PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

เสธ ไก่อู

jabnews16Sep14
///////////////
เป็นวันที่ เท่าไหร่ของการตั้งรัฐบาล "พล.อ.ประยุทธ์"

ตัวละคร หลายท่านที่ปรากฎชื่อเข้ามาเป็นทีมงานรอบๆตัวนายกรัฐมนตรี

ทีมงานโฆษก
-ยงยุทธ ไมยลาภ
-พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเหนิด "เสธไก่อู"

เลขาธิการนายกรัฐมนตรี
เพื่อนซี้ของ"บิ๊กตู่"

ปณิธาน วัฒนายากร

///////
25พฤษภาคม 2557หลังมีการประกาศควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ ภายใต้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.(22พ.ค.) โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะ

รักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และในการออกแถลงการณ์ หรือประกาศต่างๆ ของคสช. ผู้ทำหน้าที่คือพ.อ.วินธัย สุวารี หรือ เสธ.ต๊อด รองโฆษกกองทัพบก และรู้จักกันดียิ่งขึ้นในฐานะนักแสด

ในบท “สมเด็จพระเอกาทศรถ” จากภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

อย่างไรก็ตาม พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด หรือ "เสธ.ไก่อู" มีชื่อเป็นหัวหน้าผู้ควบคุมทีมโฆษกของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ร่วมด้วย พ.อ.วีรชน สุคนธปฏิภาค หรือ เสธ.โหน่ง คอย

รับผิดชอบแถลงข่าวภาคภาษาอังกฤษ และชี้แจงงานด้านการต่างประเทศ เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษเป็นพิเศษ และมีพ.อ.ณัฐวัฒน์ จันทร์เจริญ มาช่วยเสริมทีม
///////
พ.อ.(พ) สรรเสริญ แก้วกำเนิด (ชื่อเล่น: ไก่อู) รองผู้บัญชาการโรงเรียนกิจการพลเรือน กรมกิจการพลเรือนทหารบก เป็นที่รู้จักกันดีจากการปฏิบัติหน้าที่เป็นโฆษกกองทัพบก และโฆษกศูนย์อำนวย

การรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) และโฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)

พล.ต.สรรเสริญ เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวน 3 คนของ พันตำรวจโท ภานุข และนางเพ็ญนภา แก้วกำเนิด ชาวประจวบคีรีขันธ์ เกิดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2506 โดยที่พ่อเป็นตำรวจ แม่เป็นครู แต่

ต้องแยกย้ายจากกัน เพราะฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวไม่ดี จึงถูกยกให้ป้าและย่าไปเลี้ยง[1] ย้ายมาที่จังหวัดเพชรบุรี ด้านการศึกษา จบการศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนอรุณประดิษฐ

จังหวัดเพชรบุรี ระดับมัธยมศึกษาที่ โรงเรียนรัตนาธิเบศร์ (โรงเรียนวัดบางขวาง) จังหวัดนนทบุรี และเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 23 โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) รุ่นที่ 34

และโรงเรียนเสนาธิการทหารบก[2]

ในปี พ.ศ. 2530 เป็นผู้บังคับหมวดลาดตระเวน กองพันทหารม้าที่ 3 รักษาพระองค์ ซึ่งการที่พันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิดเลือกอยู่เหล่าทหารม้าเนื่องจากได้รับคำแนะนำจาก พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล

เสธ.แดง ซึ่งในขณะนั้นเสธ.แดงเป็นอาจารย์วิชาทหารม้าและสอนพันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิดอยู่ที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า พันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด เคยมีบทบาทในเหตุการณ์พฤษภา

ทมิฬ พ.ศ. 2535 จากนั้นเป็นรองผู้อำนวยการกองปฏิบัติการจิตวิทยา ของกรมกิจการพลเรือนทหารบก ยังได้รับการมอบหมายจาก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ให้ลงไปปฏิบัติงานที่ 3 จังหวัดชายแดน

