PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2560

"ธ สถิตในดวงใจ" นิจนิรันดร์

วันนี้.....
๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๐
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ของปีที่แล้ว
บริเวณรอบโรงพยาบาลศิริราช มีบรรยากาศแบบไหน-อย่างไร?
ก็ใครไหนเล่าจะลืมลง!
จากกาลนั้น มีคลิปข่าวหนึ่งที่เห็นว่า "เหมาะสมกับกาลเวลา" เพื่อย้อนความทรงจำ
คือคลิปข่าว Mr.Will Ripley ผู้สื่อข่าว CNN สัมภาษณ์สุภาพสตรีไทยท่านหนึ่ง ซึ่งอยู่ร่วมบรรยากาศเย็นนั้น ที่โรงพยาบาลศิริราช
เธอให้สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ และบอกถึงความรู้สึกคนไทยที่มีต่อในหลวงยามนั้น ทั้งน้ำตา
CNN ถ่ายทอดไปทั่วโลก
ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล ดูคลิปข่าวนี้ต่อมา เห็นคุณค่ายิ่งนัก จึงได้ทำลงยูทูบ
เป็นคลิปข่าวที่ถูกเปิดดูมากที่สุดในประเทศในฉับพลัน หญิงสาวคนหนึ่งชื่อ "เดียร์" พลันอันเป็นที่รักของคนไทยทั้งประเทศในพริบตา
ถึงวันนี้ รู้กันแล้วว่า สุภาพสตรีท่านนั้น คุณเดียร์ คือ "ภัคชุดา โอวาทวรพร"
เธอจบไบโอเทคโนโลยี จากเอแบค ไปต่อโทที่รัฐไอโอวา สหรัฐฯ อยู่ ๕ ปี ปัจจุบันทำงานองค์กรเอ็นจีโอของอังกฤษในไทย
พักตรงนั้นไว้ก่อน ผมอยากให้ท่านได้ซึมซับอีกแง่มุมหนึ่ง เรียกว่าเบื้องหลังของการให้สัมภาษณ์ CNN ก็ย่อมได้
คุณไตรภพ เชิญมาสัมภาษณ์ออกรายการ "ธ สถิตในดวงใจ" ทางช่อง ๓ เมื่อ ๒ พ.ย.๕๙
พร้อมคุณอ้อย "นาฏยา ประคองทรัพย์" เพื่อนที่ไปเฝ้าอยู่บริเวณลานโรงพยาบาลศิริราชด้วยกัน เมื่อ ๑๓ ตุลา.
เป็นบทสัมภาษณ์ที่ใครจะไม่ค้นนำมาย้อนดูอีกไม่ได้เลย ขออนุญาตนำเนื้อหาจากคำสัมภาษณ์บางช่วงเผยแพร่
(ไตรภพ)-ภาพบรรยากาศที่คุณเห็น ณ ตรงนั้น นาทีนั้น เป็นอย่างไร?
(เดียร์)-เงียบค่ะ มันเงียบมาก เป็นสิ่งแรกทำให้เราเข้าใจว่าเงียบงันเป็นอย่างไร มันไม่มีแม้แต่เสียงร้องไห้ คืออาจจะมีเสียงกระซิก แต่ว่าเสียงร้องไห้โฮ คือทันทีที่เห็นบรรยากาศนั้น ก็รู้แล้วละว่า...พ่อไม่ได้อยู่กับเราแล้ว
-ทำไมคุณถึงผูกพันกับพระองค์ท่านขนาดนี้?
-เดียร์เนี่ย...เป็นครอบครัวคนจีน อากงมาจากเมืองจีน แล้วคือทุกวันนี้คนในบ้านก็สอนว่า เราต้องรักในหลวงนะ..ในหลวงให้โอกาสแก่เรา
แต่ความที่เราเป็นเด็ก แล้วเราก็ไม่ได้โตมาที่เห็นอะไร เราก็บอกไม่ได้หรอกว่ารักเพราะอะไร แต่จริงๆ แต่แรกเพราะเขาสอนให้เรารัก
แต่พอเดียร์เรียนไบโอเทคปี ๓ ปี ๔ ได้ไปดูที่วังสวนจิตรลดา คือเราก็วาดภาพว่า..คือใครๆ ก็บอกว่า สวนจิตรฯ เนี่ยเป็นบ้านธรรมดา ไม่ได้เป็นพระราชวังใหญ่โต
เราก็คิดว่าเป็นแค่บ้านธรรมดา อาจจะมีโครงการนิดหน่อย....เราไม่คิดว่าจะเข้าไปในห้องทดลองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทุกที่ที่เราไป....หนูน่ะ ไม่ได้เห็นแม้แต่บ้าน สิ่งที่ได้เห็นน่ะ ทุ่งนา โรงสีข้าว โรงรีดนมวัว แปลงเพาะเนื้อเยื่อ
