PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2561

หมอดูพะเยาบอกลุงตูอยู่ยาว

โอ้โห!! “พ่อหมอ” พะเยา ดูลายมือ “บิ๊กตู่”ชี้ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกยาวนาน” พร้อม ปลุกเสกสาลิกาลิ้นทอง สีแดง  ให้ 

“พ่อหมอแก้วมูล บัวเงิน”วัย 78 ปี หมอดูชื่อดังของชาวภูคำยาว และจังหวัดพะเยา ได้ผูกสายสิญจน์ ปลุกเสกสาลิกาลิ้นทอง สีแดง และสายสิญจน์สีเหลือง เพื่อป้องกันศัตรูและภัยอันตราย ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ 

พร้อมดูลายมือ ให้ด้วย ว่า "เป็นคนดวงแข็ง ดูแล้วงานทุกอย่างที่ทำจะประสบผลสำเร็จ เนื่องจากมีจิตใจที่หนักแน่น มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับทุกคน 

ดังนั้นงานที่ทำทั้งหมดจะเป็นผลสำเร็จ แต่มีข้อเสียที่เป็นคนโกรธง่ายหน่อยและใจร้อน" 

พล.อ.ประยุทธ์ ยิ้มชอบใจ พร้อมบอกว่า "พอแล้วไม่ต้องดูต่อ แค่รู้ว่าประสบความสำเร็จก็พอ"

ก่อนจะยกมือไหว้ และเข้าไปสวมกอดพ่อหมอแก้วมูล ก่อนจะขอให้พ่อหมอได้ดูดวงให้กับรัฐมนตรีคนอื่นๆด้วย

“พ่อหมอแก้วมูล” บอกนักข่าวว่า  “เท่าที่ดูลายมือมีเส้นลายมือ ที่ชัดเจน เป็นคนดวงแข็ง

และจากการทำนายลายเส้นคิดว่าการงานที่พล.อ.ประยุทธ์ทำอยู่จะประสบความสำเร็จทุกอย่างที่ตั้งใจทำ 
และเชื่อว่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกยาวนาน”

ลุงตู่ฟังแล้วประเทศกูมี

เผด็จการมากขนาดนั้น เชียวหรือ?

“บิ๊กตู่” ฟังแล้ว เพลงRAP ”ประเทศกูมี” บอก “เพลงอะไรก็ไม่รู้  ไม่สนใจ”....ถาม “เผด็จการมากขนาดนั้น เชียวหรือ”? 

พล.อ.ประยุทธ์  กล่าวกับ ชาว พะเยา อย่าให้ใครเขามาพูดว่าหรือบิดเบือน ถ้าเราไม่ช่วยกันก็เลิก ประเทศไทยเลิกดีกว่า

“อย่าไปสนใจเรื่องอะไรที่ไม่สำคัญ เรื่องในเว็บไซต์หรือในโซเชียลมีเดีย เพลงอะไรก็ไม่รู้ อย่าไปสนใจ และผม ก็ไม่สนใจ สนใจมันทำไม ถ้าสนใจก็ยิ่งไปกันใหญ่”

"คิดแล้วกันว่าบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ใช้วิจารณญาณว่าอย่างไร ฟังแล้วว่าอย่างไร ฟังแล้วมันใช่ หรือไม่ใช่ มันลำบากขนาดนั้นเชียวหรือ เผด็จการมากขนาดนั้นเชียวหรือ ถ้าเผด็จการ ผมไม่ต้องมาแบบนี้หรอก พูดจนเมื่อยอยู่แล้วใช่ไหม 

ถ้าเผด็จการนั่งสั่งอย่างเดียว หาผลประโยชน์เท่านั้น แต่ผมไม่เคยคิดอย่างนั้น และนี่ผมคิดว่าผมทำมากกว่าด้วยซ้ำไป เราทุกคนอย่าให้ใครเขามาบิดเบือน 

ฉะนั้นหากเราปล่อยให้มีเรื่องอย่างนี้ และนิยมชมชอบว่าเป็นสิทธิเสรีภาพไร้ขีดจำกัด วันหน้ามันจะเดือดร้อนกับท่าน ครอบครัวของท่าน ลูกหลานท่านจะว่าอย่างไร ถ้าสังคมเป็นแบบนี้ ผมว่าเราอยู่กันไม่ได้หรอก อย่าเป็นเครื่องไม้เครื่องมือคนอื่น” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ข่าวลือปรับครม.4รมต.

