเดชไปเรื่อย ผมไม่เห็นคุณค่าอะไรขึ้นมา แล้วจะให้ไปบังคับใช้กฎหมายเมื่อผ่อนคลายให้ก็กลายเป็นว่าอย่างนี้อย่างนั้น ผมไม่ฟังหรอกขี้เกียจ ไร้สาระ วันหน้าติดคุกทก็ติดไป คดีความก็เยอะแยะ สื่อจะไปช่วยเขาก็ตามใจ" นายกฯ กล่าว
ถามว่าที่นายกฯพูดมานี้เพราะมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงคำสั่งมาตรา 44 ให้ยกเลิกการขึ้นศาลทหารใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า แล้วมันเสียหายตรงไหน มันดีหรือไม่ดี
"แต่ไม่ใช่ว่าผมถูกกดดันมา ผมไม่กลัวใครทั้งนั้น เพราะเป็นผู้รับผิดชอบเพราะเข้ามาแล้ว แต่รับผิดชอบประเทศชาติบ้านเมืองให้สงบสุข นึกถึงผมบ้างสิ "
ส่วนฝ่ายที่ระบุว่ายังต้องขึ้นศาลทหารอยู่ ก็เพราะเป็นคดีเดิม ยกเลิกย้อนหลังได้ใหม่หรือ มีกฎหมายฉบับไหนเขายกเลิกย้อนหลังได้ ไม่มีก็จบมาถามอะไร เหมือนจะไปเป็นตัวแทนพูดให้เขา
"จะให้ยกเลิกของเก่า แล้วทำความผิดทำไม จริงๆแล้วไม่ได้สำคัญว่าจะต้องขึ้นศาลอะไร สำคัญว่าทำความผิดหรือเปล่า ถ้าไม่มีคดีก็ไม่ต้องขึ้นศาลอะไรทั้งนั้น ศาลพระภูมิยังไม่ต้องขึ้นเลย" นายกฯ กล่าว

เพลง คสช. ภาค3



เพลง คสช. ภาค3
นายกฯบิ๊กตู่. แต่งเพลง "คสช." เพลงที่3 เตรียมเปิดตัว ในงานแถลงข่าว 2 ปี รัฐบาล พรุ่งนี้ 15กย. 2559 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ...โดยเป็นเพลงที่ พล.อ.ประยุทธ์. แต่งด้วยตนเองทั้งหมด ในลักษณะ บทร้อยกรอง แล้วให้ทีมงานมาใส่ทำนอง เพื่อต้องการใช้ เพลงนี้สื่อความหมายจากใจ นายกฯ ไปถึงประชาชน ในการก้าวสู่การบริหารราชการแผ่นดิน และเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นปีที่3
แต่ยังไม่มีการเปิดเผย ชื่อเพลง เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการให้เป็น เซอร์ไพร้ซ์
ทั้งนี้ เพลงแรก ที่พลเอกประยุทธ์ แต่งหลังการรัฐประหาร 22พค.2557 คือ เพลง "คืนความสุขให้คนในชาติ"
ส่วน เพลงที่ สองคือ "เพราะเธอคือประเทศไทย"
ฉั้นไม่ใช่ผู้วิเศษ ที่จะเสกปราสาทงามให้เธอ
ถูกใจ

"บิ๊กป้อม" ตั้ง "บิ๊กแป๊ะ"ผบ.ตร." เป็นประธานกก.แก้ปัญหาจราจรใน กทม.และปริมณฑล ร่วม ทบ. มหาดไทย คมนาคม และรสก.



