PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สถานการณ์ข่าว25พ.ค.58

รัฐธรรมนูญ

สปช. นัดประชุมพิจารณาวาระปฏิรูปที่ดิน จับตาส่งร่างแก้ไข รธน. ให้ กมธ.ยกร่าง วันสุดท้าย มีการเสนอแก้ไขเรื่องใดบ้าง

ความเคลื่อนไหวที่รัฐสภา เช้านี้ นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) สั่งนัดสมาชิกประชุม สปช. ในเวลา 10.00 น. เพื่อพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน

เรื่อง โครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี (ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์สำหรับบ้านและอาคาร) และพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูปทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

วาระปฏิรูปที่ 11 ปฏิรูปที่ดินและการจัดการที่ดิน

ขณะเดียวกัน ในวันนี้ เป็นวันครบกำหนดที่ สปช. คณะรัฐมนตรี (ครม.) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะต้องส่งคำขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่ง

จะต้องจับตาดูว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะมีการปรับลดในหลักการ เนื้อหาสาระในแต่มาตราหรือไม่ รวมถึงการปรับเปลี่ยนในประเด็นที่หลายฝ่ายมีความกังวล อาทิ เรื่องที่มานายกรัฐมนตรี ส.ส. -

ส.ว. องค์กรอิสระที่แต่งตั้งขึ้นใหม่ต่างๆ และการควบรวมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กับผู้ตรวจการเข้าด้วยกัน
------------
"ยงยุทธ" บอก ครม.นัดพิเศษวันนี้ คุยเรื่องเสนอแก้ รธน.อย่างเดียว คาดถกหนัก ม.181, 182 ฝากทุกฝ่าย ระวังหลงทางปฏิรูป

นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยกับ สำนักข่าว INN ว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ ในวันนี้จะเป็นการ
พิจารณาข้อเสนอแนะในการที่จะส่งคำขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ไปยังกรรมาธิการยกร่างฯ ซึ่งจะเป็นการหารือต่อจากที่ค้างไว้
ในการประชุม เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยเฉพาะเรื่องของการปรับแก้ถ้อยคำในภาคทั่วไป เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการตีความ รวมถึง
การปรับแก้ให้ครอบคลุมมากขึ้นและไม่ยาวจนเกินไป เช่น ในหมวดปฏิรูป ที่กำหนดเนื้อหา ที่อาจจะเป็นปัญหาในการบริหารประเทศ
ในอนาคต

นอกจากนี้ นายยงยุทธ ยังกล่าวด้วยว่า เรื่องที่น่าจะมีการหารือกันมาก คือ มาตรา 181 และ 182 ที่ให้อำนาจรัฐบาลเสนอต่อสภา
ขอความไว้วางใจในการบริหารราชการแผ่นดินจากสภา ก่อนที่จะมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ พร้อมกับฝากทุกฝ่ายช่วยกัน
ไม่อยากให้เกิดการหลงทาง ในการที่จะเดินหน้าการปฏิรูปประเทศ
------------
"อลงกรณ์" ระบุ สปช. ส่ง 8 คำขอ อนุฯ กมธ. ทบทวน ตรวจทานรายละเอียดแล้ว มั่นใจส่งก่อน 16.00 น. แน่นอน

ความไหวที่รัฐสภาล่าสุด ได้เริ่มประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) แล้ว โดยมีวาระในการพิจารณาเพื่อรายงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน เรื่อง โครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่าง

เสรี (ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์สำหรับบ้านและอาคาร) ทั้งนี้ นายอลงกรณ์ พลบุตร เลขานุการกรรมาธิการกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ วิป สปช. เปิดเผยว่า วันนี้จะไม่มีการหารือเรื่อง

ประเด็นการยื่นคำขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ เป็นกรณีพิเศษ เนื่องจาก กรรมาธิการแต่ละคณะ ได้ส่งมาให้คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาจัดทำประเด็นคำขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญ ในคณะ

กรรมาธิการปฏิรูปการเมือง สภาปฎิรูปแห่งชาติ เป็นผู้รวบรวมประเด็นทั้งหมด แต่จะเป็นการตรวจทานก่อนส่งให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งใน 8 คำขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญนั้น มี

สมาชิก สปช. เป็นผู้รับรองคำขอละประมาณ 26 คน หรือทั้งหมด 208 คน ซึ่งแต่ละคำขอจะมีสมาชิกรับรองมากน้อยไม่เท่ากัน แต่ต้องไม่ต่ำกว่า 25 คน

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นประเด็นที่หลายฝ่าย มีความกังวล ซึ่งจะมีความครอบคลุมทั้งหมด และคาดว่าจะส่งก่อนเวลา 16.00 น.
----------
"บวรศักดิ์" แจง ที่ประชุม สปช. เร่ง ส่งคำขอแก้ไขร่าง รธน. ภายใน 16.30 น. วันนี้

นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ว่า ในวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ สปช. จะต้องส่งคำขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญ

ภายในเวลา 16.30 น. โดยนำส่งได้ที่ฝ่ายเลขาฯ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่ง 1 คำขอแก้ไขเพิ่มเติม จะต้องมีผู้เสนอเพียง 1 คน หากมากกว่านั้น อาจผิดข้อกฎหมาย และจะต้องมีผู้รับรองคำ

ขอแก้ไข 25 คน โดยตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน เป็นต้นไป จะเชิญตัวแทนจากแต่ละคำขอกลุ่มละ 5 คน เข้าชี้แจงรายละเอียดต่อกรรมาธิการยกร่าง ฯ กลุ่มละ 3 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดโอกาสให้ สปช. สามารถส่งคำขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญ ได้ทั้งหมด 8 คำขอแก้ไข
---------------
สปช. ปฏิรูปการเมืองยื่นคำขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญให้นายกฯ มาจาก ส.ส.-ส.ว.ทั้งหมด

ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง กล่าวว่า คณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมืองและคณะกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ได้เสนอประเด็นที่ขอ

ยื่นแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญ โดยเสนอให้นายกรัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เท่านั้น โดยไม่ต้องมีการบัญญัติไว้ในบทเฉพาะกาลถึงนายกรัฐมนตรีคนนอกหากเกิดวิกฤตการ

เมือง เพราะได้ระบุให้ปลัดกระทรวงรักษาราชการแทนทันทีหากมีการยุบสภา พร้อมยืนยันว่าระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมจะทำให้รัฐบาลอ่อนแอ ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศจึงเสนอให้

ใช้ระบบสัดส่วนคู่ขนาน โดยกำหนดให้รัฐสภา ประกอบด้วย ส.ส.จำนวน 500 คน ส.ส.เขต 400 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน ส่วนสมาชิกวุฒิสภาให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ตลอดจนให้ กกต.

เป็นผู้กำกับและจัดการเลือกตั้ง รวมถึงมีอำนาจแจกใบเหลือง-แดง แก่ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยไม่ต้องตั้งคณะกกรมการจัดการเลือกตั้ง (กจต.)

----------
กมธ.ยื่นขอแก้ไขเพิ่มร่าง รธน. 129 ประเด็น ยึดหลักรัฐธรรมนูญต้องกระชับ ย้ำลงมติเห็นชอบเป็นสิทธิ์ของสมาชิกแต่ละคน

คณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง และคณะกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม แถลงการส่งคำขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ทางคณะกรรมาธิการฯ ได้ยื่นขอแก้ไขเพิ่มเติม

ร่างรัฐธรรมนูญในกลุ่มการเมืองและกฎหมายยื่นแก้ไข 129 ประเด็น โดยยึดหลักรัฐธรรมนูญจะต้องสั้น กระชับ ไม่ยาวจนเกินไป เน้นสร้างรัฐบาลให้เข็มแข็ง ยึดหลักถ่วงดุลอำนาจที่มีประสิทธิภาพ

และการใช้อำนาจต้องเชื่อมโยงกับประชาชน รวมถึงสร้างสมดุลของอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ

โดย นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า สภาปฏิรูปแห่งชาติมีหน้าที่เพียงให้ข้อเสนอแนะเท่านั้น จะแก้ไขหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมาธิการรัฐธรรมนูญ

พร้อมย้ำว่าการลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบนั้นเป็นเอกสิทธิ์ของสมาชิกแต่ละคน
------------------
นายกฯ เป็น ปธ.ประชุม ครม.นัดพิเศษ สรุปความเห็นแก้ไขร่าง รธน. ก่อนส่ง กมธ.

