PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560

อาลีบาบาปักธงแปดริ้ว รับอีอีซีดันราคาที่พุ่ง

อาลีบาบาปักธงแปดริ้ว รับอีอีซีดันราคาที่พุ่ง

6257
Advertisement
อาลีบาบากรุ๊ปจีบกนอ.หาพื้นที่ในการก่อสร้างแวร์เฮาส์ทำเป็นโลจิสติกส์พาร์ก เพื่อใช้เป็นศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ วงในเผยสนใจที่แปลงใหญ่ค่ายเหมราช อมตะ สำรวจที่ดินพบฉะเชิงเทรา-บางปะกง พุ่งไม่หยุด
นายคณิศ แสงสุพรรณ คณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า หลังจากรัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนที่จะผลักดันการพัฒนาอีอีซี ทางอาลีบาบากรุ๊ป ยักษ์ใหญ่ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซของจีน มีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในไทย เพื่อใช้ไทยเป็นฐานในการจำหน่ายสินค้าในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) เพราะมองว่าการจำหน่ายสินค้าผ่านธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ในกลุ่ม CLMVยังสามารถเติบโตได้อีกมาก ทางอาลีบาบากรุ๊ปจึงต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในภูมิภาคโดยจะใช้ระบบการขนส่งสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งเครื่องบิน รถไฟและไปรษณีย์ไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สอดคล้องกับ แหล่งข่าวจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้อาลีบาบากรุ๊ป ได้ส่งรองประธานบริษัทเข้ามาพบกนอ. เพื่อขอให้กนอ.ช่วยหาพื้นที่ในการก่อสร้างแวร์เฮาส์โดยทำเป็นโลจิสติกส์พาร์ก เพื่อใช้เป็นศูนย์กระจายสินค้าขนาด 5 หมื่นตารางเมตร หรือเกือบ 3 เท่าของราชมังคลากีฬาสถาน โดยพื้นที่ที่อาลีบาบากรุ๊ปต้องการคืออยู่ติดกับท่าอากาศยาน เบื้องต้นได้เข้าไปดูพื้นที่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งไม่ไกลจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไว้ 2 แห่ง หนึ่งในนั้นคือที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร
“ทางอาลีบาบากรุ๊ป แจ้งว่าการเข้ามาจัดตั้งธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในไทย จะมีการจ้างแรงงานประมาณ 1 หมื่นคน จึงขอให้รัฐบาลช่วยจัดหาแรงงานให้ พร้อมกับให้พิจารณากำหนดให้พื้นที่ที่จะใช้จัดตั้งแวร์เฮาส์ในการกระจายสินค้าเป็นเขตปลอดภาษี”แหล่งข่าวจากกนอ.ระบุ
ต่อเรื่องนี้นางสมศรี ดวงประทีป กรรมการบริหาร บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด ผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี กล่าวกับ”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า เป็นหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมที่อาลีบาบาเข้ามาดูพื้นที่ก่อนหน้านี้ แต่ปิ่นทองเป็นพื้นที่ขนาดเล็กเพราะเหลืออยู่เพียง 1,000 ไร่จากเดิมมี 6,000 ไร่ทยอยขายเกือบหมดแล้ว และท่าทีทางอาลีบาบาจะสนใจที่แปลงใหญ่อย่างกลุ่มเหมราช หรือใครก็ได้ที่มีพื้นที่ผืนใหญ่ในอีอีซี มากกว่า โดย”ฐานเศรษฐกิจ”พยายามติดต่อไปยังผู้บริหารกลุ่มเหมราชและกลุ่มอมตะ แต่ไม่สามารถติดต่อได้เนื่องจากผู้บริหารติดประชุม
 อีอีซีฉุดแปดริ้วบูม
ขณะที่ความเคลื่อนไหวราคาที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทรานายวัฒนา รัตนวงศ์ประธานหอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทราระบุว่านับจากรัฐบาลให้ความสำคัญให้ จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นอีอีซี ส่งผลให้ราคาที่ดินขยับสูงอย่างรวดเร็ว เห็นชัดตั้งแต่ปลายปี 2559เป็นต้นมา โดยเฉพาะทำเลติดถนนสายหลัก ฉะเชิงเทรา-บางปะกง ขนาดแปลงที่ดิน 10 ไร่ ราคา เฉลี่ยไร่ละ15ล้านบาท ถัดเข้าถนนซอย อาทิ ถนนลาดยางขององค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) 100 เมตรขนาดแปลง 10 ไร่ราคาไร่ละ 10 ล้านบาทเทียบจากปีที่ผ่านทำเลเดียวกัน ติดถนน ฉะเชิงเทรา -บางปะกง ราคา ไม่ถึง10ล้านบาท
ตัดวงแหวน2 ดันที่พุ่ง 100%
ขณะเดียวกันผังเมืองรวมจังหวัดยังกำหนด ให้กรมทางหลวงก่อสร้างถนนวงแหวนรอบ2 รอบเมืองฉะเชิงเทรา ระยะทาง 51กิโลเมตรระยะทาง 51 กิโลเมตรขนาด 4-6ช่องจราจรมูลค่า 1.8หมื่นล้านบาท แนวสายทาง ผ่าน เขตอำเภอเมือง อำเภอบางไทร อำเภอบางคล้า เชื่อมต่อกับ ถนนรามอินทรา กรุงเทพมหานคร รองรับการขยายตัวของเมือง จากกรุงเทพฯ มายังฉะเชิงเทรา ที่กรมโยธาธิการและผังเมืองกำหนดโซนพัฒนาตามผังเมืองให้เป็นเมืองที่อยู่อาศัยรองรับอีอีซี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างสำรวจเส้นทาง คาดว่าจะยิ่งทำให้ราคาที่ดินบริเวณดังกล่าวปรับขึ้น กว่า 100 % ซึ่งปัจจุบันบริเวณแนวถนนวงแหวน ใหม่ เขตอำเภอเมือง ไร่ละ 8ล้านบาท เขตอำเภอบางคล้าไร่ละ 7-8 ล้านบาท
นายวัฒนา ฉายภาพว่ายังมีท่าเรือบ้านโพธิ์ ที่รัฐบาลชุดที่ผ่านมามีแผนพัฒนาท่าเรือขนาดใหญ่โดยขุดร่องนํ้าขนาด 2,000 ตันกรอส จากปัจจุบัน 500 ตันกรอส แต่ถูกรัฐประหารเสียก่อน ท่าเรือแห่งนี้จะเป็นท่าที่สำคัญต่อการส่งออกสินค้า ซึ่งทำเลนี้จึงเหมาะที่จะเป็นศูนย์กระจายสินค้ามากที่สุด
 ปั้นเมืองอยู่อาศัยชั้นดี
นายอนุกูล ตังคณานุกูลชัย ผู้ว่าราชการจังหวัด ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า ราคาที่ดินเคลื่อนไหวเร็วมาก ไม่เกิน 3ปี ทางหลวงสาย 314 “ฉะเชิงเทรา-บางปะกง จากราคาไร่ละ 8 ล้านบาท ขยับเป็น ไร่ละ 20 ล้านบาท และมีแนวโน้ม เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับ รัฐบาลลงทุนรถไฟซึ่งจะเกิดการพัฒนารอบสถานีรอบๆตัวเมือง ซึ่งจะเกิดการพัฒนาที่อยู่อาศัย ที่จะอยู่ชานเมือง ที่สามารถเชื่อมโครงข่าย มายังแหล่งงานได้ ซึ่งขณะนี้แบรนด์ดังเข้ามาในฉะเชิงเทรา อาทิ ลลิล
อย่างไรก็ดี ฉะเชิงเทรามีจุดเด่นในตัวเอง เนื่องจากเป็นทั้งศูนย์กลางคมนาคมทางอากาศ ใกล้สุวรรณภูมิ เพียง 40 กิโลเมตร ใกล้ สนามบินอู่ตะเภา อีกทั้งใกล้กทม. ใกล้ท่าเรือแหลมฉบัง อีกทั้ง ฉะเชิงเทราเอง ยังมีท่าเรือเอกชน รองรับ และเป็นจังหวัดที่ใกล้ฐานการผลิตอุตสาหกรรม โยรอบอาทิ จังหวัดปราจีนบุรี ระยอง ชลบุรี ฯลฯ จึงทำให้ ฉะเชิงเทราสามารถทำซีดีซีหรือศูนย์กระจายสินค้าไปยังภูมิภาคอื่นได้อย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านี้นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)ให้สัมภาษณ์”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การจัดทำร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ EEC ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน คาดว่าจะแล้วเสร็จและเสนอให้ครม.พิจารณาในต้นเดือนก.พ. และส่งให้สนช.พิจารณาได้ในเดือนมีนาคมนี้ โดยจะมีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 3 ฉบับ คือ คือ
1. การแก้ไข พ.ร.บ. ส่งเสริมการลงทุน 2. การ ออกพ.ร.บ. กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
3. พ.ร.บ.พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เพื่อจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแลการพัฒนา EEC กำหนดแนวทางการลงทุนในโครงการต่างๆระหว่างรัฐและเอกชน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,231
วันที่ 29 มกราคม – 1 กุมภาพันธ์ 2560

สินบนข้ามชาติ หวยออก “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ”?

     ผู้ว่าการ สตง.แจงนำทุกรายชื่อที่มีโอกาสรับสินบน “บินไทย” มาตรวจสอบตามหลักฐานของทางอังกฤษ และมั่นใจทำเป็นขบวนการ ชี้ถ้าหลักฐานสาวไม่ถึงคนมีอำนาจต้องตรวจ “ร่ำรวยผิดปกติ” โดยเฉพาะที่ไปที่มาของการนำเงินไปซื้อที่ดินแปลงใหญ่มูลค่ามหาศาล พร้อมเปิดรายชื่อผู้รับสินบนทุกคน ทุกช่วงเวลา แม้คดีจะหมดอายุความก็ต้องนำรายชื่อ “ประจาน” เพื่อให้สังคมรับรู้ ใครกินสินบน ด้านวงในเชื่อ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ดิ้นไม่หลุด ขณะที่หลักฐานสินบน ปตท.เสมือนจะเอาผิดยาก 
สินบนข้ามชาติ หวยออก “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ”?
        
        “ข้อมูลหลักฐานที่มีอยู่ขณะนี้ มีรายชื่อผู้ต้องสงสัยรับสินบนค่อนข้างเยอะ ทุกคนที่เกี่ยวข้องมีโอกาสเป็นไปได้คนละนิดคนละหน่อย ยืนยันการติดสินบนไม่ใช่ติดเฉพาะคนที่มีอำนาจสูงสุดเพียงคนเดียว เราต้องคาดเดาว่า คนมีอำนาจสูงสุดถ้าจะไปโต้แย้งเหตุผลของเสียงส่วนใหญ่ เป็นเรื่องที่ยากมาก จึงต้องมีการติดสินบนกันมากพอสมควรเพื่อให้มั่นใจว่าจะผ่านการพิจารณาไปอย่างราบรื่น” นาย พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กล่าว
       
       กรณีสินบนข้ามชาติซึ่งบริษัทโรลส์-รอยซ์ ผู้ผลิตเครื่องยนต์สำหรับอากาศยานรายใหญ่ สัญชาติอังกฤษยอมรับว่าได้จ่ายสินบนให้หลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย โดยเฉพาะการบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อให้ได้ขายเครื่องยนต์ใน 3 ช่วงเวลา ระหว่างปี 2534-2548 เป็นเงิน 1,253 ล้านบาท และจ่ายสินบนให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ) จำกัด (มหาชน) รวม 393 ล้านบาทใน 6 โครงการระหว่างปี 2543-2556 นั้น นายพิศิษฐ์ ผู้ว่าการ สตง. ระบุว่า การที่ต่างชาติมีการออกกฎหมายการติดสินบนข้ามชาติและเคยมีเหตุการณ์การติดสินบนในประเทศไทยมาแล้ว อย่างกรณีที่เกิดขึ้นกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มาจนถึงสินบนที่กำลังโด่งดังทั้งการบินไทย ปตท. การไฟฟ้านครหลาง ไฟฟ้าภูมิภาค และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) รวมไปถึงหลักฐานที่ สตง.มีอยู่ขณะนี้ ทำให้เชื่อว่า การทุจริตข้ามชาติจะต้องมีอีกหลายโครงการ ซึ่ง สตง.จะต้องเข้าไปติดตามตรวจสอบต่อไป 
สินบนข้ามชาติ หวยออก “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ”?
        