เห็นทุกอย่าง แต่ไม่ได้เห็นบ้านเลยอ่ะ ต้องบอกว่าในหลวงไม่ได้อยู่ในบ้าน ในหลวงอาศัยอยู่ในห้องทดลอง
ห้องทดลองทั้งหมดไม่ได้เพื่อใครเลย...เพื่อเราหมดเลย...ไม่ได้ให้กับใครทั้งสิ้นเลย แล้วเดียร์มานั่งคิดว่า ในหลวงเป็นในหลวงนะ มีทุกอย่างขนาดนี้ จะอยู่สุขสบายก็ได้ ทำไมต้องมาอยู่ลำบากขนาดนี้ล่ะ จะสร้างวังใหญ่ขนาดไหนก็ได้
แต่เห็นครั้งนั้นแล้ว เป็นจุดเริ่มต้นให้เราต้องกลับมานั่งดูว่า ทรงทำอะไรบ้าง มีโครงการพระราชดำริอะไรบ้าง ยิ่งเห็น ก็ยิ่งรู้สึกแบบว่า....ไม่จำเป็นที่พระองค์ท่านจะต้องเหนื่อย
เพราะตอนที่เดียร์โตมา ในหลวงก็แก่แล้ว เป็นคุณปู่ คุณตาแล้ว เป็นคุณปู่ คุณตา ที่ไม่จำเป็นจะต้องเหนื่อยขนาดนั้นก็ได้ ท่านเลยวัยเกษียณแล้ว แต่คำว่าเกษียณยังมาไม่ถึงท่านเลย เพิ่งจะมาถึง
-แล้วได้ทราบข่าวด้วยคำที่ชัดเจนเลย ใครเป็นคนบอกที่พระองค์ท่านสวรรคตแล้ว?
-บอมบ์ (เพื่อนที่ทำงาน) บอมบอกว่า.....พี่เดียร์ เราไม่มีในหลวงแล้วนะ ในหลวงไม่อยู่กับเราแล้วนะ
-พอเราได้ยิน.....?
-โลกมัน...โลกมันโล่งน่ะ มันขาวไปหมดเลย มันสว่าง...มัน..มันโพลนน่ะ มันขาวโพลนไปหมดเลย เดียร์พูดอะไรไม่ได้เลย
-ตอนนั้นโลกมันขาวโพลนไปหมด?
-สำหรับเดียร์ พูดอะไรไม่ออก เหมือนในรอบๆ ตัวมันหยุดทำงาน เดียร์คิดอะไรไม่ได้แล้ว ในหัวมันวิ่งแต่...เออ...เราไม่มีพ่อแล้วนะ เรา..เรา..ไม่มีพ่อให้กราบแล้วนะ
ก็มีเสียงคนร้องถาม "แถวนี้มีใครพูดภาษาอังกฤษได้บ้างมั้ยคะ?" เดียร์ก็บอกว่าต้องการให้เดียร์ช่วยอะไรบ้าง?
เขาบอกว่าน้องให้สัมภาษณ์ CNN ได้มั้ย บอกไปเลยว่าไม่เอา..ไม่อยากพูด เพราะไม่อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะพูดอะไรเลย
-แล้วทำไมได้พูด มีใครมาบอกหรือ?
-พี่บอมบ์ พี่อ้อย บอกว่า เจ้...พูดไปเลย เรามีโอกาสบอกไปเลย บอกให้ทั้งโลกรู้ว่าเรามีพ่อที่เจ๋งที่สุดในโลก พี่อ้อยบอกว่าเดียร์พูดเถอะ มีโอกาสแล้วเราพูดเลย
คำหนึ่งที่อยากบอกให้รู้ คือคำที่เราได้ยินตั้งแต่สมัยเรียนอยู่เมืองนอก เขามักจะมองว่า คนไทยรักในหลวงเพราะในหลวงเป็นพระมหากษัตริย์ เรารักในหลวงเพราะเป็นสิ่งที่ปลูกฝังมา แล้วฝรั่งเรียกในหลวงว่า โซล ออฟ เนชั่น บ้างคนก็เรียกว่า ลิฟวิ่ง ก๊อด....เป็นเทวดาเดินดิน
เราอยากบอกให้ทุกคนรู้ว่า...ไม่
มันไม่ได้เป็นอะไรที่เป็นนามธรรมขนาดนั้น สำหรับเรา ในฐานะของเด็กคนหนึ่ง ซึ่งไม่แม้แต่ได้เคยเห็นเสี้ยวธุลีหนึ่งของในหลวงเลย เราไม่ได้มองในหลวงว่าเป็นนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ เพราะทุกสิ่งที่ในหลวงทำมันจับต้องได้