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาล ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ เพื่อสรุป

ความเห็นร่างรัฐธรรมนูญ ในส่วนของคณะรัฐมนตรี ก่อนเสนอให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ปรับแก้ โดยมีบรรดารัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมอย่างพร้อมเพรียง

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวร่วมกับ นายโจเซเอีย โวเรเก ไบนีมารามา นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐฟิจิภายหลังหารือข้อราชการ ว่า การหารือร่วมกันในครั้งนี้ เพื่อกระชับ

ความสัมพันธ์และส่งเสริมความร่วมมือในหลายสาขาระหว่างสองประเทศ ซึ่งไทยมีความตั้งใจส่งเสริมให้การค้าของทั้งสองฝ่ายมีมูลค่าสูงขึ้น ทั้งนี้ ยังมีการจัดทำความตกลงร่วมกันว่าด้วย
บริการเดินอากาศ ความตกลงว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อน และความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราระหว่างกัน ซึ่งไทยหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากฟิจิ ในการที่ไทยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น

สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประเภทไม่ถาวร นอกจากนี้จะต้องทำให้ประเทศอาเซียนและหมู่เกาะแปซิฟิก เป็นที่ยอมรับในฐานะผู้ผลิตและแหล่งอาหารของโลก
////////////////////

"พล.อ.อุดมเดช" ยัน จนท.ไม่ได้ใช้ความรุนแรงกับ น.ศ. เชิญชวนทุกฝ่าย ร่วมเวทีแสดงความเห็นกับ คสช. ปลาย พ.ค.นี้

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีการจับกุมนักศึกษา ที่แสดงออกถึง

การต่อต้าน คสช. เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้ใช้ความรุนแรง แต่จำเป็นต้องเชิญตัวมาปรับความเข้าใจ ทำให้สถานการณ์นิ่ง ราบรื่น ไปสู่โรดแมปโดยเร็ว แต่อาจมีภาพบางมุม
ที่อาจทำให้เข้าใจผิดเท่านั้น

พร้อมกันนี้ พล.อ.อุดมเดช ยังกล่าวด้วยว่า ใครที่ต้องการแสดงออก แสดงความเห็น ก็เชิญร่วมแสดงความเห็นเวทีร่วมของ คสช.ที่จะเชิญ พรรคการเมือง นักการเมือง กลุ่มต่างๆ หลายฝ่าย มาแสดง

ความเห็นกันเป็นครั้งที่ 2 ในช่วง ปลาย พ.ค. หรือ มิ.ย.นี้ ถือเป็นช่องทางที่ถูกต้อง โดย คสช. จะรับฟังความเห็น และส่งให้ผู้เกี่ยวข้องนำไปใช้ในการปฏิรูป และใช้ประโยชน์ต่อไป
----------------
มาสเตอร์โพล ปชช. ร้อยละ 97.1 ไว้วางใจ คสช. แก้ปัญหาประเทศต่อไป มั่นใจแก้ค้ามนุษย์-ประมงผิดกฎหมาย-คุมราคาหวยได้

ชมรมนักวิจัยไทยเพื่อความสุขชุมชน เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจมาสเตอร์โพล เรื่อง “1 ปี คสช.กับการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย”
โดยศึกษาตัวอย่างแกนนำชุมชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,083 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 22-24 พ.ค.ที่ผ่านมา พบว่า แกนนำชุมชน
มีความไว้วางต่อ คสช. ในการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ และประชาชน มากถึง ร้อยละ 97.1 มีเพียง ร้อยละ 2.9 ที่ระบุ
ไม่ไว้ใจแล้ว โดยให้เหตุผลว่า เป็นเพราะมีอำนาจเบ็ดเสร็จมากเกินไป/ กดดันประชาชนมากเกินไป ไม่เป็นประชาธิปไตย กลัวว่า ทหารจะ
เหลิงอำนาจ

นอกจากนี้ ยังพบว่า ในช่วงเวลา 1 ปี ที่ คสช. ควบคุมอำนาจ แกนนำชุมชุน ร้อยละ 55.2 ระบุ มีความสุขค่อนข้างมาก-มาก ขณะที่
ร้อยละ 28.6 มีความสุขมากที่สุด, ร้อยละ 15.3 ระบุปานกลาง  และร้อยละ 0.6 ระบุค่อนข้างน้อย-น้อย

ทั้งนี้ แกนนำชุมชน ร้อยละ 72.2 เชื่อมั่นว่า รัฐบาล และ คสช. จะแก้ปัญหาค้ามนุษย์ได้, เช่นเดียวกับ ร้อยละ 63.5 เชื่อจะแก้ปัญหา
ประมงผิดกฎหมายได้ ตลอดจนร้อยละ 52.9 มั่นใจว่าจะควบคุมราคาลอตเตอรี่ ใบละ 80 บาทได้
-------------
รัฐบาล ชมผลงานตำรวจปฏิบัติหน้าที่สอดคล้องนโยบายรัฐ เผย ปฏิรูปโครงสร้าง ตร. อาจเกิดหลังจัดตั้งรัฐบาลใหม่

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงประเด็นการปฏิรูปโครงสร้างองค์กรตำรวจ ว่า
ในช่วงที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ทำงานอย่างหนักเพื่อสนับสนุนนโยบายจัดระเบียบสังคม การปราบปรามการทุจริต
การปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด และขบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งสร้างที่ผลงานดีต่อสาธารณชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการดำเนินงาน
ที่ผ่านมาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถือว่าสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ในการแก้ปัญหาหลักหลายประการ ซึ่งรัฐบาลรู้สึก
ชื่นชมตำรวจทุกคนที่มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายตามนโยบายของรัฐบาล และเพื่อประโยชน์ของประชาชน
โดยส่วนรวม

ทั้งนี้ สำหรับการปฏิรูปโครงสร้าง อำนาจหน้าที่และกระบวนการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ทั้งระบบ
เป็นส่วนที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ อาจเกิดขึ้นภายหลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ สิ่งสำคัญคือ ต้องมีฝ่ายตำรวจซึ่งเป็น
ผู้ปฏิบัติหลักและมีความเข้าใจองค์กรตำรวจมากที่สุดเป็นหลักสำคัญในการวางแนวทางการปฏิรูป ควบคู่ไปกับร่างแผนการปฏิรูป
ของคณะกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่จัดทำไว้แล้ว เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพ
และประโยชน์ต่อประชาชนสูงสุด

บวรศักดิ์ ขั้นตอนรธน.

