PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2561

สั่งล้าง มาเฟีย-มือปืน รับจ้าง

สั่งล้าง มาเฟีย-มือปืน รับจ้าง
"บิ๊กป้อม"ลงใต้ สั่งล้าง มาเฟีย-มือปืน รับจ้าง ผู้มีอิทธิพล ยาเสพติด ค้ามนุษย์ ล้างกลุ่มมือปืนรับจ้าง ค้าอาวุธสงคราม ย้ำต้องติดดินรับฟังและเร่งช่วยแก้ปัญหาความเดือดร้อนชาวบ้านให้เป็นผล เตือน ต้องไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องผู้มีอิทธิพล สิ่งผิดกฎหมายเด็ดขาด

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกฯและ รมว.กลาโหม บิ๊กช้าง พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ตรวจราชการและมอบนโยบายการปฏิบัติงานกับส่วนราชการต่างๆ ในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน ที่ ศาลากลางจังหวัดชุมพร
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า ซึ่งภาพรวมพื้นที่ของภาคใต้ตอนบน มีเขตแดนติดประเทศเพื่อนบ้าน มีความเสี่ยงและล่อแหลมต่อความมั่นคง ทั้งปัญหายาเสพติดและผู้มีอิทธิพล การลักลอบค้าอาวุธสงครามและสิ่งผิดกฎหมาย การหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ปัญหาการค้ามนุษย์ รวมทั้งการทำประมงผิดกฎหมายและการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ
พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวขอบคุณและเป็นกำลังใจให้ข้าราชการทุกหน่วยงาน ถึงความพยายามร่วมกันขับเคลื่อนปฏิรูปและวางรากฐานประเทศตามนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมา
โดยกำชับ ขอให้ฝ่ายปกครอง ทหารและตำรวจในทุกจังหวัด ยึดมั่นเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมทั้งต้องลงพื้นที่รับฟังประชาชนและร่วมกันขับเคลื่อนแก้ปัญหาหลักด้านความมั่นคง ควบคู่กับการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ ให้ปรากฏผลเชิงประจักษ์ เป็นที่เชื่อมั่นจากประชาชนมากขึ้น ในความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
ขณะเดียวกันต้องไม่โดดเดี่ยวประชาชนที่มีรายได้น้อย โดยให้สนับสนุนพัฒนาทักษะอาชีพให้เกษตรกรในพื้นที่ให้เข้มแข็งอย่างพอเพียงให้ได้
พลเอกประวิตร . ย้ำเป็นนโยบายว่า ภาคใต้ตอนบน ถือเป็นเส้นทางผ่านยาเสพติดที่สำคัญ ขอให้คงความต่อเนื่องปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด การค้ามนุษย์ กลุ่มมือปืนรับจ้างและค้าอาวุธสงคราม ที่เป็นเหตุความรุนแรงในพื้นที่ กลุ่มอิทธิพลที่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และยังคงปรากฏการเคลื่อนไหวเอารัดเอาเปรียบประชาชน เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้สิทธิและมีเสรีภาพอันชอบธรรม สามารถประกอบสัมมาชีพได้อย่างเสมอภาคและปลอดภัย ทั้งนี้ ต้องไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปแสวงประโยชน์และเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด

สำหรับ ปัญหาภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ขอให้ทุกส่วนราชการ ปรับแผนบรรเทาสาธารณภัยให้รองรับกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยให้สามารถตอบสนองและรับมือกับภัยพิบัติอย่างเป็นระบบและทันต่อเหตุการณ์ เพื่อบรรเทาความเสียหายในพื้นที่ พร้อมทั้ง ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ตามนโยบายของรัฐบาลให้เป็นรูปธรรม โดยร่วมสร้างความเข้าใจและรับฟังปัญหาจากชาวประมง เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาประมงที่มุ่งความยั่งยืนไปด้วยกัน

“กอ.รมน.”เตรียมจัดแถลงผลงาน การรวมพลัง สร้างความรัก คนามสามัคคี ของคนในชาติ”28 สค.นี้

“กอ.รมน.”เตรียมจัดแถลงผลงาน การรวมพลัง สร้างความรัก คนามสามัคคี ของคนในชาติ”28 สค.นี้ “บิ๊กช้าง” เปิดงาน
พลโทพิบูลย์ มณีโชติ เป็น ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 1 (ศปป.#1) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และ ผอ.ศูนย์ปรองดองฯ กล่าวว่า กอ.รมน. ได้แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยนำโครงการต่างๆลงพื้นที่ รวมทั้ง แก้ไขปัญหาความขัดแย้งในสังคม งานการเมือง. ด้วยการให้ความรู้ความเข้าใจ ในเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีโครงการต่างๆลงไปในพื้นที่ เพื่อให้ตระหนักรู้ถึงประวัติศาสตร์โดยรวม และเพื่อให้คนไทยทุกรุ่นเข้าใจ รู้รักสามัคคี
พลโท ไพบูลย์ กล่าวว่า ตลอด 4 ปี ที่ผ่านมา ศูนย์ปรองดอง ทำงานมาต่อเนื่อง มีการปรับตามสภาพปัญหา และพบว่า ความขัดแย้งลดลง เราจึงอาศัยสถานการณ์นี้ เข้าไปทำความเข้าใจกับประชาชน โดยไม่ได้เพ่งเล็ง แค่ภาคเหนือ หรือ อิสาน แต่เราทำทั้งประเทศ
ซึ่งทุกโครงการทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชน เช่น โครงการ เศรษฐกิจพอเพียง ที่ลงพื้นที่ไปกว่า 700 ตำบล ก็ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง
ทั้งนี้ ในวันที่ 28 สิงหาคมนี้ พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม จะเป็นประธานเปิดงาน ที่ ห้องประชุมวายุภักษ์ ชั้น 4 โรงแรมเซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ
จะมีการจัดแสดงผลงานของ 6 กระทรวง 14 หน่วยงาน ที่ได้ร่วมกันทำแผนงานและบูรณาการเพื่อสร้างความปรองดองและสมานฉันท์จากกลุ่มเป้าหมายต่างๆ เพื่อแสดงออกถึงความรักความสามัคคีของคนในชาติ และเพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีความรักชาติ ภูมิใจในความเป็นไทย และภูมิใจในความเป็นชาติไทย และเพื่อให้คนไทยได้ผนึกกำลัง รักษาปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราทุกคน
รวมทั้ง เป็นการแสดงออกถึงความร่วมมือตามแนวทางประชารัฐของรัฐบาล

