PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2561

อย่าเกลียด

"อย่าเกลียดผม เลย" ..บิ๊กตู่ สวมบทนักการเมือง ขอกันตรงๆ....

ยัน ไม่ได้มาหาเสียง แต่มาเยี่ยมเยียนในฐานะพี่น้อง ไม่ได้มาเพื่อการเมือง แต่มาพบกับ"ครอบครัวของผม" ยัน ไม่ใช่ประชานิยม เผยขอบคุณที่ยังมีคนรักอยู่บ้าง อ้อนชงถาม เลือกตั้ง จะเลือกใคร ชาวบ้านบอกเลือก"นายกฯนั่นแหละ " หยอด "ค่อยว่ากัน"

พลเอกประยุทธ์ กล่าวกับชาวแม่ฮ่องสอน ตอนหนึ่งว่า   ทุกคนเป็นคนเลือกรัฐบาล ขอให้เลือกให้ถูก อย่าให้เขาพูดว่า อันนี้มาก็ได้ พออีกพวกมาไม่ได้ รัฐบาลทำอย่างนั้นไม่ได้ ต้องทำให้ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะของใคร พรรคใคร ต้องทำต่อ นี่คือยุทธศาสตร์ชาติ 

ถ้าพรรคจะทำอะไรพิเศษขึ้นมาก็เรื่องของพรรค จึงต้องดูนโยบายหาเสียงด้วย 

ผมไม่ได้ว่าใคร เดี๋ยวหาว่ายุ่งกับนักการเมืองอีก และยืนยันว่า ที่มาทำให้นี้. ไม่ใช่ประชานิยม

"ขอร้องว่าอย่าเกลียดผมเลย และขอบคุณที่ยังมีคนรักอยู่บ้าง รักผม ก็ขอบคุณ " นายกฯ กล่าว

ก่อนถามชาวบ้านว่า "แล้วจะเลือกใครในวันที่มีการเลือกตั้ง” 

เมื่อชาวบ้านบอกว่า จะเลือกนายกฯนั่นแหละ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบทันทีว่า “อันนั้นค่อยว่ากันอีกรอบ เดี๋ยวจะหาว่าผมมาหาเสียง 

"ยืนยันไม่ได้มาหาเสียง มาเยี่ยมเยียนในฐานะพี่น้อง วันนี้ผมไม่ได้มาเพื่อการเมือง ถือว่าเป็นการมาพบกับ"ครอบครัวของผม " รวมถึงรองนายกฯและรัฐมนตรีทุกคน ขอให้ชาวบ้านยิ้มหวานๆ มีความสุขแล้ว”

สีสัน การเมือง หลัง เป็น นักการเมือง สีสัน จาก คสช.

สีสัน การเมือง หลัง เป็น นักการเมือง สีสัน จาก คสช.


ถามว่า คำเตือนจาก คสช.ในเรื่องให้ระมัดระวังในการเคลื่อนไหวอันอาจจะทำลายบรรยากาศการขับเคลื่อนโรดแมปที่กำลังก้าวไปสู่ “การเลือกตั้ง”
ก่อให้เกิดอาการงันชะงักทางการเมืองหรือไม่
หากดูจากการอภิปรายของ นายวีระ สมความคิด และ นายศรีสุวรรณ จรรยา ตลอดจนการเดินแจกปฏิทินในงานวันเด็กของ นายเอกชัย หงส์กังวาน
ตอบได้เลยว่า ไม่ระคายผิว
ยิ่งหากติดตามน้ำเสียงจากการตอบโต้อย่างฉับพลันทันใดจาก นายสาธิต ปิตุเตชะ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ และ นายสามารถ แก้วมีชัย จากพรรคเพื่อไทย
ยิ่งตอบได้เลยว่า “นักการเมือง” ไม่หวั่นไหว
ความพยายามที่จะงัดเอา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาเพื่อหยุดยั้งการขุดคุ้ยในเรื่องนาฬิกา ความพยายามที่จะปิดปากนักการเมืองในเรื่อง “ประชาธิปไตยไทยนิยม” ไม่ WORK
ดูเหมือนจะไม่มีใครกลัวใคร
ต้องยอมรับว่า สังคมได้ผ่านเดือนพฤษภาคม 2557 มาแล้ว 3 ปี และเดือนพฤษภาคม 2561 ก็กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
บรรยากาศในแบบ “ขอนแก่นโมเดล” ไม่น่าจะมีขึ้นอีก
บรรยากาศการส่งรถฮัมวีไปอยู่หน้าบ้าน นายวัฒนา เมืองสุข ไปเฝ้าบ้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อาจจะแลดูไม่งดงามเท่าใดนัก
โดยเฉพาะในวันที่ “สิทธิมนุษยชน” เป็น “วาระแห่งชาติ”
ยิ่งเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศตนเป็น “นักการเมือง” และพร้อมที่จะเข้าดำรงตำแหน่งเป็น “นายกรัฐมนตรี” ภายหลังการเลือกตั้ง
ยิ่งทำให้บนท้องนภา “การเมือง” มากด้วยสีรุ้ง

การดำรงอยู่ของคำสั่งหัวหน้า คสช. ไม่ว่าจะเป็นฉบับที่ 57/2557 ไม่ว่าจะเป็นฉบับที่ 53/2560 เริ่มมีลักษณะ “แปลกแยก แตกสภาวะ” อย่างเด่นชัด
แทบไม่ต้องถามถึงเรื่อง “ปรับทัศนคติ”
แม้รูปแบบและโครงสร้าง “ประชาธิปไตยไทยนิยม” จะให้ภาพของการเมืองภายใต้โครงครอบแห่งมาตรา 44 ภายใต้การใช้กองทัพเป็นเครื่องมืออย่างแข็งขัน
แต่ก็มิได้หมายความว่าจะดำเนินไปอย่าง “ผูกขาด”
ในเมื่อแม้กระทั่งนักการเมืองอย่างคนในตระกูลบางตระกูลซึ่งเป็นเจ้าของสนามกอล์ฟยังได้รับการเยี่ยมเยือนอย่างสันถวมิตรสนิทสนม
ในเมื่องบประมาณไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านยังเทลงไปในบางจังหวัด
ในเมื่อการเดินสายพบนักการเมืองตั้งแต่จังหวัดสุพรรณบุรี ยันจังหวัดนครราชสีมา ยันจังหวัดสุโขทัย กลายเป็นเรื่องธรรมดาอย่างปกติ
แล้วทำไมต้องห้ามพรรคการเมืองเคลื่อนไหวด้วยเล่า
ความหวังที่จะอาศัยบรรยากาศส่งกองกำลังเข้าประชิดตัวแบบในห้วง “ประชามติ” อาจไม่ราบรื่นเท่าใดนักเมื่อถึง “การเลือกตั้ง” เพราะนักการเมืองและพรรคการเมืองคงไม่ยอมเป็น “เป้านิ่ง”
ขณะที่หากจะหวนกลับไปใช้อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเหมือนกับในห้วงหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ก็ไม่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
เวลา 3 ปีที่ผ่านมาจึงไม่เพียงแต่ทำให้พรรคการเมืองได้บทเรียนอย่างมหาศาล หากแต่ภาพของ คสช.ก็โดดเด่นท่ามกลางแสงแห่งสปอตไลต์เหมือนกัน
คำด่า “นักการเมือง” อาจเบาลงไป
จะหนักได้อย่างไรเพราะเพิ่งเดินสายไปร่วมสังสรรค์ ไม่ว่าที่สุโขทัย ไม่ว่าที่นครราชสีมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สนามกอล์ฟนครปฐม
ทุกคนก็ล้วนเป็น “นักการเมือง” เหมือนกัน มิใช่หรือ

