PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เปิดเกมรุก หยุดทักษิณ ก็ต้องหยุดแรงกระเพื่อม !

หลัง คสช. เดินเกม ถอนพาสปอร์ต พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต่อด้วยเดินหน้าถอด ถอดยศ ถือเป็นการเปิดเกมรุกสะกด การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่พยายามออกมาเคลื่อนไหวในต่างแดน ซึ่งการเดินเกมนี้มีหลายฝ่ายวิเคราะห์ว่า เป็นเพราะการต่อรองของ พ.ต.ท.ทักษิณ กับ กลุ่ม คสช.ไม่สามารถเจรจากันต่อไปได้ หรือ ดีลการต่อรองไม่มีทางเกิดขึ้น

การออกมาเปิดเกมรุก พุ่งตรงไปยังตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเป็นการพุ่งเป้าตรงมายังหัวขบวนของกลุ่ม เป็นต้นตอของกลุ่มอำนาจในซีกนี้โดยตรง และเป็นการสะท้อนรากของปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยที่ผ่านมาว่า ปัญหาที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ คือต้นตออย่างแท้จริง

ปัญหาความขัดแย้งในสังคมต้องยอมรับว่า ปัญหาได้ลุกลามขึ้นมาตั้งแต่ช่วง พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามามีอำนาจทางการเมือง แม้จะผ่านการนั่งในอำนาจโดยตรงเนื่องจากต้องหลบลี้หนีไปต่างประเทศเหตุหนี้คดีที่ศาลตัดสินจำคุก และยังมีคดีความอีกมากมายหลายคดี แต่ในช่วงที่พรรคการเมืองอีกซีกอย่างประชาธิปัตย์จะขึ้นมามีอำนาจทางการเมืองเป็นรัฐบาล อิทธิพลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังคงมีอยู่เหนือตัวแทนที่นั่งอยู่ในพรรคการเมืองที่ตัวเองก่อตั้ง และ กลุ่มการเมืองจัดตั้ง อย่างนปช. อย่างแท้จริง

ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์เปิดเกมรุกกลับจาก คสช. ในเรื่องถอนพาสปอร์ต และ เดินหน้าถอดยศ ทำให้การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ หยุดชะงักทันที แต่ สิ่งที่เราเห็นต่อมาก็คือ บรรดาเครือข่ายพลพรรค ต่างออกมาดิ้น ตอบโต้การกระทำดังกล่าวเป็นละลอก

พยายามสร้างความชอบธรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างเป็นการไล่ล่าตระกูลชินฯ ไม่เป็นธรรม อ้างไปถึงแนวทางนี้ไม่สามารถเดินหน้าไปสู่ความปรองดองในอนาคตได้

แน่นอนว่า หลังการเดินเกมรุกเปิดใส่ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยตรงแบบนี้ ถามว่า คสช.ประเมินหรือไม่ว่าจะเกิดกระแสต้านจากพลพรรค การเคลื่อนไหวใต้ดินหนักขึ้นหรือไม่ เรื่องนี้ยอมต้องมีการประเมินและเตรียมตั้งรับกันพอสมควร จะเห็นได้ว่า ในส่วนของฝ่ายความมั่นคงได้ออกมาให้ข่าวว่าได้จับตาดูในเรื่องดังกล่าวอยู่ แต่ขณะนี้ยังไม่มีอะไรที่ผิดปรกติ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความนิ่งในขณะนี้ ไมใช่เรื่องที่จะไว้วางใจได้ เพราะก่อนหน้าในช่วงสงกรานต์ก็เกิดความเคลื่อนไหว เกิดเหตุความรุนแรงขึ้นในพื้นที่เกาะสมุยแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ในภาคใต้มาแล้ว ซึ่งทางฝ่ายความมั่นคงก็ประเมินว่านี้เป็นการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง มีการติดตามจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีอยู่ในขณะนี้

ดังนั้น หลายฝ่ายที่ประเมินสถานการณ์ว่า นับจากนี้อาจมีการเปิดเกมแรงใส่ มีการเคลื่อนไหวใต้ดินหนักขึ้นจึงไม่อาจประมาทได้เด็ดขาด แม้ขณะนี้หน้าฉากจะยังเป็นเพียงสงครามน้ำลาย ที่เหล่าแม่ทัพนายกองจะอาศัยช่องทางต่างๆปล่อยแนวคิดผ่านสื่อทั้งสื่อออนไลน์และสื่อกระแสหลักเท่านั้น
นับจากนี้ เมื่อคสช.เปิดเกมรุก ย่อมเกิดแรงกระเพื่อม แต่จะสามารถสกัดหยุดแรงเหล่านั้นลงได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าติดตามกันต่อไป...
.............................
ขอบคุณ ...เปลวไฟน้อย


บุกค้นเรือนำเที่ยวท่าน้ำพระราม3 ผงะ ! ซุกอาวุธสงครามอื้อ

ตำรวจกองปราบขยายผลจับกุมผู้ต้องหาค้ายาเสพติด พบยาไอซ์-อาวุธสงครามซุกเรือนำเที่ยววัดคลองภูมิ ย่านพระราม3 ผู้การฯกองปราบ ปัดเชื่อมโยงการเมือง
วันที่ 2 มิ.ย. 2558พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วย พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รักษาราชการแทนผู้บังคับการกองปราบราม เข้าตรวจสอบบริเวณท่าน้ำวัดคลองภูมิ ซอยพระรามสาม 46 เขตยานนาวา กทม. หลังรับแจ้งว่า พบวัตถุระเบิดหลายรายการและเครื่องกระสุนปืนซุกซ่อนอยู่ในเรือนำเที่ยวลากจูง ชื่อ ดิแอดมิราล ซึ่งจอดอยู่บริเวณท่าน้ำดังกล่าว
จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบระเบิดซีโฟร์ น้ำหนักประมาณ 2 ปอนด์ครึ่ง ระเบิดเครโมจำนวน 1 ลูก ระเบิดชนิดเอ็ม67 จำนวน 1 ลูก ระเบิดควันจำนวน 1 ลูก กระสุนปืนเอ็ม16 จำนวน 224 นัด ยาไอซ์ น้ำหนักประมาณครึ่งกรัม
ขณะที่พ.ต.อ.อัคราเดช เปิดเผยว่า เบื้องต้นตำรวจขยายผลมาจากการจับผู้ต้องหาคดียาเสพติด ซึ่งเป็นช่างเครื่องประจำเรือลำนี้ โดยการขยายผลมาตรวจค้นที่เรือลำดังกล่าว จึงพบของกลางทั้งหมดซุกซ่อนอยู่ และจากการตรวจสอบประวัติของผู้ต้องหา พบว่ามีความเชื่อมโยงกับคดีลักลอบค้าอาวุธสงครามและเชื่อว่าอาวุธที่พบไม่น่าจะเชื่อมโยงกับคดีทางการเมืองแต่อย่างใด


เกมลึก "บิ๊กตู่" ผ่าตัดทัพ 1 "อุดมเดช" นิ่ง จับตา "พอพล-ปรีชา" ชิง ผบ.ทบ. และแม่ทัพเรือ "เข้"

เกมลึก "บิ๊กตู่" ผ่าตัดทัพ 1 "อุดมเดช" นิ่ง จับตา "พอพล-ปรีชา" ชิง ผบ.ทบ. และแม่ทัพเรือ "เข้"

วันที่ 02 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 11:30:03 น.

