PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ประกาศยุติการทำรายการ AMARIN NEWSNIGHT

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ประกาศยุติการทำรายการ AMARIN NEWSNIGHT
จากการรัฐประหาร ทำให้สถานการณ์ภายนอกและภายในสถานีเปลี่ยนไป
เพื่อรักษาจุดยืนและหลักการแห่งวิชาชีพไว้
ผมจึงขอยุติการทำรายการ AMARIN NEWSNIGHT ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
จากเวลาเตรียมการแรมเดือน แม้จะออกอากาศได้เพียงหนึ่งสัปดาห์
แต่ผมและทีมงานทุกคนก็ภูมิใจที่ได้สร้างสรรค์รูปแบบรายการข่าวภาคค่ำมิติใหม่ ให้ออกอากาศได้อย่างสง่างามภายใต้สถานการณ์ปฏิวัติ
แม้วันนี้เมฆหมอกจะยังปกคลุมท้องฟ้า แต่ผมเชื่อมั่นว่า
ทีมงานหนุ่ม-สาวทุกคนจะเป็นดาวที่สุกสกาว เมื่อถึงเวลาฟ้าเปิด
จนกว่าจะพบกันใหม่
ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา
9 มิถุนายน 2557

ศาลไม่ให้ประกัน"อภิชาติ"นศ.จนท.ปฎรูปกฎหมาย ม.ธรรมศาสตร์

ศาลอาญากรุงเทพใต้ อ่านคำสั่งไม่ให้ประกันตัวนายอภิชาติ (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี นักศึกษาบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และเจ้าหน้าที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ซึ่งถูกแจ้งข้อกล่าวหา มาตรา 112, 215, 216 และมาตรา 14 อนุ 3 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 โดยระบุเหตุผลว่า
“พิเคราะห์แล้ว ข้อหาตามคำร้องฝากขังเป็นความผิดร้ายแรง พฤติการณ์แห่งคดีนอกจากจะกระทบต่อความสงบสุขของประชาชนแล้ว ยังก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาใการภาคเสธ ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว ในชั้นนี้หากได้ับการปล่อยชั่วคราวน่าเชื่อว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีหรือจะเป็นอุปสรรคก่อให้เกิดความเสียหายต่อกระบวนการสอบสวนของเจ้าพนักงาน กรณียังไม่มีเหตุสมควรที่จะปล่อยชั่วคราวในระหว่างสอบสวน คำสั่งศาลชั้นต้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง”
ทั้งนี้ อภิชาติถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวขณะชูป้ายต่อต้านรัฐประหาร เมื่อวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา บริเวณหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร หลังจากควบคุมตัวครบ 7 วันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าวและฝากขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ศาลอาญากรุงเทพใต้เคยปฏิเสธการขอประกันตัวมาแล้วสองครั้ง ครั้งหนึ่งโดยอาศัยตำแหน่งของ ปริญญา เทวนฤมิตรกุล รองอธิการบดี ฝ่ายกิจการนักศึกษา มธ. อีกครั้งหนึ่งมารดาอภิชาติได้นำเงินสด 500,000 บาทประกอบกับสลากออมสินของอาจารย์อภิชาติอีกคนหนึ่ง มูลค่า 500,000 บาทเป็นหลักทรัพย์

ันักวิชาการ งดเขียน

วันนี้ วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน 2557 ที่ตามปกติ เว็ปไซต์ชุมชนนักกฎหมายมหาชน www.pub.law.net จะเผยแพร่ บทบรรณาธิการ ประจำ 2 สัปดาห์ ของ ศ.ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ แต่ปรากฏว่า วันนี้ หน้าแรกของเว๊ปไซต์ มีข้อความเขียนว่า

สำหรับวันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน 2557 ถึงวันที่เสรีภาพทางวิชาการได้รับการคุ้มครอง

"รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557"

ตามที่ได้เกิดการรัฐประหารขึ้นในประเทศไทยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม 2557 และต่อมา ได้มีประกาศฉบับที่ 11/2557 ให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สิ้นสุดลง ยกเว้นหมวด 2 พระมหากษัตริย์ที่ยังคงอยู่แต่เพียงหมวดเดียว การสิ้นสุดลงของรัฐธรรมนูญดังกล่าวทำให้สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยตามหมวด 3 แห่งรัฐธรรมนูญสิ้นสุดลงไปด้วย