ของดีต้องนาน

ของดีต้องนาน



เป็นเรื่องน่าดีใจจริงๆยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่เลขท้าย 2 ตัว
เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หน.คสช. ผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ม.44 อยู่ในมือ กระโดดลงมากำกับดูแลแก้ไขวิกฤติรถติดใน กทม.ด้วยตัวเอง
หลังจากปล่อยให้พี่ใหญ่ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม รับหน้าเสื่อแก้ปัญหาจราจร ผลการทำงานไม่เข้าตาประชาชน
แทนที่รถติดน้อยลง กลับติดหนักขึ้นทุกวัน
“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่า เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ทะลุ่มทะลุยแก้วิกฤติจราจร กทม.ด้วยตัวเอง
ตั้งเป้าจะให้เห็นผลเป็นรูปธรรมไม่เกิน 3 เดือน!
พล.อ.ประยุทธ์จะต้องไล่บี้ไล่จี้ให้หน่วยงานต่างๆ เร่งแก้ปัญหารถติดอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูในช่วง 3 เดือนจากนี้ไป
แม้เวลาสั้นๆแค่ 3 เดือน ไม่สามารถแก้ปัญหาจราจรได้ผลทันตา
หากทำให้รถติดน้อยลงได้ 5 เปอร์เซ็นต์ก็ยังดี
ดีกว่าปล่อยให้รองนายกฯบิ๊กป้อมปล้ำฟัดแก้ปัญหารถติดแบบเช้าชามเย็นชาม
อนึ่ง เพื่อแสดงให้เห็นความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤติจราจรอย่างถึงลูก ถึงคน “พล.อ.ประยุทธ์” ได้สาธยาย รากเหง้าปัญหารถติดใน กทม.ผ่านรายการทีวี เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา
สรุปย่อๆว่า กรุงเทพฯมีจำนวนรถสะสมกว่า 6.6 ล้านคัน และมีรถยนต์ใหม่ป้ายแดงออกมาเพิ่มอีกวันละ 700 คัน
กรุงเทพฯมีพื้นที่ถนนเพียง 4,300 กม. แต่เป็นถนนสายหลักเพียง 1 ใน 4 ส่วนที่เหลืออีก 3 ใน 4 เป็นตรอกซอกซอย
ถ้าคิดพื้นที่ กทม. 1,500 ตร.กม. กรุงเทพฯมีพื้นที่ถนนให้รถวิ่งได้เพียง 6.8 เปอร์เซ็นต์ ต่างจากมหานครใหญ่ทั่วโลกที่มีพื้นถนน 21 เปอร์เซ็นต์ ถึง 36 เปอร์เซ็นต์
“พล.อ.ประยุทธ์” ย้ำว่า การแก้ปัญหาจราจรกรุงเทพฯต้องใช้เวลา จึงต้องทำแผนแก้ปัญหาเป็น 3 ระยะดังนี้ คือ
แผนระยะสั้น 3 เดือน ถึง 1 ปี เร่งจัดกระแสจราจรให้เคลื่อนตัวได้เร็วขึ้น จัดระบบไฟจราจร จุดกลับ จุดตัด และเข้มงวดกวดขันวินัยจราจรอย่างจริงจัง
แผนระยะกลาง 1 ปี ถึง 3 ปี เร่งลงทุนระบบขนส่งสาธารณะให้ครบถ้วนสมบูรณ์ กำหนดโซนนิ่งให้รถผ่านได้บางพื้นที่เพื่อลดปริมาณจราจร
แผนระยะยาว 3 ปี ถึง 15 ปี จะมีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนเข้าถึงทุกพื้นที่หนาแน่นใน กทม. จะมีมาตรการจูงใจให้ประชาชนเลิกใช้รถส่วนตัว เปลี่ยนไปใช้ระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวก รวดเร็ว ประหยัด ปลอดภัย
“แม่ลูกจันทร์” สรุปว่า พล.อ.ประยุทธ์ขอเวลาอีกไม่นานในการแก้ไขวิกฤติจราจร กทม.
ขอเวลาอีก 15 ปี รอให้โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนทั้ง 10 สายเสร็จสมบูรณ์
ขอเวลาอีก 15 ปี ระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯจะเพิ่มขึ้นอีก 465 กม.
ขอเวลาอีก 15 ปี การเดินทางในกรุงเทพฯ ทั้งชั้นนอกชั้นในจะเชื่อมโยงถึงกันทั้งระบบครบวงจร จะมีอาคารจอดแล้วจร กระจายออกไปทั่วทุกซอกทุกมุม
เพื่อให้คนกรุงเทพฯ ขับรถส่วนตัวไปจอดไว้ แล้วใช้ระบบขนส่งมวลชน ทั้งรถไฟฟ้า 10 สาย รถเมล์ ขสมก. รถตู้โดยสาร เรือด่วนเจ้าพระยา เรือด่วนวิ่งในคลอง และวินมอเตอร์ไซค์ซอย
เมื่อพี่น้องชาว กทม.เลิกใช้รถส่วนตัว การจราจรก็จะสะดวกโยธิน
นายกฯลุงตู่ ขอเวลาอีก 15 ปี แก้ปัญหารถติดครบวงจร
โอ้โห...ให้รออีกตั้ง 15 ปี รอกันเหงือกแห้งน่ะซีโยม.
"แม่ลูกจันทร์"

