PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2559

นายกรัฐมนตรีเสนออาลีบาบาช่วยกระจายสินค้าเอสเอ็มอีสู่ตลาดจีนและตลาดโลก

นายกรัฐมนตรีเสนออาลีบาบาช่วยกระจายสินค้าเอสเอ็มอีสู่ตลาดจีนและตลาดโลก
แจ็ค หม่า เสนอแนวคิดในที่ประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชียครั้งที่สอง หรือเอซีดี แนะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีเชื่อมโยงระบบการเงิน ด้านไทยหวังความร่วมมือเป็นรูปธรรมในการส่งเสริมสินค้าที่ผลิตโดยอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ของไทยสู่ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) ของอาลีบาบาอย่างครบวงจร
นายแจ็ค หม่า ประธานบริหารกลุ่มบริษัทอาลีบาบา กล่าวในการรายงานการประชุมระดับภาคธุรกิจในที่ประชุมเอซีดี ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพแนะนำให้ทุกประเทศพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีให้เชื่อมโยงกับระบบการเงินเนื่องจากโลกปัจจุบันเป็นโลกในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
นอกจากนี้นายแจ็ค หม่า ยังได้พบปะหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยพลโทวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่านายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงข้อเสนอเกี่ยวกับการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของเอสเอ็มอี และการส่งเสริมให้สร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุนต่อการพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างประเทศ ซึ่งอาลีบาบาจะแบ่งปันประสบการณ์ดังกล่าวกับไทย
นายกรัฐมนตรีมองว่าความร่วมมือระหว่างไทยกับอาลีบาบาจะช่วยให้ SMEs ไทย มีโอกาสในการจำหน่ายสินค้าและบริการในตลาดที่กว้างขึ้นและครบวงจร นอกจากนี้ไทยยังได้สอบถามถึงแนวคิดของอาลีบาบาในการจัดตั้งศูนย์กลางการค้าโลก (Global Trading Center) ในไทย ซึ่งฝ่ายอาลีบาบาจะได้ประโยชน์จากการกระจายสินค้าที่จำหน่ายผ่านระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งในไทยและในภูมิภาค ในเวลาเดียวกันผู้ประกอบการไทยจะมีตลาดรองรับสินค้าเพิ่มขึ้นด้วย

26 ทหาร สนช.ใหม่ ไม่ใช่ตอบแทนกัน

26 ทหาร สนช.ใหม่ ไม่ใช่ตอบแทนกัน
บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร แจงการ ตั้ง26ทหาร เป็นสนช.ใหม่จากจำนวน33คน ว่า ไม่ใช่เป็นการตอบแทนกัน แต่เพราะต้องมาช่วยออกกม.เยอะ โดยจะไปเพิ่มในส่วนของกรรมาธิการ ที่ต้องออกกม.อีกหลายเรื่อง และเลือกคนที่อยู่ในกทม.-ปริมณฑล จะได้มาประชุมได้ ไม่งั้น ก็จะบอกว่า ติดราชการบ้าง ไกล มาประชุมไม่ได้.
ที่สำคัญ เป็นคนที่เรารู้จัก ไม่งั้น ไม่รู้ใครเป็นใคร ในสนช.ตีกันมัวไปหมด แล้วก็เป็นคนมีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ ทั้งนั้น. ผมเองก็เคยเป็น สนช. มาก่อน เคยทำงานด้านออกกม.นี่ล่ะ เช่น กม.กอ.รมน. ผมก็เป็นประธาน

"อิจฉาบ้า อะไร ผม 72 แล้ว"

"อิจฉาบ้า อะไร ผม 72 แล้ว"
บิ๊กป้อม อารมณ์ดี ...ปัดตอบ ทำไมยังโสด ไม่แต่งงาน ....เรื่องของฉัน มีคนรู้ใจ รึยัง? ก็เรื่องของฉันอีก บอกไม่ต้องอิจฉา ผมอายุ72 แล้ว วอนเขียนเริ่องจริง และเอาเรื่องการทำงานดีกว่า อย่าเอาเรื่องส่วนตัว มาเขียน ไม่ใช่เรื่องจริง เผยสั่งตร.เอาผิด พวกโพสต์เรื่องไม่จริง เปรย ผมไม่เคยพูดโกหก เวลานักข่าวถาม พูดเรื่องจริง ทั้งนั้น
หลัง เผย โสด ไม่ห่วงโดนโจมตี เรื่องส่วนตัว เรื่องผู้หญิง "ดีที่ผม ไม่ไปยุ่งกับผู้ชาย" ก็ผมโสดน่ะ จะยุ่งกับใครก็ได้

