PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ปิยะบุตร อนาคตใหม่ โพส...ยุบพรรคไม่ใช่ทางออก

ปิยะบุตร อนาคตใหม่ โพส...ยุบพรรคไม่ใช่ทางออก
////////////////
ปิยบุตร แสงกนกกุล
ยุบพรรคไม่ใช่ทางออก

พรรคการเมืองเป็นสถาบันทางการเมืองที่สำคัญในระบอบประชาธิปไตย บุคคลมีเสรีภาพในการรวมตัวกันจัดตั้งพรรคการเมือง การยุบพรรคการเมืองจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อเหตุอันจำเป็นที่จะต้องรักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว การยุบพรรคกลับถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการปราบปราม-กวาดล้างศัตรูทางการเมือง

ยุบพรรค ภาค 1

รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 คณะรัฐประหารได้ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2540 ยุบศาลรัฐธรรมนูญทิ้ง และตั้งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญใหม่เข้าทำหน้าที่แทน ส่วนบรรดาคดีที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการของศาลรัฐธรรมนูญก่อนรัฐประหาร ก็ให้โอนมาอยู่ในอำนาจและความรับผิดชอบของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญชุดนี้ ซึ่งคดีสำคัญคดีหนึ่งที่ค้างอยู่ในกระบวนพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญและได้โอนมาเป็นของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ คือ คดียุบพรรคไทยรักไทย

วันที่ 30 พฤษภาคม 2550 คณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 3-5/2550 ยุบพรรคไทยรักไทยและนำประกาศ คปค. ฉบับที่ 27 มาใช้ย้อนหลังเพื่อเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค 111 คนเป็นเวลา 5 ปี ด้วยเหตุที่ว่า พรรคไทยรักไทยกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญอธิบายว่า “การได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยการเลือกตั้งที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือเป็นไปโดยไม่สุจริต ย่อมถือได้ว่า เป็นการได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ จึงมิได้หมายความถึง การได้มาซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ โดยการปฏิวัติรัฐประหารหรือยึดอำนาจการปกครองด้วยกำลังเท่านั้น”

กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 2 คนไปจ้างพรรคการเมืองขนาดเล็กให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 ซึ่งเป็นการกระทำผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง โดยที่กรรมการบริหารพรรค 2 คนนั้นเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในพรรค เป็นรัฐมนตรี และการกระทำนั้นทำให้พรรคได้ประโยชน์ ดังนั้นการกระทำความผิดของกรรมการบริหารพรรค 2 คนดังกล่าวก็ย่อมผูกพันพรรคด้วย เมื่อพรรคไทยรักไทยกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งเช่นนี้ จึงถือได้ว่าพรรคไทยรักไทยกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

คณะตุลาการรัฐธรรมนูญยังได้วินิจฉัยด้วยว่า พรรคไทยรักไทยกระทำการเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ ขัดต่อกฎหมาย และขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เพราะพรรคไทยรักไทย “เข้าแทรกแซงบิดผันกระบวนการเข้าสู่อำนาจในการปกครองประเทศ เพื่อสร้างภาพลวงตาว่ามีการแข่งขันกันตามระบอบประชาธิปไตย ทั้งที่โดยเนื้อแท้มิได้เป็นเช่นนั้น ย่อมส่งผลให้ประชาธิปไตยสั่นคลอน ไม่มั่นคง ทำให้ประชาชนที่รู้ข้อเท็จจริง เสื่อมศรัทธาต่อระบบการเมือง อาจนำไปสู่การต่อต้านการใช้อำนาจปกครองโดยไม่ชอบธรรมของพรรคการเมือง”

คณะตุลาการรัฐธรรมนูญยังนำประกาศ คปค. ฉบับที่ 27 ข้อ 3 มาใช้บังคับเพื่อเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งแก่กรรมการบริหารพรรคที่ถูกยุบเป็นเวลา 5 ปี ทั้งๆ ที่ประกาศ คปค. ฉบับที่ 27 ออกมาภายหลังจากมีการกระทำอันเป็นเหตุให้เกิดการยุบพรรค โดยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญให้เหตุผลว่า “หลักการห้ามออกกฎหมายมีผลย้อนหลังเป็นผลร้ายแก่บุคคลนั้น มีที่มาจากหลักการที่ว่า ไม่มีกฎหมาย ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ แต่หลักการดังกล่าวใช้บังคับกับการกระทำอันเป็นความผิดอาญาเท่านั้น” แต่ “การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมิใช่โทษทางอาญา เป็นเพียงมาตรการทางกฎหมายที่เกิดจากผลของกฎหมายที่ให้อำนาจยุบพรรคการเมือง” ย่อมมีผลใช้บังคับย้อนหลังได้

คำวินิจฉัยในคดีนี้ ได้สร้างบรรทัดฐาน ดังนี้

1. การทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ถือว่าเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
2. กรรมการบริหารพรรคแม้เพียงคนเดียวกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง การกระทำนั้นย่อมผูกพันพรรค และอาจเป็นเหตุให้พรรคนั้นถูกยุบได้
3. นอกจากพรรคการเมืองจะถูกยุบไปแล้ว กรรมการบริหารพรรคทุกคน ซึ่งแม้จะไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดใดๆ ก็ต้องถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี

ต่อมา บรรทัดฐานของคำวินิจฉัยนี้ถูกนำมาบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรในรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 237 ซึ่งบทบัญญัติในมาตรานี้เอง กลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ศาลรัฐธรรมนูญนำมาใช้ยุบพรรคการเมือง ภาค 2

ยุบพรรค ภาค 2

ในการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 พรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนของพรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบไปได้คะแนนสูงสุด พรรคพลังประชาชนและพรรคอื่นๆ ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลโดยมีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี

รัฐบาลสมัครถูกทำลายความชอบธรรมด้วยประเด็นอ่อนไหวอย่างกรณีปราสาทพระวิหาร จากนั้นศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 12-13/2551 ปลดนายสมัคร สุนทรเวช ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม พรรคร่วมรัฐบาลยังเกาะกลุ่มจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างเหนียวแน่น โดยเลือกสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีแทน ในขณะที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังคงชุมนุมต่อต้านรัฐบาลอยู่ต่อไป โดยยกระดับการชุมนุมด้วยการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ และทำเนียบรัฐบาล

ในท้ายที่สุด วันที่ 2 ธันวาคม 2551 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 18/2551, 19/2551/, 20/2551 ยุบพรรคพรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรคชาติไทย และพรรคพลังประชาชน และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคทั้งสามรวม 109 คน โดยอ้างว่า เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งและศาลฎีกามีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือแจก “ใบแดง” แก่กรรมการบริหาร 3 คนของพรรคการเมืองทั้งสาม เพราะ กระทำความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งซึ่งมีผลทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญก็จำเป็นต้องยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรคตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 237

คำวินิจฉัยนี้ส่งให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปด้วย กลุ่มนายเนวิน ชิดชอบ และพรรคร่วมรัฐบาลเดิมเปลี่ยนมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และพันธมิตรฯ ยุติการชุมนุม

...

ตลอด 13 ปีของความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้ วิญญูชนผู้มีจิตใจเป็นธรรมย่อมเห็นได้ว่า การยุบพรรคในปี 2550 และ 2551 มิใช่การยุบพรรคเพื่อรักษาระบอบการปกครอง แต่เป็นการยุบพรรคเพื่อปราบศัตรูทางการเมือง

การยุบพรรคในลักษณะเช่นนี้ ไม่ได้ช่วยรักษาระบอบประชาธิปไตย แต่กลับทำให้ประชาชนเคลือบแคลงสงสัยต่อการใช้อำนาจขององค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ

นอกจากจะรักษาระบอบประชาธิปไตยเอาไว้ไม่ได้แล้ว หนำซ้ำยังทำให้ประชาชนไม่เชื่อมั่นและเสื่อมศรัทธากับระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม จนทำให้ประเทศไทยเดินทางมาถึงจุดที่ไม่อาจหา The Final Say ได้

ถึงเวลาแล้วที่ผู้ปกครองที่ยึดกุมอำนาจต้องทบทวนไตร่ตรองให้จงหนักว่าจะเลือกใช้วิธีการแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกหรือ?

การยุบพรรคไม่สามารแก้ไขปัญหาวิกฤติการเมืองไทยได้ ตรงกันข้าม มันกลับตอกลิ่มความขัดแย้งลงไปอย่างร้าวลึกอีก หากการยุบพรรคแก้ไขปัญหาได้จริง เหตุใดการยุบพรรคทั้งสองครั้งในปี 2550 และ 2551 จึงไม่สามารถยุติความขัดแย้งได้? ทำไมความขัดแย้งถึงขยายตัวจนยากแก่การแก้ไข?

ใน “Theory of Justice” หรือ “ทฤษฎีความยุติธรรม” John Rawls ปรัชญาเมธีชาวอเมริกัน ได้สมมติจินตภาพขึ้นมาอันหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า "Veil of Ignorance"

หากเราต้องการทราบว่าความยุติธรรมคืออะไร ก็ให้สมมตินำมนุษย์เข้าไปอยู่ใน Veil of Ignorance เมื่อเข้าไปอยู่ในนั้นแล้ว มนุษย์ก็จะไม่ทราบว่าตนเองดำรงตำแหน่งสถานะใด ไม่รู้ถึงความสามารถ ไม่รู้ถึงคุณงามความดี ไม่รู้ถึงยุคสมัยที่ตนเองสังกัดอยู่ มนุษย์รู้เพียงแต่ว่า ตนดำรงอยู่ภายใต้ Circumstance of Justice

ในสภาวะนี้เอง มนุษย์จะตอบได้ว่า ความยุติธรรมที่ Faireness คืออะไร เพราะ มนุษย์เป็นอิสระอย่างแท้จริง ปลอดซึ่งค่านิยม คุณค่า สถานะ ความคิดเห็นต่างๆ เมื่อมนุษย์ต้องตอบว่าอะไรคือความยุติธรรม เขาก็จะประเมินอย่างระมัดระวัง รอบคอบ เพื่อให้ "ความยุติธรรม" ที่จะเกิดขึ้นนั้นสามารถเอื้อให้เขาดำรงชีวิตได้อย่างปลอดภัยและสำเร็จ ไม่ว่าวันนี้ วันหน้า วันไหน เขาจะดำรงตำแหน่งสถานะใด เขาจะรวย เขาจะจน เขาจะเป็นเจ้า เขาจะเป็นไพร่ เขาก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้

ผมอยากให้พรรคการเมือง นักการเมือง ผู้สนับสนุนพรรคการเมือง สื่อมวลชน กรรมการการเลือกตั้ง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตำรวจ ทหาร คสช. รัฐบาล เจ้าหน้าที่รัฐ และคนทุกคน ลองสมมติตนเองเข้าไปอยู่ใน Veil of Ignorance แล้วพิจารณาดูว่า กรณี “8 กุมภาพันธ์ 2562” ส่งผลให้พรรคไทยรักษาชาติ(ทษช.) ถูกยุบได้จริงหรือ?

