PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ไทยเป็นเจ้าภาพงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์นานาชาติ

ไทยเป็นเจ้าภาพงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์นานาชาติ ด้านองค์กรต้านการค้าอาวุธตั้งคำถาม ใครคือศัตรูของไทย
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดงานแสดงอาวุธและยุทโธปกรณ์ระดับนานาชาติ 'Defense & Security 2015' ที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีนายทหารระดับผู้บัญชาการกองทัพ ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจ เข้าร่วม 24 ประเทศ ประกอบไปด้วย บรูไน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย กัมพูชา บังกลาเทศ จีน สาธารณรัฐเช็ก ฝรั่งเศส เยอรมัน อินเดีย อิสราเอล อิตาลี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ลาว เม็กซิโก กาตาร์ สิงคโปร์ แอฟริกาใต้ ศรีลังกา ตุรกี ยูเครน และเวียดนาม
เว็บไซต์ asiandefense.com ระบุว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลไทยได้ส่งจดหมายเชิญอย่างเป็นทางการไปยัง 70 ประเทศทั่วโลก
เว็บไซต์ของรัฐบาลสหราชอาณาจักรรายงานว่า บริษัทด้านอาวุธยุทโธปกรณ์จากสหราชอาณาจักร เข้าร่วมงานจัดแสดงอาวุธที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยมีเป้าหมายในการสร้างความร่วมมือใหม่ๆ ในประเทศไทยและในภูมิภาค และการที่สหราชอาณาจักรเข้าร่วมการจัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ครั้งนี้ ก็สะท้อนถึงความสำคัญของประเทศไทยในฐานะพันธมิตรในอุตสาหกรรรมการป้องกันประเทศที่ดำรงมาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม วันเดียวกันนี้ องค์กรรณรงค์ต่อต้านการค้าอาวุธ (Campaign Against Arms Trade) ซึ่งเป็นองค์กรที่เคลื่อนไหวต่อต้านการค้าอาวุธได้ออกจดหมายเปิดผนึกต่อต้านการจัดกิจกรรมดังกล่าว โดยระบุว่า อุตสาหกรรมและการค้าอาวุธทั้งหลายนั้นได้ส่งผลกระทบต่อกลุ่มเป้าหมายผู้บริสุทธิ์ เช่น เด็ก โรงเรียน โรงพยาบาล พร้อมทั้งระบุว่านักค้าอาวุธที่ถูกกฎหมายเหล่านี้ได้ทำให้ประเทศต่างๆ และโลกกลายเป็นพื้นที่ที่น่าหวาดกลัว และผู้ค้าอาวุธก็เจริญเติบโตด้วยวัฒนธรรมการไม่ต้องรับผิด และโดยปราศจากความยินยอมของประชาชน พร้อมทั้งตั้งคำถามด้วยว่า ใครคือศัตรูที่แท้จริงของประเทศไทย
‪#‎Defense‬&Security2015

ดาวตก อุกกาบาต อิริเดียมแฟลร์ กรุงเทพฯ ประเทศไทย 2 พ.ย. 2558

จัดลานเบียร์เข้าข่ายผิดกฎหมาย



"หมอสมาน" ชี้ จัดลานเบียร์เข้าข่ายผิดกฎหมายพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เตรียมหารือเพื่อหามาตรการดำเนินคดี

ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายแพทย์สมาน ฟูตระกูล บอกว่าช่วงไตรมาส 4 ถือเป็นไฮซีซันของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งพบว่าผู้ประกอบการต่างจัดกิจกรรมกระตุ้นตลาดกันอย่างเต็ม ทั้งการจัดกิจกรรมลานเบียร์ การนำกลยุทธ์มิวสิค มาร์เก็ตติ้งเข้ามาใช้ อาทิ ในรูปแบบของการเป็นสปอนเซอร์ จัดคอนเสิร์ต มิวสิคเฟสติวัล เป็นต้นซึ่งกิจกรรมเหล่านี้เข้าข่ายการกระทำผิด ตามมาตรา 32 ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปี 2551

โดยทางกรมไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง และอยู่ระหว่างหาแนวทางการดำเนินการด้านคดี ซึ่งจะเชิญคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.นี้ ร่วมประชุมด้วย โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไปสำหรับมาตรา 32 ของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นบทบัญญัติว่าด้วย การห้ามไม่ให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือแสดงชื่อ หรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณ หรือชักจูงให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อมแล้ว"

ปัดใช้อำนาจ คสช.ตามมาตรา 44 ต่อโครงการรับจำนำข้าว ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อเล่นงานอดีตนายกรัฐมนตรี



รัฐบาลปฏิเสธ การใช้อำนาจ คสช.ตามมาตรา 44 ต่อโครงการรับจำนำข้าว ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อเล่นงานอดีตนายกรัฐมนตรี หรือฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล แต่เพื่อคุ้มครองเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน 

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีประกาศใช้อำนาจ คสช. ตามมาตรา 44 คุ้มครองการบริหารจัดการข้าว และการดำเนินการต่อผู้ต้องรับผิดในโครงการรับจำนำข้าวนั้น ไม่ถือเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และมาตรา 44 เป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อคุ้มครองเจ้าหน้าที่

สอดคล้องกับ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฏหมาย ชี้แจงว่าประกาศตามมาตรา 44 เพื่อคุ้มครองเจ้าหน้าที่ แต่คำสั่งดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับผู้ถูกกล่าวหา หรือ เป็นเครื่องมือที่ใช้เล่นงาน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาล  

ส่วนการขยายระยะเวลา คณะกรรมการตรวจสอบความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว ของกระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ ออกไปอีก 1 เดือนนั้น สามารถทำได้ เนื่องจากการตรวจสอบพยานยังไม่แล้วเสร็จ แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม รวมถึงระยะเวลาของอายุความที่จะครบกำหนดในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2560

พระพุทธอิสระขยายผลจากLine"เสี่ยอู้ด"

เนื่องในวันฮาโลวีน เรามาทำความรู้จักเรื่องของผีเสี่ยอู๊ดกันหน่อย
๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
เห็นข่าวการฆ่าตัวตายของเสี่ยอู๊ดในโรงแรมที่พิษณุโลก
ทั้งยังเขียนจดหมายตัดพ้อว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี พร้อมกับเขียนพรรณนาความทุกข์ในใจ
ทำให้ฉันนึกขึ้นมาได้ว่า ครั้งหนึ่งนายอู๊ด สิทธิกร บุญฉิม เป็นอดีตศิษย์คนสนิทของเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์ เป็นมือสร้างมือขายพระกริ่งนเรศวร ทำเงินให้เจ้าอาวาสวัดสุทัศน์เป็นร้อยๆ ล้าน
แม้มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยก็ยังได้เคยพึ่งใบบุญเสี่ยอู๊ดช่วยสร้างหอฉัน สูง ๔ ชั้น ๘๕ ล้านบาท
แต่ขณะที่ธุรกิจซื้อพระขายพระของวัดสุทัศน์และวัดในเครือกำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุด จนทำให้มัวเมาเหิมเกริมกำเริบถึงขนาดอ้างเบื้องสูง นำเอาพระมหาพิชัยมงกุฎมาประทับอยู่หลังสมเด็จเหนือหัว ทั้งยังแอบอ้างด้วยว่าได้รับพระราชทานมวลสารสำคัญคือดอกไม้พระราชทาน
สมเด็จเหนือหัววัดสุทัศน์และเสี่ยอู๊ดได้จัดสร้างอย่างอลังการ ลงทุนโฆษณาในทุกสื่อ เปิดให้จองล่วงหน้า สามารถระดมเงินได้มหาศาล
และแล้วอวสานของเสี่ยอู๊ดก็มาถึง
เมื่อสำนึกพระราชวังเป็นโจทก์แจ้งความร้องทุกข์แก่เจ้าพนักงานกองปราบ นำมาซึ่งการดำเนินคดีต่อเสี่ยอู๊ดโทษฐานแอบอ้างเบื้องสูงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์
งานนี้เสี่ยอู๊ดทำตัวเป็นศิษย์กตัญญู ยอมรับความผิดทั้งหมดติดคุกแทนครูบาอาจารย์ คดีนี้โดยเนื้อแท้ต้องมีผู้ร่วมกระทำผิดด้วย นั่นก็คือเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์ แต่เสี่ยอู๊ดยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว
ฉันยังจำได้ว่า ก่อนที่จะมีการเลื่อนสมณศักดิ์เจ้าอาวาสวัดสุทัศน์ จากสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายมหานิกาย ที่พระวิสุทธาธิบดี วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ แทนสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสุวรรณาราม ที่มรณภาพลง
ฉันได้พบสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม ได้เรียนถามท่านว่า ผมได้ยินมาว่าพระเดชพระคุณจะเสนอชื่อเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์องค์ปัจจุบันขึ้นเป็นสมเด็จหรือขอรับ
สมเด็จวัดชนะท่านเมตตาตอบว่า ผมก็คิดเช่นนั้น
ฉันยังท้วงว่า จะเป็นการสมควรหรือขอรับพระเดชพระคุณ
ด้วยเพราะเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์ มีส่วนพัวพันต่อคดีสมเด็จเหนือหัว อาจจะไม่เป็นการบังควรและไม่สง่างามต่อสังฆมณฑล
สมเด็จวัดชนะท่านว่า ท่านเอ๋ย ให้ๆ มันไปเถิด เขาป่วยพะงาบๆ จะรอดแหล่ไม่รอดแหล่ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะตาย อาจตายก่อนได้รับพัดยศด้วยซ้ำ
แต่แล้วผู้ที่มรณภาพกลายเป็นสมเด็จวัดชนะเสียเอง สมเด็จใหม่วัดสุทัศน์ยังมีชีวิตอยู่แบบต้องพยุงปีก หยอดน้ำข้าวต้มอยู่ทุกวันนี้
ใครจะมองว่าเสี่ยอู๊ดเลวร้ายยังไง แต่สำหรับฉัน กลับมองว่าเสี่ยอู๊ดเป็นคนกตัญญู ยอมติดคุกแทนอาจารย์ อีกทั้งยังเป็นคนที่มีจิตสาธารณะ ช่วยเหลือสังคมตลอด
ส่วนเรื่องการกระทำที่ไม่บังควรต่อสถาบัน เด็กไม่จบ ป.๔ อย่างเสี่ยอู๊ด หากไม่มีผู้ชักนำอยู่เบื้องหลัง คงจะทำไม่ได้ขนาดนี้
อีกทั้งวัดสุทัศน์ก็เคยมีภิกษุนักเทศน์ชื่อดังโดนสำนักราชวังเบรกเรื่องชอบอ้างเบื้องสูง เป็นเหตุทำให้นักพูดปากเสียสงบปากสงบคำไปพักหนึ่ง
วันนี้เสี่ยอู๊ดในอดีตผู้เคยเป็นคนดีที่พึ่งของบรรดาภิกษุผู้ต้องการลาภ แต่มาวันนี้เขากลับต้องมาฆ่าตัวตายเพราะหมดตัว มีชีวิตอยู่อย่างแร้นแค้นยากลำบาก ทั้งหมดล้วนมาจากจิตที่กตัญญูต่อคนแล้งน้ำใจ ไร้คุณธรรม กรรมจึงต้องตกมาอยู่ที่เขา ช่างน่าอนาถนัก
เรื่องเหม็นๆ ในสังฆมณฑลเหล่านี้ยังมีอยู่อีกมากที่รอวันเปิดเผย หากมีเวลาจะนำมาเล่าสู่กันฟังเป็นระยะๆ
พุทธะอิสระ

"มีชัย"แจงยิบ เลือกตั้งแบบ"จัดสรรปันส่วนผสม"เหมาะกับไทย ท้า ของใครเจ๋งยอมเปลี่ยน

2พ.ย.2558

http://www.matichon.co.th/online/2015/11/14464561751446456200l.jpg


เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 2 พฤศจิกายน ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) วาระพิจารณาร่างบบบัญญัติรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราในหมวดแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ทั้งนี้ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ.แถลงกรณีที่มีข้อท้วงติงเกี่ยวกับระบบการเลือกตั้งส.ส.แบบจัดสรรปันส่วนผสมว่าเป็นการตัดตอนพรรคการเมืองขนาดใหญ่ว่า ตนขอชี้แจงเพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับระบบดังกล่าว ดังนี้