สิ่งที่ในหลวงทำทั้งหมด กลับมาย้อนดู มันไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่พ่อแม่ทำให้เรา พ่อทุกคนอยากให้ลูกได้ดี พ่อทุกคนเหนื่อยได้ทุกอย่าง ต้องเข้าใจว่า คนที่มีลูกต้องพยายามทำทุกอย่าง ตัวเองเหนื่อยไม่ว่า ลูกต้องสบาย ในหลวงทำอย่างนั้นทุกอย่างกับคน ๗๐ ล้านคน
(ไตรภพ)-นั่นคือสิ่งที่คุณอยากบอกชาวโลก?
(เดียร์)-ว่าเราไม่ได้รักพ่อ เพราะว่าเป็นอะไรแบบนั้น เรารักพ่อ....
(ไตรภพ)-เพราะ...........?
(เดียร์)-พ่อรักเรา มันเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้มันสลับซับซ้อน เรารักพ่อ...เพราะพ่อรักเรา
-ความรู้สึกตอนนั้น มันเกิดขึ้นอย่างนั้นเอง?
-มันเป็นสิ่งที่อยู่ในความรู้สึก เวลาที่ใครถามถึงในหลวง เดียร์อยากจะบอกว่า ในหลวงเป็นพ่อของแผ่นดิน ในหลวงมีลูก ๗๐ ล้านคน มี ๗๐ ล้านปากที่ท่านดูแล แล้วท่านก็อยากให้ ๗๐ ล้านนั้นสบาย
-คุณจะถ่ายทอดความรู้สึกนี้ให้คนรุ่นต่อจากคุณมั้ย?
-ถ่าย....เราจะบอกว่า เหมือนอย่างที่ใครโพสต์ไว้ แล้วเดียร์ก็ว่าจริง ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศดีที่สุดในโลก คนไทยไม่ใช่คนที่มีความสุขที่สุดในโลก เราไม่ได้มีเศรษฐกิจที่ดีมากมาย แต่เรามีในหลวงที่เจ๋งที่สุดในโลก เรามีพระเจ้าแผ่นดินที่รักเรามากที่สุดในโลก และก็มีพระเจ้าแผ่นดินที่ทำทุกอย่าง ทุ่มเททุกอย่าง ตลอด ๗๐ ปี พระองค์ไม่เคยผิดสัญญาเลย
สัญญาในวันแรกที่บอกว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม" พระองค์ไม่เคยผิดสัญญาเลย เหนื่อยแค่ไหนก็ไม่เคยผิดสัญญา แล้วเราจะไม่รักคนที่รักเราขนาดนี้ได้อย่างไร
(ไตรภพ)-เดียร์อยากสื่อสารอะไรให้ชาวโลกรู้ ผมอยากให้น้องเดียร์พูดสักนิดถ้าได้?
(เดียร์)-ได้ค่ะ........(เป็นภาษาอังกฤษ)
สำหรับบางคนที่คิดว่า เรารัก "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" เพราะว่าเราถูกล้างสมอง เพราะถูกสอนมารุ่นต่อรุ่น แต่ฉันอยากจะบอกว่า เรารักพระองค์ท่าน
ง่ายๆ เลยก็เพราะ พระองค์ท่านรักพวกเรา เราไม่ได้รักพระองค์ท่านเพียงเพราะทรงเป็นพระมหากษัตริย์ เราไม่ได้รักพระองค์ท่าน เพียงเพราะพระองค์ท่านทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ที่บางคนพูดว่าเพราะพระองค์ทรงเป็นเสมือนสมมุติเทพ
เรารักพระองค์ท่าน เพียงเพราะพระองค์ท่านทำทุกสิ่งเพื่อพวกเรา พระองค์ท่านทรงรักพสกนิกรของพระองค์มากที่สุด เสี่ยงแม้กระทั่งชีวิตของพระองค์ท่านเอง เพื่อให้เราพบกับความเจริญรุ่งเรือง
ฉันเข้าใจค่ะว่า พวกคุณบางคนอาจจะไม่เข้าใจเรื่องนี้ ฉันเข้าใจค่ะว่า ที่พวกคุณบางคนไม่ชอบพระองค์ท่าน ฉันเข้าใจพวกคุณค่ะ แม้ว่าพวกคุณบางคนจะบอกว่าเกลียดพระองค์ท่าน
แต่ฉันอยากจะบอกว่า.......
นี่เป็นความรู้สึกของพวกเราที่มีต่อพระองค์ท่าน และเราจะรู้สึกขอบคุณพวกคุณอย่างมาก หากคุณให้ความเคารพความรู้สึกนี้ของพวกเราค่ะ
แค่นี้แหละค่ะ.