เมื่อไม่มีมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่รับรองเสรีภาพทางวิชาการ การเขียนบทบรรณาธิการของ www.pub-law.net ต่อไปน่าจะเป็นการเสี่ยงเกินความจำเป็น ผมจึงขอหยุดการเขียนบทบรรณาธิการไว้ก่อนจนกว่าเสรีภาพทางวิชาการจะได้รับการคุ้มครองตามเดิม

เพื่อเป็นข้อมูล เมื่อครั้งที่เกิดการรัฐประหารครั้งก่อนคือเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 นั้น ผมไม่ได้หยุดเขียนบทบรรณาธิการของ www.pub-law.net เพราะเมื่อผมเขียนบทบรรณาธิการครั้งที่ 143 สำหรับวันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2549 วันถัดมาเกิดการรัฐประหารและรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ก็สิ้นสุดลง แต่เพียง 2 สัปดาห์หลังการรัฐประหาร มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2549 โดยมีมาตรา 3 ที่บัญญัติเอาไว้ว่า "ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้วย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้" จึงทำให้ผมสามารถเขียนบทบรรณาธิการครั้งที่ 144 สำหรับวันที่ 2 ตุลาคม 2549 ได้โดยไม่ต้องหยุดครับ

พบกันใหม่เมื่อวันที่เสรีภาพทางวิชาการได้รับการคุ้มครองครับ

จี้ คสช.ตัดปีก “แม้ว” เลิกปูดข่าวรัฐบาลพลัดถิ่น ถอนพาสปอร์ต-จับตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดน!


จี้ คสช.ตัดปีก “แม้ว” เลิกปูดข่าวรัฐบาลพลัดถิ่น ถอนพาสปอร์ต-จับตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดน!

 





        ชี้เหตุ ทักษิณ ชินวัตร และบรรดาลูกหาบ ออกมาปูดข่าวจัดตั้ง “รัฐบาลพลัดถิ่น” หวั่น คสช.ขุดรากถอนโคนระบอบทักษิณ รื้อระบบยุติธรรม จะทำให้เด็กในคาถา “อัยการ-ตำรวจ” เปลี่ยนสี ขณะที่ “แม้ว” ไม่ปลอดภัย กลัวถูกจับตัวส่งกลับมาดำเนินคดีในไทย เร่งตีปี๊บให้นานาชาติเห็นใจถูกกลั่นแกล้งรัฐประหารถึง 2 ครั้ง หวังขอเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง ด้านวงในเผย คสช.ปิดเกมระบอบทักษิณไม่ยาก ต้องใช้ล็อบบี้ยีสต์ประโคมมรดกชั่วร้ายที่ระบอบทักษิณทิ้งไว้ให้กับแผ่นดินไทย พร้อมเสนอ “ถอน” พาสปอร์ต เพื่อให้ทักษิณโบยบินไม่ได้อีกแล้ว!


จี้ คสช.ตัดปีก “แม้ว” เลิกปูดข่าวรัฐบาลพลัดถิ่น ถอนพาสปอร์ต-จับตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดน!

      
         ความพยายามปูดกระแสจัดตั้ง รัฐบาลพลัดถิ่น ของคนในพรรคเพื่อไทย กลุ่มคนเสื้อแดง นปช. มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 6 เดือนที่ผ่านมาก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เข้ายึดอำนาจการปกครองเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมนั้น จึงเห็นเพื่อนสนิทมิตรสหายของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพลพรรคเพื่อไทยออกมาให้สัมภาษณ์ตอกย้ำถึงแผนการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น หากกองทัพเข้ายึดอำนาจด้วยการทำปฏิวัติรัฐประหารรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
      
       ดังนั้นแผนการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น จึงเป็นแนวทางที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีการเตรียมการมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณชี้ขาด แต่จะอยู่ที่มวลมหามิตรประเทศที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และแกนนำพรรคเพื่อไทย เคยติดต่อไว้ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาที่ตระกูลชินวัตรเข้าบริหารประเทศ
      