"บิ๊กป้อม" การันตีโรดแม็ปไร้ปัจจัยเสี่ยง : แก้ปากท้องบ้านเมืองสงบ

"บิ๊กป้อม" การันตีโรดแม็ปไร้ปัจจัยเสี่ยง : แก้ปากท้องบ้านเมืองสงบ



ทันทีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดแรกตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเริ่มทำงาน แต่จะต้องตามลุ้นคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะปล่อยให้เดินตามโรดแม็ปหรือไม่
ท่ามกลางสถานการณ์ที่นักการเมืองหลายคนเริ่มตั้งคำถามถึงการเลือกตั้งมีโอกาสสูงจะไม่เป็นไปตามโรดแม็ป เพราะมีปัจจัยเสี่ยงอาจจะเกิดขึ้นระหว่างทางได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะในด้านความมั่นคง
นับวันคำถามดังกล่าวเริ่มเสียงดังมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมีพฤติการณ์ของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) บางส่วน ตั้งแท่นรื้อแก้ไข พ.ร.บ.กกต. เพื่อเปิดช่องให้โละผู้ตรวจการเลือกตั้ง ซึ่งเกิดจาก กกต.ชุดเก่าและให้ กกต.ชุดใหม่ทำคลอดแทน แม้ สนช.จะปลดชนวนไปแล้ว แต่บรรดานักการเมืองยังไม่ไว้วางใจ
นั้นเป็นข้อสังเกตของผู้ต้องการลงสนามเลือกตั้ง หากแกะรอยคำพูดจากใจของพี่ใหญ่แห่ง คสช. “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กำกับดูแลฝ่ายความมั่นคง
ตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศจนถึงปัจจุบัน คงพอเห็นเค้าลางเปิดประตูให้มีการเลือกตั้งช่วงเดือน ก.พ.2562 เริ่มจากให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวการเมือง ช่วงต้นปี 2558 ก็เน้นย้ำถึงบทบาทของกองทัพเข้ามาหยุดความขัดแย้ง
เพราะการเมืองไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ รัฐธรรมนูญติดล็อก การชุมนุมเริ่มมีการเสียชีวิต ใช้อาวุธสงคราม และต่อไปจะเป็นกองโจร
เมื่อ คสช.ซึ่งไม่ได้เป็นคู่กรณีหรือคู่ขัดแย้งกับใครเข้ามา ยืนยันตลอดชีวิตไม่เคยขัดแย้งกับใคร โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับบ้านเมือง พอตั้งรัฐบาลเสร็จก็วางรากฐานด้านการปกครอง ทุกอย่างเดินตามรัฐธรรมนูญ
คสช.ไม่เคยผิดคำพูด เดินตามโรดแม็ป
ไม่เคยคิดจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือเป็นรองนายกฯเข้ามาทำวันนี้เพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้า ดูแลประชาชนให้มีที่อยู่ที่กิน และปกป้องสถาบันหลักของชาติ
ในวันนั้นเมื่อถามถึงท่าทีของ คสช.จะถอนตัวทั้งหมดหลังจบภารกิจเลือกตั้ง พล.อ.ประวิตร บอกชัดเจนว่า ถอนหรือไม่ถอนไม่รู้ แล้วจะถอนแบบไหน แต่ถามว่าอยากให้มาทำงานการเมือง ลงสมัครรับเลือกตั้งไม่เอา
แต่ก็ขึ้นกับสถานการณ์ความจำเป็นของประเทศ อาจจะต้องใช้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.
กลางปี 2558 ก็บอกตอกย้ำให้เห็นว่า “ไม่เล่นการเมืองต่อเด็ดขาด”
ตั้งแต่ คสช.เข้ามายึดหลักความเป็นธรรม ถ้าเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเราก็อยู่ไม่ได้
ขอให้เข้าใจว่า คสช.และรัฐบาลไม่มีใครอยากเข้ามา พอเข้ามาแล้วก็ต้องทำงานให้ดีที่สุด แต่ถ้าผลงานยังไม่เข้าตาประชาชน หัวหน้า คสช.ก็ต้องตัดสินใจแก้ไขต่อไป
ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว คสช.และรัฐบาลยืนยันจะนำไปสู่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
ตอนนั้นในปี 2559 โรดแม็ปยังปักธงเอาไว้ในปี 2560 คนใน คสช.หลายคนยืนยันการเลือกตั้งเกิดขึ้นในปี 2560 แน่นอน รวมถึง พล.อ.ประวิตร ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ในที่สุดโรดแม็ปขยับเลื่อนออกไปเป็นต้นปี 2561
คสช.เร่งผลักดัน “ยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูป การสร้างปรองดอง” ในปี 2560 ผ่านคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) มีนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็นประธาน
แตกกิ่งก้านคณะกรรมการให้ระดับรองนายกรัฐมนตรีกำกับดูแล ประกอบด้วยคณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์
คณะกรรมการเตรียมการสร้างความสามัคคีปรองดอง พล.อ.ประวิตร เป็นผู้รับผิดชอบ
คณะกรรมการทุกชุดมีภารกิจสำคัญแตกต่างกันไปและจะเชื่อมโยงถักทอยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูปประเทศ การสร้างความปรองดองเข้าด้วยกัน
ทุกสายตาจ้องมองมาที่คณะกรรมการเตรียมการสร้างความปรองดอง เพราะเป็นชุดที่จะวางรูปแบบการสร้างความปรองดองให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติในอนาคต
