PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2561

ยุทธศาสตร์ครม.สัญจร ซ่อนนัยยะ “ดึง-ดูด”

ยุทธศาสตร์ครม.สัญจร ซ่อนนัยยะ “ดึง-ดูด”


ยุทธศาสตร์ดึงและดูด ของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กำลังเป็นประเด็นร้อนเรียกแขกให้ฝ่ายการเมือง แทบจะทุกพรรคออกมาวิพากษ์ วิจารณ์ ตำหนิ ตีเตียน ในกลเกมการเมืองของผู้มีอำนาจที่ย้อนยุคกลับไปสู่การเมืองในอดีต คล้ายกับโมเดลพรรคสามัคคีธรรม เพื่อรองรับการอยู่ต่อ อยู่ยาวของผู้มีอำนาจ

ดังจะเห็นได้จากกลยุทธ์เดินสายประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) สัญจร หมุนเวียนไปทุกภูมิภาค ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ตลอดห้วงปี 2560 ต่อเนื่องมาถึงปี 2561

เพราะการประชุมครม.สัญจรของ ”บิ๊กตู่” ไม่ได้เพียงแค่รับฟังปัญหาของคนในพื้นที่ แล้วเสนอผ่านมติครม.เพื่อจัดงบประมาณลงไปช่วยเหลือและดำเนินการได้ทันทีแต่ยังมีนัยยะของการพบปะนักการเมืองเจ้าของพื้นที่ ระดับเกรดเอ ตัวจริงเสียงจริง

ดังจะเห็นได้จากการประชุมครม.สัญจร ที่จ.สุพรรณบุรีและจ.พระนครศรีอยุธยา ระหว่างวันที่ 18-19 กันยายน 2560 “บี๊กตู่” ได้พบและพูดคุยกับอดีตส.ส.พื้นที่ ที่มาต้อนรับ โดยเฉพาะอดีตส.ส.จากพรรคชาติไทยพัฒนา(ชทพ.) เจ้าของพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี ทั้ง ประภัตร โพธสุธน วราวุธ ศิลปอาชา ภราดร-กรวีร์ ปริศนานันทกุล

พร้อมกับวลีสนับสนุนแบบฉันท์มิตรของ “ประภัตร” ที่ระบุว่า “หากปากท้องของประชาชนได้รับการแก้ไข นายกฯ จะอยู่อีก 8 ปี 10 ปี ผมก็ไม่ว่า”

นำมาซึ่งการตีความทางการเมืองว่า ชทพ. พร้อมหนุน”บิ๊กตู่” ในสูตรของการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอีกหรือไม่

ถัดมาคือครม.สัญจรที่ จ.ปัตตานี ระหว่างวันที่ 27-28 พฤศจิกายน 2560 แม้จะเป็นที่ภาคใต้ ที่มีทั้งพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) และกลุ่มวาดะห์ เจ้าของพื้นที่คุมฐานเสียงของส.ส.อยู่ แต่ “บิ๊กตู่” ก็ได้ย้ำกับชาวบ้านในพื้นที่ว่า “พร้อมจะดูแลความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ให้ดีขึ้น เพราะเป็นรัฐบาลที่ดูแลคนทุกกลุ่ม ทุกภาค ไม่ได้เลือกที่จะช่วยเฉพาะพื้นที่ที่เลือกพรรคนั้น พรรคนี้”

ต่อเนื่องขี้นไปพื้นที่ภาคเหนือ ในการประชุมครม.สัญจร ระหว่างวันที่ 25-26 ธันวาคม 2560 ที่จ.พิษณุโลก และจ.สุโขทัย ที่มี “สมศักดิ์ เทพสุทิน” แกนนำกลุ่มมัชฌิมาธิปไตย และแกนนำกลุ่มวังน้ำยม ให้การต้อนรับ พร้อมกับประกาศจะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการบริหารประเทศตามนโยบาย

ข้ามศักราชขึ้นมาปี 2561 “บิ๊กตู่” ยกคณะ ไปประชุมครม.สัญจร ที่จ.จันทบุรี ระหว่างวันที่ 5-6 กุมภาพันธ์ 2561 มีระดับอดีตส.ส.และนักการเมืองในพื้นที่ภาคตะวันออก มาร่วมวงพูดคุยกันพร้อมหน้า ทั้ง “เสี่ยแป๊ะ” สนธยา คุณปลื้ม อดีตรมว.วัฒนธรรม ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังชล “อิทธิพล คุณปลื้ม” น้องชาย ในฐานะอดีตนายกฯเมืองพัทยา “เสี่ยตี๋” สาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)