ลีลานายกฯปล่อยมุกคุยกับแกะถามเหนื่อยไหม-แซวไก่แจ้หน้าจ๋อยสงสัยกลัวเป็นไก่ย่าง

ลีลานายกฯปล่อยมุกคุยกับแกะถามเหนื่อยไหม-แซวไก่แจ้หน้าจ๋อยสงสัยกลัวเป็นไก่ย่าง


นายกฯ ปล่อยมุกคุยกับแกะถามเหนื่อยไหม-แซวไก่แจ้หน้าจ๋อยๆสงสัยกลัวเป็นไก่ย่าง พร้อมควักเงินส่วนตัวให้ชาวบ้านที่ให้ของ บอกไม่ใช่เงินหลวง
เวลา 12.00 น. วันที่ 17 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงท้ายในการกล่าวกับประชาชนที่มาต้อนรับนายกฯและคณะที่โรงเรียนห้องสอนศึกษาในพระอุปถัมภ์ฯต.จองคำ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน โดยที่มีกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองจ.แม่ฮ่องสอน ที่สวมชุดประจำชนเผ่าต่างๆมาต้อนรับว่า ชนเผาต่างๆแต่งตัวสวยทุกคน แต่งทุกวันหรือเปล่า ถามไปอย่างนั้นแหละ พอกลับไปก็เปลี่ยนเป็นกางเกงยีนส์ ซึ่งไม่เป็นไร มันถูกไถได้ไม่ต้องซัก เดี๋ยวนี้กางเกงยีสน์ไม่ต้องซัก แต่ระหว่างอย่าใส่กางเกงยีนส์คับเกินไประหว่างนั้นลูกหลานจะมีปัญหาหลายอย่าง ทั้งผู้ชาย ผู้หญิงก็มี คือการเกงยีนส์ที่ใส่บนที่นอน ยืนใส่ไม่ได้ ต้องนอนดิ้นกระเดือกๆอยู่บนเตียง อันตรายต่อสุขภาพนะ

นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ระหว่างนายกฯเยี่ยมชมผลิตผลจากและผลิตภัณฑ์ต่างๆจากนวเกษตรของชาวจ.แม่ฮ่องสอน นายกฯได้ป้อนนมให้แกะกินและคุยกับแกะว่า “นี้มันหิวนะ ชุดนี้ต้องไปโชว์ทุกที่ไหม แล้วมันไม่เมารถเหรอ มีหน้าที่โชว์ตัวนะลูกนะ เหนื่อยไหม ทนหน่อยนะ”จากนั้นยังได้ลองชิมชากุหลาบ กินไก่ย่าง ไก่ทอด ที่ทำจากไก่พันธุ์พื้นเมืองแม่ฮ่องสอน โดยระหว่างนั้นได้หันไปเจอไก่แจ้ป่าที่นำมาโชว์พร้อมกล่าวว่า “ไม่น่ากินไก่ตรงนี้เลย ไก่ที่ยืนตรงหน้าทำหน้าจ๋อยๆ สงสัยกลัวจะเป็นไก่ย่าง”นอกจากนี้ ส่วนของชาวบ้านที่นำส่ิงของมามอบให้ นายกฯได้ให้คนติดตามนำซองเงินมอบให้ พร้อมพูดว่า “ไม่ใช่เงินหลวง เป็นเงินส่วนตัวเพิ่งเบิกมาจากธนาคาร”

“บิ๊กตู่” ขอบคุณข้าราชการ 3ปีที่ผ่านมา ‘เหนื่อย’ ขออดทนเพื่อประเทศในอนาคต

“บิ๊กตู่” ขอบคุณข้าราชการ 3ปีที่ผ่านมา ‘เหนื่อย’ ขออดทนเพื่อประเทศในอนาคต


“บิ๊กตู่”ระบุ ลงพื้นที่จ.แม่ฮ่องสอน แก้ปัญหาความเดือดร้อน รู้สึกเฉยๆเสียงเชียร์สนับสนุนนั่งนายกต่อ บอกทำหน้าที่ปัจจุบันยังไม่เสร็จอย่าพูดถึงอนาคต แจงปชต.ไทยนิยมคือให้ปชช.ร่วมมือกันทำ

เมื่อวันที่ 17 มกราคม ที่ศาลากลางจังหวัดแม่ฮ่องสอน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวว่า การลงพื้นที่จ.แม่ฮ่องสอน ในวันนี้ ได้เห็นปัญหาต่างๆที่เดือดร้อนของคนในจ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งได้รับทราบปัญหา การท่องเที่ยว สาธารณูปโภคพื้นฐาน สาธารณสุข การศึกษา ที่มีการนำเสนอโดยประธานหอการค้า ในภาพรวม หลายอย่างได้อนุมัติ ในภาพรวมจะสรุปทุกอย่างให้ได้ภายใน 1 เดือน เพื่อให้รับทราบว่าอะไรที่จะทำให้ได้โดยทันที

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในเรื่องการศึกษาและระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน หรือระบบขนส่งทางราง จะต้องทำให้มีศักยภาพมากขึ้น ส่วนปัญหาที่ดินทำกินให้ใช้โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน(ทคช.)ปลดล็อคกับปัญหาที่มี แต่การพัฒนาต่างๆต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย เป็นไปตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงห่วงใย และได้กำกับดูแลให้รัฐบาลทำอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การลงพื้นที่แม้จะมีการสนับสนุนให้ตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ สำหรับตนรู้สึกเฉยๆ ซึ่งยังทำหน้าที่ในปัจจุบันยังไม่เสร็จสิ้น ฉะนั้นขออย่าพูดถึงอนาคต เพราะถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่าเอาอนาคตกับปัจจุบันมาปนกัน หรือเอาปัจจุบันไปปนกับอดีต จะไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้สักอย่าง วันนี้ตนกำลังทำปัจจุบันและวางอนาคตไปข้างหน้า ไม่ว่าใครก็ตามต้องทำวิธีตามนี้ ทำให้เป็นธรรม เท่าเทียม และทั่วถึง


ส่วนเรื่องประชาธิปไตยไทยนิยมที่มีการพูดถึงกันนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนได้อธิบายแล้วว่าเป็นการขับเคลื่อนจากบนลงสู่ล่าง โดยให้ประชาชนร่วมมือทำในสิ่งที่ต้องการของประชาชนเอง หากทำอะไรที่ไม่ตรงตามต้องการก็จะไม่สำเร็จ และกลไกสำคัญคือประชารัฐที่ต้องสอดคล้องกับการปรองดองที่ต้องขับเคลื่อนไปพร้อมกัน ทั้ง สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม เพื่อยกรายได้ของประชาชน พร้อมกันนี้ได้ขอบคุณข้าราชการที่ได้ทำงานด้วยกันมาด้วย

“บิ๊กตู่” ขอบคุณขรก.3ปีที่ผ่านมา เหนื่อย รบ.ปรับแก้หลายอย่าง ขออดทนเพื่อปท.ในอนาคต
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า วันนี้เรามานั่งไล่ดูตามสถิติหรือตามมาตรฐานที่กำหนดโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรื่องกำหนดเส้นมาตรฐานความยากจนต่ำกว่า 30,000 บาท หรือต่ำกว่า 100,000 บาท เราต้องตั้งเป้าหมายอย่างท้าทาย ว่าทำอย่างไรจาก 30,000บาท เป็น 50,000 บาทและเพิ่มขึ้น ต้องตั้งเป้าหมายตามห้วงระยะเวลาและเดินหน้า อะไรที่ทำได้เราก็ทำต่อ อะไรที่ไม่ได้ผลเราก็หยุด เพื่อการใช้จ่ายงบประมาณที่คุ้มค่า วันนี้คงตอบคำถามคำว่าไทยนิยม ตอบคำถามคำว่าประมาณการค่าใช้จ่ายงบเพิ่มกลางปี เราเอาทั้งงบปกติ งบกลุ่มจังหวัด งบจังหวัด งบภาคที่มีอยู่แล้วเดิมกับของหน่วยงาน มาขับเคลื่อนให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ความต้องการของประชาชน ส่วนงบที่เพิ่มเติมรายจ่ายกลางปี ต้องมาสมทบเข้าไปอีก แล้วเราจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือน ก.พ.เป็นต้นไป ใช้เวลากำหนดโรดแมปในการทำความเข้าใจ ในการขับเคลื่อน ในการจัดตั้งคณะทำงาน 8,000 กว่าคณะที่จะลงพื้นที่ทั่วประเทศ