ขอย้ำจะไม่มองย้อนอดีตที่เกี่ยวกับคดีความ เพราะมันจะเดินไปไม่ได้ เชื่อประชาชนทุกคนเห็นประโยชน์กับกระบวนการเริ่มต้นปรองดอง ทุกคนต้องการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เห็นประเทศชาติเดินไปข้างหน้า
ทุกอย่างที่ทำไปต้องการให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์สูงสุด ประเทศเดินหน้าได้ตามทิศทางยุทธศาสตร์ชาติที่รัฐบาลกำลังผลักดันให้เกิดการคิดและทำร่วมกันอยู่
ทุกครั้งที่พูดถึงการเลือกตั้งตามโรดแม็ป พล.อ.ประวิตร บอกย้ำอยู่เสมอว่า “เมื่ออยากให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ก็ต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย”
พอขยับเข้าปี 2561 การปูทางสู่การเลือกตั้งตามโรดแม็ปเริ่มแจ่มชัดมากขึ้น โดยเฉพาะมีการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเตรียมสานต่อภารกิจการปฏิรูปประเทศ แต่สายการเมืองวิพากษ์ว่าต้องการต่อท่ออำนาจ คสช.
เร่งอัดฉีดงบประมาณจำนวนมหาศาลผ่านโครงการประชารัฐให้เข้าถึงฐานราก แก้ปัญหาปากท้อง เป็นเดิมพันสุดท้ายเพื่อกู้คะแนนนิยมของ คสช.
ที่ผ่านมายังทุ่มสรรพกำลังผ่านนโยบายแก้ปัญหาคืนความเป็นธรรมให้ลูกหนี้ที่ได้รับความเดือดร้อน โดยมี พล.อ.ประวิตร เป็นแม่ทัพฝ่ายค้านมั่นคง จับมือทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ขับเคลื่อนแก้หนี้นอกระบบ บังคับใช้กฎหมาย เจรจาไกล่เกลี่ย เพื่อคืนความเป็นธรรมให้ลูกหนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านตาดำๆ
ภาพรวมหนี้นอกระบบมีลูกหนี้รวมทั้งประเทศ 894,855 ราย เจ้าหนี้ 17,663 ราย มูลหนี้สินรวมกว่า 52,000 ล้านบาท ล่าสุด พล.อ.ประวิตร ลงไปมอบนโยบายและติดตามความคืบหน้าการขับเคลื่อนแก้ปัญหาหนี้นอกระบบในพื้นที่ภาคอีสาน จ.อุดรธานี
ภาพรวมพบประชาชนในพื้นที่ภาคอีสาน มีสถานะเป็นลูกหนี้นอกระบบ 5.6 แสนคน ส่วนใหญ่เป็นประชาชนและเกษตรกรที่มีรายได้น้อย ต้องกู้เงินผ่านนายทุนนอกระบบทำสัญญาเอารัดเอาเปรียบจนเกิดภาระทางกฎหมาย สูญเสียทรัพย์สิน โดยเฉพาะที่ดินทำกิน บ้านพักอาศัย หรือเครื่องมือทำการเกษตร
และยังเกิดภาระทางการเงินต้องชำระหนี้เกินกำลัง เผชิญกับการติดตามทวงหนี้ในรูปแบบต่างๆ ทั้งข่มขู่ ใช้ความรุนแรงหรือทำให้อับอาย ส่งผลต่อสภาวะจิตใจและคุณภาพชีวิตของคนในครอบครัว
จากรายงานความคืบหน้าแก้ปัญหาหนี้นอกระบบทั้งประเทศ ปัจจุบันสามารถร่วมเจรจาไกล่เกลี่ย ทำข้อตกลงประนอมและปรับโครงสร้างหนี้ รวม 209,538 ราย
มาตรการทางกฎหมายถูกนำมาใช้กับเจ้าหนี้นอกระบบ ผ่านศูนย์ปฏิบัติการป้องกันปราบปรามการฉ้อโกงทรัพย์สินของประชาชน ดำเนินการนำกลับซึ่งทรัพย์สินของประชาชน จากสัญญาที่ไม่เป็นธรรม เป็นโฉนดที่ดินกว่า 7,000 ไร่ และรถยนต์จำนวนมาก มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท
พล.อ.ประวิตร ถึงกับเน้นย้ำเป็นนโยบายของรัฐบาล กำลังเร่งแก้ไขปัญหาฐานราก ถือเป็นวาระสำคัญในยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม
ต้องการขับเคลื่อนแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมทางสังคม เพื่อแก้ปัญหาความยากจนให้ทุกคนสามารถลุกขึ้นยืนและเดินหน้าไปด้วยกัน พร้อมกำชับ “อย่าโดดเดี่ยวประชาชน”
โฉนดที่ผู้มีอิทธิพลยึดไป ไม่เคยมีใครเอาคืนให้ชาวบ้านได้เลย แต่รัฐบาลนี้เอาคืนให้ ชาวบ้านที่รับคืนไปก็ร้องไห้พร้อมโผเข้ากอด เพราะไม่คาดคิดจะได้โฉนดคืนหลังผ่อนส่งจนดอกเบี้ยทบต้นแล้ว
ผมต้องการแก้หนี้นอกระบบให้สำเร็จ เพื่อช่วยเหลือประชาชน
การกวาดล้างยาเสพติดและผู้มีอิทธิพล การสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน แก้ปัญหาเหลื่อมล้ำ สิ่งเหล่านี้เดินหน้าทำหมด การสร้างความปรองดอง ขณะนี้ยังมีความคิดที่แตกต่างกันบ้าง เป็นธรรมดาในระบอบประชาธิปไตย ก็ต้องพยายามทำให้เกิดความปรองดองให้เกิดขึ้น
4 ปีที่ดูแลด้านความมั่นคง รับรองไม่มีตีกัน เพราะให้หน่วยสืบข่าวสืบหมด
พอกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งมีผลบังคับใช้ ก็ถึงคิวพิจารณาปลดล็อกการเมือง
การเลือกตั้งต้นปี 2562 มีแน่นอน ไม่มีปัญหาอะไร ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เป็นไปตามที่นายกฯพูด
ทั้งหมดที่รัฐบาลทำเพื่อให้คนไทยอยู่อย่างสันติและสงบ
จะได้ช่วยกันพัฒนาประเทศ บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าได้รวดเร็ว.
ทีมการเมือง