แค่ข่าวลือ…. “นายกฯ”ยังไม่ปรับ ครม. รองรับ 4 รมต.พลังประชารัฐ ลาออก พย.นี้ หลังมี ข่าวสะพัด โผครม.ลงตัว “บิ๊กแป๊ะ” ผบ.ตร. นั่ง รมว.พม.-บิ๊กน้อย รมว.ศึกษาฯ-บิ๊กฉัตร” ควบแรงงาน…

ยัน แค่ข่าวลือ

น.3คอลัมน์ : สัญญะ การเมือง บทเพลง‘ประเทศกูมี’ แนวโน้ม เลือกตั้ง

น.3คอลัมน์ : สัญญะ การเมือง บทเพลง‘ประเทศกูมี’ แนวโน้ม เลือกตั้ง



เมื่อยอดวิว “ประเทศกูมี” ผ่านหลัก 10,000,000 บทบาทและความหมายของ “บทเพลง” จะยิ่งมากด้วยความละเอียดอ่อน
เพราะว่ามันได้กลายเป็น “สมบัติ” ของ “สังคม” ไปแล้ว
ความเป็นจริงที่ต้องยอมรับก็คือ จำนวน 10,000,000 วิว มิได้ให้ความหมายในทาง “ชมชอบ” อย่างเดียว ตรงกันข้าม ได้ให้ความหมายในทาง “ชิงชัง” รวมอยู่ด้วย
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ เพลง “ประเทศกูมี” มิได้เป็นของ RAD อย่างชนิดเต็มร้อย
มองในเชิง “ลิขสิทธิ์” ชื่อเสียงและผลประโยชน์อาจยังเป็นของ RAD อยู่ไม่ว่าที่สำแดงผ่าน iTube ไม่ว่าที่ผ่าน iTune
แต่ในทาง “เนื้อหา” ไม่ใช่แล้ว
ความละเอียดอ่อนเป็นอย่างยิ่งอันเป็นผลสะเทือนจาก “ประเทศกูมี” ก็คือ จะเกิดการแบ่งฝ่ายระหว่างที่ชมชอบกับที่ชิงชัง
ตรงนี้แหละคือ ความเป็นจริงของสังคมไทย
เด่นชัดว่าเป้าหมายของ RAD คือ ต้องการให้เกิดการปรองดอง สมานฉันท์ ในทางความคิด แม้จะมีความเห็นต่างแต่ก็สามารถอยู่ด้วยกันได้
ภายใน 10 คนที่มาร้องด้วยกัน คือ 10 ความเห็น
เป็นการประมวลมาจากแต่ละสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นกรณี “เสือดำ” ไม่ว่าจะเป็นกรณี “หมู่บ้าน” บนอุทยานแห่งชาติ
ไม่ว่าจะเป็น “การตาย” ในแต่ละ “การชุมนุม”
หากฟังจากรากฐานที่มาของการนำแต่ละกรณีมาสะท้อนก็จะประจักษ์ว่า พวกเขาผ่านกระบวนการค้นหามาแล้ว
แล้วนำมา “ประมวล” และจัด “ระบบ”

ใครที่เคยมองและประเมินว่า เป็นเรื่องของ “เด็ก-เด็ก” เมื่อศึกษาเนื้อหาของแต่ละท่อน แต่ละ BAR ก็ควรจะเปลี่ยนมุมมองและการประเมินได้แล้ว
นี่เป็นงานของคนที่มี “วุฒิภาวะ” อย่างยิ่ง ไม่ว่าจะ “อายุ” เท่าใดก็ตาม
แม้ว่าความต้องการสูงสุดของ RAD คือ การปรองดอง สมานฉันท์ ด้วยท่วงทำนองและจิตวิญญาณอันเป็น “ประชาธิปไตย” อย่างแท้จริง
แต่ “ประเทศกูมี” ก็แบ่งคนออกเป็น 2 ฝ่าย
โดยพื้นฐานก็คือ 1 คนที่เห็นด้วย ชมชอบต่อบทเพลง ขณะเดียวกัน 1 คนที่ไม่เห็นด้วยหงุดหงิดและอาจถึงกับชิงชัง
ความน่าสนใจอยู่ที่ “รัฐบาล” อันถือว่าเป็น “คนกลาง”
ท่าทีอันมาจาก “โฆษก” ไม่ว่าจะจากทำเนียบรัฐบาล ไม่ว่าจะจากสำนักเลขาธิการ คสช. ไม่ว่าจะจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เห็นว่า “ผิดกฎหมาย” เป็นการทำร้าย “ประเทศ”
ขณะเดียวกัน ภายในยอดวิวที่อาจจะทานจากหลัก 10,000,000 กลายเป็นหลักหลายสิบล้านด้านหลักย่อมเป็นความชื่นชม
ยอดวิวนี่แหละคือ ผนังทองแดง กำแพงเหล็ก
ถามว่าเหตุใดกลุ่มและพรรคการเมืองต่างๆ ต่างออกมาให้ความเห็นต่อ “ประเทศกูมี” ด้วยความคึกคักหนักแน่นมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคอนาคตใหม่ ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์
ตอบได้เลยว่า เพราะว่าปฏิกิริยาและยอดวิวต่อ “ประเทศกูมี” จะกลายเป็นยอดหยั่งและวัดความรู้สึกของสังคมได้อย่างคมชัดเป็นอย่างสูง
“ประเทศกูมี” จึงเท่ากับ “สัญญาณ” ในทางการเมือง