นายกฯ กล่าวว่า ขอความร่วมมือเท่านั้น ถ้าทุกคนเรียกร้องเป็นรายย่อยมากๆก็แก้ปัญหาไม่ได้ทั้งหมด มันต้องแก้ทั้งในส่วนของการบริหาร และฝากข้าราชการทุกคน เราต้องทำงานให้เต็มกำลัง และต้องขอบคุณข้าราชการ ตนรู้ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา 3 ปี มีการปรับแก้หลายอย่าง ท่านมีโอกาสทำงานที่ท่านรับผิดชอบเต็มสติ กำลัง เพราะรัฐบาลจะกำหนดนโยบายมาแล้วท่านเป็นผู้คิด ผู้ทำ จะเหนื่อยมากกว่าเดิมก็ขอให้อดทนเพื่อประเทศชาติของเราในอนาคต

ตัดไฟต้นลม

ตัดไฟต้นลม


รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ

เป็นมารดาของกฎหมายทุกฉบับที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน

ในเมื่อรัฐธรรมนูญใหญ่ที่สุด ก.ม.ลูกรัฐธรรมนูญจะใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายแม่ไม่ได้ทุกกรณี!!

หรือจะเขียนกฎหมายลูกให้ขัดหรือแย้งกับกฎหมายแม่ก็ไม่ได้เช่นกัน

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าปัญหาเกิดขึ้นจาก “ร่าง พ.ร.บ.ป.ป.ช.ฉบับใหม่” ซึ่งมีสถานะเป็น “ก.ม.ลูกรัฐธรรมนูญ” ซึ่งเพิ่งผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม สนช.ลากตั้งไปแหม่บๆ ก่อนปีใหม่ไม่กี่วัน

ปรากฏว่า ก.ม.ลูกฉบับนี้ มีเนื้อหาขัดแย้งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งเป็นกฎหมายแม่อย่างเต็มเปา!!

หากปล่อยให้ร่าง พ.ร.บ.ป.ป.ช.ฉบับนี้ประกาศใช้จะเกิดปัญหาวุ่นวายขายปลาช่อนตามมา

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าความจริงตัวร่าง พ.ร.บ.ป.ป.ช. ที่ กรธ.ของ อจ.มีชัย ฤชุพันธุ์ ยกร่าง ไม่มีข้อความส่วนใดที่ขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญ

แต่เกิดจาก สนช.ลากตั้งไปกระเด้งรับใบสั่งให้แก้ไขเพิ่มเติมบทเฉพาะกาล เพื่อให้ประธาน ป.ป.ช.และกรรมการ ป.ป.ช.ที่ขาดคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ (รวมทั้งสิ้น 7 คน จาก 9 คน)

ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ ป.ป.ช.ต่อไปอีก 9 ปี

แถมยังเลยเถิดไป “ยกเว้นลักษณะ ต้องห้าม” สำหรับผู้เป็นกรรมการ ป.ป.ช.ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

เรียกว่ายกเว้นทั้งคุณสมบัติและยกเว้นลักษณะต้องห้าม เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ประธาน ป.ป.ช.และกรรมการ ป.ป.ช.ชุดเดิมให้ดำรงตำแหน่งต่อไปได้อย่างสบายแฮ

“แม่ลูกจันทร์” ขออนุญาตยกตัวอย่าง “พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ” ประธาน ป.ป.ช.คนปัจจุบัน ท่านผู้นี้นอกจากเข้าข่าย “ขาดคุณสมบัติ” เนื่องจากไม่เคยเป็นอธิบดี หรือเทียบเท่าไม่น้อยกว่า 5 ปี ยังเข้าข่าย “มีลักษณะต้องห้าม” เนื่องจากพ้นตำแหน่งการเมือง (เลขาฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ไม่เกิน 10 ปี

ดังนั้น การที่ สนช.ลากตั้งเสียงข้างมากลงมติให้เพิ่มบทเฉพาะกาล พ.ร.บ.ป.ป.ช. เพื่อให้ผู้ที่ขาด
คุณสมบัติ และมีลักษณะต้องห้าม ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช.ต่อไปอีก 9 ปี

จึงขัดแย้งหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็น ก.ม.แม่อย่างจั๋งหนับบุเรงนอง

ทำให้ อจ.มีชัย ในฐานะประธาน กรธ. ต้องส่งหนังสือด่วนถึง นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ส่งเรื่องนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ได้ข้อยุติ

ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯประกาศใช้อย่างเป็นทางการ

ล่าสุด พล.ต.อ.วัชรพล ประธาน ป.ป.ช. ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญก็ออกมาประกาศสนับสนุนให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินชี้ขาดให้แจ่มแจ้งชัดเจน

เพราะหากปล่อยให้ปัญหาคาราคาซังจะเกิดวิกฤติศรัทธาต่อ ป.ป.ช.ในภาพรวม

“แม่ลูกจันทร์” กระชุ่น นายพรเพชร ประธาน สนช. เร่งส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยไม่ชักช้าร่ำไร

รีบเซฟตี้คัต ตัดไฟแต่ต้นลม เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาบานปลาย

โดยเฉพาะ สนช.ลากตั้งทุกคน ที่โหวตเห็นชอบให้เพิ่มบทเฉพาะกาลร่าง พ.ร.บ.ป.ป.ช. เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ผู้ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เป็นประธาน ป.ป.ช. และกรรมการ ป.ป.ช. ลากยาวต่อไปอีก 9 ปี

ท่านจะโหวตตามใบสั่งใครหรือไม่...ไม่สำคัญ

แต่ในอนาคตข้างหน้า ท่านอาจโดนเช็กบิลข้อหาใช้อำนาจโดยมิชอบร่วมกันแก้ไขเพิ่มเติมร่าง พ.ร.บ.ป.ป.ช. ซึ่งขัดแย้งบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ??

ข้อหาเจตนาขัดรัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องสนุกแน่นอน

ขอกระซิบเตือนไว้ด้วยความ ปรารถนาดี ด้วยประการฉะนี้แลเฮย.