ภาคใต้ และยังช่วยงานการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ใน

เวลาต่อมาได้รับตำแหน่งเป็นโฆษกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ในปี พ.ศ. 2551 รับตำแหน่งเป็นโฆษกกองทัพบก จนเป็นโฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) และ

โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในการชุมนุมของกลุ่ม นปช. พ.ศ. 2553 [3]

เนื่องจากในการออกแถลงการณ์และประกาศต่างๆ ของ ศอฉ.เพื่อรายงานให้แก่ประชาชนทราบเป็นระยะ ซึ่งทำให้ประชาชนคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี ด้วยมาดนุ่ม ๆ น้ำเสียงทุ้ม ๆ และมุกตลก

หน้าตาย[4] ยังได้รับการพูดถึงในเว็บไซต์พันทิป โดยเปรียบเทียบกับ เคน ธีรเดช ดารานักแสดง นอกจากมียังมีแฟนเพจบนเว็บไซต์เฟซบุ๊กของผู้พันไก่อู หรือแม้แต่ในทวิตเตอร์ของ อ.ธันยวัชร์ ไชย

ตระกูลชัย นักการตลาด กรรมการจากรายการ SME ตีแตก ยังพูดถึงว่า หากนำผู้พันไก่อูมาพร้อมกับ ดร.ปณิธาน วัฒนายากร มาด้วยแล้ว อาจได้กลุ่มเป้าหมายกว้างมากกว่าดาราดังบางคู่อีกด้วย[5]

ซึ่ง พ.อ.สรรเสริญ มีชื่อที่ถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการจากสื่อมวลชนและบุคคลทั่วไปว่า เสธ.ไก่อู หรือ พี่ไก่อู

ในปี พ.ศ. 2555 ได้รับเลื่อนยศจาก พันเอก (พ.อ.) ขึ้นเป็น พลตรี (พล.ต.)[6]

ด้านชีวิตส่วนตัว สมรส ในปี พ.ศ. 2542 กับนางศิขริน แก้วกำเนิด (สกุลเดิม เอกะวิภาต) เจ้าของธุรกิจรีสอร์ต "เดือนล้อมรีสอร์ต" ที่ อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี และเลขานุการชมรมธุรกิจท่องเที่ยว

สวนผึ้ง[7] นอกจากนี้แล้ว พ.อ.สรรเสริญ ยังมีความสนิทสนมกับ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต อดีตผู้ทรงคุณวฒิกองทัพบกอีกด้วย เนื่องจากเคารพในความที่เป็นนายทหารม้ารุ่นพี่ และเคยฝากฝังงานใน

ราชติณมัยสมาคมให้ทำ[8]
/////////////////////////
“รอง เสธ.ทบ.” ปัดเตรียมปรับ “เสธ.ไก่อู” พ้นโฆษกกองทัพบก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 มิถุนายน 2555 17:28 น.

รอง เสธ.ทบ.ปฏิเสธ ทบ.เตรียมปรับ “พ.อ.สรรเสริญ” พ้นโฆษกกองทัพบก ระบุที่ไม่ค่อยได้ออกมาแถลงข่าวเพราะมีงานในหน้าที่อื่นมาก เผย “เสธ.ไก่อู” ถูกลดบทบาท เหตุมีจุดยืนเปลี่ยนจากการ

ให้ปากคำคดีแก๊งแดงเผาเมือง ผังล้มเจ้า แถมระยะหลังมีสัมพันธ์ใกล้ชิด “เสธ.ไอซ์” เพื่อน ตท.10 “ทักษิณ” และอาจน้อยใจไม่ได้เลื่อนยศขึ้น “พลตรี” แม้มีผลงานในช่วงที่ผ่านมา
     
       พล.ท.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รองเสนาธิการทหารบก (รอง เสธ.ทบ.) กล่าวถึงกระแสข่าวกองทัพบก เตรียมปรับเปลี่ยนทีมงานโฆษกกองทัพบกใหม่ โดยอาจจะให้ พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษก

กองทัพบก มาเป็นโฆษกกองทัพบก (โฆษก ทบ.) แทน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด หรือ “เสธ.ไก่อู” ว่า ขณะนี้ยังไม่มีแผนในการเปลี่ยนตัว โฆษก ทบ. ยังคงเป็น พ.อ.สรรเสริญ เหมือนเดิม แต่การที่

ไม่ค่อยได้มาทำหน้าที่ เพราะ พ.อ.สรรเสริญมีงานในหน้าที่ผู้อำนวยการกองฯ มากมาย ยุ่งมาก ก็จึงให้ทีมงานโฆษกคนอื่นๆ แบ่งงานกันไปบ้าง
     
       ส่วนจะเกี่ยวกับการเปลี่ยนรัฐบาลหรือภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของ พ.อ.สรรเสริญ หรือไม่นั้น พล.ท.สุรศักดิ์กล่าวว่า ไม่เกี่ยวเลย แต่เพราะต้องการแบ่งงานช่วยกันมากกว่า เพราะ เสธ.ไก่อู งาน

เยอะมากจริง
     
       แหล่งข่าวจากกองทัพบกเปิดเผยว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ได้บ่นในที่ประชุมกองทัพบก เรื่องที่ทีมโฆษก ทบ.ไม่ค่อยออกมาแถลงข่าวชี้แจงตอบโต้ในเรื่อง

ต่างๆ เช่น คดีเสื้อแดง 91 ศพ และ 6 ศพ วัดปทุมวนารามฯ รวมทั้งความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ที่พยายามดึงทหารเข้าไปเป็นพวก
     
       “ทำไมไม่มีใครช่วยกันชี้แจงเลย ให้ผมคอยให้สัมภาษณ์ คอยชี้แจง พูดอยู่คนเดียว” ผบ.ทบ. กล่าวในที่ประชุม
     
       แหล่างข่าวกล่าวว่า ระยะหลังๆ พ.อ.สรรเสริญไม่ค่อยได้มาทำหน้าที่แถลงข่าวจะมีแค่ “เสธ.ต๊อด” พ.อ.วินธัย สุวารี นักแสดงผู้สวมบทบาทเป็นพระเอกาทศรถ ในหนังเรื่องนเรศวร และ “ผู้พัน

เบิร์ด” พ.ท.วันชนะ สวัสดี รองโฆษก ทบ. นักแสดงผู้สวมบทบาท “สมเด็จพระนเรศวร” และ พ.อ.(หญิง) ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก ทบ.เท่านั้นที่ผลัดกันมาแถลงข่าวต่างๆ
     
       แหล่งข่าวกล่าวว่า สาเหตุที่ยังไม่มีการเปลี่ยนตัวโฆษก ทบ. เพราะยังหานายทหารที่มีความสามารถเทียบเท่า พ.อ.สรรเสริญไม่ได้ ในแง่ของการชี้แจงแถลงข่าว ส่วน พ.อ.วินธัย ตท.30 นั้นยังไม่

มีประสบการณ์ในทางการเมือง และการชี้แจงตอบโต้มากนัก
     
       แหล่งข่าวใน ทบ.กล่าวว่า ปกติ พล.อ.ประยุทธ์จะทำหน้าที่ชี้แจงข่าวต่างๆ ในการให้สัมภาษณ์สื่อแบบรายวันด้วยตนเอง ทีมโฆษก ทบ.จึงไม่ค่อยได้มีการแถลงข่าว โดยจะมีแค่การแถลงข่าว

ผลการประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรง ทบ.เดือนละ 1 ครั้ง และการแถลงข่าวชี้แจงตามสถานการณ์ เช่น การขุดลอกคูคลอง การช่วยเหลือประชาชน และประเด็นข่าวต่างๆที่คลาดเคลื่อน
     