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (แฟ้มภาพ)

รายงานพิเศษ/มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 27 ก.ย.- 3 ต.ค.2556)



แม้บัญชีแต่งตั้งโยกย้ายทหาร จะคลอดออกมาแล้ว แต่เรื่องที่ยังเม้าธ์กันสนั่นกองทัพบก ก็คือ ฝีมือการตัดกองทัพภาค 1 ของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.

เพราะนอกจากจะเปลี่ยนแม่ทัพภาค 1 คนใหม่ ด้วยการคิดใหม่ทำแปลก โดยให้บิ๊กหมู พล.ท.ธีระชัย นาควานิช ขยับแนวระนาบจาก รอง เสธ.ทบ. มานั่งคุมขุมกำลังหลัก แทนการให้ขึ้นจาก รองแม่ทัพภาค 1 หรือแม่ทัพน้อย 1

แถมทั้ง พล.ท.ธีระชัย ก็ไม่ได้อยู่ในเส้นทางเหล็กของผู้ที่จะขึ้นแม่ทัพภาค 1 เพราะแม้จะเป็น ผู้บังคับกองพัน และผู้บังคับการกรม จาก พล.ร.2 รอ. บูรพาพยัคฆ์ แต่ก็ไม่เคยเป็น ผู้บัญชาการกองพล มาก่อน แต่ก็เคยเป็นแม่ทัพน้อย 1

แต่ด้วยเพราะ เก้าอี้แม่ทัพภาค 1 ในโยกย้ายครั้งนี้ เป็นโควต้าของบูรพาพยัคฆ์และน้องรักของบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต รมว.กลาโหม พี่ใหญ่แห่งทหารเสือตะวันออก จึงทำให้ พล.ท.ธีระชัย ข้ามมาเสียบแทนบิ๊กอู๊ด พล.ท.วลิต โรจนภักดี ที่ยังต้องนั่งเป็นแม่ทัพน้อย 1 รอที่จะเป็นแม่ทัพภาค 1 ในปีหน้า ด้วยความหวังว่าจะไม่ถูกเสื้อแดงสกัดอีก

แต่ทว่าได้ถูกมองว่า เป็นกลเกม การเตะถ่วงเวลาของ พล.ท.ธีระชัย ที่เดิมมีชื่อจ่อชิง เสธ.ทบ. แต่เพราะหากให้ขึ้นมาเป็นพลเอก ขึ้นห้าเสือ ทบ. เลย ก็จะกลายเป็นแคนดิเดต ผบ.ทบ.คนใหม่ ในการโยกย้ายปลายปี 2557 เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เกษียณ แข่งกับบิ๊กโด่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เสธ.ทบ. เพื่อน ตท.14 กันเอง ที่ขยับขึ้นจ่อเป็น รอง ผบ.ทบ. เนื่องจาก พล.ท.ธีระชัย เกษียณปี 2559 ส่วน พล.อ.อุดมเดช นั้นเกษียณปี 2558

อีกทั้งจะเป็นการทำให้ พล.ท.ธีระชัย ได้เปรียบบิ๊กติ๊ก พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพภาค 3 น้องชายแท้ๆ ของ พล.อ.ประยุทธ์ เอง ที่ถูกจับตามองว่า ในโยกย้ายปลายปีหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จะผลักดันขึ้นห้าเสือ ทบ. แน่นอน เพื่อไปวัดดวงชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. คนต่อจาก พล.อ.อุดมเดช



พล.ท.ปรีชา นั้นเป็นแกนนำ ตท.15 แถมมีอายุราชการถึงปี 2559 โผโยกย้ายครั้งนี้จึงถูกมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ จัดทัพเพื่อกรุยทางให้น้องชาย

เพราะ พล.ท.วลิต เอง ก็ไม่ได้ขึ้นแม่ทัพภาค 1 แต่เป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 ต่อไป เพราะเขาเป็น ตท.15 และมีอายุราชการถึงปี 2559 เช่นเดียวกับ พล.ท.ปรีชา

เชื่อกันว่า ก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จะเกษียณ ก็คงต้องส่ง พล.ท.ปรีชา น้องชาย ขึ้นฝั่งเป็นห้าเสือ ทบ. ก่อน เพื่อให้ไปวัดดวงเอาว่าจะได้เป็น ผบ.ทบ. ต่อจาก พล.อ.อุดมเดช หรือไม่ เพราะ พล.อ.อุดมเดช นั้น เมื่อเป็น ผบ.ทบ. ในโยกย้ายปลายปีหน้า ก็คงต้องตอบแทน พล.อ.ประยุทธ์ ในลักษณะใดลักษณะหนึ่งแน่

อีกทั้งยังมีเหตุผลที่สวยงาม ในการดันแม่ทัพภาค 3 ขึ้นห้าเสือ ทบ. ว่าเพื่อเป็นการกระจายความเป็นธรรม ไม่ใช่ให้แต่แม่ทัพภาค 1 เท่านั้น

หนทางของ พล.ท.ปรีชา สู่เก้าอี้ 5 เสือ ทบ. อาจจะมองเห็นชัดเจน แต่ทว่าหนทางที่จะขึ้นเป็น ผบ.ทบ. นั้นไม่ง่าย

ด้วยเพราะ พล.ท.ปรีชา นั้น ไม่ใช่แค่ไม่ได้โตมาในสายกำลังรบ หรืออาจเรียกว่า ไม่ได้เป็นดาวรุ่งหรือดาวเด่นในกองทัพภาค 3 มาก่อนเลย จนเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็น ผบ.ทบ. นี่เอง ที่เขาได้เข้าไลน์เป็นรองแม่ทัพภาค 3 แม่ทัพน้อย 3 และ เป็นแม่ทัพภาค 3



ทั้งนี้ ยังมีบิ๊กอุ๋ย พล.ท.พอพล มณีรินทร์ ผบ.ร.ร.นายร้อย จปร. ที่ไม่อาจมองข้าม เพราะมีข่าววงในว่า ได้รับการผลักดันจากแกนนำพรรคเพื่อไทย ให้ขึ้นเป็นห้าเสือ ทบ. ตั้งแต่การโยกย้ายครั้งล่าสุดแล้ว แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ต่อรองให้รอไปก่อน เพราะเป็น ตท.16 และมีอายุราชการถึงปี 2559

แต่เชื่อว่าโผหน้า ก่อน พล.อ.ประยุทธ์ เกษียณ ก็คงต้องไฟเขียวให้ พล.ท.พอพล ขึ้นมาเป็นห้าเสือ ทบ.

แม้ว่าภาพพจน์ พล.ท.พอพล จะเป็นนายทหารที่ติดตามบิ๊กจิ๋ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มายาวนาน แต่ทว่าเส้นทางของเขานั้นไม่ธรรมดา ตรงที่เป็นนายทหารรบพิเศษหมวกแดง และเป็นนักรบเหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร จึงได้ถูกคัดเลือกมาเป็นนายทหารคนสนิท พล.อ.ชวลิต ตอนเป็น ผบ.ทบ.

