PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2559

"กองทัพบก" แจงอาวุธอุปกรณ์หายช่วงม็อบเสื้อแดงปี 53 รวม 86 รายการ

"กองทัพบก" แจงอาวุธอุปกรณ์หายช่วงม็อบเสื้อแดงปี 53 รวม 86 รายการ ชี้ได้กลับคืนมาเพียง 29 รายการ เร่งติดตามกลับคืน
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก และ คสช. กล่าวว่า กองทัพบกยังคงติดตามกรณีอาวุธ อุปกรณ์ และยานพาหนะของกองทัพบกถูกยึด และถูกทำลายให้เสียหายจากเหตุการชุมนุมทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะการชุมนุมทางการเมือง ปี 53 ที่พบมีการใช้ความรุนแรงของมวลชนและแนวร่วมบางส่วนอย่างกว้างขวาง และมักจะกระทำกับ สถานที่ราชการ องค์กรอิสระ สถานที่สำคัญต่างๆ แม้กระทั้งวัด รวมถึงประชาชน และ เจ้าหน้าที่ อย่างกว้างขวางในหลายๆ พื้นที่ 

พ.อ.วินธัย กล่าวว่า โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 ที่เริ่มมีสัญญานความรุนแรงขั้นสูงถึงขั้น มีการบาดเจ็บเสียชีวิต ของ เจ้าหน้าที่ทหาร และประชาชน มีการยึดอาวุธ และยุทโธปกรณ์ไปจากเจ้าหน้าที่ในขณะปฏิบัติหน้าที่บ้าง ก็มีการทำลายให้อุปกรณ์และยุทโธปกรณ์ได้รับความเสียหาย ซึ่งสัญญานแนวโน้มความรุนแรงอื่นๆ ก็ดูจะเพิ่มระดับขึ้น เช่น มีการพยายามทำร้าย หรือคุกคามความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของบุคคลสำคัญ เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องเข้าดำเนินการตามคำสั่งของรัฐบาลขณะนั้น 

ส่วนความเสียหายในส่วนของอาวุธและยุทโธปกรณ์ของเจ้าหน้าที่ทหาร พบว่ามีเฉพาะเมื่อ ปี 53 ที่มีทั้งถูกประทุษร้ายทำลายและถูกยึด 1.เหตุการณ์ที่ เชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า เมื่อ 10 เม.ย. 53 เวลากลางวัน มียอดปืนถูกยึด ประกอบด้วย ปืนเล็กยาวทราโวร์ จำนวน 12 กระบอก ภายหลังได้คืนมาจำนวน 10 กระบอก เมื่อ 25 พ.ย.55 คงเหลือ 2 กระบอก, ปืนลูกซองจำนวน 35 กระบอก ได้คืนมา 15 กระบอก เมื่อวันที่ 3 ม.ค.56 คงเหลืออีก 20 กระบอก เป็นอาวุธของกองพันที่ 1 กรมทหารราบที่ 29 (ร.29 พัน.1) ของค่ายสุรสีห์ จ.กาญจนบุรี นอกจากนี้ในช่วงเย็นได้มีกลุ่มผู้ชุมนุมได้ทำลายยานพาหนะทหารบนสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าเสียหายอีกหลายคัน และได้แจ้งความที่ สน.บางยี่ขัน ทั้งนี้เหตุการณ์ข้างต้นทั้งหมด พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาปล้นทรัพย์และทำให้เสียทรัพย์สรุปสำนวนส่งฟ้องศาลอาญา (รัชดา) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการสืบพยานขอศาลอาญา 

พ.อ.วินธัย กล่าวว่า 2.เหตุการณ์ที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อ10เม.ย.53 เวลากลางคืน มีปืนถูกยึดประกอบด้วยปืนเล็กยาวทราโวร์ 13 กระบอก ได้คืน 3 กระบอก เหลืออีก 10 กระบอก (หน่วย ร.19 พัน.1)ของเป็นอาวุธของกองพันทหารราบที่1กรมทหารราบที่19 , ปืนลูกซอง3 กระบอก ยังไม่ได้คืน ของหน่วย ของกองพันทหารราบที่3กรมทหารราบที่19 (ร.19 พัน.3) ปืนเล็กยาวเอ็ม.16 เอ 1 จำนวน 1 กระบอก ยังไม่ได้คืน ของกองพันทหารม้า กรมทหารม้าที่19 (หน่วย ม.พัน.19) ทั้งหมดแจ้งความไว้ที่ สน.ชนะสงคราม และอยู่ระหว่างการสอบสวนของกรมสอบสวนคดี 

พ.อ.วินธัย กล่าวว่า 3.เหตุการณ์ที่ แถวบางขุนพรม เมื่อ10เม.ย.53) ปืนเล็กยาว.เอ็ม.16 เอ.2 จำนวน 4 กระบอก ยังไม่ได้รับคืน ของกองพันที่2ศูนย์การทหารราบ (ศร. พัน.2) แจ้งความไว้ที่ สน.นางเลิ้ง 4. เหตุการณ์ที่หน้า รร.สตรีวิทยา เมื่อ10เม.ย.53 เวลากลางคืน มีปืนกลรุ่น59 จำนวน 6กระบอก , ปืนเล็กยาวเอ็ม.16 เอ.2จำนวน 5 กระบอก ได้คืน 1 กระบอกเหลือ 4 กระบอก ,ปืนรอสซี่ 3 กระบอก , ปืนพกสั้น .45 2 กระบอก เป็นอาวุธของหลายหน่วย แจ้งความไว้ที่ สน.นางเลิ้ง 

