PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2561

แล้วแต่...

ไปต่อ!!?

แม้ภารกิจของตนเองจบแล้ว ..แต่ พร้อมช่วย “นายกฯ”ต่อ แล้วแต่ นายกฯ

“บิ๊กป้อม”พลเอกประวิตร เปลี่ยนท่าที เรื่องอนาคตทางการเมืองของตัวเอง ... ระบุ แล้วแต่”นายกฯบิ๊กตู่” ว่าจะให้ช่วยงานต่อหรือไม่ รอให้นายกฯประกาศ อนาคตทางการเมืองก่อน  ระบุ ภารกิจของตนเองด้านความมั่นคง จบแล้ว เชื่อว่า มีคนอื่นที่เหมาะสม มาทำหน้าที่ดูแล กองทัพและตำรวจ  ได้ ไม่ใช่ว่า ตัองตนเองถึงเอาอยู่ 

จากเดิมที่ พลเอกประวิตร บอกว่า ขะไม่ทำงานการเมืองต่อแล้ว หลังหมดเทอมรัฐบาลคสช. เพราะอายุมากและสุขภาพ ไม่แข็งแรง

เดินหน้าชน : ‘บิ๊กแดง’ โดย : สุรพล สุประดิษฐ์ ณ อยุธยา

เดินหน้าชน : ‘บิ๊กแดง’ โดย : สุรพล สุประดิษฐ์ ณ อยุธยา



เป็นไปตามโผสำหรับตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก หรือ ผบ.ทบ.คนใหม่ คือ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ หรือ บิ๊กแดง ขยับจากผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ขึ้นมาตามไลน์ 5 เสือ ทบ.
บิ๊กแดง จะเกษียณอายุราชการในปี 2563 นั่นหมายความว่าจะนั่งเก้าอี้ ผบ.ทบ.เป็นเวลา 2 ปี
และถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง บิ๊กแดง คงจะเข้ามารับตำแหน่ง เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.ด้วย
เป็นการเข้ามาดำรงตำแหน่งในช่วงรอยต่อของรัฐบาล คสช.มาจากการทำรัฐประหาร กับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ภารกิจนับจากนี้จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายฝีมือการทำงานของ บิ๊กแดง อย่างยิ่ง
เพราะเป็นช่วงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญ
หลังจากกำหนดวันเลือกตั้งถูกกะเกณฑ์เวลากันไว้ประมาณ 24 กุมภาพันธ์ – 5 พฤษภาคม 2562
แต่นั่นเป็นเพียงโรดแมปตามเส้นทางปกติที่พูดถึงกัน
ยังไม่มีอะไรยืนยันแน่นอน หากยังไม่มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ
สอดคล้องกับที่ทางรัฐบาลออกมาชี้ว่า ขึ้นอยู่กับความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
รัฐบาล คสช.ประกาศท่าทีนับจากนี้ว่าจะเริ่มคลายล็อกแบบช้าๆ เพื่อเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง
แต่ในเมื่อประเทศอยู่ในสภาวะถูกล็อกให้อยู่แต่เพียงในกรอบ
อิสระในการแสดงความคิดเห็นถูกจำกัดไว้เป็นเวลากว่า 4 ปี
เมื่อเริ่มคลายล็อกเพื่อเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมบางอย่างได้
ก่อนจะเปิดโอกาสให้มีการหาเสียงของบรรดานักการเมืองก่อนการเลือกตั้ง
สิ่งที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้ก็คือ การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและกองทัพ
ทั้งในแง่มุมฝีมือการทำงาน ความซื่อสัตย์สุจริต ความเป็นธรรม ไม่เลือกข้าง ไม่หลายมาตรฐาน
จะต้องเกิดขึ้นอย่างรุนแรง อย่างแน่นอน
ดังนั้นภารกิจของ บิ๊กแดง นอกจากจะต้องพยายามให้บ้านเมืองเดินไปอย่างสงบเรียบร้อย ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
ในอีกด้านหนึ่งก็จะต้องพยายามทำให้บรรดารุ่นพี่ไปถึงฝั่งฝัน
ได้กลับเข้ามาบริหารประเทศต่อไปตามแผนที่วางเอาไว้ให้จงได้
ในสถานการณ์ที่ทั้งรัฐบาล คสช.และกองทัพ จะต้องถูกท้าทายจากบรรดานักการเมือง