แต่ทว่าก็ไม่เคยเป็น ผู้บัญชาการกองพลคุมสายกำลังรบ แต่เป็น ผบ.ร.ร.เตรียมทหาร ผบ.ร.ร.นายร้อย จปร. ที่ถือว่าเป็นนายทหารที่สมาร์ต และเป็นครูใหญ่ของเด็กๆ

ที่สำคัญ เขาเป็นน้องชายของ พล.ต.ท.วงกต มณีรินทร์ แกนนำ ตท.10 เพื่อนซี้ พ.ต.ท.ทักษิณ

ทั้ง พล.ท.ปรีชา และ พล.ท.พอพล จะเป็นตัวแทนของ ตท.15 และ ตท.16 ในการชิงขึ้นมาเป็นห้าเสือ ทบ. ในโยกย้ายปลายปีหน้า และชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. กันในปลายปี 2558



แต่ทว่า ณ เวลานี้ พล.อ.อุดมเดช เสธ.ทบ. ที่ขยับขึ้น รอง ผบ.ทบ. นั้น ถูกมองว่านอนมา 100% ที่จะเป็น ผบ.ทบ.คนใหม่ ต่อจาก พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะเกษียณกันยายน 2557 นี้ เพราะพร้อมสรรพทั้งเส้นทางรับราชการที่โตมาในสายกำลังรบ และเป็นนายทหารเสือราชินี

มีความสนิทสนมใกล้ชิดกับฝ่ายรัฐบาลพรรคเพื่อไทย จากการทำงานในฐานะ เสธ.ทบ. ที่เป็น เลขาธิการ กอ.รมน. ด้วยทำให้กลายเป็นคนคุ้นเคยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่เป็น ผอ.รมน. ด้วย

รวมทั้งการเป็น แผงดรีมทีมความมั่นคง ทั้งกับบิ๊กแมว พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาฯ สมช. เพื่อน ตท.14 น้องรักของ พ.ต.ท.ทักษิณ และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาฯ ศอ.บต. และบิ๊กแป๊ะ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกลาโหม คนใหม่ เพื่อน ตท.14 ที่กลายเป็นนายทหารข้างกาย น.ส.ยิ่งลักษณ์ อีกคน

เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้จะมีโปรดเกล้าฯ ให้เป็น รอง ผบ.ทบ. ครองอัตราจอมพล แล้ว แต่ พล.อ.อุดมเดช ก็ยังรักษาอาการนิ่งไว้ได้ดังเดิม ไม่มีการยิ้มร่า หรือดีใจอะไรจนเกินงาม และหลีกเลี่ยงที่จะให้ใครแสดงความยินดี

ทั้งนี้ อาจเพราะเกรงว่าจะออฟไซด์ พล.อ.ประยุทธ์ ที่กำลังจะหมดความสำคัญหมดอำนาจลงไปด้วยนั่นเอง



ที่น่าจับตามองคือ ตอนนี้ ตท.14 ขึ้นมาเป็นแผงรองรับ พล.อ.อุดมเดช แล้ว ทั้ง พล.ท.ธีระชัย เป็นแม่ทัพภาค 1 พล.ท.ชาญชัย ภู่ทอง เป็นแม่ทัพภาค 2 บิ๊กโบ้ พล.ท.อักษรา เกิดผล เป็น เสธ.ทบ.คนใหม่ และจะเป็น เลขาธิการ กอ.รมน.ที่จะมาอยู่ในดรีมทีมความมั่นคงด้วย

และต้องรอดูว่า ตท.14 แผงดรีมทีมความมั่นคง จะยึดเก้าอี้แม่ทัพภาค 4 ในการโยกย้ายกลางปี เมษายนปีหน้าหรือไม่ เมื่อบิ๊กแขก พล.ท.สกล ชื่นตระกูล จะต้องขยับเป็นพลเอก เตรียมเกษียณ เมื่อนั้น อาจมีการส่งบิ๊กไก่ พล.ต.กิตติ อินทสร รองแม่ทัพภาค 4 แกนนำ ตท.14 ขึ้นมาเป็น พลโท ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายข่าว ไว้แล้ว

เพราะแม้จะมีข่าวว่า มีบางสูตรอำนาจที่จะดัน พล.ท.วลิต ลงไปเป็นแม่ทัพภาค 4 ก็ตาม แต่วงใน ทบ. เชื่อกันว่า พล.ท.วลิต ต้องการลุ้นที่จะผ่านด่านรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและเสื้อแดง ขึ้นเป็นแม่ทัพภาค 1 มากกว่า ที่จะต้องหนีกระแสต้าน ลงไปโตในชายแดนใต้

เพราะแม้ร่างกายจะแข็งแรงดีแล้วจากที่ถูกระเบิดที่สี่แยกคอกวัว ตอนเมษายน 2553 แต่ก็อาจจะทำงานที่ชายแดนใต้ไม่ได้เต็มที่นัก

แต่อีกสูตรอำนาจหนึ่งคือ พล.อ.ประยุทธ์ อาจคิดใหม่ทำใหม่ ด้วยการให้ พล.ต.ปราการ ชลยุทธ รองแม่ทัพภาค 3 ที่ขยับไปเป็นรองแม่ทัพภาค 4 ในโผโยกย้ายล่าสุด ขึ้นเป็นแม่ทัพภาค 4 แทน เนื่องจากเห็นฝีมือเมื่อครั้งลงไปเป็น ผบ.ฉก.ยะลา และจะเป็นการส่งทหารจากเหนือ และเป็นทหารม้า มาแก้ไฟใต้บ้าง

อย่างไรก็ตาม ในบรรดา ผช.เสธ.ทบ.ชุดใหม่หลายคน ก็มีสิทธิ์ที่จะลุ้นเป็นแม่ทัพภาค 4 และแม่ทัพภาค 1 ชิงกับ พล.ท.วลิต ได้ เพราะขยับขึ้นพลโท กันในโผนี้แล้ว ทั้งบิ๊กโชย พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายยุทธการ บิ๊กอิ๊ด พล.ต.ภาณุวัชร์ นาควงษม์ ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายกิจการพลเรือน

แต่โอกาสที่ พล.ต.กัมปนาท ตท.16 และ พล.ต.ภาณุวัชร์ ตท.17 ซึ่งเกษียณปี 2559 ที่จะเป็น ผบ.ทบ.นั้น ริบหรี่ลงไปแล้วจากโผนี้ เพราะต้องไปไต่อีกหลายขั้น จาก ผช.เสธ. เป็น รอง เสธ.ทบ. นอกเสียจากขึ้นแม่ทัพภาคใดภาคหนึ่ง ในโยกย้ายปลายปี จึงจะมีสิทธิ์ลุ้น

ส่วนบิ๊กแกะ พล.ต.พิสิทธิ์ สิทธิสาท รองแม่ทัพภาค 1 ที่ถูกย้ายเป็น ผู้ทรงคุณวุฒิ ทบ. แต่ปลอบใจโดยให้เป็น พลโท นั้น ก็ดูจะหมดโอกาสโต เพราะถูกเรื่องร้องเรียน และเกมการเมืองภายใน ทบ. สกัดดาวรุ่งไปเรียบร้อยแล้ว



แต่คนที่คนใน ทบ. รู้ดีว่า คือทายาทอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็คือบิ๊กเข้ พล.ต.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ผบ.พล.ร.2 รอ. น้องรัก ที่ขยับขึ้นรองแม่ทัพภาค 1 ในโผครั้งนี้ เพื่อจ่อเป็นแม่ทัพภาค 1 ในอนาคต ที่คาดกันว่าเขาจะเป็นบูรพาพยัคฆ์อีกคนที่จะขึ้นมาแบบ Fast Track แบบ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ขึ้นมายศละปี ในตำแหน่ง โดย พล.ต.เทพพงศ์ นั้นเป็น ตท.18 ที่มีอายุราชการถึงปี 2562 เลยทีเดียว