ดร.บวรศักดิ์พูด และขั้นตอนของรัฐธรรมนูญที่จะดำเนินไป
เมื่อวันอาทิตย์ ที่โรงแรมดุสิตธานี คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ดำเนินโครงการเผยแพร่ความรู้เรื่อง ร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญ
โดยนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน กมธ.ยกร่างฯ บรรยายตอนหนึ่งว่า
จากวันนี้ถึงวันที่ 23 ก.ค. 
กมธ.ยกร่างฯ จะทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับสุดท้ายเสนอต่อ สปช.ให้ความเห็นชอบ
เว้นแต่รัฐบาลจะแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวเพื่อขยายเวลาออกไป 1 เดือน ก็จะเป็นวันที่ 23 ส.ค.
หาก กกร. อยากแก้ไขประเด็นใดก็ให้เสนอเข้ามา เพราะถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และในท้ายที่สุด ร่างรัฐธรรมนูญนี้จะต้องไปทำประชามติ
เว้นแต่ สปช.จะตัดสินใจให้ร่างนี้ไม่ผ่าน
"แต่เชื่อว่าจะไม่เกิดขึ้น เพราะ สปช.ย่อมาจากเสียงประชาชน
มีคนบอกว่ารัฐธรรมนูญนี้ไปลอกฝรั่งมา
แต่ในภาค 4 ว่าด้วยการปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง ขอท้าเลยว่าไปหาที่รัฐธรรมนูญไหนก็ไม่มี" นายบวรศักดิ์กล่าว
นายบวรศักดิ์กล่าวว่า
รัฐธรรมนูญ 2540 คือฉบับประชาชน
2550 คือฉบับประชามติ
พอฉบับนี้ต้องใช้ปี 2559 เพราะปี 2558 ไม่ทันแล้ว
ถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปที่มีเจตนารมณ์สร้างพลเมืองให้เป็นใหญ่ และการป้องกันการทุจริต
ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่เราได้พยายามกันมาก
สร้างสมัชชาคุณธรรมตรวจสอบภาครัฐ
สภาตรวจสอบจากภาคพลเมือง
อีกทั้งในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ส่งเสริมให้องค์กรเอกชนเข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจทั้งระดับชาติและท้องถิ่น
รวมทั้งเรื่องงบประมาณที่มีการเปลี่ยนแปลงมหาศาล
เพราะจากนี้การจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี จะต้องแสดงทั้งรายรับและรายจ่าย
ตลอดจนการจัดสรรตามกรมและตามพื้นที่จังหวัด
อีกทั้งการแปรญัตติเพื่อลดหรือตัดทอนงบประมาณ ไม่สามารถแปรญัตติกลับไปเหมือนเช่นที่ ส.ส.ทำ
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี
กล่าวถึงความคืบหน้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 เพื่อเปิดช่องให้มีการทำประชามติว่า ขณะนี้ต้องทำเรื่องการขอปรับแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน
ซึ่งจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วาระพิเศษในวันจันทร์ที่ 25 พ.ค.นี้
โดยหลังจากประชุมเสร็จ จะมีการส่งไปให้ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญทันที
เพราะมีความเร่งด่วนกว่า
เมื่อเสร็จแล้วจึงจะมาทำให้ส่วนของการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ตอนนี้ยังมีเวลาอยู่
ทั้งนี้ สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่จะมีการแก้ไขฉบับนี้
ต้องประกาศใช้ก่อนที่ กมธ.ยกร่างฯ เขาจะทำงานเสร็จ
ซึ่งน่าจะก่อนวันที่ 6 ส.ค.แน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันจันทร์ที่ 25 พ.ค.นี้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ได้เรียกประชุม ครม.นัดพิเศษ
ที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล เวลา 13.30 น.
โดยมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายและ ครม.เข้าร่วมประชุม
เพื่อหารือถึงการเตรียมการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557
เพื่อรองรับการทำประชามติ หาก สปช.เห็นชอบให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านเรียบร้อย.

ทีวีดิจิทัลจ่าย8พันล้านเข้ารัฐขาดบริษัทเจ๊ติ๋ม

💸📺สิ้นสุดการรอคอย 8404.422 ล้านบาทเข้ารัฐ! ขาดเพียง บ.ไทยทีวี จำกัด ช่อง ไทยทีวี และช่อง LOCA เท่านั้น ที่ยังไม่ได้ชำระอีกจำนวน 288.472 ล้านบาท📺💸

สิ้นสุดระยะเวลาการจ่ายค่าประมูลทีวีดิจิตอลวันนี้ (25 พ.ค. 2558 เวลา 16.30 น.) มีผู้ประกอบการดิจิตอลทีวีมาจ่ายเงินค่าประมูลทีวีดิจิตอลแล้ว 22 ช่อง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 8404.422 ล้านบาท ขาดเพียง บ.ไทยทีวี จำกัด ช่อง ไทยทีวี และช่อง LOCA เท่านั้น ที่ยังไม่ได้ชำระอีกจำนวน 288.472 ล้านบาท เงินรายได้ทั้งหมดนี้สำนักงาน กสทช. จะรีบนำส่ง ก.คลังเพื่อเป็นรายได้ของแผ่นดินต่อไป

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (เลขาธิการ กสทช.) เปิดเผยว่า เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการจ่ายค่าประมูลทีวีดิจิตอลวันนี้ (25 พ.ค. 2558 เวลา 16.30 น.) มีผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลมาจ่ายเงินค่าประมูลทีวีดิจิตอล งวดที่ 2 แล้ว 22 ช่อง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 8404.422 ล้านบาท มีเพียง บริษัท ไทยทีวี จำกัด ช่องไทยทีวี และช่อง LOCA เท่านั้นที่ยังไม่นำเงินค่าประมูลทีวีดิจิตอล งวดที่ 2 มาชำระ เป็นจำนวนเงิน 288.472 ล้านบาท ซึ่งสำนักงาน กสทช. จะได้มีหนังสือเตือนออกไปให้บริษัทรีบมาชำระเงินค่าประมูลทีวีดิจิตอล งวดที่ 2 พร้อมเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี สำหรับเงินรายได้จากค่าประมูลทีวีดิจิตอล งวดที่ 2 ทั้งหมดนี้ สำนักงาน กสทช. จะรีบนำส่งกระทรวงการคลังเพื่อเป็นรายได้ของแผ่นดินต่อไป สำหรับผู้ประกอบการที่มายื่นชำระเงินในวันนี้ จำนวน 6 ช่อง ได้แก่ 1.บริษัท ทริปเปิล วี บรอดคาสท์ จำกัด ช่อง Thairath TV ชำระจำนวน 682.660 ล้านบาท 2.บริษัท อาร์.เอส.เทเลวิชั่น จำกัด ช่อง 8 ชำระจำนวน 323.675 ล้านบาท 3.บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด ช่อง VOICE TV ชำระจำนวน 189.390 ล้านบาท 4.บริษัท สปริงนิวส์ เทเลวิชชั่น จำกัด ช่อง Spring News ชำระจำนวน 188.106 ล้านบาท 5.บริษัท ดีเอ็น บรอดคาสท์ จำกัด ช่อง NEW TV ชำระจำนวน 187.250 ล้านบาท และ 6.บริษัท ไบรท์ ทีวี จำกัด ช่อง Bright TV ชำระจำนวน 185.966 ล้านบาท
ในส่วนของผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลที่มาชำระก่อนหน้านี้ มีจำนวน 16 ช่อง ได้แก่ 1.บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด ช่อง 7HD ชำระจำนวน 683.730 ล้านบาท 2.บริษัท ไทย บรอดคาสติ้ง จำกัด ช่อง Workpoint TV ชำระจำนวน 333.305 บาท 3.บริษัท บีอีซี-มัลติมีเดีย จำกัด ช่อง3HD ชำระจำนวน 700.850 ล้านบาท 4.บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด ช่อง PPTV HD ชำระจำนวน 693.360 ล้านบาท 5.บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ช่อง MCOT HD ชำระจำนวน 680.520 ล้านบาท 6.บริษัท อมรินทร์ เทเลวิชั่น จำกัด ช่อง Amarin TV HD ชำระจำนวน 678.380 ล้านบาท 7.บริษัท จีเอ็มเอ็ม วัน ทีวี จำกัด หรือ จีเอ็มเอ็ม เอชดี ดิจิทัล ทีวี จำกัด เดิม ช่อง ONE HD ชำระจำนวน 678.380 ล้านบาท 8.บริษัท ทรูโฟร์ยู สเตชั่น จำกัด หรือบริษัท ทรู ดีทีที จำกัด เดิม ช่องTrue4U ชำระจำนวน 329.025 ล้านบาท 9.บริษัท จีเอ็มเอ็ม แชนแนล จำกัด หรือ บริษัท จีเอ็มเอ็ม เอสดี ดิจิทัล ทีวี จำกัด ช่อง GMM Channel ชำระจำนวน 326.350 ล้านบาท 10.บริษัท บีอีซี-มัลติมีเดีย จำกัด ช่อง3SD ชำระจำนวน 324.745 ล้านบาท 11.บริษัท โมโน บรอดคาซท์ จำกัด ช่อง MONO 29 ชำระจำนวน 322.070 ล้านบาท 12.บริษัท แบงคอก บิสสิเนส บรอดแคสติ้ง จำกัด ช่อง NOW ชำระจำนวน 316.720 ล้านบาท 13. บริษัท เอ็นบีซี เน็กซ์ วิชั่น จำกัด ช่อง Nation ชำระจำนวน 190.246 ล้านบาท 14.บริษัท ไทย นิวส์ เน็ตเวิร์ค จำกัด ช่อง TNN24 ชำระจำนวน 187.892 ล้านบาท 15.บริษัท บีอีซี-มัลติมีเดีย จำกัด ช่อง 3Family ชำระจำนวน 101.222 ล้านบาท 16.บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ช่อง MCOT Kid ชำระจำนวน 100.580 ล้านบาท