"บิ๊กป้อม" ตั้ง "บิ๊กแป๊ะ"ผบ.ตร." เป็นประธานกก.แก้ปัญหาจราจรใน กทม.และปริมณฑล ร่วม ทบ. มหาดไทย คมนาคม และรสก. มีแผนทั้งระยะเร่งด่วน. ปานกลาง ระยะยาว / เล็ง 21เส้นทางหลัก กวดขันวินัยจราจร การซ่อมเส้นทาง
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกรัฐมนตรีและ รมว.กห. ได้ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนการแก้ปัญหาจราจรใน กทม.และปริมณฑล ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า พลเอกประวิตรและที่ประชุม ได้รับทราบสาเหตุปัญหาการจราจรติดขัดที่สำคัญ จากกองบัญชาการตำรวจนครบาลและสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร
อันได้แก่ การเติบโตของประชากรเมืองและยานพาหนะที่รวดเร็ว การใช้ผิวจราจรและการบังคับใช้กฎหมายที่ยังไม่เต็มประสิทธิภาพ การเชื่อมโยงเครือข่ายถนนและระบบขนส่งสาธารณะที่ยังไม่เพียงพอ รวมทั้ง การละเลยวินัยจราจรของผู้ใช้รถใช้ถนน เป็นต้น
พลเอกประวิตร ได้หารือที่ประชุมและสั่งการให้ แต่งตั้ง "คณะกรรมการบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการจราจรในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล" โดยมี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.เป็นประธาน และมีกรรมการจากทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งจาก กทม. กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กองทัพบกและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมบูรณาการขับเคลื่อนแก้ปัญหาจราจรอย่างเป็นระบบและจริงจัง
พร้อมทั้งให้จัดทำแผนงานและแก้ปัญหาควบคู่กันไปทั้ง ระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว
พล.อ.ประวิตร ได้เน้นย้ำการแก้ปัญหาระยะเร่งด่วนให้เป็นรูปธรรมและมีผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว โดยให้สำรวจสภาพการจราจรใน 21 เส้นทางหลักและสายรอง เชื่อมโยงถึงปลายทางสู่ปริมณฑล และให้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างจริงจังโดยเร็วที่สุด
ทั้งการปรับผิวจราจรและจุดตัดที่เป็นผลให้รถเคลื่อนตัวช้า การขยายถนนในบริเวณคอขวด การอำนวยความสะดวกจราจรในเส้นทางก่อสร้างระบบขนส่งมวลชน การบังคับใช้กฎหมายจราจรและการกวดขันวินัยจราจรของผู้ใช้รถอย่างจริงจัง
โดยเฉพาะรถสาธารณะทั้ง มอเตอร์ไซค์ แท็กซี่ รถตู้และรถประจำทาง การเชื่อมโยงระบบข้อมูลใบสั่งกับการต่อทะเบียนรถประจำปี การบริหารจัดการกระแสจราจรในชั่วโมงเร่งด่วน ความรวดเร็วในการเคลื่อนย้ายรถที่มีปัญหาออกจากจุดเกิดเหตุ การให้ข้อมูลการจราจรกับประชาชนผ่านสื่อต่างๆรวมทั้งแอพพลิเคชั่น
รวมทั้ง การมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ปัญหา เช่น เปิดช่องทางให้ประชาชนร้องทุกข์และรับข้อเสนอ รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการให้ประชาชนร่วมส่งข้อมูลผู้กระทำผิดกฎหมายจราจรแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อเปรียบเทียบปรับ
พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ปลุกจิตสำนึก สร้างการรับรู้ในความปลอดภัยและวินัยจราจรกับประชาชนควบคู่กันไป โดยประสานความร่วมมือกับทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม
สำหรับการแก้ปัญหาระยะกลางและระยะยาว ให้คณะกรรมการร่วมศึกษาและจัดทำแผนงานเพื่อพิจารณาร่วมกันต่อไป โดยบูรณาการเชื่อมโยงกับแผนงานของคณะกรรมการอื่นๆที่มีอยู่เดิม อย่างเป็นระบบ เน้นความต่อเนื่องและยั่งยืน พร้อมทั้งให้ประเมินผลและรายงานความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เพื่อเร่งคลี่คลายแก้ปัญหาจราจรที่ติดขัดให้มีความคล่องตัว สามารถอำนวยความสะดวก สร้างความปลอดภัยและลดระยะเวลาในการเดินทางของประชาชนให้ได้โดยเร็ว

หนาว! “บิ๊กตู่” ไฟเขียว ม.44 สั่ง “กรมบังคับคดี” เรียกค่าสินไหม “คดีจำนำข้าว” พ่วงแทรกแซงมันสำปะหลังปี 51-56-ข้าวโพดปี 51-52

หนาว! “บิ๊กตู่” ไฟเขียว ม.44 สั่ง “กรมบังคับคดี” เรียกค่าสินไหมคดีจำนำข้าว เน้นโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐตั้งแต่ปีการผลิต 48/49 จนถึงปีการผลิต 56/57 พ่วง “โครงการแทรกแซงมันสําปะหลังของรัฐ” ตั้งแต่ปีการผลิต 51/52 จนถึงปีการผลิต 55/56 หรือโครงการแทรกแซงข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 51/52 พร้อมสั่งระบายข้าว-มันสําปะหลัง-ข้าวโพดจากโกดังรัฐ คุ้มครองทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัยเจ้าหน้าที่
       