เมื่อทุกคนเป็นอิสระ ปราศจากความกลัว ความกังวล อคติ แล้ว ยังเห็นอีกหรือว่าพรรคไทยรักษาชาติจะถูกยุบได้ในข้อหา “เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”?

การเมืองแบบชิงไหวชิงพริบ ลับ-ลวง-พราง ช่วงชิงความได้เปรียบ พลาดเมื่อไร ขย้ำให้ตาย ตลอดจนการตกลงเจรจาลับๆ โดยไม่กี่คน ทั้งหมดนี้ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตการเมืองไทยได้

การเลือกตั้งกำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 มีนาคมนี้แล้ว
พรรคไทยรักษาชาติ ไม่ควรถูกยุบ
พรรคการเมืองไหนๆ ก็ไม่ควรถูกยุบ

ปล่อยให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดเป็นผู้ตัดสินใจผ่านการเลือกตั้งว่าจะเลือกพรรคการเมืองใด

ต้องใช้การเลือกตั้งครั้งนี้ ยุติการสืบทอดอำนาจของ คสช. และเป็น “ประตูบานแรก” ในการกลับคืนสู่สภาวะปกติ เพื่อสร้างฉันทามติในการออกแบบรัฐธรรมนูญและระบบการปกครองที่ทุกคนพอจะยอมรับกันได้


บิ๊กแดงไม่อยากพูดกับใคร

ทุกวันนี้ ไม่อยากพูดกับใคร!!

“บิ๊กแดง” ปัดวิจารณ์ 8 กพ. และ พรรคไทยรักษาชาติ เสนอชื่อ “ทูลกระหม่อมฯ” เป็นนายกฯ ชี้ ไม่อยากพูดอะไรอีก ทุกวันนี้ไม่อยากพูดกับใคร ชี้ เมื่อมีพระราชโองการ ออกมาแล้ว  ต้องยกไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม น้อมนำปฏิบัติ/ ไม่วิจารณ์ หากยุบพรรค ทษช. เชื่อไม่น่ามีอะไร ขอเดินหน้าสู่เลือกตั้ง !

พลเอกอภิรัชต์ ผบ.ทบ. และ เลขาธิการ ทบ.  ไม่ขอวิจารณ์หรือตอบคำถามใดๆ ถึงเหตุการณ์ 8 กพ.62 ที่ผ่านมา 

“เมื่อมีพระราชโองการ ออกมาแล้ว  ก็ไม่ อยากจะพูดอะไรอีก ต้องยกไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม  ในเมื่อมีพระราชโองการออกมาแล้ว ก็ขอให้น้อมนำไปปฏิบัติ 

เมื่อถามว่า หากยุบพรรค ไทยรักษาชาตื(ทษช.) อาจมีความเคลื่อนไหว ของกลุ่มหัวรุนแรง หรือไม่นั้น พลเอกอภิรัชต์ กล่าวว่า เป็นการคาดการณ์กัน ไป แต่ทุกอย่างมีกระบวนการระเบียบปฏิบัติอยู่แล้ว  และเป็นเรื่องทางการเมทอง คงพูดอะไรไม่ได้ เพราะจะมีการนำไปโยงเป็นการเมืองอีก  เราจึงต้องวางตัวเป็นกลาง. ผมยืนยันในความเป็นกลาง 

ส่วน กกต.ก็ทำหน้าที่ของตัวเอง ผมไม่สามารถไปพูดอะไรกับ กกต . ทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่อยากพูดกับใคร  เพราะถ้าทำในกรอบของกม.ไม่ล้ำเส้น  ใครมีหน้าที่  ก็ทำไป หน้าที่ใคร ก็ทำไป

เมื่อถามว่า สุดท้าย หากมีการล้ำเส้น จะทำอย่างไรนั้น  พลเอกอภิรัชต์ กล่าวว่าขณะนี้ ยังไม่มี ถ้ามีก็ค่อยคิดกันต่อไป ว่าจะทำยังไงต่อ เชื่อว่าคงไม่มี เพราะ ทุกคนมองไปสู่การเลือกตั้ง 
ขอให้เป็นไปตามครรลอง ที่ถูกต้องของการเลือกตั้ง ก็แล้วกัน ผมเชื่อว่าคงไม่มีเหตุการณ์ อะไร

หนีตายเฮือกสุดท้าย!ทษช.แก้ลำยื่นศาลรธน.สู้ยุบพรรค อ้างยังไม่รู้ข้อกล่าวหา

13 ก.พ.62 เวลา 13.30 น. ที่พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรค ไทยรักษาชาติ พร้อม นายพิชิต ชื่นบาน ประธานที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายพรรค น.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ นายทะเบียนพรรค ให้สัมภาษณ์ภายหลัง กกต. มีมติยุบพรรค ว่า ขณะนี้ทราบแล้วว่ากกต. มีมติยุบพรรค ทษช. ยื่นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาล ในส่วนของรายละเอียดคำร้อง เรายังไม่เห็น เมื่อทราบรายละเอียดแล้วจะให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินการต่อไป

ซึ่งในเวลา 15.00 น. จะให้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายพรรคไปยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อใช้สิทธิ์ เพราะจนขณะนี้เราก็ยังไม่เห็นว่าโดนร้องหรือมีความผิดในข้อหาใดเพราะเราเองก็ยัง งงๆ อยู่ เมื่อวันสองวันที่ผ่านมากระบวนการเป็นไปอย่างรวดเร็วก็ อยากจะขอใช้สิทธิ์ของพวกเราในฐานะพรรคการเมือง
ทั้งนี้ ร.ท.ปรีชาพล กล่าวอีกว่า ทษช.ยังคงเดินหน้าให้ทีมหาเสียงลงพื้นที่ต่อไปจนกว่าที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยเป็นที่สิ้นสุด เมื่อใดที่ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่มีมติในการวินิจฉัยเป็นที่สิ้นสุดนั้นพรรค ทษช. ยังคงทำหน้าที่ในการหาเสียงตามแผนที่วางไว้ได้ โดยการที่ยังต้องลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องนั้นเนื่องจาก พรรค ทษช. เป็นความหวังของสมาชิกพรรคและของประชาชนขณะนี้ยังไม่ได้หาแผนสำรองในกรณีที่พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ ซึ่งการจะไปกล่าวถึงกรณีดังกล่าวยังเป็นเรื่องที่เร็วเกินไป ขณะนี้ ต้องสร้างความมั่นใจให้กับสมาชิกของพรรค  ว่าพรรคสามารถเดินหน้าต่อไปได้
ด้าน นายพิชิต กล่าวว่า หลังจาก กกต. ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้ยุบพรรค ทษช. ตนขอทำความเข้าใจว่าการสิ้นสุดการทำงานของพรรค ตามกฎหมายบัญญัติจะสิ้นสุดลงเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ขณะนี้ถือว่าเรื่องที่ กกต. กล่าวหาโดยที่ทางพรรคไม่มีโอกาสแม้แต่จะทราบข้อกล่าวหา ไม่มีโอกาสที่จะแสดงข้อเท็จจริงแสดงพยานหลักฐานใดๆ ถือว่าในชั้นสอบสวนเราไม่มีโอกาสเลย ตอนเวลานี้ตามที่เป็นข่าวก็ทราบว่า เรื่องอยู่ในกระบวนการที่ศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องต่อแล้ว
สิ่งที่ฝ่ายกฎหมายที่พรรคจะทำไม่เกิน เวลา 15.00น. จะมอบคณะทำงานฝ่ายกฎหมายไปยื่นคำร้องขอความเมตตาต่อศาล และรัฐธรรมนูญได้มีโอกาสรับทราบข้อกล่าวหาตามกระบวนการที่ศาลกำหนด เพราะขณะนี้เราถือว่าคำสั่งเป็นคู่ความหรือมีคู่กรณี พรรค ทษช. ถือว่าเป็นคู่กรณีกับกกต. ศาลรัฐธรรมนูญเป็นคนกลางที่จะต้องวินิจฉัยว่า กกต. ที่กล่าวหาพรรค ทษช. คู่กรณีเป็นอย่างไร โดยกระบวนการในการพิจารณาคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
“บ่าย 3 จะไปยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ ยึดหลักนิติธรรมสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ขอให้พรรคไทยรักษาชาติได้มีโอกาสแก้ข้อกล่าวหา อ้างพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าเราไม่ได้กระทำผิดส่วนตัวคำร้องเรายังไม่เห็นรายละเอียดว่าการกล่าวหาการกระทำความผิดอย่างไรขอไม่พูดถึงเพราะยังไม่เห็นคำร้องจริงๆ” นายพิชิต กล่าว
เมื่อถามว่า จะยื่นพยานบุคคลแนบไปกับคำร้องหรือไม่ นายพิชิต กล่าวว่า ขอให้ได้เห็นข้อกล่าวหาก่อนเพราะถ้าเห็นข้อกล่าวหาเราจะรู้ว่าประเด็นที่กล่าวหามีอะไรบ้างฝ่ายกฎหมายจะได้สู้ตามประเด็นที่มีการกล่าวหาเวลานี้คงจะบอกไม่ได้ว่าจะยื่นเอกสารอะไร มันรวดเร็วจนเราเองก็จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องได้รับทราบข้อกล่าวหาก่อน
เมื่อถามอีกว่า การยื่นศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคในช่วงนี้ เพื่อให้ศาลวินิจฉัยก่อนการเลือกตั้งหรือหลังการเลือกตั้งหรือไม่ นายพิชิต กล่าวว่า ไม่ขอก้าวล่วงตอบเราก็มีแต่เพียงว่าไปขอความเมตตา
“เรามั่นใจในกระบวนการยุติธรรมเพราะเราเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลที่สูงสุดที่ทุกองค์กรต้องปฏิบัติเมื่อเราเป็นคู่กรณีพรรค ทษช. ตามหลักยุติธรรมสากล คู่กรณีในฐานะผู้ถูกกล่าวหาควรจะมีโอกาสได้แก้ข้อกล่าวหา เราเสียใจอย่างยิ่งในชั้นสอบสวนเราไม่มีโอกาสทราบข้อกล่าวหาเราตั้งข้อสังเกตว่าในวันที่ 15 กกต.ตามพระราชกฤษฎีกาก็ต้องประกาศรายชื่อ ทั้งแบบส.ส.เขตและแบบบัญชีรายชื่อ กกต. คิดอะไรแต่ในส่วนตรงนี้ของศาลเราต้องขอความเมตตาท่าน” นายพิชิต กล่าว

ผบ.ทบ.ย้ำจุดยืนกองทัพยังเหมือนเดิม ขอให้ทุกคนอยู่ในกติกาของตนเองอย่าล้ำเส้น!