พ.อ.วินธัย กล่าวว่า 5.เหตุการณ์ที่หน้า รร.สตรีวิทยา เมื่อ 10 เม.ย.53 เวลากลางคืน มี รถสายพานลำเลียง 85 เสียหาย จำนวน 6คัน, รถยนต์ เสียหาย 3 คัน แจ้งความไว้ที่ สน.นางเลิ้ง 6.เหตุการณ์ที่แยกมัฆวาน และ แยกเทวกรรม เมื่อ10เม.ย.53 เวลากลางวัน มีถูกยึดกระบองยิงกระสุนยาง 2 กระบอก ยังไม่ได้คืน , มีรถบรรทุก เอ็ม35.เสียหาย 2คัน,เสื้อเกราะหาย 2ตัว ยังไม่ได้คืน แจ้งความไว้ที่ สน.นางเลิ้ง 7.เหตุการณ์ที่ถนนตะนาว เมื่อ 10 เม.ย.53 เวลากลางวัน มีถูกยึดชุดควบคุมฝูงชน เครื่องมือสื่อสารทางทหาร และอุปกรณ์ของเสนารักษ์ รวมทั้งมีทำลายยานพาหนะอีกเป็นจำนวนมากแจ้งความไว้ที่ สน.ชนะสงคราม 

พ.อ.วินธัย กล่าวต่อว่า 8.เหตุการณ์ที่ มักกะสัน เมื่อ 14 พ.ค.53 เวลากลางวัน ปืนเอ็ม 16 จำนวน 2 กระบอก ยังไม่ได้คืนแจ้งความไว้ที่ สน.มักกะสัน ซึ่งศาลพิพากษาจำคุก นายคำหล้า ชมชื่น จำนวน 10 ปี ส่วนผู้เกี่ยวข้องที่เหลืออยู่ระหว่างออกหมายจับ 9.เหตุการณ์ที่ ซอยหมอเหล็ง มักกะสัน เมื่อ 14 พ.ค.53 เวลากลางวัน มีเสื้อเกราะถูกยึดไป 14 ตัว ยังไม่ได้คืน ,มีรถยนต์เสียหาย 1คัน ของกองร้อยกองบังคับการ กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ (ร้อย บก.ร.1 รอ.)แจ้งความไว้ที่ สน.มักกะสัน และ 10. เหตุการณ์ที่ ใต้ด่วนดินแดง เมื่อ 16 พ.ค.53 เวลาประมาณตีสี่ มีเสื้อเกราะถูกยึดไป 14 ตัว ยังไม่ได้คืน ,มีรถยนต์เสียหาย 1 คัน.(ของ ร้อย บก.ร.1 รอ.) แจ้งความไว้ที่ สน.มักกะสัน 

พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ในเรื่องของอาวุธ และยุทโธปกรณ์ ที่ถูกประทุษร้ายไปยังคงอยู่ในระหว่างติดตามและดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้ทางราชการ แม้ว่าบางคดีพนักงานอัยการได้สั่งงดการสอบสวนเนื่องจากความพร้อมของหลักฐาน 

สำหรับสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองปี 56 -57 โดยเฉพาะเป้าหมายการใช้ความรุนแรง มักเกิดกับเฉพาะกับประชาชนที่มาร่วมชุมนุม กับ กลุ่ม กปปส.เป็นหลักเท่านั้น สถานการณ์ความรุนแรงอื่นๆ จะไม่ค่อยปรากฏ ซึ่งถือว่ามีบริบทที่แตกต่างกับสถานการณ์เมื่อปี 53 

ดังนั้นภาพรวมการบริหารจัดการเพื่อรักษาความสงบและดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินย่อมมีความแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ แต่หลักๆ คงขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงมากกว่า ไม่ใช่เรื่องของชื่อกลุ่มว่าเพราะเป็น นปช. หรือ กปปส. จึงไม่ใช่เจ้าหน้าที่มีการเลือกปฏิบัติ อย่างที่บางคนพยายามบิดเบือนโดยเชื่อว่ามุมมองทั้งภายในและภายนอกประเทศก็คงจะเข้าใจ และเห็นชัดกับบริบทที่แตกต่างได้ชัดเจนเช่นกัน

บิ๊กป้อม ไม่เครียด พร้อมเปิดทุกอย่าง ยันไม่มี คนใกล้ชิดพิเศษ ไปด้วย เหน็บ สื่อสนุก แต่ผมไม่สนุก

บิ๊กป้อม ไม่เครียด พร้อมเปิดทุกอย่าง ยันไม่มี คนใกล้ชิดพิเศษ ไปด้วย เหน็บ สื่อสนุก แต่ผมไม่สนุก/ ยันกินแค่ข้าว -ก๊วยเตี๊ยว ไม่มีคาร์เวียร์/ นักข่าว ช่อง5 ก็ไปทำข่าว
บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร รองนายกฯและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า พร้อมเปิด 38 รายชื่อ ทริปไปHawaii
และยืนยันว่า ไม่มีคนใกล้ชิดพิเศษ ติดเครื่องบิน เพิ่อไปเที่ยวด้วย ไม่มี ยันคนที่ไป ล้วนเกี่ยวกับผม และ ไปทำงานทั้งสิ้น
ส่วนนักข่าว ที่ไปด้วย ก็ ททบ.5 ก็เกี่ยวกับผม ล้วนไปทำงานทั้งนั้น ไปทำข่าว
ทีม ผช.รมต. และ ตัวแทนสำนักนายกฯ ก็ไปด้วยเพราะมีงานที่ต้องคุย หลายด้าน ทั้งเรื่อง ก่อการร้าย ประมง ค้ามนุษย์
ยันกินแต่ก๊วยเตี๊ยว ข้าวธรรมดา ไม่มี ไข่ปลาคาร์เวียร์ เลิศหรูอะไร
ขอให้สื่อเขียนข่าวให้ตรงกับที่ผมพูด นายกฯโกรธสื่อ ก็เพราะ เขียนไม่ตรง นี่แหล่ะ
เชื่อนายกฯ ไม่ได้เครียดเรื่องผม จะมาเครียดทำไม ตัวใครตัวมัน ดูแลตัวเอง. ผมไม่เครียด. มีแต่ สื่อที่สนุก ผมไม่สนุกด้วย สนุกถามไปวันๆ ทีสหรัฐฯเขาชื่นชมเรา ทำไมไม่เสนอข่าว บ้าง เขาจะให้เราเป็นแบบอย่าง ในการแก้ปัญหา ทั้งค้ามนุษย์ ประมง และ การบินพลเรือน เรื่องอย่างนี้เสนอข่าวบ้าง