       วันนี้ (14 ก.ย.) มีรายงานว่า ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 56/2559 เรื่องการคุ้มครองการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในการดูแลของรัฐและการดําเนินการต่อผู้ต้องรับผิด ดังนี้
       
       “ตามที่ได้มีการดําเนินการโครงการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการรับจํานําข้าวเปลือก โครงการแทรกแซงมันสําปะหลัง หรือโครงการแทรกแซงข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปรากฏว่าในปัจจุบันยังมีผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรดังกล่าวคงเหลือในการดูแลของรัฐที่เก็บอยู่ทั่วประเทศเป็นจํานวนมาก หากการเก็บรักษาและการควบคุมดูแลหรือการระบายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเหล่านี้ออกสู่ตลาดอย่างไม่รอบคอบรัดกุม หรือไม่สุจริต กรณีเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเพราะรัฐต้องจัดสรรงบประมาณเป็นจํานวนมากเพื่อไม่ให้การบริหารจัดการและการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่คงเหลือเกิดความเสียหายแก่รัฐเพิ่มขึ้น ในขณะที่รัฐต้องเร่งตรวจสอบปริมาณและคุณภาพรวมทั้งวางมาตรการระบายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรออกสู่ตลาดให้เหมาะสม มิฉะนั้นจะเสื่อมสภาพจนเสื่อมราคา กระทบต่อราคาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในฤดูกาลปัจจุบันและฤดูกาลใหม่ที่จะมาถึงจนเกิดความเสียหายอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจ ทั้งต้องดําเนินการต่อผู้ต้องรับผิดเพื่อให้ชดใช้ความเสียหายแก่รัฐอันเป็นความจําเป็นเพื่อป้องกันและระงับความเสียหายต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
       
       อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้
       
       ข้อ ๑ ให้บุคคล คณะบุคคล คณะทํางาน คณะกรรมการ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับแต่งตั้งตามกฎหมายหรือได้รับมอบหมายจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี รัฐมนตรีผู้เกี่ยวข้อง คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสําปะหลัง หรือคณะกรรมการนโยบายข้าวโพด ให้ดําเนินการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์มันสําปะหลังหรือข้าวโพดที่อยู่ในการดูแลรักษาของรัฐ ดังต่อไปนี้
       
       (๑) โครงการแทรกแซงมันสําปะหลังของรัฐ ตั้งแต่ปีการผลิต ๒๕๕๑/๒๕๕๒ จนถึงปีการผลิต ๒๕๕๕/๒๕๕๖ ซึ่งได้ดําเนินการมาตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ หรือภายหลังจากนั้น
       
       (๒) โครงการแทรกแซงข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๑/๒๕๕๒ ซึ่งได้ดําเนินการมาต้ังแต่วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ หรือภายหลังจากนั้นยังคงมีอํานาจหน้าที่ดําเนินการดังกล่าวต่อไปเช่นเดิม ทั้งนี้ เพื่อระงับยับยั้งมิให้เกิดความเสียหายแก่รัฐเพิ่มขึ้นเพราะเหตุแห่งความเสื่อมสภาพของผลิตภัณฑ์มันสําปะหลังหรือข้าวโพด การแตกต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์หัวมันสําปะหลังสดหรือข้าวโพดที่รับจํานํากับราคาที่จําหน่ายได้ การที่รัฐต้องรับภาระค่าเช่าคลังค่าประกันภัย ค่าดูแลรักษาคุณภาพผลิตภัณฑ์มันสําปะหลังหรือข้าวโพด ค่าใช้จ่ายอื่นและดอกเบี้ย และเพื่อป้องกันมิให้การระบายผลิตภัณฑ์มันสําปะหลังหรือข้าวโพดเป็นการเพิ่มอุปทานตลาดในช่วงเวลาเดียวกับที่มีผลผลิตฤดูกาลใหม่โดยไม่สมควร รวมทั้งดําเนินการเพื่อให้ทราบตัวผู้ต้องรับผิดและเรียกให้ผู้นั้นชดใช้ความเสียหายแก่รัฐตามกฎหมาย
       