ส่วนน้องรักอีกคนของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็คือบิ๊กตู่เล็ก ว่าที่ พล.ต.กู้เกียรติ ศรีนาคา แกนนำยังเติร์ก ทบ. แห่ง ตท.20 ที่ขึ้นมาเป็น ผบ.พล.ร.2 รอ. แทน

ในเวลานี้ ใน ทบ. เริ่มมองข้ามช็อตกันไปแล้วว่า เมื่อ พล.อ.อุดมเดช ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. ในปลายปีหน้า หน้าตาห้าเสือ ทบ. ที่วางกันไว้คือ ขยับ ว่าที่ พล.อ.อักษรา จาก เสธ.ทบ. เป็นรอง ผบ.ทบ. แล้วให้บิ๊กน้อย พล.ท.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รอง เสธ.ทบ. เพื่อน ตท.14 มาเป็น เสธ.ทบ. และมี พล.ท.พอพล ผบ.ร.ร.จปร. มาเป็น ผช.ผบ.ทบ. และ พล.ท.ธีระชัย แม่ทัพภาค 1 มาเป็น ผช.ผบ.ทบ. อีกคน

ส่วนบิ๊กต๊อก พล.ท.ไพบูลย์ คุ้มฉายา แม่ทัพภาค 1 แกนนำ ตท.15 ที่ขึ้นมาเป็น พลเอก เป็น ผช.ผบ.ทบ. ในโยกย้ายครั้งนี้ แม้จะมาแรงและ Fast Track ด้วยแรงหนุนจากแกนนำรัฐบาลพรรคเพื่อไทย รวมทั้ง เป็นน้องรักในสายวงศ์เทวัญของ พล.อ.ประยุทธ์ อีกด้วยก็ตาม แต่ก็เสียเปรียบ หากจะชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. กับ พล.อ.อุดมเดช ที่เป็นรุ่นพี่และอาวุโสกว่า เกินไปหลายขุมแล้ว

ตามโผของ ตท.14 แล้ว โยกย้ายปลายปีหน้า เมื่อ พล.อ.อุดมเดช ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ก็จะส่ง ว่าที่ พล.อ.ไพบูลย์ ขยับจาก ผช.ผบ.ทบ. ข้ามไปเป็น รองปลัดกลาโหม เลยทีเดียว

ท่ามกลางการจับตามองว่า พล.ท.ไพบูลย์ จะยอมง่ายๆ หรือ ในเมื่อเขานั้นถือว่าไม่ธรรมดา ตั้งแต่ฝ่าด่านต่างๆ ขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาค 1 ได้ โดยโดนครหาว่า เป็นใบสั่งจาก พ.ต.ท.ทักษิณ จนเจ้าตัวต้องออกมาประกาศว่า "คนอย่างผมไม่เคยกราบเท้าใคร" มาแล้ว

รวมถึงมีข่าวลือออกมาเสมอๆ ถึงการพบปะติดต่อกับ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่เนืองๆ ในต่างแดน ยิ่งเมื่อมีข่าวว่า พล.ท.ไพบูลย์ ลาไปต่างประเทศ ก็ต้องเช็กข่าวกันวุ่นว่าไปพบเจอใคร

เหล่านี้ถือเป็นเรื่องธรรมดาในวงการทหาร ในการแย่งชิงอำนาจในหมู่เพื่อนพี่น้องสายเลือดทหารด้วยกัน แต่จะยิ่งดุเดือด เมื่อต้องอิงอำนาจทางการเมือง



แต่ที่เชื่อว่าจะดุเดือดไม่แพ้กันก็คือ กองทัพเรือ ที่ บิ๊กเข้ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผบ.ทร.คนใหม่ จะต้องบริหารจัดการความขัดแย้งภายในของ ทร.

ทั้งความน้อยเนื้อต่ำใจ ในการแชร์อำนาจ กระจายอำนาจในแต่ละรุ่น เพราะแม้ว่าบิ๊กหรุ่น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. จะจัดให้มีทุกรุ่นใน 5 ฉลามทัพเรือ คือ พล.ร.อ.ณรงค์ และบิ๊กเจี๊ยบ พล.ร.อ.จักรชัย ภู่เจริญยศ รอง ผบ.ทร. และ พล.ร.อ.ไกรสรณ์ จันทร์สุวานิชย์ ผช.ผบ.ทร. เป็น ตท.13 และบิ๊กปุ๋ย พล.ร.อ.พิจารณ์ ธีรเนตร ผบ.กองเรือยุทธการ (ผบ.กร.) เป็น ตท.14 และบิ๊กจุ๊ พล.ร.อ.ทวีวุฒิ พงศ์พิพัฒน์ ตท.15 เป็น เสธ.ทร. ก็ตาม

แต่ก็พบว่า ตท.15 ขยับขึ้นมาเป็นพลเรือเอกหลายคน ในขณะที่ยังเป็นแผงอำนาจที่คุมกำลังรบทัพเรือ ทั้ง บิ๊กเผือก พล.ร.อ.อนุทัย รัตตะรังสี และบิ๊กณะ พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทร. ส่วน ตท.14 นั้น มีบิ๊กน้อง พล.ร.อ.พจนา เผือกผ่อง บิ๊กตัน พล.ร.อ.ชัยณรงค์ เจริญรักษ์

แต่ที่จับตามองคือ ปฏิกิริยาของบิ๊กต้อม พล.ร.อ.อมรเทพ ณ บางช้าง ที่ถูกเตะไปเป็น รอง ผบ.สส. เมื่อพลาดเก้าอี้ ผบ.ทร.

"ไม่มีอะไรหรอก ยังไงก็เพื่อนกัน คุยกันได้" พล.ร.อ.ณรงค์ ผบ.ทร.คนใหม่ เปรย พร้อมเชื่อมั่นว่า ทร. ไม่มีปัญหาในเรื่องความขัดแย้งอะไร

เพราะในส่วนตัวแล้ว พล.ร.อ.ณรงค์ เผยว่า "ผมเป็นคนใจดี ไม่ได้ดุเข้มอะไร ไม่เชื่อก็ลองดูได้"

โดยเขาจะพยายามทำให้ ทัพเรือ เป็นเหล่าทัพที่รักษาธรรมเนียมให้ได้มากที่สุด ทั้งในการเป็นทหารอาชีพ และวางระยะห่างกับการเมือง รวมทั้งอยู่กันแบบพี่ๆ น้องๆ

ภารกิจสำคัญก็คือ การสานต่อในการแก้ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ ในฐานะที่ ทร. มีหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน (ฉก.นย.) ดูแลพื้นที่ 5 อำเภอของ จ.นราธิวาส โดยเน้นที่การดูแลสวัสดิการ ขวัญกำลังใจของทหาร เช่นที่ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ เคยทำไว้ จนมีการตั้งกองทุนน้ำใจไทยฯ ช่วยดูแล

"ผมตั้งใจว่า เมื่อรับมอบหน้าที่ ผบ.ทร. แล้ว ก็จะลงใต้ไปเยี่ยม พบปะทหารเรือที่นราธิวาส" บิ๊กเข้ กล่าว



ส่วนที่สงสัยกันว่า เพราะเหตุใด จึงมีชื่อเล่นว่า "เข้" นั้น พล.ร.อ.ณรงค์ เผยว่า เพราะเป็นคนที่ชอบว่ายน้ำมาก ตอนเรียน ร.ร.เตรียมทหารนั้น เพื่อนๆ เห็นว่าชอบลงไปว่ายน้ำลอยคอในสระตลอด นั่นเอง