13ก.พ.62-  พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงข่าวกรณีที่มีกระแสข่าวรัฐประหารว่า ข่าวลือก็คือข่าวลือ มีคนพยายามสร้างสถานการณ์ให้คิดว่าจะมีการปฏิวัติรัฐประหาร พยายามหยิบประเด็นหลายอย่างมาเชื่อมโยงกัน ซึ่งไม่ได้เป็นความจริง การนำยานพาหนะของกองทัพออกมาก็เพื่อไปฝึก แต่มีการนำไปตีความ จึงขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกตกเป็นเหยื่อโซเชียลมีเดียที่พยายามบิดเบือนเชื่อมโยงสถานการณ์ ซึ่งความจริงแล้วไม่มีอะไร ทุกอย่างเป็นไปตามไทม์ไลน์การเลือกตั้ง ตนยืนยันจุดยืนของกองทัพยังเหมือนเดิม

เมื่อถามว่า มีความพยายามทำให้เกิดความหวาดระแวงหรือไม่ ผบ.ทบ.ตอบว่า เมื่อเข้าสู่โหมดการเมืองก็เป็นเรื่องของการเมือง และขณะนี้จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค. ซึ่งใครจะทำอะไรก็จะนำมาผูกโยงเรื่องการเมืองทั้งนั้น ซึ่งก็เป็นกลุ่มคนหน้าเดิมๆ  ส่วนเหตุการณ์ดังกล่าวจะเชื่อมโยงกับเหตุการณ์วันที่ 8 ก.พ.หรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ
ถามว่ากองทัพกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. มีความสัมพันธ์ที่ดีอยู่ใช่หรือไม่ พล.อ.อภิรัชต์ ยืนยันว่า กองทัพวางตัวเป็นกลาง จะยืนเคียงข้างประชาชนและที่เคยพูดไว้แล้วว่าอย่าล้ำเส้น ซึ่งคำนี้มีความหมายอยู่แล้ว ขอให้ทุกคนอยู่ในกติกาของตนเอง อย่าล้ำเล้น
ซักว่าสถานการณ์ขณะนี้กองทัพต้องระวังตัวมากขึ้นหรือไม่ ผบ.ทบ.ตอบว่า กองทัพระวังตัวมานานแล้วและในวันนี้มีการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.) ตนได้เน้นย้ำกำลังพลทุกคนในการวางตัวจากนี้ไปต้องระมัดระวังทุกฝีก้าวอย่าให้ตกเป็นเหยื่อ และขอให้มีวินัย ยึดถือในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ที่อยู่ในหัวใจของทุกคนอยู่แล้ว แต่การกระทำในวันนี้เราต้องไปอยู่ในโหมดของการเมืองคือห้วงการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นการดำเนินการต่างๆ เช่นการขอกำลังไปช่วยเหลือในคูหาเลือกตั้ง ทุกอย่างมีกฎระเบียบอยู่แล้วตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ประกาศมา ซึ่งตนได้เน้นย้ำผู้บังคับหน่วยไปชี้แจงกำลังพลให้ไปปฏิบัติตัวให้ถูกต้องว่าเราต้องรักษาความเป็นกลางทั้งในฐานะกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) และ คสช.ต่อการเลือกตั้ง

'เจ๊หน่อย'เผยเมื่อก่อนตัวไม่อยู่แต่'ทักษิณ'จัดการพรรคได้ ยอมรับจำนำข้าวเป็นบาดแผลเพื่อไทย



13 ก.พ.62- คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์  แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทย คำถามที่น่าสนใจเช่น หากสามารถแก้ไขภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยได้หนึ่งอย่างเพื่อสร้างการยอมรับในกลุ่มประชาชนที่ไม่นิยมเพื่อไทย อยากแก้ไขเรื่องใด ระหว่างการอยู่ใต้เงานายใหญ่, ระบบพรรคครอบครัว, ประชานิยมพ่นพิษ?
คุณหญิงสุดารัตน์ตอบว่าทั้งหมดนี้เกิดจากมันสมองและการคิดนอกกรอบของคนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นรากของพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน แต่ขณะนี้มาสู่บทบาทใหม่เพราะรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ไม่อนุญาตให้ ทักษิณ หรือครอบครัวบริหารจัดการพรรคแบบในอดีต
"แต่ก่อนคุณทักษิณอาจเข้ามาบริหารจัดการพรรคได้ถึงแม้ว่าตัวไม่อยู่ แต่ในปัจจุบันนี้กฎหมายได้ห้ามแล้ว ดังนั้นคุณทักษิณก็ไม่อยากทำอะไรที่ทำให้พรรคเกิดความเสียหายแน่"
ทว่าทัศนะของคุณหญิงสุดารัตน์ อาจขัดต่อภาพจำ-ความรับรู้ของสังคมเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งมีอดีตรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยต้องโทษจำคุกในคดีทุจริต ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
คุณหญิงหน่อย ขอให้แยกเรื่องนี้ออกเป็น 2 ส่วน ในส่วนหลักการ เธอบอกว่าคำพิพากษาศาลฎีกาฯ ชี้ว่าหลักการไม่ผิด
"ไม่ได้เป็นโครงการที่เสียหายหรือเป็นประชานิยมแบบมอมเมา มันคือการลงทุนแล้วได้ข้าว แล้วมาชะลอขายข้าวต่อ" แต่พอเกิดรัฐประหาร ทำให้ข้าวที่ค้างอยู่ขายไม่ได้ กว่าจะขายได้ก็ผ่านมาหลายปีและถูกตีเป็นราคาข้าวเน่า ทั้งที่เจ้าของโรงสี/ผู้เก็บข้าวบอกว่ายังเป็นของที่มีคุณภาพดี จึงเกิดการขาดทุนมหาศาลและบอกว่าเป็นความผิดของรัฐบาลในชุดนั้น
"ตรงนี้ถ้าพิสูจน์จริง ๆ ก็สามารถพิสูจน์ได้ และระบบที่เป็นอยู่ที่มีการรัฐประหารมันอาจจะพิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้าในระบบยุติธรรมปกติน่าจะพิสูจน์ได้นะคะ"
ส่วนที่สองคือส่วนปฏิบัติที่เกิดการรั่วไหล ในทุกโครงการมีทั้งนั้น ไปดูว่าผู้ปฏิบัติในแต่ละระดับมีปัญหาอย่างไร แต่ขอให้เป็นกระบวนการยุติธรรมที่ได้มาตรฐาน
เมื่อถูกถามย้ำว่า ไม่ได้คิดว่าโครงการรับจำนำข้าวเป็นบาดแผลของพรรคเพื่อไทย?
"เป็น ๆ ๆ ค่ะ แน่นอน" คุณหญิงสุดารัตน์ ตอบ แต่ย้ำว่าขบวนการที่เธอร่ายมาข้างต้นทำให้สังคมได้รับข้อมูลข่าวสารที่แตกต่างกันไป.
อ่านฉบับเต็ม บีบีซีไทย

ด่วน!!!ศาลฎีกาจำคุก8เดือน!6แกนนำพันธมิตรฯ ยึดทำเนียบฯปี51



13 ก.พ. 62 - ที่ห้องพิจารณา 809 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกทำเนียบรัฐบาล เมื่อปี 2551 หมายเลขดำ อ.4925/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อายุ 83 ปี, นายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 70 ปี, นายพิภพ ธงไชย อายุ 72 ปี, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อายุ 68 ปี นายสมศักดิ์ โกศัยสุข อายุ 72 ปี แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และนายสุริยะใส กตะศิลา อายุ 45 ปี ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน หรือกลุ่มการเมืองสีเขียว และอดีตผู้ประสานงาน พธม. เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกโดยกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ กรณีบุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 358, 362, 365
อัยการโจทก์ฟ้องระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2551 ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งมีจำเลยดังกล่าวเป็นแกนนำได้จัดปราศรัยชักชวนประชาชนเข้าร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนิน เพื่อกดดันให้นายสมัคร สุนทรเวช ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเคลื่อนขบวนฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำเนียบรัฐบาลและกระจายกำลังปิดล้อมสถานที่ราชการ เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียง กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2551 เวลากลางวันจำเลยกับพวกก็ได้เคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลโดยปิดล้อมทางเข้าออกทำเนียบทุกด้าน ได้ใช้เครื่องมือทำลายกุญแจประตูทำเนียบ และทำลายแผงกั้นที่เจ้าหน้าที่ใช้ควบคุมดูแลความสงบในทำเนียบ จนถึงวันที่ 3 ธ.ค. 2551 พวกจำเลยซึ่งไม่ได้รับอนุญาตได้ร่วมกันรื้อทำลายสิ่งกีดขวางแล้วปีนรั้วเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลรวมทั้งนำรถยนต์ 6 ล้อที่ติดเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ไปจอดหน้าตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาลแล้วผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัยและช่วงวันที่ 26 ส.ค. 2551 – 3 ธ.ค. 2551 ระหว่างที่พวกจำเลยจัดเวทีปราศรัยในทำเนียบรัฐบาลซึ่งมีผู้ชุมนุมจำนวนมาก เหยียบสนามหญ้าและต้นไม้ประดับจนตาย และยังทำให้ระบบสปริงเกอร์อัตโนมัติ ระบบไฟสนาม หน้าตึกไทยคู่ฟ้าและหน้าตึกสันติไมตรี ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้รับความเสียหายรวม 5 ล้านบาท อีกทั้งเมื่อมีฝนตกทำให้น้ำฝนซึมเข้าขังในถุงดำที่ห่อหุ้มกล้องวงจรปิด ทำให้ระบบอิเล็กโทรนิกส์ของกล้องเสียหายรวม 10 ตัว ค่าเสียหายอีก 1,766,548 บาท โดยจำเลยทั้ง 6 คนให้การปฏิเสธ