       ในกรณีที่บุคคลตามวรรคหนึ่งได้กระทําการไปตามอํานาจหน้าที่โดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติและไม่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่เกินกว่ากรณีจําเป็น ย่อมได้รับความคุ้มครองและไม่ต้องรับผิดทางแพ่งทางอาญา หรือทางวินัย แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
       
       ข้อ ๒ เมื่อได้มีคําสั่งทางปกครองของหน่วยงานของรัฐหรือคําสั่งหรือคําพิพากษาของศาลแล้วแต่กรณี ให้มีการบังคับทางปกครองต่อผู้ต้องรับผิดตามโครงการรับจํานําข้าวเปลือกของรัฐ ตั้งแต่ปีการผลิต ๒๕๔๘/๒๕๔๙ จนถึงปีการผลิต ๒๕๕๖/๒๕๕๗ โครงการแทรกแซงมันสําปะหลังของรัฐตั้งแต่ปีการผลิต ๒๕๕๑/๒๕๕๒ จนถึงปีการผลิต ๒๕๕๕/๒๕๕๖ หรือโครงการแทรกแซงข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี ๒๕๕๑/๒๕๕๒ ให้กรมบังคับคดีมีอํานาจหน้าที่ในการใช้มาตรการบังคับทางปกครอง ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง เพื่อบังคับการให้เป็นไปตามคําส่ังหรือคําพิพากษาดังกล่าว และให้ได้รับความคุ้มครองตามข้อ ๑ วรรคสอง ด้วย
       
       ข้อ ๓ ให้บุคคลตามข้อ ๑ วรรคหนึ่ง ซึ่งมีอํานาจหน้าที่ที่ต้องดําเนินการใด ๆ ตามคําสั่งทางปกครองของหน่วยงานของรัฐหรือคําสั่งหรือคําพิพากษาของศาล แล้วแต่กรณี ให้มีการดําเนินการต่อผู้ต้องรับผิดตามโครงการแทรกแซงมันสําปะหลังของรัฐ ตั้งแต่ปีการผลิต ๒๕๕๑/๒๕๕๒ จนถึงปีการผลิต ๒๕๕๕/๒๕๕๖ หรือโครงการแทรกแซงข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๑/๒๕๕๒ ได้รับความคุ้มครองตามข้อ ๑ วรรคสอง ด้วยให้นําความในวรรคหนึ่ง ไปใช้บังคับกับการดําเนินการต่อผู้ต้องรับผิดในโครงการรับจํานําข้าวเปลือกของรัฐ ตั้งแต่ปีการผลิต ๒๕๔๘/๒๕๔๙ จนถึงปีการผลิต ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ด้วย
       
       ข้อ ๔ ในกรณีเห็นสมควรนายกรัฐมนตรีอาจเสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติแก้ไขเปลี่ยนแปลงคําสั่งนี้ได้
       
       ข้อ ๕ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
       
       สั่ง ณ วันที่ ๑๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๙
       พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
       หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ”
       
       มีรายงานว่า เมื่อปี 2558 ได้มีประกาศคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 39/2558 เรื่องการคุ้มครองการบริหารจัดการข้าวคงเหลือในการดูแลรักษาของรัฐและการดำเนินการต่อผู้ต้องรับผิด ตามที่มีการดำเนินการตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลในอดีตตั้งแต่ปีการผลิต 48/49 จนถึงปีการผลิต 56/57 ปรากฏว่ายังคงมีข้าวคงเหลือในการดูแลรักษาของรัฐที่เก็บอยู่ทั่วประเทศเป็นปริมาณมหาศาล หากการเก็บรักษาหรือการระบายข้าวออกสู่ตลาดไม่รอบคอบรัดกุมหรือไม่สุจริต ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ รัฐต้องวางมาตรการระบายข้าวดังกล่าว ออกสู่ตลาดให้เหมาะสมมิให้กระทบต่อราคาข้าวฤดูกาลใหม่ที่ทยอยออกมา ทั้งต้องดำเนินการต่อผู้ต้องรับผิด เพื่อให้ชดใช้ความเสียหายแก่รัฐ
       
       อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 57 หัวหน้า คสช.โดยความเห็นชอบของ คสช. จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้
       