" กินอะไรแล้วไม่โมโห"

นายกฯบิ๊กตู่ อารมณ์บูดแต่เช้า เดินหน้ามุ่ย ก่อนขึ้นประชุมครม. เดินชิมขนม เปรย" กินอะไรแล้วไม่โมโห"

ก่อนขึ้นประชุม ครม. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. เดินหน้ามุ่ย และเคร่งเครียด ลงมาจากตึกไทยคู่ฟ้า แสดงออกถึงอารมณ์หงุดหงิดอย่างเป็นได้ชัด
แต่ต้องมาเดิน อีเว้นท์ หน้าตึกบัญชาการเพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ภายใต้ชื่อ “คลองผดุงสุขใจ คมนาคมเชื่อมไทย เชื่อมโลก
พล.อ.ประยุทธ์ ได้เยี่ยมชมสินค้าจากผู้ประกอบการ พร้อมให้คำแนะนำเรื่องการขายสินค้าโอทอป โดยบอกว่า เป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจกับชาวบ้านหรือผู้ผลิต ว่าจะทำอย่างไรให้เกิดความแตกต่างเพิ่มมูลค่า ซึ่งเป็นหน้าที่ของข้าราชการที่ต้องทำความเข้าใจและรับรู้
"วันนี้จะทำอย่างไร ให้สินค้าโดนใจ มีความแตกต่าง อย่าไปมองว่าผู้บริโภคไม่ให้ความสนใจ แต่อยู่ที่เราว่าจะทำอย่างไร ให้เกิดการพัฒนา โดยมีนวัตกรรมแบบใหม่ๆนำไปสู่การแข่งขัน ทำอยู่บนหลักการและเหตุผล เราต้องยอมรับในความแตกต่าง พัฒนาทำอะไรใหม่ๆ หาจุดขาย”
จากนั้น นายกฯลองชิม ขนมปั้นสิบ แล้วแนะนำชาวบ้านที่ทำขนม ว่า “ป้ารู้ไหมว่าความต้องการผู้บริโภคเป็นอย่างไร คนกินขนมชอบหวานมากหรือน้อย ซึ่งเราต้องผลิตทั้ง 2 แบบ และต้องหาจุดขาย อย่าทำอะไรแบบเดิมๆ เพราะจะขายได้เท่าเก่า สู้เขาไม่ได้ เจ๊งหมดทุกเจ้า ต้องคิดแบบนี้ ต้องปรับปรุงนะป้า”
จากนั้นได้เยี่ยมชมสินค้าจากปลาสลิด โดยแนะนำถึงการขายที่จะต้องเล่าถึงที่มาเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ และต้องไม่ขายด้วยวิธีการเดิมๆ และออกแบบแพคเกจให้น่าสนใจก็เป็นเรื่องสำคัญ
นายกฯได้ชิมขนมปั้นสิบและผลิตภัณฑ์จากปลาสลิด พร้อมสั่งให้นำขึ้นมาให้ ครม.ได้รับประทาน
“มีอะไรกินแล้ว ไม่โมโหบ้าง" นายกฯ เปรย
ก่อนจะบอก ชาวบ้านและคนที่มาออกร้านว่า "ผมโมโหอะไร ก็จะถามไอ้พวกนี้” นายกฯ ชี้มาทางนักข่าว

"บิ๊กโด่ง" ลั่น จะทำให้ดีที่สุด ไม่ก้าวก่าย ยันไม่มีเกาเหลา ไม่ลงรอย กอ.รมน.ภาค4-ศอบต.



"บิ๊กโด่ง" ลั่น จะทำให้ดีที่สุด ไม่ก้าวก่าย ยันไม่มีเกาเหลา ไม่ลงรอย กอ.รมน.ภาค4-ศอบต. ยันหน้าที่ติดตาม กำกับดูแล แนะนำประสานงาน ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ นายกฯ และ บิ๊กป้อม เผย คปต.ส่วนหน้า พร้อมลงใต้ทันที หลังครม.อนุมัติ แล้วจะประชุม13คปต.ส่วนหน้า ก่อน
พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ซึ่งได้รับการแต่งตั้ง เป็นประธาน หัวหน้าตัวแทนรัฐบาล ในการขับเคลื่อนแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ หรือ คปต.ส่วนหน้า กล่าวว่า พร้อมลงพื้นที่ ทันที หลังครม.อนุมัติ แล้วจะประชุม13คปต.ส่วนหน้า

พลเอกอุดมเดช กล่าวว่า จะทำให้ดีที่สุด และไม่ก้าวก่าย กอ.รมน.ภาค4-ศอบต.เพราะหน้าที่ของเรา คือ ให้คำแนะนำ ติดตาม กำกับดูแล ประสานงาน ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ นายกฯ และ พลเอกประวิตร ที่ได้คิด เรื่องนี้ออกมา

"ผมคิดแผนงานต่างๆ ไว้แล้ว ในด้านต่างๆ จะแบ่งมอบให้ ทั้ง12 คปต.ว่าใครจะทำงานด้านอะไร ให้มีขอบเขตความรับผืดชอบชัดเจน เพราะล้วนแต่เป็นคนที่มีประสบการณ์ในการทำงานในพื้นที่และความมั่นคง"
โดยมีแบ่งใน7สายงาน ตามนโยบายของ คปต. และแบ่งให้แต่ละกระทรวง ทั้งความมั่นคง การดูแลความปลอดภัย ในชีวืตทรัพย์สิน