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไปเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2558 เห็นว่า จำเลยทั้งหกกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 365 การกระทำของจำเลยผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุดฐานบุกรุกสถานที่ราชการ จำคุกคนละ 3 ปี แต่คำให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้คนละ 2 ปี ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาวันที่ 24 ก.ค. 2560 แก้เป็นจำคุกจำเลยคนละ 1 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยคนละ 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา จำเลยได้รับการประกันตัวระหว่างฎีกา ยกเว้นนายสนธิซึ่งถูกคุมขังในคดีทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535
ต่อมาจำเลยทั้งหกยื่นฎีกา โดยในวันนี้ ศาลได้เบิกตัว นายสนธิ จำเลยที่ 2 มาจากเรือนจำกลางคลองเปรม ส่วน พล.ต.จำลอง, นายพิภพ, นายสมเกียรติ, นายสมศักดิ์ และนายสุริยะใส เดินทางมาศาล โดยมีผู้สนับสนุนและญาติเดินทางมาให้กำลังใจเต็มห้องพิจารณาคดี
ศาลพิจารณาฎีกาของจำเลยทั้งหกแล้วเห็นว่า ไม่ได้เป็นการชุมนุมโดยสงบตามที่จำเลยอ้าง เพราะพฤติการณ์ของจำเลยและผู้ชุมนุมได้ปีนรั้วเข้าทำเนียบรัฐบาลที่ล็อกไว้ และอยู่ต่อเนื่อง ทำลายทรัพย์สินเสียหาย ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งหกฐานร่วมกันบุกรุกทำให้เสียทรัพย์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งหกฟังไม่ขึ้น 
ส่วนที่จำเลยทั้งหกฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษนั้น ศาลเห็นว่าเมื่อการกระทำของจำเลยทั้งหกและพวก ได้บุกเข้าทำเนียบซึ่งแม้เป็นสาธารณสมบัติ แต่ก็เป็นสถานที่บริหารราชการแผ่นดิน เป็นศูนย์รวมหน่วยงานราชการหลายแห่ง มีการทำลายทรัพย์สินหลายรายการ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งหกเป็นเวลา 8 เดือน ไม่รอลงอาญานั้นเหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วให้จำคุกคนละ 8 เดือน ไม่รอลงอาญา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็จะนำตัว พล.ต.จำลอง, นายพิภพ, นายสมเกียรติ, นายสมศักดิ์, นายสุริยะใส ซึ่งเคยได้รับการประกันตัว ไปคุมขังยังเรือนจำเพื่อรับโทษตามคำพิพากษาต่อไปเช่นเดียวกับนายสนธิ.

'บิ๊กแดง'ยอมรับหากทษช.ถูกยุบ คาดการณ์ว่าจะมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มหัวรุนแรง


13ก.พ.62-  พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงข่าวกรณีที่พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) เสนอชื่อทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดีเป็นนายกรัฐมนตรีว่า มีพระราชโองการออกมาแล้ว ตนไม่อยากพูดอะไรอีก ซึ่งต้องยกไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม 
"ในเมื่อมีพระราชโองการออกมาแล้วก็ขอให้น้อมนำไปปฏิบัติ"

เมื่อถามว่าหากมียุบพรรคไทยรักษาชาติ จะดูแลสถานการณ์อย่างไร โดยเฉพาะกลุ่มความเคลื่อนไหวของคนหัวรุนแรง ผบ.ทบ.ตอบว่า เป็นการคาดการณ์กันว่าผลจะเป็นแบบนั้น ซึ่งทุกอย่างมีกระบวนการและระเบียบการปฏิบัติอยู่แล้ว ต้องให้เป็นเรื่องของทางการเมือง ตนคงไปพูดอะไรไม่ได้ หากพูดไปก็จะนำไปโยงเป็นเรื่องการเมืองอีก ตนถึงย้ำว่าเราต้องวางตัวเป็นกลาง
“ในสิ่งที่พูดวันนี้ ผมยังยืนยันในความเป็นกลางอยู่ กกต.ก็ทำหน้าที่ของตัวเอง ผมไม่สามารถไปพูดอะไรกับกกตงได้ และทุกวันนี้ผมก็ยังไม่อยากพูดกับใคร ทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่ล้ำเส้นซึ่งกันและกัน หน้าที่ใครทำอะไรก็ทำไป และสุดท้ายหากมีการล้ำเส้นกันจะทำอย่างไรนั้น ผมคิดว่าขณะนี้ยังไม่มี และถ้ามีก็ค่อยคิดกันต่อไปว่าจะทำอย่างไรก็ต่อไป แต่เชื่อว่าคงไม่มี เพราะทุกวันนี้คนมองไปสู่การเลือกตั้ง ขอให้เป็นไปตามครรลองที่ถูกต้องของการเลือกตั้ง ซึ่งผมเชื่อว่าคงไม่มีเหตุการณ์อะไร”
ถามถึงความคืบหน้าการตรวจสอบการปลอมราชกิจจานุเบกษา พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวว่า มีคนทำเพื่อสร้างสถานการณ์ เพราะฉะนั้นการรับข้อมูลจากโซเชียลมีเดียต้องใช้วิจารณญาณ ทั้งนี้ได้ให้ศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก (ศซบ.ทบ.)ติดตาม ซึ่งคงจะมีคนคิดอะไรแปลกๆ และไปดำเนินการ ซึ่งมีความผิดตามกฎหมาย ทางเจ้าหน้าที่กำลังหาตัวอยู่และคิดว่าน่าจะได้ตัวแล้วกับขบวนการที่พยายามสร้างความสับสนให้กับประชาชน และขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกกับข่าวสาร ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าเอกสารปลอมดังกล่าวเผยแพร่มาจากต่างประเทศนั้นตนไม่ทราบ 

ใช้ ม.93 ไม่รอไต่สวน ชงยุบพรรคไทยรักษาชาติ ส่งศาลรัฐธรรมนูญฟั


กกต.ถกเครียดทั้งวัน พรรคสู้-ขอทวงสิทธิ ยื่นเท็จจริงก่อนมีมติ ‘จอดำ’วอยซ์ทีวี15วัน! ผู้บริหารลั่นฟ้องศาล

กกต.ถกเครียดตั้งแท่นยุบ ทษช. ตกบ่ายข่าวสะพัดนายทะเบียนพรรคการเมืองใช้ทางลัด ม.93 ส่งศาลรัฐธรรมนูญยุบทิ้งไม่รอตั้งกรรมการไต่สวน “อิทธิพร” แจงผ่านไลน์ยังไม่เสร็จเบรกสื่อรอฟังจากปากหรือเลขาฯ กกต.แถลงข่าว ตกค่ำร่อนเอกสารข่าวชี้อยู่ระหว่างพิจารณายังไม่จบ “ปรีชาพล” พร้อมพวกยิ้มสู้เข้าพรรคส่งข้อเท็จจริงให้ 7 เสือก่อนลงมติ “อ๋อย” ลั่นอุดมการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง ประกาศสู้จนคนสุดท้าย ทษช.จับตาส่อขยายผลลามถึง “เพื่อไทย” หรือไม่ องค์กรชาวพุทธฯยื่นสอบยุบพรรคของ “ไพบูลย์” นำพุทธศาสนามาหาเสียง ขัด รธน. ม.67 และ พ.ร.บ.พรรคการเมือง ม.14 “บิ๊กตู่” จวกไม่มีสาระ “เรืองไกร” ร้องสอบ ฝากประชาชน เสพข่าวอย่างมีสติ อะไรจบแล้วอย่าปลุกขัดแย้งอีก กสทช.แบนวอยซ์ทีวีจอดำ 15 วันชี้นำเสนอข่าวยั่วยุ ปลุกปั่นผิดซ้ำซาก ผู้บริหารดิ้นสู้ฟ้องศาลปกครอง

ทุกฝ่ายรอฟังมติคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ชัดเจนหลังการประชุมพิจารณากรณีพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) เสนอบัญชีนายกรัฐมนตรีขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 92 เพื่อนำส่งเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักษาชาติ ขณะเดียวกัน ก็มีการจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าจะมีการขยายผลลุกลามไปถึงพรรคเพื่อไทยด้วยหรือไม่

กกต.เเจงดึงคนนอกร่วมไต่สวน ทษช.