       1. ให้บุคคล คณะบุคคล คณะทำงาน คณะกรรมการ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับแต่งตั้งตามกฎหมายหรือได้รับมอบหมายจากหัวหน้า คสช. คสช. รมว. นายกฯ ครม.หรือคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวให้ดำเนินการบริหารจัดการข้าวที่อยู่ในการดูแลรักษาของรัฐตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐ ตั้งแต่ปีการผลิต 48/49 จนถึงปีการผลิต 56/57 ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 57 หรือภายหลังจากนั้น ยังคงมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการดังกล่าวต่อไปเช่นเดิมทั้งนี้เพื่อระงับยับยั้งมิให้เกิดความเสียหายแก่รัฐเพิ่มขึ้นเพราะเหตุแห่งความเสื่อมสภาพของข้าว รวมทั้งดำเนินการเพื่อให้ทราบตัวผู้ต้องรับผิด และเรียกให้ผู้นั้นชดใช้ความเสียหายแก่รัฐตามกฎหมายในกรณีที่บุคคลตามวรรคหนึ่งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และได้กระทำโดยสุจริต ย่อมได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่งทางอาญา หรือทางวินัย

นายกฯบอก แถลงผลงาน 2 ปีไม่มีเซอร์ไพรส์

นายกฯบอก แถลงผลงาน 2 ปีไม่มีเซอร์ไพรส์เพราะอยู่ในทุกอย่างที่ทำ แนะสื่ออย่าสนแต่ข่าวสายตัวเอง เป็นผลลบทำร้ายประเทศ ย้ำ ปลดล็อกศาลไม่ถูกใครกดดัน ลั่นไม่ผิดศาลพระภูมิก็ไม่ต้องขึ้น
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 14 กันยายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการแถลงผลงานรัฐบาลครบรอบ 2 ปี ในวันที่ 15 กันยายนว่า ประชาชนสามารถรับฟังได้จากการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ โดยมีการแถลงครึ่งวัน ตนจะพูดในหลักการ ที่ผ่านมาก็พูดจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ส่วนการคาดหวังว่าประชาชนจะติดตามนั้น ขนาดตนพูดวันศุกร์ยังไม่ฟังเท่าไรเลย แต่ถ้าไม่ฟังก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ร่วมมือ มีการต่อต้านมากขึ้น ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรถ้าไม่ช่วยกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีนโยบายอะไรเซอร์ไพรส์ในวันแถลงหรือไม่ นายกฯกล่าวว่าไม่มี จะต้องเซอร์ไพรส์อะไร ที่ประเทศชาติจะต้องเปลี่ยนแปลงในอนาคตไม่เซอร์ไพรส์เหรอ คิดว่าธรรมดาเหรอที่จะต้องทำในอีก 20 ปีข้างหน้า วันนี้หยุดมากี่ปีแล้ว โดย 2 ปีที่ผ่านมาก็ประกาศนโยบายพอแล้ว จะเอาอะไรใหม่ทุกวัน ทั้งของรัฐบาล คสช. และความคิดเห็นอื่นๆ อีก ตรงนี้ล่ะเซอร์ไพรส์ในวันหน้าที่จะเกิดผล
“สื่อต้องดูทุกด้าน การเมือง เศรษฐกิจ การลงทุน ถ้าเขียนตรงนี้ไม่ดี ไม่ดูทุกด้าน ก็จะเขียนการเมืองไปอีกแบบ เศรษฐกิจมันก็เลวลง ในประเทศก็ไม่เกิดความเชื่อมั่น มันก็ติดที่เดิม นี่คือข้อเท็จจริงไม่ได้ตำหนิสื่อ แต่ต้องคิดใหม่ แต่อะไรที่ติติงได้ก็ยอมรับถ้ามีหลักการและเหตุผลเพียงพอ อย่าทำให้คนใช้ความรู้สึกในการใช้ชีวิตและเปิดพื้นที่ให้คนไม่ดีมาพูดส่งเดชไปเรื่อย ผมไม่เห็นคุณค่าอะไรขึ้นมา แล้วจะให้ไปบังคับใช้กฎหมาย เมื่อผ่อนคลายให้ก็กลายเป็นว่าอย่างนี้อย่างนั้น ผมไม่ฟังหรอกขี้เกียจ ไร้สาระ วันหน้าติดคุกก็ติดไป คดีความก็เยอะแยะ สื่อจะไปช่วยเขาก็ตามใจ” นายกฯกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าที่นายกฯพูดมานี้เพราะมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงคำสั่งมาตรา 44 ให้ยกเลิกการขึ้นศาลทหารใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า แล้วมันเสียหายตรงไหน มันดีหรือไม่ดี แต่ไม่ใช่ว่าตนถูกกดดันมา ตนไม่กลัวใครทั้งนั้น เพราะเป็นผู้รับผิดชอบเพราะเข้ามาแล้ว แต่รับผิดชอบประเทศชาติบ้านเมืองให้สงบสุข นึกถึงตนบ้างสิ ส่วนฝ่ายที่ระบุว่ายังต้องขึ้นศาลทหารอยู่ก็เพราะเป็นคดีเดิม ยกเลิกย้อนหลังได้ใหม่หรือมีกฎหมายฉบับไหนเขายกเลิกย้อนหลังได้ ไม่มี ก็จบ มาถามอะไรเหมือนจะไปเป็นตัวแทนพูดให้เขา
“ให้ยกเลิกของเก่าแล้วทำความผิดทำไม จริงๆ แล้วไม่ได้สำคัญว่าจะต้องขึ้นศาลอะไร สำคัญว่าทำความผิดหรือเปล่า ถ้าไม่มีคดีก็ไม่ต้องขึ้นศาลอะไรทั้งนั้น ศาลพระภูมิยังไม่ต้องขึ้นเลย” นายกฯกล่าว