        กางบัญชีรายชื่อผู้อยู่ในข่ายกินสินบน
       
       ส่วนในเรื่องของการบินไทยนั้น ยอมรับว่า สตง.มีการตรวจสอบข้อมูลหลักฐานทางเอกสารตั้งแต่ระดับนโยบายว่ามีแผนการจัดซื้ออย่างไร การประชุมบอร์ดในแต่ละครั้งกรรมการท่านใดมีความเห็นอย่างไรบ้าง ใครออกความเห็นบ้าง ใครเชียร์บ้าง การเดินทางไปต่างประเทศทั้งในเรื่องของการดูงาน การเอนเตอร์เทนต่าง ๆ รวมไปถึงขั้นเซ็นสัญญา
       
       “เราเอารายชื่อตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ มาเรียงร้อย ทั้ง 3 ช่วงเวลา เพราะเรารู้ว่ากระบวนการของเส้นทางกว่าจะมาถึงอนุมัติทำสัญญาได้ ตั้งแต่คนเสนอเรื่อง เพื่อให้มีการจัดซื้อ คนกำหนดเงื่อนไข กำหนดสเปก คนที่มาคัดเลือกตัวเครื่องยนต์ คนที่มาทำหน้าที่อนุมัติ เลือกว่าจะเอาตัวนี้หรือตัวโน้น จนกระทั่งทำสัญญา”
       
       ผู้ว่าการ สตง.บอกว่า ทุกคนที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชี สตง.ครั้งนี้ มีโอกาสรับสินบนด้วยกันทั้งนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนรับสินบนทั้งหมด ซึ่งบางคนมีเหตุผลทางเทคนิคว่าต้องใช้ยี่ห้อนี้ แต่ที่น่าประหลาดคือคนที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิคด้านเครื่องยนต์ แต่กลับเชียร์มาก ๆ ให้ซื้อยี่ห้อนี้
       
       ตรงนี้ สตง.ก็ต้องพิจารณาเป็นพิเศษว่า คนคนนี้เชียร์เป็นพิเศษเพราะทำตามหน้าที่หรือถ้าหลักฐานที่ได้มาพบว่ามีการให้สินบนเพื่อให้คนคนนี้ไปพูดเชียร์ ก็ต้องถูกดำเนินคดีเช่นกัน
       
       “หลักฐานจากทางอังกฤษ จะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น เพราะคนที่ตอบได้ชัดเจนที่สุดก็คือคนให้สินบน ที่ทางอังกฤษมีการสืบสวนและตรวจสอบมาแล้ว จึงเป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้”
       
       อย่างไรก็ดี จากข้อมูลตรวจสอบของ สตง.ที่มีการไล่เรียงตั้งแต่ระดับเจ้าหน้าที่ขึ้นไป จนถึงระดับผู้มีอำนาจสูงสุดของหน่วยงานก็คือกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ หรือที่เรียกกันว่า “ดีดีการบินไทย” นั้น สตง.ได้นำข้อมูลมาดูว่ากระบวนการจัดซื้อจบที่ตรงนี้หรือไม่ และเมื่อไม่จบก็ต้องไปดูว่าถึงผู้กำกับดูแลซึ่งหมายถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือไม่ หรือรัฐมนตรีได้มอบหมายหน่วยงานการบินไทยให้รัฐมนตรีช่วย หรือผู้ช่วยรัฐมนตรีมีอำนาจดำเนินการทั้งหมด
       
       “สตง.ไม่ดูแค่นี้ ได้ตามไปดูข้อมูลต่อว่า เรื่องการจัดซื้อในแต่ละครั้งมีการนำเข้า ครม.หรือไม่ และมีการเสนออะไรใน ครม.ชุดนั้นอย่างไร”
       
       หลักฐานโยงไม่ถึงตรวจร่ำรวยผิดปกติ
       
       ผู้ว่าการ สตง.บอกว่า ถ้ารัฐมนตรีจะอ้างว่ามอบอำนาจให้รัฐมนตรีช่วย เป็นผู้ดูแลการบินไทยในการดำเนินงานหรือบริหารงานก็ต้องอยู่กับรัฐมนตรีช่วย ไม่ใช่บอกว่ามอบหมายงานแต่ในความเป็นจริงรัฐมนตรีว่าการเป็นผู้มีอำนาจหรือแอกชั่นในการบริหารทั้งหมด
       
       ตรงนี้ถ้าหลักฐานจากอังกฤษระบุว่าผู้ที่ให้สินบนมีการซัดทอดถึงรัฐมนตรีว่ามีการไปรับเลี้ยง ไปดูงานต่างประเทศ ก่อนที่จะมีการเซ็นสัญญาจัดซื้อกับบริษัท ทั้งที่รัฐมนตรีอ้างว่ามีการมอบอำนาจให้รัฐมนตรีช่วยไปแล้ว
       
       “ตรงนี้ก็เหนื่อยเหมือนกันในการไปตรวจสอบ” นายพิศิษฐ์ บอก
       
       ผู้ว่าการ สตง.ยืนยันว่า หากมีการตรวจสอบอย่างรัดกุมแล้วแต่หลักฐานโยงไม่ถึงผู้มีอำนาจ สตง.ก็ต้องดำเนินการนำหลักฐานทั้งหมดส่งให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ตรวจสอบความร่ำรวยผิดปกติ ว่าในแต่ละช่วงนั้นมีทรัพย์สินอะไรเพิ่มขึ้นหรือไม่ เช่นการไปซื้อที่แปลงใหญ่ แม้ว่าผู้ที่เกี่ยวข้องจะซื้อในนามบริษัทก็สามารถตรวจสอบได้ ว่าที่มาของเงินมาจากแหล่งไหน จากบัญชีบริษัทหรือบัญชีส่วนตัว ซี่งมีวิธีการสืบสวนสอบสวนได้เช่นกัน
       
       ส่วนกรณีสินบนข้ามชาติของบริษัท ปตท.นั้น จากข้อมูลที่ สตง.นำมาเรียงร้อย ก็ยังต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติม เนื่องจากมีการชี้แจงมาว่า บุคคลที่อยู่ในข่ายพัวพันเรื่องสินบนนั้น มีการลาออกจากบริษัท ปตท.ไปแล้ว แต่เรื่องนี้ สตง.ก็ยังคงตรวจสอบเพื่อหาหลักฐานความจริงและส่งให้ ป.ป.ช.หรือดีเอสไอ เพื่อดำเนินการในด้านกฎหมายต่อไป 
สินบนข้ามชาติ หวยออก “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ”?
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
        
        “สุริยะ” ชงยกเว้นกฎ-เปิดทางซื้อเครื่องบิน
       
       ด้านแหล่งข่าวจาก ป.ป.ช. ระบุว่า กรณีสินบนการบินไทยนั้น มีข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยงว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมขณะนั้นมีการแก้ระเบียบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้สามารถจัดซื้อเครื่องบินตามสเปกที่ระบุไว้
       
       โดยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น ได้ทำหนังสือขอยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบการก่อหนี้ของประเทศ พ.ศ. 2528 ของบริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) เมื่อ 15 พฤศจิกายน 2547 เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น
       
       ซึ่งเป็นเรื่องต่อเนื่องจากการที่ทางบริษัท การบินไทย มีโครงการจัดหาเครื่องบินตามแผนวิสาหกิจ ปี 2548/49 -2552/53 จำนวน 14 ลำ ดังกล่าว ประกอบด้วย เครื่องบินพิสัยไกลขนาดใหญ่มาก แบบ A380 จำนวน 6 ลำ เครื่องบินพิสัยไกลพิเศษ แบบ A340-500 จำนวน 1 ลำ เครื่องบินพิสัยไกลขนาดกลาง แบบ A340-600 จำนวน 1 ลำ และเครื่องบินพิสัยไกลขนาดกลาง แบบ B777-200 ER จำนวน 6 ลำ ในวงเงินลงทุนทั้งสิ้น 96,355 ล้านบาท
       
       ทั้งนี้เนื่องจากโครงการจัดหาเครื่องบินใหม่ดังกล่าว ติดขัดที่กฎระเบียบในการก่อหนี้ต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจอย่าง การบินไทย ทำให้วงเงินตามเพดานหนี้เงินกู้ต่างประเทศของการบินไทย ได้รับการจัดสรรอาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการเงินกู้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศในอนาคต การกำหนดวงเงินสำหรับเพดานหนี้เงินกู้ต่างประเทศที่กระทรวงการคลังนำเสนอในแต่ละปีที่กำหนดให้หน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจสามารถทำการกู้ได้ มีแนวโน้มลดลง
       
       ดังนั้นหากพิจารณาร่วมกับแผนการลงทุนในอนาคตแล้ว การบินไทยจะไม่สามารถจัดหาแหล่งเงินกู้จากต่างประเทศได้อย่างเพียงพอต่อความต้องการ หากยังต้องปฏิบัติตามระเบียบก่อหนี้ต่างประเทศ 2528 ซึ่งอาจส่งผลให้สูญเสียโอกาสทางการแข่งขันในอนาคต
       
       นับเป็นการกรุยทางสำหรับแผนการจัดซื้อเครื่องบินของรัฐบาลในขณะนั้น จนเข้าสู่ขั้นตอนของการประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อการอนุมัติในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2547 จนเป็นที่มาของผลการสอบสวนบริษัทโรลส์-รอยซ์ ว่ามีการจ่ายสินบนให้กับบริษัท การบินไทย ในครั้งที่ 3 ดังเนื้อหาที่มีการระบุไว้ในเอกสารภายในของโรลส์-รอยซ์ว่า ช่างเป็นการประชุมที่ดีเหลือเกิน การจัดซื้อเครื่องบินรุ่นใหม่ แอร์บัส A340 และ โบอิ้ง 777 กำลังอยู่ในวาระการประชุมของคณะรัฐมนตรีในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2547
       
       อีกทั้งยังมีข้อมูลจากวงในกรมที่ดิน ระบุว่า ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ได้เข้าไปซื้อที่ดินแปลงใหญ่ ๆ ย่านสมุทรปราการและชลบุรี รวมไปถึงสนามกอลฟ์วินด์มิลล์ พร้อมทั้งได้ทำการปรับปรุงสนามกอล์ฟและโรมแรมรองรับนักท่องเที่ยวในนามบริษัท โดยวิธีการเซ็นสัญญาซื้อขายจะใช้แบบมีส่วนลด
       
       “ในสัญญาแบบมีส่วนลด 500 ล้าน แต่จ่ายจริงคือ 1 พันล้าน”
       
       ส่วนใครบ้างที่รับสินบนข้ามชาติ จากนี้ไปคงต้องหนาว ๆ ร้อน ๆ เพราะผู้ว่าการ สตง.ยืนยันว่าต้องดำเนินการถึงที่สุดเพื่อเปิดโปงให้สังคมได้รับรู้ว่าใครบ้างที่กินสินบนข้ามชาติ! 

ทำไมจึงเอาแต่ "วิตก" หรือ "กลัว" ชาติมหาอำนาจ ?

ทำไมจึงเอาแต่ "วิตก" หรือ "กลัว" ชาติมหาอำนาจ ?
Fb page เอนก เหล่าธรรมทัศน์ AnekLaothamatas

กับเพื่อนบ้านนั้นไทยมักจะทำตัวใหญ่กว่า แต่เมื่อเทียบตัวเองกับมหาอำนาจ ก็จะรู้สึกว่าตนเป็นชาติยากจน อ่อนแอ ล้าหลัง มองว่าต้องสันทัดในการหา หรือมี หรือพึ่งพิง "ลูกพี่" ที่เป็น"ชาติมหาอำนาจ" ความสำเร็จทางการทูตหลายครั้งของเราคือการเลือกข้าง"ลูกพี่"ได้ถูก หรือเปลี่ยน "ลูกพี่" ได้ทันกาล หรือควานหา "ลูกพี่ใหม่" มาคาน หรือมาแทน "ลูกพี่เก่า" ได้อย่างน่าพิศวง

พูดว่าไทยยากจนล้าหลังเมื่อหลายสิบปีก่อนนั้นคงไม่ผิด แต่ปัจจุบันเราเป็นชาติรายได้ปานกลาง ขนาดเศรษฐกิจใหญ่ราวอันดับที่ยี่สิบ-สามสิบต้นๆ ของโลกไปแล้ว เป็นศูนย์กลางการบินที่ใหญ่มากของโลกและของเอเชีย มีศักยภาพเป็นจุดเชื่อมของปาซิฟิกกับอินเดีย ซึ่งเป็นสองมหาสมุทรสำคัญแห่งศตวรรษที่ 21 ได้ และไทยยังอาจเชื่อมต่ออาเซียนเข้ากับจีนและอินเดียได้ในทางบกเช่นกัน เราอยู่ชิดใกล้กับช่องแคบมะลักกา เส้นทางเดินเรือที่ใหญ่ที่สุดของโลก สำคัญเสียยิ่งกว่าเส้นทางผ่านคลองสุเอซ และยิ่งกว่าเส้นทางคลองปานามา

อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกหวาดหวั่นยำเกรง "ชาติมหาอำนาจ" นั้น ก็ดูจะเปลี่ยนแปลงน้อยมากครับ ผมบรรยายเรื่องบูรพาภิวัตน์คราใด ก็มักมีคนถามว่า "เมื่ออเมริกาถดถอย และจีนเข้มแข็งรุ่งเรืองอย่างนี้ จะป้องกันการคุกคามของจีน ซึ่งเป็นมหาอำนาจใหม่ของโลกอย่างไรดี ?" ผมก็จะตอบว่าเราหมดยุค "สงครามเย็น" กันแล้ว ควรอยู่กับเพื่อนบ้านทุกประเทศอย่างให้เกียรติ และร่วมมือหรือสัมพันธ์กับ "ชาติมหาอำนาจ" ทุกฝ่ายให้ดี พลางนึกต่อในใจ "เราไม่ใช่ชาติเล็ก" แล้ว ต้องทะยานขึ้นไปเป็น "ชาติอำนาจระดับกลาง" บ้าง เรามีที่ตั้งที่มีศักยภาพที่จะก้าวต่อไปอีก อย่าขวนขวายหาแต่ "ลูกพี่" เอาแต่พึ่งพาชาติมหาอำนาจชาติเดียวหรือฝ่ายเดียว อย่างในอดีต เลย และ พอสหรัฐอ่อนกำลังลง ก็จงอย่า "กลัวจีน" แทน

โปรดดูสิงคโปร์ครับ ประเทศนั้นทั้งพื้นที่ทั้งประชากรเล็กกระจิดริด แต่เขาไม่เคย"กลัวจีน" "กลัวฝรั่ง" หรือ "กลัวญี่ปุ่น" เลย กลับ"ใช้ " จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น" ให้เป็นประโยชน์ได้หมด ถึงเวลาแล้วที่เราตัองทำใจให้ใหญ่ขึ้น คิดใหญ่ขึ้น คิดไกลกว่าเดิม อย่าเอาแต่"กลัว" การคุกคาม และ"เกรง" แต่การถูกเอารัดเอาเปรียบจาก "ชาติมหาอำนาจ" เท่านั้น

รอบอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ก็เช่นกัน เราก็วกกลับมากลัว "อเมริกาในยุคทรัมป์" อีกจนได้ หลังจากที่ประธานาธิบดีใหม่ ดอนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งต่างๆที่ก้าวร้าวและมีผลกระทบต่อโลกหลายอย่าง เราเริ่มจะเกรงว่าการส่งออกจะกระทบจาก "สงครามการค้า" ระหว่างจีนกับสหรัฐ หรือเปล่า เราวิตกกันว่าสหรัฐจะปะทะหรือมีศึกสงครามกับจีนได้ไหม จากกรณีเกาหลีเหนือ จากกรณีไต้หวัน กรณีญี่ปุ่น และจากกรณีความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ และอาจจะลุกลามมาถึงไทยได้ เรากริ่งเกรงว่าสหรัฐจะเพิ่มกำลังเรือรบเรือดำน้ำและกองบินอีก ซึ่งย่อมส่งผลให้จีนจำต้องก้าวร้าวตามขึ้นไปอีก และย่อมจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของไทยแน่นอน