       “ในช่วงรัฐบาลพรรคเพื่อไทยนี้ ผู้ใหญ่ใน ทบ.มักจะมอบหมายให้ พ.อ.วินธัย เป็นผู้แถลงข่าวชี้แจงและพบปะสื่อมวลชนมากขึ้น ในขณะที่ พ.อ.สรรเสริญก็เงียบหายไป ซึ่งเดิม พล.อ.ประยุทธ์จะ

มอบให้ พ.อ.สรรเสริญชี้แจงตอบโต้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ส่วนทีมโฆษกคนอื่นๆ ชี้แจงเรื่องงานช่วยเหลือประชาชน เพราะเรื่องที่คาบเกี่ยวกับการเมือง พ.อ.สรรเสริญ มีประสบการณ์มามาก

แต่มาตอนนี้ พ.อ.วินธัย เริ่มมาทำหน้าที่แจงเรื่องการเมือง” แหล่งข่าวกล่าว
     
       แหล่งข่าวกล่าวว่า มี 4 สาเหตุที่ทำให้ พ.อ.สรรเสริญ ต้องลดบทบาท คือ 1. เพราะเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดงมีบทบาท แต่ภาพลักษณ์ของ พ.อ.สรรเสริญนั้นไม่เป็นที่ชื่นชอบของ

คนเสื้อแดงมาตั้งแต่การกระชับพื้นที่ในฐานะโฆษก ศอฉ.เมื่อ เม.ย.-พ.ค. 2553 ที่ผ่านมา จึงทำให้ผู้ใหญ่ใน ทบ.ไม่ต้องการให้ออกมามาก
     
       2. มีข่าวว่าผู้ใหญ่ใน ทบ.หวาดระแวง พ.อ.สรรเสริญ ว่าอาจมีจุดยืนเปลี่ยนไป หลังจากเปลี่ยนรัฐบาล และจากการให้ปากคำในคดีเสื้อแดง และผังล้มเจ้า ที่โยนให้เป็นเรื่องคำสั่งของรัฐบาล

พรรคประชาธิปัตย์
     
       3. บางกระแสข่าวก็มองว่า เนื่องจากเขาผิดหวังจากการเป็นพลตรีมาหลายครั้ง เพราะตอนนี้ เขายังคงเป็น พ.อ.พิเศษมาหลายปี และอยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการกองปฏิบัติการจิตวิทยา กรม

กิจการพลเรือน ทบ.เช่นเดิม ทั้งๆ ที่เขาเป็น ตท.23 สามารถเป็นนายพลได้แล้ว อีกทั้งผลงานตอน ศอฉ.ก็ควรได้รับการตอบแทน แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ.ก็ยังไม่พิจารณาให้
     
       4. เนื่องจากความสนิทสนมส่วนตัวของ พ.อ.สรรเสริญ กับ เสธ.ไอซ์ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต เพื่อน ตท.10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินงัตร เพราะเป็นนายทหารม้าที่เติบโตมาด้วยกัน จนระยะหลัง

พ.อ.สรรเสริญไปพบปะ พล.อ.ไตรรงค์ ในงานต่างๆ มากขึ้น ที่อาจทำให้เขาถูกมองว่าเปลี่ยนจุดยืน และถูกหวาดระแวง
-----------
"ประยุทธ์" ยันไม่ปลด "เสธ.ไก่อู" พ้นโฆษก เบรก "สรรเสริญ" ยังเร็วไปขึ้นนายพล ติงไม่เหมาะ ไม่หวั่น "แม่น้องเกด" ร้องศาลโลก บอกทหารทำตามหน้าที่ ยันคดีในไทยต้องใช้กฎหมายไทย แนะ

เลิกเกลียดกัน มองกันในแง่ดี ...

วันที่ 26 มิ.ย. 2555 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวปลด พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ออกจากตำแหน่งโฆษกกองทัพบกว่า อยากถามว่าใครจะปลดเขาเรื่องอะไร ขณะนี้ พ.อ.