"แม่ลูกจันทร์"

เสริมขาค้ำยันไว้ก่อน

เสริมขาค้ำยันไว้ก่อน


เสมือนหนึ่งว่า “นาฬิกาหรู” เริ่มนับเวลาถอยหลัง

ตามรูปเกมที่ขบวนการไล่บี้ไล่ต้อน “เซตฉาก” มาถึงโรเล็กซ์เรือนที่ 24

สถานการณ์มาถึงจุดที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ต้องชิ่งตอบคำถามนักข่าว กรณีกระแสกดดันให้พักงาน “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม หลังโดนโจมตีปมนาฬิกาหรูอย่างหนัก

และถึงจังหวะที่ “มวยรุ่นใหญ่” นักการเมืองอาชีพกระโดดร่วมวงสกรัม

กับอาการ “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาพูดถึงปมนาฬิกาของ “บิ๊กป้อม” เป็นเชิงยุให้ผู้นำรัฐบาลรีบจัดการเคลียร์กระแสสังคม

ขู่เรื่องยืดเยื้อ ประชาชนไม่พอใจอาจลามถึง “นายกฯลุงตู่” ด้วย

อารมณ์เดียวกับ “เดอะอ๋อย” นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่ขู่เป็นเชิงกดดัน ผูกสถานการณ์เชื่อมโยงของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่นัวเนียกับปมนาฬิกาหรูของ “บิ๊กป้อม” ฟันธงแบบไม่กลัวหน้าแตก

ถ้า ป.ป.ช.ชุดนี้ยังอยู่ได้ คสช.ก็พังแน่

ต่างฝ่ายต่างทิ้งไพ่ตาย เพราะมั่นใจกระแสมาถึงจุด “สุกงอม” เต็มที

และโดยเงื่อนไขสถานการณ์ที่ผูกโยงเป็นปมล็อก ระหว่างนาฬิกาหรูของ “บิ๊กป้อม” กับสถานะของ ป.ป.ช.ที่มี “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ สายตรง “วงษ์สุวรรณ” นั่งแท่นเป็นประธาน

งานนี้ถูกเหมาเข่ง ตั้งธงให้โดนล้างกระดานพร้อมกัน

เรื่องของเรื่องในแง่กฎหมายกับกระแสต้องแยกกัน แต่จุดสำคัญจริงๆมันอยู่ที่เดิมพันเกมอำนาจ

เพราะนี่คือโอกาสที่ดีที่สุดและอาจเป็นโอกาสเดียวที่ขบวนการจ้องโค่น “พี่ใหญ่” จะหักเหลี่ยมขุมอำนาจบูรพาพยัคฆ์ โค่นทีม 3 พี่น้องลงได้

ตามเงื่อนไขที่ฝังลึกอยู่ พรรคเพื่อไทยจ้องพลิกขั้วกลับมาคุมอำนาจ เหลี่ยมแฝงในพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องการเขย่าให้เกลี่ยผลประโยชน์กันใหม่ในหมู่ขบวนการโค่น “ทักษิณ” อารมณ์แค้นของกลุ่มพันธมิตรฯที่ฝังใจการลอบสังหาร “สนธิ ลิ้มทองกุล” และขุมข่ายสายบ้านสี่เสาฯที่หมั่นไส้การวัดรอยเท้า “ป๋า”

เจ้าภาพจองกฐินสามัคคีเพียบ “บิ๊กป้อม” โดนล้อมกรอบสหบาทา

และตามเหลี่ยมการเมือง สถานการณ์เกมอำนาจ ถ้าโค่น “บิ๊กป้อม” สำเร็จ เปิดแผล “ผ่าตัด” รัฐบาล คสช.ได้ โดยสภาวะสุขภาพอ่อนแอ โอกาสโรคแทรกลุกลามไว

เป้าต่อไปก็หนีไม่พ้น “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจรัฐบาล
ตามสูตรทำลาย “ขาค้ำยัน” ล้มกระดาน “ลุงตู่”

เจาะยาง สกัดเส้นทางนายกฯคนนอก ตามวิถีประชาธิปไตยไทยนิยม

แต่อย่างไรก็ตาม เหมือนจะรู้เกมรู้ทางดี นาทีนี้ผู้นำ คสช. ต้องเสริมขาให้แข็งแรงไว้ก่อน

ตามโปรแกรมล่าสุดที่ “นายกฯลุงตู่” บินตรวจราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน มุ่งหน้าพื้นที่ไกลปืนเที่ยง
จังหวัดที่มีปัญหาคนจนอันดับต้นๆของประเทศไทย เดินหน้ายุทธศาสตร์ที่ประกาศไว้ จะทำให้ประเทศไทยพ้นขีดเส้นความยากจนให้ได้มากที่สุดภายในปี 2561

เริ่มนับหนึ่ง “คณะกรรมการแก้จน” ออกสตาร์ตงานตามยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (คนส.) โดยการแจกที่ดินทำกินให้ชาวบ้าน อัดฉีดงบประมาณช่วยเหลือ พร้อมมาตรการส่งเสริมการสร้างงานสร้างรายได้ให้คนในพื้นที่ในระยะยาว

ไล่เก็บแต้มชาวป่าชาวเขาห่างไกล ซื้อใจคนยากคนจนในเมือง

รัฐบาลเร่งเครื่องกู้ปัญหาปากท้องฐานราก หลังจากอัดฉีดมาตรการบัตรคนจนเฟส 2 เพิ่มวงเงินช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็น 300–500 บาท

ขณะที่เศรษฐกิจภาพรวมก็ติดลมบนต่อเนื่อง ตามจังหวะที่ “จอมยุทธ์กวง” สั่งใส่เกียร์ห้าเร่งเครื่องเต็มสูบ เตรียมชง “นายกฯ

ลุงตู่” ปรับเป้าหมายการลงทุนในเมกะโปรเจกต์ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) จาก 5 ปี 5 แสนล้าน เพิ่มเป็น 6 แสนล้านบาท

ตามแนวโน้มสดใส นักลงทุนทั้งนอกและในประเทศแห่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนทะลุเป้า ภายหลังโครงสร้างพื้นฐานและการออก พ.ร.บ.อีอีซี เป็นไปตามที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้

เศรษฐกิจกำลังไหลลื่น ขาค้ำยันด้าน “สมคิด” แข็งขึ้นตามลำดับ

“ลุงตู่” ยังประคองตัวบนวิถี “การเมืองไทยนิยม” ไปได้เรื่อยๆ.

ทีมข่าวการเมือง

ต้องให้ศาลคอร์รัปชันตัดสิน

ต้องให้ศาลคอร์รัปชันตัดสิน
.
ตำรวจมักกล่าวว่า จำเลยหรือผู้ถูกกล่าวหา จะพูดอ้างอะไรก็ได้เพื่อให้พ้นผิด แต่ตำรวจจะเชื่อหรือไม่เป็นเรื่องของข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน
.
กรณีแหวนเพ็ชรและนาฬิกาหรู ได้มีผู้ร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. โดยอาศัยภาพถ่ายที่ปรากฏต่อสาธารณชนจำนวนมากเป็นหลักฐานให้ตรวจสอบว่ามีการทำผิดหรือไม่ เช่น จงใจปกปิดหรือไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินหรือยื่นเท็จ ร่ำรวยผิดปรกติ รวมถึงเรื่องการเสียภาษีรายได้และการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศโดยไม่เสียภาษี 
.
สิ่งที่คาดหวังจาก ป.ป.ช. ต่อกรณีนี้
.
1. สำนักตรวจสอบฯ ที่มีคุณสุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้กำกับดูแล ต้องเร่งตรวจสอบเชิงลึกหาความจริงให้กระจ่างและเปิดเผยความคืบหน้าต่อสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง
2. ให้เชิญตัวผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจง พร้อมกับบุคคล/นิติบุคคลและเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะนาฬิกาที่เป็นข่าว เพื่อสืบสาวถึงต้นตอการซื้อขาย ที่มาของเงินและการเสียภาษี
3. ในการชี้มูลความผิด ขอให้กรรมการ ป.ป.ช. แต่ละท่านทำบันทึกเหตุผลการตัดสินใจแล้วนำมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชน
4. หากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลว่า “ผิด” แล้วส่งเรื่องให้อัยการสั่งฟ้องต่อศาลคอร์รัปชัน เชื่อว่าศาลจะเรียกบุคคลที่ถูกกล่าวอ้างพร้อมหลักฐานมาไต่สวนพิสูจน์ ว่าข้อมูลหลักฐานเหล่านั้นเชื่อถือได้หรือไม่ ถึงเวลานั้นเชื่อว่าความจริงทุกอย่างจะปรากฎ ความโปร่งใส ความสง่างาม ก็จะเกิดขึ้นในสังคมไทย
5. ขอให้ประชาชนติดตามและสนับสนุนให้ข้าราชการประจำสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างอิสระ เป็นกลาง สมกับการเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และเป็นคนของแผ่นดิน
.
คณะกรรมการและข้าราชการของ ป.ป.ช. ต้องร่วมกันทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามอำนาจหน้าที่ เพื่อพิสูจน์ศักดิ์ศรีและป้องกันมิให้ตัวเองตกเป็นจำเลยสังคมหรือถูกฟ้องร้องดำเนินคดีเสียเอง
.
เหตุผลของท่านพลเอกประวิตรออกจะดูถูกดูแคลนสถานภาพของตัวเองมากเกินไป และไม่รู้ว่าพูดแล้ว “คนเชื่อกับคนชัง” อย่างไหนมากกว่ากัน แต่ดูเหมือนความรับผิดชอบและมโนสำนึกของรัฐบาลได้หมดสิ้นแล้วในสายตาประชาชน
.
ดร. มานะ นิมิตรมงคล
17/1/61