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 12 ก.พ. ที่โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทาราศูนย์ราชการ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้านการเงิน บัญชีและพัสดุ เพื่อเตรียมการจัดการเลือกตั้งมีเจ้าหน้าที่จาก 77 จังหวัด เข้าร่วมรับฟังแนวทางเรื่องการเบิกจ่าย และใช้งบประมาณ จากนั้น พ.ต.อ.จรุงวิทย์กล่าวถึงการตั้งคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีพรรคไทยรักษาชาติเสนอชื่อนายกฯว่า การประชุม กกต.เมื่อวันที่ 11 ก.พ.มีการพูดคุยเรื่องนี้ในประเด็นข้อกฎหมายอยู่บ้าง แต่ตนไม่ได้เข้าประชุม เพราะติดภารกิจ ทราบแต่เพียงว่าประธาน กกต.จะเป็นคนให้ข่าวเกี่ยวกับเรื่องพรรคการเมือง

เมื่อถามว่า จะมีการตั้งคนนอกร่วมเป็นคณะกรรมการไต่สวนด้วยหรือไม่ พ.ต.อ.จรุงวิทย์กล่าวว่าทราบจากข่าวคงต้องขอการประชุม กกต.ก่อน แต่แนวทางเดิมเคยมีการตั้งคนนอกมาร่วมและ กกต.จะเป็นผู้เสนอรายชื่อผู้มาทำหน้าที่กรรมการไต่สวน ในขั้นตอนการตรวจสอบเรื่องเกี่ยวกับการทุจริตการเลือกตั้ง เมื่อมีการร้องเข้ามาจะสอบสวนเบื้องต้นว่าคำร้องมีมูลดำเนินการได้หรือไม่ หากมีมูลจะเสนอ กกต.ตั้งคณะกรรมการไต่สวน เพื่อสอบสวน ซึ่งใช้คนนอกเข้ามาร่วมได้

ด้านนายปกรณ์ มหรรณพ กกต. ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ แต่ยอมรับว่าในการประชุม กกต.วันที่ 12 ก.พ.จะมีการพิจารณาเรื่องตั้งคณะกรรมการไต่สวนดังกล่าว

สะพัดมติ กกต.ส่งศาล รธน.ยุบ ทษช.ทันที

ต่อมาเมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงาน กกต. ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ มีการประชุมคณะกรรมการ กกต. โดยมีนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.เป็นประธาน เพื่อพิจารณากรณีพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) เสนอบัญชีนายกฯ ขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 92 โดยที่ประชุมใช้เวลาประชุมอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเวลา 15.00 น.ได้มีกระแสข่าวอ้างแหล่งข่าว กกต.เผยแพร่สะพัดไปทั่วตามสื่อทุกแขนงว่า กกต.มีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักษาชาติแล้วโดยเลขาธิการ กกต.ใช้มาตรา 93 ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคได้เลย จะส่งเรื่องไปทันที

ผู้สื่อข่าวพยายามติดต่อขอความชัดเจน จากทั้งประธาน กกต.และเลขาธิการ กกต. แต่ไม่มีผู้ใดรับสาย รวมทั้งมีกระแสข่าวว่าสำนักงาน กกต.ประสานไปยังสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้รอรับคำร้องดังกล่าวที่จะไปยื่นในช่วงเย็น แต่กระทั่งเวลา 17.30 น.เจ้าหน้าที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้แจ้งผู้สื่อข่าวที่ไปรอทำข่าวว่า เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้โทรศัพท์สอบถามไปยังสำนักงาน กกต.แล้วได้รับแจ้งว่ายังจะไม่มีการยื่นคำร้องอะไรในวันที่ 12 ก.พ.

ปธ.กกต.เบรกสื่อให้รอฟังจากปาก

เวลา 17.20 น.นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.ได้ชี้แจงผ่านไลน์มายังผู้สื่อข่าวประจำ กกต.ว่า “ฝากเรียนทุกท่านที่รออยู่ด้วยว่า กำลังพิจารณาอยู่ ยังไม่แล้วเสร็จ ถ้าผมหรือเลขาธิการมิได้ให้ข่าว กรุณาอย่าถือว่าเป็นข่าวจริงนะครับ อย่างน้อยที่สุดถ้าการพิจารณาแล้วเสร็จแล้ว จะเรียนให้ทราบ ถ้ามิใช่แถลงข่าวก็เป็นเพรสครับ”

แถลงด่วนพิจารณายังไม่เสร็จ

ต่อมาเวลา 19.00 น. สำนักงาน กกต.ได้ออกเอกสารเผยแพร่ข่าวเรื่องข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการพิจารณาของ กกต. กรณียุบพรรคการเมืองระบุว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อบางฉบับว่ามติ กกต.สั่งยุบพรรคไทยรักษาชาตินั้น สำนักงาน กกต.ขอเรียนว่า ประเด็นดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ กกต.และเมื่อเสร็จสิ้นการพิจารณาแล้ว กกต.จะแถลงข่าวให้รับทราบต่อไป

องค์กรพุทธฯร้องฟัน “ไพบูลย์”

บ่ายวันเดียวกัน นายเอกภพ เหล่าลาภะ เลขาธิการศูนย์ประสานงานองค์กรชาวพุทธแห่งชาติ ได้เดินทางมายังสำนักงาน กกต. เข้ายื่นหนังสือถึงเลขาธิการ กกต. ขอให้ตรวจสอบนายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป กรณีใช้คำว่า “น้อมนำคำสอนพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาทุกข์ร้อนให้กับประชาชน คือ งานของพรรคประชาชนปฏิรูป” การระบุคำว่าพระพุทธเจ้าสื่อความหมายได้ว่าเป็นการนำเอาพระพุทธศาสนามาใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง

ชงยุบพรรคขัด รธน.ม.67–ม.14 ก.ม.ลูก

“กรณีนี้อาจขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 ที่กำหนดป้องกันไม่ให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 14 เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมทั้ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ดังนั้นเพื่อระงับยับยั้งป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อพระพุทธศาสนาและพระสงฆ์ ผมและเครือข่ายขอให้ กกต.ตรวจสอบพรรคประชาชนปฏิรูปว่ากระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ หากพบว่ามีความผิดจริง ขอให้ตัดสิทธิทางการเมืองและส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค” นายเอกภพกล่าว

ตร.บุกตรวจโต๊ะหมู่ที่ทำการ ทษช.

อีกด้าน เมื่อเวลา 08.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ถึงความเคลื่อนไหวของพรรค ทษช.ว่า พ.ต.ต.มงคล ทองเนื้อห้า สารวัตรป้องกันการปราบปราม สน.ทุ่งสองห้อง ได้รับมอบหมายจาก พ.ต.อ.ปริญญา เหลืออุทัย ผกก.สน.ทุ่งสองห้อง ให้เดินทางมายังพรรคไทยรักษาชาติ เพื่อมาตรวจสอบความเรียบร้อย ภายหลังนายพงษ์เกษม สัตยาประเสริฐ โฆษกพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) โพสต์ข้อความว่าจะมีการแก้ไขการตั้งโต๊ะหมู่บูชาและพระฉายาลักษณ์ ที่มีความผิดพลาด ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น โดย พ.ต.ต.มงคลกล่าวว่า วันนี้มาตรวจสอบความเรียบร้อยภายในห้องที่ตั้งโต๊ะหมู่บูชา เมื่อวันที่ 12 ก.พ. เป็นเหตุให้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากโลกโซเชียลว่าเป็นการตั้งไม่ถูกต้อง โฆษกพรรคแจ้งว่าเป็นการจัดซื้อโต๊ะหมู่บูชาและปรับปรุงสถานที่ของพรรค จึงได้เดินทางมาตรวจว่ามีการปรับปรุงหรือไม่ เบื้องต้น พบว่าพรรคไทยรักษาชาติได้เคลื่อนย้ายโต๊ะหมู่บูชาและพระฉายาลักษณ์ออกจากห้องแถลงข่าวแล้ว พร้อมปรับปรุงแก้ไขสถานที่ตั้งให้เหมาะสมเป็นที่เรียบร้อย อย่างไรก็ตาม ห้องล็อก ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้

“สุธรรม” ให้ใจเย็นมืดมิดยังมีแสงสว่าง

ต่อมาเวลา 10.00 น. นายสุธรรม แสงประทุม สมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ได้เดินทางมาที่พรรค ระบุว่า ต้องการให้กำลังใจกรรมการบริหาร พรรคที่เป็นคนรุ่นใหม่ ที่อาจไม่มีประสบการณ์ทำงาน การเมืองในไทย พวกตนผ่านงานการเมืองทั้งในและนอกสภาฯ ต้องติดคุกติดตะรางมาแล้ว โบราณมีคำกล่าวว่าไฟฟ้าดับ อย่าเพิ่งรีบวิ่ง ไม่อย่างนั้นจะชนโต๊ะและเหยียบกันตาย รออีก 2 นาทีเราจะเห็น แสงรำไร เพราะความมืดมีแสงสว่างอยู่ วันนี้มืดไม่มืดมิด ไฟดวงนิดยังมีแสง ขอเพียงลมพัดมาแรง ถ้ามอดแดงก็จะลาม ทุกคนใน ทษช.ต้องใจเย็น มีสมาธิและมองให้เห็นแสงสว่างให้ได้ วันนี้ ทษช.ยังเป็นพรรคที่ถูกต้องตามกฎหมาย กระบวนการยุบพรรคต้องใช้เวลา พรรคพลังประชารัฐก็ถูกกล่าวหายังไม่ตกใจ ของเรายังไม่มีข้อกล่าวหา หากมีต้องต่อสู้กันไป ยืนยันว่า ทษช.จะเดินหน้าทำกิจกรรมเพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชนในการเลือกตั้ง จากการลงพื้นที่ 3 จังหวัดใต้ ประชาชนให้การต้อนรับอยากให้ช่วยแก้ปัญหา

“ปรีชาพล” ยิ้มแย้มโผล่เข้าพรรค

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเวลา 13.10 น. ที่พรรคไทยรักษาชาติ กรรมการบริหารพรรค ประกอบด้วย ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรค นายฤภพ ชินวัตร รองหัวหน้าพรรค นายคณาพจน์ โจมฤทธิ์ นายวิม รุ่งวัฒนะจินดา รองเลขาธิการพรรค น.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ นายทะเบียนพรรค รวมตัวนั่งรถยนต์มาคันเดียวกันเดินทางมาเข้าที่ทำการพรรค ทั้งหมดต่างยิ้มแย้มทักทายพร้อมยกมือไหว้สื่อมวลชนที่มารอทำข่าวที่พรรคจำนวนมาก ถือเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกตั้งแต่ตั้งพรรคไทยรักษาชาติไปยื่นรายชื่อแคนดิเดตนายกฯต่อ กกต. เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ท่ามกลางกระแสข่าวว่าถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงควบคุมตัวไปสอบสวน

ตั้งหลักเดินหน้าลุยเลือกตั้งต่อ

โดย ร.ท.ปรีชาพลกล่าวว่า ก่อนอื่นพวกเราขอเรียนว่า พวกเรากรรมการบริหารพรรค รวมถึงสมาชิกพรรค ทษช. ขอน้อมรับพระราชโองการไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมด้วยความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และราชวงศ์ทุกพระองค์ ร.ท.ปรีชาพลกล่าวพร้อมยกมือไหว้ถวายบังคมเหนือศีรษะ แล้วกล่าวอีกว่า หลังจาก กกต.มีมติเมื่อวันที่ 11 ก.พ. ไม่ประกาศรายชื่อแคนดิเดตนายกฯของพรรค ทษช. เป็นที่ยุติไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เพราะเราได้แถลงน้อมรับพระราชโองการไปเรียบร้อยแล้ว จากนี้ไปต้องเดินหน้าสู่สนามเลือกตั้งหาเสียง วันนี้มาเพื่อเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค วางแผนกำหนดท่าทีเดินหน้ากิจกรรมของพรรค ในฐานะพรรคการเมืองมีภาระหน้าที่สำคัญต่อประชาชนและสมาชิกของพรรค ผู้สมัครของพรรค การทำงานการเมืองไม่สามารถหยุดนิ่งได้เราจึงต้องเดินหน้า เพื่อไปสื่อสารนโยบาย และขออาสารับใช้ประชาชนในการเลือกตั้งที่จะมาถึง ขอเรียนว่าพวกเราทุกคนดำเนินการทุกอย่างไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ และความตั้งใจดีที่อยากเห็นบ้านเมืองไปในทิศทางที่ดี และมีอนาคตที่ดีให้กับประชาชน โดยพรรคจะเริ่มลงพื้นที่หาเสียงเร็วที่สุด

ไม่หวั่นยุบพรรคทำทุกอย่างตาม ก.ม.