ก้าวข้ามทักษิณ สร้างภูมิโปร่งใส

ก้าวข้ามทักษิณ สร้างภูมิโปร่งใส



“ประยุทธ์” มั่นใจเปิด “ไต๋” เปลี่ยนผ่านอำนาจ
กระแสฤดูมรสุมปกคลุมประเทศไทย
ในสถานการณ์ที่กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งเตือนประชาชนภาคเหนือ อีสาน เตรียมรับมือฝนตกหนักจากอิทธิพลพายุโซนร้อน “เบบินคา” ที่เคลื่อนตัวเข้าประเทศเวียดนาม
ตามสภาพการณ์ที่หลายจังหวัดต้องเผชิญภาวะน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม
ภัยธรรมชาติยุคภูมิอากาศโลกเปลี่ยน หนักหน่วงรุนแรงขึ้นทุกขณะ
และก็ถือว่าตั้งรับสถานการณ์ได้ดี รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่แสดงให้เห็นศักยภาพในการบริหารจัดการภัยพิบัติฉุกเฉิน
แบบที่เห็นมีระบบเตือนภัยล่วงหน้า ระบายน้ำในเขื่อนก่อนเกิดพายุฝน การประกาศแนะนำให้ชาวบ้านใต้เขื่อนขนของขึ้นที่สูง หรือถ้าเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม น้ำป่า ดินโคลนถล่ม กองทัพ หน่วยราชการพลเรือน ประชาชนจิตอาสา ก็พร้อมเข้าพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยทันที
สะท้อนประสิทธิภาพเชิงบวกยุครัฐบาลอำนาจพิเศษ
ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์เดินหน้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ปลายทางโรดแม็ปที่กระชั้นเข้ามาทุกขณะ
ล่าสุดมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 1.นายอิทธิพร บุญประคอง เป็นประธาน กกต. 2.นายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ เป็น กกต. 3.นายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย เป็น กกต. 4.นายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี เป็น กกต. 5.นายปกรณ์ มหรรณพ เป็น กกต.
กกต.ชุดใหม่ เริ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ
ในจังหวะใส่เกียร์ถอยทันทีทันควัน นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)หนึ่งในผู้ร่วมลงชื่อขอแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง แถลงยืนยันชัด
ภายหลังโปรดเกล้าฯ กกต.ชุดใหม่ เรื่องการเสนอแก้ไขกฎหมายลูก กกต.ก็น่าจะจบแล้ว
เป็นอันว่า ปัจจัยแทรกเลือกตั้งก็ถูกปลดชนวนไป
และเป็นอะไรที่ต่อเนื่องกันตามเงื่อนไขสถานการณ์ ตามคิวที่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบคำถามสื่อมวลชน
เป็นเชิงตัดบท ทนการรบเร้าของนักข่าวไม่ไหว
แบไต๋เดือนกันยายนจะหงายไพ่ บอกอนาคตการเมือง
เบื้องต้น “ลุงตู่” บอกใบ้แค่จะไม่ลงสมัคร ส.ส. แต่จะอยู่อย่างไรให้ดูตามรัฐธรรมนูญ
แกะรอยตามสูตรนี้ มันก็ตรงกันกับกระแสที่ออกมาก่อนหน้า พล.อ.ประยุทธ์จะรับตำแหน่งประธานที่ปรึกษาพรรค นั่งแท่นกุนซือป้อมค่ายการเมืองใหม่ถอดด้าม
พร้อมใส่ชื่อเป็น 1 ใน 3 บัญชีนายกพรรค
และในจังหวะใกล้เคียงกันกับที่นายชวน ชูจันทร์ ผู้ยื่นจดทะเบียนจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐ เตรียมนัดประชุมพรรคเพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคช่วงปลายสิงหาคมหรือต้นเดือนกันยายน
ห้วงเวลาคาบเกี่ยว มันจะโยงกันหรือไม่