365 วันสวรรคต..โศกสลดไม่จางหาย

365 วันสวรรคต..โศกสลดไม่จางหาย

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 เวลา 18 นาฬิกา 47 นาที สำนักพระราชวังได้ออกประกาศแจ้งให้ประชาชน ชาวไทยทราบว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราชบรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการสงบ เมื่อเวลา 15 นาฬิกา 52 นาที ของวันเดียวกันนี้

สิริพระชนมพรรษาปีที่ 89 ทรงครองราชสมบัติได้ 70 ปี

คํ่าวันนั้นถนนทุกสายมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาล ศิริราช เมื่อคลื่นมหาชนเดินทางมาสวดมนต์เนืองแน่น และหลายคนนำพระบรม ฉายาลักษณ์ชูขึ้นเหนือศีรษะ

ร่วมส่งเสด็จในหลวงรัชกาลที่ 9 สู่สวรรคาลัย ด้วยหยาดนํ้าตาท่วมท้นใบหน้า
ในขณะที่พสกนิกรทั่วประเทศต่างร่ำไห้ เสียใจอย่างสุดซึ้ง บรรยากาศเศร้าสงบ และความเงียบเหงาเกิดขึ้นทั่วทั้งแผ่นดินไทย

รัฐบาลประกาศให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐและสถานศึกษาทุกแห่ง ลดธงครึ่งเสาเป็นเวลา 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคมเป็นต้นไป และให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่รัฐ ไว้ทุกข์มีกำหนด 1 ปี สำหรับประชาชนทั่วไปขอให้พิจารณา ดำเนินการตามความเหมาะสม

และนี่คือส่วนหนึ่งของพาดหัวข่าวในเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากคํ่าคืนอันแสนยาวนานของ ปวงชนชาวไทยผ่านไป

ทหารเรือร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีทั้งน้ำตา / พัทยางดบันเทิงปิดร้านทั้งเมือง / เหล่า ผู้นำโลกร่วมส่งสารแสดงความเสียใจ “ในหลวง” สวรรคต / ผบ.ตร.สั่งตำรวจทุกนายไว้ทุกข์ 1 ปี-งดงานรื่นเริงทุกประเภท 30 วัน / สถานบันเทิงเมืองชัยนาท พร้อมใจปิดให้บริการ น้อมถวายบังคมในหลวงสวรรคต
ข้าราชการเชียงใหม่จัดดอกไม้สีขาวแต่งซุ้มพระบรมฉายาลักษณ์น้อมถวายบังคม / ชาวสระบุรี-เมืองกาญจน์ร่ำไห้ ฟังแถลงการณ์ในหลวงสวรรคต / นักกีฬาของพระราชาร่วมน้อมถวายบังคม “ในหลวง”
คนไทยในบอสตัน เชิญร่วมน้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย ณ จัตุรัสภูมิพล / ชาวสุราษฎร์ฯ ร่ำไห้หนัก “ในหลวงสวรรคต” / ชาวไทยในจอร์เจียร่วมจุดเทียนถวายบังคมส่ง “ในหลวง” เสด็จสู่สวรรคาลัย

จุฬาราชมนตรีแถลงชาวไทยมุสลิมโทมนัส สยามสูญเสียครั้งใหญ่ เชิญร่วมอาลัย / อัศจรรย์เกิดปรากฏการณ์ “หมอกธุมเกตุ” คล้ายเมื่อครั้ง ร.5 เสด็จสวรรคต / ฝูงนกบินรอบพระบรมมหาราชวัง พสกนิกรหลั่งไหลเตรียมถวายบังคม ฯลฯ

รุ่งเช้าวันที่ 14 ตุลาคม เจ้าหน้าที่เร่งปรับปรุงถนนรอบพระบรมมหา ราชวังรับการเคลื่อนขบวนพระบรมศพจากโรงพยาบาลศิริราช ประชาชนยังปักหลักเนืองแน่นจับจองที่นั่งเฝ้ารอการเคลื่อนขบวนพระบรมศพ...
ภาพคลื่นมหาชนสวมชุดดำเต็มพื้นที่สองข้างทางเฝ้าขบวนพระบรมศพ

เวลา 16.33 น. เริ่มเคลื่อนขบวนอัญเชิญพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จากโรงพยาบาลศิริราชสู่พระบรม มหาราชวัง ประชาชนที่รอเฝ้าต่างพนมมือยกมือไหว้ด้วยน้ำตาอาบหน้า หลายคนถึงกับหลั่งน้ำตาพรั่งพรูออกมาอย่างไม่ขาดสาย

แม้ขบวนรถพระบรมศพจะเคลื่อนไปจนละสายตา แต่ก็ยังไม่ทำให้ความเศร้าสุดสะเทือนใจคลายลง...หลายคนนำพระบรมฉายาลักษณ์มากอดไว้แนบอกแสดงถึงความอาลัยและเคารพรักอย่างสุดซึ้ง...หลายคนร้องไห้จนเป็นลมฟุบตัวลงกับพื้น

ร่ำไห้...ราวกับดวงใจจะหลุดลอยไป

เวลา 17.00 น. ขบวนรถอัญเชิญพระบรม ศพเคลื่อนมาถึงพระบรมมหาราชวัง เข้าทางประตูวิเศษไชยศรี อัญเชิญพระบรมศพขึ้นบรรทมที่พระแท่น เข้าสู่พิธีการสรงน้ำพระบรมศพ ... พนักงานประโคมมโหระทึก สังข์ แตรฝรั่ง แตรงอน ปี่กลองชนะ ปี่พาทย์ ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ทหารปืนใหญ่ยิงถวายพระเกียรติ นาทีละ 1 นัดตลอดเวลา
พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม-18 ตุลาคม ด้วยพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมและประโคมย่ำยาม ตามมาด้วยพระราชพิธีทรง บำเพ็ญพระราชกุศลสัตมวาร (7 วัน)...พิธีบำเพ็ญพระราชกุศลปัณรสมวาร (15 วัน)...พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลปัญญาสมวาร (50วัน) ...พิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร (100 วัน)