แต่เรื่องฝันที่จะมีเรือดำน้ำนั้น ผบ.ทร.คนใหม่ บอกว่า ตอนนี้โอกาสยังไม่มา จังหวะยังไม่ได้ แม้ว่าจะมีความจำเป็นกับ สมุทรานุภาพ หรือ Sea Power ของ ทร. ในการปกป้องอธิปไตยและน่านน้ำ ในยุคที่ให้ความสำคัญกับ Maritime security เช่นนี้

แต่ทว่าก็ต้องดูงบประมาณและปัจจัยหลายอย่าง เราจึงต้องใช้เรือผิวน้ำ เรือฟริเกตไปก่อน เมื่อถึงจังหวะที่เหมาะสม ทร. เราจะเสนอขอรัฐบาลแน่นอน แต่ตอนนี้ก็แค่ส่งทหารไปฝึก ศึกษาหลักสูตรเรือดำน้ำก่อนเท่านั้น

ส่วนเรื่องอื่นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แม้แต่ความขัดแย้งต่างๆ เพราะในยุคนี้เป็นยุคปรองดอง

"ยิ่งนายกฯ และ รมว.กลาโหม หญิง ที่ไม่ตอบโต้อะไรกับใคร ก็จะยิ่งทำให้ไม่เพิ่มความขัดแย้งได้" แม่ทัพเรือคนใหม่ ทิ้งท้าย

นายกฯ ยัน ไม่ต้องมี "น้องชาย" มาเป็น ผบ.ทบ. ค้ำรัฐบาล

นายกฯ ยัน ไม่ต้องมี "น้องชาย" มาเป็น ผบ.ทบ. ค้ำรัฐบาล ถาม"ถ้าผมทำไม่ดี กองทัพเขาจะค้ำผมมั้ย" ยันเลือกผบทบ.ไม่มีพี่ไม่มีน้อง ไม่ต้องมาเกรงใจผม ยันให้ผบทบ.เป็นคนเลือกตามหลักการ ถ้าคนที่1-2ห่วย ก็เลือกคนที่3 ติงเขียนให้คนนั้นคนนี้ จากที่ไม่เคยอยากจะเป็นก็อยากเป็นขึ้นมาบ้าง คิดว่ากูก็มีสิทธิ์เหมือนกัน นี่แหละที่เรียกว่าความแตกแยกในกองทัพ เป็นเพราะสื่อ

พลเอก ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีืเปรยในช่วงหนึ่งของการร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ตอนนี้เราไประแวงกันเรื่องอำนาจ แล้วกลัวเรื่องของอำนาจ ซึ่งการใช้อำนาจในทางสร้างสรรค์ เขาถึงเรียกว่าอำนาจ
"แต่ถ้าสิ่งที่เป็นอำนาจแล้วขี้โกง ทุจริต เรื่องนี้ผมคิดว่าไม่ใช่อำนาจ จึงอย่าไปพูดว่าผมอยากจะอยู่ต่อ หรือคสช.อยู่เพื่ออำนาจ ตอบตนมาว่าอำนาจคืออะไร” นายกฯ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มาถึงตรงนี้พล.อ.ประยุทธ์ มีอารมณ์ฉุนเฉียวและสั่งให้ผู้สื่อข่าวตอบว่าอำนาจทั้งหมดคืออะไร สื่อฯเวลาเขียนก็ขอให้เขียนให้ถูกต้อง ไม่ใช่ไปเขียนว่าอำนาจคือเรื่องการอยากอยู่ต่อในตำแหน่ง โดยมีน้องชายผมคอยออกมาปกป้อง อย่ามาพูดอย่างนี้กับผม

ผู้สื่อข่าวถามว่าการอยู่ในอำนาจของนายกฯ หากมี พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา น้องชายขึ้นมาเป็นผบ.ทบ.ตามกระแสข่าว จะเป็นการช่วยค้ำรัฐบาล นายกฯ กล่าวว่า ค้ำอะไร ถ้าผมทำไม่ดี กองทัพเขาจะค้ำผมหรือไม่

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าถ้าเป็นพี่น้องกันก็อาจจะช่วยกันได้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเสียงดังว่า คิดกันอยู่แค่นี้ พี่น้องก็ไม่ใช่พี่น้อง ผมทำงานไม่มีพี่มีน้อง ไม่รู้อะไรกันนักหนา

จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ถามผู้สื่อข่าวว่าเวลาแต่งตั้งผบ.ทบ.เขาดูจากอะไรบ้าง เมื่อได้คำตอบว่าดูจากความรู้ความสามารถ ความมีอาวุโส แล้วคุณสมบัติที่เด่น พล.อ.ประยุทธ์ ตอบทันทีว่า “ถ้าไอ้ 2 คนแรกมันห่วย มันไม่ได้ ก็ต้องตั้งคนที่ 3"

เมื่อถามว่ามีด้วยหรือ นายกฯ ส่ายหน้า พร้อมกล่าวว่า “ไอ้บ้า กว่าจะโตมาถึงขนาดนี้ เขาก็กรองกันมาทั้งหมดแล้ว ก็ไปไล่ความมีความอาวุโสกันมา ไม่ใช่ใครก็จะเป็นได้ ไม่ใช่ 5 เสือก็เป็นไปได้ทุกคน ถ้ารองผบ.ทบ.ดี ก็ต้องเป็นรองผบ.ทบ. ไม่ใช่รองผบ.ไม่เอา ไปเอาเสธ. ไปเอาผู้ช่วยขึ้นมาแล้วจะตั้งรองผบ.ทบ.มาทำไม”

นายกฯ กล่าวว่า การตั้งคนต้องเป็นแบบนี้ ซึ่งการปฏิรูปตำรวจก็เหมือนกัน ทำไมจะต้องกังวล ถ้าจะตั้งปลัดกระทรวงหรืออะไร ถ้ามีคณะกรรมการ มีพ.ร.บ.ให้เขา มันก็คงจะไม่เสียอย่างเก่า ความจริงมันก็มีอยู่แล้ว ถ้าเขาทำตัวอย่างตนได้ ไม่ไปก้าวก่าย ไม่ไปสั่งคนนั้นคนนี้ทุกอย่าง เป็นไปตามขั้นตอนว่าใครเป็นได้ ใครเป็นไม่ได้ ในกองทัพเขารู้อยู่แล้ว
"ทำไมจะต้องไปเขียนให้คนนั้นคนนี้ จากที่ไม่เคยอยากจะเป็นก็อยากเป็นขึ้นมาบ้าง คิดว่ากูก็มีสิทธิ์เหมือนกัน นี่แหละที่เรียกว่าความแตกแยกในกองทัพ เป็นเพราะสื่อ" พลเอก ประยุทธ์ กล่าว

เมื่อถามว่าสรุปว่าจะตั้งใครเป็นผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ต้องไปเขียนว่าใครจะเป็น เพราะคนที่จะเขียน ผบ.ทบ.คนปัจจุบันเป็นคนเขียน แต่ละเหล่าทัพก็จะไปเข้าการพิจารณาของแต่ละคณะ วันนี้สื่อไม่ต้องรีบเขียนเพราะไม่ใช่เรื่องของสื่อ นี่จะเป็นรมว.กลาโหมบ้างหรืออย่างไร บางคนจะเป็นผบ.เหล่าทัพเสียเอง