ทั้งเรื่องนโยบาย และการใช้งบประมาณในโครงการต่างๆ
ยกตัวอย่างเช่น นโยบายยกเลิกการเกณฑ์ทหาร
ถือว่าเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนสำหรับรัฐบาลและกองทัพเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเป็นการยิงตรงเข้าเป้า ดึงกองทัพเข้ามาสู่เวทีการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น เดิมพันสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้จึงสูงยิ่งนัก
ถ้าหากรัฐบาลและกองทัพตั้งรับไม่ดี
มีผลถึงการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้ และภาพลักษณ์ของกองทัพอย่างแน่นอน
แม้ฝั่งผู้มีอำนาจอาจจะเบาใจได้ในระดับหนึ่ง เพราะเชื่อว่ามีไพ่เด็ดอยู่ในมือ
คือเงื่อนไขในโรดแมปการเลือกตั้ง
เมื่อถึงที่สุด แม้ว่าจะพลาดพลั้งในเกมการเมือง
แต่ถ้ายังมีเรื่องไม่สงบเกิดขึ้นในบ้านเมือง
ที่ทางรัฐบาล คสช.และกองทัพเคยทำเครื่องหมายดอกจันเล็กๆ ไว้เป็นเงื่อนไข
หากบ้านเมืองสงบ จึงจะเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง
ก็ยังจะมีการควบคุมกันต่อไป
แต่คงไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะถูกฝ่ายการเมืองดึงให้กลายมาเป็นผู้เล่นในสนามด้วยแล้ว
ขึ้นอยู่กับว่าผู้นำกองทัพจะรับมือกับสถานการณ์ที่ล่อแหลมนี้อย่างไร
จะให้ทหารมีบทบาทไปทิศทางไหน
จะเป็นขวัญใจของประชาชนคนไทย ด้วยการเป็นทหารอาชีพ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอย่างแท้จริง
หรือจะยังอิงอยู่กับฝ่ายไหน
ล้วนเป็นสิ่งท้าทายฝีมือ ผบ.ทบ.คนใหม่อย่างยิ่ง
สุรพล สุประดิษฐ์ ณ อยุธยา