สรรเสริญ ยังเป็นโฆษกกองทัพบกอยู่ คนที่มีอำนาจปลด คือ เลขานุการกองทัพบก ช่วงนี้ พ.อ.สรรเสริญ มีงานมากเพราะเป็น ผอ.กองปฏิบัติการจิตวิทยา ต้องไปทำโครงการต่างๆ ก็ขอให้เขาอยู่

เบื้องหลังบ้าง จึงไม่ควรเขียนให้เกิดความแตกแยก และการที่บอกว่าเขาอยากเป็นนายพลแล้วไม่ได้เป็น เคยถามตัวเขาแล้วหรือยัง

“ผมขอบอกว่าเราทำงานอย่าไปคาดหวังว่าเป็นอะไร ผมไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้ ผมมาถึงวันนี้ไม่เคยต้องไปขอใคร ไม่เคยวิ่งเต้นทำงานให้ดีที่สุด ผู้บังคับบัญชาจะเห็นว่าดีหรือไม่ดีให้เป็นอะไรได้หรือ

ไม่ได้ การจะเติบโตต้องดูอาวุโส รุ่น และ อายุ ที่ไปเขียนกันว่าเตรียมทหารรุ่น 23 เป็นนายพลไม่กี่คน อยากบอกว่าทั้งรุ่นมีเกือบ 200 คน เป็นนายพลคนเดียว และไม่ได้อยู่ในกองทัพบก ไม่ได้อยู่ใน

ตำแหน่งหลัก เพราะในกองทัพบกจัดระเบียบ และมีลิมิตว่า พลตรีประมาณ รุ่น 20 พลโท รุ่น 15 พลเอกก็ต้องประมาณรุ่น 12-13 ถึงผมจะอยู่ในกองทัพบกมานาน แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ไม่ได้ขึ้นเร็วไป

แต่ถ้ารุ่น 23 แล้วอยู่ในตำแหน่งหลัก ถามว่าใครจะเป็นรุ่นน้อง ตอนนี้ รุ่น 24 -25 ยังเป็นผู้การกรมฯ และ รุ่น 23 ส่วนใหญ่เป็นพันเอกพิเศษ ซึ่งก็ถือว่าเร็วแล้ว เดี๋ยวค่อยตอบแทนกันทีหลัง อย่าคิด

ว่าทำนี่ แล้วต้องได้นี่ คนไทยไม่ใช่อย่างนี้ ถ้าคิดแบบนี้รับรองไม่ได้เป็นแน่นอน” ผบ.ทบ.กล่าว
////////////////////

รองศาสตราจารย์ ดร.ปณิธาน วัฒนายากร (16 ธันวาคม พ.ศ. 2503 — ) อดีตอาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติ

หน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปัจจุบันได้กลับเข้าไปเป็นอาจารย์ที่ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว

ดร.ปณิธาน เป็นนักวิชาการทางด้านรัฐศาสตร์ ด้านการเมืองเปรียบเทียบ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นผู้ให้ข้อมูลแก่รัฐบาลหลายสมัย ตั้งแต่สมัย รัฐบาลนายชวน หลีกภัย พันตำรวจโท

ทักษิณ ชินวัตร และ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นหนึ่งในผู้มีส่วนร่วมในการร่างพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 [2]

รองศาสตราจารย์ ดร. ปณิธาน เกิดที่ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2503 เป็นบุตรนายมงคล และนางประณีต วัฒนายากร อยู่ในตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงในสามจังหวัดชายแดน

ภาคใต้ เป็นหลานปู่ของ ขุนธำรงพันธุ์ภักดี (ธำรง วัฒนายากร) นักธุรกิจเหมืองแร่ ในจังหวัดปัตตานี และหลานย่า สร้อยทอง คณานุรักษ์ เป็นบุตรีคนที่ 2 ของขุนพิทักษ์รายา มีต้นตระกูลคือหลวง

สำเร็จกิจกรจางวาง[3] เมืองปัตตานี และมีศักดิ์เป็นหลานของนายสวัสดิ์ วัฒนายากร องคมนตรี