ผมคิดว่าเราไม่ควร "กลัว" ทั้งจีนทั้งสหรัฐครับ ทั้งสองมหาอำนาจนั้นล้วนแต่ต้องการไทยเป็นมิตร และเราเคยเผชิญกับการเปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัยและเปลี่ยนดุลย์กำลังครั้งใหญ่ในโลกและในเอเชียอาคเนย์มามากต่อมากแล้ว อันตรายกว่านี้มาก ก็ผ่านมาแล้ว ไม่ว่าจะในยุคฝรั่งล่าอาณานิคม หรือยุคสงครามอินโดจีนก่อนสงครามโลกครั้งที่สองที่เรารบตามชายแดนกับเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส ยุคสงครามโลกครั้งที่สองที่รบกับสหรัฐและอังกฤษมาแล้ว หรือ ยุคสงครามเย็นห้าทศวรรษที่เราต้องไปรบในเกาหลี ในเวียดนาม ลาว และเขมร และล่าสุด เมื่อไม่นานมานี้ คือราวสองสามทศวรรษที่แล้วเอง กองทัพเวียดนามเข้ายึดกัมพูชาและรุกมาจนประชิดชายแดนไทยทางภาคตะวันออก เราก็ผ่านพ้นมาได้

ยิ่งกว่านั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ยังจะต้องเผชิญกับการต่อต้านขนานใหญ่และอาจจะใหญ่ขึ้นอีกเรื่อย ๆ จากภายในประเทศเอง ไม่ว่าจากประชาสังคม จากกลุ่มประท้วง จากกลุ่มพลัง กลุ่มผิวดำ กลุ่มมุสลิม กลุ่มชาติพันธ์ต่าง ๆ กลุ่มผู้หญิง ทั้งจะมีการคัดค้านอย่างต่อเนื่องจากพรรคเดโมแครท หรือจากภายในพรรครีพับลิกันเอง ถูกทัดทานหรือถูกคัดคานจากศาล และ จากมลรัฐหรือจากท้องถิ่นได้ด้วย รวมไปถึงอาจมีการใช้ความรุนแรงต่างๆ อีกมากที่จะหยุดประธานาธิบดีทรัมป์ ขณะเดียวกัน ทรัมป์เองก็มีประชาชนที่หย่อนบัตรให้มากมาย และสนับสนุนเขาอยู่จริงจัง

แทนที่จะคิด"กลัวทรัมป์" อย่างเดียว เราอาจได้เห็นอเมริกาที่ยิ่งใหญ่แตกเป็น "สอง" ห้ำหั่นกัน มีพวก "โปร-ทรัมป์" และ พวก "แอนตี้-ทรัมป์" สู้กัน

แทนที่จะ "กลัวทรัมป์" อาจคิดว่าสหรัฐอาจปั่นป่วนวุ่นวาย คล้ายจะกลับเป็นยุค 60 อีก มีการประท้วง ปราบปราม วุ่นวาย จลาจล แต่ อย่าลืมว่าในช่วงปี 1960 ที่สหรัฐขัดแย้งกันอันเนื่องมาจากสงครามเวียดนามนั้น สหรัฐยังเป็น "เจ้าหนี้" รายใหญ่ที่สุดของโลก เศรษฐกิจยังแข็งแกร่งครับ นำหน้ายุโรปและญี่ปุ่นอยู่มาก แข็งแกร่งกว่าโซเวียต คู่ปรับ อย่างแน่นอน และจีนในตอนนั้นครับ อย่าลืม ยังยากจน อดอยาก ล้าหลัง หลายอย่างไม่ดีกว่าประเทศส่วนใหญ่ในอัฟริกาเสียด้วยซ้ำ

เหตุการณ์จริงจะเป็นอย่างไร คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แต่อย่าเอาแต่ "กลัว" เราอาจได้เห็นการล้มครืนพังทะลายของชาติมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลกก็ได้ หวังว่าจะไม่เห็นนะครับ ผมภาวนาว่าสหรัฐ เพื่อนมิตรที่ดี จงอย่าล้ม จงอย่าพังทลาย จากรอยร้าว รอยแตก อันประธานาธิบดีทรัมป์จะขยายให้ใหญ่โตขึ้นอีกมากในเวลาอันรวดเร็วข้างหน้านี้

นายกฯลุยปยป.ปฏิรูปไม่บังคับปรองดองย้ำไม่โยงคดี

นายกรัฐมนตรี ยืนยันเดินหน้า ป.ย.ป. เพื่อเร่งรัดการปฏิรูป ลั่น ไม่บังคับใครให้ปรองดอง ย้ำไม่โยงคดี ผิดถูกยึดตามกฎหมาย - ขอสื่ออย่ากังวล ร่างกฎหมายของ สปท. ยืนยันไม่ใช่การควบคุมแทรกแซง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงเรื่องการตั้งคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดิน ตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ที่มีคำถามว่าภายใน 1 ปี จะทำให้เกิดเป็นรูปธรรมได้หรือไม่ ว่า รัฐบาลได้ทำงานในด้านปฏิรูปมาโดยตลอด และที่ตั้งคณะกรรมการ ป.ย.ป. ขึ้นมาก็เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนการปฏิรูปให้ได้ภายใน 1 ปี นี้ เพื่อให้รัฐบาลต่อไปมาสานต่อการทำงานได้ แต่ยังไม่สามารถระบุว่าทุกอย่างจะสำเร็จได้ภายใน 1 ปี หรือไม่ เพราะในการทำงานมีอุปสรรคและปัญหาติดขัดหลายอย่าง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็จะดำเนินงานต่อไปอย่างเต็มที่
ส่วนกระบวนการสามัคคีปรองดอง ก็จะมีการพูดคุยกันจนกว่าจะได้ข้อสรุป แต่ทุกอย่างก็จะต้องขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทุกฝ่าย เนื่องจากการปรองดองไม่สามารถออกคำสั่งให้มาปรองดองกันได้ ส่วนที่จะเชิญฝ่ายการเมืองมาร่วมพูดคุยกับคณะกรรมการปรองดองเมื่อใดนั้น ขึ้นอยู่กับกระทรวงกลาโหม ซึ่งหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบ ซึ่งจะดำเนินการให้เร็วที่สุด

นายกฯขอสื่ออย่ากังวลยืนยันไม่ปิดกั้นแทรกแซง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เดินหน้าเสนอกฎหมาย พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่งเสริม จริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ว่า ประเทศเราจำเป็นต้องมีสภาวิชาชีพสื่อ เป็นการกำหนดมาตรฐาน เนื่องจากมีปัญหาในการควบคุมสื่อกันเองไม่ได้ ซึ่งทุกอาชีพก็จะต้องมีสภาวิชาชีพเช่นกัน
พร้อมยืนยันว่า ไม่ได้เป็นการควบคุมหรือปิดกั้น จำกัดการนำเสนอข่าว ซึ่งในสภาวิชาชีพสื่อ ก็มีทั้งคณะกรรมการที่มาจากข้าราชการ สื่อมวลชน และภาคส่วนอื่นๆ จึงขออย่าอย่าหวาดระแวงว่ารัฐบาลจะสั่งปิดหรือไม่ปิดสื่อ เพราะอำนาจรัฐไม่สามารถแทรกแซงได้

นายกฯโยนพาณิชย์เร่งสอบ-ลงโทษ"สุภัฒ"
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงการดำเนินการลงโทษนายสุภัฒ สงวนดีกุล รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ภายหลังจากไปก่อเหตุขโมยภาพวาด 3 ภาพ ในโรงแรมที่ประเทศญี่ปุ่น ว่า เป็นเรื่องที่รัฐบาลดูอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นการบริหารราชการแผ่นดิน และเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น กระทรวงพาณิชย์ จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ โดยมีคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ดำเนินการที่จะต้องฟังเหตุผลของ นายสุภัฒ ว่า ทำไมขโมยภาพดังกล่าว เพราะเป็นสิ่งของที่ไม่มีราคา เพื่อนำไปสู่การพิจารณาของคณะกรรมการตรวจสอบทางวินัย และลงโทษต่อไป
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด นายสุภัฒ ได้ทำหนังสือส่งถึงสื่อมวลชน โดยได้ประกาศขอลาออกจากราชการในวันนี้

นายกฯสั่งเร่งช่วยคนไทยถูกหลอกในมาเลย์
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่คนไทยถูกหลอกไปขายแรงงานแบบผิดกฎหมายที่ประเทศมาเลเซีย ว่า ขณะนี้ได้สั่งการไปแล้ว และอยู่ระหว่างการประสานงานของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า ต้นทางการค้ามนุษย์อยู่ในประเทศไทยหรือมาเลเซีย
อย่างไรก็ตาม สำหรับสถานการณ์การแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ในประเทศไทยนั้น ดีขึ้นเป็นอย่างมาก โดยรัฐบาลได้แก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ด้วยการแก้ทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ นายหน้า และเหยื่อ

นายกฯชี้นโยบาย"ทรัมป์"กระทบบ้างรบ.เตรียมรับแล้ว
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงนโยบายห้ามมุสลิมเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา ของ นายโดนัลล์ ทรัมป์ ว่า นโยบายดังกล่าวมีผลกระทบอยู่บ้าง ในส่วนของมุสลิมที่ยังไม่สามารถเข้าประเทศได้ เช่นเดียวกับตนเอง ที่ไม่สามารถเดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกาได้ เพราะไม่ได้มีการเชิญไป
ทั้งนี้ ขอว่าอย่านำปัญหาของต่างประเทศมาใส่ประเทศไทย ขณะเดียวกัน ในส่วนของรัฐบาลก็ได้เตรียมการรองรับนโยบาย ทั้งเรื่องพันธสัญญา ธุรกิจการค้าในระหว่างประเทศ ที่มีการเปลี่ยนแปลง พร้อมกันนี้ ไทยจะต้องเพิ่มความสามารถทางการค้าภายในประเทศ ไม่ใช่พึ่งการส่งออกเพียงอย่างเดียว

บิ๊กตู่ จัดระบบย้ายตำรวจใหม่

บิ๊กตู่ จัดระบบย้ายตำรวจใหม่ แก้ซิ้อเก้าอี้ ชี้ บิ๊กป้อม ดูคนเดียว เหนื่อยเกินไป ให้ใช้ บอร์ด เป็นระดับๆ
นายกฯเผย หารือคสช. ว่าจำเป็นต้องใช้ ม.44 เรื่องแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ มั้ย เพื้อสร้างความชอบธรรมในการโยกย้าย และแก้ปัญหา ถูกกล่าวหาว่า มีซื้อขายเก้าอี้ รับเงินรับทอง ให้ระดับ ผบ.จังหวัด ทำตั้งแต่ระดับล่างขึ้นมา แล้วให้ ผบ.ตร. มาดูข้างบนอีกที ชี้ทุกวันนี้ พลเอกประวิตร ดูไม่ไหว ต้องเอาทั้ง300 ชื่อขึ้นมาดูเอง เลย มันเหนื่อยเกืนไปเลยต้องการให้มีคณะกรรมการกลั่นกรอง เป็นระดับๆ แต่ที่ผ่านมา ให้ข้างบนทำหมด

ส่วนที่แก้ไขได้ยากที่สุด:ไทยรัฐ

เห็นได้ชัดว่ารัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อการจัดทำดัชนีเกี่ยวกับการทุจริตขององค์กรความโปร่งใสนานาชาติ เห็นได้จากการที่นายกรัฐมนตรีเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ หรือ “ครม.ชุดเล็ก” เพื่อหารือการแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน หลังจากที่ทีไอให้ไทยอยู่อันดับที่ 101 จาก 176 ประเทศ

แม้รัฐบาลจะอ้างว่าการทุจริตต่างๆล้วนแต่เกิดขึ้นในรัฐบาลก่อนๆ ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลปัจจุบัน แต่เหตุผลในการลดอันดับไทยของทีไอหลายข้อ ก็ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลปัจจุบัน เช่น เรื่องจำกัดเสรีภาพสื่อและประชาชน การขาดองค์กรอิสระในการตรวจสอบและถ่วงดุลรัฐบาล ร่างรัฐธรรมนูญที่อ้างว่าปราบโกง แต่รักษาอำนาจของกองทัพ เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้เลขาธิการ ป.ป.ช.จึงเห็นว่านับเป็นครั้งแรกที่ทีไอเอาความเป็นประชาธิปไตยมาวัดดัชนีการทุจริตด้วย อันดับของไทยจึงลดอย่างฮวบฮาบ จากที่ 76 ของปี 2558 เป็น 101 ของปี 2559 แต่ความจริงไทยสอบตกมาโดยตลอด นับตั้งแต่มีการจัดอันดับเป็นต้นมา สอบตกแม้แต่ในรัฐบาลเลือกตั้ง ที่นานาชาติยอมรับว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย

เห็นได้ชัดว่านานาชาติไม่ได้วัดความเป็นประชาธิปไตยแค่ด้วยการเลือกตั้ง และไม่ได้วัดดัชนีการทุจริตคอร์รัปชัน จากการทุจริตที่เกิดขึ้นเพียงด้านเดียว แต่ลงลึกไปถึงระบบการตรวจสอบถ่วงดุล รวมทั้งปัจจัยที่จะทำให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพ โปร่งใส เป็นอิสระ ปราศจากการแทรกแซงจากการเมือง และเสรีภาพประชาชน

ทีไอผู้จัดดัชนีการทุจริตระดับโลก ที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ไม่ได้เรียกตัวเองว่าเป็นองค์กรปราบปรามการทุจริตโลก แต่เรียกว่าองค์กร “ความโปร่งใสนานาชาติ” การแก้ปัญหาการทุจริตไม่ได้เน้นการจัดซื้อจัดจ้างด้านเดียว ถึงแม้จะมีกฎหมายจัดซื้อจัดจ้างที่เข้มงวด แต่ผู้มีอำนาจบางคนก็เลี่ยงบาลี โดยจัดซื้อจัดจ้าง “ด้วยวิธีพิเศษ” เปิดประตูสู่คอร์รัปชัน

ครั้งนี้ไม่น่าจะเป็นครั้งแรกที่องค์กรความโปร่งใสเอาเรื่องเสรีภาพประชาชนและสื่อมวลชน ระบบการตรวจสอบถ่วงดุลที่เป็นอิสระ และร่างรัฐธรรมนูญ มาประกอบการพิจารณา แต่น่าจะทำกันมานานแล้ว นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองดังของไทยท่านหนึ่งเคยฟันธงว่า วิธีการป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่มีประสิทธิภาพสุด คือประชาธิปไตย

หลายประเทศแก้ปัญหาการคอร์รัปชันไม่ได้ เพราะการเมืองมีปัญหา แต่ที่ยากที่สุดคือค่านิยมและวัฒนธรรม ศาสตราจารย์ท่านหนึ่งระบุว่า ถ้าล้างสมองประชาชนให้อยากได้อยากมี โดยไม่ต้องลงทุนมาก และผูกพันเป็นหนี้บุญคุณ ไม่ให้มีจิตสำนึกจำแนกความผิดชอบชั่วดี จะนำมาซึ่งการโกงโดยไม่จำกัดวิธี และเกิดค่านิยมใหม่ วัฒนธรรมใหม่ ในสังคมของคนอยากได้ไม่รู้จบ.

