PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2561

รัฐหนุนช่วยค่าน้ำมันวินมอไซต์3บาท

วันนี้ (11 ต.ค.) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี หารือร่วมกับ นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน และผู้บริหาร ปตท. ถึงแนวทางการช่วยเหลือผู้ขับรถรับจ้างจากกรณีราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ให้สามารถซื้อน้ำมันในราคาถูกกว่าท้องตลาด โดยคาดว่าจะเริ่มได้ในช่วงปลายปี
.
มาตรการนำร่องจะช่วยเหลือกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง ให้ซื้อน้ำมันได้ถูกลง 3 บาทต่อลิตร โดยต้องเป็นผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และขึ้นทะเบียนไว้กับกรมการขนส่งทางบก ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 2-3 แสนคน
.
ข้อมูลจาก ปตท. ระบุว่า เงินที่ใช้อุดหนุนลิตรละ 3 บาทจะมาจากกองทุนน้ำมันฯ รับภาระ 2 บาท และ ปตท.รวมทั้งผู้ค้ารายอื่นรับภาระ 1 บาท
.
ก่อนหน้านี้รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือราคาก๊าซเอ็นจีวี ให้รถโดยสารสาธารณะและก๊าซหุงต้มให้กับครัวเรือนที่มีรายได้น้อย

นิวส์โน้ต : ยิ่งช้ายิ่ง(ไม่)ช้ำ! ประจำวันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม 2561

นิวส์โน้ต : ยิ่งช้ายิ่ง(ไม่)ช้ำ! ประจำวันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม 2561



ธันวาฯเดือนสุดท้าย ได้เวลาปลดล็อกทุกอย่าง
ฉีกทิ้งคำสั่ง ข้อห้าม กฎเหล็ก จำกัดสิทธิ เสรีภาพทั้งหลาย
โฆษก‘ไก่อู’แถลงย้ำ เตือนจำ กลัวคนลืม
ที่จริงเรื่องที่ว่า ไม่มีอะไรใหม่ แต่เป็นไปตามลายแทง
เมื่อ พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.บังคับใช้ มีพระราชกฤษฎีกา เข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มตัว หลักมันก็ต้องอย่างนั้น
แถมข้อ 8 คำสั่ง คสช.53/2560 ก็เขียนชัด
ให้ ครม.แจ้ง คสช.แก้ไข-เลิกกฎหมาย ประกาศ/คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่เป็นอุปสรรคต่อพรรคการเมือง
หัวหน้า ครม.คงหาตัวหัวหน้า คสช.ไม่ยาก(ฮา)
ทันทีที่ปลดล็อก ปล่อยแถว การเมืองคงคึก ราวกะม้าคะนอง โดนกักนานๆ ถูกปล่อยจากคอกพร้อมกัน

พรรค-นักการเมืองทำกิจกรรมได้ หาเสียงได้
เส้นหมี่ไม่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ แอบค้อนมองเส้นใหญ่อีกต่อไป ทุกพรรคเคลื่อนได้ เสมอภาคกัน
ถึงตอนนั้น หัวหน้า เลขา บัญชีนายกฯของหลายสำนัก
คงชัดยกขึ้นหิ้งอวดโชว์ เป็นจุดขาย
ยกเว้นเต็ง 1 นายกฯคนต่อไป ‘บิ๊กตู่’ ที่วางคิวรับเทียบเชิญพลังประชารัฐ เปิดตัวไว้ท้ายๆ
ถึงไม่เร็ว-ก็ช้า เดาทางได้ก็ตาม แต่ฤกษ์ยามโน่น เปิดผัวะทีเดียววันยื่นต่อ กกต.
ว่ากันว่าหัวหน้า คสช.กลัวช้ำ เปิดตัวเร็วโดนตีเร็ว
เซฟถนอมตัว ปล่อยน้องๆ รมต.รับแขกแทน
เทสต์แกร่ง สู้แรงเสียดทาน บังหอกดาบให้ลูกพี่

น.3คอลัมน์ : การเมืองยุค 62 ยืนซดหมัดกับ ‘คสช.’ ใต้กติกา‘คสช.’