เจาะเหลี่ยม “ทักษิณ” แก้เกมโหดสกัด “เพื่อไทย”

แตกพรรค หรือ แพแตก
สัญญาณฤดูกาลผันผ่านไปอีกปี
ตามประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา ประเทศไทยเข้าสู่หน้าหนาวอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป
ในขณะที่ปฏิทินเวลากำลังย่างเข้าสู่ห้วงท้ายปลายปี
ตามจังหวะนับถอยหลังไปสู่การเลือกตั้ง โดยสถานการณ์โรดแม็ปทางการเมืองที่ผูกโยงกับการบังคับใช้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 11 ธันวาคม 2561
และดีเดย์เข้าคูหากาบัตร วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562
นั่นหมายถึง “ระยะปลอดภัย” การแต่งตัวลงสนามเลือกตั้งต้องพร้อมภายในปลายเดือนพฤศจิกายน
“เดดไลน์” กำหนดเส้นตายของคนที่จะตีตั๋วไปต่อ
ตามเงื่อนไขสถานการณ์ที่ล้อกับสัญญาณจาก คสช. โดย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม แบะท่าจะทำการ “ปลดล็อก” การเมืองในช่วงดังกล่าว
เพื่อให้นักเลือกตั้งทุกป้อมค่ายขยับทำกิจกรรม หาเสียงกันได้เต็มสูบ
เข้าโหมดโรมรันพันตูกันอย่างเต็มรูปแบบ
และน่าจะเป็นเงื่อนเวลาตามนัดหมาย ทีมรัฐมนตรี “4 กุมาร” พรรคพลังประชารัฐ ประกอบด้วยนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์ฯ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจำสำนักนายกฯ จะร่อนใบลาออกจากตำแหน่ง
แสดงสปิริต หนีข้อครหาเอาเปรียบคู่แข่ง
ถอดสูทรัฐมนตรี ใส่เสื้อนักการเมืองยี่ห้อพลังประชารัฐ หาเสียงเลือกตั้งแบบ FULL TIME เต็มเวลา
ต่อเนื่องกับช็อตที่ต้องจับตา พระเอกตามท้องเรื่องอย่าง “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ก็มีคิวเฉลยคำตอบสุดท้ายอย่างเป็นทางการ
รับเทียบเชิญเป็น 1 ในบัญชี “นายกฯพรรค” ของค่ายพลังประชารัฐ
ตามปรากฏการณ์นำร่องแบบที่เพิ่งมีการสลับฉาก “โฆษกรัฐบาล” ด้วยการให้นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกฯ มารับหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกฯ แทน “เสธ.ไก่อู” พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ที่ไปนั่งเป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์เพียงหน้าที่เดียว
โดยจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อเข้าโหมดเลือกตั้ง มันคือการปรับโทนจากทหารเป็นนักการเมือง
เคลียร์ภาพ “นายกฯลุงตู่” ให้กลมกลืนเป็นทีมงานพลเรือน
อาศัยเชิงตอบโต้แบบลีลาทางการเมือง เน้นเหลี่ยมรับแรงกระแทก “ตัดแต้ม” คะแนนนิยม
เรื่องแบบที่ทหารไม่ถนัดเท่านักเลือกตั้งอาชีพ
ตามรูปการณ์ที่สะท้อนเลยว่า ทีมหนุน “นายกฯลุงตู่” เดินหมากแข่งกับเงื่อนเวลาโรดแม็ปที่บีบกระชั้นเข้ามา ต้องบริหารราชการแผ่นดินไปด้วย บริหารกระแส ความนิยมไปพร้อมๆกัน