ทั้งนี้ ยอมรับว่า นายกฯ และ พลเอกประวิตร. คาดหวัง คนไทยก็คาดหวัง กับ คปต.ส่วนหน้า
"ไม่ใช่เป็น ทหารแล้วทำอะไรไม่เป็น ทำอย่างอื่นไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่ก็ทำงาน มีประสบการณ์ ในทุกด้าน"
อีกทั้ง ที่ผ่านมา กอ.รมน.ภาค4 ส่วนหน้า ก็ดำเนินการคืบหน้ามาเยอะ จึงไม่หนักใจ จะใช้ประสบการณ์ให้เป็นประโยชน์.โดยคปต.ส่วนหน้า นี้ จะไปติดตามงาน และให้ คำแนะนำ เพราะตอนนี้ แผนงานต่างๆของกระทรวง ได้มีแล้ว ใน พรบ.งบประมาณปี2560
ทั้งนี้ ผมเอง จะลงไปอยู่ในพื้นที่ ให้มากที่สุด ซึ่งตอนนี้ กำลังเลือกสถานที่ที่คปต.ส่วนหน้า จะลงไปอยู่
ส่วนหน้าที่ รมช.กห.ก็ยังมีอยู่ เพราะก็ต้องขึ้นมาช่วย พลเอกประวิตรมรมว.กลาโหม
"ผมจะทำให้ดีที่สุด และเชื่อว่า ทุกคณะที่รัฐบาล ที่ผ่านๆมาตั้งขึ้น ก็คงจะช่วยแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง เพราะไม่เข่นนั้น สถานการณ์ ก็คงไม่ดีขึ้น มาถึงตอนนี้ เชื่อมั่นว่า ที่ผ่านมา ได้ประโยชน์. เพราะนายกฯและ พลเอกประวิตร ประธานคปต. ก็ตั้งใจเต็มที่ เชื่อมั่นว่า เราต้องทำให้ดีขึ้นให้ได้"
และ เป็นธรรมดา ที่ก็ต้องมีคนคาดหวัง แต่ไม่กดดัน แต่รู้สึกว่า อยากจะทำให้มันดี
พร้อมยืนยันว่า จะไม่มีเกาเหลา หรือความไม่ลงรอยกัน ระหว่าง กอ.รมน.ภาค4 กับ ศอบต. ที่ผ่านมาก็ทำงานด้วยกันอย่างดี
อีกทั้ง พลเอกประยุทธ์ ก็ออกคำสั่งในการแก้ปัญหาใต้ ให้2 แท่งนี้ ทำงานประสานงานกันอย่างดี ไม่มีขัดแย้ง

ลงใต้แล้ว จะ หลุด มั้ย หลุด?

ลงใต้แล้ว จะ หลุด มั้ย หลุด?
บิ๊กโด่ง พลเอก อุดมเดช ยันแม้ลงใต้ นั่งปธ. ผู้แทนรัฐบาลในนาม คปต.ส่วนหน้า แต่ก็ยังมีงาน รมช.กห.อยู่ ที่ต้องมาช่วยงาน พลเอกประวิตร โดยจะลงพื้นที่ให้มากที่สุด
หลังมีข่าวสะพัด นายกฯอาจใช้โอกาสนี้ ขยับ"บิ๊กโด่ง-บิ๊กน้อย พลเอกสุรเชษฐ์ รมช.ศึกษาฯ" 2 เกลอเพื้อนรัก ตท.14 ไปนั่งรมต.ประจำสำนักนายกฯ เพื่อทำงานใต้นี้ เต็มที่ แล้ว เอา บิ๊กทหาร ที่เกษียณ มาเสียบ ครม.แทน โดยเฉพาะ บิ๊กหมู พลเอก ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ.ที่เพิ่งเกษียณ หรืออาจแค่ร้ำลือ เพราะมีคนพยายาม และเสนอนายกฯ
งานนี้ บิ๊กตู่ กับบิ๊กป้อม เท่านั้น ที่ตัดสินใจ และ รู้ อนาคต บิ๊กโด่ง บิ๊กน้อย