น้ำผึ้งเฝื่อน หมดเดือนฮันนีมูน


“ลุงกำนัน” นอตหลุดปูด “ใบเสร็จ” ใส่อำนาจพิเศษ

ผ่านไปแล้วครึ่งทาง มหกรรมการแข่งขันฟุตบอลโลกดำเนินมาถึงรอบน็อกเอาต์ 16 ทีมสุดท้าย บรรยากาศแห่งความระทึกใจในเกมลูกหนังยังแผ่กระจายครอบคลุมไปทุกจุด
สะกดทุกกระแสหยุดอยู่กับเรื่องฟุตบอล
และอานิสงส์ก็ยังต่อเนื่อง ผลจากยุทธศาสตร์การคืนความสุขให้สังคม จัดให้ดูบอลฟรี ดูหนังฟรี ประกอบกับนโยบายการแก้ปัญหาแบบลงลึกในรายละเอียด คลุกกันถึงก้นซอย ประเภทจัดระเบียบวินรถตู้โดยสาร เคลียร์วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ล้างมาเฟียแท็กซี่สนามบินสุวรรณภูมิ
ลุยแก้กันแบบถึงลูกถึงคน เห็นผลชะงัดเฉพาะหน้า
นั่นก็ทำให้ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนของโพลสำนักต่างๆออกมาให้คะแนนพึงพอใจผลงานภายใต้การยึดอำนาจการปกครองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
โดยเฉพาะเจาะจงกับตัวเลขของ “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ในคำถามที่ว่า คสช.ควรเสนอชื่อใครเป็นนายกรัฐมนตรี
ปรากฏ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำเดี่ยว คะแนนโด่งมาคนเดียวถึงร้อยละ 41 กว่าๆ
ทิ้งห่างอันดับสองอย่างนายอานันท์ ปันยารชุน แบบไม่เห็นฝุ่น 5-6 ช่วงตัว
“คสช.นิยม” ยังแรงติดลมบน
เบื้องต้นมันก็เป็นตัวชี้วัด สะท้อนว่า คสช.ภายใต้การกำกับของ พล.อ.ประยุทธ์นำทีมบริหารด้วยอำนาจพิเศษ อาศัยความเบ็ดเสร็จทำงานเข้าตาชาวบ้าน สอบผ่านผลงานในรอบ 1 เดือน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เริ่มมี “สัญญาณเตือน” สถานการณ์กำลังหมดช่วงเดือนแห่งการฮันนีมูน
ตามรูปการณ์ที่ คสช.จะต้องเผชิญกับงานที่ท้าทายขึ้นทุกขณะ
แบบที่กำลังเผชิญอยู่ ณ ตอนนี้กับปฏิกิริยานานาชาติ กระแส “โลกล้อมประเทศไทย” ที่มีการแสดงท่าทีชัดเจนเป็นรูปธรรม
ไม่ยอมรับสถานการณ์อำนาจในประเทศไทย
แรงสุดก็คือท่าทีของสหภาพยุโรป (อียู) ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านการรัฐประหาร พร้อมงัดมาตรการกดดันด้วยการยกเลิกเขตการค้าเสรี ล้มโปรแกรมการเดินทางเยือนระหว่างกันทั้งหมด
บีบให้กลับคืนสู่วิถีประชาธิปไตย จัดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว
สอดคล้องต่อเนื่องกับท่าทีของพี่เบิ้มอย่างสหรัฐอเมริกา ก็มีปฏิกิริยาผ่านสภาคองเกรสในการเสนอให้ระงับความร่วมมือและการช่วยเหลือด้านต่างๆกับทางการไทย
รวมทั้งการขู่ย้ายฐานการซ้อมรบ “คอบร้าโกลด์” ไปที่ประเทศออสเตรเลีย
ตามเงื่อนไขโยงกับข้อมูลของเจ้าหน้าที่ทูตระดับสูงของสหรัฐฯฟันธงเลยว่า คสช.จะยึดอำนาจการปกครองนานกว่าคณะรัฐประหารชุดที่ผ่านมา
นั่นหมายถึงว่า การตอบโต้วิถีนอกประชาธิปไตยก็ต้องเข้มข้นตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม โดยแรงเสียดทานจากภายนอกประเทศ ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า พวกชาติมหาอำนาจจะต้องเดินหมากการเมืองระหว่างประเทศในการประคองดุลอำนาจโลก
รักษาผลประโยชน์ของตัวเองไว้ก่อน
ตามรูปการณ์มันจึงอยู่ในวิสัยการต่อรองด้วยการเดินเกมทางการทูต แบบที่ คสช.หันไปอิงกับประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ในการถ่วงดุลอำนาจกับสหรัฐฯและชาติตะวันตก
โลกล้อมประเทศไทยไม่รอบซะทีเดียว
ขณะเดียวกัน ดูเหมือนแรงเสียดทานจากภายในประเทศมากกว่าที่จะสร้างแรงกดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์และทีมงาน คสช.
เพราะลำพังขบวนการ “ชู 3 นิ้ว” ต่อต้านอำนาจท็อปบูตก็ยังมีอยู่ประปราย ผลุบๆโผล่ๆจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เลี้ยงกระแส รอจังหวะวางเพลิงจุดไฟ
คสช.เผลอละสายตาไม่ได้
แต่เล่นเอาซีเรียส กระตุกต่อมเครียดไปตามๆกัน กลับเป็นรายการของคนกันเอง
กับปรากฏการณ์ที่ “กำนันเทพ” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ปูดข้อมูลลับๆร้อนๆ ให้ได้รับรู้กันทั้งเมืองไทยและต่างประเทศ
ด้วยการเปิดเผยเบื้องหลัง อ้างกันเลยว่า แผนกวาดล้างรัฐบาลตระกูล ชินวัตร ได้มีการพูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์มาตั้งแต่ปี 2553 แล้ว
และก็มีการติดต่อพูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์และคณะปฏิบัติการตลอดเวลาผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์
แม้แต่ช่วงก่อนรัฐประหารยึดอำนาจ หัวหน้า คสช.ยังได้ต่อสายบอกว่า “คุณสุเทพกับ กปปส.เหนื่อยเกินไปแล้ว ตอนนี้เป็นหน้าที่ผมแล้วที่จะเข้าควบคุมรัฐบาล”
ที่สำคัญยังมีการแถมทิ้งท้าย แจกแจงบัญชีลับ กปปส.ได้ใช้เงินไปกว่า 1.4 พันล้านบาท ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อโค่นรัฐบาลตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา ในจำนวนนี้ 400 ล้านบาทมาจากครอบครัวและพวกพ้องของแกนนำ ส่วนอีก 1 พันล้านบาทเป็นเงินบริจาคจากผู้สนับสนุน กปปส.