1.การเข้าใจเรื่องนี้ได้ต้องเริ่มต้นว่าเราจะยอมเคารพเสียงของประชนมากน้อยเพียงใด ในการไม่ให้คะแนนประชาชนสูญเปล่า การเลือกตั้งที่ผ่านมาเราใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ โดยบัตรเลือกตั้งใบหนึ่งนับคะแนนหมด  แต่บัตรเลือกตั้งอีก 1 ใบนับส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือคะแนนจะถูกทิ้งน้ำไป 

2.เวลาที่กรธ.คิดประเด็นนี้ ไม่ได้คิดถึงพรรคการเมืองใดเลย และไม่คิดว่าจะเกิดประโยชน์หรือโทษใดกับพรรคการเมือง คิดแต่เพียงว่าจะทำอย่างไรให้คะแนนของประชาชนมีน้ำหนักนำไปใช้ในการออกเสียงเลือกตั้งใหม่มากที่สุด 3.วิธีนี้กรธ.มองว่าเป็นวิธีการปรองดองย่างหนึ่งคือให้คะแนนเฉลี่ยกันไปทุกพรรค 

นายมีชัย กล่าวว่า 4.สำหรับนักวิชาการหรือสื่อมวลชนที่ชอบอ้างว่าไม่มีประเทศใดทำกัน ตนขอชี้แจงว่าคนไทยเรามีสติปัญญาที่จะคิดอะไรออกได้เองที่เหมาะสมกับบริบทของการเมืองไทย การไปเรียนหนังสือที่ต่างประเทศไม่ใช่ไปจำตำราของเขามาใช้อย่างเดียว แต่ต้องเรียนรู้และนำมาปรับใช้ให้เข้ากับประเทศของเรา

5.ถ้าเราจะเอาโลกมาเป็นตัวอย่าง ก็ต้องถามว่าโลกนี้เคยมีรัฐบาลไหน ที่ออกมาพูดในที่สาธารณะว่าคนภาคใด หรือจังหวัดใด ถ้าไม่เลือกพรรคของตนจะไม่จัดสรรงบประมาณให้  หรือเอาโครงการจากจังหวัดหนึ่งย้ายไปอีกจังหวัดหนึ่ง เพียงเพราะจังหวัดนั้นไม่ได้เลือกคนของรัฐบาล ที่อ่านมีหรือไม่ไม่รู้ แต่ประเทศไทยมี ซึ่งทางกรธ. กำลังพยายามหาวิธีแก้ไขปัญหา โดยระบบการเลือกตั้งใหม่ทุกจังหวัดจะมีคะแนนเสียงเอื้อต่อทุกพรรคการเมืองมากบ้างน้อยบ้าง จนสามารถพูดได้ว่าคนทั้งประเทศสนับสนุนทุกพรรคมากบ้างน้อยบ้างสุดแล้วแต่กำลังศรัทธาของแต่ละพรรค
             

นายมีชัย กล่าวต่อว่า 6. พรรคจะต้องคัดเลือกคนดีที่สุดลงสมัคร  แม้จะรู้ว่าคะแนนในเขตนั้นจะสู้พรรคการเมืองอื่นไม่ได้ แต่ก็ยังมีความหวังที่จะได้คะแนนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อนำไปคำนวณหาส.ส.บัญชีรายชื่อ  และ7. ในการเลือกตั้งปี 2554 มีเขตเลือกตั้ง 375 เขต โดยมีถึง 120 เขตที่คนคะแนนเลือกตั้งได้น้อยกว่าคนที่ไม่ได้รับเลือกตั้งโดยยังไม่ได้มีการนับจำนวนโหวตโน  ถ้านับด้วยจะมากกว่า 120 เขต 

ทั้งนี้ หากเราใช้วิธีแบบเดิมคนที่ได้คะแนนสูงสุดไม่ว่าจะได้จำนวนเท่าใดก็ได้รับเลือกตั้ง แต่คนที่ไม่เอาคนนั้น ถึงแม้จะมีคะแนนเท่าไหร่เราก็ทิ้งไป ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรม เมื่อทุกพรรคมุ่งมั่นว่าต้องฟังเสียงประชาชน เราก็ต้องใช้เสียงประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ต้องลดการคิดถึงประโยชน์ของพรรคแล้วหันมานึกถึงประโยชน์ของประชาชนให้มากขึ้น เพราะเวลาที่กรธ.คิดเราไม่ได้คิดถึงความได้เปรียบเสียเปรียบของพรรคเลย  ทั้งนี้ข้อมูลหรือข้อคิดเห็นของแต่ละพรรคการเมือง รวมทั้งนักวิชาการ สามารถเสนอแนะมาได้ ทางกรธ.ก็รับฟัง และนำมาคิด ตรงไหนที่บอกว่าเป็นจุดอ่อนว่าประชาชนไมรับความเป็นธรรม เราจะเอากลับมาคิด แต่ตรงไหนที่ทำให้พรรคได้เปรียบเสียเปรียบเราจะไม่เอากลับมาคิด


"ต้องยอมรับว่าบ้านเมืองเรากำลังมีปัญหาในเรื่องของความไม่เข้าใจกันตัวอย่าง ในครอบครัวหนึ่งมีสมาชิก 10 คน โดยแต่ละวันมีกับข้าวได้เพียงอย่างเดียว แล้วให้ลงคะแนนกันว่าจะกินอะไร โดย 4 คนลงคะแนนว่ากินแกงเผ็ด  3 คนลงคะแนนว่ากินแกงจืด 2 คนลงคะแนนว่าจะกินผัดผัก 1 คนไม่ลงคะแนน   ถ้าใช้หลักการนี้ทุกคนก็ต้องกินแกงเผ็ดไปทั้งอาทิตย์ ดังนั้น จึงต้องหาแนวทางว่าจะทำอย่างไรใน 1 อาทิตย์ จะมีแกงจืด 2 วัน ผัดผัก 1 วัน ที่เหลือจะกินแกงเผ็ดไปอีก 4 วันก็ไม่ว่ากัน แต่อย่างน้อยชีวิตในครอบครัวก็จะอยู่ร่วมกันได้ โดยไม่ขมขื่นจนเกินไป ไม่ต้องกินแกงเผ็ดไปทั้งอาทิตย์”นายมีชัย กล่าว


ประธานกรธ. กล่าวต่อว่า กรธ.ไม่เคยคิดว่าระบบนี้จะทำให้ได้รัฐบาลอ่อนแอ เพราะต้องขึ้นอยู่กับประชนว่าจะเลือกพรรคการเมืองใด ดังนั้นไม่ต้องกังวลเพราะทุกพรรคก็จะปรับวิธีการของเขาได้ โดยต่อไปผู้สมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อก็ต้องลงไปหาเสียงด้วย  เพราะพื้นที่นั้นต้องเป็นของเขาด้วย  ซึ่งระบบนี้เป็นเรื่องของการกำหนดกติกาบ้านเมือง เพื่อทำให้เกิดความเป็นธรรมที่สุด ทำให้ทุกคะแนนเสียงของประชาชนมีน้ำหนักไม่ถูกทิ้งน้ำ เพราะท่านมา คะแนนเสียงของประชาชน 16-17 ล้านเสียง ก็หายต๋อมไปเลย ไม่ได้อะไรกลับมา


เมื่อถามว่า แสดงว่า กรธ.ไม่ได้มองผลลัพธ์ว่าจะออมาเป็นอย่างไรใช่หรือไม่  นายมีชัย กล่าวว่า  ไม่ได้มอง เพราะขนาดคนที่ร่างรัฐธรรมนูญในสหรัฐอเมริกา เขาไม่เคยรู้เลยว่าพรรคริพับลิกันจะชนะเลือกตั้ง เพราะต้องเป็นไปตามธรรมชาติ ดังนั้นเป็นความเข้าใจผิดมากกว่าว่าถ้าร่างรัฐธรรมนูญแล้วจะทำให้พรรคนั้นพรรคนี้ชนะ นั่นเป็นความคิดที่ผิดอย่างมาก  อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวเลขระหว่างส.ส.แบบแบ่งเขตและส.ส.แบบบัญชีรายชื่อนั้น ทางกรธ.อยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อหาตัวเลขที่เหมาะสม แต่จะพยายามให้ใกล้เคียงกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆ มาให้มากที่สุด ถ้าจะเปลี่ยนแปลงก็เป็นเพราะไม้ต้องการให้ใครเอาตัวเลขครั้งที่แล้วไปทำให้เกิดความตระหนกตกใจ  ส่วนคุณสมบัติของผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.นั้น เบื้องต้นมองว่าไม่ว่าจะใช้ระบบการเลือกตั้งแบบใด คุณสมบัติก็จะต้องเข้มขึ้น


เมื่อถามว่า จะมีการเขียนกำหนดห้ามไม่ให้พรรคการเมืองส่งพรรคนอมินีลงเลือกตั้งไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายลูกหรือไม่ นายมีชัย กล่าวว่า เราคงไม่ห้าม แต่ใครที่คิดจะกระทำการทุจริตการเลือกตั้งเราตัดสิทธิตลอดชีวิต แต่ไม่ว่าจะใช้ระบบไหน ก็มีพรรคนอมินีทั้งนั้น ก็ต้องถามว่าแล้วจะตั้งไปเพื่ออะไร ถ้าคิดตั้งก็แสดงว่าจะมีการทุจริตเลือกตั้ง ตั้งแต่แรก  และจะกำกับได้อย่างว่าให้ประชาชนเลือกพรรคนั้นพรรคนี้ พอดีพอร้ายทั้ง 2 พรรคก็ไม่ได้รับเลือกตั้งเลย เล่นกับประชาชนเล่นยากนะ ส่วนจุดโหว่ในระบบเลือกตั้งเราก็จะหาทางปิด

ดังนั้น เราก็ต้องฟังไปเรื่อยๆ อะไรเจ๋งเราก็เอากลับมาคิด โดยกรอบที่คสช.ให้มา 5 ข้อ กับ 10 ข้อในรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) 2557 มาตรา  35 กรธ.ก็เดินตามนั้น และที่เราคิด ทั้งคสช.และครม.ยังไม่รู้เลยว่าเราคิดอะไรกัน เพราะกรธ.ยังไม่มีเวลาไปอธิบาย