รับมือข่าวคาร์บอมบ์ป่วน 3 จุด กทม. 25 - 30 ต.ค. นี้

'พล.ต.อ.ศรีวราห์' ถกความมั่นคง รับมือข่าวคาร์บอมบ์ป่วน 3 จุด กทม. 25 - 30 ต.ค. นี้ กำชับหาข่าวเชิงลึก ป้องกันการก่อเหตุ
พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เรียกประชุมชุดสืบสวนสอบสวนในพื้นตำรวจนครบาล/ ตำรวจภูธรภาค 1, 2 และ 7 ตำรวจสันติบาล/ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และตำรวจสอบสวนกลาง หลังการข่าวแจ้งเตือนว่าจะมีกลุ่มคนร้ายก่อเหตุคาร์บอมบ์ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ช่วงระหว่างวันที่ 25 - 30 ต.ค. นี้ จำนวน 3 จุด โดยมีเป้าหมายบริเวณห้างสรรพสินค้า ลานจอดรถ และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีวิทยุสั่งการกำชับให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง กำหนดมาตรการป้องกันเหตุการก่อการร้ายและการก่อวินาศกรรมโดยให้สำรวจพื้นที่เป้าหมายหรือจุดเสี่ยง/ จัดทำแผนเผชิญเหตุทั้งก่อนเกิดเหตุ/ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ/ เน้นสืบสวนหาข่าวเชิงลึกด้านความมั่นคง เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลเป้าหมาย โดยบูรณาการด้านการข่าวกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน/ เพิ่มความเข้มในการตั้งจุดตรวจจุดสกัด จุดตรวจความมั่นคง ยานพาหนะในพื้นที่เป้าหมาย ตลอดจนเส้นทางในจังหวัดปริมณฑล และเส้นทางจากภาคใต้

พร้อมประชาสัมพันธ์ให้เจ้าของ หรือผู้รับผิดชอบห้างสรรพสินค้า แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เพิ่มความเข้มในการเฝ้าระวัง ตรวจสอบรถยนต์ รถจักรยานที่ผ่านเข้าออก จอดทิ้งค้างคืนในห้างหรือลานจอดรถ ตรวจสอบความพร้อมของกล้องวงจรปิดให้พร้อมใช้งาน และให้สำรวจข้อมูลรถยนต์ รถจักรยานยนต์ที่ถูกโจรกรรม หรือถูกประทุษร้ายย้อนหลังในปี 2558-2559 ในพื้นที่ ภ.7 และ ศชต. เพื่อเป็นข้อมูลให้ตำรวจในแต่ละพื้นที่เฝ้าระวัง

"บิ๊กป้อม" สั่งตำรวจ ปอท.เอาผิด คนโพสต์เรื่องไม่จริงในโซเชี่ยลฯ รวมทั่งเรื่องส่วนตัว



