PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ผู้ต้องขังข้อหาเตรียมเผาศาลากลางสารคาม ติดเชื้อกระแสเลือดตายก่อนถึงวันพ้นโทษ

ผู้ต้องขังเผาศาลากลางมหาสารคามเสียชีวิต! ติดเชื้อในกระแสเลือด เดือนหน้าได้ออกคุก

24 พ.ย. 2558 รายงานข่าวจากพื้นที่จังหวัดมหาสารคามแจ้งว่า นาย อุทัย คงหา หนึ่งในผู้ต้องหาคดีเผาศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม เมื่อ 19 พ.ค.2553 เสียชีวิตขณะถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจังหวัดมหาสารคาม ผู้สื่อข่าวสอบถามจากเจ้าหน้าที่เรือนจำในช่วงเย็นวันนี้ได้รับการยืนยันว่านายอุทัยเสียชีวิตแล้วจริงและญาติได้รับศพไปบำเพ็ญกุศลแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้ระบุสาเหตุที่แน่ชัด
วิจิตร ดวงพรม ภรรยาของอุทัยผู้ต้องขังที่เสียชีวิตกล่าวว่า เจ้าหน้าที่แจ้งว่าอุทัยเกิดอาการช็อคในเรือนจำ โดยก่อนหน้านี้ไม่นานมีอาการความดันต่ำ เหนื่อย หายใจไม่ทั่วท้อง เจ้าหน้าที่จึงได้ส่งตัวมารักษาที่รพ.มหาสารคาตั้งแต่เย็นวันที่ 23 พ.ย. และได้เรียกตนเองมาดูอาการเมื่อ 22.00 น.ในคืนนั้น ต่อมาแพทย์ผู้ทำการรักษาได้แจ้งกับตนเองว่าอุทัยมีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด ในคืนนั้นเขามีอาการดิ้นทุรนทุรายต้องมัดตัวไว้กับเตียง จนกระทั่งเช้าจึงอยู่ในสภาพไม่ได้สติ ร่างกายไม่ตอบสนอง จนกระทั่งเวลาประมาณเที่ยงของวันนี้ (24 พ.ย.) แพทย์จึงยุติการยื้อชีวิตโดยการเห็นชอบของญาติและภรรยา
ทั้งนี้ อุทัยอายุ 40 ปี เป็น 1 ใน 9   ผู้ต้องหาคดีเตรียมการเผาศาลากลางจังหวัด (ที่ว่าการอำเภอเมือง) มหาสารคาม ในเหตุการณ์วันที่ 19 พ.ย.2553 ซึ่งตัวอาคารของทางจังหวัดไม่ได้ถูกเผาแต่อย่างใด ปรากฏเพียงการเผายาง ตู้โทรศัพท์และต้นมะขาม 1 ต้น  เขาถูกจับกุมหลังเหตุการณ์ไม่นานและถูกจำคุกเรื่อยมาจนศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 5 ปี 8 เดือน จากนั้นในเดือนกรกฎาคม 2555 เขาได้รับการประกันตัวโดยความช่วยเหลือของกรมคุ้มครองสิทธิฯ ก่อนที่จะติดคุกอีกครั้งเมื่อศาลฎีกาพิพากษายืน จำคุก 5 ปี 8 เดือน เมื่อเดือนกันยายน 2557
ภรรยาของอุทัย กล่าวอีกว่า ประมาณต้นเดือนธันวาคม 2558 นี้ อุทัยก็ได้รับการพักโทษทำให้ได้รับอิสรภาพออกมาอยู่กับครอบครัว ทั้งนี้ ครอบครัวนี้มีลูก 3 คน ลูกสาวคนโตเรียนชั้น ม.6   ลูกชายคนกลางเรียนชั้น ป.6 และลูกสาวคนเล็กเรียนชั้น ป.4 ที่ผ่านมาอุทัยเลี้ยงครอบครัวด้วยการทำอาชีพรับจ้างฆ่าและชำแหละหมูให้กับเขียงหมูในตลาดจังหวัดมหาสารคาม โดยระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอัยเป็นคนสุขภาพแข็งแรง ไม่เคยมีโรคประจำตัวใดๆ  การสูญเสียอุทัยทำให้เธอต้องรับภาระเลี้ยงดูครอบครัวเพียงลำพัง และความหวังที่จะได้อยู่ร่วมกันในเดือนหน้าก็พังทลาย
ผู้ใกล้ชิดกับครอบครัวของอุทัยแจ้งว่า ครอบครัวนี้มีฐานะทางเศรษฐกิจค่อนข้างลำบาก ผู้สนใจสามารถบริจาคเงินช่วยเหลือได้ที่บัญชีของลูกสาวคนโต้ ชื่อ ปาริฉัตร คงหา (ลูกสาว) ธนาคารกรุงเทพ สาขามหาสารคาม เลขที่บัญชี 298 504 0688
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า กรณีการเสียชีวิตระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำของผู้ต้องขังจากกรณีเหตุการณ์ ปี 2553 นั้น อุทัยนับเป็นรายที่สอง ส่วนรายแรกคือ วันชัย รักสงวนศิลป์ ชาวอุดรธานีเสียชีวิตในเรือนจำพิเศษหลักสี่ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2555

ตุรกี เริ่มออกอาการ ขอประชุมฉุกเฉินกับนาโต้หลัง"ปูติน"กร้าวเตือน



ตุรกีขาสั่นขอประชุมฉุกเฉินNATO หลัง'ปูติน'โกรธจัดซู24ถูกสอยร่วง-เริ่มงัดมาตรการตอบโต้
ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินแห่งรัสเซีย บอกว่ารู้สึกเหมือนถูกแทงข้างหลังจากเหตุเครื่องบินรบของมอสโกถูกตุรกีสอยร่วง และเตือนอังการาว่ามันจะก่อผลลัพธ์ที่เลวร้ายต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสองชาติ
        เอเอฟพี/รอยเตอร์ - เหล่าผู้แทนทูตประจำนาโต้จะจัดประชุมฉุกเฉินในวันอังคาร(24พ.ย.) ตามคำร้องของอังการา เพื่อหารือถึงกรณีตุรกียิงเครื่องบินรบรัสเซียตกตามแนวชายแดนติดกับซีเรีย ท่ามกลางคำเตือนจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ว่าความสัมพันธ์ทวิภาคีจะเจอผลย้อนหลังที่ร้ายแรง ขณะที่มอสโกเริ่มงัดมาตรการตอบโต้ ด้วยระงับทัวร์ไปยังตุรกีและออกคำเตือนพลเมืองหลีกเลี่ยงไปประเทศแห่งนี้ โดยอ้างเหตุผลว่ามีภัยคุกคามก่อการร้าย
      