สมมุติว่า 'นายกฯ' ตัดสินใจ

สมมุติว่า 'นายกฯ' ตัดสินใจ


  
หมู่นี้ "นายกฯ" ดูเครียดๆ
      แต่ ๔ ปีผ่าน........
      ฝ่าด่านโหดร้อยแปดปัญหามาได้ชิลๆ แล้วตอนนี้ ยังจะมีอะไรหนักอกที่ต้องเครียดอีกล่ะ?
      ไม่น่าใช่เรื่องงาน
      ถ้าจะมี เป็นเรื่อง "คน" มากกว่า!
      หรือไม่ก็เป็นเรื่องหัวเลี้ยว-หัวต่ออนาคต ที่ต้อง "ตัดสินใจ" อย่างใด-อย่างหนึ่ง เป็นเรื่องที่ต้อง "คิดหนัก"
      นั่นคือ เรื่องการเมือง.......
      ไม่ใช่คิดจะไปลงสมัคร ส.ส.หรือเป็นหัวหน้าพรรค ในการเมืองว่าด้วยการเลือกตั้ง ที่มั่นหมายกันในเดือนกุมภาปีหน้า
      แต่น่าจะเป็นบนฐาน "ห่วงหน้า-พะวงหลัง" ว่าควรตัดสินใจทางไหนดี ระหว่าง
      "วางมือ"
      รอรัฐบาลใหม่ "จากการเลือกตั้ง" แตะมือ ก็หันหลังให้ทำเนียบฯ แล้วหันหน้าเข้าวัดเลย
      กับ........
      ประกาศ "สู้ต่อ" พร้อมลงสนามการเมืองประชาธิปไตย ภาคเลือกตั้ง
      ด้วยคิดรับผิดชอบกับงานสร้างรากฐานสังคมประเทศที่ คสช.บุกเบิกไว้หลายอย่าง เช่นโครงการอีอีซี
      ซึ่งจะแน่ใจได้แค่ไหน ว่า.......
      ถ้าคนใหม่-รัฐบาลใหม่เข้ามา เขาจะสานงานที่ คสช.ริเริ่มไว้ต่อหรือไม่?
      ถ้าผมเป็นนายกฯ ประยุทธ์ ก็ต้อง "คิดหนัก" ประเด็นนี้
      เพราะการจะเป็นนายกฯ ให้คนพูดถึง
      เหมือน "พลเอกเปรม" ที่คนพูดถึงในฐานะผู้สร้างความโชติช่วงชัชวาลให้สังคมประเทศ
      ผ่านโครงการ "อีสเทิร์นซีบอร์ด"
      หรือจะให้พูดถึง เหมือนกับที่คนพูดถึงบางนายกฯ ผ่านซากโครงการ "โฮปเวลล์" ที่ทิ้งร้าง?
      ตรงนี้ บอกได้เลยว่า..........
      ความรับผิดชอบในภาระงานที่ค้างคา กับเส้นทางการเมืองเรื่องเลือกตั้ง
      มันเป็น "คนละเรื่องเดียวกัน" ที่พลเอกประยุทธ์ ต้องนำขึ้นตาชั่ง หาน้ำหนักที่ลงตัว
      ไอ้เรื่องห่วงว่า ถ้าลงจากหลังเสือ จะถูกหมารุมฟัด เป็นการ "เอาคืน" นั้น
      ไม่อยู่ในความคิดคนชื่อประยุทธ์หรอก!
      นี่พูดถึงเครียดเรื่องการเมือง ทีนี้ มาดูเครียดเรื่อง "คน" บ้าง ซึ่งก็มีประเด็นน่าคิด
      นายกฯ ประยุทธ์นั้น ถ้าเครียดเรื่องฉาบฉวย เฉพาะเรื่อง-เฉพาะวัน อย่างที่เห็นระบายใส่นักข่าวบ่อยๆ
      แบบนั้น ดูได้ว่า ตาแค่ฉายแววโกรธ!
      แต่ตอนนี้ ในเครียดนายกฯ ตาฉายแววหมกมุ่น-ครุ่นคิด ประมาณว่า สร้างอารมณ์หม่นและเหว่ว้า รังแกตัวเอง
      ถ้าเป็นวัยวุ่น ต้องบอกว่า
      กำลัง "อกหัก" หรือไม่ก็ หลงรักเขา แต่ "จีบไม่ติด" ประมาณนั้น!
      แต่พลเอกประยุทธ์เลยวัยวุ่นแล้ว แต่ใจยังซุกซนเหมือนเพื่อนใกล้ตัวบางคนหรือเปล่า ก็ไม่แน่ใจ
      เห็นหมู่นี้ หัวกระไดทำเนียบฯ แทบไม่แห้ง มีดารามา "ซารังเฮโย" แทบไม่เว้นแต่ละวัน
      ในประสบการณ์คนหนังสือพิมพ์ของผมนะ อยากบอกว่า ในจำนวนนายกฯ ที่เห็นมา
      มี "นายกฯ ประยุทธ์" คนเดียวนี่แหละ