"บิ๊กตู่" เตรียมบิน อินเดีย25-26 มค.นี้ ถก Asean-India Summit และร่วมงานฉลองวันชาติอินเดีย

"บิ๊กตู่" เตรียมบิน อินเดีย25-26 มค.นี้ ถก Asean-India Summit และร่วมงานฉลองวันชาติอินเดีย/เตรียมลงนาม "ร่างปฏิญญาเดลี"
พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัตรผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ตอบรับเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ในโอกาสครบรอบ 25 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดีย ที่กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ระหว่างวันที่ 25-26 ม.ค.นี้

โดยนายกฯจะเข้าร่วมฉลองวันสถาปนาสาธารณรัฐอินเดียครั้งที่ 69 ด้วย

ขณะเดียวกันในการประชุมจะมีการเห็นชอบต่อ "ร่างปฏิญญาเดลี" ซึ่งแบ่งเป็นสาขาความร่วมมือต่างๆ เช่น ด้านการเมือง ความมั่นคง

ในเรื่องการยืนยันความสำคัญของการธำรงรักษาสันติภาพความปลอดภัยและความมั่นคงทางทะเล เสรีภาพในการเดินเรือและการบินผ่านภูมิภาค และการใช้ประโยชน์ในทะเลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ด้านเศรษฐกิจ

ในเรื่องการเสริมสร้างนโยบายด้านไอซีที การสร้างขีดความสามารถ ปรับปรุงความเชื่อมโยงทางดิจิทัลและการบริการ รวมถึงการสานต่อความร่วมมือเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน
ด้านสังคมและวัฒนธรรม ในเรื่องเสริมสร้างเชื่อมโยงอารยธรรมและประวัติศาสตร์ระหว่างกัน ด้วยการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชน
รวมถึงเสริมสร้างความเข้มแข็งในการจัดการภัยพิบัติและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
รวมถึงการสนับสนุนการทำงานของศูนย์ประสานงานอาเซียน เพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการจัดการภัยพิบัติ ส่วนด้านอื่นๆจะมีด้านความเชื่อมโยง การลดช่องว่างในการพัฒนา และการนำไปสู่การปฏิบัติใช้ประโยชน์จากกองทุนอาเซียน-อินเดีย กองทุนอาเซียน-อินเดียสีเขียว และกองทุนอาเซียน-อินเดียเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

เพื่อน "บิ๊กป้อม"...อาจารย์ "นายกฯ"

เพื่อน "บิ๊กป้อม"...อาจารย์ "นายกฯ"
(16/1/61)คือคำตอบ ทำไม บิ๊กสร้าง พลเอกบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ Westpointer อดีตผบ.ทหารสูงสุด ถึง ยังมีบทบาท ในยุค คสช..... ทั้ง ประธานคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ ทั้งที่ปรึกษา คณะกรรมการปฏิรูปฯ และเป็นประธานมูลนิธิคลังสมอง วปอ. เพื่อสังคม
พลเอกบุญสร้าง เป็นเพื่อนตท.6 ของ บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร เรียนเก่ง ได้ไปเรียน Westpoint สหรัฐอเมริกา .... ซี้ บิ๊กป้อม จน เคยจะผลักดันให้เป็น ผบ.ทบ. แต่เพราะจบ นอก เลย ได้เป็น ผบ.ทหารสูงสุด
วันนี้ กระทรวงศึกษา เชิญ อาจารย์ จปร. ของ นายกฯ ตอนเรียน จปร.23 มางานวันครู2 คนคือ พลโทสมพงษ์ ตุ้มสวัสดิ์ สอนวิศวกรรมไฟฟ้า และ พลเอกบุญสร้าง สอน วิศวกรรมเครื่องกล
"ท่านนายกฯ เรียนดี เรียนเก่ง ตั้งใจเรียน" พลเอกบุญสร้าง เปรย
โดย คุณครู ของ นายกฯ ทั้ง2 คน พูดคล้ายๆกันว่า บิ๊กตู่ สมัยเป็นนักเรียนนายร้อย เป็นเด็กดี มีระเบียบวินัยอย่างสูง มีความมุ่งมั่น เป็นคนกตัญญู
ชม ว่ามี จิตวิญญาณความเสียสละ ซื่อสัตย์สุจริต
และ ขอเป็นกำลังให้นายกฯอดทน ทำงานเพื่อประเทศชาติ สมกับที่ ครูโรงเรียนนายร้อยจปร.ได้พร่ำสอน มาว่า เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์

"คสช."ยัน ไม่มีแผน "อุ้ม" คนเคลื่อนไหว เข้าค่ายทหาร

"คสช."ยัน ไม่มีแผน "อุ้ม" คนเคลื่อนไหว เข้าค่ายทหาร ชี้ หากเชิญตัวใคร จะทำเปิดเผย แจ้งให้ทราบ / เผย ไม่เชิญตัว "ศรีสุวรรณ"เข้าพูดคุย เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด แค่ติดตามพอ/เกาะติด ความเคลื่อนไหว ใน" ธรรมศาสตร์" เคลื่อนไหวล่ารายชื่อ ยกเลิกคำสั่งคสช.35 ฉบับ ละเมิดสิทธิ์ ขัดปชต.
จากกรณีตัวแทนภาคประชาชนเปิดตัวโครงการเข้าชื่อผู้สิทธิเลือกตั้ง 10,000 คน เสนอร่างพระราชบัญญัติ "ยกเลิกประกาศและคำสั่งคสช. และคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ให้ยกเลิกรวม 35 ฉบับ เข้าข่ายละเมิดสิทธิ์ ขัดประชาธิปไตย ที่ ธรรมศาสตร์ นั้น
พลตรี ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ผบ.มทบ.11และ ทีมโฆษก คสช. กล่าวว่า คสช.ติดตามสถานการณ์อยู่ แต่ไม่ได้ห้าม เพราะจัดในสถานศึกษา โดยในงานมีนักวิชาการต่างๆมาให้ความรู้ด้วย แต่คสช.แค่ติดตาม ไม่ให้ ทำนอกกรอบเท่านั้น
เมื่อถามว่า มีความหวาดกลัวว่า คสช.จะมีการเชิญตัว คนเคลื่อนไหว มาพูดคุย แบบเงียบๆนั้น พลตรี ปิยพงศ์ กล่าวว่า หาก คสช. จะมีการเชิญตัวใคร ก็จะแจ้งให้สาธารณะทราบ และแจ้งครอบครัวก่อนเสมอ จะไม่มีการเชิญแบบไม่บอกกล่าว
ส่วนกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการองค์กรพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยนั้น คสช.ไม่ได้ห้ามเคลื่อนไหวและไม่ต้องเชิญมาพูดคุย เพราะนายศรีสุวรรณ ยังไม่ได้ทำผิดอะไร ยังอยู่ในกรอบ ที่เขาทำได้ แต่คสช.จะติดตามการเคลื่อนไหวเท่านั้น
"ตอนนี้ ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ที่น่าเป็นห่วง หรือ การสร้างสถานการณ์ เราติดตามอยู่" ผบ.มทบ.11 ระบุ