น.3คอลัมน์ : การเมืองยุค 62 ยืนซดหมัดกับ ‘คสช.’ ใต้กติกา‘คสช.’



ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทย ไม่ว่าพรรคพลังธรรมใหม่ มีจุดร่วมที่แจ่มชัด
นั่นคือ สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ “คสช.”
เช่นเดียวกับ ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคประชาชาติ ไม่ว่าพรรคอนาคตใหม่ ไม่ว่าพรรคสามัญชน มีจุดร่วมที่แจ่มชัดในทางการเมือง
นั่นคือ ไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ “คสช.”
นี่คือ สภาพการณ์ทางการเมืองที่เริ่่มก่อรูปขึ้นในการเลือกตั้งวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 และนับวันจะมีความแจ่มชัด
นี่คือ 2 แท่งแม่เหล็กสำคัญ
สภาพการณ์ทางการเมืองจะให้คำตอบที่แน่นอนจากแต่ละพรรค แต่ละกลุ่มทางการเมืองว่าจะเลือกเส้นทางแบบใด
เลือก คสช. หรือไม่เอา คสช.
ถามว่าแนวคิดแยกจำแนกระหว่าง 1 เอา คสช. กับ 1 ไม่เอา คสช. เกิดขึ้นได้อย่างไร และเป็นความพยายามผลักดันโดยใคร
เป็นความต้องการของพรรคเพื่อไทยอย่างนั้นหรือ
เป็นความต้องการของพรรคประชาชาติ และเป็นความต้องการของพรรคอนาคตใหม่ รวมถึงพรรคสามัญชน อย่างนั้นหรือ
ไม่ใช่หรอก
การประพฤติปฏิบัติของ คสช.นับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 นั่นแหละคือคำตอบ การผลักดันตั้งแต่ประชามติร่างรัฐธรรมนูญเมื่อเดือนสิงหาคม 2559 นั่นแหละคือคำตอบ
และที่สุด ก็รวมศูนย์อยู่ที่ “รัฐธรรมนูญ”

คสช.นั่นเองคือผู้กำหนดแนวรบและมีความแจ่มชัดมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับเมื่อมีการจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย
เมื่อ คสช.ต้องการเช่นนี้ ก็ย่อมจะเกิด “แนวต้าน” ขึ้นเป็นธรรมดา
ทุกอย่างดำเนินไปตามกฎของฟิสิกส์อัน เซอร์ไอแซค นิวตันแห่งอังกฤษ ได้เคยให้อนุสาสน์เอาไว้นานมาแล้วว่า
เมื่อมีแรงกด ก็ย่อมเกิดแรงต้าน
พลันที่แรงกดอันเนื่องแต่ คสช.ผนึกตัวรวมพลังเป็นแนวร่วมอันกว้างขวาง ประกอบด้วยพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคประชาชนปฏิรูป
ก็ย่อมเกิด “แรงต้าน” ขึ้นมา
จึงไม่เพียงแต่จะมีพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคอนาคตใหม่ พรรคสามัญชน หากแต่ยังแตกสาขาออกเป็น พรรคเพื่อธรรม พรรคเพื่อชาติ
ท่ามกลางการเคลื่อนไหวของ 2 แนวรบประจันหน้ากัน
การแยกกลุ่ม รวมกลุ่มก็จะบังเกิดท่ามกลางการเคลื่อนไหวอันเข้มข้น แม้จะมีความพยายามจะเสนอแนวทางที่ 3 ออกมาประเภทต้านทั้ง คสช.และต้านพวกไม่เอา คสช.
ในที่สุดแล้ว สถานการณ์จะปรับแต่งให้คงเหลือเพียง 2 แนวเท่านั้น
สภาพการณ์การเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จึงสะท้อนลักษณะพิเศษทางการเมืองอันดำรงอยู่ภายหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 อย่างเป็นการจำเพาะ
เด่นชัดว่ามีการตั้ง 2 แนวรบประจันหน้า
แม้ว่าบทสรุปของท่านซุนวูจะอยู่บนพื้นฐานที่ว่า “การศึกมิหน่ายเล่ห์” แต่ไม่ว่าเล่ห์จะปรากฏออกมาอย่างไรก็แทบมิได้เป็นความลี้ลับอะไรเลย
ความแหลมคมยิ่ง คือ เป็นการต่อสู้บนเกมที่ “คสช.” เป็นฝ่ายกำหนด จัดวาง