      "หวงตัว" ที่สุด!
      ในความเป็นผู้นำบริหารประเทศ มีคนมากมาย ทั้งจำเป็นและไม่จำเป็น ที่คนเป็นนายกฯ ต้องพบปะ-พูดคุย
      พุทธศาสนสุภาษิตมีว่า.........
      "สุสสูสัง ลภเต ปัญญัง" ฟังดีย่อมเกิดปัญญา
      นั่นคือ คนเป็นผู้นำ ไม่ได้หมายความว่า จะรู้ทุกเรื่อง-ทุกปัญหา
      แต่ในฐานะ "กระโถนประเทศ" ต้องแก้ทุกปัญหา!
      จึงจำเป็นต้อง "เข้าถึง" ข้อมูลทุกปัญหา จากคนในวงปัญหานั้นๆ
      ไม่ใช่จาก "วงเพื่อน" รอบตัว ๓-๔ คน แถมล้วนเป็น
      "ชุดความคิดทหาร"!
      ทางควรเป็น สมมุติอยากรู้ปัญหาการเงิน เชิญนายแบงก์มาคุย
      อยากรู้ปัญหาเศรษฐกิจ เชิญพ่อค้า นักธุรกิจมาคุย
      อยากรู้ปัญหาชาวบ้าน เชิญปราชญ์ชาวบ้านมาคุย
      อยากรู้การเมืองเรื่องเลือกตั้ง เชิญนักเลือกตั้งมาคุย
      หมายความว่า คนเป็นนายกฯ.........
      ใจกว้างอย่างเดียวไม่พอ ห้องต้องเปิดกว้าง-เปิดรับด้วย
      รับอะไร...?
      ก็รับฟังความคิดเห็นต่าง เชิญแต่ละเซียน แต่ละผู้เก๋าเกมมากินกาแฟ ให้เขาคุยเรื่องราวใน วงงาน-อาชีพ ให้ฟัง
      อาจไม่ตรงใจ-ตรงความคิดเรา
      แต่นั่นคือ "ฐานข้อมูลจริง" เชื่อ-ไม่เชื่อ ไม่ใช่ประเด็น
      ประเด็นคือ มันเป็น "ทั้งภูมิ-ทั้งปูม" มีเงินก็ซื้อหาไม่ได้
      ใช้ประกอบ "ข้อมูลอื่น-จากคนอื่น" บนการรู้ทัน เพื่อการตัดสินใจครบด้านในเรื่องนั้นๆ โดยไม่พลาดได้
      ไม่ต้องห่วงเรื่องคนจะนินทา นายกฯ คบพ่อค้า คบโจร คบนักการเมือง คบเอ็นจีโอ
      ถึงไม่คบ ปิดประตูบ้านคุยกับภรรยาแค่ ๒ คน ก็ใช่ว่าจะไม่ถูกนินทา
      คนจะว่าร้าย ดียังไง มันก็ว่าไม่ดี ประเด็นสำคัญอยู่ที่ตัวเรา คบแล้วเป็นไปกับเขา
      หรือคบ ในฐานะหน้าที่พ่อบ้าน ต้องพบปะลูกบ้าน เพื่อรับฟังปัญหานั้นๆ จากเขา ใช้แก้ปัญหาในทางรวม
      ชั่ว-ดี-ถี่-ห่าง อย่างไรก็ช่าง..........
      "เกาหลีใต้" ที่ในช่วง ๕๐-๖๐ ปีก่อนหน้านี้ ไทยยังต้องส่งข้าว-ส่งน้ำไปให้กิน
      แต่วันนี้ เกาหลีใต้ ขึ้นชั้นเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งต้องยอมรับกันว่า
      "นายพล ปัก ชองฮี" ท่านผู้นี้แหละ ด้วยบทบาทผู้นำ
      วางรากฐานเศรษฐกิจและสังคมให้เกาหลีที่ล่อนจ้อนด้วยสงครามในวันนั้น
      ผงาดเป็น "เกาหลีใต้" เทียบญี่ปุ่นในวันนี้ จนได้รับสมญานาม "บุรุษผู้ทรงอิทธิพลแห่งเอเชียในศตวรรษ"!
      ทุกเช้า.......
      โต๊ะกาแฟนายพลปัก เต็มด้วยพ่อค้า-นักธุรกิจเกาหลี มาพูด มาฟัง มาแก้ปัญหา มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
      ก่อนแยกย้ายกลับไป "บริษัทใคร-บริษัทมัน"
      แค่เนกไทส่งออกเส้นเดียว ลูกค้าต่างประเทศตำหนิมาว่า ผูกแล้วผ้าย่นยับ
      ประธานาธิบดีปัก ต้องนำขึ้นโต๊ะกาแฟ ถกกับบรรดาผู้ผลิตสินค้าส่งออก!