ซึ่งวงครม.สัญจร ที่จ.จันทบุรี นำมาซึ่งการที่ครม.มีมติแต่งตั้ง “สนธยา” เป็นที่ปรึกษานายกฯ ด้านการเมือง และตั้ง”อิทธิพล” เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จนหลายฝ่ายมองว่าเป็น กลยุทธ์ “ดึง”และ”ดูด”ในทางการเมือง เริ่มเด่นชัดขึ้น

โปรแกรมครม.สัญจร ครั้งต่อไป ที่บิ๊กตู่จะยกคณะ ไปเยือน นั่นคือ การประชุมครม.สัญจรที่จ.สุรินทร์ และจ.บุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 7-8 พฤษภาคมนี้

พื้นที่ฐานเสียงของ พรรคภูมิใจไทย(ภท.) และพรรคเพื่อไทย(พท.) งานนี้คนการเมืองต่างจับตาดูว่า กลยุทธ์ “ดึง”และ”ดูด”จะทำงานอีกหรือไม่ โดยเฉพาะเจ้าบ้านอย่าง “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พร้อมนำอดีตส.ส.ของพรรคเข้าร่วมหารือกับ บิ๊กตู่ และคณะ เสนอแนวทางการพัฒนาจ.บุรีรัมย์ และพื้นที่ภาคอีสานในแบบ พรรคที่พร้อมเป็นมิตรกับทุกฝ่าย

พร้อมกับยืนยันผ่านสื่อไว้ล่วงหน้าด้วยว่า “การลงพื้นที่จ.บุรีรัมย์ ของพล.อ.ประยุทธ์ และครม. จะไม่มีการดีลอะไรกันทางการเมืองทั้งสิ้น ทุกอย่างต้องดูกันหลังปิดหีบนับคะแนนผลการเลือกตั้ง”

แม้ “บิ๊กตู่” จะออกมายืนยันหลังการประชุมครม.เมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา เชิงตอบโต้นักการเมืองที่รุมวิพากษ์วิจารณ์ กลยุทธ์ “ดึง”และ”ดูด” ของรัฐบาลและคสช.ว่า “ผมไม่ร่วมกับพรรคไหน แล้วจะไปร่วมอะไรกับใครได้ ตอนนี้ไม่รู้ตัวผมอยู่ตรงกลาง จะเป็นอะไร จะทำอะไรก็แล้วแต่ ผมต้องอยู่ตรงกลางให้ได้ คำว่าตรงกลางคือเอาทุกคนมาร่วมกันบริหารประเทศให้ได้ ด้วยกลไกประชาธิปไตยแต่จะไปอย่างไร ผมยังไม่รู้ และผมจะไปตรงนั้นได้อย่างไรก็ยังไม่รู้เหมือน”

ท้ายที่สุดกลยุทธ์”ดึง”และ”ดูด” จะเกิดขึ้นจริงและสำเร็จหรือไม่ รวมทั้งภาพทางการเมืองของรัฐบาลและคสช.จะเด่นชัดขนาดไหน “บิ๊กตู่” และองคาพยพ จะเป็นผู้ให้คำตอบ

อ่านเกม สกลธี สนธยา อิทธิพล กลยุทธ์ ‘การทหาร – การตลาด’

อ่านเกม สกลธี สนธยา อิทธิพล กลยุทธ์ ‘การทหาร – การตลาด’


ไม่ว่าประเด็นอันเกี่ยวกับกรณี นายสกลธี ภัททิยกุล ไม่ว่าประเด็น อันเกี่ยวกับกรณี นายสนธยา คุณปลื้ม นายอิทธิพล คุณปลื้ม
มีลักษณะแบ่งยุค แบ่งสมัย
คสช.อาจมองว่าเป็นการดึงคนเข้ามาช่วยงาน เพราะ นายสกลธี ภัททิยกุล คือ รองผู้ว่าฯกทม. เพราะ นายสนธยา คุณปลื้ม คือ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เพราะ นายอิทธิพล คุณปลื้ม คือ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
เป็นเรื่องของ “บ้านเมือง” ไม่ใช่เรื่องของ “การเมือง”
แต่ความอ่อนไหวเป็นอย่างมาก อยู่ที่รากฐานเดิมของ นาย สกลธี ภัททิยกุล นายสนธยา คุณปลื้ม นายอิทธิพล คุณปลื้ม
3 คนนี้เป็นใคร มาจากไหน

หากมอง นายสกลธี ภัททิยกุล เป็นบุตร พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ก็ถูกต้อง
แต่อย่าลืมเขาเคยเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์
และอย่าลืมว่าเขาเคยคล้องนกหวีดร่วมกับ นายสุเทพ เทือก สุบรรณ ในการ”ชัตดาวน์”กทม.มาแล้ว
ยิ่ง นายสนธยา คุณปลื้ม ยิ่งเป็นหัวหน้าพรรคพลังชล