ช้ากว่าเต่าคลาน


คดีไม้ล้างป่าช้า “จีที 200” มหกรรมต้มตุ๋นบันลือโลกที่โฆษณาคำโตว่าเป็นเครื่องตรวจสอบสารวัตถุระเบิด ประสิทธิภาพสูงสุด ใช้ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์
ทำให้ 15 หน่วยราชการไทยหลงเชื่อสั่งซื้อเครื่องจีที 200 ราคาแพงหูฉี่มาใช้งานตรวจหาสารระเบิดถึง 1,398 เครื่อง
สูญเงินภาษีประชาชนไป 1,134 ล้านบาทฟรีๆ
ก่อนจะพบความจริงว่า เครื่องจีที 200 เป็นแค่ “ไม้ล้างป่าช้า” เท่านั้นเอง
ไม่มีประสิทธิภาพการตรวจสอบวัตถุระเบิด ไม่เป็นสับปะรดขลุ่ยอะไรเลย
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่า ศาลได้ตัดสินลงโทษจำคุกผู้บริหารบริษัทตัวแทนขายไม้ล้างป่าช้าข้อหาฉ้อโกงไปแล้ว 3 คดี
คดีแรก กรมสรรพาวุธเป็นผู้เสียหาย ศาลสั่งลงโทษจำคุกจำเลย 10 ปี
คดีที่สอง กรมราชองครักษ์ เป็นผู้เสียหาย ศาลสั่งจำคุกจำเลยอีก 9 ปี
ล่าสุด คดีที่สาม สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม เป็นผู้เสียหาย ศาลจำคุกจำเลยอีก 9 ปี
และยังมีคดีรอคิวให้ศาลตัดสินตามมาอีกยาวเป็นแพ
ถ้านับโทษจำคุกเรียงกระทงคงต้องบวกเพิ่มๆเป็นร้อยปี
สรุปว่าการจัดซื้อเครื่องจีที 200 ที่ผลาญเงินภาษีประชาชนไปก้อนโต ถือเป็น “ค่าโง่” ราคาแพงระเบิดเถิดเทิง
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าการจัดซื้อเครื่องจีที 200 มีความผิดปกติชัดเจน 3 ประการ
ประการที่ 1...ก่อนการอนุมัติจัดซื้อไม่มีการพิสูจน์คุณสมบัติการใช้งานว่าสามารถตรวจหาสารวัตถุระเบิดได้จริงหรือไม่??
ประการที่ 2, เครื่องจีที 200 ที่หน่วยราชการต่างๆจัดซื้อมีราคาแตกต่าง บางหน่วยซื้อราคาเครื่องละ 1.3 ล้านบาท บางหน่วยซื้อราคาเครื่องละ 4.5 แสนบาท ราคาต่างกันกว่าเท่าตัว
ประการที่ 3, หน่วยราชการที่อ้างความจำเป็นเร่งด่วน จัดซื้อวิธีพิเศษลอตใหญ่ กลับซื้อในราคาแพงกว่าหน่วยงานที่จัดซื้อตามระเบียบราชการ
อนึ่ง นอกจากความผิดปกติข้างต้น 3 ประการ
ยังมีคำถามเพิ่มเติมแถมพิเศษอีก 3 ประเด็น
ประเด็นที่ 1, การจัดซื้อไม้ล้างป่าช้าครั้งนี้ ทำให้หน่วยราชการของไทยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
ถามว่า เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในขบวนการจัดซื้อ และผู้อนุมัติให้จัดซื้อไม้ล้างป่าช้าจะเข้าข่ายความผิดฐานบกพร่องผิดพลาดทำให้ราชการเสียหายหรือไม่?
และต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยหรือไม่??
ประเด็นที่ 2, มีนักวิชาการตั้งข้อสงสัยว่าเครื่องจีที 200 เป็นเครื่องมือแหกตา ไม่สามารถใช้ตรวจหาสารวัตถุระเบิดได้จริง
แต่มีเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงบางหน่วยงานออกมาแถลงยืนยันว่าเครื่องจีที 200 ใช้งานได้จริงแน่นอน เป็นเทคโนโลยีระดับโลก มีประสิทธิภาพตรวจสอบหาสารระเบิดได้ดีเยี่ยม ทั้งในอากาศ บนดิน ใต้ดิน และใต้นํ้าอย่างถูกต้องแม่นยำ
(แต่หลังจากผ่าเครื่องออกมาพิสูจน์แล้ว...พบว่าข้างในไม่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อะไรเลย)
ถามว่า หัวหน้าหน่วยราชการที่ออกมาแถลงยืนยันว่าเครื่องจีที 200 ใช้งานได้อย่างดี จะเข้าข่ายความผิดฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่หรือไม่?
และมีความผิดฐานสนับสนุนให้ราชการเสียหายหรือไม่?
ประเด็นที่ 3, ศาลได้ตัดสินลงโทษบริษัทเอกชนตัวแทนขายเครื่องจีที 200 โดนจำคุกไปแล้ว 3 คดี
ถามว่า เหตุใดจนป่านนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังรวบรวมหลักฐานคดีทุจริตไม้ล้างป่าช้าไม่เสร็จเสียที??
ดองไว้นานๆ ระวัง “หลักฐานเปื่อย” นะ ป.ป.ช.
"แม่ลูกจันทร์"