ผู้สื่อข่าวถามว่าการพิจารณาตัดสินใจคัดเลือกผบ.ทบ.และผบ.เหล่าทัพไม่ได้ขึ้นอยู่กับนายกฯ ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่เคยสั่งและตอนที่ผมเป็นผบ.ทบ.ก็ไม่เคยเกรงใจใคร เพราะถือว่าเป็นสิทธิและอำนาจของตน แต่ทั้งหมดทุกคนจะเอาพวงของตัวเองเข้าสู่ที่ประชุมสภากลาโหม ซึ่งมีคณะกรรมการแต่งตั้ง ถ้าทุกคนดูแล้ว แต่ละกองทัพไม่มีปัญหา เขาก็ตั้งไปตามนั้น

เมื่อถามว่าคุณสมบัติผบ.ทบ.ที่นายกฯเห็นว่าเหมาะสมในยุคนี้ควรมีอะไรบ้าง นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีอะไร ทุกยุคมันจะต้องทำให้กลไกของประเทศเดินหน้าไปด้วยกลไกปกติ อย่าต้องใช้อำนาจ ต้องใช้กฎหรือใช้มาตรา 44 ตลอดไปจนตาย ทำไมไม่ลดภาระตรงนี้ลงไป โดยสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคราชการ เราต้องช่วยกันสอน อย่าให้ตนต้องไปบังคับทุกคน จะต้องให้บังคับกันถึงเมื่อไร


เด้ง! 5 เสือ สน.คลองตัน เซ่นบ่อนออนไลน์

เด้ง! 5 เสือ สน.คลองตัน เซ่นบ่อนออนไลน์
หลังตำรวจกองปราบปรามนำกำลังเข้าจับกุม 3 นักพนันชาวเกาหลี ลักลอบเปิดบ่อนพนันออนไลน์ที่คอนโดย่านสุขุมวิท ล่าสุดผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 มีคำสั่งย้าย 5 เสือ สน.คลองตัน ไปช่วยราชการแล้ว

หลังจากตำรวจกองปราบปรามนำกำลังเข้าจับกุมนายปาร์ก จี ซุง กับพวกเป็นชายสัญชาติเกาหลีใต้รวม 3 คน ในห้องพักชั้น 3 เลขที่ 48/19 บางกอก แฟลิซ คอนโดมิเนียม ภายในซอยสุขุมวิท 69 เขตวัฒนา พร้อมของกลางหนังสือเดินทาง 3 ฉบับ คอมพิวเตอร์ 3 เครื่อง สมุดบัญชีธนาคาร 7 เล่ม โทรศัพท์สมาร์ทโฟน 6 เครื่อง และเครื่องมือโอนเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ 6 เครื่อง

โดย พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รักษาราชการแทนผู้บังคับการกองปราบปราม ระบุว่า ทั้งหมดลักลอบเช่าห้องพักเปิดให้มีการเล่นพนันสล็อตแมชชีนออนไลน์นานกว่า 6 เดือน มียอดเงินหมุนเวียนในวงพนันหลายล้านวอน หรือกว่า 30 ล้านบาท ส่วนนักพนันจะเป็นชาวเกาหลีใต้ที่เล่นผ่านระบบอินเตอร์เน็ต
ด้านนายปาร์กรับสารภาพว่า ที่มาเปิดบ่อนออนไลน์ในไทย เพราะที่เกาหลีมีความเข้มงวดและอัตราลงโทษเจ้ามือสูงถึงจำคุก 5 ปี เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ในข้อหาลักลอบเล่นการพนันออนไลน์โดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ ทางตำรวจกองปราบปรามจะส่งมอบตัว ให้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลคลองตันดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ล่าสุด พล.ต.ต.ชวลิต ประสพศิลปะ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 มีหนังสือคำสั่งย้าย พ.ต.อ.ชัยพล เอกกุล ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลคลองตัน พ.ต.ท.ฤทธี ปานดำ รองผู้กำกับการป้องกันและปราบปรามสถานีตำรวจนครบาลคลองตัน พ.ต.ท.ธนาวุฒิ เปียผ่อง รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลคลองตัน พ.ต.ท.สิริพงษ์ วรผลึก สารวัตรสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลคลองตัน และพ.ต.ต.ยุทธพงษ์ ผดุงรัตน์ สารวัตรป้องกันและปราบปรามสถานีตำรวจนครบาลคลองตัน ไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจนครบาล 5 ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง


เรือรบสหรัฐเผชิญหน้าเครื่องบินรบรัสเซียกลางทะเล

เรือรบสหรัฐเผชิญหน้าเครื่องบินรบรัสเซียกลางทะเล
Cr:http://www.bangkokbiznews.com/mobile/view/news/649788
กองทัพสหรัฐ เผยคลิปเครื่องบินขับไล่ของกองทัพรัสเซียบินเข้ามาสังเกตการณ์ใกล้กับเรือลาดตระเวนกลางทะเลดำ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า พ.อ.สตีฟ วอร์เรน โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ( เพนตากอน ) แถลงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เครื่องบินขับไล่ "ซูคอย-24" ของกองทัพรัสเซีย บินอยู่ไม่ห่างจากเรือพิฆาต "ยูเอสเอส รอส" ของกองทัพสหรัฐ ที่กำลังแล่นอยู่ในทะเลดำ เมื่อวันจันทร์ ว่าเครื่องบินรบของกองทัพรัสเซียบินเข้ามาสังเกตการณ์โดยไม่ได้ติดอาวุธแต่อย่างใด ขณะที่เรือรบของกองทัพสหรัฐประจำการอยู่ในตำแหน่ง ซึ่งเพนตากอนยืนยันว่าอยู่ในเขตน่านน้ำสากล และประกาศให้ทราบล่วงหน้านานแล้วด้วยว่า จะส่งเรือรบเข้ามาประจำการในทะเลแถบนี้
ขณะที่กองทัพเรือสหรัฐรายงานเพิ่มเติมว่า เครื่องบินขับไล่ของกองทัพรัสเซียบินโฉบเฉี่ยวไปมาห่างจากเรือรบของเพนตากอนเพียง 500 เมตรเท่านั้น ด้วยระดับเพดานบินที่ต่ำจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พร้อมทั้งเผยแพร่คลิปเพื่อเป็นการยืนยัน ด้านกระทรวงกลาโหมของรัสเซียยังคงสงวนท่าทีกับเหตุการณืที่เกิดขึ้น แต่สื่อมวลชนหลายแห่งในสังกัดของรัฐบาลมอสโกต่างรายงานว่า เรือรบของสหรัฐแสดงออกในเชิง "คุกคามและข่มขู่" กระตุ้นให้กองทัพต้องเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ
การเผชิญหน้ากันในทะเลดำระหว่างเรือรบของกองทัพสหรัฐกับเครื่องบินรบของกองทัพรัสเซีย คือสัญญาณล่าสุดที่สะท้อนความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างตะวันตกกับรัฐบาลมอสโก สืบเนื่องจากสถานการณ์รุนแรงทางทหารในภาคตะวันออกของยูเครน


โรฮีนจา บ้านศรีสุราษฎร์แสดงความไม่พอใจ

ข่าวว่าเมื่อ 2 มิ.ย.นี้เอง ชาวโรฮิงญา 94 คน ถูกควบคุมตัวในสถานคุ้มครอง และพัฒนาอาชีพภาคใต้ " บ้านศรีสุราษฎร์" จ.สุราษฎร์ธานี รวมตัวประท้วง ถึงขั้นทุบทำลายเรือนนอน เหตุไม่พอใจ ที่ขอเอาอาหารไปกินในเรือนนอนไม่ได้ พร้อมเรียกร้องขอไปประเทศที่ 3 แต่ระบุขอไปมาเลเซีย ไม่ไปอเมริกา