"บิ๊กเจี๊ยบ" สั่งเคลียร์ทาง สู่เลือกตั้ง

"บิ๊กเจี๊ยบ" สั่งเคลียร์ทาง สู่เลือกตั้ง
นั่งควบ 3 เก้าอี้ ผบทบ.-เลขาฯคสช.-ผบ.กกล.รส.ประชุมมอบนโยบาย สั่งทหาร ไม่ว่าทำงานอะไร "จะต้องคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนและสังคมเป็นหลัก " หวังประเทศสงบเรียบร้อย มุ่งสู่เลือกตั้ง /พอใจ ภาพรวมความขัดแย้งเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ประชาชนเข้าใจรัฐและต้องการเดินไปข้างหน้า
ที่ กองบัญชาการกองทัพบก พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (เลขาฯคสช.) เป็นประธานการประชุมสำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ครั้งแรก
พันเอกหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช. เผยว่า พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑/๒๕๕๙ เรื่อง แต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
เมื่อ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙
การประชุมในวันนี้ เป็นการรายงานสถานการณ์และการปฏิบัติงาน
ในภาพรวมของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมถึงการแจ้งเปลี่ยนแปลงสมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติใหม่จำนวน ๔ ท่าน คือ ปลัดกระทรวงกลาโหม, ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, ผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นสมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และ ผู้บัญชาการทหารบก เป็น เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
นอกจากนึ้ พลเอก เฉลิมชัย เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ยังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย
พลเอกเฉลิมชัย ได้แสดงความมั่นใจต่อการปฏิบัติงานที่ผ่านมาของส่วนงานต่างๆ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ได้ขับเคลื่อนและดูแลสถานการณ์โดยรวมของประเทศ ให้มีความผ่อนคลาย และเป็นไปตามแนวทางที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติและรัฐบาลกำหนดไว้
โดยในระยะต่อไป การทำงานจะยังคงเป็นไปตามแนวทางเดิมที่ผ่านมา คือ กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ยึดถือตามภารกิจหลัก ๗ ประการ ในการดูแลความสงบเรียบร้อย รวมถึงภารกิจการปราบปรามผู้มีอิทธิพลตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๓/๒๕๕๙ ควบคู่ไปกับการช่วยสนับสนุนงานด้านการช่วยเหลือประชาชน
สำหรับงานด้านการจัดระเบียบสังคมและการบังคับใช้กฎหมายเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย
ที่ผ่านมาถือว่ามีความสำเร็จในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ให้เพิ่มการปฏิบัติงานร่วมกัน หรือให้พิจารณาถ่ายโอนให้กับส่วนราชการปกติ เป็นผู้สานต่อเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน ในการขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม
อย่างไรก็ตามเพื่อให้เกิดความพร้อมในการดูแลความสงบเรียบร้อยในทุกมิติ ยังคงมีความจำเป็นที่กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ต้องจัดการอบรม ชี้แจง และจัดทำแผนตามสมมติฐานในเหตุการณ์ต่างๆ ให้ทุกหน่วยงานมีความพร้อมในการคลี่คลายสถานการณ์ ทุกเหตุการณ์
นอกจากนี้ให้เดินหน้างานด้านการปรองดองสมานฉันท์ให้เป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุด
โดยขณะนี้ภาพรวมความขัดแย้งเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากประชาชนมีความเข้าใจในการทำงานของภาครัฐและต้องการให้ประเทศเดินไปข้างหน้า ซึ่งทำให้คาดหวังได้ว่านับแต่นี้จนถึงการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น สังคมไทยจะมีความสงบราบรื่น และเกิดความร่วมมือร่วมใจกันในทุกด้าน
พลเอกเฉลิมชัย ได้กำชับให้ทุกส่วนงานคงความต่อเนื่องในภารกิจที่สนับสนุนงานบริหารราชการแผ่นดิน หรือตามที่รัฐบาลมอบหมาย อาทิ โครงการแก้ปัญหาการรุกล้ำลำน้ำสาธารณะ ซึ่งนำร่องที่คลองลาดพร้าว, โครงการจัดระเบียบชุมชนแฟลตดินแดง, การจัดระเบียบรถสาธารณะ เป็นต้น
โดยให้ทำงานประสานกับทุกภาคส่วน เพื่อให้ผลงานเป็นรูปธรรม สำเร็จตามแผนงานและประชาชนมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ซึ่งโครงการนำร่องเหล่านี้จะเป็นแนวทางในการพัฒนาและจัดระเบียบพื้นที่สาธารณะในพื้นที่อื่นๆ ได้ต่อไปด้วย
ในตอนท้ายของการประชุม พลเอกเฉลิมชัย ได้ปรารภว่า. ผลสำเร็จของงานที่ผ่านมาเกิดจากความร่วมมือของทุกส่วน ทั้ง ทหาร ตำรวจ ส่วนราชการ และประชาชน ที่ปฏิบัติงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนและสนับสนุนงานตามนโยบายของรัฐบาลได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตามการทำงานที่เกี่ยวเนื่องกับประชาชน ขอให้ทุกส่วนใช้เจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ อย่างถ่องแท้ ควบคู่ไปกับการมีมาตรการและวิธีการที่เหมาะสม
"โดยเฉพาะงานด้านการรักษาความสงบเรียบร้อย จะต้องคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนและสังคมเป็นหลัก "
รวมทั้งจะต้องทำงานภายใต้ภารกิจที่เป็นไปตามแนวทางของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อย่างเคร่งครัด

"อภิสิทธิ์"บอกควรให้ความเป็นธรรม"บิ๊กป้อม"อธิบายบินฮาวาย

4 ต.ค. 59 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางไปประชุมกลาโหม ASEAN US ที่ เมืองฮอนโนลูลู เกาะฮาวาย เช่าเหมาลำโดยเสียค่าใช้จ่ายไปประมาณ 20 ล้านบาท ว่า ตอนที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรี จะใช้นโยบายหลีกเลี่ยงเพราะว่าคิดว่าถ้าเกิดใช้สายการบินพาณิชย์ได้ ก็ให้ใช้ สาเหตุของการหลีกเลี่ยงที่จะเช่าเหมาลำ คือเรื่องค่าใช้จ่าย แล้วก็นโยบายของตนตอนเป็นนายกรัฐมนตรีคือ คณะที่เดินทางไปนี้ก็ต้องการที่จะให้กระชับให้มากที่สุด เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย อะไรที่ไม่จำเป็นก็พยายามลด พยายามตัด และบางทีการเดินทางไปมันอาจจะมีคณะของกระทรวงต่างประเทศ หรือกระทรวงอื่นอีก จำนวนไม่ชัดเจน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า การเช่าเหมาลำที่ทำอยู่นั้น จะมีในกรณีที่ว่า ถ้าเดินทางโดยสายการบินพาณิชย์แล้วมันไม่สะดวก หรือกระทบต่อการไปทำงาน แล้วก็เท่าที่ตนจำได้นั้น มีครั้งหนึ่งที่เหมาลำไป เพราะว่าจะมีคณะของเอกชนใหญ่มาก แล้วเราก็จะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากภาคเอกชนด้วย มันก็เลยมองดูแล้วว่ามันคุ้มที่จะทำ และที่มีการที่วิพากษ์ วิจารณ์กันก็คงจะเห็นว่า เป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ในแง่ที่ว่าคิดคำนวณแล้ว รู้สึกต่อตัวก็จะออกมาประมาณ 5 แสน แล้วก็โดยเฉพาะถ้าไปไล่ตามรายการ บางรายการคนก็ต้องมีสิทธิ์ตั้งคำถาม เช่น ที่ง่ายที่สุดก็คือเรื่องอาหาร ประมาณ 6 แสน ก็เท่ากับหัวละ15,000 ตรงนี้คงจะต้องชี้แจงออกมาว่า ทำไมถึงเกิดแบบนี้ เหตุผลความจำเป็นคืออะไร จึงต้องใช้วิธีนี้ เพราะว่าเท่าที่ผมสังเกตดู ที่ผ่านมา ยกตัวอย่างเช่น กรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ก็รู้สึกส่วนใหญ่ก็ใช้เครื่องบินพาณิชย์ ไม่เห็นมีประเด็นอย่างนี้ออกมา
“ต้องให้ความเป็นธรรมกับท่านนะครับ ผมเคยทำงานกับท่านรองนายกฯ ประวิตร ท่านก็เป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลของผม แล้วผมก็สังเกต ผมก็จะเป็นคนสังเกต ผมก็รู้สึกว่าท่านปกติก็ไม่ใช่คนที่จะมาหรูหรา ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ ตรงกันข้ามนะครับ มีแต่คนที่รู้จักท่านแล้วผมก็สังเกตเองว่า ท่านก็ค่อนข้างจะเป็นคนเรียบง่าย แต่กรณีนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่าท่านทราบถึงรายละเอียดตัวเลขมากน้อยแค่ไหน ว่าค่าใช้จ่ายมันคืออะไร อย่างไร ไม่แน่ใจท่านคงไม่ได้เป็นคนอนุมัติเอง ผมไม่แน่ใจ ของแบบนี้” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามว่า ถ้าเทียบกับเครื่องบินโดยสาร ก็ดูว่ามันแพงกว่ากันเยอะ แล้วเครื่องบินโดยสารนั่งชั้น 1 ก็สะดวกสบายพอสมควร อาหารการกินรวมเรียบร้อย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขึ้นเครื่องไปแล้วไม่ต้องตั้งคำถาม มันสะดวกสบาย อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ประเด็นมันจึงอยู่ที่ว่า เหตุผลที่เขาอ้างก็คือว่า เหมือนกับการใช้เครื่องบินพาณิชย์ 1. ก็คือไม่มีบินตรง ก็ต้องไปเปลี่ยนหรืออะไร กำหนดการเวลา แต่มันถึงขั้นที่จะต้องเสียเงินเพิ่มขนาดนี้หรือไม่ อันนี้คือสิ่งที่คงจะต้องฟังคำชี้แจง และอย่างที่บอกสมัยตนให้นโยบายชัดเจน ว่าทุกอย่างก็ต้องประหยัดให้มากที่สุด ความจริงของอย่างนี้มันก็อยู่ที่แต่ละคน