       "ตามคำร้องของตุรกี สภาแอตแลนติกเหนือ จะนัดประชุมวาระพิเศษตอนเวลา 16.00จีเอ็มที(ตรงกับเมืองไทย 23.00น.) เป้าหมายของการประชุมฉุกเฉินสภาแอตแลนติกเหนือสำหรับตุรกีก็คือแจ้งให้พันธมิตรทราบถึงเหตุยิงเครื่องบินรบรัสเซียตก" เจ้าหน้าที่บอกกับเอเอฟพี "นาโต้กำลังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เราอยู่ในการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตุรกี"
      
       อังการาเปิดเผยว่าเครื่องบินเอฟ16ของพวกเขา 2 ลำ ยิงเครื่องบินซู-24ของรัสเซียตก หลังละเมิดน่านฟ้าตุรกีตามแนวชายแดนติดกับซีเรีย นับ 10 ครั้งภายในช่วงเวลาแค่ 5 นาที อย่างไรก็ตามทางมอสโกตอบโต้ว่าเครื่องบินของพวกเขาอยู่ในน่านฟ้าของซีเรีย
      
       สภาแอตแลนติกเหนือ ประกอบด้วยผู้แทนทูตจาก 28 ชาติสมาชิกนาโต้ โดยแม้พวกเขามีการประชุมกันอยู่เป็นประจำ แต่ก็สามารถเรียกประชุมวาระฉุกเฉินได้หากว่าหนึ่งในชาติพันธมิตรรู้สึกว่าความมั่นคงของประเทศกำลังถูกคุกคาม
      
       อย่างไรก็ตามในสัญญาณที่แสดงถึงท่าทีที่ระมัดระวัง ตุรกีไม่ได้ร้องขอเปิดประชุมภายใต้มาตรา 4 ของนาโต้ ซึ่งเป็นกรณีที่ชาติสมาชิกหนึ่งๆแจ้งว่ากำลังถูกคุกคามด้านบูรณภาพแห่งดินแดน เอกราชทางการเมืองหรือความมั่นคง
      
       อังการาเคยร้องขอให้เปิดประชุมฉุกเฉินภายใต้มาตรการ 4 ของนาโต้เมื่อเดือนตุลาคม หลังจากถูกเครื่องบินรัสเซียละเมิดน่านฟ้าหลายต่อหลายครั้งตามหลังมอสโกเริ่มปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มกบฏซีเรีย โดยในคราวนั้นสภาแอตแลนติกเหนือ เตือนถึงอันตรายร้ายแรงจากพฤติกรรมที่ขาดความรับผิดชอบของเครื่องบินรัสเซีย
ตุรกีขาสั่นขอประชุมฉุกเฉินNATO หลัง'ปูติน'โกรธจัดซู24ถูกสอยร่วง-เริ่มงัดมาตรการตอบโต้
ภาพเหตุการณ์ที่อังการาบอกว่าเครื่องบินเอฟ16ของพวกเขา 2 ลำ ยิงเครื่องบินซู-24ของรัสเซียตก หลังละเมิดน่านฟ้าตุรกีตามแนวชายแดนติดกับซีเรีย นับ 10 ครั้งภายในช่วงเวลาแค่ 5 นาที อย่างไรก็ตามทางมอสโกตอบโต้ว่าเครื่องบินของพวกเขาอยู่ในน่านฟ้าของซีเรีย
        สมาชิกนาโต้ทั้ง 28 ประเทศ เคยให้สัญญาหนึ่งเดียวรวมใจและรวมใจเป็นหนึ่ง ในการตอบโต้ภัยคุกคามทางทหารใดๆหากว่ามีชาติสมาชิกหนึ่งๆร้องขอใช้มาตรา 5 เมื่อตกอยู่ภายใต้การโจมตี โดยที่ผ่านมามีสหรัฐฯเพียงชาติเดียวครั้งเดียวที่ขอใช้มาตรการ 5 ตามหลังเหตุวินาศกรรมโจมตีนิวยอร์กและวอชิงตันในวันที่ 11 กันยายน 2001
      
       ตุรกี ชาติมหาอำนาจทางทหารใหญ่สุดอันดับ 2 ในนาโต้รองจากสหรัฐฯ เคยร้องขอใช้มาตรการ 4 มาแล้วหลายครั้ง สืบเนื่องจากความขัดแย้งซีเรียที่ทะลักข้ามพรมแดน ขณะที่ทางนาโต้ก็ตอบสนองด้วยการประจำการขีปนาวุธแพทริออต ที่สามารถสอยเครื่องบินหรือขีปนาวุธที่ย่างกรายเข้ามา ในทางตอนใต้ของตุรกี แต่พวกเขามีกำหนดถอนขีปนาวุธเหล่านั้นออกไปในช่วงสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ทางนาโต้เผยว่าอยู่ระหว่างทบทวนแผนดังกล่าว
      
       ความเคลื่อนไหวของอังการา มีขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินแห่งรัสเซีย บอกว่ารู้สึกเหมือนถูกแทงข้างหลังจากเหตุเครื่องบินรบของมอสโกถูกตุรกีสอยร่วง และเตือนอังการาว่ามันจะก่อผลลัพธ์ที่เลวร้ายต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสองชาติ
      
       ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน บอกนักข่าวก่อนเข้าประชุมกับกษัตริย์อับดุลเลาะห์ที่ 2 แห่งจอร์แดน ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มันเกินกว่ากรอบการสู้รบกับผู้ก่อการร้ายตามปกติ ซึ่งแน่นอนว่ากองทัพของเขานั้นปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญในการสู้กับกลุ่มก่อการร้าย แต่กลับเกิดการสูญเสียในวันนี้ที่เหมือนกับ "ถูกแทงข้างหลัง" โดยฝีมือของพวกสมรู้ร่วมคิดกับผู้ก่อการร้าย
      
       ปูตินบอกว่า "ผมไม่สามารถเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นอย่างอื่นได้อีก เหตุการณ์น่าเศร้าในวันนี้จะก่อผลย้อนกลับร้ายแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่งรัสเซียและตุรกี"
      
       ด้านกระทรวงการกลาโหมรัสเซีย ได้ดำเนินการสอดคล้องกับท่าทีของปูตินในทันที โดยในวันอังคาร(24พ.ย.) ได้เรียกตัวทูตทหารของตุรกีเข้าพบเพื่อประท้วง ตามหลังเหตุเครื่องบินรบอังการาสอยเครื่องบินรัสเซียตกในซีเรีย
      
       ส่วนนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียในวันอังคาร(24พ.ย.) ออกคำแนะนำถึงพลเมืองแดนหมีขาวหลีกเลี่ยงเดินทางไปยังตุรกี ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม โดยอ้างถึงภัยคุกคามของการถูกโจมตี
      
       "จากเหตุการณ์ก่อการร้ายมากมายบนแผ่นดินตุรกี จากการคาดหมายของเรา มันไม่น้อยกว่าภัยคุกคามในอียิปต์เลย แน่นอนว่าด้วยเหตุผลนี้เราจึงไม่แนะนำให้พลเมืองของเราเดินทางไปยังตุรกีเพื่อท่องเที่ยวหรือเหตุผลอื่นๆ"
      
       อีกด้านหนึ่ง นาตาลี ทัวร์ส หนึ่งในบริษัททัวร์รายใหญ่ของรัสเซียสู่ตุรกี จะระงับขายตั๋วทริปเดินทางไปยังประเทศแห่งนี้ชั่วคราว

ปม"เซียนพระ"ที่ไม่ธรรมดา....