ที่แน่ๆหลายฝ่ายแทงหวยแล้ว คำตอบคือ “นายกฯลุงตู่” ตีตั๋วไปต่อแน่
และเมื่อสถานการณ์มาถึงจุดที่ประกาศตัวอย่างเป็นทางการ
นั่นหมายถึงมั่นใจแล้ว “ไม่เสียของ”
ทีมอำนาจ “ประยุทธ์” ต้องชัวร์แล้วว่าเอายี่ห้อ “ทักษิณ ชินวัตร” อยู่
ถึงแม้จะอยู่ในห้วงสถานการณ์แบบที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ผูกปีแพ้มา ยังยอมรับสภาพตรงๆเลยว่า วันนี้พรรคเพื่อไทยฐานเสียงยังแน่น
“นายใหญ่” ยังประกาศลูกทีมจะชนะแบบหิมะถล่ม
“นายกฯลุงตู่” พร้อมวัดดวง สวนกระแสนักการเมืองอาชีพ
เรื่องของเรื่อง ในอารมณ์ “ทักษิณ” พูดปลุกใจลูกพรรค “อภิสิทธิ์” ก็ปล่อยข้อมูลลอยๆ
อย่างเก่งก็ทำได้แค่มโนอยู่ข้างสนาม
แต่ในจังหวะที่ “นายกฯลุงตู่” คือผู้เล่นในสนาม ที่เล่นไปแก้เกมไป วางหมาก อุดช่องโหว่ เสริมจุดแข็ง
เดินยุทธศาสตร์จนมั่นใจแล้วจึงประกาศหงายไพ่
ตามฉากที่ “นายกฯลุงตู่” นำคณะชุดใหญ่เดินสายจัดประชุม ครม.สัญจรแทบจะสัปดาห์เว้นสัปดาห์ กระจายทั่วทุกภูมิภาค ประกาศชัดยิ่งใกล้เลือกตั้งยิ่งต้องจัดโปรแกรมลงพื้นที่ถี่ยิบ
ได้อกได้ใจอารมณ์ลูกทุ่งแบบ ไทยๆ นายกฯเอาของไปเสิร์ฟถึงหัวบันไดบ้าน
อีกด้านก็เป็นมือหนึ่งการตลาดอย่างนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจรัฐบาล ที่กดปุ่มปล่อยสารพัดมาตรการอัดฉีดเศรษฐกิจฐานราก
อุ้มปากท้องเกษตรกรยากจนคนมีรายได้น้อย
ไล่ตั้งแต่พักหนี้เกษตรกร 3 ปี อัปราคาข้าวไม่ต่ำกว่าโครงการรับจำนำ บัตรสวัสดิการประชารัฐรักษาฟรี คืนแวตผู้มีรายได้น้อย เพิ่มเบี้ยยังชีพคนชรา บ้านราคาถูกขายคนจนยูนิตละไม่เกิน 1 ล้าน ฯลฯ
ในสถานการณ์เศรษฐกิจภาพรวมที่ฉุดกระชากลากถูจากศูนย์เพราะวิกฤติความแตกแยกทางการเมืองกลับมาติดลมบน พื้นฐานแข็งแกร่งไม่แกว่งตามเศรษฐกิจโลก
ยืนยันได้ด้วยตัวเลขมาตรฐานจากการสำรวจทั้งองค์กรต่างประเทศและในประเทศ ประกอบกับเนื้องานที่จับต้องได้ เมกะโปรเจกต์ที่ตอกเสาเข็มคืบไปกว่าครึ่งโครงการ ไม่ว่าจะเป็นระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก(อีอีซี) รถไฟไทย–จีน รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รถไฟฟ้าสารพัดสีในกรุงเทพฯและปริมณฑล ฯลฯ
ผลงานแน่นกว่ารัฐบาลเลือกตั้ง ผิดฟอร์มรัฐบาลทหาร
แถมออปชันพิเศษ แบบที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม นำทีมฝ่ายความมั่นคงไปแจกโฉนดที่ดินทำกินและทรัพย์สินคืนให้ชาวบ้านในจังหวัดอุดรธานี จากมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบในพื้นที่ภาคอีสาน
คสช.ไล่ทุบนายทุนเงินกู้หน้าเลือดที่ผูกขาดอิทธิพลทางการเมือง
ตามท้องเรื่อง ทีมงาน “ลุงตู่” ยิงตรงซื้อใจผู้มีรายได้น้อย ฐานคะแนนใหญ่ของประเทศ
น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน หัวใจอ่อนๆของคนจนไม่แกว่งให้รู้ไป
ยังมีอีเวนต์เก็บแต้มรายวัน สถานการณ์แบบที่ “นายกฯลุงตู่” ขึ้นรถไฟฟ้า ลงเรือตรวจระบบขนส่งมวลชนในเมืองกรุง แก้ปัญหารถติดจากการก่อสร้างรถไฟฟ้า
โชว์ลูกขยันต่อเนื่อง สะท้อนความตั้งใจจริงในการแก้ปัญหาตลอด 4 ปีของรัฐบาล คสช.