เฉลยกันแบบหมดไส้หมดพุง
แน่นอน มวยรุ่นใหญ่ระดับ “กำนันเทพ” เหลี่ยมคูไม่ธรรมดา ที่สำคัญการปล่อยข้อมูลลับๆร้อนๆ ในภาวะสถานการณ์ไม่ปกติย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า ต้องเป็นเรื่องใหญ่
และงานนี้ก็สังเกตได้ว่า เมื่อ “ปล่อยของ” เสร็จก็ไม่มีการตอบรับหรือปฏิเสธจากนายสุเทพ โดยเลขาธิการ กปปส.ได้กลับไปหลบอยู่ถ้ำจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ตามฟอร์มนี้ก็ชัดเจนว่า “ตั้งใจ” จุดประทัดป่วน
แม้ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช.จะรีบออกมาเบรกกระแส แถลงปฏิเสธทันควัน โดยยืนยัน พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยพูดคุย สื่อสารในลักษณะแบบส่วนตัวกับนายสุเทพ รวมทั้งการส่งข่าวใดๆ ทั้งสิ้น
แต่เรื่องของเรื่อง กระแสมันไหลไปไกลแล้ว
ที่สำคัญมันอ่อนไหวต่อความรู้สึกของสังคม โดยอารมณ์ของคนกลางๆก็เริ่มมีเครื่องหมายคำถาม ไม่ต้องพูดถึงอาการของคนขั้วตรงข้ามที่ตบโต๊ะดังฉาดใหญ่
สรุปได้เลยกับ “ทฤษฎีสมคบคิด” การร่วมมือกันโค่นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ม็อบ กปปส.เคลื่อนไหวป่วนเปิดทางให้ทหารปฏิวัติ
และแน่นอน ปฏิบัติการ “ปล่อยของ” โดยนายสุเทพ มันส่งผลเต็มๆในบรรยากาศที่ คสช.กำลังเดินยุทธศาสตร์สลายสีเสื้อ ปรองดองโดยไม่เลือกปฏิบัติ นำสังคมไทยกลับสู่ความปกติ
สถานการณ์กำลังไปด้วยดีอยู่แท้ๆ
“กำนันเทพ” ทำแสบเลยก็แล้วกัน
ในชั้นแรกเลย มันก็คือการ “เคลมชัยชนะ” เอาใจกองเชียร์ม็อบกำนันให้ครึ้มอกครึ้มใจกับผลสำเร็จของมวลมหาประชาชน กปปส.ในการโค่นรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” ล้างระบอบทักษิณ
“สุเทพ” อาศัยลูกตามน้ำ เลี้ยงกระแสกองเชียร์
แต่หากมองให้ลึกไปอีกชั้น นี่คือมุกส่ง “ใบเสร็จ” ขอเบิกค่าแรง
เพราะตามจังหวะการขยับของนายสุเทพปูดข้อมูลลับๆร้อนๆ เป็นปฏิกิริยาต่อเนื่อง โยงกับกระแสลือกันหนาหูในหมู่คนวงในฝ่ายถืออำนาจ พูดกันเป็นทำนองว่า
“ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก”
ภายหลังยึดอำนาจการปกครอง พล.อ.ประยุทธ์ไม่ยอมเปิดให้ทีมงาน “ลุงกำนัน” ได้เข้าร่วมในการจัดสรรอำนาจการบริหารแต่อย่างใด
แม้จะดีลผ่านคนใกล้ชิด เจาะทางไหนก็ต่อไม่ติด
แต่ที่หงุดหงิดมากก็คือ ความเชื่อที่ว่าทำไมคนฝ่ายเดียวกันแท้ๆยังโดนมาตรการเข้มข้นจากทหาร ตั้งแต่วันยึดอำนาจก็ล็อกตัวนายสุเทพและทีมงาน กปปส.ไปอยู่ในค่ายทหาร กักบริเวณรวมกับคนของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง
เหนื่อยตัวเปลืองแรง เปลืองต้นทุนหน้าตัก
ควักเนื้อลงทุนเต็มที่ แต่ยังไม่มีสิ่งตอบแทนเป็นชิ้นเป็นอัน
มันก็เป็นไปได้ ถ้าจะมีการปล่อยใบเสร็จมาทวงกันดังๆ ตั้งใจป่าว ประกาศให้รู้กันทั่วโลกเลยว่า การพลิกเกมอำนาจในประเทศไทยมีที่มาที่ไปอย่างไร ลำพังทหารทำไม่ได้เนียนขนาดนี้
ดังนั้นใครควรจะมีส่วนร่วม “แชร์อำนาจ” บ้าง
อย่างน้อยก็ต้องได้ถอนทุนคืนทั้งหมดทั้งปวง โดยปรากฏการณ์สะท้อน “มลภาวะอำนาจ” ของ คสช.
“ฟอร์มเดิม” เหตุจากการจัดสรรผล ประโยชน์ไม่ลงตัว
ทั้งๆที่ว่ากันตามเงื่อนไข ก็เข้าใจได้ในความจำเป็นของหัวหน้า คสช.ที่ต้องพยายามประคองน้ำหนัก รักษาภาพความเป็นคนกลางในการหย่าศึก
ไม่ให้ถูกจับไต๋ได้ว่าเลือกข้างอยู่ฝั่งหนึ่งฝั่งใด
เพราะนั่นหมายถึงยุทธศาสตร์ในการสร้างความปรองดองจะล้มเหลวตั้งแต่ต้น
ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์มีตัวอย่างมาแล้วจากกรณีของ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่เดินเกมเสี่ยงในหมากอำนาจแบบหลวมๆ
รีบแชร์อำนาจเร็วเกินไป
การยึดอำนาจเมื่อเดือนกันยายน 2549 กลายเป็น “ปฏิวัติปราสาททราย” โดนด่าทำเสียของ สุดท้ายตัวเอง
ก็ต้องดิ้นรนตั้งพรรคการเมืองเพื่ออาศัยเอกสิทธิ์ ส.ส.เป็นเกราะกำบังกาย
กลายเป็นแพะของสถานการณ์ โทษฐานทำให้วิกฤติบ้านเมืองยิ่งเลวร้าย
สถานการณ์บังคับ “บิ๊กตู่” ต้องไม่พลาดซ้ำรอย
และอันที่จริง ว่ากันตามเนื้อผ้า ถึงนาทีนี้หัวหน้า คสช.ก็ยังไม่ได้ออกนอกลู่นอกทางแต่อย่างใด ตามเป้าหมายในการนำประเทศไทยกลับสู่ภาวะปกติสุข
ดังนั้น มันจึงมีเครื่องหมายคำถามย้อนกลับไปถึงพวกที่ปล่อยของ “เขย่า” อำนาจพิเศษ
ปล่อย “ใบเสร็จ” ทวงค่าแรงกันแต่หัววัน
ก่อนอื่นต้องย้อนกลับไปดูข่าวเก่าๆเมื่อ 5–6 เดือนที่แล้ว ใครที่ปากก็ป่าวประกาศต่อหน้ามวลมหาประชาชน จะยอมเสียสละทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน
สู้ตายเพื่ออนาคตของลูกหลาน เพื่อเป็นเกียรติประวัติ ของชีวิต
หรือแค่พูดให้ดูหล่อ ดูสวย หลอกใช้กองเชียร์กันแค่นั้น
ถึงเวลาก็รอรับรางวัลกันหน้าสลอน.
“ทีมการเมือง”

“แมน ศุภกิจ” โร่ร้อง ตร.ปัดเอี่ยวยูฟัน คิวต่อไป “อู๊ด เป็นต่อ”