ปรับสปีดกันเครื่องพัง


ขั้วฟูลไทม์การเมืองต้องเร่งสปีดกันฝุ่นตลบ
ถึงแม้ในปีกอำนาจรัฐบาล ขั้วพลังประชารัฐจะมี 4 รัฐมนตรีต้องแบ่งเวลาการบ้าน นอกเวลาค่อยลุยสู้การเมืองแบบพาร์ตไทม์ แต่มี “ของขาย” ระดับแม่เหล็ก
เพราะอยู่ร่วมรัฐบาลที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังปั่นผลงานโค้งสุดท้าย
หลายโปรเจกต์เริ่มเห็นเนื้อเห็นหนัง “ประชารัฐ” เริ่มติดหูติดตาคนดู
กระตุ้นแต้มทางอ้อม เข้าทางค่ายการเมืองใหม่
ที่สำคัญ 4 รัฐมนตรีก็รู้ดี “เวลาเหมาะสม” จะโดดลงสนามเต็มตัว โค้งนี้มีอะไรใส่ให้หมด
โดยเฉพาะ “อุลตร้าแมน” อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะ รมว.อุตสาหกรรม แบ่งภาคเคลียร์งานคั่งค้าง ทั้งเร่งโปรเจกต์ศูนย์ไซเบอร์พอร์ตไทยแลนด์ อินโนสเปซ แหล่งบ่มเพาะสตาร์ตอัพเอสเอ็มอี ด้านดิจิทัล สารพัดโครงการในอีอีซี ไปจนกระทั่งทุ่มงบฯหมื่นล้านอุ้มชาวไร่อ้อย ฯลฯ
เข้าเป้าก็มีโอกาสแต้มไหล
ส่วนรัฐมนตรีอีก 3 รายก็เหยียบคันเร่งไปในทิศทางเดียวกัน ในฐานะร่วมทีมเศรษฐกิจรัฐบาล
โดยมี “กัปตันทีมเศรษฐกิจ” อย่าง “ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกฯ ล่าสุดเพิ่งนั่งหัวโต๊ะบัญชาการเร่งเครื่องบิ๊กโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐาน วงเงินกว่า 1 ล้านล้านบาท
ชนิดเช็กลิสต์ละเอียด ทำผังเวลา ดีเดย์เดินหน้าตามเป้า ไม่ดองรอรัฐบาลหน้า
ขั้วพลังประชารัฐเลยมีน้ำมีนวล นำหน้าคู่แข่งไปไกล
ในขณะที่ขั้วอื่นๆลุยการเมืองเต็มเวลาก็จริง แต่อีกทางก็ “ฝุ่นตลบฟูลไทม์” เหมือนกัน
โดยเฉพาะ 2 ค่ายใหญ่ ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีศึกในชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรค ผู้สมัคร 3 ราย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ-วรงค์ เดชกิจวิกรม–อลงกรณ์ พลบุตร” ลุยเดือดกันจริงหรือไม่ ไม่รู้ แต่แน่ๆงานนี้วิน–วิน ได้ทุกฝ่าย