จะผ่านไปกี่วัน...กี่คืน ความโศกเศร้าไม่จางหาย

บริเวณท้องสนามหลวงตั้งแต่ช่วงเช้ามืดประชาชนจากทั่วทั้งประเทศยังคงเดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง ด้วยความอาลัยและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นวันส่งท้ายปี 2559 ก็ไม่ได้ทำให้พสกนิกรที่ต้องการแสดงความจงรักภักดีลดน้อยลง
ประชาชนยังคงเดินทางมาเข้าแถวถวายสักการะพระบรมศพอย่างเนืองแน่น...และยิ่งทวีจำนวนมากขึ้นทุกวัน

“ปีแห่งการไว้อาลัย” ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่ทำให้น้ำตาแห่งความอาลัยไหลนองแผ่นดินไทย
“พระราชาที่เป็นพ่อของทุกคนในแผ่นดิน”...พระราชาที่ไม่ใช่แค่ประมุขประเทศ หากแต่เป็นพระราชาของคนไทยในบริบทของสังคมแบบไทยๆที่มีความพิเศษเฉพาะไม่เหมือนประเทศอื่น

ดังพระราชกรณียกิจที่ปรากฏต่อทุกสายตาตลอดเวลา 70 ปีแห่งการครองราชย์ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงถือปากกา กางแผนที่ สะพายกล้องบุกป่า ฝ่าดง ขึ้นเขา ลงห้วย เสด็จ พระราชดำเนินไปในถิ่นทุรกันดาร ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคใต้ นำมาซึ่งโครงการพระราชดำริแก้ปัญหาชาวบ้านทั้งเรื่อง...ดิน...น้ำ

นับแล้วกว่า 4,500 โครงการ ทรงทุ่มเทพระวรกายเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของราษฎร ทรงเป็นราชันอย่างแท้จริง...เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของประเทศชาติและประชาชนชาวไทย
ความสูญเสียแฝงไปด้วยอารมณ์ว้าเหว่...

อีกหนึ่งเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ นักท่องเที่ยวชาวไต้หวันได้แสดงความอาลัย ถวายแด่พระบาท สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เขียนใส่กระดาษโน้ตส่งข้อความแสดงความอาลัยยื่นไว้ให้กับลูกเรือสายการบินการบินไทย เนื้อหาในกระดาษระบุว่า

“ถึงลูกเรือการบินไทย ขอแสดงความ เสียใจกับการสูญเสียครั้งใหญ่ ในการเสด็จสวรรคตของพ่อ ผู้ทรงมีพระเมตตาแผ่ไพศาล พระองค์จะสถิตอยู่ในดวงใจของพวกเราครับ ผมรักพระมหากษัตริย์ ขอพรใดๆดลบันดาลให้พระองค์ ทรงจุติเป็นเทพบนสรวงสวรรค์...”

ขณะที่ แจ็ค หม่า ประธานกลุ่มบริษัท อาลีบาบา ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของประเทศจีน ยกย่องในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นกษัตริย์ที่น่าเคารพนับถือที่สุดในโลก กล่าวแสดงความอาลัย ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่สถานกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ ระบุว่า ผมเสียใจที่ได้ทราบข่าว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นบุคคลที่น่าเคารพนับถือที่สุดในโลก พระองค์ทรงเป็นที่รักและ เคารพของพวกเราทุกคน และของผมด้วยเช่นกัน ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ผมเดินทางไปประเทศไทย มากกว่า 10 ครั้ง ทุกครั้งที่ไปประเทศไทยผมเห็นผู้คนรักและเทิดทูนพระองค์ เพราะเรารู้ว่าพระองค์ได้ทรงทำสิ่งต่างๆมากมายเพื่อประเทศไทย เพื่อเอเชีย และเพื่อโลกของเรา เพื่อสร้างสันติภาพ และทำให้ผู้คนในทุกศาสนาประพฤติและปฏิบัติดีตามความเชื่อในศาสนาของตน

“ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ผมรู้จักประเทศไทย พระองค์ทรงช่วยให้ประชาชนหลุดพ้นจากความยากจน ทรงให้เกียรติผู้อื่น ผมคิดว่าพระองค์จะทรงเป็นที่เคารพรักและเทิดทูนของปวงชนต่อไปอีกนานเท่านาน ผมเชื่อว่าความเชื่อ ความปรารถนาและความฝันของพระองค์จะถูกสานต่อโดยประชาชนของพระองค์และโดยพวกเรา เพื่อดวงวิญญาณเสด็จสู่สวรรคาลัย....ผมเสียใจที่เราได้สูญเสียพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช”