เมื่อถามถึงข้อกังวลกรณียุบพรรค ทษช. ร.ท.ปรีชาพล กล่าวว่า ความจริงแล้วไม่กังวล เพราะเราทำตามระเบียบขั้นตอน ข้อบังคับและกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ผู้มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบคือ กกต.ถ้าเห็นว่าอะไรเป็นที่น่าสงสัย พวกเราพร้อมจะสู้ตามกระบวนการตรวจสอบ ส่วนกรรมการบริหารพรรคที่ลาออกเท่าที่ทราบเป็นปัญหาส่วนตัวและปัญหาครอบครัวของท่าน เราเดินเป็นองค์กร วันนี้ เราและสมาชิกพรรคยังมีกำลังใจและความพร้อมเต็มที่ที่จะเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง เพื่อเป็นความหวังให้ประชาชน เมื่อถามว่ามีเสียงเรียกร้องให้คณะกรรมการบริหารพรรคลาออก เหตุใดเป็นเหตุผลที่ทำให้เดินหน้าทำงานต่อ ร.ท.ปรีชาพลกล่าวว่า เราตั้งใจดี ปรารถนาดี เชื่อว่าคนไทยทุกคนรักประเทศ เราคิดว่านี่คือทางออกของประเทศ แต่เมื่อมีพระราชโองการลงมาพวกเราทุกคนต้องน้อมรับ เพราะเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมของพวกเราคือ สมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวและสถาบันพระมหากษัตริย์

นัด 13 ก.พ. กำหนดแนวหาเสียง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แกนนำพรรคไทยรักษาชาติได้หารือร่วมกัน โดยนัดหมายประชุมกรรมการบริหารพรรคและคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งในวันที่ 13 ก.พ. เวลา 10.30 น. เตรียมความพร้อมการดำเนินกิจกรรมหาเสียงจากนี้ต่อไป โดยนายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคจะเข้าร่วมด้วย ทั้งนี้ แกนนำพรรค ทษช.บางคนยังจับตามองด้วยว่านอกจากการยุบพรรค ทษช.แล้วจะมีความพยายามขยายผลไปถึงพรรคเพื่อไทย ที่ถูกมองว่าเป็นเครือข่ายเดียวกันและมีการฮั้วกันในการส่งผู้สมัคร ส.ส.ด้วยหรือไม่

ใช้สิทธิยื่นข้อเท็จจริงก่อน กกต.ลงมติ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงบ่ายหลังมีกระแสข่าว กกต.ยื่นเรื่องส่งศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค ทษช. บรรดาแกนนำพรรคและฝ่ายกฎหมายของพรรคทษช. ทยอยเดินทางเข้าพรรคมาอย่างหนาตา อาทิ นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง นายพิชิต ชื่นบาน นายวิญญัติ ชาติมนตรี คณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรค กระทั่งมีกระแสข่าวยืนยันอีกครั้งว่าที่ประชุม กกต.ยังไม่ได้มีมติอย่างเป็นทางการออกมา คณะกรรมการบริหารพรรค แกนนำพรรคต่างสงวนท่าที ไม่ยอมชี้แจงรายละเอียดใดๆ กระทั่งเวลา 19.00 น. นายพงศ์เกษม สัตยาประเสริฐ โฆษกพรรคไทยรักษาชาติเปิดเผยว่า สมาชิกพรรคไทยรักษาชาติติดตามสถานการณ์จาก กกต.จนถึงเวลานี้ ยังไม่มีการแถลงจาก กกต. ดังนั้นวันที่ 13 ก.พ. เวลา 09.00 น. นายสุรชัย ชินชัย คณะทำงานด้านกฎหมายของพรรคจะไปยื่นหนังสือขอใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ชี้แจงแสดงเหตุผลข้อเท็จจริง รวมถึงข้อกฎหมายและใช้สิทธิในการอ้างพยานหลักฐานต่อ กกต.

เรียกหารือ คกก. 3 ชุดสรุปท่าที

นายพงศ์เกษมกล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน เวลา 10.30 น. วันที่ 13 ก.พ. พรรคได้เรียกประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค คณะกรรมการสรรหา คณะ กรรมการยุทธศาสตร์ เพื่อประเมินสถานการณ์ได้ประสานไปยัง นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเข้าร่วมประชุมด้วย ส่วนกระแสข่าวจากฝั่ง กกต.ที่แพร่สะพัดออกมาขอยังไม่ให้รายละเอียดใดๆรอให้ กกต.เคาะออกมาจริงๆ ก่อน เข้าใจว่า กกต.ยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จ เมื่อถามว่า พรรคหวังจะให้ผู้ถูกอ้างอิงไปเป็นพยานหรือไม่ นายพงษ์เกษมกล่าวว่าขอให้ฝ่ายกฎหมายตอบดีกว่า

“อ๋อย” ลั่นอุดมการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง

ช่วงเช้า นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ ทวิตเตอร์ข้อความว่า “ผมไม่ได้ไปร่วมในเหตุการณ์วันที่ 8 ก.พ. และ ยังไม่ได้แสดงความเห็นต่อเหตุการณ์วันนั้น มาเห็นข่าวเพื่อนนักการเมืองพูดถึงเหตุการณ์วันนั้นว่า “ยิ่งกว่ามีความสุข” แล้ว ผมไม่สบายใจเลย ไม่สบายใจจริงๆครับ” พร้อมกันนี้ยังได้ตอบผู้ที่เข้ามาคอมเมนต์ ว่า เด็กรุ่นใหม่เชื่อมั่นในตัวและอุดมการณ์นายจาตุรนต์ ขอให้ยืนหยัดกับพวกเราต่อไปว่า “อุดมการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง ยังเข้มแข็งและยืนหยัด ในสถานการณ์ที่ซับซ้อน กำลังคิดว่าควรทำอะไรอย่างไร จึงจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด ขอบคุณที่ให้กำลังใจครับ” ต่อมาเวลา 13.00 น. นายจาตุรนต์ ทวีตข้อความอีกครั้งว่า “รู้สึกวาทกรรมเห็บกระโดด ตอนหมาจะตายทำท่าจะฮิต อยากจะบอกแบบสบายๆว่า ผมไม่คิดว่า ทษช.จะถูกยุบง่ายๆ แต่ถ้าถูกยุบจริงๆ ผมจะอยู่จนถึงวันยุบเป็นคนสุดท้าย เหมือนที่เคยทำมาแล้วที่ไทยรักไทยครับ เห็บกระโดดที่ไหนกัน”

“อุตตม” ซิ่งตุ๊กๆเปิดนโยบาย กทม.

เมื่อเวลา 08.00 น. ที่สวนเบญจสิริ นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ขับรถตุ๊กๆไฟฟ้า มาพร้อมกับนายณัฐพล ทีปสุวรรณ รองหัวหน้าพรรค นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ กรรมการบริหารพรรคที่ขี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้านำขบวนคณะพร้อมผู้สมัคร ส.ส. กทม.มาเปิดนโยบายสิ่งแวดล้อมกรุงเทพมหานคร “ทำจริง ทำได้ ทำทันที” นายอุตตมแถลงว่า นโยบายพรรคพลังประชารัฐทำได้ทันที ไม่ลังเลและทำได้จริง ไม่ว่าเพิ่ม 50 สวน 50 เขต ให้ปอดสะอาด ลาขาดฝุ่น รณรงค์ให้รถขนส่งสาธารณะเป็นรถไฟฟ้า หรือ EV ให้หมดเพื่อลดมลพิษ นโยบายพักกรุงเทพฯ 5/2 คือ ก่อสร้าง 5 วัน หยุด 2 วัน ให้ กทม.เป็นหนึ่งในมหานครแนวหน้าที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี และนโยบายรถเก่าแลกรถไฟฟ้าใหม่รับส่วนลดทันที 1 แสนบาท

ด้านนายพุทธิพงษ์กล่าวว่า พรรคได้ตั้ง ครม. กทม.ของพรรค เพื่อเปิดนโยบายให้คน กทม.ทุกวันอังคาร ตั้งแต่วันนี้ไปจนกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง

ไม่สน “เรืองไกร” ยื่นสอบ “บิ๊กตู่”

นายอุตตมให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ ยื่นเรื่องต่อกกต. ขอให้ตรวจสอบคุณสมบัติของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. บัญชีรายชื่อนายกฯของพรรคพลังประชารัฐว่า ไม่มีอะไรน่ากังวล ฝ่ายกฎหมายพรรคดูแลเรื่องนี้ ไม่มีอะไรขัดระเบียบและกฎหมาย ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ฐานะของ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้ไม่มีประเด็น ส่วนแนวทางที่นายกฯจะมาช่วยหาเสียงนอกเวลาราชการ ผู้เกี่ยวข้องกำลังหารืออยู่ แต่ยืนยันจะทำตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้ถูกกล่าวหาว่าได้เปรียบเสียเปรียบ ขณะที่ปัญหาการเสนอชื่อนายกฯของพรรคไทยรักษาชาติ เรื่องที่เกิดกับพรรคอื่นไม่ขอให้ความเห็น ขอทำงานต่อไปไม่วอกแวก ส่วนกรณีที่หลายพรรคกังวลว่าจะมีการรัฐประหารและจับดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดช่วงสัปดาห์นี้ ยังเชื่อมั่นว่ากระบวนการเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยยังดำเนินไป การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 มี.ค.แน่นอน ขอให้ทุกฝ่ายสร้างบรรยากาศการเลือกตั้งที่คนไทยอยากเห็นไม่ใช่บรรยากาศการทำลายล้างหรือความขัดแย้ง