และเหนืออื่นใด ข่าวคราวศึกชิงเก้าอี้ประมุขพรรค ปชป.กระหึ่ม นำเสนอทางหน้าสื่อต่อเนื่อง พรรคประชาธิปัตย์ที่พักหลังโดนมองเมินจากโฟกัสการเมืองพลิกกลับมาเป็น “ตัวแปร” ที่น่าสนใจอีกครั้ง
ยกเหตุเดินสายลงพื้นที่หาเสียงหัวหน้าพรรค ได้เช็กแต้มเช็กกลไกหัวคะแนนไปในตัว
ไม่ต้องจ้างบริษัทอีเวนต์โชว์เชียร์ แถมพรางเกมหาเสียงเนียนๆกันเลย
แต่ที่ดูแล้ว ออกอาการต้องสปีดกันตีนขวิดมากสุด น่าจะเป็นค่ายการเมืองในเครือข่ายนายใหญ่ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” ที่ล่าสุดลูกทัพลูกค่ายเริ่มมึนกับยุทธศาสตร์ “แตกตัว”
แยกกันเดินรวมกันตี แก้เกมกติกาใหม่ตามรัฐธรรมนูญ อีกทางก็จับแยกศึกเจ๊ๆเฮียๆในพรรค
เพราะคีย์แมนแกนนำอาจเข้าใจยุทธวิธี “เพื่อไทย–เพื่อธรรม–เพื่อชาติ” เป้าหมายเดียวกันที่ “เพื่อเธอ–นายใหญ่” แต่ไพร่พลเลือกกันไม่ถูก
แถมยังสร้างความงงงวยไปถึงแฟนคลับฐานเสียง
เลยถึงคิวด่วนที่ “ทักษิณ” ต้องเคลื่อนฐานบัญชาการมาที่ฮ่องกง
แต่จะเคลียร์จะเคาะยังไงต้องรอติดตาม ค่ายสารพัด “เพื่อ” จะวงแตกก่อนหรือไม่ เพราะไม่เท่าไหร่ก็มีสื่อรายงานพรรคอะไหล่ของจริง
แพลมยี่ห้อ “ไทยรวมพลัง” มาอีกชื่อหนึ่งแล้ว
ในสถานการณ์ที่จะเร่งสปีดจัดทัพเตรียมสู้ตามให้ทันพรรคใหม่ เร่งๆไปก็ติดกึ้กติดกั้ก
โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ต้องคิดหนัก ไม่พ้นปมเกี่ยวโยง “ลูกโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชาย “นายใหญ่–นายหญิง” ที่ล่าสุดอัยการส่งฟ้องปมฟอกเงิน โยงคดีปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย
ยังไม่รู้บทสรุปชนักคดี “กล่องดวงใจ” ครอบครัวตระกูลชินฯจะเป็นเช่นไร
ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ยุทธการที่วางไว้ เวลานี้จึงเริ่มลังเลจะลุยก็ไม่สุด–ช่องสัญญาณก็ยังเชื่อมไม่ติด
อยู่ในจุดความเสี่ยงสูง “นายใหญ่” ต้องครุ่นคิดอีกหลายตลบ.
ทีมข่าวการเมือง