มันจึงไม่ใช่เรื่องที่จะใช้ปืนจี้หรือกำลังสั่งได้ กับปรากฏการณ์คะแนนนิยม “นายกฯลุงตู่” นำโด่งเป็นที่หนึ่งแทบทุกโพล คนอยากให้เป็นนายกฯหลังเลือกตั้ง
ในจังหวะสถานการณ์เทียบกับโจทย์สำคัญอีกฝั่ง
สังเกตได้ว่า เกมโลกล้อมประเทศไทย มุกเก่ง “ทักษิณ” ชักไม่เข้าเป้าเหมือนเก่า
ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ ผู้นำทหารของไทย ไปเยือนมาแล้วทั้งทำเนียบขาว วอชิงตัน ดี.ซี. จับเข่าผู้นำสหรัฐฯ และบ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิง ลอนดอน บ้านพักนายกฯอังกฤษ รวมถึงทำเนียบประธานาธิบดีฝรั่งเศส กรุงปารีส
ทูตชาติตะวันตกเข้าพบ “บิ๊กตู่” แบบรายวัน เงื่อนไขต่างประเทศเจือจาง
อีกทางเงื่อนไขภายในประเทศก็เจอวิกฤติ “ท่อน้ำเลี้ยงอุดตัน”
ทั้งโดนฝ่ายคุมเกมอำนาจตามไล่บี้ไล่บล็อก แบบที่คำสั่งมาตรา 44 เด้ง พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ วีริยาสรร พ้นเก้าอี้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แบบกะทันหัน
เบื้องหลังว่ากันว่า หย่อนยานไล่อุดเส้นทางเงินเครือข่าย “นายใหญ่”
ไหนจะติดอาการกั๊กหัวจ่าย แบบที่ “เจ๊แดง” นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ออกมาบอกปัดกระแสข่าวดันลูกชายเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยุคนอมินีรุ่นสาม
ตามเหลี่ยมไม่ยอมเปิดยุ้งข้าว ปล่อยเสบียงเลี้ยงนกแลนกเอี้ยง
นั่นย่อมส่งผลต่ออิทธิฤทธิ์ของเพื่อไทย ฐานเสียงในสนามเลือกตั้งพลังถดถอย ตามสภาพคู่แข่งสำคัญอย่าง “ทักษิณ” ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป ก้าวข้ามไปได้
“นายกฯลุงตู่” ถึงได้มั่นใจได้เวลาแบไต๋ยุทธศาสตร์ตีตั๋วต่อ
ซึ่งโจทย์ใหญ่จริงๆของ “นายกฯ ลุงตู่” มันอยู่ที่ไปต่ออย่างราบรื่นแค่ไหนต่างหาก
จากรูปการณ์จุดที่จะสะดุดขาตัวเองมันก็มีอยู่ที่ปัญหาเดียว “ปมด้อย” ที่ยังสลัดไม่หลุด
“เพื่อนพ้องน้องพี่” ยังโดนล็อกเป้าโฟกัส
สถานการณ์แบบที่ “พี่ใหญ่” อย่าง พล.อ.ประวิตร ไม่มีชื่อเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) ชุดใหม่ ก็ถูกตีความเพราะปัญหานาฬิกาหรู
“เพื่อนรัก” อย่าง พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ ก็ถูกตั้งแง่ระแวงความโปร่งใสในโปรเจกต์ที่รับเป็นโต้โผใหญ่จัดซื้อเรือประมงออกนอกระบบ แก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย
แต่อาการหนักสุดก็คือ “พี่รอง” อย่าง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่กำลังโดนโรงไฟฟ้าขยะถล่มทับ เหนื่อยกับการเคลียร์กระแสลูกชายเข้าไปเอี่ยวโครงการฉาว
โยงต่อเนื่องมาจากการเด้งนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร จากผู้ว่าฯเชียงรายไปลดชั้นเป็นผู้ว่าฯพะเยา
เป้าตำบลกระสุนตก หนีไม่พ้นโดนไล่บี้ตามถล่ม
นักการเมืองทั้งเพื่อไทยและประชาธิปัตย์รู้อารมณ์จุดอ่อนของ “ลุงตู่” ที่ประกาศไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์หลังเลือกตั้ง ไร้มาตรา 44 เป็นเกราะกำบังกาย
ภูมิคุ้มกันโปร่งใสเท่านั้นที่จะช่วยให้ “ลุงตู่” อยู่รอดปลอดภัย.
“ทีมการเมือง”