ย้อนดูรายงานผลการสอบสวนสวนของเจ้ากรมจเรทหารบก ปี 2542

Atukkit Sawangsuk ได้แชร์รูปภาพของ uddthailand
1 ชม.
ชวนย้อนดูรายงานผลการสอบสวนสวนของเจ้ากรมจเรทหารบก เมื่อปี 2542 (รัฐบาลชวนนั่นละ) ที่ระบุว่าอภิสิทธิ์ได้บรรจุเข้าเป็นอาจารย์ จปร.โดยขัดต่อหลักเกณฑ์ เพราะไม่ผ่านการตรวจเลือกฯ และไม่มีหลักฐานทางทหารมาส่งมอบ
กระบวนการบรรจุ ที่หยวนยอมกันทั้งที่เอกสารไม่ครบ ทำให้เจ้ากรมจเรฯ เสนอให้ลงโทษวินัยเจ้าหน้าที่ 1 คน ดำเนินคดีอาญา 1 คน แต่เรื่องก็เงียบ (ที่จริงผิดเป็นหางว่าว แต่เกษียณบ้าง เป็นนายพลระดับบิ๊กไปก็หลายคน ทหารชั้นนายพลลงโทษวินัยไม่ได้)
สุกำพลเอาผลสอบนี้แหละ มาใช้ปลดอภิสิทธิ์ อภิสิทธิ์ฟ้องศาลแพ่ง ศาลชั้นต้นยกฟ้อง เห็นว่าสุกำพลทำถูก แต่ศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาห็นว่าออกคำสั่งมิชอบ ศาลฎีกายังบอกว่าส่อไปในทางไม่สุจริต ละเมิดสิทธิ์ของอภิสิทธิ์
uddthailand
รายงานผลการสอบสวนกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ารับราชการที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ : พล.ต.วันชัย อิทธิวิบูลย์ เจ้ากรมจเร(ดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมจเรทหารบก 1 ต.ค.2541 - 31 มี.ค. 2544)
เรียน ผบ.ทบ. (ผ่าน กพ.ทบ.)
อ้างถึง อนุมัติ ผบ.ทบ.ท้ายหนังสือ กสร.ทบ.ลับ ที่ กห 0426/654 ลง 8 มี.ค. 2542 เรื่องตรวจสอบข้อมูลการตรวจเลือกฯ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
สิ่งที่ส่งมาด้วย รายงานผลการสอบสวนพร้อมเอกสารประกอบ จำนวน 292 แผ่น
1.ผบ.ทบ.สั่งการตามอ้างถึงให้ จบ.(กรมจเรทหารบก)สอบสวนข้อเท็จจริง กรณี กสร.ทบ.(กรมการกำลังสำรองทหารบก )ตรวจพบว่า นายอภิสิทธิ์ ขาดการตรวจเลือกฯ ปี 2530 และการบรรจุนายอภิสิทธิ์เข้ารับราชการทหารเป็น อจ.ส่วนการศึกษา รร.จปร.อาจใช้หลักฐานทางทหารไม่ถูกต้อง
2.จบ.แต่งตั้งให้ พ.อ.สมบูรณ์ เมฆประยูร และ พ.ต.สมโชค ไกรศิริ เป็นเจ้าหน้าที่สอบสวน มีข้อเท็จจริงโดยละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย สรุปได้ดังนี้
2.1 การบรรจุบุคคลพลเรือนเข้ารับราชการของ ทบ.ต้องปฏิบัติตามระเบียบ ก.พ.ว่าด้วยการบรรจุ การโอน และการบรรจุกลับเข้ารับราชการ พ.ศ.2524 ประกอบกับอนุมัติ ผบ.ทบ.เรื่องหลักเกณฑ์การบรรจุบุคคลเข้ารับราชการของ ทบ. เมื่อ 28 พ.ย. 2528 และอนุมัติ ผบ.ทบ.เรื่องหลักฐานการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการฯ เมื่อ 7 ม.ย. 2522
ซึ่งมีผลบังคับใช้จนถึงปัจจุบันสรุปว่า บุคคลพลเรือนประเภทชายที่สามารถบรรจุเข้ารับราชการทหารได้แบ่งคุณลักษณะไว้ 2 พวกคือ ผู้ที่อายุยังไม่ครบเกณฑ์ทหารโดยมีอายุระหว่าง 18-20 ปี
หลักฐานทางทหารที่ใช้ประกอบการบรรจุได้แก่ใบสำคัญ (สด.9) และผู้ที่ต้องผ่านการเกณฑ์ทหารแล้วโดยมีอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไปหลักฐานทางการต้องใช้ใบสำคัญ (สด.9) และใบรับรองผลฯ (สด.43) ประกอบกับหลักเกณฑ์ของ ทบ.เรื่องนี้ โดยเฉพาะอายุของผู้ที่จะบรรจุเข้ารับราชการกำหนดไว้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ.2497
2.2 กรณีการบรรจุนายอภิสิทธิ์ เข้ารับราชการเป็น อจ.ส่วนการศึกษา รร.จปร. หน่วยที่เกี่ยวข้องกับการบรรจุประกอบด้วย รร.จปร.เป็นหน่วยขอรับการบรรจุ, สบ.ทบ.(กรมสารบรรณทหารบก)และ กพ.ทบ.(กรมกำลังพลทหารบก)เป็นหน่วยตรวจสอบหลักฐานการบรรจุ ปรากฏว่า
2.2.1 นายอภิสิทธิ์ มีอายุเกิน 21 ปี ขณะสมัครเข้ารับราชการทหารที่ รร.จปร.โดยมีอายุ 21 ปี จึงมีคุณลักษณะของการเข้ารับราชการโดยต้องผ่านการตรวจเลือกทหารแล้วหรือมีสิทธิผ่อนผัน ซึ่งต้องใช้หลักฐานทางทหารคือใบสำคัญ (สด.9) และใบรับรองผลฯ (สด.43) ประกอบกับเท่านั้น
แต่เมื่อ 7 เม.ย. 2530 นายอภิสิทธิ์ ได้หลีกเลี่ยงขัดขืนไม่เข้าทำการตรวจเลือกฯ ปี 2530 และเป็นคนขาดการตรวจเลือกฯ ที่มีความผิดตาม พ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ.2497 มาตรา 27 และ 45 นายอภิสิทธิ์จึงไม่มีหลักฐานทางทหารเพื่อประกอบเอกสารการบรรจุ
2.2.2 รร.จปร.ดำเนินการทำหลักฐานขออนุมัติบรรจุนายอภิสิทธิ์ โดยต้องยึดถือหลักเกณฑ์ของ ทบ.ดังกล่าวไว้ในข้อ 2.1 และส่งเรื่องให้ สบ.ทบ.ตรวจสอบ แต่หลักฐานการบรรจุที่ รร.จปร.ดำเนินการ ไม่มีหลักฐานทางทหารประกอบการบรรจุ
ซึ่ง รร.จปร.ทำหนังสือขออนุมัติบรรจุถึง สบ.ทบ.เมื่อ 18 มี.ค. 2530 สบ.ทบ.ตรวจสอบและทำหนังสือทักท้วงถึง รร.จปร.เมื่อ 31 มี.ค. 2530 ให้ รร.จปร.แก้ไขเอกสารและเพิ่มเติมหลักฐานทางทหารหนังสือผ่อนผันการเกณฑ์ทหาร
รร.จปร.ได้แก้ไขเอกสารตามการทักท้วงโดยไม่มีหลักฐานทางทหารเนื่องจากนายอภิสิทธิ์เป็นคนขาดการตรวจเลือกฯ เมื่อ 7 เม.ย. 2530 และส่งเรื่องขออนุมัติบรรจุให้ สบ.ทบ.จนกระทั่ง กห.มีคำสั่งให้นายอภิสิทธิ์เข้ารับราชการและแต่งตั้งยศเป็นนายทหารสัญญาบัตร
2.2.3 สบ.ทบ.มีหน้าที่ตรวจสอบหลักฐานและเอกสารประกอบการบรรจุโดยต้องยึดถือหลักเกณฑ์ของ ทบ.ดังกล่าวไว้ในข้อ 2.1 กรณีการบรรจุนายอภิสิทธิ์ สบ.ทบ.ได้มีหนังสือทักท้วงเมื่อ 31 มี.ค. 2530 ว่า รร.จปร.ต้องแก้ไขหลักฐานการบรรจุและส่งเอกสารหลักฐานทางทหารเพิ่มเติมได้แก่หนังสือผ่อนผันการเกณฑ์ทหาร
ภายหลัง รร.จปร.ได้ส่งหลักฐานการบรรจุนายอภิสิทธิ์ที่ได้แก้ไขโดยไม่มีหลักฐานทางทหารเพิ่มเติมไปให้ สบ.ทบ. ไม่ปรากฏว่า สบ.ทบ.ได้ทำการทักท้วงความไม่ถูกต้องครบถ้วนของเอกสารหลักฐานทางทหารแต่อย่างใด จนกระทั่งกระทรวงกลาโหม (กห.) มีคำสั่งให้นายอภิสิทธิ์ เข้ารับราชการและแต่งตั้งยศเป็นนายทหารสัญญาบัตร
2.2.4 กพ.ทบ.มีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของหลักฐานการบรรจุนายอภิสิทธิ์ โดยต้องยึดถือหลักเกณฑ์ของ ทบ.ดังกล่าวไว้ในข้อ 2.1 กรณีการบรรจุนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อ สบ.ทบ.ส่งหลักฐานการขออนุมัติบรรจุให้ กพ.ทบ.
ซึ่งไม่มีหลักฐานทางทหารไม่ปรากฏว่า กพ.ทบ.ตรวจพบหรือทักท้วงหลักฐานการบรรจุนายอภิสิทธิ์ ที่ไม่มีหลักฐานทางทหารและดำเนินการต่อไปจน กห.มีคำสั่งให้นายอภิสิทธิ์ เข้ารับราชการและแต่งตั้งยศเป็นนายทหารสัญญาบัตร