“สุวิทย์” ปลุกเลือก “บิ๊กตู่” ขจัดวงจรนอมินี

เมื่อเวลา 13.30 น. นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า “เลือก พล.อ.ประยุทธ์ หยุดการเมืองนอมินี” ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ขอสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. เป็นว่าที่นายกฯคนใหม่ เพื่อหยุดยั้งวงจรการเมืองนอมินี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นอดีต ผบ.ทบ. เป็นนายกฯตัวจริงเสียงจริง มีภาวะ ผู้นำสูง ตัดสินใจบริหารราชการเพื่อประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ไม่ต้องรับใช้ใครที่อยู่หลังฉากจากแดนไกล สถานการณ์การเมืองล่าสุดสะท้อนให้เห็นถึงความเลวร้ายของการเมืองระบบนอมินี ที่จะทำลายระบบการเมืองไทย สร้างความเสียหายที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อประเทศชาติ ขอเรียกร้องให้คนไทยผู้รักชาติ ช่วยกันหยุดระบบนอมินีให้หมดจากประเทศไทย ขอให้เชื่อใจไว้ใจ มั่นใจเลือกพรรคพลังประชารัฐ เลือก พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯขจัดระบบนอมินีให้สิ้นด้วยกัน

เพื่อชาติไล่ทหารกลับเข้ากรมกอง

นายรยุศด์ บุญทัน รองโฆษกพรรคเพื่อชาติ กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวการรัฐประหารซ้อนว่า 5 ปีที่ผ่านมาประชาชนเข็ดขยาดการรัฐประหาร อยากเลือกตั้งเปลี่ยนรัฐบาลใหม่โดยเร็ว พอมีกระแสข่าวรถถังจำนวนมากเคลื่อนตัวจึงกลัวเจอแบบที่ผ่านมาอีก แม้จะชี้แจงว่าเป็นการฝึกแต่ทำให้เกิดกระแสรัฐประหารหนักกว่าครั้งอื่นกลัวจะไม่ได้เลือกตั้ง จึงขอเตือนกองทัพขอให้พวกท่านเตรียมตัวกลับสู่กรมกองโดยไว วันเลือกตั้งใกล้มาถึงหวังว่าเราจะได้เลือกตั้งกันอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ปราศจากการแทรกแซง และได้ รัฐบาลใหม่มาจากประชาชนเป็นมืออาชีพเข้ามาแก้ไขปัญหาประเทศ หวังว่ามือสมัครเล่นจะยอมละวางมือ ยอมรับขั้นตอนตามระบอบประชาธิปไตย ปล่อยให้คนที่มาจากประชาชนทำงานลบล้างผลพวง จากการรัฐประหารให้หมดสิ้น ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ขอให้ลาออกจากหัวหน้า คสช. เนื่องจากใช้มาตรา 44 ได้จนถึงมีรัฐบาลชุดใหม่ ทำให้เป็นผู้แข่งขันคนเดียวที่มีอำนาจเหนือกรรมการคือ กกต.

“มาร์ค” จิกมาตรฐาน พปชร.เอาทุกเม็ด

เมื่อเวลา 12.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค และนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ลงพื้นที่หาเสียงที่ตลาดนัดลุงเพิ่ม (หลังการบินไทย ถนนวิภาวดีรังสิต) ช่วยนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 6 หาเสียง จากนั้นช่วงเย็น นายอภิสิทธิ์ไปลงพื้นที่ตลาดสำโรง ตลาดราชาและตลาดปากน้ำ อ.เมืองสมุทรปราการ เพื่อช่วยหาเสียงให้นายกวีฉัฏฐ ศีลปพิพัฒน์ ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 1 และ น.ส. สรชา วีรชาติวัฒนา ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 3

นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงกรณีพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ไปร่วมหาเสียงว่า ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อไม่เกิดความขัดแย้ง อะไรอยู่ในกรอบควรปฏิบัติจะได้ไม่มีปัญหา เรื่องใหญ่ทำอย่างไรให้คนมั่นใจจะไม่ใช้อำนาจแทรกแซงการเลือกตั้ง อยู่ที่นายกฯจะแสดงออกมาว่าจะใช้วิธีไหนเพราะมาตรฐานของ พปชร.ดูเหมือนว่าหากอะไรที่กฎหมายไม่ห้ามก็จะทำ ตอนนี้พรรคประชาธิปัตย์ไม่หวั่นไหว มั่นใจว่าเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค. ยังมองไม่เห็นเหตุผลที่จะมาทำอะไร เพื่อไม่ให้เกิดการเลือกตั้ง

ชทพ.ขอแบ่งแต้มหนองคาย–บึงกาฬ

ที่ จ.หนองคาย น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา พร้อมนายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรค นายวราวุธ ศิลปอาชา ประธานกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ นายนิกร จำนง ผอ.พรรค ชาติไทยพัฒนา เดินทางเข้าสักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมือง และเดินทางมากราบสักการะหลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย พระคู่บ้านคู่เมืองของ จ.หนองคาย ก่อน นำทีมผู้สมัคร ส.ส.ทั้ง 3 เขต แนะนำตัวขอคะแนนจากประชาชนในตลาดแจ้งสว่าง ต.หนองกอมเกาะ และตลาดอินโดจีน จากนั้นเดินทางต่อไป จ.บึงกาฬ เข้าสักการะเจ้าแม่สองนาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัด พบปะประชาชนในตลาดสดเทศบาลบึงกาฬ ก่อนเปิดเวทีปราศรัย โดย น.ส.กัญจนากล่าวตอนหนึ่งว่า ถึงเป็นผู้หญิงก็ใจสู้ พร้อมนำพาพรรคชาติไทยพัฒนาสู้ศึกเลือกตั้ง หากได้ผู้แทนใน จ.บึงกาฬ จะมาพบ อีกครั้ง เพื่อนำปัญหาทั้งเรื่องราคาข้าวและยางพาราที่ต้นทุนสูง ปัญหาหนี้สินกลับไปแก้ให้ได้

นายกฯชวนทำบุญเพื่อสังคมสงบ

เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะ รักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนการประชุม นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกฯ นาย วีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม นำคณะมาประชาสัมพันธ์กิจกรรมงานสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเนื่องในวันมาฆบูชา ระหว่างวันที่ 15-20 ก.พ. ณ พุทธมณฑล ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม และทุกวัดทั่วราชอาณาจักร รวมถึงประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการศึกษาศูนย์การศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ นายกฯได้หยอกล้อเล่นกับผู้แต่งกายเป็น “โต” สัตว์ในป่าหิมพานต์ในวรรณคดี มีตัวเหมือนสิงโตหัวเหมือนกวางในร่างเดียว ตามความเชื่อและศิลปะการฟ้อนรำของชาวไทใหญ่ จ.แม่ฮ่องสอน ที่โตไปสถานที่ใดที่นั้นจะเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ พร้อมพูดกับเด็กๆที่ร่วมกิจกรรมว่าอยากให้ทำบุญตั้งแต่เด็กๆ ลด ละ เลิก อบายมุข และหันมาหยอกนักข่าวว่าตรงกันข้ามกับผู้ใหญ่ตรงหน้า ไม่ค่อยทำบุญ การทำบุญคือการทำให้สังคมสงบเรียบร้อย

เตือนคนไทยเสพข่าวอย่างมีสติ

ต่อมาเวลา 13.30 น. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวหลังการประชุม ครม.ว่า ช่วงนี้ที่มีการปล่อยข่าวเท็จและข่าวลือจำนวนมาก ขอทุกฝ่ายอย่าไปหลงเชื่อทันที คิดถึงความถูกต้องและประเทศชาติให้มากขึ้น มีสติรับรู้ข่าวสาร เพราะการบิดเบือนทำประเทศเสียหาย สื่อขอความกรุณาเผยแพร่ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ว่าวันนี้รัฐบาลได้แก้ปัญหาไปแล้วอย่างไร เพื่อให้ประชาชนเกิดหลักคิดที่ถูกต้อง มีเหตุผลในการเลือกตั้ง มากกว่าการเลือกตั้งแบบเดิมๆ จากความใกล้ชิดส่วนตัว มองประเด็นใหญ่ๆด้วย เมื่อได้ ส.ส.ได้รัฐบาลที่ดีมา มีธรรมาภิบาลจะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น นำปัญหาที่ทุกคนอยากให้แก้มาดำเนินการเป็นขั้นตอน ไม่ใช่ทำนี่มากเกินไป ทำนั่นน้อยเกินไป

คำท้าดีเบตขอดู ก.ม.รอบคอบก่อน

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า กรณีหลังพรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อเป็นนายกฯบัญชีพรรค ทำให้กลายเป็นตัวเต็งนายกฯคนต่อไป ไม่รู้สึกกดดันอะไร ทุกวันนี้ยังทำงานเต็มที่ฐานะนายกฯและหัวหน้าคสช.เรื่องการเมืองเป็นเรื่องของพรรคดำเนินการ นับจากนี้ต้องระมัดระวังการวางตัวให้มากที่สุด ปฏิบัติทุกอย่างตามกฎหมาย กกต.และกฎหมายอื่น กิจกรรมต่างๆของรัฐบาลดำเนินการต่อไป อย่านำไปเป็นประเด็นทางการเมืองคนละเรื่องกัน การเลือกตั้งเป็นเรื่องอนาคต ส่วนที่ประชาชนอยากเห็นตนร่วมหาเสียงนั้นพบตนได้ทุกช่องทางอยู่แล้ว ทำงานทุกวัน ส่วนเสียงเรียกร้องอยากเห็นตนร่วมดีเบตกับแคนดิเดตนายกฯพรรคอื่น การดีเบตเป็นเรื่องของพรรค การเมือง กฎหมายเขียนไว้ชัดเจนทำได้หรือไม่ ต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อน ขอฝากข้อคิดการดีเบตอย่าเชื่อหรือฟังคนที่พูดเก่งอย่างเดียวแต่ความจริงกลับปฏิบัติไม่ได้ พูดให้นั่นให้นี่ดูตัวเลขด้วย ทำได้หรือไม่ภาษีทั้งนั้น ตนไม่ได้เข้าข้างใคร