สตง. สอบ “ประวิตร” เหมาลำ ประชุมฮาวาย


ผู้ว่า สตง. เผย กำลังตรวจสอบการใช้จ่ายกรณี “พล.อ.ประวิตร” เดินทางไปร่วมประชุมที่ฮาวาย ประเทศสหรัฐ คาดสรุปได้ศุกร์นี้


            4 ต.ค. 59 - นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เปิดเผยว่า ตอนนี้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) กำลังตรวจสอบการใช้งบประมาณในการเช่าเครื่องบินเหมาลำของการบินไทยเดินทางไปประชุม  รมว.กลาโหมอาเซียน –รมว.กลาโหมสหรัฐอเมริกาอย่างไม่เป็นทางการ ( ASEAN - US Defense Informal Meeting ) ที่มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 29 กันยายน ถึง 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยมีผู้ร่วมคณะเดินทาง  38  คน และใช้งบประมาณไป 20.9 ล้านบาท
            “สตง.เพิ่งส่งสายตรวจของ สตง.ไปเก็บข้อมูลจาก 2 หน่วย คือ สำนักเลขาธิการนายกฯ และ การบินไทย ประเด็นที่จะต้องพิจารณาคือ การเดินทางไป ถูกหรือแพงอย่างไร จำเป็นต้องใช้เหมาลำหรือไม่ เหมาะสมหรือไม่ เพราะเป็นการประชุมไม่เป็นทางการ ต้องไปดูระเบียบแบบแผนของสำนักเลขาธิการนายกฯ เพื่อเทียบเคียงกับกรณีอื่นๆที่มีลักษณะเหมือนกันว่ามีการใช้เหมาลำหรือไม่” ผู้ว่า สตง.กล่าวกับ เดอะเนชั่น
นายพิศิษฐ์ กล่าวต่อว่า ต้องเช็คทางการบินไทยด้วยว่าราคานี้เป็นราคาปกติ เป็นราคาตลาดหรือไม่ ต้องไปดูค่าใช้จ่ายจริงๆว่ามีรายละเอียดอย่างไรบ้าง อย่างไรก็ตามส่วนตัวมองว่าหากอุดหนุนการบินไทยก็ไม่เสียหาย เพราะกำไรของการบินไทยก็กลับมาสู่รัฐ เหมือนกระเป๋าซ้ายกระเป๋าขวา
            ส่วนที่มีระเบียบการใช้จ่ายว่าหากราคาของการบินไทยแพงเกินกว่าสายการบินอื่นเกิน 25 เปอร์เซ็นต์ ควรไปใช้สายการบินอื่นนั้น  นายพิศิษฐ์ บอกว่า ต้องดูตามความจำเป็นของภารกิจ เช่นภารกิจนี้เกี่ยวกับความมั่นคง  ก็ต้องพิจารณาว่าเหมาะสมที่จะใช้แบบเหมาลำหรือไม่ นอกจากนี้ต้องพิจารณาเรื่องเส้นทางการบินด้วยว่า ปกติมีเที่ยวบินในเส้นทางนี้หรือไม่ ต้องพิจารณาหลายอย่างประกอบกัน
            สำหรับการใช้เครื่องบินโอบิ้ง 747-400 ขนาดจัมโบเจ็ตลำใหญ่ ที่จุผู้โดยสารได้ถึง 400 คน ขณะที่คณะผู้เดินทางมีเพียง 38 คนนั้น นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า การบินไทยก็คงจัดมาให้เหมาะสม เพราะระยะทางไกล
            “คาดว่าภายในวันศุกร์นี้จะสามารถสรุปได้ว่าการเช่าเหมาลำและค่าใช้จ่ายในการเดินทางครั้งนี้เหมาะสมหรือไม่” ผู้ว่า สตง.กล่าว

“อภิสิทธิ์"ชี้การตรวจสอบน้องชายนายกรัฐมนตรี จะเป็นบทพิสูจน์การทำงานของ ป.ป.ช.