พล.อ.ประยุทธ์ จะ "สนิท" กับ "เซียนพระ" คนดังกรณีราชภักดิ์ มาตั้งแต่เป็น ผบ.ทบ#เซียนพระ ตอนที่ 3
====================================== 

ที่ผ่านมาเราเห็นภาพความใกล้ชิดระหว่าง "เซียนพระ" กับ พลเอกอุดมเดช รมช.กลาโหม ถูกเผยแพร่กันมากมาย (ทั้งตั้งแต่สมัยเป็น ผบ.ทบ.ไปเยี่ยมชม "พุทธอุทยาน" หรือ การจัดกฐิน ทบ. ไปทอดในวัดที่อยู่ในโครงการ "พุทธอุทยาน") ... 

แต่ใครจะรู้ว่าแม้แต่ พลเอก ประยุทธ์ หัวหน้า คสช ก็รู้จักกับ "เซียนพระ" เป็นอย่างดีมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยเป็น ผบ.ทบ. ... และ น่าจะเป็นการรู้จักที่มีความสนิทสนมระดับหนึ่งทีเดียว ... ถึงขนาดไปมอบช่อดอกไม้แสดงความยินดีที่ "เซียนพระ" ได้รับเลือกตั้งเป็น "นายก อบต." ถึงตำบลบ้านใหม่เลยทีเดียว ในปลายเดือน กันยายน 2556

ก็ลองพิจารณาดูว่า มี "นายก อบต." ในเมืองไทยกี่คนที่ตอนชนะการเลือกตั้ง ผบ.ทบ. เดินทางไปมอบ "ช่อดอกไม้" แสดงความยินดีด้วยตัวเองถึงตำบล ... ถ้าไม่ใช่ว่ามี ความรู้จักสนิทกันเป็นพิเศษ ... ราชสีห์อย่าง พลเอกประยุทธ์ ที่อยู่ในหนึ่งในตำแหน่งที่มีอำนาจที่สุดในประเทศไทยขณะนั้นจะยอมลดตัวเดินทางไปแสดงความยินดีถึงที่หรือ ? ...

ต้องบอกว่า "เซียนพระ" เป็น นายก อบต. ธรรมดาที่ไหน

https://www.facebook.com/banmai.aya/photos/a.158597164338379.1073741833.158051094392986/160800464118049/?type=3
----------------------------------
ตอนก่อนหน้านี้ ...

#เซียนพระ ตอนที่ 1 // เผย ... ผบ.ทบ.เพิ่งเป็นประธานทอดกฐิน ทบ. ที่วัดในโครงการของ"เซียนพระ"คนดัง ก่อนแถลงยัน "ราชภักดิ์โปร่งใส" ไม่กี่วัน
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=997502326937048&set=a.139060382781251.18039.100000318702151&type=3

#เซียนพระ ตอนที่ 2 //ไม่ใช่แค่ "เซียนพระ" แต่ยังเป็น "นายก อบต.บ้านใหม่"
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=997753190245295&set=a.139060382781251.18039.100000318702151&type=3&theater

สัญญานแค้นจาก"ปูติน"จับตาตุรกี อันตราย

Cr:Thanong Fanclub
3. จุดจบเริ่มแล้ว
เวลานี้ปูตินอยากจะกินไก่งวง (turkey)มากที่สุด
เขาประกาศชัดเจนว่าตุรกีแทงรัสเซียข้างหลัง ด้วยการยิงเครื่องบินรบSu-24ของกองทัพอากาศรัสเซียในวันนี้ ในขณะที่บินอยู่ในเขตแดนของซีเรียเพื่อปฏิบัติการถล่มพวกไอซิส
ปูตินบอกว่า การยิงเครื่องบินรัสเซียเท่ากับว่าตุรกีเป็นผู้สมคบคิดกับพวกก่อการร้าย
เขาเตือนว่า ตุรกีจะต้องเผชิญกับผลที่ตามมาจากการกระทำของตัวเองอย่างรุนแรงในความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและตุรกี
ปูตินกล่าวเพิ่มเติมว่า เครื่ีองบินรบของตุรกีF-16ยิงเครื่องบินรบSu-24ของรัสเซียในขณะที่บินอยู่ในระดับความสูง6,000เมตร และอยู่ห่างจากชายแดนตุรกีประมาณ1 กิโลเมตร
เครื่องบินรัสเซียตก4กิโลเมตรห่างจากชายแดน นักขับเครื่องบิน2คนดีดตัวออกจากเครื่องบินทันเพื่อกระโดดร่มชูชีพลงมา แต่มีรายงานว่านักบินคนหนึ่งถูกพวกก่อการร้ายที่พื้นดินยิงตาย อีกคนหนึ่งยังไม่ทราบชะตากรรม
ปูตินบอกว่า เครื่องบินรบรัสเซียกำลังปฏิบัติการเพื่อถล่มพวกไอซิสที่มีชาวรัสเซียนเข้าไปร่วมขบวนการด้วยหลายคนในบริเวณเมืองLatakiaของซีเรีย และไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของตุรกีแต่ประการใด
รัสเซียมีเซ็นสัญญาทางทหารกับสหรัฐเพื่อป้องกันเครื่องบินรบหรืออาวุธของทั้งสองฝ่ายมีการกระทบกระทั่งกันในซีเรีย และตุรกีอ้างว่าเป็นพันธมิตรสหรัฐในการต่อสู้กับไอซิสในซีเรีย แต่ตุรกีกลับมาลอบกัดรัสเซีย
"เรานับเอาตุรกีเป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกัน และเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ผมไม่รู้ว่าใครจะได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ในวันนี้ รัสเซียไม่ได้ประโยชน์อะไรอย่างแน่นอน" ปูตินกล่าว
ตุรกีไม่ได้พยายามที่จะติดต่อรัสเซียหลังจากเกิดเหตุการณ์ยิงเครื่องบินรัสเซียตก แต่รีบไปเรียกประชุมนาโต้ ปูตินกล่าวว่า เรื่องนี้เท่ากับว่าตุรกีต้องการให้นาโต้รับใช้ผลประโยชน์ของพวกไอซิส
thanong
24/11/2015
https://www.rt.com/news/323262-putin-downing-plane-syria/

สัญญานจาก"ปูติน"ถึงนาโต้ "แทงข้างหลัง"