เน้นเก็บแต้มแบบละเอียดทุกช็อต ผิดฟอร์มรัฐบาลท็อปบูตทั่วไป
ไม่ได้พึ่ง “แต้มต่อ” ที่ถือไว้ในมือในฐานะฝ่ายคุมอำนาจรัฐเพียงอย่างเดียว
นั่นก็เพราะเดิมพันมันอยู่ที่ คสช.จะปล่อย “เสียของ” อีกไม่ได้
และมันยังมีอะไรให้ต้องออกกำลังลากเป้ากวาดที่นั่ง ส.ส.ให้สูงกว่าแค่มีสิทธิเสนอชื่อนายกฯเท่านั้น
เพราะถ้ายึดกันตามกติการัฐธรรมนูญ แน่นอนว่า เสียงข้างมากในสภาสำคัญต่อความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลหนุน พล.อ.ประยุทธ์ ตีตั๋วไปต่อ
แต่จะหล่อกว่านั้น ถ้าพรรคหนุน “นายกฯลุงตู่” ยึดแป้นอันดับหนึ่ง
ถึงจุดยี่ห้อพลังประชารัฐกวาดเสียงในสนามเลือกตั้ง ได้สิทธิจัดตั้งรัฐบาลอย่างเด็ดขาด เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นแท่นนายกรัฐมนตรีอย่างสง่างาม
ฝ่ายต่อต้านเถียงไม่ออก ปลุกกระแสต้านยังไงก็ไม่ติด
และอานิสงส์จะส่งต่อให้การบริหารประเทศเดินหน้าฉลุยหลังการเลือกตั้ง
นี่คือคำตอบที่ทีมหนุน “นายกฯลุงตู่” ต้องติดเครื่องพรรคพลังประชารัฐมาลุยกวาดแต้มเป็นฐานต้นทุนชัวร์ๆให้ตัวเอง มากกว่าจะพึ่งจมูกคนอื่นหายใจ
ในอาการแบบที่เห็นๆ บรรดาตัวแปร ไล่ตั้งแต่ยี่ห้อประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ไปยันชาติไทยพัฒนา
ต่างอยู่ในโหมดของการ “แทงกั๊ก”
ถ้าทีมหนุน “ลุงตู่” โกย ส.ส.มาเป็นที่หนึ่ง ก็ไม่ต้องกวักมือเรียกใคร แห่มากันเอง
โจทย์ของ “พลังประชารัฐ” แค่ทำแต้มให้เข้าเส้นชัยอันดับแรก สถานการณ์การตีตั๋วต่อของ พล.อ.ประยุทธ์ก็แทบจะจบข่าวทันที
ไม่ต้องลุ้นแข่งจับขั้วกับใครให้วุ่นวาย
ตรงกันข้ามกับโจทย์ยากที่สลับซับซ้อน ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ที่แชมป์เก่าอย่างพรรคเพื่อไทยกำลังตกที่นั่งลำบาก จากกฎกติการัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นใจ แถมคนในพรรคก็ไม่เป็นทีม
สภาพการณ์ที่ “นายใหญ่” อย่างอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ต้องแก้สมการหลายชั้น
อันดับแรกเลย รองรับเหตุฉุกเฉินโดน “ยุบพรรค” ทั้งจากเหตุที่แกนนำพรรคเพื่อไทยเล่นบทห้าวเป้ง เคลื่อนไหวแถลงข่าวผิดกฎหมายความมั่นคง และมาเพิ่มอีกกระทง จากการเคลื่อนไหวของอดีตนายกฯทักษิณที่ให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติ เข้าข่าย “บุคคลภายนอก” ครอบงำกิจกรรมพรรค
2 ช็อตชัดๆที่ไหลเข้าเหลี่ยม “กับดัก”
โอกาสโดน “หักดิบ” ล้างน้ำสาม ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
แรงเสียดทานภายนอกต้องลุ้นพลิกคว่ำพลิกหงาย ไหนจะสถานการณ์ “สนิมเนื้อใน” สะท้อนจากปรากฏการณ์ที่ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุง ไปเปิดตัวในฐานะผู้ถือธงนอมินีภาค 3 ในการเปิดสาขาพรรคที่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่