       ทั้งนี้เพราะเงื่อนไขในการรัฐประหารในปี 2549 และในปี 2557 ล้วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต คอร์รัปชัน ซึ่งหลายๆ ประเทศให้ความสำคัญ จึงมีการลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (United Nations Convention against Corruption-UNCAC,2003) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมทั่วโลก เพราะการคอร์รัปชันในยุคทุนนิยมนั้นจะมีการพัฒนารูปแบบ และกระบวนการที่แยบยลในระดับข้ามชาติ มีการยักย้ายถ่ายโอนสินทรัพย์ที่ได้มาโดยมิชอบกันอย่างง่ายดาย
      
       เมื่อเป็นเช่นนี้ประเทศต่างๆ จะกล้าเอาศักดิ์ศรีของประเทศมาปกป้องคนที่ถูกยึดอำนาจเพราะเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชันให้มีการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้อย่างไร แล้วทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงต้องดิ้นรนจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นให้ได้!
      
       “ชินวัตร” ปลุกกระแสรัฐบาลพลัดถิ่น
      
       ทั้งนี้ในการปูดกระแส “รัฐบาลพลัดถิ่น” ของระบอบทักษิณ มีมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สมัยที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน (บิ๊กบัง) หัวหน้าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณ กระทั่งมาถึงยุคของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก่อนที่จะมีการยึดอำนาจโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็มีเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 สมาชิกพรรคเพื่อไทย ออกมาโหมกระพือในทำนองข่มขู่หากกองทัพทำการปฏิวัติ รัฐประหารรัฐบาลชินวัตร ก็จะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นมาต่อสู้ทันที
      
       เมื่อย้อนมองเหตุการณ์ไปในปี 2553 ที่มีการต่อสู้ระหว่าง นปช.คนเสื้อแดง กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้น พ.ต.ท.ทักษิณได้วิดีโอลิงก์ถึงเวทีการชุมนุมใหญ่ ณ เขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี บอกกับคนเสื้อแดงว่าจะปล่อยให้พี่น้องสู้ตามลำพังได้อย่างไร ถ้ามีการทำปฏิวัติขึ้นมาตัวเขาจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นมา เพราะการปฏิวัติทำให้ประเทศเสียหายล้าหลัง พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศลำบากกันหมด มีสบายกันอยู่ไม่กี่คน จึงปล่อยให้ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว
      
       ขณะที่ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในช่วงก่อนการรัฐประหาร พล.ท.มนัส เปาริก เพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยออกมาเปิดเผยว่า ทุกฝ่ายก็เปิดหน้ากันออกมาหมดแล้ว ว่าใครต้องการอะไร ทหารจะดำเนินการโดยใช้คำว่าออกมาดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยแทนการปฏิวัติ ซึ่งจะเป็นไปตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. เคยพูดไว้ ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็จะไม่หนี แต่จะไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น และหากกองทัพทำเมื่อไร กองทัพตายเมื่อนั้น จบเกมไม่มีถอย เราประกาศเอาไว้แล้วว่าจะไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่มาจาก 2 รูปแบบคือ 1. ใช้กำลังทหาร 2. ให้อำนาจศาลและองค์กรอิสระ ทั้ง 2 อย่างนี้จะไม่ยอมทั้งสิ้น
      
       แต่ที่ชัดเจนที่สุดก็คือการออกมาให้สัมภาษณ์ เอบีซี นิวส์ สื่อดังของออสเตรเลียของ นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความชื่อดังชาวแคนาดา แห่งสำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัม แอนด์ พาร์ทเนอร์ส ซึ่งรับจ้างเป็น “ที่ปรึกษากฎหมาย” ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มคนเสื้อแดง ออกมาให้ข่าวว่าสองพี่น้องตระกูลชินวัตรมีแผนตั้ง “รัฐบาลพลัดถิ่น” ในต่างแดน หลังเกิดการรัฐประหารที่ไม่ชอบธรรมที่นำโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
      