ผมได้แปลคำพูดของปูตินขณะที่ได้ออกมาต้อนรับกษัตริย์อับดุลเลาะห์ของจอร์แดนที่เดินทางเข้ามาแสดงความเสียใจต่อรัสเซียที่เมืองโซชิ ในกรณีที่รัสเซียต้องสูญเสียเครื่องบินโดยสารโดนวางระเบิดโดยอิสลามมิกสเตท และการสูญเสียนักบินรัสเซียในวันนี้ (กษัตริย์อับดุลเลาะห์ทรงเป็นนักบินรบเหมือนกันครับ เมื่อปีก่อนก็ทรงนำฝูงบินรบเข้าต่อสู้ด้วยพระองค์เอง)
ปูตินได้บอกว่าการที่ตุรกีแทงข้างหลังด้วยการยิงเครื่องบินรบรัสเซียแบบนี้เหมือนกำลังช่วยพวกผู้ก่อการร้าย 
Turkey backstabbed Russia by downing the Russian warplane and acted as accomplices of the terrorists, Russian President Vladimir Putin said.
ปูตินได้กล่าวอีกว่าเครื่องบินได้บินที่ความสูง 6,000เมตร ห่างจากชายแดนของตุรกี 1 กิโลเมตร ได้ถูกยิงโดยจรวดจากเครื่องบิน F16 จุดตกนั้นอยู่ห่างจากชายแดน 4 กิโลเมตร เครื่องบินไม่ได้มีจุดมุ่งหมายต่อความมั่นคงของตุรกีเลย ปูตินกล่าวแบบเครียด

เป้าหมายของการโจมตีนั้นคือพวกก่อการร้ายในลาตาเกียเขตซีเรีย หลายๆคนนั้นมาจากรัสเซีย รัสเซียนั้นตะหนักถึงน้ำมันเถื่อนที่พวกผู้ก่อการร้ายนำออกไปทางตุรกี ปูตินได้กล่าวว่า นี่คือเงินที่นำไปอุดหนุนกลุ่มผู้ก่อการร้าย

อิสลามิกสเตทมีเงินมหาศาลหลายร้อยล้านเหรียญจากการขายน้ำมัน และได้รับการคุ้มครองจากทหารของชาตินั้น ทำให้สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมพวกนี้ถึงทำตัวกร่างและเปิดเผยตัวตนได้ขนาดนั้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมถึงฆ่าคนได้อย่างโหดร้ายและป่าเถื่อน นี่คือเหตุผลว่าทำไมถึงบอกว่าจะปฎิบัติการก่อการร้ายไปทั้งโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ใจกลางยุโรป ผู้นำรัสเซียกล่าว

การที่ยิงเครื่องบินรัสเซียตกนั้นแม้จะเกิดเหตุขึ้นมา แต่รัสเซียก็จะลงนามในข้อตกลงกับอเมริกาที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุ(ระหว่างทั้งสอง)ในซีเรีย ตุรกีนั้นเคลมว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ต่อต้านอิสลามมิกสเตทในซีเรียที่นำโดยอเมริกา เหตุที่เกิดมานั้นส่งให้ความสัมพันธ์ของรัสเซียและตุรกีโดนฝังลงหลุมศพไป ปูตินได้กล่าวเตือนตุรกี
(ข้อความตอนนี้เท่มากเลยครับ The incident will have grave consequences for Russia’s relations with Turkey)

เราปฎิบัติต่อตุรกีไม่ใช่แบบเพื่อนบ้านใกล้ชิดเท่านั้น แต่เราปฎิบัติเหมือนเพื่อนด้วย ผมไม่รู้ว่าใครจะได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ในวันนี้ แต่ไม่ใช่เราทั้งสองแน่นอน
ในทางเป็นจริงนั้นตุรกีนั้นไม่ได้พยายามติดต่อกับรัสเซียเลย(หลังยิงเครื่องบินตก) แต่ร้อนรนรีบวิ่งเข้าหานาโต้เพื่อเปิดประชุมแทน นี่คือการแสดงให้เห็นว่าตุรกีต้องการให้นาโต้ปกป้องผลประโยชน์ของอิสลามิกสเตท

ปูตินยังได้บอกอีกว่า รัสเซียนั้นเคารพขอบเขตของผลประโยชน์ของประเทศอื่น แต่ขอเตือนว่าความโหดร้ายที่กระทำโดยตุรกีนั้นไม่ควรทำโดยไร้คำตอบ
******************************************************************************
ผมคิดว่าที่ปูตินพูดวันนี้ ตุรกีทำตัวเป็นเด็กห้าวคงไม่หนาวหรอกครับ แต่คนที่หนาวคือนาโต้และอเมริกามากกว่าที่ลูกน้องดันทำเกินเหตุ และสิ่งที่ปูตินพูดตรงๆ ในวันนี้ก็คือ ตุรกีได้ผลประโยชน์จากน้ำมันเถือ่นที่ไอซิสขนผ่านออกไปขายให้ตุรกี การที่รัสเซียถล่มคาราวานน้ำมันเถื่อนนั่นก็คือการปิดเส้นทางทำมาหากินของตุรกีกับไอซิส
เครดิตภาพ รัสเซียไทม์

ยอดเพิ่ม!! 341 นักวิชาการร่วมลงชื่อ ต่างชาติ 60 ราย หนุน มหา′ลัย ไม่ใช่ค่ายทหาร


ยอดเพิ่ม!! 341 นักวิชาการร่วมลงชื่อ ต่างชาติ 60 ราย หนุน มหา′ลัย ไม่ใช่ค่ายทหาร
http://www.matichon.co.th/online/2015/11/14483701391448370285l.jpg
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายคณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ที่ถูกคุมขัง ที่ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 6  เรื่อง มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร ประเทศไทยไม่ใช่ค่ายกักกัน และได้มีการเปิดให้ อาจารณ์ นักวิชาการ ตลอดจนภาคประชาชนร่วมลงชื่อ จากเดิมมีจำนวน 323 ราย ล่าสุดได้มีผู้ร่วมลงชื่อแล้ว 341 คน  โดยเป็นชาวไทย 281 คน และเป็นนักวิชาการชาวต่างชาติ ทั้งจากสถาบันในประเทศไทย และในต่างประเทศ ร่วมลงชื่อ 60 คน

'ประวิตร'ยันพร้อมสอบสาวทุจริต'อุทยานราชภักดิ์'บิ๊กทหาร

"พล.อ.ประวิตร" ยันพร้อมสอบสาวทุจริต "อุทยานราชภักดิ์" บิ๊กทหาร ระบุขอเฟ้นหามือดีนั่งประธานสอบ แจงสอบทหารไม่เกี่ยวพลเรือน