Calm down แค่เกิดเหตุระเบิดในโรงงานนิวเคลียร์แห่งหนึ่งของเบลเยี่ยมเท่านั้นเอง

Calm down แค่เกิดเหตุระเบิดในโรงงานนิวเคลียร์แห่งหนึ่งของเบลเยี่ยมเท่านั้นเอง จิ๊บๆ
-----------
วันที่ 1 พ.ย.58 RT news พาดหัวข่าวว่า "ระเบิดเขย่าโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในประเทศเบลเยี่ยม" (Explosion rocks nuclear power plant in Belgium) ไม่มีการบาดเจ็บและล้มตายแต่อย่างใด จบข่าว... ยัง… แหม สั้นเกินไปหรือเปล่าครับแอ็ดมิน? อ้อ… งั้นอ่านต่อนะครับ
รายงานข่าวบอกว่าในช่วงที่นายโอบาม่ากำลังพักผ่อนวันหยุดอยู่กับครอบครัวในประเทศสหรัฐฯอเมริกาอยู่นั้น ก็ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นในช่วงกลางคืนที่โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ในเมือง Doel ทางตอนเหนือของประเทศเบลเยี่ยม สื่อฯท้องถิ่นรายงาน โดยกล่าวเพิ่มเติมว่า การระเบิดในครั้งนี้ได้ทำให้เกิดไฟลุกไหม้ ความเสียหายโดยตรงจากเหตุการณ์ดังกล่าวไม่มีการเปิดเผย [ปิดหูปิดตาประชาชน! ปิดปากสื่อฯ! อ้าวทีงี้ไม่เห็นสื่อฯไทยสื่อฯเทศออกมาเรียกร้องเรื่องเสรีภาพของสื่อฯบ้างเลยอ่ะ? - ผู้แปล]
รายงานข่าวบอกว่าได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 11 p.m. ในวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่น (ก็ราว 5 ทุ่มกว่า) ไฟได้เริ่มลุกไหม้จากเตาปฏิกรณ์ที่ 1 ของโรงงาน แต่เจ้าหน้าที่ก็สามารถดับไฟลงได้ในเวลาไม่นาน
Els De Clercq โฆษกหญิงจากบริษัท Electrabel ด้านพลังงานของเบลเยี่ยมซึ่งดำเนินกิจการในโรงงานแห่งนี้กล่าวกล่าวกับสำนักข่าว Het Laatste Nieuws ว่า เหตุระเบิดดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อธรรมชาติ ไม่ปรากฏว่ามีเชื้อเพลิงในช่วงเวลาที่เกิดเหตุเนื่องจากเตาปฏิกรณ์ได้ถูกปิดลงไปแล้วเพราะว่าใบอนุญาตหมดอายุ [ว้าว! นี่ขนาดปิดแล้ว?]
สถานีไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ Doel (Doel Nuclear Power Station) เป็นหนึ่งในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์สองแห่งในประเทศเบลเยี่ยม ตั้งอยู่ใกล้กับเมือง Doel ทางตะวันออกของ Flanders โรงงานแห่งนี้มีพนักงานจำนวน 800 คน
นิตยสาร Nature และมหาวิทยาลัย Columbia University ในนิวยอร์กกล่าวว่า โรงงานนิวเคลียร์แห่งนี้ อยู่ในพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งหมดในสหภาพยุโรป มีประชาชนราว 9 ล้านคนอาศัยอยู่ในรัศมี 75 กม.จากสถานีพลังงานแห่งนี้
เอ… รู้สึกว่าคุ้นๆกับข่าวแบบนี้อยู่นะครับ รู้สึกว่าจะเคยเขียนไปแล้วครั้งหนึ่งด้วย ลองเช็กดูจาก Sputnik อีกทีหนึ่งปรากฏว่าวันที่ 13 ส.ค.58 Sputnik news พาดหัวข่าวว่า "เตาปฏิกรณ์พลังงานนิวเคลียร์ในเบลเยี่ยมหยุดทำงานโดยอัตโนมัติ" (Nuclear Reactor Automatically Shuts Down in Belgium) กรณีนี้รายงานข่าวบอกว่าเป็นเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในโรงไฟฟ้า Tihange Nuclear Power Station อีกที่หนึ่ง
สรุป… งานนี้ทางเบลเยี่ยมยืนยันว่า "เอาอยู่" ดังนั้นท่านโอบาม่าก็ไม่ต้องตกอกตกใจไป ขอให้พักผ่อนวันหยุดสุดสัปดาห์เตรียมวางแผนส่งหน่วยรบพิเศษของสหรัฐฯเข้าไปฝึกพวกกบฏซีเรียให้รู้จักวิธีรับประทานข้าวหลามลอยฟ้าจากรัสเซียได้เลย

อาเดมรับสารภาพไม่เกี่ยวอุยกูร์

อาเดม รับผิดทุกข้อกล่าวหา ยันไม่เกี่ยวอุยกูร์ เกรย์วูล์ฟ ไม่ต้องการติดต่อญาติเกรงไม่ปลอดภัย
Cr:ผู้จัดการ
ทนายความ ยืนยัน "อาเดม" รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา แต่ไม่เกี่ยวข้ององค์กรอุยกูร์โลก พร้อมไม่ขอประสานญาติเพื่อความปลอดภัย คาดอัยการสั่งฟ้องคดีระเบิด 12 พฤศจิกายนนี้
วันนี้(2พ.ย.) เมื่อเวลา 08.30 น. ที่มณฑลทหารบกที่11 (มทบ.11) นายชูชาติ กันภัย ทนายความของนายอาเดม คาราดัก หรือนายบิลาเติร์ก มูฮัมหมัด ผู้ต้องหาคดีรอบวางระเบิดบริเวณศาลท้าวมหาพรหม สี่แยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร ได้เข้าเยี่ยมลูกความภายในเรือนจำชั่วคราว แขวงถนนนครชัยศรี โดยใช้นานกว่า 2 ชั่วโมง
นายชูชาติ กล่าวว่า นายอาเดม ยืนยันรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา แต่ไม่เกี่ยวข้ององค์กรอุยกูร์โลก และปฏิเสธไม่รู้จักองค์กรเกรย์ วูล์ฟส์ (Grey Wolves) แต่อย่างใด อีกทั้งยอมรับว่าในปี 2552 ซึ่งมีเหตุรุนแรงในเขตปกครองพิเศษซินเจียง ครอบครัวก็ได้รับผลกระทบจากเหตุดังกล่าวด้วย ทั้งนี้นายอาเดมไม่มีความประสงค์ให้ทนายความ หรือหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องติดต่อญาติเพื่อความปลอดภัย ขณะที่สุขภาพโดยรวมของผู้ต้องหาเป็นปกติดี
นายชูชาติ กล่าวต่อว่า ในส่วนของทนายความยังคงยึดตามแนวทางเดิมในทางคดีคือการขอลดโทษเนื่องจากผู้ต้องหาให้การรับสารภาพโดยคาดว่าในวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ อัยการศาลทหารจะพิจารณาสั่งฟ้องคดี

"ดอยซ์แบงก์" ของเยอรมัน ได้ประกาศแผนจะปลดพนักงาน 15,000 คน

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
สำนักข่าว "ซีเอ็นบีซี" รายงานว่า ธนาคาร "ดอยซ์แบงก์" ของเยอรมัน ได้ประกาศแผนจะปลดพนักงาน 15,000 คน ประกอบด้วยพนักงานประจำ 9 พันตำแหน่ง และลูกจ้างอีก 6 พันตำแหน่ง และจะปิดกิจการใน 10 ประเทศ ในแผนปรับโครงสร้างใหญ่ของธนาคาร ภายหลังประสบภาวะขาดทุนเป็นมูลค่า 6 พันล้านยูโร รวมทั้งจะขายธุรกิจที่มีการจ้างงานพนักงาน 2 หมื่นคน ในอีก 2 ปีข้างหน้าด้วย
โดยในประเทศที่ธนาคารมีแผนจะปิดกิจการ ได้แก่ อาร์เจนตินา ชิลี เม็กซิโก อุรุกวัย เปรู เดนมาร์ก ฟินแลนด์ นอร์เวย์ มอลต้า และนิวซีแลนด์ รวมทั้งการหยุดจ่ายเงินปันผลให้แก่นักลงทุนและผู้ถือหุ้น ในปี 2015 และ 2016 ด้วย นอกจากนี้ ในแผนระยะยาว ดอยซ์แบงก์ยังมีแผนจะปลดพนักงาน



ด้านผู้บริหารของธนาคารแห่งนี้กล่าวว่า ดอยซ์แบงก์ยังมีแผนจะปรับระบบที่ล้าสมัย และถอนกิจการจากประเทศที่เสี่ยงต่อการลงทุน รวมทั้งทำให้ดอยซ์แบงก์เป็นธนาคารที่สามารถมีเงินทุนที่เพิ่มสูงขึ้น

ขณะที่การปรับโครงสร้าง มีขึ้นหลังจากธนาคารแห่งนี้รายงานว่า ประสบภาวะขาดทุนในไตรมาสล่าสุดที่มากกว่าที่ประมาณการณ์ไว้ก่อนหน้านี้  รวมทั้งจากสถานการณ์การถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง และการเสื่อมค่าของสินทรัพย์ที่บริษัทถือครองอยู่ด้วย




ที่มา มติชนออนไลน์

เตรียมส่งมอบรถเกราะยูเครน

"พลเอกประวิตร" นำ ผบ.เหล่าทัพ เดินชมนิทรรศการอาวุธ ยันกห.หนุนเหล่าทัพ-กห.วิจัย สร้างยุทโธปกรณ์ใช้เอง เล็งเพิ่มงบฯ แต่ต้องร่วมทุนภาคเอกชนก่อน เผยราคายังสูงอยู่ หวังเหล่าทัพเป็นลูกค้า /พบหารือ Gen Stepan Poltorak รมว.กห.ยูเครน และเดินชมนิทรรศการDefense & Security2015 ในส่วนของ ยูเครน ด้วย โดยพลเอกประวิตร เผยว่า ทางยูเครน ยืนยัน จะส่งมอบ รถถัง Oplot และรถเกราะ BTR3-E1 ให้ ทบ.ตามสัญญา โดยจะส่งรถถังOplotมาอีก5คันปลายปีนี้ หลับจากที่ส่งมาแล้ว10 คัน และ ส่ง รถเกราะBTR อีกราว40คัน ให้ต้นปี2016
ที่อิมแพค เมืองทองธานี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม พร้อมด้วย พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม พลเอก ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกลาโหม พลเอกสมหมาย เกาฏีระ ผบ.สส. พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบทบ. พลเรือเอก ณะ อารีนิจ ผบ.ทร. พลอากาศเอก ตรีทศ สนแจ้ง ผบทอ. และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้ร่วมพิธีเปิด และเดินชมนิทรรศการการ Defense & Security 2015 จัดโดยกระทรวงกลาโหม ซึ่งมี พลเอกปรีชา ปัดกลาโหม เป็นแม่งาน
ในการนี้ พลเอกประวิตร ได้พลหารือกับ Gen Stepan Poltorak รมว.กห.ยูเครน และเดินชมนิทรรศการDefense & Security2015 ในส่วนของ ยูเครน ด้วย
โดยพลเอกประวิตร เกิดเผยว่า ทางยูเครน ยืนยัน จะส่งมอบ รถถัง Oplot และรถเกราะ BTR3-E1 ให้ ทบ.ตามสัญญา โดยจะส่งรถถังOplotมาอีก5คันปลายปีนี้ หลับจากที่ส่งมาแล้ว10 คัน และ ส่ง รถเกราะBTR อีกราว40คัน ให้ต้นปี2016
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า จากสถานการณ์ด้านความมั่นคงในปัจจุบันที่มีความซับซ้อน และมีลักษณะข้ามชาติ ทำให้อาวุธยุทโธปกรณ์ เทคโนโลยีมีความทันสมัย นอกจากกองทัพมีหน้าที่ปฏิบัติด้านการทหารแล้ว ยังต้องมีความพร้อมช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเมื่อประสบพิบัติ ตลอดจนแก้ไขปัญหาอื่นๆ เช่น การป้องกันการค้ามนุษย์ และแก้ไขปัญหายาเสพติด รวมทั้งสิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ ดังนั้นงาน
Defense & Security 2015 จะนำเสนอเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ผลิต ผู้แทนนายทหารระดับโลกได้แลกเปลี่ยนความรู้ และเสริมสร้างความร่วมมือในระยะยาว ทั้งยังเป็นช่องทางพิเศษให้กับภาคการผลิตจากนานาประเทศอีกด้วย

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า งานนึ้ จัดมาต่อเนื่องกันมา ร่วมกับกระทรวงกลาโหม และภาคเอกชน เพื่อให้ต่างประเทศมาออกบูธแสดงสินค้า ซึ่งในปีนี้มีกว่า 300 บูธ
พลเอกประวิตร กล่าวถึงการสนับสนุนอุตสาหกรรม ป้องกันประเทศ ในส่วนของไทยว่า เนาสนับสนุนการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ใช้เองอยู่แล้ว แต่ไม่สามารถนำเข้าประจำการในกองทัพได้ โดยเฉพาะในส่วนกระทรวงกลาโหมที่ร่วมกับภาคเอกชนได้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ มีความคืบหน้าไปมาก และพยายามดึงทุกเหล่าทัพมาเป็นลูกค้า แต่ติดที่ราคาสูง และผลิตได้จำนวนจำกัดเพียง 1-2 ชิ้น เพราะฉะนั้นต้องดูว่าในอนาคตจะดำเนินการอย่างไร เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงตลอด
นอกจากนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากต่างประเทศด้วย เช่น ประเทศยูเครน เราจะประกอบรถลำเลียงพลหุ้มเกราะแบบล้อยาง หรือ BTR-3E-1 ในประเทศไทย
ส่วนการหารือกับ รมว.กลาโหมยูเครน กรณีการจัดซื้อรถถัง Oplot ที่ไทยสั่งซื้อนั้น โดยทางยูเครนทราบดี และบอกว่าจะทำตามสัญญา เพียงแต่ยังติดขัดสถานการณ์ภายในประเทศของเขา ซึ่งภายในปีนี้จะส่งมาอีก 5 คัน โดยทาง พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ.ก็ติดตามอยู่ตลอดเวลา ส่วนรถเกราะBTR อีก40 คัน จะมาในต้นปี2016