"บิ๊กป้อม" สั่งตำรวจ ปอท.เอาผิด คนโพสต์เรื่องไม่จริงในโซเชี่ยลฯ รวมทั่งเรื่องส่วนตัว. จะฟ้องให้หมด..เรียกเสียงฮา....ชี้ ผมเป็นโสด จะยุ่งกับใครก็ได้ ดีที่ไม่ไปยุ่งกับผู้ชาย ปัดตอบ ทำไมยังโสด ไม่แต่งงาน .เรื่องของฉัน มีคนรู้ใจ รึยัง? ก็เรื่องของฉันอีก เปรย ผมอายุ72 แล้ว วอนเขียนเริ่องจริง เปรย ผมไม่เคยพูดโกหก เวลานักข่าวถาม พูดเรื่องจริง ทั้งนั้น/มองสวนทางผลโพลล์ ยันคะแนนนิยมนายกฯบิ๊กตู่ ไม่ลดลง จะมีแต่เรื่องเศรษฐกิจ แต่เรื่องอื่น ไม่ลด ชี้นายกฯทำงานหนัก ไม่รู้เอากำลังมาจากไหน เผยการโจมตีคนรอบข้างนายกฯ นั้น เป็นเพราะคนนอก พยายามจะทำให้เรื่องที่ไม่เป็นประเด็น ให้เป็นประเด็น ทั้งนั้น ทั่งๆที่ไม่ใช่เรื่องจริง
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม กล่าวถึง ผลสำรวจความเห็นประชาชนที่ระบุวาาคะแนนนิยมพลเอกประยุทธ์ นายกฯลดลงนั้นว่า ไม่ลดหรอก มีแต่เรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น
"ผมว่าไม่ลด เพราะนายกฯท่านทุ่มเท ทำงานหนัก ไม่รู้เอากำลังมาจากไหน " พล เอกประวิตร กล่าว
เมื่อถามว่า เป็นเพราะ มีเรื่องคนรอบข้างถูกโจมตี หรือไม่ คะแนนเลยลดลงพลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่ใช่เพราะคนรอบข้างนายกฯ แต่เป็น เพราะคนนอกจะทำที่พยายามจะทำให้เรื่องที่ไม่เป็นประเด็น ให้เป็นประเด็น
และมองว่า ไม่มีการเตะตัดขาอะไร นายกฯทั้งนั้น อีกปีกว่าก็จะเดินกันไปแล้ว จะตัดยังไงคงไม่ได้
"คิดเอาเองทั้งนั้น คนทำโซเชียลมีเดีย ทำคนเดียวสามารถทำได้ อยากจะพิมพ์อะไรก็พิมพ์ เพราะไม่ต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าจับได้เมื่อไหร่ ผมจะฟ้องหมด ในขณะนี้ตำรวจ เข้าไปดำเนินการ ในทุกเรื่องที่เป็นประเด็น ตนให้ตำรวจดำเนินการหมด พวกที่บิดเบือน "
แล้วเรื่องเหล่านั้น ก็ไม่ใช่เรื่องจริง โดยเฉพาะเรื่องที่โพสต์กันในโซเชี่ยลฯ สังคมออนไลน์ ทั้งนี้ได้สั่งการให้ตำรวจ ปอท.ตรวจสอบและ ดำเนินการ เอาผิด คนที่นำข้อมูลที่ไม่จริง บิดเบือนไปลงในโซเชี่ยลฯ ในสังคมออนไลน์. ทุกเรื่องรวมทั้งเรื่องส่วนตัว
เมื่อผู้สื่อข่าวถูกถามว่า ตอนนี้ดูเหมือนท่านกำลังถูกโจมตี เรื่องส่วนตัว พลเอกประวิตร ถามว่า เรื่องอะไร เรื่องส่วนตัว
เมื่อผู้สื่อข่าว อ้ำอึ้ง พูดไม่ออกว่าเรื่องอะไร พลเอกประวิตร กล่าวว่า เรื่องผู้หญิงเหรอ
"ดีนะที่ผม ไม่ไปยุ่งกับผู้ชาย ก็ผมเป็นโสดน่ะ มันแปลกรึเปล่า วะ ผมจะยุ่งกับใครก็ได้ แต่ถ้าผมไปยุ่งกับ ผู้ชายล่ะสิ ฉิบ...... ไม่เห็นแปลกเลย ผมว่า ไม่ใช่หรอก แต่จะหาเรื่องโจมตี" พลเอกประวิตร กล่าว อย่างอารมณ์ ดี
เมื่อสื่อหยอกว่า ทำไมไม่แต่งงาน พลเอกประวิตร กล่าวว่า มันเป็นเรื่องของผม
เมื่อถามว่า มีคนรู้ใจรึยัง พลเอกประวิตร ก็บอกว่า เรื่องของฉันอีก พรัอมบอก อย่าถามเริ่องส่วนตัว เอาเรื่องผลงาน รัฐบาลดีกว่า
เมื่อสื่อหยอกว่า มีคนอิจฉา ท่านนั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า อิจฉาบ้า อะไร ผมอายุ72 แล้ว
"เนี่ยผู้สื่อข่าว เนี่ย ช่วยกันบ้างดิ เขียนเรื่องดีๆ บ้าง เอาเรื่องการทำงานดีกว่า อย่าเอาเรื่องส่วนตัว มาเขียน ไม่ใช่เรื่องจริง ตอนนี้คนเค้า เบื่อมีแต่ข่าวไม่จริง เสนอเรื่องจริง ไม่มีใครเค้าว่าหรอก แต่มีแต่เริ่องไม่จริง ขอสื่อช่วยกันบ้าง เสนอแต่เรื่องจริง เอาอย่างผม พูดแต่เริ่องจริง นักข่าวถาม ผมไม่เคยโกหกเลย ที่ผมตอบเรื่องจริงทั้งนั้น มีเรื่องไหนไม่จริงบ้าง