24พ.ย.2558
กรุงเทพธุรกิจ

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ของกระทรวงกลาโหมว่า ไม่มีอะไร เป็นเรื่องการสอบตัวบุคคลในส่วนของทหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับพลเรือน ถ้าเกี่ยวกับพลเรือนจะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หากที่ไหนที่ไม่โปร่งใสก็ไปตรวจสอบหมด ส่วนตัวโครงการไม่มีปัญหาอยู่แล้ว จะตรวจสอบบุคคลที่คิดว่าจะไม่โปร่งใส เช่น คนที่ถูกฟ้องร้อง ซึ่งยังไม่รู้จะฟ้องร้องใครบ้าง ต้องรอให้เขามีการตรวจสอบก่อน
เมื่อถามว่า การสอบสวนจะรวมไปถึงพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และอดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ด้วยหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า อาจไม่จะถึง ต้องรอคณะกรรมการตรวจสอบก่อน ส่วนคณะกรรมการจะมาจากกระทรวงกลาโหม ไม่ได้อยู่ในกองทัพบก ซึ่งยังไม่ได้กำหนดกรอบเวลาการตรวจสอบให้ อย่างไรก็ตาม กรณีนี้เป็นลักษณะของกรรมการที่ตรวจสอบความผิด คนที่จะถูกตรวจสอบยังไม่มีความผิด ถ้าพาดพิงถึงใครก็ตรวจสอบหมด 
เมื่อถามว่า เบื้องต้นมีคนที่เกี่ยวข้องกี่คน พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังไม่ได้ดู ยังไม่ได้ตรวจสอบ เพราะตนไม่ได้เป็นกรรมการ 
เมื่อถามว่า การตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบกันเองจะทำให้เกิดข้อสงสัยจากภายนอกหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ที่ตั้งขึ้นเพราะมีข้อสงสัยจากภายนอก แล้วเรื่องแบบนี้จะไปช่วยได้อย่างไร กรรมการที่ตั้งมาจากกระทรวงกลาโหม ไม่ใช่มาจากกองทัพบก 
เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวว่าจะให้พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนจริงหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า คงเป็นไม่ได้ เพราะพล.อ.ปรีชามาจากกองทัพบก และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ด้วย
เมื่อถามว่า จะเป็นรูปเป็นร่างได้เมื่อไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “เดี๋ยวก็ตั้ง คุณจะมาเร่งรัดอะไรผม กำลังคิดในสมอง ความจริงเป็นรูปเป็นร่างแล้ว พอคุณมาถามก็ลืมหมดแล้ว และจะดูคนที่เหมาะสมมาทำหน้าที่ประธาน

นักวิชาการเผยบรรษัทสหรัฐฯ ค้าอาวุธกับชาติตะวันออกกลาง หนุนความขัดแย้ง

นักวิชาการเผยบรรษัทสหรัฐฯ ค้าอาวุธกับชาติตะวันออกกลาง หนุนความขัดแย้ง

นักวิชาการด้านความมั่นคงจากสหรัฐฯ เขียนบทความกรณีบรรษัทในสหรัฐฯ ค้าอาวุธสงครามให้กับกลุ่มประเทศตะวันออกกลางโดยเฉพาะซาอุดิอาระเบียจะเป็นการส่งเสริมให้เกิดความขัดแย้งและก่อความเสียหายต่อพลเรือน เกิดเป็นวิกฤตด้านมนุษยธรรม ที่แม้แต่นักการเมืองในสหรัฐฯ ก็เรียกร้องให้ตรวจสอบตัวเอง เนื่องจากการส่งเสริมด้านอาวุธต่อกลุ่มที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายสหรัฐฯ
23 พ.ย. 2558 บทความในเว็บไซต์ศูนย์ศึกษานโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ ต่อภูมิภาคละตินอเมริกา (CIP Americas) ระบุถึงกรณีที่สหรัฐฯ ส่งออกอาวุธให้กับภูมิภาคตะวันออกกลางมากขึ้นในช่วงรัฐบาลโอบามาซึ่งพวกเขาชี้ว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง
วิลเลียม ดี ฮาร์ตตุง ผู้อำนวยการโครงการศึกษาด้านอาวุธและความมั่นคงจากศูนย์ศึกษานโยบายต่างประเทศและที่ปรึกษาอาวุโสขององค์กรช่วยเหลือจับตาความมั่นคงเขียนบทความใน CIP ระบุว่าในยุคของรัฐบาลโอบามามีการค้าอาวุธโดยส่วนใหญ่ให้กับตะวันออกกลางและกลุ่มประเทศอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งประเทศที่ตกลงค้าอาวุธด้วยมากที่สุดคือซาอุดิอาระเบีย เรื่องนี้ส่งผลต่อความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางมากโดยยกตัวอย่างเรื่องการที่ทางการซาอุฯ ใช้อาวุธของสหรัฐฯ ในปฏิบัติการแทรกแซงเยเมนด้วยกำลังอาวุธ
ฮาร์ตตุงระบุอีกว่ารัฐบาลโอบามาใช้การค้าอาวุธเป็นเครื่องมือหลักๆ ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศซึ่งทำให้พวกเขาสามารถใช้อิทธิพลทางการทหารได้โดยไม่จำเป็นต้องลงมือส่งกองกำลังของตัวเองเข้าไปในพื้นที่แบบเดียวกับที่รัฐบาลบุชเคยส่งกองทัพสหรัฐฯ ไปในสงครามอิรักแล้วก็ทำให้เกิดผลลัพธ์เสียหายตามมา
เรื่องนี้ยังกลายเป็นผลประโยชน์มหาศาลสำหรับบรรษัทค้าอาวุธในสหรัฐฯ ซึ่งไม่ใช่แค่ทำให้พวกเขาส่งออกอาวุธได้มากขึ้นแต่ทำให้กระบวนการผลิตของบรรษัทพวกเขายังคงดำเนินต่อไปได้เนื่องจากทางกลาโหมสหรัฐฯ มีการสั่งซื้ออาวุธจากบรรษัทเหล่านี้น้อยลงเรื่อยๆ โดยเว็บไซต์ CIP ยกตัวอย่างเรื่องการขายเครื่องบิน F-18 ของบริษัทโบอิ้งให้กับคูเวต การขายรถถัง M-1 ของบริษัทเจเนอรัลไดนามิกส์และแผนการพัฒนายุทโธปกรณ์รถถังให้กับซาอุดิอาระเบีย
แต่ฮาร์ตตุงก็ระบุว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เป็นเรื่องเงินเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและความมั่นคงในตะวันออกกลางเพราะอาวุธที่พวกเขาขายให้ซาอุฯ ถูกใช้ไปในการแทรกแซงด้วยกำลังทหารต่อเยเมนสร้างหายนะทางมนุษยธรรมในประเทศนั้น โดยยกตัวอย่างกรณีการทิ้งระเบิดใส่พลเรือนในงานแต่งงานทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมแล้วมากกว่า 130 ราย ถือเป็นตัวอย่างของการใช้กำลังแบบไม่มีการแยกแยะ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากสงครามที่ส่วนมากเป็นพลเรือนมีมากกว่า 2,300 รายแล้ว
นอกจากเรื่องการโจมตีแบบที่ส่งผลกระทบต่อพลเรือนทั่วไปแล้ว การใช้กำลังอาวุธยังส่งผลให้เกิดการปิดกั้นความช่วยเหลือทางน้ำต่อประชาชนในเยเมน จากข้อมูลของโครงการอาหารโลกของสหประชาชาติระบุว่าประชากร 12.9 ล้านคนในเยเมนกำลังอยู่ในสภาพขาดแคลนอาหารและเด็ก 1.2 ล้านคนในเยเมนกำลังประสบปัญหาทุพโภชนาการ นอกจากนี้ถ้าหากความขัดแย้งที่มีการใช้กำลังอาวุธยังคงดำเนินต่อไปในเยเมนก็มีโอกาสที่จะเกิดภาวะอดอยากของประชาชนจำนวนมากได้
กลุ่มสิทธิมนุษยชนอย่างฮิวแมนไรท์วอทช์และแอมเนสตี้อินเตอร์เนชันแนลยังเก็บรวบรวมหลักฐานความขัดแย้งในเยเมนพบว่าอาวุธที่มีการใช้โจมตีแบบที่ส่งผลกระทบต่อพลเรือนนั้นมีระเบิดดาวกระจาย (cluster bomb) ที่ซื้อมาจากสหรัฐฯ รวมอยู่ด้วย ซึ่งระเบิดดาวกระจายนี้เป็นอาวุธโจมตีแบบไม่เลือกเป้าหมายที่มีสนธิสัญญาสากลสั่งห้ามใช้อาวุธชนิดนี้ แต่สนธิสัญญาดังกล่าวไม่มีสหรัฐฯ และซาอุฯ ร่วมลงนามด้วย
ฮาร์ตตุงระบุอีกว่าไม่เพียงแค่ซาอุฯ เท่านั้นที่ใช้อาวุธของสหรัฐฯ แต่อาวุธบางส่วนก็อาจจะตกไปอยู่ในมือกลุ่มกบฏฮูตีหรือแม้กระทั่งกลุ่มอัลกออิดะฮ์ในคาบสมุทรอาหรับด้วย ทั้งนี้ กองทัพเยเมนยังมีการแบ่งแยกฝักฝ่ายระหว่างกลุ่มที่อยู่ข้างอดีตประธานาธิบดีซาเลห์ซึ่งมีเป้าหมายเดียวกับกลุ่มกบฏฮูตีกับอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ฝ่ายซาอุฯ และอดีตประธานาธิบดีฮาดิ แต่ทั้งสองกลุ่มต่างก็เคยได้รับการฝึกฝนและได้รับอาวุธจากสหรัฐฯ มาก่อน
องค์การอ็อกแฟมสาขาอเมริกา เคยเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยุติการให้ความช่วยเหลือต่อซาอุฯ ในการทิ้งระเบิดโจมตีเยเมน เรียกร้องให้มีการแลกเปลี่ยนและขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภคตามท่าเรือเยเมนได้อย่างเสรี และขอให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติดำเนินการให้เกิดสนธิสัญญาหยุดยิงอย่างไม่มีเงื่อนไขและแก้ไขปัญหาด้วยกระบวนการทางการเมืองอันจะสามารถยุติสงครามได้
นอกจากนี้ นักการเมืองบางส่วนของสหรัฐฯ ก็ยังตั้งคำถามและเรียกร้องให้รัฐบาลโอบามากลับมาพิจารณาเรื่องการสนับสนุนปฏิบัติซาอุฯ อีกครั้ง เช่น วุฒิสมาชิกแพทริค ลีฮีย์ ผู้สนับสนุนให้เกิดกฎหมายลีฮีย์กล่าวว่าการที่สหรัฐฯ ช่วยเหลือด้านอาวุธแก่ซาอุฯ อาจจะถือว่าสหรัฐฯ มีส่วนรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นด้วย จากที่กฎหมายลีฮีย์ระบุห้ามไม่ให้สหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือแก่กองกำลังหรือตำรวจต่างชาติที่มีประวัติชัดเจนว่ากระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นรุนแรงโดยยังคงลอยนวลไม่ได้รับผิด
นอกจากนี้ยังมีจดหมายจากนักการเมืองคนอื่นๆ ของสหรัฐฯ ส่งถึงบารัค โอบามาเรียกร้องให้มีการยับยั้งการกระทำที่จะเกิดความเสียหายต่อพลเรือนในเยเมนและขอให้ใช้วิธีการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีทางการทูตเพื่อยุติความขัดแย้ง ทางด้านฮาร์ตตุงมองว่าการที่สหรัฐฯ เลิกให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ซาอุฯ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการยับยั้งความเสียหายต่อพลเรือน