เพื่อความโปร่งใสของชาติ:หมัดเหล็ก ไทยรัฐ

ตามที่ องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ Transparency International ประกาศคะแนนดัชนีความรับรู้การทุจริตปี 2016 จากทั้งหมด 176 ประเทศทั่วโลก อันดับที่ 1 ยังเป็น เดนมาร์กและนิวซีแลนด์ ที่ได้ 90 คะแนนเท่ากัน ส่วน ประเทศไทยอย่างที่เป็นข่าวไปแล้ว หล่นจากลำดับที่ 76 ไปอยู่ลำดับที่ 101 จาก 38 คะแนนเหลือ 35 คะแนน ลดไป 3 คะแนน ในขณะที่ในอาเซียน สิงคโปร์ ยังอยู่อันดับที่ 7 ด้วยคะแนน 84 คะแนน โดยมีการพิจารณาจัดอันดับจากแหล่งข้อมูล 9 แหล่งด้วยกัน มีอยู่ 3 แหล่งข้อมูลที่ไทยได้คะแนนมากขึ้น อีก 1 แหล่งข้อมูลคะแนนเท่าเดิม ลดลงไป 4 แหล่งข้อมูล

ที่น่าสนใจคือมีแหล่งข้อมูลที่เกิดขึ้นใหม่ 1 ข้อมูล วัดเอาจากความหลากหลายของประชาธิปไตย ส่วนด้านกฎหมาย เช่นนโยบายต่อต้านการค้ามนุษย์ ได้คะแนนเพิ่มขึ้น เรื่องของสิทธิและเสรีภาพ ดูดีขึ้นเมื่อ คสช.ลดหย่อนมาตรการด้านกฎหมายให้พลเรือนย้ายจากศาลทหารไปขึ้นศาลยุติธรรมได้

มีกระบวนการทางกฎหมายที่เอาผิดกับการทุจริตคอร์รัปชันได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น ความชัดเจนในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นคะแนนเพิ่มขึ้น เมื่อสำรวจความเห็นจากบรรดาผู้บริหารระดับสูง ซึ่งเกิดจากประสิทธิภาพของภาครัฐ สมรรถนะทางเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพภาคธุรกิจและโครงสร้างพื้นฐาน

เวลาเดียวกัน ความเสี่ยงทางด้านการเมือง เช่น การเรียกรับสินบน ความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย ความไม่ชัดเจนทางการเมือง ด้านเศรษฐกิจและการเงิน การแก้ไขปัญหาในระบบอุปถัมภ์ยังเป็นตัวฉุดให้คะแนนลดลง

ปัจจัยเกี่ยวกับการคอร์รัปชันที่กระทบกับนักลงทุนจากต่างชาติ ลดลงกว่าเมื่อ 4 ปีก่อนหน้านี้ ถือว่าสอบตก ที่น่าสนใจ คือ ข้อมูลด้านความหลากหลายของประชาธิปไตย ที่มีการรวบรวมข้อมูลเป็นปีแรก แน่นอนว่า ประเทศไทย ย่อมได้รับผลกระทบจากการปฏิวัติรัฐประหารไปเต็มๆอยู่แล้ว

ข่าวการจ่ายสินบนให้กับภาครัฐ ทำไปทำมากลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ต่างชาติให้ความสำคัญเป็นพิเศษ พฤติกรรมการคอร์รัปชันในระดับ ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการ ในอาเซียนมีการรวบรวมข้อมูลจาก 4 ประเทศ ได้แก่ เมียนมา ที่ได้ถึง 50 คะแนน ฟิลิปปินส์ ได้ 36 คะแนน ไทย ได้ 24 คะแนนและ กัมพูชา ได้ 17 คะแนน

ทั้งหมดนี้พอจะสรุปได้ว่า การที่ประเทศไทยจะถูกจัดอันดับความโปร่งใสอยู่ในลำดับใดก็แล้วแต่ ไม่ใช่สาระสำคัญที่รัฐบาลจะต้องออกมาตอบโต้หรือพยายามหยิบยกเอาในส่วนที่เพิ่มขึ้นมาใช้ในการหลบกระแสเรื่องนี้

สิ่งที่รัฐบาลจะต้องหันกลับมาประเมิน ก็คือ รัฐบาลได้ใช้จุดแข็งในการใช้อำนาจพิเศษ ให้เกิดความน่าเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องใช้ ม.44 เพราะใช้ไปแล้วก็แก้ไม่ได้ในวันเดียวอยู่ดี แต่ควรทำให้เห็นว่า รัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจ สามารถจะสร้างความเด็ดขาดในการแก้ปัญหาคอร์รัปชันมากกว่าจะเป็นการปกปิดการคอร์รัปชันได้แตกต่างกว่านักการเมืองอย่างไร ไม่ใช่ว่าแต่เขาแต่อิเหนาเป็นเสียเอง.

หมัดเหล็ก
mudlek@hotmail.com 

ต้องกู้สถานการณ์ด่วน:ไทยรัฐน.3

ชั่วโมงสั้นๆที่ทำให้คนไทยรวมพลังเป็นหนึ่งเดียว

ในการส่งแรงใจลุ้นและเชียร์ “น้องน้ำตาล” ชลิตา ส่วนเสน่ห์ สาวงามจากประเทศไทย บนเวทีประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2016 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อช่วงสายของวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา

แม้จะพลาดหวังคว้าตำแหน่งผู้หญิงสวยสุดในจักรวาลปีนี้ไป แต่น้อง “น้ำตาล” ก็สร้างความประทับใจและความภาคภูมิใจให้คนไทยทั้งชาติ

โดยเฉพาะช็อตสำคัญการตอบคำถามในรอบ 6 คนสุดท้าย ที่พิธีกรถามว่า ผู้นำโลกคนไหนในอดีตหรือปัจจุบันที่คุณชื่นชอบหรือเคารพ เพราะอะไร ซึ่งสาวงามตัวแทนจากประเทศไทยตอบมาจากส่วนลึกของใจ โดยไม่ต้องคิดนานเลยว่า

“คนนั้นก็คือ ในหลวงของดิฉันค่ะ ตั้งแต่ดิฉันเกิดมาก็เห็นพระองค์ทรงงานหนักมาตลอด ทรงไม่เคยบ่นแม้แต่น้อย และพระองค์ท่านก็เปรียบเสมือนพ่อของทุกคนในประเทศไทยค่ะ”

ได้ใจคนไทยทั้งประเทศ ได้รับรู้กันไปทั่วโลก

นับเป็นความสวยงาม เกียรติภูมิของไทยที่ผู้หญิงตัวเล็กๆทำให้ปรากฏในเวทีสำคัญ

ในบรรยากาศหักมุมกันเลยกับสถานการณ์ที่ต้องรีบกู้เครดิตประเทศไทยจากภาพ “แลนด์ ออฟ คอร์รัปชัน”

เชื้อชั่ว “โกง” ลามลึกจนเข้าขั้นโคม่า

ตามอาการแบบที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ หัวหน้า คสช. ต้องเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ที่เป็นคณะกรรมการชุดย่อย “มินิคาบิเนต” ของคณะกรรมการบริหาราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.)
เพื่อหารือเรื่องการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน
ภายหลังจากองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ให้คะแนนไทยตกรูดไปอยู่ในอันดับที่ 101 จากเดิมอันดับที่ 76
ในจังหวะกระแส “สินบนข้ามชาติ” ประจานซ้ำ
โดยการแฉจากหน่วยงานปราบทุจริตในอังกฤษและสหรัฐอเมริกาที่ปล่อยข้อมูลฉาวๆในการจัดซื้อเครื่องยนต์โรลส์รอยซ์ที่โยงกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และเอี่ยวกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ต่อเนื่องถึงการจัดซื้อสายเคเบิลไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง
ล้วนแต่รัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย ระบบธรรมาภิบาลพังไม่เหลือ
และตามกระแสไหลลามไม่หยุด ล่าสุดปมสินบนข้ามชาติถูกเปิดโปงไปถึงโครงการจัดซื้อกล้องซีซีทีวีในรัฐสภาของไทย
เจาะถึงจุดศูนย์กลางอำนาจนิติบัญญัติเลย
โดยรูปการณ์ “คอร์รัปชัน” กระทบเครดิตประเทศไทยในสายตาของนักลงทุนทั้งในและต่างชาติ สั่นสะเทือนระบบเศรษฐกิจของประเทศที่วันนี้ก็แทบไม่มีปัจจัยบวกเหลืออยู่แล้ว
แนวโน้มแบบที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ พยายามอธิบายถึงปรากฏการณ์อันดับความโปร่งใสของไทยที่ร่วงลงไปอยู่อันดับที่ 101 เป็นเพราะบางอันดับเป็นตัวเลขที่เกาะกลุ่มกัน
แต่คะแนนดิบจริงๆของไทยลดไปแค่ 3 แต้มเท่านั้น
มันก็เป็นอะไรที่น่าเห็นใจ เพราะไม่มีคำอธิบายที่ดีกว่านี้
นายสมคิดต้องฝืนมองโลกในแง่ดี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า คอร์รัปชันมันสะเทือน ไม่อย่างนั้น “นายกฯลุงตู่” คงไม่ต้องเรียกประชุมด่วนมินิคาบิเนตกู้สถานการณ์
นั่นก็เพราะมันจะพาลฉุดงานด้านอื่นไปหมด
ตามจังหวะ “ขนมผสมน้ำยา” แม้ประเด็นสินบนข้ามชาติจะเป็นเรื่องเก่าค้างปี คาบโยงรัฐบาลในอดีตมาหลายยุคหลายสมัย แต่มันมาโยงพอดีกับบรรยากาศห้วงอำนาจพิเศษที่องค์กรระดับโลกตั้งแง่การตรวจสอบที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ อย่างที่เห็นการปิดกั้นฝ่ายต่อต้านการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา
อันดับคอร์รัปชันในประเทศไทยเลยตกฮวบฮาบ
แม้ผู้นำรัฐบาล คสช.อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ที่ “หัวไม่ส่าย” พร้อมประกาศให้ปี 2560 เป็นปีแห่งการปฏิรูป แถมยังยึดเอาตามคำทำนายโหรว่า เป็นศักราชแห่งการโชว์ความโปร่งใส
แต่ก็ยังไม่มีน้ำหนักมากพอทำให้องค์กรตรวจโกงโลกเชื่อใจ.

ทีมข่าวการเมือง

สถานการณ์ข่าว31/1/60

ปยป.-รบ.

นายกฯเข้าทำเนียบแล้ว เตรียมเป็นประธานประชุม คสช.-ครม. - คาดพิจารณาใช้ม.44 แก้ปัญหาข้อติดขัดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาลเช้าวันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เดินทางเข้ามายังทำเนียบรัฐบาลแล้ว เพื่อเตรียมพร้อมในการเป็นประธานการประชุม คสช. ก่อนที่จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีตามปกติ โดยมีบรรดารองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ปลัดกระทรวงกลาโหม ข้าราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน ท่ามกลางมาตราการในการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด

สำหรับการประชุม คสช.วันนี้ คาดว่าจะมีการพิจารณาออกคำสั่งมาตรา 44 เกี่ยวกับการแก้ปัญหาข้อติดขัดในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะที่การประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ มีวาระการประชุมที่น่าสนใจในหลายวาระด้วยกัน อาทิ กระทรวงพาณิชย์ จะขอความเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์เรื่องการห้ามส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์ไปสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านและ การห้ามนำเข้าอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ส่งมาจากหรือมีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน พ.ศ.2550
-----------
สปท. งดประชุม ขณะ "พรเพชร" เปิดสัมมนาร่าง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ พร้อมบรรยายโครงสร้าง ป.ย.ป.