และอีกหลายๆเรื่องราวสุดซึ้ง! บังเกิดขึ้น ทั่วประเทศ “ตาชื่น” วัย 63 ปี ชายพิการหลังค่อมที่มักจะนั่งขอทานอยู่ใน อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ถือเงิน 100 บาท ที่ได้มาจากการขอทานไปซื้อเสื้อดำมาสวมใส่ ก็เพื่อแสดงความอาลัยแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 และยังปฏิเสธแม่ค้าที่จะให้ฟรี เขากล่าวกับผู้สื่อข่าวด้วยน้ำเสียงเบาๆ ว่า...“พอทราบว่าพระเจ้า อยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต ด้วยความ จงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน จึงนำเงินที่ขอทานได้ไปซื้อเสื้อดำใส่...เสียใจมากๆที่พระเจ้าแผ่นดินสวรรคต”
หากยังจำกันได้ช่วงปลายปีที่แล้ว ชาวบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมหนัก แม้ว่าจะเป็นทุกข์ทำให้เดือดร้อน แต่ก็ยังไม่ทุกข์เท่ากับการสูญเสียพ่อของแผ่นดิน นายสัมฤทธิ์ สมใจ อายุ 53 ปี ชาวตำบลชุมแสงสงคราม เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า น้ำที่ท่วมบ้านกับนาในขณะนี้ถือว่าเป็นความทุกข์ที่เกิดตามธรรมชาติจนเกิดความเคยชินแล้ว...แต่เมื่อทราบข่าวว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคต รู้สึกเสียใจมาก

“ถ้าจะเปรียบเทียบกับความทุกข์ที่ถูกน้ำท่วม มันเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย การสูญเสียในหลวงเป็นความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่กว่ามาก”

365 วันสวรรคต...โศกสลดไม่จางหาย พสกนิกรชาวไทยทุกคนก็คงรู้สึกถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปิ่มๆจะขาดใจไม่ต่างกัน
@@@@@
ศิลปิน : เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
ภาพ : พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย
ขนาด 100 x120 ซม. สีอะคริลิกบนผ้าใบ
แรงบันดาลใจ : “ผมร่างภาพมากมายหลายภาพเพื่อคัดเลือกหาภาพท่ีผมพอใจท่ีสุด ผมวาดกายทิพย์ของพระองค์ท่านมิใช่กายเนื้อ และใช้ครุฑสี่องค์แทนพรหมวิหารสี่ของพระองค์ท่าน วิมานสิบหลังด้านบนและดอกบัวทิพย์สิบดอกด้านล่างแทนทศพิธราชธรรม ลวดลายทองท่ีแทนสัญลักษณ์เลขเก้าไทยท่ีมีภาพของพระองค์ท่านอยู่ในวงกลมหมายถึงดวงจิตของพระองค์ท่านท่ีกำลังขยับลอยขึ้นสู่สวรรคาลัย”
@@@@@
คิดถึง “พ่อ” คุณคิดถึงอะไร?
คิดถึง “พ่อ” คุณคิดถึงอะไร?...คำถามที่ตั้งไว้ในเฟซบุ๊กเพจ “ศูนย์ข้อมูลข่าวสารงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช”
แม้ว่าจะเป็นโลกออนไลน์แต่เสียงสะท้อนที่เป็นคำตอบผ่านตัวหนังสือก็แสดงถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่พสกนิกรชาวไทยมีต่อพระองค์ไม่เสื่อมคลาย
...คิดถึงตอนเสด็จเยือนสุโขทัยมาแล้วถึง 7 ครั้ง
...คิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านทำไว้ให้คนไทยค่ะ
...คิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำเพื่อคนไทย... (เหมือนกันเลยค่ะ)
...ซุปเปอร์แมน
...คิดถึงภาพพระองค์ท่านทรงงานท่ามกลางประชาชน พร้อมแผนที่แผ่นใหญ่ กล้อง ดินสอ
...ความรัก
...ความเป็นห่วงลูกๆเสมอ
...คิดถึง “พ่อ” ผู้มีแต่คำว่าให้ คำว่าเสียสละ เพื่อลูกๆได้อยู่ดีกินดีในผืนแผ่นดินที่พ่อดูแลรักษาไว้ให้ลูกหลานได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข คิดถึง “พ่อ” ...พระราชกรณียกิจ เพราะตั้งแต่จำ
ความได้จะได้ยินคำว่าข่าวพระราชกรณียกิจทุกวัน...น้อมนำคำสอนของพ่อมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ทุกวัน...รักพ่อหลวง
...เห็นภาพแล้วร้องไห้

ที่มา: นพส.ไทยรัฐ13/10/60

ไม่เสื่อมคลาย

ไม่เสื่อมคลาย

วันนี้ 13 ตุลาคม 2560 ครบ 1 ปีแห่งการเสด็จสู่สวรรคาลัยของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ผู้ทรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ทุกชีวิตใต้ร่มพระบารมีได้อยู่เย็นเป็นสุขมายาวนาน

แม้กาลเวลาจะผ่านไป 1 ปี แต่ความโศกเศร้าอาดูรในหัวใจพสกนิกรไทยทั่วทั้งแผ่นดินกลับไม่บรรเทาเบาลงแม้แต่นิดเดียว

ยิ่งหวนระลึกนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ท่านทรงตรากตรำพระวรกายทรงงานหนักช่วยเหลือประชาชนอย่างไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากมาถึง 70 ปี

ยิ่งเกิดความโศกสลดตื้นตันใจเป็นทวีคูณ

ในวาระคล้ายวันเสด็จสวรรคตครบ 1 ปี “แม่ลูกจันทร์” ขอกราบเรียนเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ ร่วมกันทำบุญ รักษาศีล เจริญภาวนา เพื่อน้อมเกล้าฯถวายเป็นพระราชกุศลอย่างพร้อมเพรียง