เรียบเรียงจาก
U.S. Arms Sales Are Fueling Mideast Wars, CIP Americas, 17-11-2015
http://www.cipamericas.org/archives/17463

อาจารย์เข้ามอบตัวถูกแจ้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งคสช.

อาจารย์มหา'ลัยตบเท้ามอบตัว ถูกแจ้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งคสช.
Cr:เดลินิวส์
เมื่อวันที่ 24 พ.ย. ที่ สภ.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ นายอรรถจักร สัตยานุรักษ์ อาจารย์สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายสมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายจรูญ หยูทอง นักวิชาการสถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ นายณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ นายมานะ นาคำ อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.ช้างเผือก หลังได้รับหมายเรียกในข้อกล่าวหา "ร่วมกันมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป อันเป็นการฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่งหัวหน้าคสช."
โดย พ.ต.อ.มณฑป แสงจำนง รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ซึ่งเดินทางมาดูแลในคดีนี้ ได้เชิญอาจารย์ทั้ง 5 คนเข้าชี้แจงที่ห้องประชุมของโรงพัก จากนั้นก็ได้ออกมาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ในการเรียกอาจารย์ทั้ง 5 คนมารับทราบข้อกล่าวหาในครั้งนี้ก็สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 31 ต.ค. ที่ผ่านมา อาจารย์ทั้งหมดได้จัดกิจกรรมเสวนาและร่วมกันอ่านแถลงการณ์เรื่อง "มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร" โดยมีเนื้อหาที่มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนในสถาบันอุดมศึกษา ว่าเป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดการต่อต้านรัฐบาล ซึ่งไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทย โดยรวมนั้นซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นการฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ระบุว่าห้ามร่วมกันมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ทางพนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานและออกหมายเรียกไป ซึ่งทางอาจารย์ทั้ง 5 คนก็ได้เดินทางมาในวันนี้ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา จากนั้นก็จะได้ส่งเรื่องฟ้องต่อศาลตามขั้นตอนของกฎหมาย ส่วนอาจารย์ทั้งหมดนั้น ก็ได้ปล่อยตัวไปโดยไม่มีหลักประกัน เพราะเป็นการเรียกมาให้รับทราบข้อกล่าวหาเท่านั้น ด้าน รศ.ดร.สมชาย กล่าวว่า ตนเองและอาจารย์ทุกคนที่ถูกหมายเรียกได้ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาโดยสิ้นเชิง ส่วนการประชุมที่ทำให้ถูกออกหมายเรียกนั้น อาจารย์ทุกคนเห็นว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นไม่น่าผิดอะไร ก็พร้อมสู้ในชั้นศาลต่อไป

จนท.อียูยัน จม.เชิญ"ยิ่งลักษณ์"ของจริง

เจ้าหน้าที่อียู ยืนยันจดหมายเชิญ"ยิ่งลักษณ์" ถกสถานการณ์ไทย เป็นของจริง!