เข้าทาง “ลุงตู่” หมดแล้ว

เข้าทาง “ลุงตู่” หมดแล้ว



ในที่สุดก็ต้องถอนคันเร่ง
คิวที่ 36 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นำโดย นายมหรรณพ เดชวิทักษ์ สมาชิก สนช. ยกธงขาวถอนร่างแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง
หลังถูกกระแสต่อต้านหนักจากผู้ใหญ่ใน สนช.และกระแสสังคม ไม่แฮปปี้ปมรื้อ 616 ผู้ตรวจการเลือกตั้ง
ตามแนวโน้มที่ประเมินแล้วไปต่อลำบาก ในภาวะที่กำลังถูกปั่นกระแสให้เป็นการยื้อโรดแม็ปเลือกตั้งออกไปจากเดือน ก.พ.ปี 2562
และกำลังลามเข้าเนื้อ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ถูกหางเลขรู้เห็นเป็นใจถ่วงเวลาเลือกตั้ง ในฐานะต้นขั้วแม่น้ำร่วมสาย
จำเป็นต้องดับไฟแต่ต้นลม เบรกอภินิหารทางกฎหมายให้หายคาใจโรดแม็ปคืนอำนาจประชาชน
ในห้วงที่กลิ่นอายเลือกตั้งโชยชัดเจนยิ่งขึ้น หลังได้ 5 เสือ กกต.ชุดใหม่เข้าประจำการ นั่งทำหน้าที่อย่างเป็นทางการ รอเข้าสู่โหมดหย่อนบัตรลงคะแนน
สอดรับการเร่งตีปี๊บผลงานของ “ลุงตู่” ที่มาถึงคิวสำรวจความทุกข์คนเมืองกรุง ขึ้นรถไฟฟ้า-ลงเรือ และตรวจตราสภาพการจราจร กทม.
หาวิธีเชื่อมโยงระบบขนส่ง “ล้อ–ราง–เรือ” ขีดเส้น 3 เดือน คลี่คลายวิกฤติจราจร แก้ปัญหารถติดใน กทม.ที่ขึ้นชื่อสาหัสที่สุดในโลก
ตลอดจนการจัดระเบียบรถนำขบวนของ ครม. และ คสช. ปรับรูปขบวนใหม่ ให้ใช้เท่าที่จำเป็น ไม่ให้เว่อร์เกินไป จนถูกหมั่นไส้
และเตรียมกวาดแต้มไปต่อ รอลงพื้นที่ ครม.สัญจร จ.ชุมพร-ระนอง สัปดาห์หน้า มัดจำชาวบ้านทุกภาค
โดยได้ตัวช่วยอย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม โหมแก้ปัญหาหนี้นอกระบบทั่วประเทศกว่า 9 แสนราย
ไล่ทุบแก๊งเงินกู้นอกระบบ ทวงคืนโฉนดที่ดินให้ชาวบ้านที่ถูกนายทุนยึดโดยไม่เป็นธรรม
เช่นเดียวกับ “พี่รอง” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่กำลังขับเคลื่อนโปรเจกต์ไทยนิยมยั่งยืน โค้งสุดท้ายใส่เกียร์เดินหน้าโครงการแก้จนและพัฒนาคุณภาพชีวิต 81,151 ชุมชน
ตามความต้องการคนในพื้นที่
สามพี่น้องแท็กทีมปั่นแต้ม หันมาเน้นผลงานที่จับต้องเป็นรูปธรรมชัดเจน อาทิ แก้ปัญหารถติด หนี้นอกระบบ และความยากจน
ขยายฐานสู่ระดับรากหญ้า ต่อจากเศรษฐกิจระดับบนที่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ปั่นเมกะโปรเจกต์ วางระบบโครงสร้างพื้นฐาน รองรับการเติบโตของประเทศระยะยาว
วางรากฐานรอ “ลุงตู่” แต่งตัวลงสนามในเดือน ก.ย.นี้ จะเลือกเส้นทางกลับเข้าสู่อำนาจด้วยวิธีใด
ดึงจังหวะ อาศัยความได้เปรียบจากการควบคุมอำนาจรัฐ ตุนกระแส–กระสุนเต็มหน้าตัก
ประคองตัวรอลงสนามในห้วงที่เหมาะสม ไม่เสี่ยงเปิดตัวเร็ว ให้บอบช้ำก่อนเวลา
อย่างที่เห็น “ลุงตู่” โชว์แอ็กชันลงพื้นที่ทำแต้มฝ่ายเดียว ผิดกับคู่แข่งสำคัญ “เพื่อไทย–ประชาธิปัตย์” ที่ขยับตัวลำบาก เพราะยังไม่มีการคลายล็อกการเมือง
ท็อปบูตคอนโทรลแรงเสียดทานจากทุกค่ายการเมืองได้อยู่หมัด
แม้แต่ค่ายกองหนุนชั้นดีอย่าง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” แกนนำพรรครวมพลังประชาชาติไทย ยังหัวคะมำ
ถูก ป.ป.ช.เงื้อลงดาบคดีก่อสร้างโรงพักทดแทน 396 แห่ง และแฟลตตำรวจ 163 แห่ง รอไปชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาในสัปดาห์หน้า
ต้องลุ้นระทึกจะเอาตัวรอดได้หรือไม่
ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่ “ลุงกำนัน” ต้องหวั่นไหว ตั้งธงโดนแอบเจาะยางทางการเมือง
อดระแวงไม่ได้ที่คดีถูกดองอยู่ใน ป.ป.ช.7 ปี จู่ๆถูกทลายต้นทุน เล่นงานในช่วงกำลังก่อร่างสร้างตัว ตั้งพรรคน้องใหม่
เจอเตะตัดขาหงายท้องในช่วงทาบทามคนดีเด่นดังมาร่วมทีม และระดมหาสมาชิกพรรคให้ได้ตามเป้า
มองในมุมไหนกระทบภาพลักษณ์ คะแนนนิยม ที่เคยป่าวประกาศจะเข้ามาปฏิรูปการเมือง เน้นความสุจริต ไม่โกงกิน เป็นจุดขาย
ไปๆมาๆกลับมามีตำหนิ เสียราคาตั้งแต่ก่อนลงสนาม จะเคลื่อนไหวต่อรองอะไรก็ไม่ค่อยมีน้ำหนัก
ขึ้นชื่อเรื่องลูกเขี้ยวอย่าง “เทพเทือก” เจอเหลี่ยมนี้เข้าไปก็ไปต่อไม่ถูกเหมือนกัน
แต่ละค่ายมีแผล ไม่สมบูรณ์เต็มร้อย รูปเกมไหลเข้าทาง “ลุงตู่” เต็ม.
ทีมข่าวการเมือง