ขอพระบารมีพระองค์ท่านทรง ปกป้องคุ้มครองแผ่นดินไทย และคนไทยให้ปราศจากภยันตรายทั้งหลายทั้งปวง

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าเพื่อน้อมเกล้าฯแสดงความอาลัยแด่พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก และผู้เป็นที่รักยิ่งของประชาชนชาวไทยตลอดกาล

ชาวไทยรัฐทุกชีวิตจึงรวมพลังแห่งความจงรักภักดี ร่วมกันผลิตหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เวอร์ชั่นพิเศษ “ส่งใจสู่ฟ้าอาลัยพ่อ” ติดต่อกัน 15 วันเต็ม

เริ่มตั้งแต่ นสพ.ไทยรัฐ ฉบับประจำวันที่ 13 ตุลาคม 2560 จนถึงฉบับประจำวันที่ 27 ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงสำคัญของพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ซึ่งชาวไทยทุกคนเทิดทูนจงรักภักดี

และเพื่อให้ นสพ.ไทยรัฐ เวอร์ชั่นพิเศษ ร่วมบันทึกเหตุการณ์สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งจะมีคุณค่าทางจิตใจของคนไทยในยุคนี้ และลูกหลานไทยยุคต่อไปอีกนับร้อยปี

โดย นสพ.ไทยรัฐ ฉบับพิเศษ ซึ่งเริ่มวางตลาดฉบับแรกตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะเสนอพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จากสุดยอดจิตรกรชื่อดังของประเทศ ไทย 14 คน
อัญเชิญขึ้นเป็นปกหน้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐทุกวัน

นับเป็นผลงานวิจิตรศิลป์ที่ล้ำค่าจากศิลปินชั้นยอด

เพื่อแสดงความอาลัยต่อในหลวงผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐของเหล่าศิลปินไทยทุกคน

“แม่ลูกจันทร์” ย้ำว่า นสพ.ไทยรัฐฉบับพิเศษทั้ง 15 ฉบับ จะเป็นหนังสือ พิมพ์รายวันฉบับแรกและฉบับเดียวที่บันทึกเหตุการณ์ทั้งตัวหนังสือปกติ และบันทึกภาพเคลื่อนไหว ภาพกราฟฟิก 3 มิติ แสงสีเสียงชัดเจน

พูดง่ายๆเอาหนังสือกระดาษกับทีวีดิจิตอลมาผสมกัน

กลายเป็นหนังสือพิมพ์อ่านได้ ฟังได้ ดูได้ พูดได้ ร้องไห้ได้ครบวงจร

นสพ.ไทยรัฐ “เวอร์ชั่นพิเศษ” ทั้ง 15 ฉบับ 15 วัน ไม่เพียงแต่บันทึกเหตุการณ์พระราชพิธีถวาย พระเพลิงพระบรมศพอย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุม

ยังบันทึกภาพประวัติศาสตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ในพระราชกรณียกิจ และเหตุการณ์ต่างๆในอดีตอีกมากมาย

เป็นหนังสือพิมพ์รายวันที่ควรแก่การเก็บสะสมไว้เป็นอย่างยิ่ง

แต่จำหน่ายราคาฉบับละ 10 บาทเท่าเดิม.
“แม่ลูกจันทร์”

เคลียร์ไม่ดีต้นทุนหาย


เคลียร์ไม่ดีต้นทุนหาย
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์

13 ตุลาคม ครบรอบ 1 ปี สวรรคตในหลวงรัชกาลที่ 9

ความโศกเศร้ายังคงอยู่ในใจของคนไทยทั้งแผ่นดินอย่างไม่เสื่อมคลาย ตามห้วงเวลาที่กำลังเดินเข้าสู่ห้วงพระราชพิธีสำคัญ หน่วยงาน ธนาคาร ห้าง ร้านค้า ต่างร่วมน้อมรำลึกประกาศปิดทำการให้พนักงานเดินทางไปร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ วันที่ 26 ตุลาคม

ขณะที่นักเลือกตั้งเปลี่ยนท่าทีลดโทนลง อยู่ในความสงบนิ่ง ไม่แสดงอาการโหวกเหวกดื้อดึงให้ คสช.ปลดล็อกพรรคการเมืองจนเกินเหตุ

ตอบรับการร้องขอของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ที่ขอความร่วมมือฝ่ายการเมืองให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย รอให้ผ่านพ้นช่วงเดือนตุลาคมนี้ไปก่อน

จึงจะพิจารณาการผ่อนคลายกฎเหล็กให้พรรคการเมืองเคลื่อนไหวทำกิจกรรมได้ ตามสัญญาณที่ผู้นำ คสช.คอนเฟิร์มชัดเจนเรื่องโรดแม็ปเลือกตั้ง

จะประกาศวันเลือกตั้งเดือนมิถุนายน 2561 และจัดกาบัตรประมาณเดือนพฤศจิกายนปีหน้า

ทิศทางการเมืองไทยกลับมามีความชัดเจน ปฏิกิริยาตลาดหุ้นดีดตัวทะลุ 1,700 จุด ขานรับสัญญาณเชิงบวก กระตุกความเชื่อมั่นนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศต่อสถานการณ์การเมืองไทยมากขึ้น