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า กระทรวงกลาโหมพยายามสร้างอุปกรณ์มาใช้เอง เพียงแต่ติดขัดที่มีงบประมาณน้อย และต้องอาศัยบริษัทเอกชนให้ความร่วมมือ ขณะนี้กำลังดำเนินการอยู่ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ดำเนินการก็มีขีดความสามารถ แต่ต้องเข้าใจว่าเราไม่สามารถสร้างโรงงานผลิตเองได้ เพราะไม่มีงบประมาณ ทั้งนี้ตนมองว่าภายในปีหน้าถ้ามีงบประมาณ และร่วมงานกับเอกชนก็จะมีความชัดเจนมากขึ้น
นอกจากนี้ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (DTI) ได้ ”เปิดตัว ยานเกราะล้อยาง 8x8
รุ่น Black Widow Spider ที่ผลิตขึ้นเองคันแรกของประเทศ
โดยถือเป็นก้าวสำคัญสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้เกิดความเข้มแข็งมีศักยภาพเป็นเจ้าของเทคโนโลยีเอง พร้อมนำทัพอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ โชว์ฝีมือนักวิจัยไทย ในงาน Defense & Security 2015
พลเอก สมพงศ์ มุกดาสกุล ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (DTI) เปิดเผยว่า ประสิทธิภาพของยานเกราะล้อยาง DTI 8x8 นี้เป็นไปตามมาตรฐานทางทหารของกลุ่มประเทศนาโต้ (NATO STANAG) ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ผลงานที่เป็นนวัตกรรมชิ้นสำคัญคือ “ยานเกราะล้อยาง DT 8x8” คันแรกของเมืองไทย ชื่อรุ่นBlack Widow Spider ที่พัฒนาโดยนักวิจัยไทยของ DTI บูรณาการความร่วมมือกับ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ หรือ MTEC และภาคเอกชนทีความเชี่ยวชาญในด้านนิรภัยยานยนต์ ทำให้ เกิดต้นแบบยานเกราะนี้ขึ้นมา โดยใช้เทคโนโลยีของตัวเองมากกว่า 60% และใช้ระยะเวลาเพียง 2 ปี ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดสำคัญของโครงการพัฒนายุทธยานยนต์เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี
โดยที่คุณสมบัติสำคัญของยานเกราะล้อยาง DTI 8x8 คือ สามารถขับเคลื่อนได้ทั้งบนบกและในน้ำ รองรับผู้ปฏิบัติงานได้ 12 นาย ติดตั้งป้อมปืนได้ถึงขนาด 30 มม. มีกล้องตรวจการณ์รอบคันรถจึงปฏิบัติภารกิจได้หลากหลายรูปแบบ เช่น เป็นยานบัญชาการ มีตัวถังเกราะได้มาตรฐานนาโต้
STANAG 4569 ระดับ 4 คือ ทนทานต่อกระสุนปืนเล็กทุกขนาด ทนต่อกระสุนปืนกลหนักขนาด 14.5 x 114 มม. หรือ 0.57 คาลิเบอร์ ที่ยิงระยะ 200 เมตร และยังทนต่อแรงระเบิดของกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มม.ที่ตกระยะ 30 เมตรอีกด้วย
อีกทั้งยังมีสมรรถนะสูงที่เหมาะสมต่อการ ปฏิบัติงานในสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างได้เป็นอย่างดียิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการไต่ลาดชันได้ไม่น้อยกว่า 60% การไต่ลาดเอียงได้ไม่น้อยกว่า 30%
ปัจจุบันอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยถือว่ามีความรุดหน้าไปมาก โดย DTI ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยร่วมมือกับภาคเอกชนที่มีความสามารถและมีความตั้งใจ ในการพัฒนาและผลักดันให้เกิดการวิจัยและสร้างยุทโธปกรณ์ของไทยให้กับกองทัพ ซึ่งเมื่อเกิดความเข้มแข็งแล้วในอนาคตก็จะมีโอกาสในการร่วมมือพัฒนาด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศระหว่างชาติ ในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน
“ช่วงปี 2558 - 2559 DTI ซึ่งเป็นหน่วยงานด้าน R & D อาวุธยุทโธปกรณ์ให้กองทัพไทย ได้สร้างผลงานวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศไปแล้วกว่า 20โครงการ โดยหลายโครงการที่นำมาจัดแสดงนั้นได้มีการส่งมอบให้กองทัพไปใช้งานแล้ว ซึ่งต้องขอบคุณหน่วยผู้ใช้ที่ให้การสนับสนุนและร่วมผลักดันอุตสาหกรรมป้องกันประเทศสะท้อนได้ว่าDTI กำลังพัฒนาไปถูกทาง สามารถสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้เติบโต ได้สร้างประโยชน์ ต่อภาคเศรษฐกิจ นำรายได้เข้าสู่ประเทศและสร้างงานให้แก่ประชาชนได้เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมประเภทอื่น”พลเอกสมพงศ์ กล่าว
นอกจากนี้ ภายในงาน DTI ยังมีผลงานพัฒนาอื่น ๆ ที่นำมาจัดแสดงอีกมากมายเช่น ระบบอากาศยาน ไร้คนขับ ระบบจำลองยุทธ์ จรวดขนาด 122 มม.
ความพิเศษอีกอย่างคือการแสดงแบบจำลองของรถสายพานType 85 ที่ติดตั้งแท่นยิงจรวดขนาด 122 มม. เป็นครั้งแรกที่นี่อีกด้วย

ลุยปราบมาเฟียตามคำสั่ง ประยุทธ์

คสช. รับบัญชา บิ๊กตู่ เดินหน้าปราบมาเฟีย ผู้มีอิทธิพล พร้อมคุมเข้มการจัดระเบียบ ตรวจซ้ำและบังคับใช้กฎหมายเพื่อไม่ให้ปัญหาเดิมกลับมาอีก
มอบกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย สนับสนุนการดูแลประชาชนช่วงปีใหม่ กำชับตรวจสอบซ้ำ
พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ รองเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมสำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งได้มีการสรุปผลการปฏิบัติงานในสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยในส่วนกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ยังคงสกัดกั้นการกระทำผิดกฎหมาย ยาเสพติด ป่าไม้ การพนัน ผู้มีอิทธิพล การดูแลความสงบเรียบร้อย การช่วยเหลือประชาชนในเรื่องพัฒนาสถานที่สาธารณประโยชน์ บรรเทาสาธารณภัย ซ่อมสร้างที่อยู่อาศัยของประชาชนจำนวน ๖๕ ครั้ง
รวมทั้งการเข้าร่วมประชุมประชาคมหมู่บ้าน จำนวน ๑๒๑ ครั้ง เพื่อสร้างความเข้าใจในเรื่องผลการดำเนินงานที่สำคัญของรัฐบาล แนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้ง และการรวบรวมข้อมูลการปลูกข้าวนาปรัง
สำหรับงานที่เกี่ยวข้องกับการปรองดองสมานฉันท์ ด้วยการใช้กลไกของศูนย์ดำรงธรรมในการรับฟังและแก้ไขปัญหาของประชาชน
โดยในเดือนตุลาคมมีเรื่องร้องทุกข์ ๑,๑๘๐,๒๘๒ เรื่อง แก้ไขแล้ว ๑,๑๓๑,๕๐๘ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๙๕ โดยมีเรื่องสำคัญ เช่นการแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียในคลองข้าวเม่า อ.อุทั จ.พระนครศรีอยุธยา การแก้ไขปัญหาผู้ปลูกยางพาราที่ได้รับความเสียหายจากความร้อนและเตาเผาถ่านพื้นที่ จ.กระบี่ ปัญหาบริษัทเอกชนปล่อยน้ำเสียลงสู่แหล่งน้ำที่ จ.ราชบุรี เป็นต้น
โดยขณะนี้ทางกระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้ทุกจังหวัดปรับปรุงการปฏิบัติงานของศูนย์ดำรงธรรม และบูรณาการแผนงานร่วมกับศูนย์ปรองดองสมานฉันท์ และกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยประจำพื้นที่ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนและสนับสนุนงานบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลอย่างเต็มที่
สำหรับปัญหาภัยแล้งในขณะนี้ ในส่วนของพื้นที่ภาคเหนือ กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยกองทัพภาคที่ ๓ ได้ร่วมกับกระทรวงเกษตรและกระทรวงมหาดไทย เข้าชี้แจงและขอความร่วมมือในการปลูกพืชใช้น้ำน้อยไปแล้วใน ๑๐ จังหวัด รวม ๕,๕๖๗ หมู่บ้าน โดยมีเกษตรกรเข้ามาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตามมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาล ๓๑๘,๒๙๔ คน และเกษตรกรเปลี่ยนใจมาปลูกพืชใช้น้ำน้อย ๑๖๙,๖๒๒ คน
นอกจากนี้ยังได้เร่งรัดโครงการแก้ไขปัญหาภัยแล้งระยะเร่งด่วนของรัฐบาลในจังหวัดพะเยา, เชียงราย และพิษณุโลก จนดำเนินการเสร็จแล้ว ๓๐ โครงการ จากทั้งหมด ๓๖ โครงการ ซึ่งจะทำให้ประชาชนกว่า ๘๐,๐๐๐ คน ได้ประโยชน์จากการมีน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค
สำหรับในส่วนพื้นภาคใต้ กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยกองทัพภาคที่ ๔ ยังคงดำเนินการตรวจสอบพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันของเกษตรกรใน ๑๒ จังหวัด เพื่อให้มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการรักษาเสถียรภาพราคาปาล์มน้ำมันตามที่รัฐบาลกำหนด โดยขณะนี้มีเกษตรกรผ่านการตรวจสอบแล้ว ๕,๖๔๙ ราย
นอกจากนี้ กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยในทุกพื้นที่ ได้นำนักศึกษาวิชาทหารเข้าร่วมเสริมการปฏิบัติงานกับเจ้าหน้าที่ในลักษณะจิตอาสาในงานที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งเสริมสร้างความเข้าใจในการปฏิบัติงานของรัฐบาลและ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดำเนินการแล้ว ๑๖ จังหวัด มีนักศึกษาวิชาทหารเข้าร่วมกิจกรรม ๔,๕๔๐ คน
การประชุมในวันนี้ พลเอกกัมปนาท รองเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ทุกส่วนให้การสนับสนุนในมาตรการการป้องกันและลดอุบัติทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๙ “สุขกาย สุขใจ ขับขี่ปลอดภัยรับปีใหม่ ๒๕๕๙” ซึ่งทางรัฐบาลโดยศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ดำเนินการในระหว่าง ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๘ ถึง ๔ มกราคม ๒๕๕๙
ในส่วนของการปราบปรามและขจัดผู้มีอิทธิพลตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลและ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้มีการประสานงานร่วมกันระหว่างตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ดำเนินการภายใต้มาตรการที่เหมาะสม ทั้งในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย การใช้มาตรการทางสังคม และการมีส่วนร่วมของผู้ที่ได้รับผลกระทบในเรื่องดังกล่าว โดยให้สามารถแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ให้ดำรงงานที่เป็นภารกิจหลักของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย รวมทั้งให้มีการตรวจสอบซ้ำว่าปัญหาที่ได้เข้าไปดำเนินการแก้ไข ทั้งในเรื่องการจัดระเบียบสังคม รถรับจ้าง แหล่งท่องเที่ยว สถานที่สาธารณประโยชน์ มีเรื่องใดที่กลับมาเป็นปัญหาอีก โดยให้มีการประสานกับหน่วยงานที่รับผิดชอบในการบังคับใช้กฎหมายในเรื่องนั้นๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ต้องการให้บ้านเมืองมีความสงบสุขอย่างยั่งยืน