กลุ่มโรฮีนจาที่สุราษฎร์ธานี ที่ถูกควบอยู่สถานที่แห่งนี้ เป็นผู้หญิง และเด็ก จำนวน 94 คน เป็นผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ จำนวน 35 คน นอกนั้นเป็นผู้ที่หลบหนีเข้าเมือง และมีเหตุพยายาม หลบหนีออกจากที่ควบคุมมาหลายครั้งแล้ว

ตามข่าวว่า อาละวาดหนักทุบทำลายประตูหน้าต่าง ของเรือนนอน เพื่อต้องการหลบหนีออกจากสถานที่ควบคุม ต้องนำกำลังตำรวจจาก สภ.ขุนทเล และ สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี กว่า 50 นาย เข้าคุมสถานการณ์ ใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง จึงควบคุมสถานการณ์ได้ โดยนำตัวแกนนำ จำนวน 5 คน แยกออกจากกลุ่มมาทำการสอบสวน พร้อมนำลวดหนาม มาปิดล้อมตัวอาคาร และเพิ่มแสงไฟส่องสว่าง รอบตัวอาคาร พร้อมจัดกำลังเจ้าหน้าที่ จำนวน 30 นาย ดูแลป้องกันเหตุกลุ่มโรฮีนจา หลบหนีออกจากเรือนนอน

เมื่อส. ค. 57 ชาวโรฮิงญา จำนวน 261 คน ได้พังห้องขังจำนวนกว่า 3 ห้อง ต่อรองว่าขอให้ออกมาทำพิธีชุดละ 5 คน ซึ่งจะง่ายต่อการควบคุม แต่ปรากฎว่าชาวโรฮิงญา ไม่ยินยอมพร้อมตะโกนโวยวาย และพยายามที่จะพังประตูรั้วเหล็กกั้นออกมา แต่หลังจากกรรมการอิสลามจังหวัดพังงา ได้ขอพรตามพิธีกรรมทางศาสนาเสร็จสิ้น ชาวโรฮิงญาก็กลับลุกฮือขึ้น ทำลายประตูอีกครั้ง กระทั่งเจ้าหน้าที่ต้องใช้แผงเหล็ก กั้นประตูรั้วเหล็กอีกชั้น พร้อมวางแผนเพื่อให้เหตุการณ์สงบลง โดยขั้นแรกใช้วิธีตรึงกำลัง แต่กำลังเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ ประกอบกับรั้วเหล็กกั้นประตูหน้านั้นไม่ทนทาน และมีท่าทีว่าจะพังออกมา จึงใช้รถดับเพลิงฉีดน้ำเข้าไปเพื่อสลายกลุ่มประท้วงของชาวโรฮิงญา แต่ไร้ผล ตำรวจและอาสาสมัครรักษาดินแดนของฝ่ายปกครอง สนธิกำลังกันเข้าตรึงแผงเหล็กรั้วประตูไว้ ไม่ให้ชาวโรฮิงญาออกมา พร้อมกับสลับเวรกันเฝ้า และรอให้กลุ่มชาวโรฮิงญาอ่อนแรง จึงเข้าไปควบคุมตัว


มติเอกฉันท์!ถอดยศ 'ทักษิณ' ส่งผบ.ตร.อีกรอบ

มติเอกฉันท์!ถอดยศ 'ทักษิณ' ส่งผบ.ตร.อีกรอบ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

มติเอกฉันท์ 5 ต่อ 0 ให้ถอดยศ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ยื่น ผบ.ตร. พิจารณาอีกครั้งวันนี้

พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา (สบ 10) ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการถอดยศตำรวจ กล่าวว่า  คณะกรรมการได้มีการพิจารณามีมติเอกฉันท์ในเรื่องของการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ขอยืนยันอีกครั้งว่าเป็นเอกฉันท์ ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงไปหมดแล้ว 

ในส่วนความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเรื่องงานด้านธุรการนั้นก็ได้มีความเข้าใจกัน สำหรับวันนี้ก็เรียบร้อยทุกอย่าง คงไม่มีประเด็นอะไรเพิ่มเติม เพราะในส่วนของประเด็นข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องได้มีการพิจารณาไปเรียบร้อยแล้ว มีความเห็นสอดคล้องตรงกัน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมไม่เซ็นรับรองมติ พล.ต.อ.ชัยยะ ตอบว่า ในส่วนนั้นขอเรียนว่าเป็นการเข้าใจคลาด

ผู้สื่อข่าวจึงถามอีกว่า หมายความว่าคณะกรรมการก็พร้อมที่จะเซ็น แต่ที่ไม่เซ็นเพราะกลัวว่าถูกเช็คบิลย้อนหลัง 

พล.ต.อ.ชัยยะ ก็ตอบว่า ไม่ใช่เลย ยืนยันข้อเท็จจริงทั้งหมดเลยว่า ในส่วนนี้เป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อนในงานธุรการ  ถ้าพูดอย่างงี้ต่อไปทางสังคมก็คงจะตอบว่างานธุรการคืออะไร
“ในกรณีการประชุมทุกครั้ง ก่อนเข้าประชุมผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนต้องเซ็นชื่อในการเข้าประชุม การเข้าประชุมนั้นก็มีการอภิปรายกันกว้างขวาง ทุกๆคนในฐานะที่เป็นคณะกรรมการในที่สุดก็มีมติเอกฉันท์
คือทุกคนแสดงความคิดเห็นเสร็จแล้ว ก็เสนอว่ากรณีดังกล่าวนั้นข้อกฎหมายและข้อระเบียบในการเสนอการถอดยศ เรามีมติเอกฉันท์ทั้งหมดที่เข้าร่วมประชุมมีผู้แทนของฝ่ายกฎหมายทั้งหมด 6 ท่าน แต่เข้าร่วมประชุม 5 ท่าน ขาดผู้เข้าร่วมไป 1 ท่าน” พล.ต.อ.ชัยยะ กล่าว

พล.ต.อ.ชัยยะ กล่าวต่อว่า มติการถอดยศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชัดเจนเรียบร้อย ส่วนอำนาจตามกฎหมายเป็นอำนาจของ ผบ.ตร. ส่วนตนในฐานะคณะทำงานได้รับมอบหมายให้พิจารณาว่าเกี่ยวกับระเบียบ หรือกฎหมายในเรื่องนี้หรือไม่

แต่ในส่วนของคณะกรรมการชุดนี้ได้มีการพิจารณาเรียบร้อยแล้วก็เป็นเอกฉันท์ และภายในวันนี้(2 มิ.ย.) จะส่งเรื่องให้กับ ผบ.ตร. ในส่วนของความผิดที่อดีตนายกทำผิดนั้น ได้ส่งข้อมูลให้สื่อมวลชนเรียบร้อยแล้วตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ตนพร้อมคณะกรรมการพิจารณาเรื่องดังกล่าว ไม่มีความกังวล แม้ในอนาคตจะมีการเปลี่ยนรัฐบาล เนื่องจากได้พิจารณาแบบตรงไปตรงมาตามข้อกฎหมาย ใครมาดูก็คงเข้าใจ 

ถ้าคนได้มีการศึกษาข้อมูลและได้ดูในข้อกฎหมายต่างๆ มาเป็นบอร์ดในการพิจารณาก็คงเข้าใจในส่วนนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏ พฤติกรรมปรากฏ ข้อกฎหมายระเบียบที่เกี่ยวข้องปรากฏ โดยได้พิจารณาองค์รวมทั้งหมดทุกๆด้านไม่ว่าเจตนารมณ์ของระเบียบและข้อกฎหมายต่างๆ