ผ่าสถานการณ์รอบข้างผู้นำ “สอบตก” จริยธรรม


ผ่าสถานการณ์รอบข้างผู้นำ “สอบตก” จริยธรรม : “ประยุทธ์” สะดุดศรัทธา จุดเสี่ยงขาลง
ที่มา: ไทยรัฐ น.3

ทั่วทุกภาคของประเทศไทยยังชุ่มฉ่ำไปด้วยสายฝน
โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ต้องเจอภาวะน้ำท่วมขังถนน รถติดวินาศสันตะโร ถึงขั้นต้องสั่งอาหารฟาสต์ฟู้ดบริการส่งให้กินถึงที่รถติดแบบไม่ขยับ ใช้เวลาเดินทางกลับบ้านหลายชั่วโมง
คนเมืองกรุงบ่นกันโขมงโฉงเฉง

ในสถานการณ์ที่เดือดร้อนหนักไม่น้อยไปกว่ากัน สำหรับชาวบ้านในเขตพื้นที่ลุ่มภาคกลางที่ต้องรับน้ำจากการระบายของเขื่อนหลากเข้าท่วมบ้านเรือน เรือกสวน นา ไร่ข้าว ผลไม้ พืชผลทางการ

เกษตรเสียหายไปตามๆกัน

บรรยากาศเร้าเหตุฉุกเฉินจากน้ำท่วม ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.ต้องนำคณะขึ้นเฮลิคอปเตอร์ลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์อุทกภัย พร้อมทั้งมอบสิ่งของ

อุปโภคบริโภคให้ประชาชนผู้ประสบภัยในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดชัยนาท

รีบไปให้ชาวบ้านร้านตลาดได้เห็นหน้า ไม่มัวแต่นั่งดูอยู่บนหอคอยงาช้าง

แสดงถึงความตั้งอกตั้งใจของผู้นำรัฐบาลในการวิ่งเข้าชนปัญหา

เรื่องของเรื่อง โดยภาพมันก็ช่วยฉุดอารมณ์ กระตุกกระแสสังคมที่กำลังเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ความคาดหวังและความไว้วางใจที่มีให้ นายกฯลุงตู่และทีมงาน

ตามฉากอีกด้านหนึ่งที่ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม และนายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้

อำนวยการใหญ่ บมจ.การบินไทย

ร่วมกันตั้งโต๊ะแถลงข่าวใหญ่ที่ทำเนียบรัฐบาล

ชี้แจงการเช่าเหมาลำเครื่องบินของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนที่ฮาวาย สหรัฐอเมริกา

ที่กลายเป็นปมร้อน ย้อนเข้าพันคอรัฐบาล คสช.