"วัชระ"เปิดไฟไล่โกงสำนักเลขาสภาผู้แทนฯ

"วัชระ"เปิดไฟไล่โกงสำนักเลขาสภาผู้แทนฯ จี้"พรเพชร"สอบ2ปม ชี้ทุจริตสมัย"สุวิจักษณ์"300ล้านบาทผ่านมา2ปีไม่คืบ 
14 ก.ย. 59 ที่รัฐสภา นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงความคืบหน้าในการติดตามการสอบการทุจริตภายในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรว่า ตนได้มายื่นหนังสือติดตามผลการตรวจสอบโครงการทุจริตต่างๆ ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีการตรวจสอบรวม 2 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยนายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย เป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้มีการอนุมัติใช้งบประมาณส่อในการทุจริตก่อหนี้ผูกพันตั้งแต่ปี 2556 เป็นเงินกว่า 300 ล้านบาท ใน 15 โครงการ เช่น การปรับปรุงห้องประชุมงบประมาณ ห้อง 3301 อาคารรัฐสภา 3 จำนวน 36.5 ล้านบาท, สร้างห้องประชุมยุทธศาสตร์ จำนวน 24.5 ล้านบาท, ปรับปรุงห้องน้ำระบบสุขาภิบาล จำนวน 5 ล้านบาท,
สร้างห้องออกกำลังกายและห้องทำงานสื่อมวลชนที่ไม่ต้องลงเสาเข็มหรือทำหลังคาใหม่เลย จำนวน 17.9 ล้านบาท, โครงการปรับพื้นฐานพระบรมราชนุสาวรีย์ รัชกาลที่ 7 จำนวน 13.8 ล้านบาท, โครงการจัดซื้อเครื่องทำน้ำดื่ม 62 เครื่อง เครื่องละ 7 หมื่นบาท รวม 3.2 ล้านบาท, โครงการติดตั้งเครื่องสแกนบุคคลตรวจสอบการเข้าออกอาคารรัฐสภา จำนวน 62 ล้านบาท และนาฬิกาเทวดา 240 เรือน จำนวน 15 ล้านบาท เป็นต้น ว่าคืบหน้าถึงไหนแล้ว เพราะผ่านมา 2 ปี ยังไม่มีการลงโทษข้าราชการระดับสูงที่เกี่ยวข้อง และขออย่าลงโทษข้าราชการชั้นผู้น้อยแต่ขอให้กันไว้เป็นพยาน ซึ่งหลังจากนี้อีก 3 เดือนจะมาติดตามรับฟังผลสรุปการตรวจสอบทุจริตโครงการต่างๆ
นายวัชระ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ได้รับการร้องเรียนจากข้าราชการสภาผู้แทนราษฎรถึงพฤติกรรมของบุคคลหนึ่ง ที่อ้างว่าเป็นคนของอดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย และเป็นที่ปรึกษาของนายสุวิจักษณ์ อดีตเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ทั้งที่การแต่งตั้งไม่ได้เป็นระเบียบของทางราชการ เป็นเพียงตำแหน่งที่กล่าวอ้าง