บ้านเกิดของ “ทักษิณ” ฐานที่มั่นตระกูลชิน
แต่ไม่ปรากฏกายของ “เจ๊แดง” นางเยาวภา
วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว “นายใหญ่” ร่วมงานแต่อย่างใด
ตอกย้ำอาการทางใจ “ศึกเจ๊” ไม่ใช่เรื่องที่คนนอก “มโน” ไปเอง
และนั่นยังลามไปถึงศึกน้องสามีกับพี่สะใภ้ ในมุมแบบที่โยงเส้นสาย “เจ๊หน่อย” ถือตั๋วของ “นายหญิง” มาคุมพรรคเพื่อไทย แต่เจอแรงต้านอย่างแรงจากน้องสาว “นายใหญ่”
สมบัติการเมืองของตระกูลเคลียร์กันไม่ลงตัว
ยังไม่นับการทับซ้อนกันของนักการเมืองพรรคเพื่อไทยกับแกนนำมวลชนเสื้อแดง นปช. ที่ต่างฝ่ายต่างไม่มีหลักประกันความชัวร์ในการลงสมัคร ส.ส.พะยี่ห้อ “ทักษิณ”
แย่งซีน เบียดโควตากันหลายจังหวัดหลายพื้นที่
หนีตายคดียุบพรรค เลี่ยงเกมปะทะ “ศึกเจ๊” แตกตัวหนีไปหาเขตลง ส.ส.
ตามเงื่อนไขสถานการณ์ที่จ่ออยู่ตรงหน้า ปัจจัยเหตุที่มาของยุทธการแตกพรรค แตกทัพ แยกย้ายพรรคสาขาพรรคเพื่อไทยไปเป็นป้อมค่ายสำรอง
สารพัดยี่ห้อ เพื่อธรรม เพื่อชาติ และที่มาแรงสุดคือพรรคไทยรักษาชาติ ภายใต้ชื่อย่อ “ทษช.” ให้คล้องกับ “ทักษิณ ชินวัตร” จัดให้สาวกรู้กันเลยพรรคของ “ทักษิณชัวร์”
โดยยุทธศาสตร์ “แตกพรรค” ที่แฝงอาการ “แพแตก”
แยกไม่ออก ระหว่างเหลี่ยมของ “โคตรเซียน” เลือกตั้ง วางแผนเดินหมากแก้เหลี่ยมเกมกติกาที่สกัดพรรคเพื่อไทย ปิดทาง “ทักษิณ” กลับมาทวงคืนอำนาจ
หาโอกาสเล็ดลอดกับดักจนได้ แบบที่เจ้าตัวประกาศโชว์ความมั่นใจ ลูกข่ายฝ่ายประชาธิปไตยจะได้เกิน 300 ที่นั่ง ทำให้ฝั่งของ “ลุงตู่” เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย
กับอีกอารมณ์หนึ่ง มันเริ่มถึงทางตัน
ตามรูปการณ์ “นายใหญ่” แค่อ้างอิงกระแสบุญเก่า เทียบกับอีกฝ่ายที่อยู่บนฐานอำนาจปัจจุบัน ถือไพ่แต้มเด็ดตามกติการัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติ
เลือกตั้งรอบนี้ ถึงแม้ “นายกฯลุงตู่” แพ้เป็นเสียงข้างน้อย แต่ได้ 250 ส.ว.หนุนเป็นนายกฯ ก็มีสิทธิยุบสภาเลือกตั้งใหม่ เลือกแล้วยุบ ยุบแล้วเลือก จนกว่า “ทักษิณ” จะหมดแรงไปเอง
เหลี่ยมเก่ง “ทักษิณ” โดน “แก้ทาง” มาหมดแล้ว
แนวโน้มแบบที่ทีม “นายใหญ่” ต้องโยนมุก “โหวตโน” มาเขย่าเกมเลือกตั้ง
เรื่องของเรื่องถึงตรงนี้ แม้แต่ลูกข่าย “ทักษิณ” เองก็ยังเริ่มเอะใจ “นายใหญ่” จะสู้จริงแค่ไหน
ภายใต้เงื่อนไขจำกัด ท่อน้ำเลี้ยงโดนบล็อก หมดตัวจ่าย ใช้มุกยืมเงินเพื่อนแทงไฮโลไม่ได้
ต้องควักทุนหน้าตักเอง กับอารมณ์เศรษฐีขี้เหนียว ฟอร์มนักธุรกิจลงทุนต้องได้กำไร
แนวโน้มเลือกตั้งไปแล้วเสี่ยงสูญเปล่า
มันก็น่าจะพอเดาคำตอบ “นายใหญ่” ได้ระดับหนึ่ง.
“ทีมการเมือง”