บรรพบุรุษฝ่ายมารดาของเขา คือ ปุ่ย แซ่ตัน ชาวจีนจากฮกเกี้ยน[4] ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นหลวงสำเร็จกิจการ จางวางเมืองปัตตานี มุ้ย แซ่ตัน มีทายาทคือ จูไล่ ตันธนาวัฒน์ ต่อมาได้เป็น พระ

จีนคณารักษ์ นายอำเภอเมืองปัตตานี ซึ่งเป็นต้นสกุลคณานุรักษ์[5]

ปณิธาน วัฒนายากร เกิดที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา แต่เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ ทำให้สูญเสียบิดาไปตั้งแต่เด็ก และต้องย้ายถิ่นฐานมาเติบโตที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

ตั้งแต่ประถมปีที่ 5 ปัจจุบันแต่งงานแล้ว กับ นางสาวพิมพ์กาญจน์ ชนะรัตน์[6]
////////////
ส่องความคิด "พล.อ.ประยุทธ์" แห่ง คสช. ผ่านงานวิจัย "ภัยคุกคามประเทศ" ที่เคยทำไว้สมัยเป็น "เสธ.ทบ."

แฟนหนังสือพบหนังสือรวบรวมงานวิจัยของ "บิ๊กตู่"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.วางขายเล่มละร้อย ในงานสัปดาห์ร้านหนังสืออิสระ แถมผู้จัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ยังถูก คสช.เรียกมา

รายงานตัว
ในงานสัปดาห์ร้านหนังสืออิสระ ครั้งที่ 2 ที่ร้านศึกษิตสยาม ถ.เฟื่องนคร เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 มิ.ย.2557 มีแฟนหนังสือได้พบหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "กองทัพไทยกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ Non-Traditional

Threats" เขียนโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา วางขายอยู่โซนหนังสือเก่า "ลดราคา" ซึ่งหนังสือเล่มนี้หนา 208 หน้า ราคา 199 บาท ทางร้านศึกษิตสยาม ลดครึ่งราคาเหลือเพียง 100 บาท
พนักงานประจำร้านบอกว่า ร้านศึกษิตสยาม กำลังจัดโปรโมชั่นในช่วงสัปดาห์ร้านหนังสืออิสระ 21-29 มิ.ย.ศกนี้ หลังจากมีแฟนหนังสือหลายรายได้แจ้งข่าวผ่านเฟซบุ๊ค เกี่ยวกับหนังสือของ พล.อ.

ประยุทธ์ ก็มีคนมาถามซื้อมากขึ้นจนผิดปกติ
กล่าวสำหรับหนังสือ "กองทัพไทยกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ NON-TRADITIONAL THREATS" จัดพิมพ์โดยสมาคมรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเรียบเรียงจากงานวิจัย ของ พล.อ.

ประยุทธ์ ขณะเรียนวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร ภาครัฐร่วมเอกชน รุ่นที่ 20 ปีการศึกษา 2550-2551 ขณะมีตำแหน่งเป็นเสนาธิการทหารบก
นายธนพร ศรียากูล นายกสมาคมรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เขียนไว้ในคำนิยมว่า พ.อ.ขจรศักดิ์ ไทยประยูร เลขาธิการสมาคมรัฐศาสตร์ฯ ได้มาปรึกษาหารือว่ามีงานเขียนของ

พล.อ.ประยุทธ์ ได้เขียนขึ้นระหว่างเรียน วปอ. จึงเห็นควรว่า ต้องเผยแพร่ผลงานวิจัยชิ้นนี้ จึงตัดสินใจพิมพ์หนังสือเล่มดังกล่าว
ในงานวิจัยเรื่อง "กองทัพไทยกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่" พล.อ.ประยุทธ์ได้สัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญ 7 คน คือ นายศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช อดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นาย

จุฑาธวัช อินทรสุขศรี อดีตปลัดกระทรวงแรงงาน, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ,ดร.ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ,พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง, นายถวิล เปลี่ยนศรี และพล.ต.ท.อดุลย์