อย่างที่ พล.ท.สรรเสริญ ออกตัวแบบตรงๆเลยว่า รัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องความโปร่งใส ปราบปรามทุจริตและประพฤติมิชอบ แต่เมื่อมีการเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดจากความเป็นจริง

เกรงว่าประชาชนจะรู้สึกผิดหวังที่ตั้งความหวังกับรัฐบาลชุดนี้

ตามท้องเรื่องที่ไล่เรียงมาจากประเด็นที่ถูกแฉประจานตัวเลขค่าใช้จ่ายจำนวนเกือบ 21 ล้านบาท ไปกันแค่ 40 กว่าคน โดยเฉพาะในส่วนของค่าอาหาร 600,000 บาท มีความเหมาะสมมากน้อยแค่ไหน

กินอะไรถึงได้แพงระยับขนาดนั้น

และก็ต่อเนื่องกัน ช็อตต่อมาก็เป็นประเด็นรายชื่อผู้ร่วมคณะเดินทางที่ถูกปล่อยออกมาในโซเชียลมีเดีย มีทั้งบิ๊กทหาร ตำรวจ ข้าราชการ นักธุรกิจ สื่อมวลชน ฯลฯ

ซึ่งก็มีบางคนถูกตั้งแง่สงสัยในเรื่องของความเกี่ยวข้องกับภารกิจ

ถึงแม้จะมีการปฏิเสธ โดยการยืนยันจากการบินไทยว่า ตัวเลข 20.9 ล้านดังกล่าวยังเป็นแค่ราคากลาง แต่ตอนคิดราคาจริงจะต่ำลงไปกว่านี้

ที่สำคัญเป็นลักษณะของการโยกเงินหลวงจากกระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวา

ขณะที่รายชื่อของผู้โดยสารบางคนที่ตกเป็นเป้าวิพากษ์ วิจารณ์ไม่ได้เดินทางไปด้วยแต่อย่างใด

พร้อมทั้งมีการแจ้งความกับเพจดังในโซเชียลฯฐานนำข้อมูลเท็จ บัญชีชื่อผู้โดยสารปลอมออกมานำเสนอทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะการบินไทยเกิดความเสียหาย

เบรกกระแสกันด้วยมาตรการทางกฎหมาย

แต่ก็อย่างที่เห็นกระแสไหลลามจากประเด็นทริปฮาวาย เป้าโฟกัสไปที่ผู้โดยสารคนสำคัญที่เป็นพิธีกรสาวคนดัง มีการสาวลึกไปถึงการตั้งบริษัทรับงานจากหน่วยราชการ

โดยการใช้ความใกล้ชิดกับผู้ใหญ่ในรัฐบาลโกยงบประมาณหลวงไปหลายสิบล้านบาท

ตามรูปการณ์เข้าเงื่อน ผลประโยชน์ทับซ้อน

กระแสร้อนแรงจน พล.อ.ประยุทธ์ ร้อนใจสั่งให้รีบเคลียร์กับสังคม

นั่นก็เพราะมันโยงกับความขลังในการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ไล่ฟันไล่เชือดพวกขี้ฉ้อ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตมากมายหลายกรณี

ไล่บี้คนอื่นได้ ก็จำเป็นต้องทำภาพตัวเองให้โปร่งใส

แต่เรื่องของเรื่อง ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก

ในสถานการณ์เคลียร์เผือกร้อนกันแทบไม่ทัน ก่อนหน้าที่พี่ใหญ่อย่าง พล.อ.ประวิตรจะเจอมรสุมปมเหมาเครื่องบิน ก็เป็นคิวของน้องชายคือ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ก็

ยังกรุ่นๆกับปมผลประโยชน์ทับซ้อนของภรรยาและลูกชาย

พฤติการณ์ล่อแหลมกับงบประมาณหลวง

พี่ๆน้องๆล้วนแต่เกี่ยวข้องในระดับบุคคลใกล้ชิด

ทั้งนี้ทั้งนั้นจะผิดหรือถูกยังตัดสินไปเลยไม่ได้ ต้องว่ากันไปตามกฎระเบียบและกฎหมาย

แบบที่นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ระบุถึงเรื่องทริปฮาวายในชั้นต้น ดูจากวัตถุประสงค์และจำนวนคนที่ไปก็มีความเหมาะสม เนื่องจากเป็นบุคลากรทางความมั่น

คงของไทย อีกทั้งมีบุคลากรทางฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐฯร่วมเดินทางไปด้วย