แค่ขู่ก็หลอนกันยกพรรค

มีบิ๊กเซอร์ไพรส์ให้ฮือฮา

ช็อตเปิดตัว “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตหัวหน้า คมช. ยอมสลายค่ายมาตุภูมิ ขนลูกทีมไปรวมร่างเข้าสังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา
ดีลลับๆ ดึงตัวกันมาแบบเงียบๆ ชนิดไม่มีข่าวหลุดให้ระแคะระคายมาก่อน เพื่อมาช่วยเพิ่มแต้มในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
เจเนอเรชันใหม่ชาติไทยพัฒนาผสมผสานเลือดเก่า–เลือดใหม่สู้ศึกเลือกตั้ง
มี “หนูนา” กัญจนา ศิลปอาชา ขึ้นชั้นเป็นหัวหน้าพรรคสืบทอดอำนาจต่อจากรุ่นพ่อ นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี และ ประภัตร โพธสุธน ผู้แทนรุ่นลายครามจากเมืองสุพรรณ นั่งแท่นเลขาธิการพรรค
โดยมีสายแข็งอย่างตระกูล “สะสมทรัพย์” แห่งนครปฐมมาร่วมเติมความแข็งแกร่งอีกทาง
ค่ายปลาไหลฟอร์มทีมคึกคัก สืบทอดอุดมการณ์ “สัจจะ–กตัญญู” แต่ยังคงคอนเซปต์เป็นพันธมิตรกับทุกขั้ว ตีตั๋วจองร่วมรัฐบาลไว้ล่วงหน้า ไม่ว่าฝ่ายใดชนะการเลือกตั้ง
ขณะที่ฟาก “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) กำลังสาละวนนำลูกทีมเดินคารวะแผ่นดิน ตระเวนพบชาวบ้านตามพื้นที่ต่างๆในเมืองกรุง และเตรียมจ่อคิวเดินสายไปต่างจังหวัด
อาศัยเหลี่ยมเขี้ยวๆ หาช่องแฝงหาเสียงกันเนียนๆ
เหมือนปฏิบัติการช่วงชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระหว่างขั้ว “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำคนปัจจุบัน กับทีมผู้ท้าชิง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก โดยมีตัวประกอบอย่าง อลงกรณ์ พลบุตร อดีตรองประธาน สปท. ร่วมแจม
ฉากนอกแม้จะห้ำหั่นสู้กันเอาจริงเอาจัง แต่อีกทางคืออุบายหาเสียงกลายๆ
ตามฉากที่มีกองเชียร์มาคอยต้อนรับเวลาลงพื้นที่ ลูกเขี้ยวยี่ห้อ “ประชาธิปัตย์” เลยได้ทั้งทำแต้มหาเสียงชิงหัวหน้าพรรค และหลอกบลัฟคู่แข่งทางการเมืองไปในตัว
ทั้งที่ฉากจบก็เป็นที่รู้กัน เก้าอี้หัวหน้าพรรคหนีไม่พ้นคนชื่อ “อภิสิทธิ์” ประชาธิปัตย์สับขาหลอก ปั่นแต้มตีกินกันสนุกสนาน
ปล่อยให้ทหารยืนดูตาปริบๆ ไล่ไม่ทันเล่ห์นักการเมืองอาชีพที่หลอกหาเสียงกันไปล่วงหน้าแล้ว
หลายค่ายเคลื่อนไหวคึกคัก อาศัยลูกตามน้ำขยับทำคะแนนกันสนุกมือ
แม้แต่ฟาก “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ยังปรับเปลี่ยนกลยุทธ์สู้นักการเมือง เปลี่ยนกระบอกเสียง เขี่ย พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ออกจากตำแหน่งโฆษกรัฐบาล หันมาใช้บริการ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ทำหน้าที่โทรโข่งแทน
ปรับเอาพวกเจนสังเวียน มีประสบการณ์การเมืองมาบู๊กับนักเลือกตั้งอาชีพโดยตรง
ทีม “ลุงตู่” ก็ต้องหาช่องทำแต้มเพิ่มการันตีเก้าอี้ผู้นำสมัยต่อไปให้ชัวร์ยิ่งขึ้น
แต่ที่อาการหนักกว่าเพื่อนคือ พรรคเพื่อไทยที่กำลังหลอนจะถูกยุบพรรคหรือไม่ ต้องเตรียมทางหนีทีไล่ หาทางออกฉุกเฉินหลายทาง จนสับสนวุ่นวายไปหมด
เที่ยวไล่เช็กข่าวทุกสายจะถูก กกต.ลงดาบหรือไม่ จากกรณีขัดคำสั่ง คสช. แกนนำตั้งเวทีวิจารณ์ครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร และกรณีปล่อยให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แสดงความเห็นครอบงำพรรคหลายครั้ง
นายใหญ่พูดเอามัน เล่นเอาลูกพรรคขนหัวลุก ผวาบ้านแตกรอบสาม
ต้องแตกไลน์สารพัดค่าย “เพื่อธรรม–เพื่อชาติ–ไทยรักษาชาติ” พร้อมสละเรือหนีตาย ก่อนครบเดดไลน์สังกัดพรรค 90 วัน ในวันที่ 26 พ.ย.นี้
แค่เจอเปิดเกมขู่ก็เกิดภาพหลอน ปั่นป่วนกันยกพรรค
ในมุมที่ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ก็แหยงที่จะมา รับบทกัปตันทีม ขอเลี่ยงไปอยู่ตำแหน่งอื่นที่ไม่ใช่กรรมการบริหารพรรค
ชิ่งหนีออกจากดงกระสุนตก กลัวพลาดท่าเสียที หมดอนาคตทางการเมือง
จิตตกทั้งพรรค ต้องรื้อกระบวนทัพยกใหญ่ แบ่งทีมเป็นทัพหน้า-ทัพหลัง แยกชุดกรรมการบริหารพรรคออกจากทีมยุทธศาสตร์พรรคอย่างชัดเจน ป้องกันการตายยกเข่ง
เปลี่ยนแม้กระทั่งบทบาทโฆษกพรรค ไม่เอาสไตล์บู๊ล้างผลาญ ปรับมาใช้แนวใสซื่อ ให้มีหน้าที่เพียงแค่ชี้แจงแถลงนโยบายและยุทธศาสตร์พรรค
เพื่อไทยถูกบี้หนัก แม้รอดโดนยุบพรรค ก็เจอขยี้จนอ่อนแรงลงเรื่อยๆ มีโอกาสสูงทั้งแพ้ในสนามเลือกตั้งหรือแพ้ฟาวล์ระหว่างทาง
ก็ต้องถามใจนายใหญ่ รู้ทั้งรู้ สู้แล้วแพ้ จะกล้าเปิดหัวจ่ายลุยเต็มสูบหรือไม่.
ทีมข่าวการเมือง