แต่สภากลับปล่อยให้บุคคลดังกล่าว ทำหน้าที่นั่งตรวจแฟ้มงานในโครงการจัดซื้อจัดจ้างทุกโครงการในยุคนายสุวิจักษณ์ จนเกิดการทุจริตในช่วงเวลาดังกล่าว และยังปล่อยให้บุคคลผู้นี้เข้ามานั่งทำงานที่ชั้น 2 ที่หน้าห้องเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ทั้งยังสามารถสั่งการให้ข้าราชการรัฐสภาโดยอ้างว่าเป็นผู้ใกล้ชิดกับสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่ได้รับมอบหมายจากประธานสนช.ให้ดูแลโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ และยังเรียกตัวแทนบริษัทผู้รับจ้างและบริษัทที่ปรึกษาโครงการก่อสร้างรัฐสภาใหม่มาเจรจา รวมถึงเรียกข้าราชการมาพบเพื่อเสนอตำแหน่งให้โดยอ้างว่าจะขอผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในสนช.ให้ แต่จะต้องมาดูแลรับใช้และใช้ตำแหน่งหน้าที่ราชการปฏิบัติตามคำสั่งของตัวเอง
ดังนั้น จึงขอให้นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. ตรวจสอบบุคคลดังกล่าวว่าเกี่ยวข้องกับสมาชิกสนช.คนใด มีตำแหน่งข้าราชการจริงหรือไม่ และเข้ามานั่งทำงานหน้าห้องเลขาสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างไร ทั้งยังรับประทานอาหารฟรีทุกวันโดยให้ข้าราชการไปตักอาหารจัดเลี้ยงแม่น้ำ 5 สายมากินฟรีทุกวัน มีการแอบอ้างและใช้อาคารรัฐสภากระทำการดังกล่าวจริงหรือไม่ อย่างไร และขอให้แจ้งทราบด้วย เพราะเสื่อมเสียต่อสถานที่อันทรงเกียรติ
นายวัชระ กล่าวอีกว่า สืบเนื่องจากกรณีนายพรเพชร เคยมีคำสั่งสนช.ที่ 107/2559 เรื่องลงโทษไล่ออกนายสมชาติ ธรรมศิริ และคำสั่งที่ 106/2559 เรื่องให้ลงโทษปลดออกนายคุณวุฒิ ตันตระกูล ตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค.2559 กรณีการใช้งบที่ไม่เหมาะสมเป็นการลงโทษเกินกว่าเหตุหรือไม่ เมื่อเปรียบเทียบกับการสอบสวนการทุจริตที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้มากมาย แต่กลับยังไม่มีผลสรุปการลงโทษบุคคลที่เกี่ยวข้องแต่อย่างไร รวมถึงเรื่องที่เคยยื่นหนังสือให้ตรวจสอบโครงการทุจริตโครงการอิ่มบุญ จำนวน 84 ล้านบาทของวุฒิสภา นายพรเพชรไม่ได้ตรวจสอบหรือ ดังนั้น ตนจึงขอส่องไฟฉายเปิดไฟไล่โกงที่รัฐสภา สนองนโยบายการปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