บิ๊กป้อม โพลคนเห็นด้วยปิดประเทศ



" พลเอกประวิตร"ระบุโพลล์ปชช.หนุนปิดประเทศ สะท้อนคนไทยต้องการความสงบ แต่ คสช.ยังไม่คิดทำ เพราะตัองดูตปท.ด้วย ยอมรับยังมองไม่เห็นว่ายุคนี้จะปิดประเทศได้ แต่หากประเทศไม่สงบ มีเหตุรุนแรง ใช้อาวุธสงคราม ก็จำเป็น แต่ไม่อยากให้ถึงจุดนั้น
บิ๊กปัอม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ/รมว.กลาโหม และรองหัวหน้า คสช. ระบุ โพลล์ประชาชน หนุนปิดประเทศกว่าครึ่ง ของการสำรวจของ ดุสิตโพลล์ สะท้อนคนไทยต้องการความสงบ ในภาพรวม ไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งขึ้น เขายอมรับว่าต้องการให้เกิดความสงบ เมื่อสงบแล้วอะไรก็ดี ภาคเศรษฐกิจ ก็เดินได้ ถ้าไม่สงบ ก็เดินไม่ได้
"ก็ต้องถามประชาชน นะว่าต้องการแบบไหน"
แต่อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าก็ต้องดู ต่างประเทศด้วย ไม่ใช่ดูแค่ในประเทศเราอย่างเดียว แต่ถ้ามีความเสียหาย มีการใช้อาวุธสงคราม เราก็ยอมรับไม่ได้ และไม่อยากให้ไปถึงตรงนั้น แต่เราก็ไม่ได้วางแผนอะไรอย่างนั้นไว้
เมื่อถามว่า ในสถานการณ์โลกปัจจุบันคิดว่า การปิดประเทศ จะทำได้หรือไม่ พลเอกประวิตรกล่าวว่า ผมก็ยังมองไม่เห็น ถ้าให้เกิดความสงบ มันต้องเดินได้ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ก็ต้องการให้เกิดความสงบ

เปิดตัวรถเกราะไทยทำ

DTI กลาโหม ไทย จะเปิดตัว “ยานเกราะล้อยาง 8x8” สายพันธุ์ไทยคันแรก Black Widow Spider
พร้อมยุทโธปกรณ์ ในงาน Defense & Security 2015
สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (DTI) เผยโฉมผลงานวิจัย “ยานเกราะล้อยาง 8x8” รุ่น Black Widow Spider ที่ผลิตขึ้นเองคันแรกของประเทศ โดยถือเป็นก้าวสำคัญสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้เกิดความเข้มแข็งมีศักยภาพเป็นเจ้าของเทคโนโลยีเอง พร้อมนำทัพอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ โชว์ฝีมือนักวิจัยไทย ในงาน Defense & Security 2015
พลเอกสมพงศ์ มุกดาสกุล ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (DTI) เปิดเผยว่า การจัดงานแสดงผลงานวิจัยและพัฒนาในงานนิทรรศการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (Defense & Security 2015) ครั้งนี้ DTI ได้ร่วมกับกระทรวงกลาโหมและภาคเอกชนในการเผยแพร่และจัดแสดงผลงานวิจัยด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ให้กับหน่วยผู้ใช้และผู้เข้าร่วมงาน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้ชมศักยภาพ เกิดการแลกเปลี่ยนความคิด องค์ความรู้และประสบการณ์ในการวิจัย กับผู้เข้าร่วมชมงาน ซึ่งจะได้นำไปปรับใช้กับการปฏิบัติงานต่อไป
ประสิทธิภาพของยานเกราะล้อยาง DTI 8x8 นี้เป็นไปตามมาตรฐานทางทหารของกลุ่มประเทศนาโต้ (NATO STANAG) ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วโลก
สำหรับในปีนี้ DTI มีความภูมิใจในการนำเสนอผลงานที่เป็นนวัตกรรมชิ้นสำคัญคือ “ยานเกราะล้อยาง DT 8x8” คันแรกของเมืองไทย ชื่อรุ่นBlack Widow Spider ที่พัฒนาโดยนักวิจัยไทยของ DTI บูรณาการความร่วมมือกับ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ หรือ MTEC และภาคเอกชนทีความเชี่ยวชาญในด้านนิรภัยยานยนต์ ทำให้ เกิดต้นแบบยานเกราะนี้ขึ้นมา โดยใช้เทคโนโลยีของตัวเองมากกว่า 60% และใช้ระยะเวลาเพียง 2 ปี ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดสำคัญของโครงการพัฒนายุทธยานยนต์เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี
โดยที่คุณสมบัติสำคัญของยานเกราะล้อยาง DTI 8x8 คือ สามารถขับเคลื่อนได้ทั้งบนบกและในน้ำ รองรับผู้ปฏิบัติงานได้ 12 นาย ติดตั้งป้อมปืนได้ถึงขนาด 30 มม. มีกล้องตรวจการณ์รอบคันรถจึงปฏิบัติภารกิจได้หลากหลายรูปแบบ เช่น เป็นยานบัญชาการ มีตัวถังเกราะได้มาตรฐานนาโต้
STANAG 4569 ระดับ 4 คือ ทนทานต่อกระสุนปืนเล็กทุกขนาด ทนต่อกระสุนปืนกลหนักขนาด 14.5 x 114 มม. หรือ 0.57 คาลิเบอร์ ที่ยิงระยะ 200 เมตร และยังทนต่อแรงระเบิดของกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มม.ที่ตกระยะ 30 เมตรอีกด้วย
อีกทั้งยังมีสมรรถนะสูงที่เหมาะสมต่อการ ปฏิบัติงานในสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างได้เป็นอย่างดียิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการไต่ลาดชันได้ไม่น้อยกว่า 60% การไต่ลาดเอียงได้ไม่น้อยกว่า 30%
ปัจจุบันอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยถือว่ามีความรุดหน้าไปมาก โดย DTI ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยร่วมมือกับภาคเอกชนที่มีความสามารถและมีความตั้งใจ ในการพัฒนาและผลักดันให้เกิดการวิจัยและสร้างยุทโธปกรณ์ของไทยให้กับกองทัพ ซึ่งเมื่อเกิดความเข้มแข็งแล้วในอนาคตก็จะมีโอกาสในการร่วมมือพัฒนาด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศระหว่างชาติ ในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน
“ช่วงปี 2558 - 2559 DTI ซึ่งเป็นหน่วยงานด้าน R & D อาวุธยุทโธปกรณ์ให้กองทัพไทย ได้สร้างผลงานวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศไปแล้วกว่า 20โครงการ โดยหลายโครงการที่นำมาจัดแสดงนั้นได้มีการส่งมอบให้กองทัพไปใช้งานแล้ว ซึ่งต้องขอบคุณหน่วยผู้ใช้ที่ให้การสนับสนุนและร่วมผลักดันอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ สะท้อนได้ว่าDTI กำลังพัฒนาไปถูกทาง สามารถสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้เติบโต ได้สร้างประโยชน์ ต่อภาคเศรษฐกิจ นำรายได้เข้าสู่ประเทศและสร้างงานให้แก่ประชาชนได้เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมประเภทอื่น”
นอกจากนี้ ภายในงาน DTI ยังมีผลงานพัฒนาอื่น ๆ ที่นำมาจัดแสดงอีกมากมายเช่น ระบบอากาศยาน ไร้คนขับ ระบบจำลองยุทธ์ จรวดขนาด 122 มม.
ความพิเศษอีกอย่างคือการแสดงแบบจำลองของรถสายพานType 85 ที่ติดตั้งแท่นยิงจรวดขนาด 122 มม. เป็นครั้งแรกที่นี่อีกด้วย
สำหรับงาน Defense & Security 2015 เป็นงานแสดงอาวุธ ยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีทางด้านการรักษาความปลอดภัย หัวใจสำคัญของงานก็คือการนำผู้แทนด้านอาวุธชั้นนำจากประเทศต่าง ๆ เกือบ 100 บริษัท มาจัดแสดงให้หน่วยงานทางด้านการทหารได้ชมเทคโนโลยี สมรรถนะ ของอุปกรณ์แต่ละชนิดที่จะนำมาใช้งานด้านรักษาความปลอดภัย ป้องกันประเทศของแต่ละประเทศกัน ซึ่งปีนี้จัดงานภายใต้แนวคิด “The Power of Partnership” ให้น้ำหนักกับการร่วมมือระหว่างประเทศในการพัฒนาวิจัยงานด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ เทคโนโลยีป้องกันประเทศ
นวัตกรรมด้านยุทโธปกรณ์ที่ DTI จัดแสดง มีดังนี้
1.ยานเกราะล้อยาง DTI 8x8 (Black Widow Spider)ถือเป็นกำลังหลักสำคัญของการรบภาคพื้นดิน ตอบสนองภารกิจที่หลากหลาย อาทิ ลำเลียงพล ยิงสนับสนุน และต่อสู้รถถัง ระบบขับเคลื่อนแบบ 8x8 และช่วงล่าง ควบคุมการทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ช่วยอำนวยความสะดวก และให้ความแม่นยำในการขับเคลื่อน ป้องกันกำลังพลภายในรถ ด้วยมาตรฐาน STANAG 4569 ระดับ 4 ไต่ลาดชันได้มากกว่า 60% ไต่ลาดเอียงได้มากกว่า 30% ลุยน้ำลึกได้ ไม่น้อยกว่า 0.8 เมตร : ข้ามสิ่งกีดขวาง 0.5 เมตร กล้อง EO (Electro Optical) เพิ่มความตระหนักรู้ในสถานการณ์ทั้งในเวลา กลางวันและกลางคืน
2.อากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle:UAV) สามารถนำไปใช้งานด้านพลเรือนได้และเป็นที่นิยมมาก ไม่ว่าจะเป็นการบินในด้านการเกษตร เช่น การฉีดพ่นยาฆ่าแมลง การตรวจแปลงเกษตรที่มีบริเวณกว้าง การบินเพื่อการอนุรักษ์ การสำรวจไฟป่า การสำรวจการทำลายป่าไม้ ซึ่งมีข้อดีที่หลากหลาย ไมว่าจะเป็นการลดความเสี่ยงภัยของมนุษย์ การใช้งานในระยะเวลาที่ยาวนาน การควบคุมโดยระยะไกล การประยุกต์ใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ฯลฯ
โดยรุ่นที่นำมาจัดแสดง มีดังนี้ 1) อากาศยานไร้คนขับแบบปีกนิ่ง 2)อากาศยานไร้คนขับแบบขึ้น-ลงทางดิ่ง 3) อากาศยานไร้คนขับ แบบ Medium Range Tactical 4)อากาศยานไร้คนขับขนาดเล็ก 5)อากาศยานไร้คนขับแบบ Multi Rotor
3.ระบบจำลองยุทธ์ (UAV Simulator) ระบบลำลองยุทธ์เพื่อการฝึกนักบินภายนอกที่จะทำการบินกับอากาศยาน ไร้คนขับหรือ UAV โดยระบบจะจำลองท่าทางการบิน รวมถึงสภาพแวดล้อม และสภาพอากาศที่เหมาะสมและอ้างอิง จากภูมิประเทศจริงของประเทศไทย เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกคุ้นเคยกับสภาวะในการปฏิบัติการบินที่สมจริง ก่อนที่จะทำการบินกับอากาศยานไร้คนขับจริง ซึ่งจะทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่าย เพิ่มความปลอดภัย และความพร้อมในการปฏิบัติการของนักบินและเจ้าหน้าที่
4.จรวดขนาด 122 ม.ม. สำหรับฝึก D10A โครงการวิจัยและพัฒนาต้นแบบท่อรองในจรวดขนาด 122 ม.ม. สำหรับฝึกยิง สาธิตระบบจรวดหลายลำกล้อง DTI-1 ลักษณะการยิงแบบยิงเป็นชุด หรือยิงทีละนัด ระยะยิงใกล้สุด 5 กม. ความยาวลำตัวจรวด 2,520 มม. น้ำหนักจรวด 70 กก. น้ำหนักหัวรบ 20 กก.เป็นชนิดระเบิด กระทบแตกหรือชนิดควัน
5.รถสายพาน Type 85 รถสายพาน Type 85 เป็นรถสายพานลำเลียงพลที่ผลิตในประเทศจีน ติดตั้งจรวดหลาย ลำกล้องขนาด 130 มม. ภารกิจเพื่อใช้ยิงสนับสนุนและยิงทำลายเป็นพื้นที่ อย่างไรก็ตาม จรวดหลายลำกล้องขนาด 130 มม. และมีระยะยิงสั้นเพียง 10 กม. ซึ่งทำให้เกิดข้อจำกัดในการปฏิบัติภารกิจ กองทัพบกจึงมอบหมายให้ DTI ทำการพัฒนาจรวดขนาด 122 มม. ให้สามารถติดตั้งใช้งานกับรถสายพาน Type 85 ได้ และเพิ่มระยะยิงสูงสุดที่ 40 กม ซึ่งช่วยประหยัดงบประมาณและสะดวกในการส่งกำลังบำรุง
6. กระสุนขนาด 30 มม. เป็นการศึกษา วิจัย และพัฒนาการออกแบบและกระบวนการผลิตกระสุนขนาด 30 ม.ที่จำเป็นจะต้องใช้งานในหลายหน่วยงาน แต่ประเทศไทยยังไม่มีศักยภาพในการผลิตเพื่อใช้เองในประเทศ ทำให้ ต้องจัดซื้อกระสุนจากต่างประเทศ ซึ่งเมื่อโครงการสำเร็จจะทำให้สามารถผลิตกระสุนขนาด 30 มม. ในเชิงพาณิชย์ ช่วยลดงบประมาณในการจัดหา และเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทย

"บิ๊กตู่"ลงพื้นที่อุบล12พ.ย.

บิ๊กตู่ เตรียม เยือนอิสาน อุบลราชธานี 12พย.นึ้ประชุมกรอ.เยี่ยมบ้านยางกระเบา ดอนมดแดง จากเดิมวางแผนไป ประชุม กรอ.ที่ สุราษฎร์ฯ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. จะลงพื้นที่อิสาน ที่ อุบลราชธานี ในวันที่ 12 พ.ย. นึ้ เพื่อเป็นประธานการประชุมภาครัฐและเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
นายกรัฐมนตรีจะเดินทาง ไปที่ ท่าอากาศยานทหารกองบิน 21 ของ ทอ. อุบลราชธานี
จากนั้นเดินทางไปเพื่อติดตามการดำเนินนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญของรัฐบาล ที่ บ้านยางกระเบา ต.ท่าเมือง อ.ดอนมดแดง
จากนั้นช่วงบ่ายนายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปยังวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานีเพื่อเป็นประธานในการลงนาม MOU ของจังหวัดอุบลราชธานีกับผู้ประกอบการรถยนต์สาธารณะ
จากนั้นจะเป็นประธานการประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
หลังจบการประชุม นายกรัฐมนตรีเดินทางกลับกรุงเทพฯ เลย

บิ๊กตู่ ต้อนรับประธานาธิบดีศรีลังกา ยันไทยเลือกตั้งปี2560 ปฏิรูปตามโรดแมพ

บิ๊กตู่ ต้อนรับประธานาธิบดีศรีลังกา ยันไทยเลือกตั้งปี2560 ปฏิรูปตามโรดแมพ เดินหน้าร่วมมิอศรัลังกา ทุกด้าน เผยทหาร ร่วมมือการต่อต้านโจรสลัด การปล้นเรือโดยใช้อาวุธในภูมิภาค
ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ต้อนรับนายไมตรีปาละ สิริเสนา ประธานาธิบดีสาธารณรัฐสังคมนิยมศรีลังกา ในโอกาสเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ โดยมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องร่วมหารือ เช่น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายดอน ปรมัติถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ นายปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข เป็นต้น
พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการหารือว่า นายกรัฐมนตรีแสดงความเชื่อมั่นว่าประธานาธิบดีศรีลังกาจะประสบความสำเร็จในการบริหารประเทศโดยใช้หลักธรรมาภิบาล และความก้าวหน้าในกระบวนการปรองดองแห่งชาติของศรีลังกา
สำหรับพัฒนาการการเมืองไทยนั้น ไทยจะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปอย่างแน่นอนซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในปี 2560 โดยขณะนี้ไทยกำลังดำเนินการตามโรดแม็พเพื่อนำไปสู่การสร้างระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง มีเสถียรภาพ และสร้างสังคมที่มีความปรองดอง
ส่วนการปฏิรูปประเทศต้องเกิดจากความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม ขณะเดียวกันรัฐบาลได้เน้นการปฏิรูปเบื้องต้นใน 11 ด้านสำคัญเพื่อสร้างความเข้มแข็งในประเทศและเพื่อประโยชน์ของคนไทย
สำหรับความร่วมมือและเป้าหมายทางเศรษฐกิจ รัฐบาลไทยมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยน้อมนำหลักการของปรัญชาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและความเข้มแข้งของระบบเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้งไทยมียุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนในระยะ 7 ปี (พ.ศ.2558-2564) ซึ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าและปริมาณการลงทุนทั้งในประเทศและการลงทุนของไทยในต่างประเทศ
นอกจากนี้ไทยและศรีลังยังสามารถร่วมมือกันพัฒนาในสินค้าและอุตสาหกรรมที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีศักยภาพ เช่น สิ่งทอ อัญมณี ชา เป็นต้น และจะต้องเป็นความร่วมมือที่ครบวงจร อาทิ ศรีลังกามีวัตถุดิบอัญมณี ส่วนไทยมีทักษะและความชำนาญในการแปรรูปและการตลาด
ขณะเดียวกันเป็นการลดการแข่งขันระหว่างกัน และเพิ่มพันธมิตรด้วยการขยายความร่วมมือไปยังประเทศต่างๆให้มากขึ้น เพื่อให้ทั้ง 2 ประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการค้าให้ถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2559 อีกทั้งไทยกับศรีลังกาจะร่วมมือกันในด้านเกษตรและประมง ทั้งในเชิงวิชาการและเชิงพาณิชย์ เพื่อพัฒนาสินค้าประมงให้มีคุณภาพ ขณะที่ด้านการท่องเที่ยว ไทยและศรีลังกาสามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนา และพร้อมจะผลักดันความร่วมมือภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจด้านการท่องเที่ยวเพื่อให้ผลเป็นรูปธรรม
ส่วนความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคงนั้น ทั้ง 2 ประเทศมีความร่วมมือที่ใกล้ชิดทั้งการฝึกอบรมและการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร เพื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายในระดับภูมิภาค เช่น การต่อต้านโจรสลัด การปล้นเรือโดยใช้อาวุธในภูมิภาคด้วย
รองโฆษกรัฐบาล กล่าวว่า ขณะที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความมั่นใจถึงศักยภาพความร่วมมือระหว่างไทยและศรีลังกาทั้งในระดับเอกชน/เอกชน และภาครัฐ/ภาครัฐ โดยเฉพาะในสามสาขาหลัก ได้แก่ ท่องเที่ยวและการก่อสร้าง การเกษตรและอุตสาหกรรมและการประมง ทั้งนี้ พร้อมที่จะนำคณะภาคเอกชนไทยเดินทางเยือนศรีลังกา (Trade Mission) เพื่อหาลู่ทางการค้าและการลงทุน
ขณะเดียวกันจะเร่งรัดจัดการประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-ศรีลังกา เพื่อผลักดันความร่วมมือในกรอบรัฐต่อรัฐต่อไป ขณะที่ประธานาธิบดีศรีลังกา กล่าวแสดงความเชื่อมั่นว่าไทยจะประสบความสำเร็จในการปฏิรูปประเทศ และพร้อมที่จะส่งเสริมความร่วมมือไทยและศรีลังกาให้ครอบคลุมทุกมิติ อีกทั้งศรีลังกามีความสนใจที่เรียนรู้ความก้าวหน้าของไทย ทั้งอุตสาหกรรมประมง การท่องเที่ยว ด้านเภสัชกรรม และพลังงาน รวมถึงพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความสำเร็จของไทยเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นในโครงการต่างๆ การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ และโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งสินค้า Otop

′แล้วเจอกัน′ จาก Anonymous ถึงประยุทธ์ ชูธงประกาศ′สงครามไซเบอร์′


(ที่มา : มติชนรายวัน 2 พ.ย.2558)

′แล้วเจอกัน′ จาก Anonymous ถึงประยุทธ์ ชูธงประกาศ′สงครามไซเบอร์′

โดย ศิริพงษ์ วิทยวิโรจน์ siripong@gmail.com


เมื่อช่วงสัปดาห์ก่อนโน้นผมไปตะแล้ดแต๊ดแต๋อยู่ทางเหนือ ไปเขาขึ้นดอยสัมผัสกับธรรมชาติอันสงบงดงาม ตัดขาดจากข่าวสารข้อมูลไปเสียหลายวัน จิตใจปลอดโปร่งโล่งสบายดี กลับมาไม่กี่วันถึงได้รู้เรื่องเกี่ยวกับการประกาศสงครามไซเบอร์กับรัฐบาลทหารโดยกลุ่มแฮกเกอร์มีชื่อรู้จักกันไปทั่วโลกว่าAnonymous 

Anonymous เป็นเครือข่ายการรวมตัวกันอย่างหลวมๆ ของแฮกเกอร์ทั่วโลก ไม่มีการจัดองค์กรการดำเนินงานใดๆ ไม่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่ชัดเจน มีแนวโน้มในลักษณะอนาธิปไตย หรือการปฏิเสธอำนาจรัฐแบบรวมศูนย์ ไม่มีผู้นำ ไม่มีผู้สั่งการ นอกจากร่วมมือกันผ่านโลกออนไลน์ปฏิบัติการในลักษณะที่เรียกว่าสงครามไซเบอร์เป็นวาระๆ ไป เป้าหมายที่ถูกโจมตีมีทั้งหน่วยงานรัฐ บริษัทใหญ่ๆ ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องอื้อฉาวบางเรื่อง 

ในการโจมตีมีทั้งการโจมตีแบบ DDoS หรือการเจาะเข้าไปล้วงเอาข้อมูลออกมาตีแผ่ 

จุดกำเนิดของ Anonymous มาจาก 4chan.org เมื่อราวปี 2003 เว็บนี้เป็นเว็บบอร์ดประเภท imageboard ที่เปิดให้คนโพสต์ภาพโดยไม่ต้องแสดงตัวตัว (anonymously) โดยในบอร์ดก็จะแบ่งเป็นฟอรั่มย่อยๆ แยกกันไปตามกลุ่มความสนใจ ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องลงทะเบียน หรือที่จริงก็คือไม่มีช่องให้สำหรับการลงทะเบียนยกเว้นสต๊าฟของบอร์ดเท่านั้น ใครใคร่ใช้ก็ใช้ 

ฟอรั่มบน 4chan ที่กลายเป็นต้นกำเนิดที่แท้จริงของกลุ่ม Anonymous ก็คือห้องที่ใช้ชื่อว่า "/b/" สมาชิกประจำส่วนใหญ่ของห้องนี้เป็นพวกวัยรุ่นซุกซนร้อนวิชา ปฏิบัติการแฮกเพื่อเอามันส์ แต่ก็มีแนวโน้มความคิดคล้ายคลึงกันอยู่ในการต่อต้านการใช้อำนาจรัฐรวมศูนย์ และเชิดชูเสรีภาพของข้อมูลข่าวสาร