“อภิสิทธิ์"ชี้การตรวจสอบน้องชายนายกรัฐมนตรี จะเป็นบทพิสูจน์การทำงานของ ป.ป.ช.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยกับบีบีซีไทย ถึงการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในช่วงเวลานี้ว่า ปัจจุบันมีกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการปราบทุจริต อย่างไรก็ดียังต้องจับตาดูว่าการบังคับใช้กฎหมายจะเป็นไปตามเป้าหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะต้องมีบทบาทนำในการปราบปรามการทุจริตโดยเฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับน้องชายนายกรัฐมนตรีที่กำลังเป็นเป้าถูกวิพากษ์วิจารณ์ในขณะนี้
นายอภิสิทธิ์ บอกกับบีบีซีไทยว่า ปัญหาในการปราบทุจริตที่ผ่านมาอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย และความพยายามในการทำให้การปราบทุจริตเป็นไปตามเป้าหมาย เขายกตัวอย่าง พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ ที่ตราขึ้นเพื่อปิดช่องว่างในการให้สินบน แต่เวลาผ่านมาแล้วปีเศษ ยังไม่มีหน่วยงานใดที่เปลี่ยนแปลงการขออนุญาต เนื่องจากไม่มีการติดตามดูว่าหน่วยงานต่าง ๆ ได้ออกคู่มือในการปฏิบัติตามกฎหมายนี้อย่างไร หรือกรณีพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบที่ตราขึ้นแล้ว แต่ยังไม่มีการออกพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ตามมา ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่าสิ่งที่สำคัญในเวลานี้คือหน่วยงานอย่างคณะป.ป.ช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องมีบทบาทสำคัญในการดูแลเรื่องนี้ โดยเฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี ทั้งน้องชาย และหลานชาย ที่ถูกกล่าวหาว่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับโครงการฝายผ่องพรรณพัฒนา ซึ่งจะต้องพิสูจน์ตัวเองว่าทำงานได้อย่างเที่ยงตรง ตรงไปตรงมา สามารถอธิบายได้
"การตรวจสอบคนในชาติส่วนอื่นไม่ยากเท่ากับการจัดการในส่วนนี้ จะพิสูจน์ได้ว่าการปราบทุจริตทำได้จริงจังแค่ไหน และต้องตอบสังคมให้ได้ว่า ผิดกฎหมาย ผิดระเบียบ หรือไม่ผิดอย่างไร แต่เรื่องที่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่สมควรหรือไม่นั้น คงไม่ต้องพูดถึง เพราะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่แล้ว"นายอภิสิทธิ์ กล่าว
สำหรับข้อเสนอที่จะเปลี่ยนแปลงกรรมการองค์กรอิสระ รวมทั้ง ป.ป.ช.ใหม่นั้น นายอภิสิทธิ์ ยังยืนยันว่า หากจะดำเนินการจะต้องมีเหตุผลชี้ชัดว่าบกพร่องหรือไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับโครงสร้างใหม่ได้อย่างไร เรื่องนี้ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ไม่เช่นนั้นจะโดนกล่าวหาได้ว่า เป็นความพยายามที่จะนำคนของตัวเองเข้าไปทำหน้าที่แทน

ทบ.เฝ้าระวังกลุ่มเห็นต่างนำอาวุธที่หายไปช่วงชุมนุมทางการเมืองกลับมาก่อความรุนแรงอีก

ทบ.เฝ้าระวังกลุ่มเห็นต่างนำอาวุธที่หายไปช่วงชุมนุมทางการเมืองกลับมาก่อความรุนแรงอีก
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผยกองทัพยังคงตามหาอาวุธ อุปกรณ์และยานพาหนะของกองทัพบกที่ถูกยึดและทำให้เสียหายจากเหตุชุมนุมทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา โดยเกรงว่าจะมี “กลุ่มเห็นต่าง” นำอาวุธเหล่านั้นกลับมาก่อความรุนแรงขึ้นอีก ด้าน ผบ.ทบ.เผยการข่าวแจ้งเตือนว่ากลุ่มเห็นต่างยังพยายามใช้ความรุนแรงอยู่
สำนักข่าวไทยรายงานว่า พ.อ.วินธัยเน้นย้ำถึงการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2553 ที่พบว่ามีการใช้ความรุนแรงของมวลชนและแนวร่วมบางส่วนอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในปีนั้นมีอาวุธปืนของทางราชการหายไป 86 กระบอก แต่ได้คืน 29 กระบอก เช่น จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า มีอาวุธปืนเล็กยาวแบบทราวอร์ หายไป 12 กระบอก นำคืนมาได้ 10 กระบอก เหตุการณ์ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมีปืนเล็กยาวแบบทราวอร์หายไป 13 กระบอก ได้คืน 3 กระบอก ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังติดตามและดำเนินตามขั้นตอนทางกฎหมายอยู่
พ.อ.วินธัย ยังกล่าวถึงความรุนแรงทางการเมืองช่วงปี 2556-2557 ว่ามีบริบทที่แตกต่างกับเมื่อปี 2553 โดยในช่วงปี 2556-2557 เป้าหมายการใช้ความรุนแรงมักเกิดเฉพาะกับประชาชนที่มาร่วมชุมนุม กับกลุ่ม คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เป็นหลักเท่านั้น สถานการณ์ความรุนแรงอื่น ๆ จะไม่ค่อยปรากฏ ขณะที่ภาพรวมในการดูแลความสงบจะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ และพฤติกรรมการใช้ความรุนแรง โดยไม่ได้แยกปฏิบัติว่าเป็นแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ กปปส.
ด้าน พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ได้แสดงความเป็นห่วงการเคลื่อนไหวของกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงตั้งแต่ปี 2553 เนื่องจากทางการข่าวแจ้งเตือนตลอดว่ามีกลุ่มที่เห็นต่างพยายามใช้ความรุนแรง ซึ่งอาวุธของกองทัพที่ยังไม่ได้คืนมีจำนวนมาก และไม่ทราบว่าอยู่ไหนบ้าง แต่จะพยายามติดตามอาวุธที่หายไปกลับมาให้ได้โดยเร็ว #Thaipoliticalcrisis