       ล่าสุด นายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในคนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ออกมาปูดข่าวย้ำอีกว่าเตรียมตั้งองค์กรพลัดถิ่นในประเทศใดประเทศหนึ่งมีเป้าหมายต่อต้านคณะรัฐประหารที่เข้ามาโค่นล้มอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของ น.ส.ยิ่งลักษณ์เพื่อปูทางไปสู่การตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในไม่ช้านี้
 
จี้ คสช.ตัดปีก “แม้ว” เลิกปูดข่าวรัฐบาลพลัดถิ่น ถอนพาสปอร์ต-จับตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดน!
ทักษิณ ชินวัตร วิดีโอลิงก์กับคนเสื้อแดงเคยกล่าวถึงการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น(ภาพจาก Intenet)
      
         หวั่น คสช.จี้ “อัยการ-ตำรวจ” เล่นงาน
      
       ด้านแหล่งข่าวความมั่นคง ระบุว่า สาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความพยายามจะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นให้ได้ เพื่อที่ตัวเขาจะมีสถานะเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง เพราะตั้งแต่มีการยึดอำนาจของ คสช.และมีการสลายขั้วอำนาจที่เคยรับใช้ระบอบทักษิณ ทั้งข้าราชการ นักการเมือง คนเสื้อแดง กองกำลังติดอาวุธ รวมไปถึงการยึดอาวุธสงครามจำนวนมากนั้นทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองหมดโอกาสที่จะได้กลับเมืองไทย และโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งดูจะเป็นเรื่องยากมาก
      
       “เขารู้ตัวว่ากลับมาเมืองไทยไม่ได้ ถ้ากลับมาก็ต้องติดคุก ตอนนี้เขากลัวมากคือกลัวถูกส่งตัวมาลงโทษสูง หากเขาเดินทางไปในประเทศที่ไทยมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน”
      
       โดยสิ่งที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หวั่นไหวว่าจะถูกจับตัวมาลงโทษน่าจะเกิดจากอำนาจต่างๆ ถูกขุดรากถอนโคนไปมาก และเชื่อว่า คสช.จัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้นมาดำเนินงานก็คงจะมีการปัดกวาดองค์กรยุติธรรม ทั้งตำรวจ อัยการ และศาล รวมทั้งต้องมีการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็งขึ้น
      
       “ตำรวจ อัยการ ดีเอสไอ ส่วนใหญ่เป็นคนในระบอบทักษิณ ที่ผ่านมาจึงเพิกเฉยต่อการเอาคนผิดมาลงโทษ บอกแต่ว่าหาตัวไม่เจอตามที่มีคนแจ้งเบาะแสมาตามรูปถ่าย ทั้งที่ทักษิณต้องคดีเป็นนักโทษ”
      
       ดังนั้นหาก คสช.หรือรัฐบาลใหม่ดำเนินการอย่างจริงจัง อัยการก็จะต้องทำหน้าที่ติดตามคดี ประสานกับดีเอสไอ เข้าดำเนินการจับกุม ก็จะเป็นการบีบให้ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ได้เฉพาะประเทศที่ไม่ได้มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนแบบเดียวกับประเทศดูไบ ส่วนการไปใช้ชีวิตอยู่ประเทศที่มีสนธิสัญญาก็ต้องอยู่แบบระแวดระวังว่าจะถูกเล่นงานในช่วงการเดินทางเข้า-ออกบริเวณสนามบินของประเทศนั้นๆ หรือไม่
      
       “เขาถึงพยายามที่จะให้สังคมโลกได้เห็นว่าตระกูลชินวัตรถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง มีการรัฐประหารจากทหารเพื่อยึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ถึง 2 ครั้ง มีการเชื่อมโยงใช้กลุ่มการเมืองต่างๆ เพื่อโค่นล้มพรรคเพื่อไทย ทั้งหมดก็เพื่อให้เขาได้รับการคุ้มครองจากนานาชาติ”
      
       แหล่งข่าวอธิบายว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง ปัญหาการส่งผู้ร้ายข้ามแดนในประเทศที่มีสนธิสัญญาก็จะไม่เกิดขึ้น และประเทศนั้นๆ ก็จะให้อาศัยพักพิงในประเทศของตนได้ ซึ่งจะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางเข้า-ออกได้สะดวก ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกจับตัวส่งกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย
      