2.3 การขอใบแทนใบสำคัญ (สด.9) ภายหลังการตรวจเลือกฯ ปี 2530 ของนายอภิสิทธิ์ เมื่อ 8 เม.ย. 2531 ปรากฏว่า พ.ต.ทองคำ เดชเร สัสดีเขตพระโขนง (ปัจจุบันลาออกจากราชการ) ดำเนินการเพื่อออกใบแทนใบสำคัญ (สด.9) ให้กับนายอภิสิทธิ์ จน.ผช.ผอ.เขตพระโขนง
ลงนามในใบแทนใบสำคัญ (สด.9) และมอบให้กับนายอภิสิทธิ์ โดยไม่ส่งตัวนายอภิสิทธิ์ดำเนินคดีฐานหลีกเลี่ยงขัดขืนไม่เข้าทำการตรวจเลือกฯ ตั้งแต่ 7 เม.ย. 2530 และ 7 เม.ย. 2531 ตาม พ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ.2457 มาตรา 27 และ 45
3.จบ.(จเรกองทัพบก)พิจารณาแล้วมีความเห็นว่า
3.1 กรณีการบรรจุนายอภิสิทธิ์ เป็น อจ.ส่วนการศึกษา รร.จปร.
3.3.1 รร.จปร.ได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ของระเบียบ กห.ว่าด้วยการบรรจุ การโอน และการบรรจุกลับเข้ารับราชการ พ.ศ.2429 แต่ขัดต่ออนุมัติ ผบ.ทบ.เรื่องหลักเกณฑ์การบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเมื่อ 31 พ.ค. 2522 โดยทำหลักฐานเพื่อบรรจุนายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีคุณลักษณะขัดต่อหลักเกณฑ์ของ ทบ.ที่สามารถบรรจุเข้ารับราชการได้
เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ ไม่ผ่านการตรวจเลือกฯ และไม่มีหลักฐานทางทหารนำมาส่งมอบประกอบเอกสารการบรรจุเพราะเป็นคนขาดการตรวจเลือกฯ เมื่อ 7 เม.ย. 2530 หากจะดำเนินการบรรจุเข้ารับราชการต้องภายหลังนายอภิสิทธิ์ ถูกส่งตัวดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ.2487 ตามมาตรา 27 และ 45 พร้อมกับส่งตัวเข้ากองประจำการจนครบกำหนดก่อน
แต่ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่กำลังพล รร.จปร.เพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามอนุมัติ ผบ.ทบ.ดังกล่าวข้างต้น แม้ว่า สบ.ทบ.จะได้ทักท้วงแล้วถือได้ว่า เป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่กำลังพลในขณะนั้นคือ พ.อ.สมศักดิ์ พุ่มนิคม รอง ลก.บก.ทหารสูงสุด(รองเลขานุการกองบัญชาการทหารสูงสุด) ขณะเป็น ทก.กกพ.รร.จปร., (กองกำลังพล รร.จปร.)
ส่วน พล.อ.เผด็จ วัฒนะภูติ ขณะเป็น รอง ผบ.รร.จปร.ซึ่งรับผิดชอบงานด้านกำลังพล และ พล.อ.นิยม ศันสมาคม ขณะเป็น ผบ.รร.จปร.บุคคลทั้งสองปัจจุบันเกษียณอายุราชการ ซึ่งจะต้องควบคุมกำกับดูแลการปฏิบัติงานของ รร.จปร.ทั้งหมด
3.1.2 สบ.ทบ.มีหน้าที่ตรวจสอบหลักฐานขออนุมัติบรรจุบุคคลเข้ารับราชการและเอกสารประกอบของนายอภิสิทธิ์ที่ รร.จปร.ส่งเรื่องมา
โดยต้องยึดถือหลักเกณฑ์การพิจารณาตรวจสอบเช่นเดียวกับ รร.จปร. และการที่ สบ.ทบ.มีหนังสือทักท้วง รร.จปร.ขอให้แก้ไขและส่งเอกสารเพิ่มเติมโดยเฉพาะหลักฐานการผ่อนผันการเกณฑ์ทหารของนายอภิสิทธิ์ ซึ่ง รร.จปร.ก็จะต้องส่งหลักฐานตามที่ สบ.ทบ.ได้ทักท้วง
เมื่อ สบ.ทบ.ได้รับเอกสารแล้วต้องตรวจพบว่า ขาดหลักฐานการผ่อนผันการเกณฑ์ทหารซึ่งเป็นเอกสารสำคัญในการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการ สบ.ทบ.ก็จะต้องทักท้วงทำให้ไม่สามารถบรรจุนายอภิสิทธิ์ได้
แต่เมื่อ กห.มีคำสั่งแต่งตั้งให้นายอภิสิทธิ์ เป็นนายทหารสัญญาบัตร แสดงให้เห็นว่า สบ.ทบ.และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องบกพร่องต่อหน้าที่ในการตรวจสอบเอกสารการบรรจุในครั้งนี้ ซึ่งได้แก่
- พ.อ.คง หงษ์ทอง ขณะเป็น หน.แผนกบรรจุฯ กคว.สบ.ทบ
- พ.อ.ประหยัด คล้ายทอง หก.กคว.สบ.ทบ.
- พล.ท.มานิต ทรัพย์สกุล ขณะเป็น รอง จก.สบ.ทบ.
- พล.อ.วีระ เสวิกุล ขณะเป็น จก.สบ.ทบ.
บุคคลเหล่านี้ปัจจุบันเกษียณอายุราชการ
3.1.3 กพ.ทบ.มีหน้าที่ตรวจสอบหลักฐานขออนุมัติบรรจุบุคคลเข้ารับราชการและเอกสารประกอบของนายอภิสิทธิ์ที่ สบ.ทบ.ส่งเรื่องมาโดยต้องยึดถือหลักเกณฑ์การพิจารณาตรวจสอบเช่นเดียวกับ รร.จปร.และ สบ.ทบ.
เมื่อ กพ.ทบ.ได้รับเอกสารแล้วต้องตรวจพบว่า ขาดหลักฐานการผ่อนผันการเกณฑ์ทหารซึ่งเป็นเอกสารสำคัญในการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการ กพ.ทบ.ก็จะต้องทักท้วงทำให้ไม่สามารถบรรจุนายอภิสิทธิ์ได้
แต่เมื่อ กห.มีคำสั่งแต่งตั้งให้นายอภิสิทธิ์เป็นนายทหารสัญญาบัตรแสดงให้เห็นว่า กพ.ทบ.และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องบกพร่องต่อหน้าที่ในการตรวจสอบเอกสารการบรรจุในครั้งนี้
ซึ่งได้แก่
- พ.อ.หญิง สายไสว มาสมบูรณ์ ประจำ กพ.ทบ.ขณะเป็น หน.แผนก กจก.กพ.ทบ.
- พล.ต.ณรงค์ สารรักษ์ ผทค.ทบ.ขณะเป็น หก.กจก.กพ.ทบ.,
- พล.อ.ชัยวุฒิ ศรีมาศ ขณะเป็น รอง จก.กพ.ทบ.
- พล.อ.ประเสริฐ สารฤทธิ์ ขณะเป็น จก.กพ.ทบ.ปัจจุบันเกษียณอายุราชการ
3.2 หน่วยสัสดีเขตพระโขนง เป็นหน่วยที่รับผิดชอบการลงบัญชีทหารกองเกินและการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ากองประจำการตาม พ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ.2487 และคำสั่ง ทบ.ที่ 1173/2528 ลง 25 ธ.ค. 2528 โดยมี
พ.ต.ทองคำ เดชเร เป็นสัสดีเขตพระโขนงในปี 2530 ภายหลังที่นายอภิสิทธิ์เป็นคนขาดการตรวจเลือกตั้งแต่ 7 เม.ย. 2530 ซึ่งในขั้นตอนการตรวจสอบก่อนออกใบแทนใบสำคัญ (สด.9) ให้ พ.ต.ทองคำต้องตรวจพบว่านายอภิสิทธิ์ เป็นคนขาดการตรวจเลือกและต้องสั่งตัวดำเนินคดีตามความผิด
แต่ พ.ต.ทองคำ ไม่ส่งตัวนายอภิสิทธิ์ดำเนินคดี แสดงให้เห็นว่า พ.ต.ทองคำละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มีมูลความผิดทางอาญา
3.3 บุคคลที่บกพร่องต่อหน้าที่ในการดำเนินการบรรจุนายอภิสิทธิ์ เข้ารับราชการในครั้งนี้บางนายได้เกษียณอายุราชการ, บางนายรับราชการนอกสังกัด ทบ. และบางนายเป็นนายทหารชั้นนายพลซึ่งไม่สามารถรับทัณฑ์ทางวินัยได้
คงมีบุคคลที่จะต้องได้รับทัณฑ์เพียงผู้เดียวคือ พ.อ.หญิง สายไสว มาสมบูรณ์ ประจำ กพ.ทบ.ขณะปฏิบัติหน้าที่ หน.แผนก กจก.กพ.ทบ.
4.ข้อเสนอ เห็นควรดำเนินการกับบุคคลที่เกี่ยวข้องดังนี้
4.1 ลงทัณฑ์ทางวินัยต่อ พ.อ.หญิง สายไสว มาสมบูรณ์ ประจำ กพ.ทบ.
4.2 ดำเนินคดีอาญาต่อ พ.ต.ทองคำ เดชเร
จึงเรียนมาเพื่อกรุณาพิจารณา หากเห็นสมควร กรุณาอนุมัติในข้อ 4