ถือว่าช่วยประคองแง่มุมในเชิงกฎหมายได้ระดับหนึ่ง

แต่ในเชิงของกระแสก็อย่างที่สัมผัสได้ โดยพฤติการณ์ที่ขัดความรู้สึกสังคม ในมุมของความเหมาะสม

มันนำมาซึ่งปมคนรอบข้างผู้นำ สอบตกจริยธรรม

จับอารมณ์ของสังคมก็อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ยังอดร้อนใจไม่ได้

และถึงแม้จะไม่ได้เป็นการกระทำที่เกิดจากตัวผู้นำเองหรือลูกเมีย แต่โดยสถานะกัปตันทีม รัฏฐาธิปัตย์ที่ขันอาสาใช้อำนาจพิเศษแทนประชาชน

พล.อ.ประยุทธ์ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้

เป็นอะไรที่ ชิ่งหนีไม่ออก

ตามอาการแบบที่เห็นผู้นำออกอาการหงุดหงิด ฟาดหัวฟาดหาง ตาขวางใส่สื่อมวลชนและพวกที่สงสัย

ท้าทายเลยว่า ถ้าอยากตรวจสอบก็ให้ไปฟ้องร้องเอา

โดยอารมณ์ที่เดาไม่ออกว่า พล.อ.ประยุทธ์โกรธฝ่ายที่จ้องไล่บี้ตรวจสอบ หรือโมโหคนใกล้ชิดตัวเองกันแน่ ที่เปิดช่อง เปิดคาง ให้โดนทิ่มเอง

จากพฤติกรรมที่ทำให้ชาวบ้านเห็นตำตา

ซึ่งมันทำให้ต้นทุนหน้าตักส่วนตัวหนาๆของ นายกฯลุงตู่ ที่สะสมมาตลอด 2 ปีกว่า และทำท่าจะต่อเวลาคุมเกมรัฐบาลช่วงเปลี่ยนผ่านออกไปได้สบาย

โอกาสเปิดให้ลากยาวอำนาจพิเศษออกไปอีก 5 ปี ถึง 8 ปี

แต่กระแสพลิกทันที จากจังหวะสะดุดศรัทธา จากคนรอบตัวสอบตกจริยธรรม ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนจากขาขึ้น กำลังติดปิดลอยลมบน

กลายเป็นเสี่ยงกับภาวะขาลงวูบวาบเลย

แน่นอนว่าส่วนหนึ่งต้องยอมรับในกระแสการตรวจสอบของสังคมที่พัฒนามาอยู่ในระดับรุนแรง

และนั่นก็มาจาก พล.อ.ประยุทธ์ที่เป็นคนถือธงนำกระแสการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชัน ผ่านวาทกรรมและรณรงค์อย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็น ส่องไฟไล่โกงหรือกรรมสนองโกง

ขึ้นเวทีชูมือกากบาทต่อต้านคนโกง

ท่ามกลางอารมณ์ร่วมของคนไทยส่วนใหญ่ถูกปลุกให้อยู่ในอาการหวาดระแวงคนถืออำนาจ มีพฤติกรรมแอบแฝงแสวงหาผลประโยชน์

ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ประเทศชาติตกอยู่ในวิกฤติจนเกือบรัฐล่มสลาย

และทุกอย่างก็ตกไปอยู่บนบ่าของ พล.อ.ประยุทธ์ที่แบกความคาดหวังของประชาชน

ความไว้เนื้อเชื่อใจของคนไทยส่วนใหญ่ ถึงขนาดมอบ “เช็คเปล่า” ให้ “นายกฯลุงตู่ใช้อำนาจพิเศษแทนเพื่อให้นำพาประเทศไทยไปสู่เป้าหมายปลายทางการปฏิรูปใหญ่

ยอมอยู่ภายใต้การปกครองโดยอำนาจนอกระบบของรัฐบาลทหาร

กล้ำกลืนให้ต่างชาติเย้ยหยันเมืองไทยถอยหลังกลับไปอยู่ในโลกประชาธิปไตยเสี้ยวใบ

ทั้งหมดทั้งปวงก็หวังให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์เดิมๆ ทุจริต คอร์รัปชันอำนาจและผลประโยชน์ ฉุดบ้านเมืองไม่เจริญมาหลายสิบปี จนโลกพัฒนาการไปไหนต่อไหน