“แมน ศุภกิจ” โร่ร้อง ตร.ปัดเอี่ยวยูฟัน คิวต่อไป “อู๊ด เป็นต่อ”
Cr:ผู้จัดการ
เมื่อเวลา 12.30 น. วันนี้ (25 พ.ค.) ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) นายศุภกิจ ตังทัตสวัสดิ์ หรือแมน ศุภกิจ อายุ 41 ปี นักแสดง เดินทางเข้าพบ พล.ต.ท.สุวิระ ทรงเมตตา ผู้ช่วย ผบ.ตร.และ พ.ต.อ.อังกูร คล้ายคลึง รอง ผบก.ปคบ. พ.ต.อ.นราเดช กลมทุกสิ่ง รอง ผบก.จว.ฉะเชิงเทรา เพื่อชี้แจงกรณีมีรูปภาพปรากฏบนโลกออนไลน์โดยแอบอ้างว่านายศุภกิจได้ร่วมลงทุนในบริษัท ยูฟัน อีกทั้งยังเป็นพรีเซ็นเตอร์ของยูฟันอีกด้วย
นายศุภกิจกล่าวว่า วันนี้ตนอยากจะขอเข้ามาชี้แจ้งในกรณีดังกล่าว เนื่องจากตนเพิ่งเห็นรูปของตัวเองปรากฏในข่าวเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมาว่าถูกนำไปแอบอ้าง เป็นรูปของตนจริงๆ ซึ่งเมื่อ 5-6 เดือนทีผ่านมาตนได้มีโอกาสรู้จักกับนายอเล็กที่อ้างตัวว่าทำธุรกิจยูฟัน โดยรู้จักกันผ่านพี่สาวที่ตนนับถือ นายอเล็กได้มาชักชวนให้ตนทำธุรกิจเครือข่ายยูฟัน จึงมีการนัดกันไปพูดคุยเกี่ยวกับเครือข่ายธุรกิจดังกล่าวที่ตึกแห่งหนึ่งย่านบางนา หลังจากการพูดคุยกัน นายอเล็กได้ขอให้ตนถ่ายรูปทำท่าสัญลักษณ์ยูฟัน ตนเองก็ปฏิเสธไม่ได้จึงทำ แต่หลังจากคุยกันตนก็ไม่ได้มีการร่วมลงทุนกับบริษัท ยูฟัน เพราะตนเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เหมือนเป็นเงินลอยๆ ในอากาศ
นายศุภกิจกล่าวว่า ต่อมามีพนักงานขับรถตู้ของกองถ่ายละครมาทักตนว่าตนไปร่วมลงทุนกับยูฟันหรือไม่ เพราะเขาเห็นรูปตนอยู่ในโซเซียลของบริษัทฯ ตนจึงทราบว่าถูกนำรูปไปใช้โดยไม่ได้อนุญาตแต่ก็ไม่ได้มีการแจ้งความอะไร ไม่คิดว่าจะเป็นบริษัทที่ผิดกฎหมายในขณะนั้น เมื่อเป็นข่าวตนจึงรีบประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเข้าให้ข้อมูล ถ้าหากถามว่าจะมีการแจ้งความที่นำรูปตนไปใช้หรือไม่ ตนอยากจะแจ้งความแต่ขอปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายก่อน เพราะถือว่าตนเสียหนักมาก ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่ออะไรง่ายๆ พร้อมแนะนำเพื่อนนักแสดงคนอื่นหากพบว่าตนเองเคยตกเป็นเครื่องมือของบริษัทนี้ให้เข้ามาแจ้งความและให้ข้อมูลต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการต่อผู้แอบอ้างต่อไป
พล.ต.ท.สุวิระกล่าวว่า ในส่วนของนักแสดงคนอื่นๆ ที่ปรากฏว่ามีการนำไปอ้างถึงในเครือข่ายยูฟันอยู่ระหว่างตรวจสอบ แต่สำหรับคนที่พบว่ามีการถ่ายภาพคู่กับแบล็กดรอปของงานที่มีโลโก้ยูฟัน เช่น “อู๊ด เป็นต่อ” หรือนายธีระชาติ ธีระวิทยากุล ได้มีการติดต่อประสานเข้ามาให้ข้อมูลแล้ว ในวันพรุ่งนี้ โดยขณะนี้มีผู้เข้ามาแจ้งความต่อทาง ปคบ.แล้วจำนวน 882 ราย มีมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 190 ล้านบาท และหากรวมทั้งประเทศขณะนี้มีผู้เสียหายที่แจ้งความทั้งประเทศรวม 1,236 ราย มีมูลค่าความเสียหาย 237 ล้านบาท สามารถอายัดทรัพย์สินได้แล้วขณะนี้มีมากกว่า 800 ล้านบาท และมีการเปิดเผยหมายจับแล้ว 25 ราย จับกุมได้ 17 ราย ยังคงหลบหนีอีก 8 ราย ส่วนผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีในต่างประเทศ เบื้องต้นทางทีมทำงานจะเร่งสรุปส่งสำนวนคดีให้อัยการพิจารณา หากอัยการพิจารณารับสั่งฟ้องก็จะส่งเรื่องขอยกเลิกหนังสือเดินทางและขอรับตัวผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป เบื้องต้นคาดจะสามารถสรุปสำนวนทั้งหมดให้อัยการได้ในช่วงต้นเดือนหน้า


เมื่อทักษิณประกาศตัวเป็นศัตรูกับสถาบัน.. ก็จงฟัง พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ พูด

บทวิเคราะห์วันจันทร์ : เมื่อทักษิณประกาศตัวเป็นศัตรูกับสถาบัน.. ก็จงฟัง พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ พูด !
Cr:สำนักข่าวเจ้าพระยา

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2558 

ผมเขียนเรื่อง ทักษิณ ชินวัตร เคยพูดว่า “ตายเสียดีกว่าอยู่อย่างผู้แพ้” วันนี้ลางแพ้มาถึงแล้ว เขาจะทำอย่างไร

โดยทิ้งท้ายเป็นคำถามว่า สถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ เหมือนจะเป็นลางสังหรณ์ว่า ความพ่ายแพ้จักต้องตกเป็นของเขาค่อนข้างแน่

คำถามคือ หากทักษิณต้องแพ้และต้องตาย ทักษิณจะยอมตายอย่างง่ายดายอย่างนั้นหรือ โดยถือเอาคำที่ทักษิณเคยพูด “ตายเสียดีกว่าอยู่อย่างผู้แพ้” มาเป็นโจทย์

สัปดาห์ที่ผ่านมาทักษิณได้พูดเหมือนจะตอบว่า “ยอมตายดีกว่าอยู่อย่างผู้แพ้ จริง ๆ” เมื่อให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติโดยบิดเบือนความจริงในไทยเมื่อวันที่ 19 พ.ค.58

ถึงการยึดอำนาจของ คณะ คสช.เมื่อ 22 พ.ค.2557 ทั้ง ๆ ที่ก่อนเกิดการยึดอำนาจนั้น บ้านเมืองตกอยู่ในวิกฤติที่หมิ่นเหม่กับการต้องฆ่ากันเองของคนไทยสองกลุ่ม

แต่ทักษิณ บิดเบือนและใส่ร้ายไปถึงเบื้องสูงว่า “เกิดจากการสั่งการขององคมนตรีโดยวางแผนให้พระสุเทพออกมาแล้วให้ทหารเข้ามาช่วยโดยมีบางคนจากในวังมาช่วย”

คำพูดของทักษิณ ดังกล่าวไม่ต่างไปจากการประกาศตัวเป็นศัตรูกับคนไทยที่จงรักภักดีต่อสถาบัน และพร้อมที่จะ “แตกหัก” กับ รัฐบาลทหารของ คสช.

และเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้า คสช.ออกมาพูดถึงทักษิณในเวลาต่อมาว่า “จะพูดอะไรก็ให้พูดไป” และตบท้ายว่า “ถึงอย่างไรผมก็ชนะอยู่แล้ว”

ย่อมนำความเจ็บปวดหัวใจไปให้ทักษิณอย่างไม่เคยมีมาก่อน เพราะคนอย่างทักษิณนั้นในอดีตมีแต่คนก้มหัวให้ และพร้อมรับใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่ง

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่แยแส มิหนำซ้ำยังพูดถึงเป้าหมายสำคัญของทักษิณ ชินวัตรด้วยว่า “ผมวิเคราะห์มาแล้ว คนที่หมิ่นสถาบันฯอยู่ในขบวนการผู้ที่ต้องการมีอำนาจ

เพื่อมีผลประโยชน์ ซึ่งประเทศไทยมี 2 อย่างที่เขายังยึดอำนาจไม่ได้คือ ทหารและสถาบันฯ เขาต้องทำลาย ถ้าทำลายทั้ง 2 อย่างนี้ได้ ก็จะยึดประเทศไทยทั้งหมด

ไม่มีเพียงผู้นำประเทศเท่านั้นที่รู้ว่าทักษิณทักษิณมีเป้าหมายอย่างไร พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 ก็ให้สัมภาษณ์ไทยรัฐฉบับ 25 พ.ค.2558

ในประเทศที่ยังมีการเคลื่อนไหวของขบวนการต่อต้าน คสช.ว่า “นายกฯมีความจริงใจกับประเทศชาติ สถาบัน ประชาชนมากที่สุด เป็นสิ่งที่ท่านพร้อมที่จะสละชีวิต

ทุกครั้งที่มีโอกาสพบนายกฯหรือคนใกล้ชิดจะพูดว่าท่านเหนื่อยจริง ๆ ไม่อยากมาอยู่ในจุดนี้ แต่สถานการณ์ในวันนั้นมันไม่ไหว ถึงต้องมาอยู่ในจุดนี้”

พล.ต.อภิรัชต์ ยอมรับว่า “ขณะนี้การเคลื่อนไหวใต้ดิน บอกได้เลยยังมีอยู่ แต่ว่าถ้าเคลื่อนไหวรุนแรงถึงขั้นรัฐบาลและนายกฯรับไม่ได้ก็ต้องดำเนินการ

ในฐานะทำงานด้านข่าวมาตลอด ตั้งแต่สภาความมั่นคงแห่งชาติ ข่าวกรองและที่สำคัญมีคนกลับใจมาบอก ทำให้รู้หมดทุกอย่างว่าอยู่ที่ไหน ขณะนี้เราเกาะติดอยู่”

และตอกย้ำว่า “เมื่อใดก็ตามมีม็อบขนาดใหญ่เคลื่อนไหว รับรองถึงตัวบงการแน่” และ อีกหนึ่งประโยคที่ผมอยากให้ผู้อ่านได้รับทราบก็คือ

พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวกับทีมการเมืองไทยรัฐ ตอนหนึ่งที่จากคำถามแม้จะมิใช่ประเด็นการเมือง แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงจุดยื่นในการทำงานได้อย่างแจ่มชัดคือ

“ผมฟังนายกฯเพียงคนเดียวและทำตามนายกฯสั่ง”