Prev
1 of 2
Next
คลิกภาพเพื่อขยาย
updated: 24 พ.ย. 2558 เวลา 21:31:19 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

บีบีซีไทย รายงานว่า นายสเตฟาน ชมิดซ์ (Stefan Schmitz ) เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยกิจการรัฐสภาของนายแวร์นาร์ แลเนิน (Werner Langan) ส.ส.รัฐสภายุโรป บอกกับบีบีซีไทยโดยยืนยันว่า จดหมายเชิญอดีตนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้ไปพูดคุยเรื่องสถานการณ์ในประเทศไทยนั้น เป็นจดหมายที่ออกโดยนายแลเนิน และส.ส.เอลมาร์ โบรค (Elmer Brok) จริง พร้อมกันนั้นนายชมิดซ์ยังได้ส่งสำเนาจดหมายมายังทีมงานอีกครั้งหนึ่งเพื่อเป็นการยืนยัน

นายชมิดซ์บอกว่า หากมีการพบปะกัน นายแลเนิน และนายโบรคมีแผนจะให้ข่าวร่วมกัน

นายชมิดซ์ตอบคำถามของบีบีซีไทยแทน ส.ส. แลเนิน หลังจากที่ได้รับอีเมลสอบถามจากบีบีซีไทยว่าจดหมายเชิญที่ส่งไปให้อดีตนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น เป็นจดหมายที่ออกโดยบุคคลทั้งสองจริงหรือไม่ แต่เขาระบุว่า ขณะนี้ ส.ส.ทั้งสองคนยังจะไม่ให้สัมภาษณ์ใด ๆ

นายแลเนิน มีตำแหน่งเป็นประธานคณะวิเทศสัมพันธ์ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอาเซียน ส่วนนายโบรค เป็นประธานของคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศของรัฐสภายุโรป

จดหมายเชิญของประธานคณะวิเทศสัมพันธ์ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอาเซียนและประธานกรรมาธิการกิจการต่างประเทศของรัฐสภายุโรปส่งถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ลงวันที่ 7 ต.ค. 2558 หัวกระดาษเป็นของรัฐสภายุโรป ลงชื่อโดยบุคคลทั้งสอง เนื้อหาส่วนหนึ่งของจดหมายกล่าวว่า ตั้งแต่ที่มีรัฐประหารเป็นต้นมา สถานการณ์ในไทยค่อนข้างน่าเป็นห่วง ประเทศไทยยังคงไม่มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและคาดหมายกันว่าจะเป็นเช่นนี้ไปจนถึงกลางปี 2560 ระยะเวลาที่สถานการณ์ไม่แน่นอนจึงดำเนินต่อไป ขณะที่สภาปฏิรูปก็ได้ลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญจากการยกร่างของคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดย คสช. เท่ากับว่าต้องมีการยกร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่

จดหมายบอกว่า ช่วงนี้จึงน่าจะเป็นโอกาสอันดีในอันที่จะมีการถกเถียงกันอย่างเปิดกว้างสำหรับเรื่องร่างรัฐธรรมนูญของไทย อีกด้านหนึ่งจดหมายบอกว่า การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกปลดจากตำแหน่ง และถูกดำเนินคดีก็เป็นประเด็นที่น่าห่วงด้วยเช่นกัน

จดหมายกล่าวอีกว่า สหภาพยุโรปยืนหยัดในเรื่องประชาธิปไตยและสนับสนุนคุณค่าที่เป็นประชาธิปไตย ด้วยเหตุนี้จึงขอเชิญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นในเรื่องของสถานการณ์ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นที่กรุงบรัสเซลส์หรือเมืองสตราสบูร์ก และในเวลาที่อดีตนายกรัฐมนตรีสะดวก

จดหมายดังกล่าวทำให้เกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ กันไป ผู้ใช้โซเชียลมีเดียส่วนหนึ่งเชื่อว่าไม่ใช่ของจริง พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่าจดหมายมีลักษณะไม่เป็นทางการ เนื่องจากมีการจั่วหัวจดหมายเรียกอดีตนายกรัฐมนตรีว่า คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และในการลงชื่อท้ายจดหมายก็ไม่ปรากฏว่ามีการให้รายละเอียดตำแหน่งผู้ลงชื่อทั้งสองแต่อย่างใด

นอกจากนั้น ก็มีการวิเคราะห์กันว่า ถึงจดหมายนี้จะเป็นของจริงแต่ก็ต้องเป็นผลมาจากการวิ่งเต้นอย่างหนัก รวมทั้งว่า จดหมายนี้น่าจะออกในนามส่วนตัวไม่ใช่ในนามของเจ้าหน้าที่แห่งรัฐสภายุโรป นอกจากนั้นมีผู้เสนอให้ตรวจสอบจดหมาย บางฝ่ายเสนอไม่ให้อนุญาตให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางออกนอกประเทศเพราะเกรงจะหลบหนี



ขอบคุณข้อมูลจาก เพจเฟซบุ๊คบีบีซีไทย

ปูติน แค้นถูกสอยเตือนตุรกีระวังผลที่ตามมา

ปูติน แค้นบินรบถูกสอย บอกเจ็บเหมือนโดนแทงข้างหลัง เตือนตุรกีให้ระวังผลที่ตามมา
        เดอะการ์เดียน - ผู้นำรัสเซียเผยเหตุการณ์ที่ตุรกีสอยเครื่องบินรบหมีขาวจนตกบริเวณชายแดนซีเรีย ทำให้รู้สึกราวกับ "ถูกแทงข้างหลัง" พร้อมกับเตือนตุรกีให้ระวังถึงผลที่จะตามมา
      
       ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน บอกนักข่าวก่อนเข้าประชุมกับกษัตริย์อับดุลเลาะห์ที่ 2 แห่งจอร์แดน ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มันเกินกว่ากรอบการสู้รบกับผู้ก่อการร้ายตามปกติ ซึ่งแน่นอนว่ากองทัพของเขานั้นปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญในการสู้กับกลุ่มก่อการร้าย แต่กลับเกิดการสูญเสียในวันนี้ที่เหมือนกับ "ถูกแทงข้างหลัง" โดยฝีมือของพวกสมรู้ร่วมคิดกับผู้ก่อการร้าย
      
       "ผมไม่อาจจะระบุเป็นอื่นไปได้ เครื่องบินของเราถูกยิงตกเหนือดินแดนของซีเรีย ด้วยมิสไซล์แบบอากาศสู่อากาศของเครื่องบิน เอฟ-16 ตุรกี จนตกในดินแดนซีเรีย ห่างจากชายแดนตุรกี 4 กิโลเมตร" ผู้นำรัสเซีย กล่าว
      