      นี่คือตัวอย่าง การเป็นผู้นำ ต้องเปิดกว้าง ในการรับฟังจากผู้มีประสบการณ์ทุกด้าน
      การรบน่ะ...โอเค ฟังทหารด้วยกันไป
      แต่การบ้าน-การเมือง-การเศรษฐกิจและสังคม ขืนฟังแต่ทหารด้วยกัน วันเดียวได้..สองวันได้
      วันที่สาม...ตายหมด!
      ได้ยินนายกฯ พูดเมื่อวาน (๓ ก.ย.๖๑)
      ".......การเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง เพื่อนำไปสู่การเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ที่จะต้องได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล
        โดยสถานการณ์ในช่วงนั้น จะเป็นผลในการตัดสินใจของผมว่า
        จำเป็นต้องอยู่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามรัฐธรรมนูญหรือด้วยกลไกของรัฐธรรมนูญหรือไม่
        และถ้าจำเป็น .........
        แล้วจะเป็นได้อย่างไร?
        ซึ่งจะตัดสินใจอีกครั้งในสถานการณ์ช่วงนั้น เพราะวันนี้คงตอบได้เท่านี้"
        หรือนี่ คือเหตุทำให้ลุงตู่ของผมเครียดลงกระเพาะ?
      อืมมมมมม....
      เมื่อประกาศใช้กฎหมายลูกอีก ๒ ฉบับในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว นายกฯ จะตัดสินใจทางอนาคตการเมืองอีกครั้ง
      นี่เป็น "ท่าทีใหม่" ของนายกฯ เลยนะเนี่ย!
      ในความเห็นผม ถ้าตัดสินใจ "ไม่เอาต่อ" ก็ไม่ต้องเครียด รัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๖๔ บอกแล้ว.........
      อยู่เป็นนายกฯ รัฐบาล คสช.จนกระทั่งคณะรัฐบาลเลือกตั้งใหม่มาแตะมือนั่นแหละ จบ
      แต่ที่เครียด แสดงว่า "ตัดสินใจไปต่อ" แน่นอนแล้ว
      แต่ทีนี้ จะเข้าตะเข็บการเมือง ว่าด้วยการเลือกตั้งช่วงไหน ลีลาไหน นี่แหละมันทำให้เครียด
      ผมว่าไม่ต้องเครียด เชื่อฝีมือ "เชฟป้อม" เถอะ!
      ประเด็นมีอยู่ว่า........
      จะให้พรรคไหนเอาชื่อลงบัญชี "เป็นนายกฯ" ของส่ง กกต.เท่านั้น!
      อย่างช้า ตุลานี้ ก็ต้องตัดสินใจเอาทางหนึ่ง จะผลุบๆ โผล่ๆ ต่อไปไม่ได้แล้ว
      แต่ถ้าผมเป็นพลเอกประยุทธ์นะ ในเมื่อตัดสินใจลงสนามประชาธิปไตยทั้งที
      ลงครึ่งตัวให้เขาด่า ใช้ความเป็นรัฐบาลหาเสียงไปทำไม
      ไหนๆ ก็ไหนๆ........
      โจนลงทั้งตัว ให้ช็อกกันทั้งประเทศไปเลย!
      มีพระราชกฤษฎีกาประกาศวันเลือกตั้งปุ๊บ ลาพักจากการเป็นนายกฯ รัฐบาลรักษาการปั๊บ
      ให้ "เชฟป้อม" เป็นนายกฯ แทน แม้จะแค่รักษาการก็ได้ชื่อว่านายกฯ
      สมัยหน้า "พี่ใหญ่-พี่รอง" น่าจะพอซะที ถอยไปช่วย "น้องเล็ก" อยู่ในแถวสองก็เหลือเฟือ
      นี่สมมุติเป็นผมนะ แต่สำหรับตัวท่านนายกฯ เอง จะตัดสินใจแบบไหน ก็รอฟัง เพราะท่านบอกแล้ว
      แต่ถ้าออกมาเป็นนายกฯ ในบัญชี ๓ รายชื่อของพรรคอย่างที่ว่านี้
      สิ้นลังเล-สงสัย ว่า..........
      จะกาเบอร์พรรคไหน ถ้าต้องการให้ "พลเอกประยุทธ์" เป็นนายกฯ ต่อ.