ทลายห้างคิงเพาเวอร์ อาณาจักรดิวตี้ฟรีแสนล้าน

ทางออกนอกตำรา 
โดย : บากบั่น บุญเลิศ

ทลายห้างคิงเพาเวอร์ อาณาจักรดิวตี้ฟรีแสนล้าน

กลายเป็นประเด็นร้อนที่คาใจสังคมอย่างมากเมื่อ “คณะกรรมาธิการวิสามัญด้านการขับเคลื่อนการป้องกันและปราบปรามการทุจริต” ของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูป (สปท.) ที่มี พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีปเเละนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ รองประธานอนุกรรมาธิการ (อนุกมธ.) เป็นหัวหอก ได้จัดทำรายงานส่งถึงรัฐบาล เพื่อชำระสะสางสัญญาสัมปทานร้านค้าปลอดอากรของบริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ใน 5 ประเด็น ประกอบด้วย

1. ให้ปลดนายนิตินัย ศิริสมรรถการ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) และคณะกรรมการ ทอท. ฐานไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและก่อให้เกิดความเสียหาย เพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐ

2. ให้ยกเลิกสัญญากับกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ฯ เพราะไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535

3. บูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลทั้งของ ทอท. กรมศุลกากร และกรมสรรพากร เพื่อให้ ทอท. ได้รับส่วนแบ่งรายได้อย่างครบถ้วน กรมสรรพากรจะได้มีข้อมูลที่จะเรียกเก็บภาษีอากรอย่างถูกต้องและเป็นธรรม กรมศุลกากรจะได้ใช้ข้อมูลเพื่อควบคุมป้องกันการลักลอบขายสินค้าหนีภาษี

4. พิจารณาศึกษา พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ พ.ศ. 2535, พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 103/7 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ป้องกันการทุจริตและเอื้อให้เกิดความเป็นธรรมแก่เอกชน

5. กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการจัดเก็บรายได้ให้เกิดความชัดเจน โปร่งใส เป็นธรรม เปิดเผยข้อมูลให้สาธารณชนรับทราบ

ข้อเสนอทั้ง 5 ข้อ ได้รับการสนองตอบจากนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้เรียกประชุมหัวหน้าส่วนราชการเพื่อหาแนวทางในการดำเนินการกับ"คิงเพาเวอร์"ไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ดูเหมือนยังไม่จบ...

การไม่จบ...กลายเป็นคมหอกปลายดาบที่ถาโถมเข้าใส่อาณาจักร"คิงเพาเวอร์"มูลค่านับแสนล้านของ"เจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา-อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา-กนกศักดิ์ ปิ่นแสง คนใกล้ชิดเนวิน ชิดชอบ-จุลจิตต์ บุณยเกตุ" อย่างหนักหน่วง

ปัญหาว่าด้วยเรื่องสัญญาสัมปทานบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ และร้านค้าปลอดภาษี(ดิวตี้ฟรี) ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของคิงเพาเวอร์ ที่กำลังจะหมดสัญญาลงในช่วงประมาณเดือน ก.ย. 2563 ซึ่ง ทอท.เตรียมจะเปิดประมูลโครงการพื้นที่สัญญาบริหารจัดการเชิงพาณิชย์ในช่วงปลายปี 2560-ต้นปี 2561 กำลังลากคิงเพาเวอร์ลงมาในสนามแข่งที่ดุเดือดกว่าเดิม