ในสงครามไซเบอร์ครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อคราวเว็บไซต์วิกิลีกส์ของจูเลียน อัสซานจ์ ถูกรุมถล่มจากทุกสารทิศ โดยเฉพาะจากกลุ่มแฮกติวิสต์ขวาจัด การเล่นงานอัสซานจ์ไปถึงขั้นบีบทุกวิถีทางให้วิกิลีกส์ต้องปิดตัวลง หลังอัสซานจ์ตีแผ่ข้อมูลลับทางการทหารของรัฐบาลสหรัฐออกมา กลุ่ม Anonymous ก้าวออกมาปฏิบัติการที่เรียกว่าเป็นการเอาคืนแทนอัสซานจ์ 

เว็บของบริษัทที่เกี่ยวข้องในการบีบอัสซานจ์ถูกไล่โจมตีอย่างต่อเนื่องตั้งแต่มาสเตอร์การ์ด, โพสต์ ไฟแนนซ์, สำนักงานอัยการสวีเดน แม้แต่อเมซอนและเพย์พาล แต่อเมซอนใหญ่เกินไปกว่าที่กองกำลังไซเบอร์ของ Anonymous จะถล่มให้ล่มได้ ส่วนเพย์พาลก็เป็นช่องทางทำธุรกรรมทางการเงินที่พวกเขาใช้งานกันอยู่

นอกจากนั้นเครือข่ายของผู้สนับสนุน Anonymous ต่อจุดยืนในการต่อต้านการเล่นงานวิกิลีกส์และอัสซานจ์ยังแสดงออกกันทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ (แบบออฟไลน์ก็คือการใส่หน้ากากสัญลักษณ์ไปยืนชูป้ายประท้วงตามถนน)

เหตุการณ์ครั้งนั้นถือเป็นการประท้วงที่มีนัยยะทางการเมืองครั้งใหญ่ในโลกไซเบอร์ และกลุ่ม Anonymous ก็มีปฏิบัติการก่อสงครามไซเบอร์เรื่อยมา 

ล่าสุดก็คือประเทศไทย โดยบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT Telecom ที่เว็บไซต์ถูกถล่มและเจาะเอาข้อมูลลูกค้าไปเผยแพร่ทั้งชื่อผู้ใช้ พาสเวิร์ด มีการโจมตีแบบ DDoS กับเว็บไซต์อื่นๆ ของรัฐบาลจนล่มด้วย คือทำเนียบรัฐบาลและกระทรวงแรงงาน

การโจมตีที่เกิดขึ้นนั้นทอดเวลาหลังจากผู้นำรัฐบาลไทยยืนยันเรื่องซิงเกิล อินเตอร์เน็ต เกตเวย์ มาหลายวัน แต่เป้าหมายนั้นชัดเจนว่าเป็นการประท้วงต่อนโยบายดังกล่าว 

ในแถลงการณ์ผ่านทวิตเตอร์ของ Anonymous ระบุว่า สถานการณ์ในประเทศที่ผ่านมาหลายเดือนไปไกลเกินไป มีการจำกัดการเข้าถึงเสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานต่อใครก็ตามที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหารและระบุชัดเจนว่าโครงการซิงเกิล เกตเวย์คือโครงการที่มุ่งจะควบคุม ดักข้อมูล และจับกุมคุมขังคนที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งของรัฐบาลทหาร

การโจมตีที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์ของรัฐยังเป็นเพียงการชิมลางเท่านั้น ได้แต่คอยจับตาดูกันว่าจะมีสงครามใหญ่ของจริงตามมาเมื่อไร 

ในทวิตเตอร์ของ Anonymous หลังประกาศสงครามไซเบอร์กับรัฐบาลทหารไทย มีข้อความประกาศไว้ว่า "นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย แล้วเจอกัน" 

เห็นข้อความว่า "Expect Us" เมื่อไรก็ให้เตรียมรับมือกันดีๆ 

มันมาจากข้อความเต็มๆ ที่สมาชิกกลุ่ม Anonynous นิยมใช้กันก็คือ "We are Anonymous. We are Legion. We do not forgive. We do not forget. Expect us" ใส่แฮชแท็กไว้เผื่อติดตามข่าวสารกันง่ายๆ ด้วยว่า #OpSingleGateway

'ประยุทธ์'ใช้ม.44สั่งจนท. จัดการระบายข้าวคงค้างในโกดังแล้ว


31102558 'ประยุทธ์'ใช้ม.44สั่งจนท. จัดการระบายข้าวคงค้างในโกดังแล้ว
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"พล.อ.ประยุทธ์" ใช้อำนาจหน.คสช. ตามมาตรา44 สั่งจนท. จัดการระบายข้าวคงค้างในโกดังแล้ว ระบุหากทำถูกต้อง ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง อาญาและวินัย
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ (31ต.ค.) คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๙/๒๕๕๘ เรื่อง การคุ้มครองการบริหารจัดการข้าวคงเหลือในการดูแลรักษาของรัฐและการดำเนินการต่อผู้ต้องรับผิด
ตามที่มีการดําเนินการตามโครงการรับจํานําข้าวเปลือกของรัฐบาลในอดีต ตั้งแต่ปีการผลิต ๒๕๔๘/๒๕๔๙ จนถึงปีการผลิต ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ปรากฏว่ายังคงมีข้าวคงเหลือในการดูแลรักษาของรัฐที่เก็บอยู่ทั่วประเทศเป็นปริมาณมหาศาล หากการเก็บรักษาและการควบคุมดูแลหรือการระบายข้าวออกสู่ตลาดไม่รอบคอบรัดกุมหรือไม่สุจริต ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพราะรัฐต้องจัดสรรงบประมาณเป็นจํานวนมาก เพื่อการบริหารจัดการและการเก็บรักษาข้าวที่คงเหลือไม่ให้เกิดความเสียหายแก่รัฐเพิ่มขึ้น ในขณะที่ต้องเร่งตรวจสอบปริมาณและคุณภาพ รวมทั้งวางมาตรการระบายข้าวดังกล่าวออกสู่ตลาดให้เหมาะสม มิให้กระทบต่อราคาข้าวฤดูกาลใหม่ที่ทยอยออกมา ทั้งต้องดําเนินการต่อผู้ต้องรับผิดเพื่อให้ชดใช้ความเสียหายแก่รัฐ อันเป็นความจําเป็นเพื่อป้องกันและระงับความเสียหายต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)พุทธศักราช ๒๕๕๗ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้บุคคล คณะบุคคล คณะทํางาน คณะกรรมการ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับแต่งตั้งตามกฎหมายหรือได้รับมอบหมายจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี หรือคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวให้ดําเนินการบริหารจัดการข้าวที่อยู่ในการดูแลรักษาของรัฐตามโครงการรับจํานําข้าวเปลือกของรัฐ ตั้งแต่ปีการผลิต ๒๕๔๘/๒๕๔๙ จนถึงปีการผลิต ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ซึ่งได้ดําเนินการมาตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ หรือภายหลังจากนั้น ยังคงมีอํานาจหน้าที่ดําเนินการดังกล่าวต่อไปเช่นเดิม
ทั้งนี้ เพื่อระงับยับยั้งมิให้เกิดความเสียหายแก่รัฐเพิ่มขึ้นเพราะเหตุแห่งความเสื่อมสภาพของข้าว การแตกต่างระหว่างราคาข้าวที่รับจํานํากับราคาที่จําหน่ายได้ การที่รัฐต้องรับภาระ ค่าเช่าคลัง ค่าประกันภัย ค่าดูแลรักษาคุณภาพข้าว ค่าใช้จ่ายอื่นและดอกเบี้ย และเพื่อป้องกันมิให้การระบายข้าวเป็นการเพิ่มอุปทานในตลาดในช่วงเวลาเดียวกับที่มีผลผลิตฤดูกาลใหม่โดยไม่สมควร รวมทั้งดําเนินการเพื่อให้ทราบตัวผู้ต้องรับผิดและเรียกให้ผู้นั้นชดใช้ความเสียหายแก่รัฐตามกฎหมายในกรณีที่บุคคลตามวรรคหนึ่งดําเนินการตามอํานาจหน้าที่และได้กระทําโดยสุจริต ย่อมได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย
ข้อ ๒ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

02112558 ระบบการเลือกตั้งจะเอาแบบไหน

คมสัน โพธิ์คง รองคณบดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๘ คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญที่มีนายมีชัย ฤชุพันธ์ เป็นประธาน ได้มีการประชุมและมีมติที่จะใช้ระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ที่คณะอนุกรรมาธิการได้เสนอมาว่าเป็น “ระบบจัดสรรปันส่วนผสม” หรือ mixed member apportionment (mma) หรือพยายามเรียกให้เป็นภาษาชาวบ้านว่า “นับทุกคะแนนเพื่อผู้แทนของทุกคน” 

และเมื่อขยายความแล้วก็ฟังเหมือนว่า คณะ กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญได้สร้างระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ที่มีหลักการของวิธีการนับคะแนน ให้นำคะแนนของผู้ที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. ในระบบเขต ไปคำนวณให้กับ ส.ส. แบบบัญชี ซึ่งจะทำให้ทุกคะแนนที่ประชาชนลงคะแนนไปนั้นไม่สูญเปล่า และให้มีการลงคะแนนในบัตรเลือกตั้งเพียงใบเดียว
ซึ่งหากพิจารณาตามที่มีการเสนอมาแล้วก็จะเกิดข้อสงสัยที่สำคัญคือ ระบบดังกล่าวเป็นระบบการเลือกตั้ง หรือระบบการลงคะแนนอะไรกัน 

เราคงต้องมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “ระบบการเลือกตั้ง”ก่อน จึงจะบอกได้ว่า “ระบบการเลือกตั้ง” จะเอาแบบไหน จะเอาแบบที่คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญกำลังกล่าวถึงดีหรือไม่ อย่างไร

หลักการเกี่ยวกับระบบการเลือกตั้ง(Electoral system )หรือระบบการลงคะแนน(Voting system )
โดยทั่วไปมีหลักการว่า ระบบการเมืองจะเป็นอย่างไรให้ดูระบบการเลือกตั้ง เพราะการออกแบบระบบการเลือกตั้งจะส่งผลต่อปรากฏการณ์ทางการเมืองของสถาบันทางการเมืองและกระบวนการทางการเมืองที่เกิดขึ้นภายหลังการเลือกตั้งที่ใช้ระบบนั้น
กล่าวกันว่าจะได้การเมืองแบบใดให้ดูระบบการคัดสรรนักการเมืองว่าระบบนั้นคัดสรรได้แบบใด 
“ระบบการเลือกตั้ง”จึงส่งผลสำคัญต่อการได้ระบบการเมืองที่ดีหรือเลว มีเสถียรภาพ หรืออ่อนแอ หรือมีประสิทธิภาพหรือล้มเหลว

ด้วยเหตุนี้ประเทศต่างๆ ที่คิดค้นหรือทำการคัดเลือกระบบการเลือกตั้งจำเป็นต้องพิจารณาบริบทหรือประสบการณ์เพื่อแก้ปัญหาของประเทศ เหมือนดั่งเช่น

ประเทศไทยเมื่อมีการใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ และ ๒๕๕๐ ที่เลือกระบบการเลือกตั้งแบบผสม(Mix member proportional representation )ที่ให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งมาก่อนการเลือกตั้งในระบบคะแนนเสียงพรรคการเมือง เพื่อแก้ปัญหาบริบททางการเมืองในอดีตก่อนปี พ.ศ. ๒๕๔๐ 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง ปี พ.ศ. ๒๕๓๔- ๒๕๔๙ ที่สภาพการณ์ทางการเมืองมีลักษณะที่ฝ่ายบริหารอ่อนแอไม่มีเสถียรภาพ ฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีประสิทธิภาพ 
มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐธรรมนูญในขณะนั้นคือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ เปิดทางให้ คณะ รสช.ในขณะนั้นสืบทอดอำนาจได้ จนเกิดวลี “เสียสัตย์เพื่อชาติ” อันนำไปสู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในช่วงระหว่างวันที่ ๑๗-๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕ (เป็นรัฐธรรมนูญที่มี นายมีชัย ฤชุพันธ์ เป็นประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๓๔ ใช้เวลาร่างหกเดือน)