"ส่วนเรื่องจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ผมไม่มีอำนาจในการนำเสนอ ในบอร์ดของเรามีการพิจารณา เราก็มีการเคารพทุกๆส่วน 

เรื่องนี้มีการพิจารณากันหลายครั้งหลายรัฐบาลที่ผ่านมา แต่ไม่ประสบผลสำเร็จพอมาทุกวันนี้ได้มีการพิจารณามีมติให้ถอดยศเป็นเอกฉันท์ หลายคนหรือประชาชนอาจเข้าใจว่ามีการเร่งรัด หรือสั่งการ 
ซึ่งผมขอยืนยันว่าไม่มี เพราะที่ผ่านมาเรื่องนี้ยังไม่เคยมีการพิจารณาแม้แต่ครั้งเดียว และในเรื่อง (6) ยังไม่มีการพิจารณา 

มีครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้รับการแต่งตั้งโดย ผบ.ตร. เป็นคณะทำงานจริงๆ มีทุกส่วน และการทำงานครั้งนี้ไม่มีอคติใดๆในการพิจารณา เรื่องนี้ไม่มีใบสั่ง ไม่มีอะไรใดๆทั้งสิ้น เป็นความคิดที่อิสระจริงๆ และ
เป็นการให้อภิปรายของแต่ละท่านที่เป็นคณะกรรมการอย่างโปร่งใส
พล.ต.อ.ชัยยะ กล่าวยืนยัน

ประยุทธ บอกอย่าค้านนายกฯคนนอกเพราะตน

เกลียดผมทั้งประเทศก็ยอม...

พล.อ.ประยุทธ์ ติง อย่าค้านนายกฯคนนอก เพราะคิดว่าเป็นผม ไม่ใช่ผมแน่นอน ผมจะไม่ไปอยู่อย่างนั้นเด็ดขาด ผมจะไปอยู่ด้วยอะไร ถ้าไม่มีอำนาจ จะคุมได้ไง อำนาจคือความชอบธรรม "ไม่ใช่มาปลุกระดมเพื่อให้มารักผม ถ้าทำเพื่อคนทั้งประเทศแล้วคนเกลียดผมทั้งประเทศก็ยอม ตายไปแล้ว นึกถึงผมบ้างก็พอ"

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมครม.ว่า ในวันที่ 4 มิ.ย. ตนจะไปชี้แจงต่อสนช. ในการประชุมแม่น้ำ 3 สาย โดยจะชี้แจงผลงานทำงานครบ 1 ปีของรัฐบาลและคสช. และจะมอบให้รองนายกฯเป็นคนพูดในกลุ่มงานทั้ง 5 กลุ่ม ตนจะกล่าวเปิดเล็กน้อยว่าที่ผ่านมาดำเนินการอะไรไปบ้าง ซึ่งขั้นตอนที่ 1 ในเรื่องการปฏิรูป คสช.และรัฐบาลดำเนินการไปแล้ว จากนั้นเป็นเรื่องการส่งต่อให้กับสปช.เพื่อดำเนินการและส่งต่อให้รัฐบาลใหม่ต่อไป ทั้งนี้ ตนจะสรุปแล้วมอบให้รองนายกฯพูดคนละ 20-30 นาที จะพูดให้ฟังว่าอะไรทำจบไปแล้ว อะไรที่กำลังทำหรืออะไรที่จะไม่ได้ทำแน่ ทำไม่ทัน ก็จะส่งต่อ ซึ่งตรงนี้สปช.จะนำไปสานต่อ จะไปเริ่มต้นใหม่หมดไม่ได้ ที่ทำมาทั้งหมดก็ถือว่าล้มเหลว

เมื่อถามถึงรัฐบาลเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญไปกว่า 100 ประเด็น คิดว่ากมธ.ยกร่างฯจะแก้ไขได้มากน้อยแค่ไหน นายกฯ กล่าวว่า ไม่รู้ ไปถาม กมธ.ยกร่างฯเอง ส่วนประเด็นที่เป็นห่วงคือเรื่องอย่าให้เกิดความขัดแย้ง และทำให้ทุกอย่างเป็นเรื่องที่ประชาชนยอมรับ ประชาชนได้ประโยชน์และประเทศไทยและเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยยั่งยืน ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีเสื้อสีนั้นสีนี้ขึ้นมาต่อต้านกันอีก ส่วนใครที่จะทำให้เกิดตรงนี้ได้ไม่ใช่ตน อยู่ที่ทุกคนและอยู่ที่สื่อมวลชน 50 เปอร์เซ็นต์

ผู้สื่อข่าวถาม มีคำขอให้แก้ในครม. ที่ไม่มีประเด็น นายกฯคนนอก เพราะอะไร นายกฯ กล่าวว่า “เรื่องนายกฯคนนอกไม่ใช่เหตุผลอะไร แต่เป็นเพราะนายกฯคนนอก ทุกคนจะระแวงว่าจะเป็นผม หรือใคร ผมบอกแล้วว่าผมจะไม่ไปอยู่อย่างนั้นเด็ดขาด ผมจะไปอยู่ด้วยอะไร เขาเขียนไว้ไม่ใช่หรือว่าถ้าสถานการณ์มันเกิดความขัดแย้งสูงจนรัฐบาลดำเนินการไม่ได้ หรือเลือกตั้งไม่ได้ ก็เอาข้อเท็จจริงจากครั้งที่แล้วมาเขียนซึ่งเป็นเรื่องของเขา ถ้าผ่านได้เขาก็ผ่านไป แต่ไม่ใช่ผมแน่นอน แล้วถ้าผมเข้ามา ผมไม่มีอำนาจ มันจะคุมใครอยู่ อำนาจคือความชอบธรรม ที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ ความชอบธรรม ของผมคือประชาชนพึงพอใจในสิ่งที่เขาควรจะได้ ไม่ใช่มาปลุกระดมให้คนเขามารักผมหรืออะไรต่างๆ แต่ผมมองในเรื่องอนาคต ผมไม่ได้มองว่าให้คนในประเทศมารักผม แม้คนจะเกลียดผมทั้งประเทศแต่ผมทำให้เกิดประโยชน์ บ้านเมืองมีความเจริญ ผมก็ภูมิใจ ต่อให้คนเกลียดผมทั้งประเทศก็ตาม และวันข้างหน้าคนเขาจะคิดถึงผม ซึ่งผมอาจตายไปแล้วก็ได้ มันเป็นประโยชน์กับประเทศไทย เมื่อถึงวันนั้นก็คิดถึงผมก็แล้วกัน”

เมื่อถามว่าการที่คงนายกฯที่ไม่ได้มาจากส.ส.ด้วย ครม.มีการอภิปรายหรือไม่ว่ามีสาเหตุจากอะไร พล.องประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้สื่อต้องไปฟังคนที่เสนอและพูดกันว่า1.ปัญหามาจากครั้งที่แล้ว ปัญหาติดล็อกทั้งหมดแล้วเดินหน้าประเทศไม่ได้ ในระหว่าง 6 เดือนไม่มีคนบริหารประเทศ รัฐบาลไม่มีอำนาจเต็มแล้วใครจะเดินหน้าในเรื่องเศรษฐกิจ งบประมาณ ซึ่งที่ผ่านมามีปัญหาเช่นนั้น เขาเลยคิดว่าต้องหาใครมาสักคนมาบริหารประเทศ เมื่อคิดอย่างนี้ก็แล้วแต่เขา ก็ไปสู้กันมา