ณ ขณะนี้ ทักษิณ….มึงตายแล้ว! : เปลว สีเงิน

ณ ขณะนี้ ทักษิณ….มึงตายแล้ว! : เปลว สีเงิน

และแล้วก็ ‘ถลกหนังหน้า’ ตัวเอง

เปลว สีเงิน 
Monday, May 25, 2015

ไทยโพสต์ – อิสรภาพแห่งความคิด
๒๒ พฤษภา ๕๘ นอกจากครบรอบ “วันเกิด” ๑ ปี คสช. สัญญาณครบรอบ “วันแห้งตาย” ของระบอบทักษิณก็ปรากฏ!
ก็ดูซี….
แกนนำหลักทักษิณ มีใครฉวยโอกาสคำว่า “รัฐบาลทหาร” ออกมาต้านต่อในวันครบรอบ คสช.เข้าควบคุมอำนาจปกครองประเทศ เป็นการแสดงถึงสวามิภักดิ์ “ขยะแผ่นดิน” ตัวพ่อ ดังเดิมบ้าง?
นปช.ส่วนใหญ่ ถึงไม่มีใครชอบ คสช. แต่การที่ทักษิณออกอาการ “สั่งสมุนไปตาย…ให้กูรอด” ด้วยการ…….
กล่าวหาในวัง กล่าวหาองคมนตรี ว่ารู้เห็นเป็นใจกับกปปส.และทหารให้ยึดอำนาจประเทศ
นปช.เขาก็โตๆ กันแล้ว……..!
แต่ละคน มีประสบการณ์ในผิด-ถูกมาพอสมควรแล้ว เมื่อลูกพี่เห่าเกาขี้เรื้อนระยะสุดท้ายจากนอกประเทศ
ลูกพี่ทำอย่างนั้น…ตัวลูกพี่รอด
แต่ลูกน้องที่อยู่ในประเทศ ถ้า “หอนรับ”….ไม่รอด!
ดังนั้น การส่งสัญญาณรบรอบใหม่ของไอ้ขี้เรื้อน จึงไม่ได้รับการตอบสนองจากแกนนำ-แกนนอน
ต้องไปใช้บริการ “ขนอุย” ในคราบนักศึกษาออกมาทำบ้าๆ บอๆ!
ทำยังไง…?
ก็อย่างที่เห็นหน้าหอศิลป์ กรุงเทพฯ ย่านสยามสแควร์บ้าง ที่ขอนแก่นบ้าง ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะเข้าใจบทเริ่มต้น-ลงท้ายได้อยู่ เพียงดูผ่านๆ ทางโซเชียล มีเดีย ที่เขาโพสต์กัน ก็ครบรส-ครบด้าน
เพลินดี อย่างที่พวกขนอุยออกมาแสดงนั่น-นี่ ก็มีคนนำ “แผนรับจ้าง” มาปูด ด้วยการโพสต์ว่อนไปหมด
จริง-ไม่จริง ผมไม่ทราบ ลองอ่านแผนที่รุ่นใหญ่ “กำกับบท” ให้รุ่นขนอุยแสดงดูก็ได้ เขาสั่งว่างี้….
แผนการวันนี้ (อย่าส่งคนนอกกลุ่ม)
1.ใช้แนวร่วมที่ปลุกระดมและติดต่อไว้ โดยเอากลุ่ม นศ.นำ แล้วยุให้ไปสร้างสถานการณ์ในวันนี้ (22 พ.ค.) ตามสถานที่สำคัญ แล้วติดตามดูสถานการณ์อีกที
2.ถ้าเหตุการณ์เป็นไปตามที่คาดไว้ ให้ระดมคนมาเพิ่ม และใช้ชื่อปลุกกระแสให้ นศ.เกลียดชัง คสช.และรัฐบาล
3.ถ่ายภาพตอนชุลมุนไว้ให้มากๆ ถ้ามีสภาพคนเจ็บ มีภาพเลือด ให้รีบเอาลงเฟซหรือสื่อโซเชียล เพื่อเรียกให้คนมาชุมนุมเพิ่ม
4.ให้มีคนเป็นแกนคอยตอบโต้ตำรวจหรือทหารในด้านกฎหมาย และอย่าลืมอ้างสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน เพื่อความได้เปรียบ เพราะ จนท.จะได้ไม่กล้าทำอะไร จะได้ใช้เป็นข้ออ้างว่า จนท. 2 มาตรฐาน หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้อีกเรื่อง
5.ถ้าคนมามากๆ ให้กดดันเรียกร้องด้วยข้อเสนอที่ยากๆ และชุมนุมยืดเยื้อ แล้วเรียกสื่อมาตีข่าว แล้วให้บอกว่าตำรวจหรือทหารที่มาทำร้ายประชาชน
6.ถ้ามีสื่อต่างชาติ ให้เรียกมาถ่ายในวงที่ชุมนุม เพื่อให้ได้ภาพข่าวฝั่งเราออกไปต่างประเทศมากๆ จะได้ใช้ประโยชน์ เป็นการกดดันองค์กรต่างชาติมาสนใจมากขึ้น
7.ทีมแต่งภาพ ให้เก็บภาพมาทำกราฟิก และปล่อยให้เร็ว ปล่อยในเฟซกลุ่ม นศ.ที่คัดไว้ให้มากๆ และบอกว่า จนท.เจตนาทำร้าย นศ. เล่นหนักๆ ให้ออกมาเพิ่มให้ได้
เนี่ย…อ่านแล้วขำดี แผนจริง-ไม่จริงไม่รู้ รู้แต่ว่าที่ขบวนการกวนเมืองระบอบทักษิณ ในซีกที่ใช้นักศึกษา ใช้มวลชนเปลี่ยนหน้า-เปลี่ยนเสื้อที่ผ่านมาทุกครั้ง
เป็นไปตามนั้นเปี๊ยบ!
พวกนี้เขารับงานเป็นทอดๆ จ้างสำนักข่าวและนักข่าวต่างประเทศไว้แก๊งหนึ่ง พวกขนอุยยั่วให้ตำรวจ-ทหารจับ แล้วพวกสำนักข่าวก็ถ่ายภาพ-รายงานข่าว
“รัฐบาลเผด็จการคุกคามสิทธิมนุษยชน”!
แล้วก็ถึงคิว ไอ้พวกอัมเนสตวย พวกหิวหมา สมุนรับใช้ไอ้กันทั้งนั้น รับลูกต่อ แสดงบทผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชน ออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาล
นี่คือแพตเทิร์นสร้างข่าว-สร้างกระแสหวังกำจัดรัฐบาลคสช.เพื่อให้รัฐบาลตามใบสั่งไอ้กันเข้ามาแทน!
ที่ผมบอกว่าเป็นสัญญาณ “วันแห้งตาย” ของระบอบทักษิณก็คือ เป็นที่ประจักษ์ชัด………
การฉวยโอกาสออกมาแสดงเป็นสัญลักษณ์ต้านรัฐบาลคสช.ของแก๊งไอ้ขี้เรื้อนวานซืนนี้
สังคมประเทศ “ไม่เอาด้วย”!
แม้กระทั่งผู้นิยมชมชอบทักษิณ ก็ไม่มีใครออกมาร่วมป่วนบ้าน-ป่วนเมือง มีแต่ขนอุยกระจุกเดียว ลูกหลานใครบ้างก็ดูเอา ทำตัวเป็นขยะสังคมน่ารังเกียจ
แต่อ้อ…เห็นอยู่ ๒ คน ออกไปแสดงตนเป็นผู้อภิบาลขนอุย
ส.ศิวลักษณ์
กับ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล
เมื่อดูกระแสทางโซเชียล มีเดีย จะมีทัศนคติต่อการทำบ้าๆ บอๆ ของพวกอ้างเป็นนักศึกษาที่โพสต์กันประมาณนี้……….
-รู้จักเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ….แต่ไม่รู้จักเรียกร้องความเป็นธรรมให้ประเทศ
-โหยหาการเลือกตั้ง…..แต่ไม่เคยถามหาคนรับผิดชอบที่ทำให้ประเทศเสียหาย
-เรียกร้องประชาธิปไตย….แต่ไม่เคยถามหาความผิดคนโกงกิน
-รู้จักต่อสู้กับทหาร….แต่กับทรราชไม่กล้าแตะ
ถ้าประเทศชาติจะล่มจม ก็เพราะมีเยาวชนโง่ๆ อย่างนี้แหละ
อีกเจ้า โพสต์จั่วหัวว่า “อีกมุมความจริง ที่สื่อหลักไม่ค่อยนําเสนอ”!!
๐ เมื่อบอดบื้อสื่อใบ้ไม่ขายข่าว
ความก้าวร้าวนักศึกษา หน้าแก่
ไม่เผยภาพอันธพาลอันยอดแย่
กูจึงช่วยเผยแผ่ให้โลกรู้
๐ ให้โลกเห็นขี้เหงื่อ เด็กเหลือขอ
มันก็แค่กํามะลอรับจ้างสู้
ไม่มีหรอกอุดมการณ์ในพานชู
แค่หาอยู่หากินกับสินบน
๐ ให้โลกเห็นความร้ายกาจ ผงาดหมัด
เหมือนท่วงท่าถนัดสัตว์หน้าขน
จิกขยํ้า คํ้ากะโหลก เถอะโลกยล
เจ้าหน้าที่แทบปี้ป่นไปกับมือ
๐ มันก็แค่ผีห่าในผ้าขาว
พวกหนุ่ม-สาวสาไถย แสร้งใสซื่อ
พวกรับจ้างขายแรงแข่งกระบือ
ออกมาถือความหมายทําร้ายแผ่นดิน
๐ อยากเป็นข่าว กูจะช่วยอํานวยโชค
โฆษณาความโสโครกไม่รู้สิ้น
ให้โลกรู้ความตอแหลเด็กทมิฬ
เห็นเจตจินต์โปรเจ็คเด็กระยํา
………เพลงผ้า ปรพากย์
เนี่ย…ปรอท สำหรับวัดไข้ โซเชียล มีเดีย สำหรับวัดกระแสสังคม สรุปได้เลย ถึง ณ ขณะนี้ ทักษิณ….มึงตายแล้ว!
มีแต่คนออกมาโกนขนอุยและก่นด่าหมาขี้เรื้อน อย่าว่าแต่ในประเทศเลย ที่สหรัฐฯ ข่าวว่า นายสุนัย นายสุรพงศ์ นังดา และใครต่อใคร ขายบัตรจัดงานถล่ม คสช.ที่ชิคาโก
แต่กลับกลายเป็นว่า ถูกคนไทยในสหรัฐฯ รุมถล่มพวกจัญไรจนเวทีล่ม ….เลิกจัด!
เห็นมั้ย….ทักษิณ ไม่มีใครเอากะมึงแล้ว นี่ เมื่อวาน (๒๔ พ.ค.) เห็นซื้อพื้นที่ CNN ขององค์การ CFR ออกคำสัมภาษณ์ เป็นการส่งสัญญาณ
ดิ้นครั้งสุดท้ายตามสันดานเดิม ก่อน “ตายทั้งพี่-ทั้งน้อง”…………
“กระบวนการพิจารณาที่ขัดหลักยุติธรรมทำให้ผู้สนับสนุน น.ส.ยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยออกมาเคลื่อนไหว ผมก็ได้เรียกร้องให้กลุ่มผู้สนับสนุนอดทนไว้ แต่หากถึงจุดที่จำเป็นก็ขอให้เป็นไปด้วยความสงบ อย่าให้กลายเป็นชนวนเหตุที่นำไปสู่ความรุนแรง เชื่อว่า
กลุ่มผู้สนับสนุนจะยังไม่ออกมาเคลื่อนไหว จนกว่าสถานการณ์จะเลวร้ายจริงๆ ก็ดูเหมือนว่ารัฐบาลกำลังทดสอบ ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำ ก็เพียงแค่รอ”
เห็นมั้ย…สุดท้ายก็ กระชากหน้ากากตัวเองให้เห็นว่า…ไอ้หน้าหมาตัวไหน ที่บงการทำลาย-ทำร้ายบ้านเมืองมาตลอด?
“ผมเรียกร้องให้กลุ่มผู้สนับสนุนอดทนไว้…….สิ่งที่ต้องทำ ก็เพียงแค่รอ”!