ความหวังอันสดใสสวยงามฝากไว้ที่ นายกฯลุงตู่ คนเดียว

แต่แล้วกองเชียร์ก็ต้องเสียววาบ เกิดอาการช็อกกับพฤติกรรมตำตา คนรอบข้างผู้นำที่สอบตกจริยธรรม

เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนวนกลับมาหลอน

แถมยังต่างจากยุครัฐบาลเลือกตั้งที่พอโดนสังคมเอะอะโวยวายก็จะหลบกันวูบวาบ กลัวการตรวจสอบแบบลนลาน

แต่นี่กลับเจอกับอาการปิดประตูใส่หน้าประชาชน ผู้นำท้าอยากตรวจสอบให้ไปไล่ฟ้องเอา

ขอดูเอกสารก็อ้างความมั่นคง เปิดเผยไม่ได้

สตง.ก็ออกตัวช่วยเคลียร์ ป.ป.ช.ก็ปัดสอบ องค์กรตรวจสอบพากันหลบเผือกร้อน

ออกลูกดุ ลูกขู่ กลบเกลื่อน โยกโย้ไปโยกโย้มา สุดท้ายมันก็คืออาการ ลูบหน้าปะจมูก

ฟันกันไม่ลงเพราะล้วนเป็นญาติ พี่ น้อง และเพื่อน

มาตรฐานการตรวจสอบพวกเดียวกันอ่อนยวบยาบเมื่อเทียบกับการไล่บี้ไล่เชือดฝั่งตรงข้าม

แล้วถามว่ามันจะแตกต่างกันอย่างไรกับการที่ไปก่นด่า ทำเป็นตั้งแง่รังเกียจนักการเมืองที่ทำให้ประเทศชาติเสียหายย่อยยับจากพฤติกรรมทุจริตคอร์รัปชัน ผลประโยชน์ทับซ้อน

บริหารล้มเหลวจนทหารต้องยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง

แต่ผ่านมา 2 ปี สถานการณ์ยิ่งนานวันเข้า มันก็ยิ่งฟ้องพฤติกรรมเสมือนปากว่าตาขยิบ

ชักจะแยกไม่ออกระหว่างรัฐบาลทหารกับรัฐบาลนัก การเมือง

มันแตกต่างกันตรงไหน.

ทีมการเมือง

ป.ป.ช.เปิดบัญชี “ทรัพย์สิน-หนี้สิน” อดีตรัฐมนตรี



ป.ป.ช.เปิดบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของอดีตรัฐมนตรี รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์
(10 ต.ค.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยสำนักตรวจสอบทรัพย์สินภาคการเมือง เปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินพร้อมเอกสารประกอบของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กรณีพ้นจากตำแหน่ง จำนวน 1 ราย 1 ตำแหน่ง กรณีพ้นจากตำแหน่ง ครบ 1 ปี จำนวน 19 ราย 20 ตำแหน่ง และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กรณีพ้นจากตำแหน่ง ครบ 1 ปี จำนวน 2 ราย
สำหรับผู้ที่ทรัพย์สินมากที่สุด กรณีพ้นจากตำแหน่งครบ 1 ปี คือ หม่อมราชวงศ์ปรีดียาธร เทวกุล เมื่อครั้งพ้นจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และคู่สมรส มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 1,330,852,215 บาท รองลงมาคือ นายปีติพงค์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา และคู่สมรส เมื่อครั้งพ้นจากตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 1,072,496,793 บาท
ส่วนผู้ที่มีทรัพย์สินน้อยที่สุด คือ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย เมื่อครั้งพ้นจากตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 12,633,385 บาท รองลงมาคือ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ และคู่สมรส เมื่อครั้งพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 26,282,773 บาท
ขณะที่ในส่วนของ สนช. เมื่อครั้งพ้นจากตำแหน่ง พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล และคู่สมรสมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 105,936,748 บาท และ พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ และคู่สมรส มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 49,425,945 บาท