       มิตรประเทศแค่ขู่-ไม่ให้ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
      
       แหล่งข่าวบอกอีกว่า ทันทีที่ คสช.เข้ายึดอำนาจก็เดินหน้าขจัดปัญหา อุปสรรค และข้อขัดแย้งต่างๆ อย่างรวดเร็ว เพื่อเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมไปถึงความเชื่อมั่นจากประชาชนคนไทยทั้งหมด ด้วยการลบภาพความขัดแย้งการเมือง 2 ขั้วและหันไปสร้างความสมานฉันท์ในทุกกลุ่ม เพราะหากแก้ปัญหาการเมืองให้มีเสถียรภาพ และจัดให้มีการเลือกตั้ง มีรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายตาม Roadmap ที่ คสช.วางไว้จะเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนประเทศได้สำเร็จ
      
       ขณะเดียวกันกระทรวงการต่างประเทศ ก็ประสานสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ชี้ให้เห็นถึงปัญหาและความจำเป็นในการเข้ายึดอำนาจของ คสช.และยืนยันจะส่งมอบความสุขคืนประเทศไทยโดยเร็ว
      
       “วันนี้เราจะได้เห็นมิตรประเทศ ยืนยันไม่ให้มีการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นเกิดขึ้นในบ้านเขาโดยเฉพาะกัมพูชา ที่เป็นมิตรประเทศสนิทกับตระกูลชินวัตรมากทั้งในเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว และทางการเมือง ก็ยังออกมาปฏิเสธที่จะให้ใช้กัมพูชาเป็นที่จัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น”
       โดยสำนักข่าวต่างประเทศระบุว่า สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เปิดเผยว่า กัมพูชาจะไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาใช้กัมพูชาเป็นฐานในการโจมตีรัฐบาลของประเทศอื่น โดยอ้างอิงถึงเงื่อนไขที่ระบุถึงเรื่องความเป็นกลางและไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในรัฐธรรมนูญของกัมพูชา “ผมต้องการที่จะเน้นย้ำว่า กัมพูชาไม่ใช่สถานที่ที่ประเทศหรือกลุ่มใดๆ แม้กระทั่งกลุ่มของทักษิณ (ชินวัตร) จะเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้”
      
       ส่วนมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา หรือกรณีของประเทศออสเตรเลีย ที่ออกตัวแรงในการออกมาต่อต้านการทำรัฐประหารครั้งนี้ โดยนายชัค เฮเกล รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ที่บอกว่า “…….ให้คืนอำนาจให้ประชาชนคนไทย ด้วยการกำหนดให้มีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมในทันที และจนกว่าจะทำตามที่สหรัฐฯ เรียกร้อง สหรัฐฯ ขอระงับการสนับสนุนทางการทหาร และการซ้อมรบร่วมกับไทย รวมทั้งทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศ”
      
       ขณะที่ นายเดวิด จอห์นสตัน รัฐมนตรีกลาโหมออสเตรเลีย บอกว่า “…..ออสเตรเลียขอลดความร่วมมือกับกองทัพไทยและลดระดับความสัมพันธ์กับผู้นำทางทหารของไทย ....และยังจัดกลไกป้องกันไม่ให้ผู้นำรัฐประหารเดินทางไปยังออสเตรเลียด้วย โดยขอให้กองทัพไทยจัดทำแผนการคืนประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมให้เร็วที่สุด”
      
       อย่างไรก็ดี แม้ทั้งสองประเทศจะมีการออกตัวแรงในการต่อต้านคณะรัฐประหารของไทย แต่เชื่อว่าหัวหน้า คสช.และกระทรวงการต่างประเทศจะสามารถคลี่คลายปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้ โดยแหล่งข่าว อธิบายว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่ประเทศเหล่านี้จะต้องออกมาต่อต้านหรือตัดสัมพันธ์ในช่วงแรก เพราะประเทศเหล่านี้กระทำเพื่อปกป้องภาคธุรกิจของตัวเองที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ก็เกรงว่าจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครอง
      