นอภ.สัตหีบนำทีม รื้อรีสอร์ตหาดจอมเทียน รุกที่สาธารณะ พิพาทนาน 10 ปี

นอภ.สัตหีบนำทีม รื้อรีสอร์ตหาดจอมเทียน รุกที่สาธารณะ พิพาทนาน 10 ปี
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 14 ก.ย. 2559 00:31
นายอำเภอสัตหีบ จ.ชลบุรี นำทีมงานเข้ารื้อรีสอร์ตริมหาดจอมเทียน ที่บุกรุกที่ดินสาธารณะ หลังเกิดข้อพิพาทยาวนานถึง 10 ปี
เมื่อวันที่ 13 ก.ย.59 นายนรเสฏฐ์ ศรีตะพัสโส นายอำเภอสัตหีบ จ.ชลบุรี พร้อมด้วยนายสมพงษ์ สายนภา นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลนาจอมเทียน นำกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง สนธิกำลังร่วมเจ้าหน้าที่ทหารจากกองรักษาความสงบ ฐานทัพเรือสัตหีบ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาพัทยา เจ้าหน้าที่ตำรวจ และรถแบ็กโฮ รถขุดเจาะ เครื่องมือหนัก และแรงงานจำนวนมาก เดินทางลงพื้นที่บริเวณริมชายหาด ในพื้นที่หมู่ที่ 1 ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการ "ร้านต้นหาด" เพื่อดำเนินการรื้อถอนอาคาร กำแพง และสิ่งปลูกสร้างถาวร ประกอบด้วยรีสอร์ตที่พัก และร้านอาหารในพื้นที่จำนวนรวมกว่า 4 ไร่ เนื่องจากโครงการดังกล่าวมีการก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต และบุกรุกที่สาธารณะซึ่งเป็นโครงการที่มีปัญหาเรื้อรังมานานนับสิบปี
นายนรเสฏฐ์ กล่าวว่า สำหรับโครงการร้านต้นหาดมีปัญหาบุกรุกที่สาธารณะมานับสิบปี กระทั่งทางท้องถิ่นได้มีการแจ้งเรื่องและส่งฟ้องร้องต่อศาล จวบจนปี 2548 ศาลจึงมีคำพิพากษาว่ากรณีดังกล่าวถือเป็นการบุกรุกที่สาธารณะ ซึ่งเรื่องนี้ทางเจ้าของโครงการก็ยอมรับสภาพโดยดี แต่ปรากฏว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันทางโครงการก็ยังไม่มีการดำเนินการในเรื่องของการรื้อถอนแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังมีการขยายโครงการเพิ่มเติมจนกระทั่งมีปัญหาการบุกรุกกินพื้นที่ของชายหาดเพิ่มขึ้น จึงเป็นที่มีของการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ข้างเคียงในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ทางเทศบาลจึงได้เข้ามาดำเนินการตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร โดยออกคำสั่งตามขบวนการเพื่อให้ระงับ หยุดการใช้ และรื้อถอนอาคารตามลำดับ ขณะที่เจ้าของโครงการก็ทำเรื่องขออุทธรณ์ไปยังจังหวัดชลบุรี และการฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ซึ่งต่อ มาทางคณะกรรมการก็ยกอุทธรณ์ขณะที่ศาลปกครองเองก็ไม่ได้คุ้มครองแต่อย่างใด ทางท้องถิ่นจึงได้ใช้อำนาจตามกฎหมายในการประกาศหาผู้รับเหมาเข้ามาดำเนินการรื้อถอนอย่างเร่งด่วน ซึ่งจะใช้งบประมาณในการดำเนินการกว่า 4.8 แสนบาท ซึ่งหลังรื้อถอนเสร็จซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่นานก็จะได้ทำการเรียกเก็บค่ารื้อถอนจากเจ้าของโครงการต่อไป
นายฤกษ์ชัย วิจิตรเศรษฐกุล เจ้าหน้าที่สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาพัทยา กล่าวว่า สำหรับพื้นที่ตลอดแนวชายหาดของหมู่ที่ 1 ตำบลนาจอมเทียนนั้น มีลักษณะเป็นแนวทอดยาวกว่า 2 กม.โดยพื้นที่ฝั่งบนจะอยู่ในการดูแลของเทศบาลนาจอมเทียน ซึ่งปัจจุบันได้มีการเข้ารื้อถอนในส่วนของผู้บุกรุกไปแล้ว ขณะที่พื้นที่ฝั่งชายหาดนั้นปัจจุบันพบว่ามีผู้ประกอบการร้านอาหารบุกรุกอยู่จำนวน 15 ราย ซึ่งถือว่าเป็นความผิดกรณีปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย ซึ่งอาคารเหล่านี้ที่ผ่านมาทางสำนักงานเจ้าท่าได้ดำเนินการตามขั้นตอนไปแล้ว โดยส่งเรื่องฟ้องร้องต่อศาลจังหวัดพัทยา เพื่อร้องขอให้มีคำสั่งให้เจ้าของอาคารทำการรื้อถอนซึ่งคาดว่าคงต้องใช้ระยะเวลาอีกสักพัก จากนั้นคงจะเข้าดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อจัดการปัญหาเหล่านี้ให้หมดไปโดยเร็ว
Cr. ไทยรัฐออนไลน์