ประเด็นว่าด้วยเรื่องมูลค่าโครงการว่าจะมีมูลค่าเงินลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท ที่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติ การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556  กำลังตามรังควาญเจ้าหน้าที่ของรัฐและคิงเพาเวอร์อย่างหนักหน่วง

ปัญหาพื้นที่ให้บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากร (Pick Up Counter) ในสนามบินที่ บริษัท ล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี บริษัท บางกอกแอร์เวย์ ขอใช้พื้นที่ อาจทำให้การผูกขาดเพียงเจ้าเดียวกลายเป็นมีผู้มาเบียดแย่ง

ปัญหาว่าด้วยเรื่อง การไม่ติดตั้ง Point of sale ( POS )และเชื่อมต่อข้อมูลการซื้อขายระหว่าง ทอท.กับ บริษัทคิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี และบริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ ซึ่งกำหนดไว้เป็นสาระสำคัญในสัญญา เพื่อเป็นการคิดส่วนแบ่งที่ ทอท.จะได้รับตามสัญญาอีก 15% แต่ปรากฏว่าตลอดเวลากว่า 9-10 ปี นับแต่เริ่มสัญญาการเชื่อมต่อกลับมิได้ดำเนินการ อาจทำให้มีการคิดค่าปรับและเอาผิดกับบริษัทและเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาภายหลัง

ประเด็นว่าด้วยเรื่องของการไม่เรียกเก็บเงินค่าผลประโยชน์ตอบแทน หรือส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาจากบริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด ในส่วนที่เป็นการประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรขาออกในเมือง ซอยรางน้ำ ถนนกิ่งแก้ว และพัทยา ของบริษัทคิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งได้เช่าพื้นที่ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อทำเป็นจุดส่งมอบสินค้าอยู่ในพื้นที่ตามสัญญาบริหารจัดการเชิงพาณิชย์ของบริษัทคิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ ให้ถูกต้องครบถ้วน กำลังดึงเอาอาณาจักรที่ผูกขาดและผลประโยชน์มีการซุกไว้ใต้พรมมายาวนานโดยใครไม่สามารถเเตะต้องได้ จะต้อมีการชำระสะสาง

ผมไปติดตามตรวจสอบจากสัญญาพบว่า เฉพาะ2ประเด็นหลังนั้น พบว่า อาจมีคนผิดกันระนาวกราวรูด ทั้งในระนาบคณะกรรมการ ทอท. ทั้งในระดับผู้บริหารระดับสูงของทอท.และกรมศุลกากร อาจมีคนเสียวสันหลังวาบกันกลุ่มใหญ่

เฉพาะตามสัญญากำหนดให้บริษัทคิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ ชำระค่าเช่า และผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ ทอท.ในอัตราร้อยละ 15 ของยอดรายได้ หรือตามจำนวนเงินค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่ผู้รับอนุญาตตกลงชำระตามสัญญาแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า

แต่ปรากฏว่า นับตั้งแต่บริษัทคิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้เช่าใช้พื้นที่ของ ทอท.เพื่อทำเป็นจุดส่งมอบสินค้า แต่คณะผู้บริหารและกรรมการของ ทอท.กลับไม่มีการบังคับเรียกเก็บเงินผลประโยชน์ตอบแทนตามสัญญาอย่างถูกต้องครบถ้วน และภายหลังมีการทำสัญญาเพื่อเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ โดยจัดเก็บผลประโยชน์ตอบแทน ในอัตราเพียงร้อยละ 3 เท่านั้น

ผลที่ตามมาทำให้ ทอท.ต้องขาดรายได้เป็นเงินทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 2.3 หมื่นล้านบาท

การทลายห้างอาณาจักรดิวตี้ฟรีแสนล้านของ “เจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา-กนกศักดิ์ ปิ่นแสง”กำลังเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ปลายทางอยู่เพียงแค่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี คนเดียวเท่านั้น ว่าจะเอาอย่างไรในธุรกิจที่ผูกขาดที่รัฐได้ไม่กี่พันล้านแต่เอกชนเติบโตเอาเป็นแสนล้าน และกำลังคืบคลานซื้อกิจการทั้งสโมสรฟุตบอล-สายการบินไทยแอร์เอเชีย และกำลังชะม้ายชายตาไปที่สายการบินนกแอร์ อีกสเต็ปหนึ่ง...

คอลัมน์ : ทางออกนอกตำรา/ หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ/ ฉบับ 3265 ระหว่างวันที่ 28-31 พ.ค.2560