       “เขามีธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทยอย่างเชฟรอนที่เข้ามาลงทุนในไทย ก็คงจะกลัวได้รับผลกระทบ เลยจี้ให้เราจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว ตอนนี้อยู่ที่ คสช.ต้องชี้ให้ชาวโลกได้รู้ว่า การรัฐประหารที่เกิดขึ้นมันมีรากฐานมาจากการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นอาชญากรของชาติที่น่ากลัวและเป็นตัวทำลายประชาธิปไตยโดยตรง”
      
       ดึงต่างชาติต้านคนโกงชาติ
      
       แหล่งข่าวบอกอีกว่า ถึงเวลาแล้วที่ คสช.ต้องหยิบประเด็นในเรื่องการลงนามในภาคีต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันเข้ามาเกี่ยวข้องตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (United Nations Convention against Corruption-UNCAC,2003) เพราะมีหลายประเทศที่แม้จะยังไม่มีการลงสัตยาบันแต่ได้มีการลงนามเป็นภาคีแล้วมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในเวลานี้
      
       โดยอนุสัญญาดังกล่าว จะร่วมต่อต้านการทุจริต คอร์รัปชัน ซึ่งวันนี้มีความซ้ำซ้อนและถือเป็นภัยร้ายหรืออาชญากรของประเทศ เนื่องจากการทุจริตจะกระทำในลักษณะข้ามชาติ มีการโอนสินทรัพย์ไปยังต่างประเทศทำให้การตรวจสอบยากขึ้นเช่นกัน
      
       ดังนั้นการที่รัฐบาลทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ถูกรัฐประหารทั้งสองครั้งล้วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตไม่ใช่ถูก
       กลั่นแกล้งทางการเมือง ซึ่งกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ คดีต่างๆ ก็มีการตัดสินจนกลายเป็นนักโทษหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศแล้ว
      
       “ตระกูลชินวัตรไม่ได้แค่ถูกยึดอำนาจ ทักษิณยังมีคดีติดตัว และยังถูกยึดทรัพย์จำนวน 46,000 ให้ตกเป็นของแผ่นดิน”
      
       สำหรับคดีที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณต้องระหกระเหินไปอยู่ต่างประเทศจนถึงวันนี้ก็คือ คดีทุจริตประมูลซื้อที่ดินรัชดาภิเษก ที่ศาลอาญาแผนกคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ตัดสินจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดฐาน “เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมกันเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบหรือดำเนินคดี และเป็นเจ้าพนักงาน และสนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นฯ”
      
       ถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และประมวลกฎหมายอาญา โดยเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2550 พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ไปรายงานตัวและเดินทางไปยังกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แม้วันนี้เขาจะหนีรอดไม่ติดคุกติดตะราง แต่ก็ต้องระหกระเหินใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ เพราะคดีนี้มีอายุความ 15 ปีซึ่งจะหมดอายุความในวันที่ 12 สิงหาคม 2566
      
       ส่วนกรณีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ปรากฏให้เห็นชัดในเรื่องการทุจริตจำนำข้าวที่ทำให้รัฐเสียหายซึ่งมีการประมาณการไว้ที่ 5 แสนล้านบาท และมีกลุ่มการเมืองได้ประโยชน์จากโครงการนี้แน่นอน
 
จี้ คสช.ตัดปีก “แม้ว” เลิกปูดข่าวรัฐบาลพลัดถิ่น ถอนพาสปอร์ต-จับตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดน!
พาสปอร์ตของทักษิณที่ได้รับคืนในยุคยิ่งลักษณ์ ชินวัตร(ภาพจาก Intenet)
      
         จี้ คสช.ถอนพาสปอร์ต “ทักษิณ”
      
       ดังนั้นสิ่งที่ คสช.จะต้องเร่งดำเนินการเร่งด่วนเพื่อไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้เครือข่ายที่มีอยู่เล่นงานและทำให้ประเทศไทยเสียหาย ทั้งในเรื่องการสนับสนุนให้มีการต่อต้านรัฐประหารทั้งในและต่างประเทศรวมไปถึงการประโคมข่าวเคลื่อนไหวจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในต่างประเทศ ที่ล้วนแล้วเกี่ยวพันกับ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งสิ้น
      