ความเคลื่อนไหวที่รัฐสภา วันนี้ ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ มีคำสั่งงดการประชุม สปท. เพื่อให้สมาชิกได้ปฏิบัติด้านปฏิรูปอย่างเต็มที่ในการประชุมกรรมาธิการชุดต่าง ๆ สำหรับวานนี้ ที่ประชุม สปท. เห็นชอบรายงานการจัดระเบียบการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้และการเพิ่มพื้นที่ป่าของประเทศ : มาตรการแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ร่างพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. …. ที่เสนอให้มีคณะกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ตามกฎหมาย แก้ไขปัญหาการครอบครองที่ดินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์แล้ว เตรียมส่งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการต่อไป

ขณะที่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เตรียมจัดการสัมมนาเรื่อง “ร่างพระราชบัญญัติยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ....” จะเริ่มขึ้นในเวลา 09.00 - 14.00 น. ณ ห้องรับรอง 1 - 2 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 2 โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการสัมมนา พร้อมบรรยายพิเศษ เรื่อง "คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.)"
-----------
"พรเพชร" เปิดการสัมมนาและบรรยายพิเศษ โครงสร้าง ป.ย.ป. "ย้ำยุทธศาสตร์ชาติ เป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาประเทศ"

สภานิติบัญญัติแห่งชาติ จัดการสัมมนาเรื่อง "ร่างพระราชบัญญัติยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ...." โดยมี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการสัมมนา พร้อมบรรยายพิเศษ เรื่อง "คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.)" โดยกล่าวว่า ยุทธศาสตร์ชาติเป็นสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำหนดวิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศในระยะยาว ด้วยการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ตั้งแต่ปี 2560 - 2579 เพื่อพัฒนาประเทศ

ส่วนคณะกรรมการ ป.ย.ป. ที่ตั้งขึ้น จะทำหน้าที่บูรณาการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศในการสร้างความสามัคคีปรองดองให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ รวมถึงนโยบายของ คสช. และคณะรัฐมนตรี จึงเห็นว่าการสัมมนาครั้งนี้จะเป็นโอกาสดี เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับสมาชิก สนช. กรรมาธิการ และบุคลากรในรัฐสภาได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกัน เพื่อนำไปสู่การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยุทธศาสตร์ชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ
--------------
กก. จัดทำยุทศาสตร์ชาติ ยืนยัน พ.ร.บ. ฉบับนี้ ไม่ได้กดดัน บีบบังคับรัฐบาลใหม่ ขณะการจัดทำยังไม่แล้วเสร็จ

งานสัมมนา “ร่างพระราชบัญญัติยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. .. ” ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ จัดขึ้นได้เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนร่วมอภิปราย โดย พล.อ.ชูศักดิ์ เมฆสุวรรณ์ ในฐานะกรรมการจัดทำ

ยุทธศาสตร์ชาติ กล่าวถึง ข้อกังวลของนักการเมืองที่เกรงว่า ร่างพระราชบัญญัตินี้ จะเป็นการบีบบังคับการบริหารงานของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้น ขอยืนยันว่า ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว

ไม่ได้เป็นการกดดันการทำงานของรัฐบาลอย่างแน่นอน เพียงแต่กำหนดเป็นแนวทางในการบริหารประเทศในรูปแบบของกรอบ และตัวชี้วัดแบบกว้าง ๆ เท่านั้น ส่วนการจัดทำร่างขณะนี้ ยังไม่แล้ว

เสร็จ อยู่ระหว่างการตรวจร่าง โดยกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หลังจากนี้ หน่วยงานราชการต่าง ๆ จะต้องทำแผนการทำงานของหน่วยงานที่สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ ที่เป็นแผนแม่บทกำหนดการ

ทำงานต่อไป

ขณะที่ผู้ร่วมสัมมนาส่วนใหญ่ เห็นด้วยกับการกำหนดแผนยุทธศาสตร์ชาติในการบริหารประเทศ เนื่องจากเชื่อว่าจะเป็นกรอบและนโยบายที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนงานในด้านต่าง ๆ
-------------
อนุฯ ปรองดอง สปท. สั่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนร่างแผนการสร้างความปรองดอง มอบ "พล.อ.เอกชัย" นั่งประธาน

พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ ในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมการพิจารณาศึกษารวบรวมความเห็นวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเด็นการแก้ไขความขัดแย้งและการสร้างความปรองดองทางการเมือง สปท. กล่าวว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบให้ตั้งคณะทำงานเพื่อจัดทำร่างแผนการขับเคลื่อนการสร้างความปรองดอง โดยมีตนเองเป็นประธานพร้อมทั้งนักวิชาการและบุคคลที่เคยขับเคลื่อนงานด้านการปรองดอง อาทิ นายบัณฑูร เศรษฐสิโรจน์ เป็นต้น ซึ่งคณะทำงานชุดดังกล่าวจะทำหน้าที่ในการสรุปประเด็นและข้อเสนอ เพื่อให้ตกผลึกก่อนส่งไปยังคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองพิจารณา

เบื้องต้น จะเป็นการนำเอาข้อเสนอรายงานของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่เคยจัดทำรายงานเกี่ยวกับการสร้างความปรองดองมาพิจารณา เนื่องจากเป็นรายงานที่มีหลากหลายข้อคิดเห็น รวมทั้งมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นหลากหลายประเด็นซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดประสิทธิภาพ
---------------
อนุฯ ปรองดอง สปท. คาดชงข้อเสนอให้ ป.ย.ป. สิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ จ่อเชิญ "พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน" คุยสัปดาห์หน้า

พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ ในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมการพิจารณาศึกษารวบรวมความเห็นวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเด็นการแก้ไขความขัดแย้งและการสร้างความปรองดองทางการเมือง สปท. เปิดเผยว่า ในการประชุมสัปดาห์หน้า (6 ก.พ.) อนุกรรมาธิการฯ จะเชิญ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะกรรมาธิการกรรมการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ นายดิเรก ถึงฝั่ง อดีตสมาชิกวุฒิสภา เพื่อให้ข้อมูลและข้อคิดเห็น ขณะเดียวกัน ที่ประชุมเตรียมเชิญ นายวุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า มาให้ข้อคิดเห็นเนื่องจากสถาบันพระปกเกล้า เคยทำรายงานในประเด็นดังกล่าวอีกด้วย

ทั้งนี้ คาดว่า จะสามารถสรุปแผนการขับเคลื่อนการสร้างความปรองดองได้ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนส่งให้คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง พิจารณาก่อนส่งข้อสรุปทั้งหมดไปยังคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง หรือ ป.ย.ป. ได้ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้
----------------
"ราเมศ" โต้แถลงการณ์ปรองดองเพื่อไทย ระบุ ข้อมูลบิดเบือน พูดดีเข้าตัว โยนความชั่วให้คนอื่น ขอรัฐบาลสร้างปรองดองไม่เอื้อนิรโทษกรรม

นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวโต้แถลงกาณ์ปรองดองของพรรคเพื่อไทย ที่ได้ยื่นข้อเสนอแนะให้ สปท. ซึ่งมีถ้อยแถลงที่มองว่าใช้การไม่ได้ เพราะมีข้อมูลที่บิดเบือนจากความเป็นจริง ในลักษณะของการพูดดีเข้าตัว โยนความชั่วให้คนอื่น ตนเองจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาล สร้างความชัดเจน ว่ารัฐบาลชุดก่อนขณะนั้น มีการใช้เสียงข้างมากในการออกกฎหมายที่ไม่ถูกต้อง ทั้งกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท รวมถึงกฎหมายนิรโทษกรรม ที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาจากการบริหารประเทศก่อนการรัฐประหารของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จึงอยากให้รัฐบาลสร้างความเข้าใจกับประชาชน ก่อนทำให้เกิดความเสียหาย เพื่อสร้างความปรองดองที่ไม่เอื้อนิรโทษกรรม

ทั้งนี้ นายราเมศ ได้อ่านแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทย และประณามถึงถ้อยแถลงที่ชี้ว่าเป็นการบิดเบือนข้อมูล เช่น ข้อความที่ระบุว่ามีการใช้กระบวนการทางกฎหมาย 2 มาตรฐานนั้น มองว่าหากรัฐบาลในสมัยยิ่งลักษณ์ ไม่กระทำผิดจริง องค์กรตามรัฐธรรมนูญก็คงไม่สามารถยื่นฟ้องได้ หากไม่มีมูล นอกจากนี้ ยังมีถ้อยคำที่หมิ่นต่อศาลรัฐธรรมนูญจึงอยากให้รัฐบาลมีการตรวจสอบอย่างเคร่งครัด
--------------
นายกฯ ถก คสช. ครม. แล้ว ขอให้รัก ปท. อย่าคิดแต่ปมปรองดอง ปชต. ยึด กม. คนผิด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุม คสช. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ตามปกติ ทั้งนี้ ก่อนการประชุมนั้นเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ได้นำคณะเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดแสดงผลงานสิ่งประดิษฐ์ เนื่องในโอกาสวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2560

ขณะเดียวกัน คุณหญิงแสงเดือน ณ นคร ประธานมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี นำคณะกรรมการฝ่ายจำหน่ายดอกไม้ เข้าพบนายกรัฐมนตรีเช่นเดียวกัน เพื่อมอบดอกป๊อปปี้

โดยนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับสื่อมวลชนว่า การที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เพื่อทำให้บ้านเมืองสงบสุข โดยต้องมองทั้งสองสิ่งเปรียบเทียบกัน ไม่ใช่ทุกอย่างดีทั้งหมด ซึ่งหากความผิดกฎหมาย ก็ต้องปรับปรุงตนเองให้มีคุณธรรม และจริยธรรม โดยขออย่านำความรู้สึกของตัวเองมาตัดสิน เพราะทุกสิ่งต้องเข้าสู่กระบวนยุติธรรม

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่าคนไทย ต้องรักเมืองไทย และทุกคนต้องช่วยกัน รวมพลังกันขับเคลื่อนประเทศเดินไปข้างหน้า พร้อมขอให้เข้าใจการทำงานของรัฐบาล ถ้าในวันหน้าทุกคนยังคิดดักดานอยู่เหมือนเดิม ประเทศไทยก็จะอยู่แค่คำว่า ปรองดอง ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน
-----------
นายกฯ บอกเด็กนักเรียนให้อ่านหนังสือ แยกแยะเป็นว่าอะไรคือความดี ความชั่ว พร้อมอย่าหลงเชื่อสิ่งที่ได้ยินมาทั้งหมด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวกับเด็กนักเรียนที่มาแสดงผลงานสิ่งประดิษฐ์ เนื่องในโอกาสวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2560 ว่า ขอให้อ่านหนังสือเยอะ ๆ ต้องคิดเป็นและแยกแยะเป็น ว่าอะไรคือความดี ความชั่ว โดยอย่าหลงเชื่อสิ่งที่ได้ยินมาทั้งหมด ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ได้ถามเด็กเรียนที่เดินทางมาจากจังหวัดปทุมธานี ว่า ที่จังหวัดปทุมธานี เป็นจังหวัดอย่างไร สงบเรียบร้อยดี และมีปัญหาเรื่องปรองดอง ประชาธิปไตยหรือไม่ โดยเด็กนักเรียนได้ตอบนายกรัฐมนตรี ว่า สงบเรียบร้อย และทุกคนรักกันดี

ทั้งนี้ ก่อนขึ้นประชุม นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับสื่อมวลชน ว่า มีทหารไว้เพื่อช่วยประชาชนในยามเดือดร้อน เช่น น้ำท่วม ฝน แล้ง และต้องแยกให้ออกระหว่างคนดีหรือไม่ดี อย่าเหมารวมทั้งหมด หากคนไม่ดีก็ต้องสอบสวนเอาผิดทางวินัย
------------
พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันเดินหน้า ปยป.เพื่อเร่งรัดการปฏิรูป ลั่นไม่บังคับใครให้ปรองดอง ย้ำไม่โยงคดี ผิดถูกยึดตามกฏหมาย 

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงเรื่องการตั้งคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดิน ตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ที่มีคำถามว่าภายใน 1 ปี จะทำให้เกิดเป็นรูปธรรมได้หรือไม่  ว่า รัฐบาลได้ทำงานในด้านปฏิรูปมาโดยตลอด และที่ตั้งคณะกรรมการ ป.ย.ป. ขึ้นมา ก็เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนการปฏิรูปให้ได้ภายใน 1 ปีนี้ เพื่อให้รัฐบาลต่อไปมาสานต่อการทำงานได้ แต่ยังไม่สามารถระบุว่าทุกอย่างจะสำเร็จได้ภายใน 1 ปี หรือไม่ เพราะในการทำงานมีอุปสรรคและปัญหาติดขัดหลายอย่าง อย่างไรก็ตามรัฐบาลก็จะดำเนินงานต่อไปอย่างเต็มที่

ส่วนกระบวนการสามัคคีปรองดอง ก็จะมีการพูดคุยกันจนกว่า จะได้ข้อสรุป แต่ทุกอย่างก็จะต้องขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทุกฝ่ายเนื่องจาก การปรองดองไม่สามารถออกคำสั่งให้มาปรองดองกันได้

ส่วนที่จะเชิญฝ่ายการเมืองมาร่วมพูดคุยกับคณะกรรมการปรองดองเมื่อใดนั้นขึ้นอยู่กับกระทรวงกลาโหม ซึ่งหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบ ซึ่งจะดำเนินการให้เร็วที่สุด
---------------
พล.อ.ประวิตร เชิญ "นพ.ประเวศ - คณิต" นั่งที่ปรึกษาปรองดองรับฟังคิดเห็นจบภายใน 3 ด. ย้ำ ไม่ปลดล็อกปล่อยผีพรรคการเมือง

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้า โครงสร้างคณะกรรมการเตรียมการสร้างความสามัคคีปรองดอง ว่า ขณะนี้รายชื่อคณะกรรมการนังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งเบื้องต้นได้มีการทาบทาม นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส และ นายคณิต ณ นคร อดีตประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบ และค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป. มาร่วมเป็นที่ปรึกษาอยู่ในส่วนอำนวยการ และรับฟังข้อคิดเห็น

ทั้งนี้ จะนำผลการศึกษาของทั้ง 2 คน มาพิจารณาร่วมกับแนวทางที่รัฐบาลกำลังจัดทำ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ตรงกันหลายเรื่อง ยกเว้นเรื่องของการนิรโทษกรรมที่ยืนยันว่าจะไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้ ส่วนกระบวนการรับฟังความคิดเห็น จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน

ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทย เรียกร้องขอให้มีการจัดประชุมสมาชิกพรรคเพื่อกำหนดแนวทางว่าจะตัดสินใจร่วมสร้างความปรองดองกับรัฐบาลหรือไม่นั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวยืนยันว่า ไม่จำเป็นต้องปลดล็อกให้พรรคการเมืองจัดประชุมอย่างเป็นทางการ เพราะเชื่อว่าแต่ละพรรคมีการพูดคุยอยู่แล้ว
-----------
พล.อ.ประวิตร ยัน เริ่มดำเนินการปฏิรูปตำรวจแล้ว เร่งแก้ปัญหาจราจร หวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก่อนส่งมอบ รบ. ใหม่

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการประชุมเชิงปฏิบัติการ (เวิร์กช็อป) เกี่ยวกับการทำงานของคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 1 ก.พ. นี้ ว่า เป็นการประชุมโดยมีการเชิญ นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี ทั้ง 6 คน ประธานและรองประธานของ สนช. และ สปท. ตัวแทนคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ของ สนช.12 คณะ ตัวแทน กมธ. ของ สปท. 16 คณะ กรรมการประสานงาน (วิป) ในส่วนของ สปท. และ สนช. รวมถึง นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) พร้อมกรรมการ กรธ.