ทุ่มเดิมพันคั่วสองหน้า

ทุ่มเดิมพันคั่วสองหน้า



ตะลุมบอน ล่อกันฝุ่นตลบโดยไม่ต้องรอให้ปลดล็อก
ตามฉากที่ “แรมโบ้อีสาน” นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ อดีต ส.ส.นครราชสีมา แนวร่วมกลุ่มสามมิตร ยกขบวนชาวบ้านปรี่เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประจำจังหวัดนครราชสีมา
เรียกร้องให้ยุบพรรคภูมิใจไทย
พร้อมหอบหลักฐานประจาน อ้างฐานความผิดการเก็บบัตรประชาชน รายชื่อผู้ถูกเก็บบัตรประชาชน และภาพการนำประชาชนในพื้นที่ไปเที่ยวเพื่อหวังผลทางการเมือง โดยเกี่ยวโยงกับเจ้าของกิจการโรงงานแป้งมันรายใหญ่ใน อ.ครบุรี และ อ.เสิงสาง และผู้ประกาศลงสมัคร ส.ส.นครราชสีมา ในทีมพรรคภูมิใจไทย
ปะทุศึกชิงฐานที่มั่นเมืองย่าโม โคราช ประตูภาคอีสาน
ฟัดกันระหว่างยี่ห้อภูมิใจไทย เพื่อไทย และน้องใหม่ “พลังประชารัฐ”
แต่จุดที่ต้องโฟกัส แกะรอยการปะทะขั้นรุนแรงระหว่างทีมงานพรรคภูมิใจไทยกับกลุ่มสามมิตร ทีมพลังประชารัฐ ที่ส่อเค้าอัดกันแรงๆแบบไม่ไว้ไมตรี
มันมีอาการมาตั้งแต่คิวที่ “เสี่ยตุ้ย” นายสรอรรถ กลิ่นประทุม กุนซือหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ออกมาโวยวาย คสช.หลิ่วตาให้กลุ่มสามมิตรเคลื่อนไหวทางการเมือง
ประสานเสียงเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ ยุให้ กกต.ลงดาบเด็ดขาด
ต่อเนื่องกับอารมณ์ที่ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ออกมาโชว์วิชั่นเจ้าสัวซิโน-ไทย คัดค้านเมกะโปรเจกต์เรือธงของรัฐบาล ทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา และโครงการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี)
แขวะเป็นนัย เอาเงินให้คนรากหญ้ามีรายได้ มีการศึกษาที่ดีขึ้นก่อนดีกว่า
“อนุทิน” เปิดหน้า ตั้งท่าดิสเครดิต ดักเตะสกัดตัดขา “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กัปตันทีมเศรษฐกิจรัฐบาล ผู้อยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนพรรคพลังประชารัฐ
พร้อมๆกับข่าววงใน คิวเปิดหัวจ่าย อัดฉีดแบบไม่อั้น
“เสี่ยหนู” ลุยสร้างฐานกำลังส่วนตัว สลัดภาพ “อาเสี่ย” ที่มีแค่เงินแต่ไม่มี ส.ส.ในกำมือ