ฝาก ปชช.อะไรจบแล้วอย่าปลุกอีก

เมื่อถามว่า เหตุการณ์วันที่ 8 ก.พ. ควรมีผู้รับผิดชอบหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า ไม่มีความคิดเห็น เป็นเรื่องของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการ สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ คนไทยทุกคนต้องระลึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่าน ทรงให้แนวทางลงมายังรัฐบาล พระราชทานพระราโชบาย มาว่า รัฐบาลมีหน้าที่ทำให้ประชาชนมีความสุขมีทางออก มีทางเลือก ทำสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น การแก้ปัญหาสังคมต้องสร้างระเบียบวินัยคนในชาติ เคารพกฎหมาย คำนึงถึงชาติพันธุ์ ร่วมโครงการจิตอาสาทำความดีด้วยหัวใจ ตนมอบนโยบายให้นำโครงการนี้ไปขับเคลื่อนให้ได้มากที่สุด ฝากถึงประชาชนอะไรที่จบแล้ว ขอให้จบกันไป อย่าให้มีปัญหาต่อไปอีกเลย แต่วันนี้ยังมีคนโพสต์เรื่องต่างๆในโซเชียล เราต้องลดความขัดแย้งให้ได้มากที่สุด ฝากขอบคุณสื่อมวลชนทุกสำนักด้วย นักการเมือง พรรคการเมืองทุกพรรคต้องปรับตัว ตนไม่ได้บอกว่าใครทำดีทำเลว แต่ต้องปรับตัวเพื่อให้ประเทศเดินหน้า วันนี้ขอร้องคนทั้งประเทศแม้มีเลือกตั้ง แต่ประเทศชาติต้องปลอดภัย ประชาชนมีความสุข

ซัดไม่มีสาระ “เรืองไกร” ร้อง กกต.สอบ

พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงกรณีพรรคการเมืองเรียกร้องให้ยุติจัดรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ชั่วคราว เพื่อไม่เอาเปรียบทางการเมืองว่าเนื้อหารายการเกี่ยวกับการบริหารราชการ ไม่มีพูดถึงการเมือง หรือหาเสียงให้ใครเลย ขอให้เข้าใจตามนี้ด้วย จำเป็นต้องให้ประชาชนได้เรียนรู้ รับรู้ปัญหาต่างๆ รัฐบาลแก้ไขกันอย่างไร วิธีการที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร 4 ปีที่ผ่านมา บางเรื่องใช้เวลาถึง 4 ปีแก้ปัญหา ไม่ได้แก้ด้วยคำพูด เมื่อถามว่า นาย เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ ร้อง กกต.ให้ตรวจสอบคุณสมบัติในฐานะแคนดิเดตนายกฯพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประยุทธ์ตอบระหว่างเดินออกจากวงสัมภาษณ์ว่า “ไม่มีสาระ”

“บิ๊กป้อม” ส่ายหน้าข่าว รบ.แห่งชาติ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงการจัดทำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารกลางปีเดือน เม.ย.ว่า “ยังๆ ยังไม่เสร็จ ยังพอมีเวลา” เมื่อถามถึงกระแสข่าวการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ พล.อ.ประวิตรตอบเพียงว่า ไม่รู้ พร้อมส่ายหน้า และขึ้นรถออกจากทำเนียบรัฐบาลทันที

ตำรวจล่ามือปล่อยข่าวปลด ผบ.

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. กล่าวถึงการปลอมแปลงเอกสารสั่งย้าย ผบ.เหล่าทัพว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม สั่งการให้สืบสวนติดตามออกหมายจับภายใน 7 วัน ขณะนี้ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นฝีมือคนที่อยู่ในประเทศหรือต่างประเทศ แต่เชื่อเป็นการกระทำของผู้ไม่หวังดี ส่วนกระแสข่าวลือตำรวจสันติบาลควบคุมแกนนำคนสำคัญของพรรค ทษช. เรื่องนี้ได้รับรายงานจาก พล.ต.ท.สราวุฒิ การพาณิชย์ ผบช.ส. ว่า ไม่ได้มีคำสั่งควบคุมตัวแต่อย่างใด ส่วนการเข้าไปตรวจสอบที่ทำการพรรค ทษช. สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้ ออกคำสั่ง น่าเป็นเรื่องของตำรวจในพื้นที่หรือเป็น เรื่องเฉพาะหน้า

ย้ำมือโพสต์แชร์มั่วเจอคุก

พ.ต.ท.เนติ วงศ์กุหลาบ รอง ผกก.4 บก.ป.ช่วยราชการ กก.สนับสนุน บก.ป. โพสต์ข้อความในเพจกองปราบปรามเตือนนักโพสต์และแชร์ตามกระแสการเมืองในโลกโซเชียลระบุว่า การเลือกตั้งขยับเข้าใกล้มาทุกขณะ ทำให้มีกลุ่มผู้ไม่หวังดีบางกลุ่มพยายามสร้างความปั่นป่วนให้สังคม เพื่อผลประโยชน์ของบางกลุ่ม นำข้อมูลบิดเบือนมาเผยแพร่จนประชาชนสับสนหรือเข้าใจผิด มีการแชร์ข้อมูลผิดๆออกสู่สังคมวงกว้าง การนำข้อมูลปลอมข่าวปลอม ไม่ว่าปลอมทั้งหมดหรือแค่บางส่วน หรือข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์หรือแม้แต่การแชร์หรือส่งต่อข้อมูลอันเป็นเท็จ ล้วนมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ไม่สามารถยอมความได้ หากส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วไปมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่หากส่งผลต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการหมิ่น ประมาท หรือหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

กสทช.สั่งวอยซ์ทีวีจอดำ 15 วัน

วันเดียวกัน พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ด กสทช.มีมติพักใช้ใบอนุญาตประกอบกิจการทีวีดิจิทัลช่อง 21 บริษัท วอยซ์ทีวี จำกัด 15 วัน มีผลตั้งแต่วันที่ 13 -27 ก.พ. เนื่องจากนำเสนอรายการข่าวหลายรายการส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างความแตกแยก จึงห้ามมิให้ออกอากาศตามประกาศ คสช.ฉบับที่ 97/2557 เรื่องการให้ความร่วมมือต่อการปฏิบัติงานของ คสช.และการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ ทั้งยังขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 มาตรา 37 ห้ามมิให้ออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาสาระก่อให้เกิดการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือกระทำลักษณะลามกอนาจาร หรือมีผลกระทบต่อการให้เกิดความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง

ผิดซ้ำซากเตือนแล้วไม่ปรับปรุง

พล.ท.พีระพงษ์กล่าวว่า วอยซ์ทีวีไม่ได้ทำผิดครั้งแรก กสทช.เรียกมาตักเตือนหลายครั้ง และเคยถูกพักใช้ใบอนุญาตมาแล้ว 1 ครั้ง เมื่อปี 2560 ยังกระทำผิดอีกหลายครั้ง ครั้งนี้จำเป็นต้องสั่งพักใบอนุญาต กสทช.พิจารณาด้วยความเป็นกลางตามกฎหมายทุกประกาศ ไม่มีใครสั่งไม่มีใครมีอิทธิพลต่อการตัดสินของ กสทช. เพราะพิจารณาผ่านคณะอนุกรรมการถึง 2 ชุด นำเสนอบอร์ด กสทช.ตัดสิน หลายช่องถูกตักเตือนได้ปรับปรุงรายการให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่วอยซ์ทีวีมีความผิดสะสม ไม่ปรับปรุงทำให้ต้องมีมติให้จอดำ 15 วัน

พท.อัดผู้มีอำนาจกดทับสื่อ

นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณี กสทช.สั่งระงับวอยซ์ทีวีออกอากาศ 15 วันว่า หน้าที่สื่อคือการนำเสนอความจริงทุกบริบทของสังคม ยิ่งใกล้เลือกตั้งมากเท่าไหร่ สื่อยิ่งต้องมีเสรีภาพ ผู้มีอำนาจพึงตระหนักถึงข้อเท็จจริงเรื่องนี้ การพยายามปิดบังข้อเท็จจริงเอาอำนาจมากดทับยิ่งสร้างปัญหา นอกจากจะไม่ได้รับการยอมรับจากผู้คนในสังคมแล้ว ยังไม่ได้รับความน่าเชื่อถือในสายตาสังคมโลก ขอเป็นกำลังใจให้วอยซ์ทีวีและสื่อแขนงอื่นๆ ทำหน้าที่สะท้อนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงใกล้เลือกตั้ง จำเป็นอย่างยิ่งที่คนไทยจะต้องได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องในทุกด้าน เพื่อประกอบก่อนตัดสินใจเลือกตั้ง

“เมฆินทร์” สู้ยื่นฟ้องศาล ปค.

ต่อมานายเมฆินทร์ เพชรพลาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วอยซ์ทีวี จำกัด แถลงกรณีถูก กสทช.สั่งพักออกอากาศ 15 วันว่า เราทำหน้าที่สื่อมวลชนตามหลักวิชาชีพ มุ่งนำเสนอข้อมูลรอบด้านเป็นธรรมกับทุกฝ่ายเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสาธารณะ แต่ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมจาก กสทช.จะเห็นได้จากถูกเรียกชี้แจงและแทรกแซงการทำงานในฐานะสื่อมวลชนมาตลอดตั้งแต่มีการยึดอำนาจปี 57 ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใช้อำนาจกำกับวอยซ์ทีวีเป็นพิเศษ อาจตีความและบังคับใช้กฎหมายไม่เสมอภาคภายใต้กฎหมายเดียวกัน การออกคำสั่งระงับการออกอากาศเข้าข่ายลุแก่อำนาจแทรกแซงการเสรีภาพของสื่อมวลชน ถึงเวลาที่ต้องปกป้องเสรีภาพและสร้างมาตรฐานการใช้อำนาจของ กสทช.ให้เป็นไปตามหลักนิติรัฐนิติธรรม ดังนั้นเราจะยื่นฟ้องต่อศาลปกครองโดยทันที