บางคน เข้าร่วมประชุมดังกล่าว เพื่อติดตามความคืบหน้าการทำงานในด้านต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้ได้ดำเนินการไปแล้ว โดยในส่วนของความมั่นคง ที่ได้มีการปฏิรูปตำรวจ การแก้ปัญหาการจราจร เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในช่วงแรกและดำเนินการต่อไปอีก 5 ปี เพื่อส่งให้รัฐบาลต่อไป
------------------
ประธาน กรธ. เผย ร่างกฎหมายแผนปฏิรูปและยุทธศาสตร์ใกล้เสร็จแล้ว เตรียมส่งให้รัฐบาลพิจารณา ปัด ป.ย.ป. นั่งกรรมการยุทธศาสตร์

นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ. ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการร่างกฎหมายว่าด้วยแผนการปฏิรูปและกฎหมายว่าด้วยยุทธศาสตร์ชาติ ว่า ขณะนี้ใกล้เสร็จสิ้นแล้ว เตรียมส่งให้รัฐบาลพิจารณา ซึ่งจะเป็นกฎหมายที่กำหนดเกี่ยวกับวิธีการปฏิรูปและกำหนดยุทธศาสตร์ ว่า ใครเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องอะไร กรรมการยุทธศาสตร์จะมาจากส่วนใด และรับฟังความเห็นจากใครบ้าง ซึ่งยังไม่ใช่กฎหมายที่เป็นรายละเอียด แต่จะมีการกำหนดเป้าหมายใหม่ว่า การปฏิรูปจะนำไปสู่อะไร

ส่วนคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง หรือ ป.ย.ป. ที่รัฐบาลตั้งขึ้นนั้น ก็เพื่อศึกษาและวางแนวทางล่วงหน้าตามทิศทางที่รัฐธรรมนูญกำหนด ซึ่งหลังจากกฎหมายฉบับนี้ ประกาศใช้ จะได้เห็นผลเป็นรูปธรรม พร้อมยืนยันว่า คณะกรรมการ ป.ย.ป. ไม่ใช่คณะกรรมการตามกฎหมายยุทธศาสตร์ที่กำลังร่าง

ทั้งนี้ กฎหมายฉบับดังกล่าวจะมีการตราขึ้น หลังร่างรัฐธรรมนูญประกาศใช้ เมื่อตราขึ้นแล้ว ก็จะมีการออกเป็นกฎหมายว่าด้วยยุทธศาสตร์ชาติ ต่อไป
--------
"พล.อ.ทวีป" เตรียมไปลาว ตรวจสอบปมสถานีวิทยุเผยแพร่ข้อมูลกระทบสถาบัน - พร้อมทำการขอร้องส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน

พล.อ.ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบหมายให้เดินทางไป สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หลังมีสถานีวิทยุใน สปป.ลาว เผยแพร่ข้อมูลที่กระทบต่อสถาบัน ว่า จะเป็นการเดินทางไปตรวจสอบการกระทำก่อน แต่เบื้องต้นประชาคมข่าวกรอง ได้รายงานให้ พล.อ.ประวิตร รับทราบแล้ว ส่วนการไปชี้แจงรายละเอียดต่าง ๆ นั้น จะต้องรอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงป้องกันประเทศ ของ สปป.ลาว มีความพร้อม

นอกจากนี้ พล.อ.ทวีป ยังอธิบายลักษณะการกระทำของกลุ่มดังกล่าวว่า เป็นกลุ่มที่มีหมายจับและอาศัยอยู่ในประเทศลาว และใช้ social media โจมตีสถาบัน ซึ่งเบื้องต้นทราบว่ามีจำนวน 5 - 6 คน ส่วนการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้น ประเทศไทยไม่มีข้อผูกพัน กับ สปป.ลาว จึงต้องทำการขอร้องไป ในลักษณะต่างตอบแทน ซึ่งหากประเทศลาว ต้องการตัวผู้ต้องหา ที่กระทำผิดในประเทศลาว แต่หลบหนีเข้ามาในไทย ประเทศไทยก็จะหาตัวและส่งตัวกลับไป

พล.อ.ทวีป ยังกล่าวถึงนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา หลังออกคำสั่งห้ามพลเรือนจาก 7 ประเทศมุสลิม เข้าประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเวลา 90 วัน หรือจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง จนอาจส่งผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชีย ว่า เบื้องต้นได้มีการวิเคราะห์และติดตาม ถึงนโยบายตามที่ ประธานาธิบดีเคยหาเสียงไว้ ส่วนการก่อเหตุต่าง ๆ นั้น ประชาคมข่าวกรอง จะมีการติดตามอย่างใกล้ชิด
-------------
ศาลอาญาจำคุก 10 ปี 2 ชุดดำการ์ด นปช. ยิงม็อบปี 53 - ยกฟ้อง 3 คน ชี้หลักฐานอ่อน แต่ให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์

ศาลอาญา รัชดา อ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกิตติศักดิ์ หรือ อ้วน สุ่มศรี, นายปรีชา หรือ ไก่เตี้ย อยู่เย็น (ประกัน), นายรณฤทธิ์ หรือ นะ สุริชา, นายชำนาญ หรือ เล็ก ภาคีฉาย และ นางปุณิกา หรือ อร ชูศรี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1 - 5 ในความผิดฐานกระทำผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน และวัตถุระเบิด

จากกรณี 10 เม.ย.53 เวลากลางคืนจำเลยทั้ง 5 กับพวก ร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุน และวัตถุระเบิดหลายรายการที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ และติดตัวพกพาไปตาม ถ.ตะนาว ถ.ประชาธิปไตย เขตพระนคร กทม. ซึ่งเป็นเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต

โดยศาลพิเคราะห์แล้ว พิพากษาจำคุก 10 ปี นายกิตติศักดิ์ และ นายปรีชา 2 ชายชุดดำ ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 กรณี มีและใช้ปืนเอ็ม 79 และปืนอาก้า ยิงใส่ระหว่างสลายชุมนุมเสื้อแดงคอกวัว 10 เม.ย. 53 และให้ยกฟ้อง นายรณฤทธิ์, นายชำนาญ และ นางปุนิกา เนื่องจากหลักฐานไม่ถึง จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย แต่ให้ขังจำเลยทั้ง 3 คน ไว้ระหว่างอุทธรณ์คดี
----------------
ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล มั่นใจ พยานหลักฐานเอาผิดแก๊งโกงสอบนายสิบ คุม 10 คนสอบต่อ สน.พหลโยธิน  

พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ระบุกรณีจับกุม 10 ผู้ต้องหาฐานทุจริตสิบนายสิบตำรวจ ที่มารายงานตัวที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดี ว่า ตำรวจจะควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 10 คน เข้าสู่กระบวนการแจ้งข้อกล่าวหา ความผิดในฐาน "อั้งยี่ที่มีการรวมตัวกันกระทำผิดทางอาญา แจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่พนักงาน และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (2) กรอกข้อมูลอัน

เป็นเท็จเข้าไปในคอมพิวเตอร์" และดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งผู้ต้องหาจะให้การรับสารภาพหรือไม่ ก็ถือเป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหา ที่สามารถต่อสู้กันตามกระบวนการของกฎหมายได้ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจนรบาล ยังมั่นใจ พนักงานสอบสวนมีพยานหลักฐานชัดเจน ว่า ทั้ง 10 คน เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตการสอบนายสิบ พร้อมยืนยันจะเร่งดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อความเป็นธรรมกับผู้ที่เข้าร่วมสอบแข่งขันคนอื่น และคดีนี้ มีผู้ที่ถูกออหมายจับไปแล้ว 84 คน โดยอยู่ระหว่างดำเนินการตามหมายจับ และย้ำว่าหากหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงโรงเรียนกวดวิชา หรือบุคคลใด ก็จะดำเนินคดีโดยไม่ละเว้น แต่ยังไม่ขอเปิดรายละเอียด นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยัง ได้ควบคุมตัว 10 ผู้ต้องหา ไปสอบสวนดำเนินคดีที่ สน.พหลโยธิน

สำหรับบรรยากาศที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดี ตั้งแต่ช่วงเช้า มีครอบครัวของผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกข้อเขียน นักเรียนนายสิบตำรวจ ประจำปี 2559 มาคอยให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก
------------------
"เนติวิทย์" นำเครือข่ายนิสิตจุฬาฯ รวบรวมไปรษณียบัตรแสดงความห่วงใย "ไผ่ ดาวดิน" พร้อมยื่นหนังสือ ร้อง "ประธานศาลฎีกา" ทบทวนให้ความเป็นธรรมปล่อยชั่วคราว   

นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วย รวม 6 คน เดินทางมายื่นหนังสือถึง นายวีระพล ตั้งสุวรรณ ประธานศาลฎีกา ขอให้ทบทวนคำสั่งการเพิก

ถอนปล่อยชั่วคราว นายจตุภัทร บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูง ม.112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ

ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้รับการให้ประกันตัวระหว่างฝากขังในชั้นสอบสวน โดยการยื่นหนังสือกลุ่ม นายเนติวิทย์ ได้นำไปรษณียบัตรจำนวนหนึ่ง ที่กลุ่มเพื่อนนักศึกษาเขียนให้กำลังใจและที่เขียน
ถึงประธานศาลฎีกา ส่งมอบพร้อมหนังสือด้วย ซึ่งมีผู้แทนศาลฎีกา เป็นผู้รับเอกสารไว้

โดย นายเนติวิทย์ ได้อ่านข้อความที่ยื่นเป็นหนังสือถึงประธานศาลฎีกา ระบุว่า กรณีศาลเพิกถอนสิทธิการประกันตัวของ นายจตุภัทร ซึ่งต่อมาทนายความ ได้ยื่นอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งตามลำดับ แต่

ศาลยืนยันตามคำสั่งของศาลจังหวัดขอนแก่น
---------------
ผบ.ตร. ยอมรับคำติชมองค์กร พร้อมนำไปแก้ไข วอนสังคม มองในสิ่งที่ดีบ้าง

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยกรณี องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (แห่งประเทศไทย) จัดเสวนาวิชาการเรื่อง "ตำรวจไทย มีไว้ทำอะไร" โดยมีนักวิชาการเข้าร่วมหลายคน

และวิพากษ์วิจารณ์ สตช. อย่างหนัก ว่าเต็มไปด้วยการทุจริต ว่า ยอมรับคำติชมในวงเสวนา โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นประโยชน์ก็จะนำไปปรับปรุงแก้ไข พัฒนาองค์กรในอนาคต ซึ่งหัวข้อเสวนา ที่ระบุ

ว่า มีตำรวจไว้ทำไม ยืนยันว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขประชาชนจึง ขอให้มองในสิ่งที่ดีบ้าง

ส่วนเรื่องที่มีวิพากษ์วิจารณ์จนกลายเป็นการย่ำยีองค์กรตำรวจ ตนเองไม่ทราบเจตนาของผู้ร่วมเสวนา ว่าหวังดีหรือจ้องทำลาย โดยเฉพาะอดีตข้าราชการตำรวจ ก็ควรให้ไปสำรวจตนเอง ส่วนนัก

วิชาการ มองว่าหากวิพากษ์วิจารณ์ตามตำรา ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่หากมีอคติ ก็จะกลายเป็นนักวิชาเกิน

สำหรับแนวคิดเรื่องการกระจายอำนาจไปยังท้องถิ่น อยู่ระหว่างการปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาจิ ซึ่งมีระยะ 1 ปี 5 ปี 10 ปี และ 20 ปี ตามแผนปฏิรูปของรัฐบาลอย่างชัดเจน
---------------------
ผบ.ตร. พร้อมตรวจสอบ คดีสินบนโรลส์ - รอยซ์ หากมีการร้องขอให้ดำเนินการ

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยัน ว่าพร้อมสนับสนุนการตรวจสอบแก้ไขปัญหาทุจริตสินบนโรลส์ - รอยซ์ หากหน่วยงานรัฐ มีการร้องขอให้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จ

จริงกับบุคคล หรือองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งตามขั้นตอนขณะนี้ทราบว่า ทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมข้อมูล และประสานงานกับต่างประเทศ

เบื้องต้นขณะนี้ ยังไม่ได้รับการประสานกับหน่วยงานใดให้ตรวจสอบ แต่ยืนยันว่า ตำรวจยินดีจะให้การสนับสนุนข้อมูลที่ป็นประโยชน์กับทุกหน่วยงาน

-------------
"จตุพร" โพสต์เฟซบุ๊ก เอกสารข้อเสนอแนะของ นปช. ต่อการปรองดองในประเทศไทย ชี้เพื่อนำไปขับเคลื่อนให้เกิดผลได้จริง

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โพสต์ภาพผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว "Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์" ซึ่งเป็นเอกสารข้อเสนอแนะ

ต่อการปรองดองของประเทศไทยของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ลงวันที่ 31 มกราคม 2560

ทั้งนี้ นายจตุพร กล่าวว่า เป็นข้อเสนอและข้อสังเกตเบื้องต้นเพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนการปรองดองที่มุ่งให้เกิดผลจริงยิ่งกว่าพิธีกรรม
-----------------

/////////

โรลส์รอยซ์

บิ๊กตู่ บอก คนไม่ดีต้องแยก อย่าเหมารวมองค์กร ข้าราชการดีมีเยอะ

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 31 มกราคม ที่บริเวณด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการ

ประชุมคสช.ต่อด้วยการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ช่วงระหว่างทางเดินก่อนประชุม นายกฯได้หันมาถามนักข่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่าวันนี้มีทหารไว้ทำอะไร มีเอาไว้ใช้งานอย่างไรล่ะ น้ำท่วม ฝน

แล้ว วาตภัย ทุกอย่างทั้งหมดก็ต้องใช้ทหารทั้งนั้น

“คนไม่ดีก็คือไม่ดีก็ต้องแยกออกจากกัน อย่าไปว่าเหมารวมองค์กร เพราะเดี๋ยวองค์กรเขาเสียหาย ข้าราชการทำผิด ทุจริตก็ต้องดำเนินการสอบสวนทางวินัย ส่วนคนดีเขาก็ทำงานกันเยอะแยะ ที่ชอบ