"ยอดมนุษย์ Watch Man"

วันนี้ท่านพูด ไม่ใช่การชี้แจง หลังจากบอกปัด หลบเลี่ยงนักข่าวตลอดมาถ้าถามเรื่อง "แหวนมารดา นาฬิกายืมเพื่อน" นับแต่เรือนที่ 1 วันที่ 4 ธันวาคม 2560 จนถึงเรือนที่ 24 ในวันนี้!
และเป็นการพูดยอมรับกลายๆแล้วว่า "นาฬิกายืมเพื่อน" จริงๆ เพียงแต่ยังไม่ได้แจงว่า ยืมเพื่อนกี่คน? กี่เรือน? เพื่อนเป็นใคร? เป็นนักธุรกิจใช่ไหม? เพื่อนตายไปแล้วหรือเปล่า?
มีทั้งหมดกี่เรือน? เป็นของตัวเองกี่เรือน? แล้วแหวนล่ะ? และ...ทำไมไม่แจ้งตอนที่ต้องแสดงทรัพย์สินต่อ ปปช.? (เรือนที่ 16 ใส่ปี 2553 และเรือนที่ 20 ใส่ปี 2557)
คนจะมีบารมี..ได้รับความเคารพนับถือจากสังคมนั้น มิได้ขึ้นอยู่กับภาพลักษณ์ต้องร่ำรวย มีเครื่องประดับราคาแพงแต่อย่างใด
กรณีนี้เห็นชัดเจนว่า ขีดความน่าเชื่อถือ ได้สูญสลายหมดแล้ว จะโบ้ยไปที่ ปปช. เขาก็ตามไปยี้ใส่ เพราะทุกคนเขารู้ว่า ตัวประธาน ปปช.นั้น คืออดีตรองเลขาธิการรองนายกฯ คือ เด็กท่าน!
จากนี้ไปเวลาพูดถึงท่าน ทุกคนก็จะล้อเลียนแต่เรื่อง นาฬิกา ท่านกลายเป็น ซุปเปอร์ฮีโร่แบบไทยๆ "ยอดมนุษย์ Watch Man"
"เนื้อข่าว"
วันนี้ (16 ม.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์หลังประชุม ครม. ถึงการถูกตรวจสอบเรื่องนาฬิกาหรู โดยล่าสุด มีเรือนที่ 24 ปรากฏผ่านทางโซเชี่ยลมีเดีย ว่า
“มันวนกันไป เอาเรือนเก่าออกมา ก็ไม่เป็นไร ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบและชี้มูลว่าผมผิด ผมก็ออก ผมไม่นอยด์อะไร ไม่มีอะไร”
ผู้สื่อข่าวถามกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นว่า หากพล.อ.ประวิตร ชี้แจงเรื่องนี้ไม่ชัดเจน จะส่งผลกระทบต่อนายกรัฐมนตรี และภาพลักษณ์รัฐบาลได้ พล.อ.ประวิตร กล่าวย้อนว่า...
"ก็พูดกันไป พูดอย่างไรก็พูดได้ ตนไม่มีนาฬิกาสะสม แต่มีเพื่อนที่เอามาให้ใส่แค่นั้น แล้วตนก็คืนหมดทุกเรือนซึ่งไม่ใช่การซื้อมาฝาก และตนก็มีเป็นของส่วนตัวแต่ไม่พูดว่ามีกี่เรือน"
ต่อข้อถามถึงกระแสข่าวการเล่นหุ้นนาฬิกาในแวดวงของทหาร รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่มี ไปเอาที่ไหนมา