       ปูติน ยังได้บอกด้วยว่า รัสเซียจะวิเคราะห์ทุกอย่าง เหตุการณ์อันน่าเศร้าในวันนี้จะต้องมีผลตามมา อาทิ ด้านความสัมพันธุ์รัสเซีย-ตุรกี
      
       "เราปฏิบัติต่อตุรกีในฐานะมิตรประเทศเสมอมา ผมไม่รู้ว่าใครมีส่วนได้ส่วนเสียในสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้บ้าง แต่ที่แน่ๆ คือไม่ใช่เรา" ปูติน กล่าว

ปูติน บอกถูกพวกสมคมคิดก่อการร้ายแทงข้างหลัง

“ปูติน” ระบุถูกผู้สมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มก่อการร้าย “แทงข้างหลัง”
นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ประณามเหตุการณ์ที่เครื่องบินรบของตุรกียิงเครื่องบินรบของรัสเซียตกบริเวณชายแดนตุรกี-ซีเรีย ว่ารัสเซียถูกผู้สมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มก่อการร้ายแทงข้างหลัง
นายปูติน กล่าวว่ารัสเซียจะวิเคราะห์รายละเอียดทุกด้าน และว่าเหตุสลดใจที่เกิดขึ้นครั้งนี้จะส่งผลใหญ่หลวงหลายอย่าง รวมทั้งในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับตุรกีด้วย
สำนักข่าวหลายแห่งรายงานว่า นายปูติน ยืนยันว่าขณะที่ถูกยิงตก เครื่องบินรบของรัสเซียบินอยู่ในน่านฟ้าของซีเรีย ห่างจากชายแดนตุรกี 4 กิโลเมตร
ทั้งนี้ นายปูตินได้ระบุในระหว่างหารือกับกษัตริย์อับดุลลาห์ แห่งจอร์แดนที่เมืองโซชิ ว่า เครื่องบิน Su-24 ถูกยิงด้วยขีปนาวุธยิงจากเครื่องบิน F-16 ในขณะที่บินอยู่เหนือน่านฟ้าซีเรียในจุดที่ห่างจากชายแดนแดนตุรกี 1 กิโล เมตร แต่เครื่องบินมาตกในบริเวณที่ห่างจากชายแดนตุรกีไป 4 กิโลเมตร
เขายืนยันด้วยว่านักบินประจำเครื่องทั้งสองคนไม่ได้แสดงอาการข่มขู่ใด ๆ ต่อเครื่องบินรบของตุรกี แต่ได้ปฏิบัติการปราบปรามกลุ่มนักรบไอเอสในแถบเทือกเขาทางตอนเหนือของเมืองลาตาเกียซึ่งเป็นจุดที่นักรบที่เคยมาจากดินแดนของรัสเซียรวมตัวกันอยู่ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้นักรบเหล่านี้กลับมายังรัสเซียได้อีก

หนังสือที่ฮิตเลอร์เขียนจะพ้นจากการควบคุมการพิมพ์1ม.ค.2016


Mein Kampf ไม่ใช่หนังสือต้องห้าม แต่ไม่มีการตีพิมพ์ใหม่เลยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ทั้ง ๆ ที่ตอนออกใหม่ ๆ ขายดี ฮิตเลอร์ “เขียน” หนังสือเล่มนี้นอกจากเพื่อเผยแพร่ชีวประวัติและ manifesto ของเขาแล้ว ยังเพื่อระดมทุนเพื่อทำพรรคการเมือง ซึ่งที่สุดนำไปสู่การเข้าสู้อำนาจของเขา ส่วน “My Struggle” ที่เป็นพากย์อังกฤษของหนังสือ มีขายทั่วไปในประเทศที่พูดอังกฤษ
ผู้ถือลิขสิทธิ์ Mein Kampf เป็นทางการของแคว้นบาวาเรียที่ไม่ยอมให้มีการพิมพ์ซ้ำหนังสือเล่มนี้เลย ในเยอรมนี การครอบครองหนังสือเล่มนี้ไม่ผิดกฎหมาย แต่การซื้อขายเล่มเก่าที่มีอยู่ ถูกทางการเยอรมนีควบคุมเข้มงวด เฉพาะเพื่อการวิจัยเท่านั้น แต่ตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป Mein Kampf จะหมดลิขสิทธิ์เข้าสู่ public domains ทางการไม่สามารถควบคุมการตีพิมพ์ได้อีกต่อไป เมื่อคำนึงถึงกระแสขวา ๆ ที่ครอบงำยุโรปอยู่ หลายคนกังวลไม่น้อย
หนังสือเล่มนี้ (แบ่งเป็นสองเล่ม) ฮิตเลอร์เขียน โดยการ dictate หรือพูดให้ Rudolf Hess ผู้ช่วยเขาจด ระหว่างติดคุกข้อหาขบถหลังทำรัฐประหารไม่สำเร็จ ซึ่งทำให้เขาเข็ดกับการทำรัฐประหารและเรียนรู้ว่าหนทางเข้าสู่อำนาจ ไม่ใช่การขับรถถัง แต่เป็นการเอาชนะใจประชาชน เขาใช้เวลาเขียนเก้าเดือนจากโทษจำคุกห้าปี ได้รับการปล่อยตัวออกมาก่อน หลังจากนั้นมีการพิมพ์จำหน่าย เมื่อเขาขึ้นเป็นนายกฯ ก็มีการพิมพ์แจกจ่ายกันเอิกเกริก ภายหลังสงคราม ทางการบาวาเรียอ้างสิทธิ์เหนืองานวรรณกรรมชิ้นนี้ แต่ไม่ยอมให้มีการตีพิมพ์ซ้ำ เพราะกระทบจิตใจเหยื่อ (ชาวยิว) ทั้งยังมีการฟ้องคดีในฐานะผู้ทรงสิทธิ์ห้ามการพิมพ์ Mein Kampf ในภาษาอื่นในบางประเทศ (เช่น สเปน โปแลนด์) ที่ห้ามไม่ได้คือที่แปลเป็นอังกฤษ
แต่ 1 ม.ค.2016 ครบ 70 ปีหลังการเสียชีวิตของฮิตเลอร์ การตีพิมพ์หนังสือทำได้โดยไม่ติดลิขสิทธิ์อีกต่อไป ทางการต้องพยายามชำระหนังสือ ให้ตรงกับต้นฉบับมากสุด เพื่อป้องกันไม่ให้พวก far right, neo-Nazi เอาไปใช้แบบิดเบือน ก่อนหน้านี้ มีนักวิชาการจำนวนมากเรียกร้องให้ปล่อยให้มีการจัดพิมพ์หนังสือ แต่ไม่สำเร็จ มันเป็นปัญหาของ freedom of expression ซึ่งการควบคุมไม่น่าจะส่งผลดี
DW ทำสารคดีในโอกาสที่ Mein Kampf จะเข้าสู่ public domains ดีมาก ๆ http://dw.com/p/1GvQU