พูดว่าตำรวจมีไว้ทำไมมีไว้โกงแล้วทำไมไม่คิดถึงคนที่เขาจับคดีมามากมาย บ้านเมืองสงบสุขทำไมไม่มองตรงนั้นด้วย จะต้องมองทั้ง 2 อย่างแล้วชั่งน้ำหนัก ผมไม่ได้บอกว่ามันดีทั้งหมดเพราะตัว

เราเองก็ยังดีไม่หมดเลย ถามว่าใครไม่เคยทำความผิดบ้างมีหรือไม่ก็ต้องมาดูว่าความผิดนั้นผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะฉะนั้นทุกคนต้องดูที่ตัวเองและแก้ไขด้วย ดูที่จิตสำนึกแก้ไขที่ตัวเองได้ ไม่ใช่

ว่าทุกอย่างจะต้องพิจารณาคดีทั้งหมดมันไม่ได้ อย่าใช้ความรู้สึกในการทำงานแล้วตัดสินว่าผิดหรือถูก ผมพูดเสมอว่าการทำผิดหรือถูกต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะที่มีส่วนกระทบต่อ

สังคม ต่อคนอื่นถ้าเป็นเช่นนี้ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ถ้าคิดว่าตัวเองผิดก็ต้องแก้ที่ตัวเองก่อน” นายกฯกล่าว

---------
"ดอน" เชื่อความสัมพันธ์ดีกับต่างประเทศ ทำให้ได้ข้อมูลปมสินบนโรลส์รอยซ์ - ยันการเข้าทำหน้าที่ของทรัมป์ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อไทยโดยตรง

นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีบริษัท โรลส์ - รอยซ์ จ่ายสินบนให้กับบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท ป.ต.ท. จำกัด (มหาชน) ว่า

กระทรวงการต่างประเทศ มีหน่วยงานที่ถือเป็นตัวแทนของรัฐบาลอยู่ในประเทศต่าง ๆ ซึ่งในฐานะเป็นตัวแทนรัฐบาลจะสื่อสารกับต่างประเทศได้อย่างชอบธรรม โดยหลักการแล้ว กระทรวงการ

ต่างประเทศจะเป็นตัวกลางประสานขอข้อมูลโดยตรงทั้งจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ในฐานะผู้ที่ดูแลเรื่องการติดต่อระหว่างประเทศ จึงเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์อันแน่นหนาจะส่งผลดีกับการประ

สานขอข้อมูลจากทั้ง 2 ประเทศ และขณะนี้ก็มีการประสานงานกันอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงการเข้าทำหน้าที่ของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา ว่า ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐอเมริกา โดยขณะนี้ทรัมป์กำลังพยายามทำ

ตามนโยบายที่ได้มีการหาเสียงไว้ ซึ่งนโยบายของทรัมป์ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรง
-------------------
ป.ป.ช. เปิดบัญชีทรัพย์สินคณะรัฐมนตรี "ปนัดดา" รวย 1,315 ล้านบาท - "สุวิทย์" 73 ล้านบาท 

วันนี้ ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีการเปิดเผยรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีเข้ารับตำแหน่งในการปรับ

คณะรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 4 เมื่อธันวาคม 2559 ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สิน

มากกว่าหนี้สิน จำนวน 68,434,656 บาท หนี้สิน จำนวน 2,148,357 บาท นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน จำนวน 73,411,525 บาท หนี้สิน

17,957,760 บาท นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน จำนวน 207,495,698 บาท ขณะที่หนี้สิน จำนวน 6,696,948 บาท นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน จำนวน 25,674,156 บาท หนี้สิน จำนวน 1,784,332 บาท นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

มีทรัพย์สิน จำนวน 73,833,432บาท โดยไม่มีหนี้สิน ขณะที่ ม.ล.ปนัดดา ดิฐกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีทรัพย์สิน จำนวน 1,315,494,304 บาท โดยไม่มีหนี้สิน ซึ่งถือว่ามี
ทรัพย์มากที่สุดในผู้ที่มีการปรับตำแหน่งในครั้งนี้
------------
ป.ป.ช. เปิดบัญชีทรัพย์สินอดีตคณะรัฐมนตรี เมื่อ ธ.ค. 59 - "ธีรชัย" รวย 88 ล้านบาท - "ไพบูลย์" 47 ล้านบาท

วันนี้ ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีการเปิดเผยรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีพ้นจากตำแหน่งในคณะ

รัฐมนตรีเมื่อเดือนธันวาคม 2559 ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ที่พ้นจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อเข้ารับตำแหน่งองคมนตรี มีทรัพย์มากกว่าหนี้สิน จำนวน

47,440,880 บาท โดยไม่มีหนี้สิน พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ พ้นจาก ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้ารับตำแหน่งองคมนตรี มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน จำนวน 95,565,318 บาท

โดยไม่มีหนี้สิน

ด้าน พล.อ.ธีรชัย นาควานิช พ้นจาก สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เข้ารับตำแหน่งองคมนตรี มีทรัพย์สิน จำนวน 88,325,682 บาท โดยไม่มีหนี้สิน และ พล.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ พ้นจาก

สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เข้ารับตำแหน่งองคมนตรี มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน จำนวน 120,337,583 บาทโดยไม่มีหนี้สิน
---------------
ป.ป.ช. เปิดบัญชีทรัพย์สินคณะรัฐมนตรี "ธีระเกียรติ" รวย 44 ล้านบาท - "วีระศักดิ์" 186 ล้านบาท

วันนี้ ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีการเปิดเผยรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีเข้ารับตำแหน่งในการปรับคณะรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 4 เมื่อธันวาคม 2559 ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มีทรัพย์มากกว่าหนี้สิน จำนวน 149,248,389 บาท โดยไม่มีหนี้สิน นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน จำนวน 44,332,036 บาท มีหนี้สิน จำนวน 5,619,201 บาท นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีทรัพย์มากกว่าหนี้สิน จำนวน 82,235,401 บาทและมีหนี้สิน จำนวน 6,221,174 บาท

นายสนธิรัตน์ สนธิจิวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีทรัพย์มากกว่าหนี้สิน จำนวน 113,165,080 บาท โดยไม่มีหนี้สิน น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีทรัพย์มากกว่าหนี้สิน จำนวน 244,596,466 และมีหนี้สิน จำนวน 1,542,229 บาท นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีทรัพย์มากกว่าหนี้สิน จำนวน 186,403,313 บาท โดยไม่มีหนี้สิน
-----------------
"พรเพชร" ยอมรับรัฐสภาจ้างบริษัทเอกชน ติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยจริง ยันไม่พบทุจริต พร้อมตั้ง กก.สอบ ข้อเท็จจริงของมูลจากสหรัฐฯ

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง บริษัท เอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทผู้ขายระบบรักษาความปลอดภัยอิเล็กทรอนิกส์ มาติดตั้งระบบกล้องวงจรปิดให้กับ รัฐสภา เมื่อปี 2549 - 2552 มูลค่ารวม 60 ล้านบาท จริง ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูล พบว่า เป็นการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นไปตามระเบียบของราชการ ไม่พบความปกปิดตามที่มีผู้ร้องเรียนมาแต่อย่างใด

ส่วนข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา ที่ระบุว่า มีการจ่ายเงินสินบนให้กับที่ปรึกษารัฐสภา เพื่อให้จัดจ้างทางบริษัทนั้น อาจต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่กล่าวอ้างมา ภายใน 1 - 2 วันนี้ เพื่อความชัดเจน สำหรับการขอรับข้อมูลดังกล่าว อาจต้องประสานไปยัง ป.ป.ช. และ ปปง. เพราะทั้ง 2 หน่วยงานนี้ จะสามารถทำหนังสือขอข้อมูลได้โดยตรง

ทั้งนี้ การดำเนินการเอาผิดกับบุคคลที่ทำการทุจริตนั้น หากมีการตรวจว่า เป็นข้าราชการของรัฐสภา ทั้งปัจจุบันหรือพ้นตำแหน่งไปแล้วก็สามารถใช้ระเบียบของรัฐสภาดำเนินการทางกฎหมายได้ แต่หากเป็นบุคคลนอกที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตก็ต้องส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการ เช่น ป.ป.ช. หรือ ปปง. เป็นต้น
----------------------
"พิชัย" ห่วงรัฐบาลใช้งบประมาณสูญเปล่า อีกทั้งทุจริตเพิ่มสูงขึ้น จี้ เร่งเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลจะออกงบกลางปี 1.9 แสนล้านบาท นี้ คงหวังว่าจะพยายามจีดีพีให้สูงขึ้น เพื่อให้โตได้ตามศักยภาพที่ประมาณ 4 - 5% แต่จะเป็นไปได้ยาก เพราะปัญหาหลักมาจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศขาดความมั่นใจในการลงทุน โดยแต่ละปีการลงทุนภาคเอกชนจะมีการลงทุนกว่า 2 ล้านล้านบาท แต่ปัจจุบันกลับหายไปเกือบหมด รัฐจะหวังใช้งบประมาณของรัฐมาทดแทนการลงทุนภาคเอกชนคงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่เพียงพอ และที่ผ่านมารัฐบาลได้ใช้จ่ายเงินจำนวนมากจะใช้งบประมาณขาดดุลถึง 2.3 ล้านล้านบาท แต่เศรษฐกิจกลับไม่ฟื้นตัว ประชาชนยังลำบากมาก ซึ่งอาจจะเกิดจากการใช้จ่ายงบประมาณไม่ถูกทาง และอาจจะมีความไม่โปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณตามที่ องค์กรความโปร่งใสจัดอันดับคอร์รัปชั่นให้ประเทศตกลงมาอยู่อันดับ 101 จากอันดับที่ 76 จากทั้งหมด 176 ประเทศ ดังนั้น ทางแก้ที่ถูกต้องคือรัฐบาลจะต้องฟื้นฟูความมั่นใจนักลงทุน เร่งเจรจาข้อตกลงทางการค้าและเขตการค้าเสรีโดยเร็ว เพื่อให้นักลงทุนมั่นใจ ซึ่งหากจำเป็นต้องเร่งเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยก็ต้องทำ อีกทั้งการบังคับใช้กฎหมาย ควรต้องเป็นไปในหลักสากล และควรระวังการใช้จ่ายงบประมาณให้ถูกทาง และไม่ให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่นเหมือนที่ดัชนีคอร์รัปชั่นไทยพุ่งสูงในปัจจุบัน
-------------------
"ชาญชัย" จี้ นายกฯ เร่งตรวจสอบสินบนรัฐวิสาหกิจ ก่อนสร้างปรองดอง เผยใบเสร็จ สร้างแอร์พอร์ต ลิงก์ เบิกจ่ายแอบแฝง สูญพันล้าน

นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวเรื่องสินบนโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยเรียกร้องรัฐบาลที่มีอำนาจพิเศษ เร่งแก้ปัญหานี้ให้เป็นรูปธรรมก่อนการสร้างปรองดอง ทั้งนี้ ใบเสร็จของโครงการใหญ่ จะทิ้งร่องรอยการตรวจสอบ โดย นายชาญชัย ชี้ให้เห็นข้อสงสัยในการก่อสร้างแอร์พอร์ต ลิงก์ ที่อนุมัติงบประมาณในปี 2547 ซึ่งใช้งบสูงถึง 2 หมื่นกว่าล้านบาท ทั้งนี้ ตนเองเคยตรวจสอบความผิดปกติ ที่มีค่าธรรมเนียมกว่า 1 พันล้านบาท ที่ปรากฏรายงานการประชุม ครม. ในสมัยนั้น โดยมีการเปลี่ยนมติเงื่อนไขการประมูลราคา (TOR) ทำให้มีการเบิกเงินงวดแรก ค่าธรรมเนียมงวดแรกในการกู้เงิน 1,600 ล้านบาท ผิดปกติ แค่เพียง 7 วัน ตั้งเงินเบิกจ่ายทันที ขณะเดียวกัน เมื่อตรวจสอบจากธนาคารประเทศไทย ผลปรากฏว่ามีการคิดค่าธรรมเนียมเพียง 400 กว่าล้านบาท คำถามคือ เงินส่วนต่างที่หายไปพันกว่าล้านบาทนั้น หายไปได้อย่างไร
-------------
"สุภัฒ" ส่งหนังสือถึงสื่อมวลชน แจ้งขอลาออกจากราชการ ขอโทษ ปชช. พร้อมให้เอาผิดตามกระบวนการ 

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ได้มีผู้ส่งอีเมล์มายังผู้สื่อข่าวประจำกระทรวงพาณิชย์ โดยใช้ชื่อ "ศักดิ์ สุภัฒ" พร้อมลงลายมือชื่อ โดยในอีเมล์ใจความสำคัญระบุว่า "ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่า ทางการญี่ปุ่น ได้จับกุมรองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ฐานลักลอบขโมยภาพวาดจากโรงแรมในญี่ปุ่น ซึ่งเจ้าของอีเมล์ ยอมรับเป็น นายสุภัฒ สงวนดีกุล รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา และได้ระบุว่ากระทำจริง พร้อมขอน้อมรับผิด โดยให้เหตุที่กระทำลงไป เนื่องจากในวันเกิดเหตุได้ฉลองกับเพื่อนชาวญี่ปุ่น จนเกิดความเมามายขาดสติ และได้ขโมยภาพวาด จึงขอแสดงความรับผิดชอบและขอโทษผู้เกี่ยวข้องทุกคน ทั้งผู้บังคับบัญชา และประชาชนชาวไทย โดยการลาออกจะไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามกระบวนการทางราชการที่ยังต้องดำเนินต่อไป

โดยจากนี้จะมีการส่งจดหมายลาออกอย่างเป็นทางการอีกครั้ง และต้องการขอให้ทุกคนเข้าใจ และให้อภัยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ด้วย"
------------------
ปลัดพาณิชย์เผยมีมูลรองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาขโมยภาพมีความผิดร้ายแรง ระบุต้องตรวจสอบก่อนสรุปความผิด แม้จะขอลาออกราชการ คาดจะทราบผลเร็ว ๆ นี้