ขณะที่ นายอิทธิพล คุณปลื้ม ยังถูกคสช.ใช้คำสั่งมาตรา 44 ปลดออกจากตำแหน่งทางการเมืองมาแล้ว
ยังรากฐานสำคัญคือบุตรของ”กำนันเป๊าะ”
ไม่ว่าคสช.และรัฐบาลจะเรียงหน้ากระดานเรียงหนึ่งออกมา”ฟอกขาว”ให้กับ นายสกลธี ภัททิยกุล นายสนธยา คุณปลื้ม นายอิทธิพล คุณปลื้ม อย่างไร
ก็เข้าทำนองภาษิตโบราณที่ว่า “ขว้างงูไม่พ้นคอ” คือไม่พ้นประเด็นในทาง”การเมือง”
ทุกอย่างยังแวดล้อมอยู่กับคำว่า “ดูด”

ไม่ว่าจะมองจากด้านการวางกลยุทธ์ทางด้าน”การทหาร” ไม่ว่าจะมองจากด้านการวางกลยุทธ์ทางด้าน”การตลาด”
นี่ย่อมเป็นเรื่องของการสะสม”กำลัง”
นี่ย่อมเป็นเรื่องของการหา”พันธมิตร” การสะสมพลังในด้านกองหนุน ทำไมเพิ่งมาคิดได้ในตอนนี้ ทำไมไม่มีการวางแผนตั้งแต่แรก
ประเด็น “พลังดูด”จึงยังวนเวียนอยู่โดยรอบ”พรรคคสช.”

เอาไงดี

เอาไงดี



เมืองไทยมีปัญหารอให้รัฐบาลแก้ไขมากมาย ก่ายกอง
ปัญหาเก่าๆกองเป็นภูเขาเลากา ยังมีปัญหาใหม่ๆ งอกเพิ่มขึ้นๆทุกวันๆ
และทุกปัญหาจะไหลไปกองรวมกันที่นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คนเดียว
แม้มีอำนาจพิเศษ ม.44 ในมือก็แก้ปัญหาไม่ได้ทุกเรื่องแน่นอน
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าปัญหาหนักอกที่ “นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์” ตัดสินใจยากที่สุด คือปัญหาโครงการก่อสร้างหมู่บ้านตุลาการเชิงดอยสุเทพ
หรือ “หมู่บ้านป่าแหว่ง” ที่กำลัง ดังระเบิดเถิดเทิง
แม้โครงการนี้จะดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายทุกขั้นตอน
แต่เกิดผลกระทบทำให้พื้นที่ป่าเชิงดอยสุเทพ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ “แหว่งเป็นง่าม ถ่อ” ไปมากพอสมควร
ทำให้เครือข่ายประชาชนชาวเชียงใหม่เคลื่อนไหวคัดค้านโครงการหมู่บ้านป่าแหว่งของศาลอุทธรณ์ภาค 5 กันอึกทึกครึกโครม
“แม่ลูกจันทร์” สรุปว่าข้อเรียกร้อง ของกลุ่มทวงคืนผืนป่าดอยสุเทพมีสาระหลักๆอยู่ 3 ประเด็น
1,ขอให้ นายกฯบิ๊กตู่ สั่งยุติโครงการก่อสร้าง และรื้อถอนอาคารต่างๆ ออกจากพื้นที่โดยพลัน
2,ขอให้รัฐบาลกำหนดให้พื้นที่เชิงดอยสุเทพทั้งหมดเป็นพื้นที่อนุรักษ์ ไม่อนุญาตให้มีการก่อสร้างใดๆตลอดไป
3,ให้รัฐบาลสนับสนุนงบก่อสร้างบ้านพักผู้พิพากษา และอาคารชุดในพื้นที่ใหม่ เพื่อคืนผืนป่าดอยสุเทพให้กลับคืนสภาพธรรมชาติตามเดิม
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าประเด็นที่ทำให้นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจยาก คือข้อเรียกร้องให้รื้อถอนบ้านพักผู้พิพากษา 38 หลัง และอาคารชุดอีก 2 อาคาร ซึ่งสร้างเสร็จแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์
เพราะหากรื้อถอนอาคารต่างๆ ออกไป งบที่ใช้ก่อสร้างกว่าสามร้อยล้านบาทก็สูญฟรี!!
แต่ถ้าไม่รื้อ ปล่อยให้คาอยู่ต่อไป ก็เป็นหนามตำใจชาวเชียงใหม่ไปอีกยาวนาน
แม้จะเปลี่ยนสภาพบ้านพักตุลาการ ทำเป็นศูนย์การเรียนรู้ หรือใช้ประโยชน์เพื่อส่วนรวม ฯลฯ
ก็ไม่ใช่เป้าหมายที่ชาวเชียงใหม่เรียกร้องต้องการ
คือต้องการให้ผืนป่าดอยสุเทพสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวเชียงใหม่ กลับคืนสู่สภาพเดิม
“แม่ลูกจันทร์” ย้ำว่า นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จะฟังเสียงเรียกร้องของ กลุ่มคัดค้านฝ่ายเดียวก็ไม่ได้
ต้องฟังฝ่ายศาลอีกทาง เพื่อให้เกิดความสมดุล
แม้โฆษกศาลยุติธรรมจะยืนยันว่า หาก “พล.อ.ประยุทธ์” ตัดสินใจอย่างไร ทางศาลยินดีปฏิบัติตาม
แต่โครงการนี้ได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายครบถ้วนทุกขั้นตอน
การจะให้ยุติการก่อสร้างกลางคันทำไม่ได้!!
เพราะจะผิดสัญญาก่อสร้างที่มีเงื่อนไขผูกพัน
หรือจะทุบทิ้งบ้านพักผู้พิพากษา ก็ทำไม่ได้ เพราะเป็นทรัพย์สินราชการ ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนบุคคล
“แม่ลูกจันทร์” นึกไม่ออกจริงๆ ว่า “พล.อ.ประยุทธ์” จะตัดสินใจให้ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันได้อย่างไร??
ฝ่ายหนึ่งยืนยันต้องรื้อให้กลับคืนสภาพเดิม
อีกฝ่ายยืนยันว่ารื้อไม่ได้ เพราะเป็นทรัพย์สินราชการ
สรุป...จะรื้อ? หรือจะไม่รื้อ...? ต้องเลือกเอาซะทาง.
“แม่ลูกจันทร์”