       แหล่งข่าวบอกอีกว่า คสช.ต้องจัดหาล็อบบี้ยิสต์เข้ามาช่วยในการสื่อสารให้โลกเห็นความเลวร้ายที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ทำไว้กับประเทศไทย เพื่อให้ประชาชนพลเมืองของประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็นผู้กดดันรัฐบาลของประเทศเขาไม่ให้การสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ และพลพรรคของเขาในการจัดตั้งองค์กรเคลื่อนไหวเพื่อไปสู่เป้าหมายในการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในประเทศนั้น เพราะการจะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในประเทศใดก็ตามจะสำเร็จได้ต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและพลเมืองของประเทศนั้นๆ เป็นหลัก รวมถึงประชาชนคนไทยที่อยู่ในประเทศไทยด้วย
      
       “ประเทศต่างๆ ต้องเลือกให้ถูกว่า จะสนับสนุนคนโกงชาติ เพราะมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจด้วยกัน หรือจะเลือกศักดิ์ศรีของประเทศที่เคยลงนามภาคีในการต่อต้านคอร์รัปชัน”
      
       ส่วนประเด็นสำคัญสุดและสามารถจัดการได้อย่างรีบด่วน คือการสั่งให้กระทรวงการต่างประเทศถอนหนังสือเดินทาง พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณตกเป็นจำเลยที่ศาลมีหมายจับสั่งห้ามออกนอกประเทศแล้ว
      
       “ก่อนหน้านี้ผู้ตรวจการแผ่นดิน เคยทำเรื่องถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ผ่านไปยังกระทรวงการต่างประเทศให้ทบทวนการออกหนังสือเดินทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเขาเป็นจำเลยในคดีอาญาที่ศาลฎีกาออกหมายจับ และศาลมีคำสั่งห้ามไม่ให้ออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล”
      
       ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่กระทรวงการต่างประเทศ จะจัดการทบทวนหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ และทันทีที่เขาถูกถอนหนังสือเดินทางไทย จะทำให้โลกอันกว้างใหญ่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถใช้เงินมหาศาลที่มีอยู่เดินทางไปไหนอย่างสะดวกสบาย แคบลงสำหรับเขาในทันที!


อ่านต่อ: http://www.muslimvoicetv.com/ncontent/news.php?nid=15124#ixzz34ASlopMl

ทหารส่ง "สาวตรี นิติราษฎร์" ถึงบ้านแล้ว หลังคุมตัว 3 วัน ไม่ถูกตั้งข้อหา ไม่มีคดีติดตัว

ทหารส่ง "สาวตรี นิติราษฎร์" ถึงบ้านแล้ว หลังคุมตัว 3 วัน ไม่ถูกตั้งข้อหา ไม่มีคดีติดตัว
จากกรณีเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง หรือ ตม. ควบคุมตัว นางสาวสาวตรี สุขศรี อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในสมาชิกกลุ่มนิติราษฎร์ ระหว่างเดินทางกลับจากต่างประเทศ ตามคำสั่งที่ คสช. เรียกไปรายงานตัว ระหว่างที่ น.ส.สาวตรี ยังเดินทางไปดูงานด้านสิทธิมนุษยชนตามคำเชิญจากสถานทูตสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 โดยนางสาวสาวตรี และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แจ้งทาง คสช.ไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะไปรายงานตัวกับ คสช. ในวันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน
จากนั้น มีการได้นำตัว น.ส.สาวตรี ไปที่ กองพันทหารสารวัตรทหารอากาศ(สห.ทอ.) ถึงช่วงค่ำวันที่ 7 มิ.ย. แล้วนำตัวไปที่ค่ายจักรพงษ์ จังหวัดปราจีนบุรีช่วงกลางดึกวันเดียวกันนั้น
ล่าสุดเวลาประมาณ 21.00 น. (9 มิถุนายน 2557) มีรายงานว่า น.ส.สาวตรีได้รับการปล่อยตัวแล้ว โดย คนใกล้ชิดยืนยันเมื่อเวลาประมาณ 22.12 น. ว่า น.ส.สาวตรี กลับถึงบ้านแล้ว โดยมีทหารมาส่งถึงบ้าน พร้อมกับถ่ายรูปหน้าบ้าน โดยไม่มีการตั้งข้อหาและไม่มีคดีติดตัว