ดังนั้น การประกาศว่าจะใช้ “ระบบการเลือกตั้ง”แบบใด จึงเป็นประเด็นสำคัญที่เป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูประบบการเมือง

“ระบบการเลือกตั้ง” ไม่ได้มีเพียงแค่ระบบการลงคะแนนแต่ต้องมี “กลไกประกอบระบบการเลือกตั้ง” อีกหลายประการด้วย
อาทิ การแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวนสมาชิกรัฐสภาที่มีผลต่อการแบ่งเขตเลือกตั้ง ระบบพรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์
การกำหนดสิทธิของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การควบคุมการบริหารจัดการเลือกตั้ง
วิธีการนับคะแนนและการคำนวณคะแนนที่นั่งของสมาชิกที่ได้รับการเลือกตั้งในแต่ละพรรคหรือแต่ละกลุ่มผลประโยชน์ และกลไกเสริมอื่นนอกระบบการลงคะแนน
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบการเลือกตั้งที่คัดสรรมาเพื่อใช้กับการเลือกตั้งในแต่ละระดับทั้งระดับชาติและท้องถิ่น

การคัดเลือก “กลไกประกอบระบบการเลือกตั้ง” ที่ไม่เหมาะสมหรือ “เพี้ยน” จากระบบการเลือกตั้งที่ใช้กันเป็นสากล จะส่งต่อผลปรากฏการณ์ของบริบททางการเมืองที่เพี้ยนหรือแตกต่างหรือผิดพลาดขึ้นได้ เ
ช่นใน ช่วงก่อน ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ที่เลือก “ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมาก”แต่ให้เขตเลือกตั้งเป็นพวง ก็เป็นปรากฏการณ์ที่ผิดเพี้ยนจากระบบดังกล่าว

เพราะแทนที่จะทำให้เกิดรัฐบาลที่มาจากพรรคที่ได้คะแนนเสียงข้างมากและเป็น “ระบบพรรคเด่น” ที่ฝ่ายบริหารมีเสถียรภาพเข้มแข็งนำพาการบริหารประเทศได้
การ”เพี้ยน” ในเรื่องเขตเลือกตั้งกับทำให้เกิดสภาพความอ่อนแอของฝ่ายบริหารและเป็นรัฐบาลผสม
ซึ่งจากประสบการณ์ในอดีตในช่วงของการร่างรัฐธรรมนูญและออกแบบระบบการเลือกตั้งของประเทศไทย

มักมีข้อเสนอที่เกิดจากความรู้สึกแต่ไม่มีเนื้อหาทางวิชาการที่เป็นระบบเสนอจะแก้ปัญหาเฉพาะส่วนที่ผู้เสนอมีความรู้และความเข้าใจและประสบการณ์ในอดีตของตนเสนอเข้ามาเป็น “กลไกประกอบระบบการเลือกตั้ง” ที่มีความผิดเพี้ยนเป็นจำนวนมาก 
เพราะผู้เสนอไม่มีองค์ความรู้เกี่ยวกับ “ระบบการเลือกตั้ง”อย่างครบถ้วน

เมื่อกล่าวถึง “ระบบการเลือกตั้ง” ก็มีความจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจในระบบการเลือกตั้งที่มีอยู่ ๓ ตระกูลใหญ่ กับอีกหลายสิบสายพันธุ์ย่อยในแต่ละตระกูลตามบริบทของสภาพการเมืองหรือปัญหาของประเทศที่นำไปใช้

1. ตระกูลแรก คือ “ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมาก”(Majority system ) เป็นระบบการเลือกตั้งแบบเก่าแก่ที่สุด ที่ถือหลักการว่าผู้ชนะการเลือกตั้งต้องได้รับคะแนนเสียงจากผู้เลือกตั้งหรือประชาชนในคะแนนเสียงข้างที่มากกว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งรายอื่น 
จนมีการกล่าวว่า “ผู้ชนะได้ไปทั้งหมด” (winner-takes-all ) 

ระบบการเลือกตั้งแบบนี้หากใช้ “กลไกประกอบระบบการเลือกตั้ง” อย่างถูกฝาถูกตัวแล้วจะ ส่งผลให้การเมืองเกิดสภาพที่พรรคที่มีผู้สมัครได้รับเลือกตั้งจำนวนมากเพียงพอในการจัดตั้งรัฐบาลและมีเสถียรภาพเข้มแข็งบริหารประเทศได้อย่างเต็มที่ 

มีการบริหารเป็นแบบ “พรรคเด่น” และจำนวนพรรคการเมืองที่มีบทบาทมีจำนวนน้อยลง 

กล่าวได้ว่า นำไปสู่การมีพรรคการเมืองที่มีบทบาทน้อยพรรค 

ประเทศไทยเคยใช้ระบบนี้ก่อนการใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ แต่ “เพี้ยน” ในการกำหนด “กลไกประกอบระบบการเลือกตั้ง” จากระบบที่สากลได้ใช้กัน 

อย่างไรก็ตาม ระบบนี้มีคำถามในผู้ศึกษาทางการเมืองว่า ระบบนี้อาจได้ “ทรราชย์”มาแทนได้เพราะเสียงข้างมากที่เลือก

2. ตระกูลที่สอง คือระบบการเลือกตั้งพัฒนามากจาก ตระกูลแรก 
เกิดจากปัญหาที่มีผู้สงสัยในความเป็นธรรมของการลงคะแนนเสียงในตระกูลแรกว่า เมื่อผู้ชนะได้รับเลือกตั้ง แต่ไม่ได้หมายความว่าได้คะแนนเสียงข้างมากอย่างแท้จริงเป็นเพียงผู้ได้คะแนนเสียง “มาก”กว่าคนอื่น ไม่ใช่เสียงข้างมากเด็ดขาด 

คือเกิดกว่ากึ่งหนึ่งของคะแนนของผู้เลือกตั้งทั้งหมด คะแนนที่เหลือของผู้ไม่เลือกผู้สมัครรายนั้นเมื่อรวมกันอาจ “มาก” กว่าผู้ได้รับเลือกตั้ง 

เท่ากับคะแนนเสียงจำนวนมากสูญเปล่า กลายเป็นการบริหารประเทศโดยเสียงข้างน้อยที่มากว่าเสียงข้างน้อยอื่น 

จึงมีผู้นำปัญหาความไม่เป็นธรรมของการทิ้งคะแนนเสียงดังกล่าวมาวิเคราะห์จนนำไปสู่การออกแบบระบบการเลือกตั้งในตระกูลใหม่ ที่คำนึงถึงคะแนนเสียงของทุกเสียงมีคุณค่าไม่มีการทิ้งให้เสียเปล่า เกิด “ระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วน” (Proportional representation (PR) )เกิดขึ้น
ระบบนี้ไม่คำนึงถึงการเลือกตั้งในระบบเขตเลือกตั้งย่อย
แต่กำหนดเขตเลือกตั้งขนาดใหญ่
ใช้ “ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง(Party list ) ในการกำหนดความนิยมของพรรคการเมืองแล้วนำมาคำนวณหาสัดส่วนที่นั่งสมาชิกรัฐสภาจากคะแนนเสียงที่ได้รับในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง
ข้อดีของตระกูลนี้ ก็ทำให้คะแนนเสียงไม่ถูกทิ้งเสียเปล่า พรรคการเมืองต้องเน้นและให้ความสำคัญในการเสนอนโยบายของพรรคมากกว่าความนิยมในตัวผู้สมัคร 
แต่ก็มีปรากฏการณ์บางประการที่เป็นจุดอ่อนเกิดขึ้นจากการใช้ระบบนี้ ก็คือ มีพรรคการเมืองเกิดขึ้นจำนวนมากและได้รับที่นั่งจากสัดส่วนจำนวนมากหลายพรรค จนไม่สามารถมีรัฐบาลเสียงข้างมากเด็ดขาดที่จะบริหารประเทศได้ด้วยนโยบายของพรรคการเมืองเดียว

3. ตระกูลที่สามก็คือ มีการนำจุดอ่อนของระบบการเลือกตั้งทั้งสองตระกูลมาวิเคราะห์
แล้วสร้างระบบการเลือกตั้งใหม่ผสมผสานจุดดีของระบบการเลือกตั้งทั้งสองระบบเข้าด้วยกัน เกิด “ระบบการเลือกตั้งแบบผสมสัดส่วน” (semi-proportional voting system, mixed voting system หรือ hybrid voting system) เกิดขึ้น 

ระบบการเลือกตั้งแบบนี้ นำข้อดีของการมีผู้แทนปวงชนที่ใกล้ชิดกับประชาชนในเขตเลือกตั้งใน “ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมาก” มาผสมผสานกับการมีนโยบายของพรรคการเมืองใน “ระบบการเลือกตั้งแบบผสม” 

คือทำให้ได้รัฐบาลที่มีเสียงข้างมากเพียงพอต่อการบริหารประเทศและมีนโยบายในการบริหารที่จูงใจให้ประชาชนมีความนิยมในพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองในการเลือกตั้งระดับต่างๆ 


จึงมีการกำหนดให้มีการเลือกตั้งในระบบเขตเลือกตั้งและระบบบัญชีรายชื่อพรรคการเมือง เพียงแต่สัดส่วนและวิธีคิดคะแนนจะใช้แบบใด 

ระบบนี้บางประเทศได้ออกแบบเพื่อใช้แก้ปัญหาของการมี “ทรราชย์” หรือ “เผด็จการ” โดยรัฐสภา
โดยมีกลไกสอดคล้องอีกหลายเรื่อง เช่น สหพันธรัฐเยอรมนี ที่ระบบการเลือกตั้งแบบผสม ในระบบ “การคำนวณที่นั่งพรรคการเมืองหักลดด้วยที่นั่งที่มาจากคะแนนเขตเลือกตั้ง”และ
มีศาลรัฐธรรมนูญควบคู่กันไปเพื่อป้องกันการเกิด “ทรราชย์” หรือ “เผด็จการ” โดยรัฐสภา

สำหรับ ระบบการเลือกตั้งที่ คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญโยนหินถามทางมายังสาธารณชนว่า ได้ออกแบบ ระบบการเลือกตั้งเป็นแบบ “ระบบจัดสรรปันส่วนผสม” หรือ mixed member apportionment (mma) นั้น
มีคำถามว่าเป็น “ระบบการเลือกตั้ง”ตระกูลใดในสามตระกูลหรือสร้างตระกูลใหม่
ซึ่งมีคำถามอย่างน้อยสามประการ คือ
ประการที่หนึ่ง กำหนดโดยพิจารณาบริบทประเทศอย่างไร และ
ประการที่สอง คณะกรรมาธิการกำลังเสนอ “ระบบการเลือกตั้ง” หรือระบบการลงคะแนนหรือคิดคะแนน และ
ประการที่สาม ระบบนี้เป็นระบบใหม่จริงหรือไม่
เพราะข้อเสนอแบบหยาบที่เสนอมาละม้ายคล้ายคลึงกับ “ระบบการเลือกตั้งสัดส่วนแบบจัดสรรซ้ำ”( Biproportional apportionment ) สายพันธุ์ย่อยของ “ระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วน”
ซึ่งใช้ในบางท้องถิ่นของประเทศสวิสเซอร์แลนด์เสนอโดยFriedrich Pukelsheim นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน หรือระบบการเลือกตั้งแบบผสมสัดส่วนหักลดด้วยคะแนนเขตเลือกตั้ง หรือระบบการเลือกตั้งแบบเยอรมัน คงต้องมีคำตอบที่ชัดเจนกว่านี้

การเปรียบเทียบระหว่างระบบการเลือกตั้งที่คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญเสนอกับระบบที่มีอยู่นั้นคงต้องมีวิเคราะห์กันอีกครั้งว่า


“ระบบเลือกตั้งจะเอาแบบไหน” และมีอะไรใน “กอไผ่” ที่ซ่อนเร้นนอกจากหลักการทั่วไปที่เสนอเหมือนกับตอนที่มีการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ หรือไม่
คงต้องติดตามกันในตอนต่อไป