ตามอานุภาพพลังดูดแรงสูงปั๊มยี่ห้อซิโน-ไทย แรงไปถึงชลบุรี อยุธยา หนองบัวลำภู และอีกหลายจังหวัด แบบที่นายมานิตย์ ภาวสุทธิ์ อดีต ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ แสดงตัวแสดงตน สมัยหน้าจะลงสมัคร ส.ส.ชลบุรี เขต 2 ในนามพรรคภูมิใจไทย เพราะมั่นใจในกึ๋นและวิสัยทัศน์ของหัวหน้าอนุทิน
ต้อนมวย “เกรดเอ” เข้าสังกัด ไม่ต้องพึ่งจมูก “เนวิน ชิดชอบ” หายใจ
“เสี่ยหนู” ทุ่มเดิมพันยกระดับตัวเอง พร้อมอัปเกรดป้อมค่ายภูมิใจไทย
ในจังหวะสถานการณ์ที่เข้าล็อก ลงเหลี่ยม ตามปรากฏการณ์โยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดลอตล่าสุด ที่พ่อเมืองเครือข่าย “เนวิน ชิดชอบ” เข้าป้ายหลายจังหวัด
ถึงขั้นมีข่าวลือว่า ปิดบ้านฉลองกันใหญ่โต
โชว์ศักยภาพ “เนวิน ชิดชอบ” กับทีมบูรพาพยัคฆ์ยังต่อสายติด
ที่สำคัญโดยเงื่อนไขสถานการณ์ มันมีการวิเคราะห์เชื่อมโยงไปถึงดีล “มัดจำ” ของ “พี่รอง” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่แนวโน้มไม่ได้ร่วมแจมกับพรรคพลังประชารัฐ
ต้องอาศัยตั๋ว “เนวิน” เกาะขบวน “นายกฯลุงตู่”
ตามรูปเกม “ภูมิใจไทย” จึงเป็นแหล่งรวมพวกจ้องเตะสกัดทีมพลังประชารัฐ
ตีคู่ เบียดแย่งซีน เป็นฐานกำลังของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ตีตั๋วต่อ
ถ้า “เสี่ยหนู” ทำแต้มได้มากเท่าไหร่ พลังต่อรองในดีลอำนาจก็สูงตามตัวเลข
ยิ่งในอารมณ์แบบที่ “ลุงตู่” ยังกั๊กๆ สองจิตสองใจ ทางหนึ่งก็อยากได้เสียงหนุน แต่พอทีมงานสามมิตรเคลื่อนแบบเต็มสูบ
ตุนแต้มให้พลังประชารัฐ ก็แหยงโดนเสียงครหา กล้าๆกลัวๆ
เท่ากับเพิ่มโอกาสภูมิใจไทยแซงปาดหน้าพลังประชารัฐ
อะไรไม่เท่ากับว่า ในสถานการณ์ที่ทีมสามมิตร พลังประชารัฐนั้น “แทงเต็ง” หนุน “นายกฯลุงตู่” เต็มตัว
แต่ภูมิใจไทยยังแทงกั๊ก ไม่หงายไพ่ เล่นแต้ม “คั่ว 2 หน้า”
ในสถานการณ์ถ้าค่ายเพื่อไทยของ “นายใหญ่” เข้าป้ายเป็นอันดับหนึ่ง แบบหิมะถล่มเมืองไทย
“เสี่ยหนู” ในฐานะเจ้าของ “ช้อนใส่รองเท้าทองคำ” ของขวัญที่ “ทักษิณ ชินวัตร” พกติดตัวทุกวันนี้
คงไม่รีรอ พร้อมชิ่ง “ลุงตู่” สวิงขั้วไปฝั่ง “นายใหญ่” ได้ทันที.
ทีมข่าวการเมือง