สูตรเตี่ย ‘ท็อป’ ยืนสบาย

สูตรเตี่ย ‘ท็อป’ ยืนสบาย



นับวันยิ่งเห็นชัด กับความเป็นตัวตนของ “นายกฯลุงตู่” ที่นักการเมืองอาชีพยังสู้ไม่ได้
โฟกัสจากช็อตล่าสุดที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ออกลีลาท่าเต้นเพลง “คุกกี้เสี่ยงทาย” จับไม้จับมือ ทำสัญลักษณ์ร่วมเฟรมกับเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดัง “BNK48” ที่ทำเนียบรัฐบาล
โดยไม่มีอาการเคอะเขิน ไม่มีเก๊ก ทุกอย่างไหลไปตามธรรมชาติ
ตุนคะแนนความน่ารัก หักล้างภาพเผด็จการทหารจนแทบไม่เหลือคราบเลย
แถมในจังหวะลอยหน้าลอยตาตอบคำถามนักข่าวแบบชิวๆ ถึงกระแสดูดนักการเมืองเข้าค่าย
“ฉันไม่ใช่เครื่องดูดฝุ่น”
สะท้อนอารมณ์สบายๆของคนที่ตุนแต้มต่อ ถือไพ่เหนือกว่าอยู่ในมือ
ถึงตรงนี้ “นายกฯลุงตู่” แต่งตัวพร้อม รอแค่ฤกษ์เปิดตัวลงสนาม
ตรงกันข้ามกับอาการดิ้นพล่าน นักการเมืองที่โวยวาย 3 เวลาหลังอาหารทุกวัน
โดยเฉพาะคนยี่ห้อประชาธิปัตย์ ไล่ตั้งแต่หัวแถวอย่าง “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ หัวหน้าพรรค ที่เปิดฉากตามบี้ ไล่เบิ้ลบลัฟพรรคใหม่ ตั้งแต่นาทีแรกที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เปิดไต๋สนับสนุน “นายกฯลุงตู่” ตีตั๋วต่อ
ตั้งท่าล่อเป้ากันแบบโจ๋งครึ่ม ไม่ไว้ไมตรี ไม่มีกั๊ก
เขียนบท เซตฉาก มโนกันคึกคัก ล่าสุดก็เป็นตัวเลข 4 หมื่นล้านจาก “ข่าวไม่กรอง” สำนัก “แจ็คผู้ฆ่าลุงกำนัน” นายวัชระ เพชรทอง จอมแฉเบอร์หนึ่งแห่งค่ายประชาธิปัตย์ อ้างกลุ่มทุนลงขันตั้งพรรคทหาร
ฉายหนังขายยารุ่นโบราณ ประจานพรรคท็อปบูตตามสูตร
พูดกันตามเนื้อผ้า อดีตแนวร่วมอย่าง “อภิสิทธิ์” และทีมงานประชาธิปัตย์ออกอาการ
เต้นชัดมากกว่าโจทก์ตัวจริงอย่างพรรคเพื่อไทย ลูกข่ายยี่ห้อ “ทักษิณ” ซะอีก
ตามเดิมพันที่อ่านไต๋ตื้นๆ จับทางได้ง่ายๆ
โดยเงื่อนไขสถานการณ์ ถ้าพรรคการเมืองหนุน “นายกฯลุงตู่” ทำตัวเลข ปั่นแต้มได้สูงเท่าไหร่
ประชาธิปัตย์ก็หมดราคาต่อรองไปเท่านั้น
เผลอๆจะตกรถไฟขบวนไทยนิยม เส้นทางอำนาจเปลี่ยนผ่านอีก 5 ปีเป็นอย่างต่ำ