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยพลอยได้รับอานิสงส์ปรับตัวดีขึ้นจากการกำหนดโรดแม็ปคืนอำนาจให้ประชาชนที่ระบุช่วงเวลาชัดเจนที่สุด

ในเงื่อนไขไฟต์บังคับที่รัฐบาลและ คสช.หลังพิงเชือก ตามเส้นทางที่ท็อปบูตยื้อเวลาเต็มที่ได้เพียงเท่านี้ ไม่สามารถพลิ้วขอต่อวีซ่าออกไปได้มากกว่านี้

ตามสัญญาประชาคมที่ไปลั่นวาจาต่อหน้าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาค้ำคออยู่ และการเดินตามรัฐธรรมนูญ

หากยังคิดถ่วงเวลา เบี้ยวคิวหย่อนบัตร รังแต่จะได้ไม่คุ้มเสีย มีแต่จะเสี่ยงเพิ่มแรงเสียดทานมากขึ้น
แม่น้ำทุกสายเด้งรับธงโรดแม็ป โดยเฉพาะสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อย่าง นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. แอ่นอกการันตี สนช.จะพิจารณากฎหมายลูก 10 ฉบับเสร็จภายในเดือน มิ.ย.2561

ขณะที่ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกวิป สนช. ระบุไม่มีเหตุผลอะไรที่ สนช.จะคว่ำกฎหมายลูก เพื่อยื้อเวลาการเลือกตั้งออกไป

สนช.แสดงทีท่าประกาศไฟเขียวล่วงหน้า กดปุ่มผ่านกฎหมายลูก ยืนกรานยังไงก็ได้เลือกตั้งตามโรดแม็ปปลายปีหน้าแน่ๆ

เพราะไม่ว่าจะเลือกตั้งเร็วหรือเลือกตั้งช้า “บิ๊กตู่” ก็ยังคอนโทรลทิศทางสถานการณ์ทั้งในปัจจุบันและอนาคตไว้ได้ อย่างที่เห็นๆกันอยู่ตามกลไกพิเศษที่ถูกออกแบบในรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูก มีการกำหนดตัวช่วยทั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศอย่างลงล็อกไว้บริหารอำนาจระยะยาว

ทุกอย่างถูกปูทาง ตีตั๋วต่อเวลาให้ “ลุงตู่” กลับมานั่งเก้าอี้ผู้นำอีกรอบ

เหลือแค่การประคองอำนาจไปสู่ปลายทาง ตามสูตรที่อาจจะต้องปรับจูนทีมรัฐมนตรี “เรือแป๊ะ” รอบใหม่ นำทีมมืออาชีพมาผสมผสานคีย์แมนกองทัพ เร่งปั๊มผลงานช่วงที่เหลือ

ต่อยอดทำแต้มเพิ่มเติมจากของเดิม อาทิ บัตรคนจน การเพิ่มเบี้ยยังชีพคนแก่ การตระเวนลงพื้นที่ ครม.สัญจร

ตุนใส่หน้าตักเป็นหลักประกันสร้างความชอบธรรมในการกลับมานั่งบัญชาการที่ทำเนียบรัฐบาล
แต่ที่ต้องระวังถูกเจาะยางเข้าเนื้อคือ ปัญหากับกลุ่มเกษตรกรที่มีทีท่าบานปลายยิ่งขึ้น

ตามรูปการณ์ที่ปลุกเร้าอารมณ์มาตั้งแต่ร่าง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ ที่จะเรียกเก็บค่าใช้น้ำธรรมชาติจากเกษตรกร ต่อด้วยการจ่อแก้ไขกฎหมายอนุญาตให้นำเข้าเนื้อหมูประทับตราเมดอินยูเอสเอที่มีสารเร่งเนื้อแดงมาจำหน่ายในประเทศไทย

ล่าสุดมีประเด็น ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่กำลังรอเข็นเข้าที่ประชุม สนช. ถูกวิจารณ์หมิ่นเหม่ลดทอนสิทธิเกษตรกร จากความคลุมเครือเรื่องห้ามเก็บพันธุ์พืชใหม่ไปปลูกต่อ เปิดช่องให้กลุ่มนายทุนผูกขาดพันธุ์พืชฝ่ายเดียว

กลายเป็นความสับสนว่า เกษตรกรที่จะปลูกพืชพันธุ์ใหม่จะต้องไปซื้อพันธุ์จากบริษัทพันธุ์พืชเท่านั้น ไม่มีสิทธิเก็บเมล็ดพันธุ์ไปปลูกในฤดูกาลถัดไปใช่หรือไม่

ส่อเค้าถูกจุดกระแส เร้าเกษตรกรให้แห่ออกมาต่อต้าน

ท็อปบูตถูกโยงให้ไปเป็นคู่กรณีกับเกษตรกรคนส่วนใหญ่ของประเทศไม่หยุดหย่อน

เคลียร์กันไม่ดี ต้นทุนคะแนนนิยมอาจหายในพริบตา!!!


ทีมข่าวการเมือง