บิ๊กตู่ลั่นถูกโจมตีทำให้เข้มแข็ง พ้อบ้านเมืองนี้ทำดีไปก็ไร้ประโยชน์ คนชอบขัดขวาง

‘บิ๊กตู่’บอกถูกโจมตีทำให้เข้มแข็ง อดทน เปิดทางให้สอบ แต่ดูด้วย ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง พ้อหลังเลือกตั้ง จะไม่ทนอยู่ ถ้าประเทศล้มเหลว
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 4 ตุลาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสโจมตีรัฐบาลและตนเองรวมถึงคนใกล้ชิดในช่วงนี้ว่า รู้แก่ใจตัวเองว่าเป็นอย่างไร ซึ่งตนก็วูบวาบเป็นธรรมดา ไม่รู้สึกอะไร เพราะธรรมดาก็ต้องโดนโจมตี การทำความดีไม่ค่อยได้ประโยชน์อะไรในบ้านเมืองนี้ จะต้องถูกขัดขวางเป็นธรรมดา จะผิดจะถูกให้ไปว่ากันในกระบวนการยุติธรรมก็ยังไม่เข้าใจกันเลยว่ากระบวนการยุติธรรมอยู่ตรงไหน เรื่องบางเรื่องมีกติกาอยู่แล้ว ก็ไปไล่เอาจากหน่วยที่รับผิดชอบ ไม่ใช่ให้ตนไปนั่งสั่งทุกเรื่อง กลไกเดิมมีอยู่แล้วไม่ใช่เพิ่งมาทำตอนนี้ ในอดีตก็ทำอย่าเอามาจับกันไปมา
ผู้สื่อข่าวถามว่าการถูกโจมตีหลายเรื่องทำให้เสียสมาธิหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ทำให้เข้มแข็งและอดทนขึ้น สมาธิตนแยกออกจากกัน โมโหคือโมโห ทำงานคือทำงาน อารมณ์ดีก็อารมณ์ดี แยกแยะออก เมื่อถามว่าประเมินถึงการถูกโจมตีในช่วงนี้อย่างไร นายกฯกล่าวว่า แล้วสื่อประเมินอย่างไร เพราะสัมผัสประชาชนมากกว่า คิดอย่างไร หากจะตรวจสอบตนในฐานะที่เข้ามาบริหารประเทศก็ตรวจสอบไป ไม่ได้ห้ามใคร และไปห้ามใครหรือยัง การตรวจสอบอำนาจตนอยู่ตรงไหนต้องดูกฎหมายด้วย เพราะตนไม่ใช่ผู้นำที่มาจากการเลือกตั้ง นี่คือความแตกต่าง
“ขอให้เข้าใจว่าผมใช้อำนาจเพื่ออะไร ทำอะไร ผมพยายามทำทุกอย่างให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต้องไปว่ากันมา รู้หรือยังว่ากระบวนการยุติธรรมเริ่มต้นที่ตรงไหน สื่อก็ตกเป็นเครื่องมือคนโน้นคนนี้ หากจะผิดก็ไปว่ากันมาฟ้องร้องมา คนที่เกี่ยวข้องก็ชี้แจงฟ้องร้องไป ชี้แจงได้ก็จบ ชี้แจงไม่ได้ก็สอบต่อ ซึ่งทุกเรื่องไม่ใช่ไม่เคยทำ ก็ทำมาตลอดต้องไปดูว่าเป็นธรรมถูกต้องหรือไม่ หลายเรื่องตอนนี้ที่เข้ามาก็ต้องไปสอบมา ผมห้ามใครที่ไหน” นายกฯกล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงการใช้มาตรา 44 ในการแก้ไขปัญหา ซึ่งมีการมองว่าใช้มากไปหรือไม่ว่า ถามว่าที่ได้ใช้ไปนั้นมีความหมายอะไรหรือไม่ มันมีเหตุ มีผลในการใช้อยู่ มีเหตุผลอะไรที่ไม่ควรใช้หรือไม่บอกมา อยากให้สื่อมวลชนอธิบายให้ประชาชนเข้าใจด้วย ผมบอกไม่รู้กี่ครั้งแล้วสิ่งที่สื่อถ่ายรูป สิ่งที่เขียนไป ไม่ได้อยู่แค่ประเทศไทย สถานการณ์วันนี้เราต้องการความเข้าใจจากต่างประเทศให้มากที่สุด วันนี้จากการที่เราไปต่างประเทศ เขาก็เข้าใจเรามากขึ้น
เมื่อถามถึงกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ออกมาอธิบายเรื่องการใช้มาตรา 44 ในการยุบสภา พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า นายวิษณุได้อธิบายขึ้นมาเองในห้องประชุม ครม.แล้วว่าไม่ใช่ความหมายอย่างที่เป็นข่าว เพราะมีกติกาการใช้อยู่ จะไปยุบได้อย่างไรถ้ามันไม่มีเรื่อง นายวิษณุได้ชี้แจงอธิบายว่าถ้ามันไม่ได้ แล้วมันจะทำอะไรต่อไป ใครตอบได้ไหมถ้า 6 เดือนเลือกนายกฯไม่ได้ จะทำอย่างไรต่อไป บ้านเมืองเดินหน้าได้ไหม ไม่มีรัฐบาลมันอยู่ได้ไหมประเทศไทย จะต้องลากยาวกันเป็นปีเลยหรือ ที่เขาพูดคือเตือนอย่าให้เป็นอย่างนั้น ทุกอย่างเขาเตือนหมด ที่ออกกฎกติกา แล้วทำไมจะต้องต่อต้านสิ่งที่เขาต้องการให้มันดีกว่าเดิม เขาไม่เอาไปรังแกใครหรอก แล้วที่ผ่านมามันทำดีกันหรือยัง ถ้ามันดีพอแล้วผมจะได้เลิก อำลาไป พอแล้ว
“ก็ตามใจ อยากทำอะไรก็ทำไป วันหน้าเลือกไม่ได้ จะตีกันอีก ผมก็จะปล่อยให้มันตีกันข้ามปีไปเลย ก็เลือกเอา ตามใจ ประชาธิปไตยแบบนั้นก็เอาไป ผมไม่ว่าอะไร แต่คิดว่าผมจะทนหรือ ที่ผมจะอยู่กับประเทศที่ล้มเหลวขนาดนั้น ผมก็ไปไหนของผม พอแล้ว”