น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีนายสุภัฒ สงวนดีกุล อดีตรองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ขโมยภาพในโรงแรมประเทศญี่ปุ่น ผลออกมาคณะกรรมการดังกล่าวมีความเห็นว่ามีมูลเข้าข่ายความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานทำให้เสียภาพลักษณ์ที่ดีต่อข้าราชการไทยและประชาชนไทยทั้งประเทศ ซึ่งขั้นตอนต่อไปกระทรวงพาณิชย์มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงต่อไป

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงจะมีผู้แทนจากหลายหน่วยงาน และมีผู้แทนจากกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานคณะกรรมการสอบทางวินัยดังกล่าว ซึ่งผลสรุปดังกล่าวจะออกมาเร็ว ๆ นี้ ซึ่งบทลงโทษขึ้นอยู่กับฐานความผิดที่พิจารณาออกมา โดยหากเป็น  “ให้ปลดออก” นายสุภัฒ ยังสามารถรับบำเหน็จ บำนาญตามระเบียบข้าราชการได้เหมือนเดิม เช่นเดียวกับการลาออก แต่หากผลการพิจารณาออกมาเป็น “ไล่ออก” จะไม่สามารถรับบำเหน็จหรือบำนาญได้ และแม้นายสุภัฒ จะลาออกก่อนผลการสอบข้อเท็จจริงจะออก คณะกรรมการตรวจสอบยังสามารถตรวจได้ในช่วงเวลา 180 วัน กระบวนการสอบสวนต้องมีต่อไป

ทั้งนี้ ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้รับหนังสือการลาออกจากราชการของนายสุพัฒน์ อย่างไม่เป็นทางการแล้ว แต่ตามระเบียบราชการนั้น การขอลาออกจะต้องกรอกแบบฟอร์มเพื่อขอลาออกจากราชการ และได้รับการเซ็นอนุมัติก่อนถึงจะมีผลอย่างเป็นทางการ โดยยืนยันว่าแม้นายสุภัฒ จะขอลาออกแล้ว หรือหาก

การลาออกมีผล  แต่ยังต้องรับการพิจารณาโทษ โดยคณะกรรมการสอบวินัยอย่างร้ายแรงยังดำเนินการต่อไปจนกว่าจะจบสิ้นกระบวนการ เพราะการพิจารณาเรื่องดังกล่าวกระทรวงพาณิชย์ตั้งคณะสอบสวนก่อนที่นายสุภัฒ จะส่งหนังสือขอลาออกอย่างไม่เป็นทางการ และขอยืนยันว่าการพิจารณาต่าง ๆ เป็นไปด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม.-สำนักข่าวไทย
-------------------
กระทรวงคมนาคม เตรียมเสนอ รองนายกฯ สมคิด พิจารณาเห็นชอบจัดงบประมาณปี 61 แบบบูรณาการ วงเงินกว่า 1.87 แสนล้านบาท 1 ก.พ. นี้ 

นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณางบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ประจำปีงบประมาณ 2561 โดยระบุว่า ที่ประชุมได้แต่งตั้งคณะกรรมการบูรณาการประจำกระทรวงฯ เพื่อจัดทำข้อเสนอโครงการ กิจกรรม แผนปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายงบประมาณของแผนงาน การบูรณาการ เป้าหมาย และตัวชี้วัดของหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงคมนาคม ในการบูรณาการงบประมาณปี 2561 สำหรับแผนการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ และงบประมาณที่กระทรวงคมนาคมร่วมบูรณาการกับกระทรวงอื่น จำนวน 10 แผนงานบูณาการ 9 กระทรวง

สำหรับงบประมาณแผนการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ของกระทรวงคมนาคม จำนวน 12 หน่วยงาน จำนวน 1,391 รายการ นั้น มีงบประมาณรวมแล้วกว่า 187,748 แสนล้านบาท ทั้งนี้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรจะได้นำเสนอรายละเอียดให้กับ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พิจารณาให้ความเห็นชอบการจัดทำงบประมาณภายใต้แผนบูรณาการการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ที่มีการปรับปรุงแก้ไขใหม่ ภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560 ตามขั้นตอนของปฏิทินงบประมาณต่อไป
-------------
ปลัดกระทรวงคมนาคม ประกาศเจตจำนงการบริหารงานการกำกับดูแลด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และยึดหลักธรรมาภิบาล

นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม ประกาศเจตจำนงมุ่งมั่นในการบริหารงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต สร้างความตระหนักถึงความรับผิดชอบ และการมีส่วนร่วมในการต่อต้านการทุจริตภายในองค์กรของผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในองค์กร โดยมี ผู้บริหารกระทรวงคมนาคมร่วมประกาศเจตจำนง เพื่อพัฒนาองค์กรให้มีคุณธรรมและความโปร่งใส เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ความสำคัญเรื่อง การเสริมสร้างความมีศักดิ์ศรีของการเป็นหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลต่อความมั่นใจ ศรัทธา และไว้วางใจของประชาชน รับบริการ ผู้ปฏิบัติงาน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

ทั้งนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม ได้จัดทำนโยบายการกำกับดูแลองค์การที่ดี 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านรัฐ สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้านผู้รับบริการผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ด้านองค์การ และด้านผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งได้รวบรวมหลักการ นโยบายการปฏิบัติราชการ แนวทางปฏิบัติ รวมถึงได้กำหนดแนวทางปฏิบัติตามนโยบายเพื่อพัฒนาหน่วยงานให้มีคุณธรรมและความโปร่งใสในการบริหาร การปฏิบัติงานโดยบุคลากรทุกระดับของสำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม สามารถนำนโยบายการกำกับดูแลองค์การที่ดีเป็นแนวทาง ถือปฏิบัติในการดำเนินงาน โดยสำนักงานปลักระทรวงคมนาคม จะพิจารณาทบทวน และปรับปรุงนโยบายการกำกับดูแลองค์การที่ดีของหน่วยงานเป็นประจำ เพื่อให้มีความเหมาะสมและเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
----------------

////
ร่าง รธน.

กรธ. เร่งพิจารณากฎหมายลูก 3 ฉบับ ยัน รับฟังความคิดเห็นทุกฝ่าย เพื่อให้แก้ไขได้อย่างตรงจุด 

ศ.ดร.อุดม รัฐอมฤต โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงความคืบหน้าการพิจารณาพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่า ขณะนี้ได้พิจารณา พ.ร.ป. ทั้งหมด 3 ฉบับ ประกอบด้วย พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) พ.ร.ป.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของผู้ดำรงทางการเมือง ซึ่งน่าจะมีการแก้ไขพอสมควรและจะมีการเชิญตัวแทนจากศาลยุติธรรมมาให้ข้อมูล เช่น ประเด็นการพิจารณาผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งไม่มีตัวตนอยู่ เนื่องจากหลบหนีและประเด็นเรื่องการอุทธรณ์ โดยต้องฟังความคิดเห็นของผู้ที่เคยทำงานทางด้านนี้ เพื่อให้สามารถนำมาพิจารณาแก้ไขได้อย่างตรงจุด

ทั้งนี้ ศ.ดร.อุดม กล่าวถึง พ.ร.ป.ว่าด้วย กสม. ว่า ยังรับฟังไม่ครบถ้วนทุกฝ่าย ซึ่งยังต้องการรับฟังในฝ่ายที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางภาคส่วนองค์กรเอกชน ซึ่งจะพยายามรับฟังให้มากที่สุด โดยในส่วน พ.ร.ป.ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินนั้น ได้มอบให้ให้ทางคณะอนุฯ พยายามปรับแก้ให้การทำงานไม่ไปซ้ำซ้อนองค์กรอิสระอื่นและสามารถทำงานร่วมกับองค์กรอิสระอื่นได้เป็นอย่างดี
------


เชิญพรรคคุยปรองดอง ..ไม่ต้องปลดล๊อค..ไม่นิรโทษ ไม่อภัยโทษ

เชิญพรรคคุยปรองดอง ..ไม่ต้องปลดล๊อค..ไม่นิรโทษ ไม่อภัยโทษ
‪บิ๊กป้อม เผยยังไม่ได้ทาบทามนักการเมือง มาพบ กก.อำนวยการปรองดอง คาดเขิญมาพรรคละ10คน แต่ยันไม่ปลดล็อคประชุมพรรคหรือทำกิจกรรมทางการเมือง กลัวปลดแล้ว ไปเคลื่อนไหวเรื่องอื่น สร้างความไม่สงบ‬ เกิดขึ้น ผมจะทำยังไง.....เผย เชิญ"หมอประเวศ-อ.คณิต" มาอยู่ในคณะกรรมการอำนวยการ ที่มี ปลัดกห. เป็นปธ. ร่วมด้วย ผบ.เหล่าทัพ....ชี้พื้นฐานการทำปรองดอง มาในแต่ละยุค ไม่แตกต่างกันทาก แต่แตกต่าง ที่ไม่มีเริ่องนิรโทษกรรม อภัยโทษ... ชี้ แม้จะมีคณะอนุกรรมการหลายกลุ่ม แต่จะเชิญมาคุยให้จบ ใน3 เดือน ก่อน จากนั้นค่อยทำขั้นตอนอื่น

"ด้วยคำสัตย์ของผม ..ผมไม่มีดีลกับใคร"

"ด้วยคำสัตย์ของผม ..ผมไม่มีดีลกับใคร"
บิ๊กตู่ ลั่น อนาคตการเมือง ถ้าผมไม่ได้พูด เรื่องนั้นจากปากของผม จะไม่เกิดขึ้นทั้งสิ้น เพราะผมเป็นคนตัดสินใจ ...เปรย วันหน้าจะเกิดอะไร ก็เรื่องของวันหน้า ยันผมไม่ต้องการไปสู่การเมือง
"ไม่ได้จะมีการดีล มันจะดีลกับใคร ใครจะมาดีลกับผม แล้วดีลเขาเรื่องอะไร ผมยืนยันด้วยคำสัตย์ของผม ผมไม่ได้ดีลกับใครทั้งสิ้น 
อะไรก็ตามที่พูดกันไปมาในสื่อ ใครพูดก็แล้วแต่ ถ้าผมไม่ได้พูด เรื่องนั้นจากปากของผม จะไม่เกิดขึ้นทั้งสิ้น เพราะผมเป็นคนตัดสินใจ เข้าใจหรือยัง มันก็มีการพูดกันไปมาว่าการสร้างความปรองดองขึ้น เพื่อจะมาวางอนาคตทางการเมืองของผมหรือของรัฐบาล มันไม่ใช่ของผม
วันหน้าจะเกิดอะไรก็เรื่องของวันหน้า ผมไม่ต้องการไปสู่เรื่องการเมืองทั้งสิ้น การเมืองคือการเมืองก็ว่ากันไป ผมก็อยู่ของผมตรงนี้ก่อน ที่จะทำงานตรงนี้ให้เสร็จโดยเร็ว อย่าเอามาพันกันเลย ถ้ายังตีกันอยู่เรื่องปรองดอง มันทำอย่างอื่นไม่ได้หมด เพราะทุกคนจะลุกมาพูดโน่นพูดนี่ และไปกันใหญ่โต”
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา 30 มกราคม 2560

3 คำ สะกิดต่อม บิ๊กตู่

3 คำ สะกิดต่อม บิ๊กตู่
นายกฯ ขอสังคมไทย อย่าติดแค่3คำ "ปรองดอง-ปชต.-สิทธืมนุษยชน"ขอคิดใหม่ๆ ไม่งั้นก็ดักดาน แบบนี้ ขออย่าเชื่ออะไรง่ายๆ คิดก่อน เหน็บอย่าเชื่อนิยายน้ำเน่า/ถาม "ทหารมีไว้ทำไม?" มีไว้ใช้งาน? ถามตำรวจ มีไว้ทำไม? มีไว้โกงหรือ ขอแยกแยะ คนไม่ดี อย่าเหมารวม องค์กรเสียหาย ถามมีใครไม่เคยทำผิดเลย
ที่หน้าตึกบัญชาการ ก่อนการประชุม คสช.-ครม. พลเอกประยุทธ์ นายกฯรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมบู้ธต่างๆ ที่นำมาแสดง โดยทีนักเรัยนจากปทุมธานี
ในตอนหนึ่ง นายกฯ สอนเด็กๆนักเรียน ว่า อย่าเชื่ออะไรง่าย ให้คิดวิเคราะห์ แยกแยะ ยิ่งละคร นิยายน้ำเน่า อย่าไปเชื่อ
นายกฯ ถามว่า ที่ปทุมฯเป็นไงบ้าง ปรองดองกันดีมั้ย มีปัญหาอะไรมั้ย
ขอ อย่าพูดแค่3 คำ ปรองดอง-ประชาธิปไตย -สิทธิมนุษยชน ให้คิดอะไรใหม่ๆ ไม่งั้น ก็ดักดานแบบนี้
นายกฯเห็นดอกป้อปปี้ วันทหารผ่านศึก3 กพ. เลย เอ่ยถามนักข่าวว่า "มีทหารไว้ทำไม" ตอบเองว่า มีไว้ใช้งาน น้ำท่วม ฝนแล้ง วาตภัย ขอแยกแยะคนไม่ดี อย่าเหมารวม ทำองค์กรเสียหาย ข้าราชการคนไหนไม่ดี ก็สอบสวนลงโทษ อย่าไปหมารวม
ก่อนถามอีกว่า "ตำรวจ"มีไว้ทำไม "มีไว้โกงหรือ?" แล้วที่จับคดีได้ล่ะ‬ ทำบ้านเมืองสงบเรียบร้อยล่ะ อย่าเหมารวม ต้องแยกคนดีคนไม่ดี ต้องมอง2อย่าง ดีไม่ดี ผมไม่ได้บอกว่า ดีทั้งหมด ตัวเราเองยังดีไม่หมดเลย
มีใครไม่เคยทำความผิดบ้าง แต่ถ้าใครทำผิดกม. ก็ต้องเข้ากระบวนการยุติธรรม แต่ถ้ารู้สึกผิด guilty ก็ต้องปรับปรุงแก้ไขตนเอง เริ่องคุณธรรม จริยธรรม