ตรวจค้นที่ป่าบ้านพัก "เปรมชัย" พบห้างส่องสัตว์

กรมป่าไม้เร่งเก็บและประเมินความเสียหายที่ดินของนายเปรมชัย กรรณสูต ยึดป่าภูเขากว่า 6,000 ไร่ เตรียมฟ้องค่าเสียหายทางแพ่งทำลายป่าสิ่งแวดล้อม 600 ล้านบาทคู่กับคดีอาญา พบห้างส่องสัตว์บนต้นไม้ในบ้านพัก พร้อมตลับใส่กระสุนปืน
วันนี้ (4 ก.ย.2561) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้ากรมป่าไม้และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ลงพื้นที่บ้านชัยชนะ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของบริษัท ซี.พี.เค. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งมีชื่อนายเปรมชัย กรรณสูต เป็น 1 ในคณะกรรมการบริหาร รวมพื้นที่ถูกตรวจยึดกว่า 6,229 ไร่
การตรวจสอบพื้นที่บ้านชัยชนะครั้งนี้ พบว่าสภาพพื้นที่ยังคงมีความเป็นป่าที่สมบูรณ์ มีต้นไม้ขนาดใหญ่ สลับกับการปลูกไม้ผล เช่น ส้มโอ แมคคาเดเมีย พบจุดนี้มีบ้านพักตากอากาศ 3 หลังถูกปิดไว้ บ้านพักคนงาน 1 หลัง มีรถยนต์จอดอยู่ 1 คัน กรงสัตว์ขนาดความสูงประมาณ 5 เมตร เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าอาจจะใช้เลี้ยงนกขนาดใหญ่ แต่วันนี้พบเพียงไก่บ้านหลายสิบตัว


นอกจากนี้ จากการใช้โดรนขึ้นบินตรวจสอบทำให้พบลักษณะคล้ายห้างส่องสัตว์อยู่บนต้นไม้ เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจสอบ และพบว่าบริเวณข้างบ้านพักตากอากาศมีต้นไม้สูงขนาด 2 คนโอบ สูงประมาณ 10 เมตร มีการทำบันไดลิงขึ้นไปด้านบนห้างส่องสัตว์ เนื่องจากบริเวณนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาที่สามารถมองเห็นทิวเขาด้านล่างได้ชัดเจน เมื่อสำรวจรอบๆ ต้นไม้พบตลับใส่กระสุนปืนลูกกรด .22 จำนวน 1 ตลับ
นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ผู้อำนวยการสำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า กรมป่าไม้ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทางดีเอสไอ แจ้งว่าใช้โดรนบินสำรวจและพบมีลักษณะห้างส่องสัตว์ในจุดนี้ด้วย กระทั่งมาตรวจสอบซ้ำวันนี้ และยังเจอหลักฐานชัดเจนคือตลับใส่ลูกกระสุนปืน .22 สำหรับใส่กระสุน 50 นัด สันนิษฐานว่าเจ้าของบ้านอาจใช้ซักซ้อมความแม่นยำและยิงสัตว์ป่าขนาดเล็กๆ ที่จะเข้ามาในพื้นที่ เช่น พวกนก กระรอก จึงเก็บไว้เป็นหลักฐานเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ตรวจพบสร้างอ่างเก็บน้ำกีดขวางลำน้ำ เพื่อใช้ประโยชน์ส่วนตัว ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ไม่สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์จากลำน้ำได้
กรมป่าไม้ กำลังประเมินความเสียหายภาครัฐด้วยการเก็บตัวอย่างได้แล้ว 20 จุด จากพื้นที่ทั้งหมด 6,229 ไร่ เพื่อดำเนินการฟ้องทางแพ่งควบคู่กับคดีอาญา เนื่องจากเป็นการรุกพื้นที่ป่าต้นน้ำลุ่มน้ำชั้น 1 และ 2 หากประเมินความเสียหายเฉลี่ยอยู่ที่ไร่ละประมาณ 100,000 บาท ภาพรวมภาครัฐเสียหายไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท


ขณะที่วันนี้ได้เรียกผู้ดูแล คนงานและแม่บ้านที่ทำงานในบ้านพักชัยชนะ มาสอบถามและแจ้งว่าพื้นที่ทั้งหมดถูกรัฐยึดดำเนินคดีและเพิกถอนที่ดินไว้ตั้งแต่ปี 2547 เจ้าของพื้นที่ไม่สามารถเข้าทำประโยชน์ แต่จากการตรวจสอบยังพบมีการเข้ามาเก็บและใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่คนงานอ้างว่าไม่เจอเจ้าของบ้านและรับเงินเดือน 5,000 บาทต่อเดือน ส่วนกรงนกขนาดใหญ่ ไม่รู้ว่าเลี้ยงอะไร แต่ตอนนี้เลี้ยงแต่ไก่เท่านั้น
http://news.thaipbs.or.th/content/274403