“อภิสิทธิ์” ยิ่งออกตัวแรง ยิ่งพาประชาธิปัตย์ถลำลึก ส่อกลับลำยากลำบาก
โดยสถานการณ์กลายเป็นนักการเมือง “คาบเกี่ยว” รุ่นเก่ากับเจเนอเรชั่นใหม่อย่าง “ท็อป” นายวราวุธ ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ประคองจังหวะรักษาพื้นที่ยืนได้สบายๆกับเหลี่ยมออกตัว แสดงท่าทีสนับสนุนการดึงนักการเมืองเข้าไปช่วยงานรัฐบาลของ “นายกฯลุงตู่”
ด้วยเหตุผลตลอด 4 ปีที่ผ่านมา สังคมได้เห็นแล้วว่า การบริหารงานของ คสช.อาจตรงแบบทหาร ทำให้ไม่มีความยืดหยุ่นในการแก้ปัญหารากหญ้า การที่นายกฯมีนักการเมืองเข้าไปช่วยให้คำปรึกษา รัฐบาลจะได้เข้าถึงประชาชนว่ามีความต้องการ หรือมีความเดือดร้อนเช่นไร จะได้เห็นภาพจริงมากกว่าที่คนอื่นมาเล่าให้ฟัง
วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นหัวเรือใหญ่นำเรือออกทะเลไปแล้ว
เราไม่สามารถเปลี่ยนเรือได้ แต่สามารถเปลี่ยนวิธีการทำงานของเรือลำนี้ได้ ทำให้เรือไปถึงฝั่งด้วยความเข้มแข็ง
ไม่ใช่ผลประโยชน์ต่างตอบแทน แต่เป็นการเพิ่มศักยภาพให้รัฐบาลมากกว่า
นี่แหละแบบฉบับลีลา “มังกร” ของอดีตนายกฯบรรหาร ศิลปอาชา ผู้ล่วงลับ
เบื้องต้นมันคือการตอบรับ พร้อมร่วมงานกับทีมงาน “นายกฯลุงตู่”
และก็ไม่แปลกถ้าเร็วๆนี้จะมีตัวแทนของพรรคชาติไทยพัฒนาได้รับทาบทามให้เข้าร่วมงานของรัฐบาล “นายกฯลุงตู่” เหมือนกับทีมงานค่าย “พลังชล”
แต่จะมองว่า แบะท่าพร้อมโดนดูดก็ไม่ได้
เพราะในคิวเดียวกันนายวราวุธก็ยืนยันด้วยน้ำเสียงนิ่มๆแต่
แฝงนัยแกร่งๆเลยว่า จะมีธงของพรรคชาติไทยพัฒนาปักอยู่ทุกภาคของประเทศไทยแน่นอนในการเลือกตั้งรอบต่อไป
เป็นที่รู้กัน “พรรคชาติไทย” เป็นสมบัติที่อดีตนายกฯบรรหารหวงแหนยิ่ง
ก็ขนาดสมัยพรรคไทยรักไทยเรืองอำนาจ อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร พยายามเปิดพลังดูด ไล่บี้ไล่ต้อนไล่ทุบแล้วทุบอีก ยังดูด
“บิ๊กเติ้ง” เข้าคอกไม่ได้
แล้วยุคนี้ถ้าพรรคชาติไทยพัฒนาหายไป เท่ากับ “หนุ่มท็อป” รักษาสมบัติของเตี่ยไว้ไม่ได้
นี่คือความจำเป็นที่ทีมหนุน “ลุงตู่” ย่อมรู้เงื่อนไขดี.
ทีมข่าวการเมือง