แสงสิงแก้ว
พล.อ.ประยุทธ์ ได้ "ยกระดับ" การปฏิบัติภารกิจของกองทัพ เพื่อรับมือกับ "ภัยคุกคามรูปแบบใหม่" ที่แบ่งไว้อย่างน่าสนใจคือ ความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ,การก่อการร้าย และ

อาชญากรรมข้ามชาติ ,ยาเสพติด, แรงงานต่างด้าว และผู้หลบหนีเข้าเมือง,ภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมของธรรมชาติและโรคระบาด,การขาดดุลของการจัดการทรัพยากร

ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และความยากจน
ที่น่าสนใจ นายธนพร ศรียากูล เป็นนายกสมาคมรัฐศาสตร์ฯ มีชื่อเล่นว่า "จ๊ะ" เป็นคนสนิทของสมศักดิ์ เทพสุทิน ซึ่งครั้งหนึ่ง "จ๊ะ ธนพร" เคยเป็นผู้ก่อตั้งพรรคมัชฌิมาธิปไตย และบังเอิญว่า อนงค์

วรรณ เทพสุทิน เป็นคณะกรรมการกิตติมศักดิ์สมาคมรัฐศาสตร์ฯ
เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2557 มีการเปิดตัว "พรรคคนธรรมดาแห่งประเทศไทย" โดยมีนายธนพร ศรียากูล เป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งนโยบายพรรคคนธรรมดาฯ ที่สำคัญคือ แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 112 ,นิรโทษกรรมประชาชนที่ถูกดำเนินคดีทางการเมือง ยกเว้นผู้สั่งการและแกนนำ, จัดทำประชามติว่าจะให้ร่าง รธน.ฉบับใหม่หรือไม่ ฯลฯ
แนวทางของพรรคคนธรรมดาฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแก้ไข ม.112 หรือนิรโทษกรรมประชาชน ดูจะสอดรับกับแนวคิดของกลุ่มนิติราษฏร์ และกลุ่มนักวิชาการหัวก้าวหน้า
ด้วยเหตุนี้ หลังการรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 คสช.ได้เรียกตัวนายธนพร ศรียากูล ในฐานะหัวหน้าพรรคคนธรรมดาฯ เข้ารายงานตัวเพื่อปรับทัศนคติ โดยไม่มีใครทราบว่า 7 ปีที่แล้ว นายธนพร เป็นผู้

จัดพิมพ์หนังสือผลงานวิจัย ของ พล.อ.ประยุทธ์

ย้อนประวัติ “เสธ.ไก่อู” ทีมโทรโข่งรัฐบาลคนใหม่

ย้อนประวัติ “เสธ.ไก่อู” ทีมโทรโข่งรัฐบาลคนใหม่

เขียนวันที่
วันอังคาร ที่ 16 กันยายน 2557 เวลา 14:01 น.
เขียนโดย
isranews
หมวดหมู่
“เสธ.ไก่อู” ดังแบบฉุดไม่อยู่ เพราะถือเป็น “หน่วยหน้า” ที่ต้องปะทะทางฝีปาก-จิตวิทยากับ “กลุ่มคนเสื้อแดง” โดยตรง แถมมาดเท่ๆเป็น “ทหาร” บวกกับ “วิวาทะ” ทิ่มแทงใจ จึงดึงดูดบรรดาแฟนคลับเกือบทุกวัย
PIC-kaiaoo-16-9-57 1
ในที่สุด “รัฐบาล” ที่นำโดย “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ก็มีมติแต่งตั้งคณะทำงาน “ทีมโฆษก” ซึ่งจะมาคอยเป็นกระบอกเสียงชี้แจงประชาชนในประเด็นสำคัญแทน “คณะรัฐมนตรี”
โดย “ทีมโทรโข่ง” ในภาพรวมแปลงร่างมาจากทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งนำทีมโดย “ยงยุทธ มัยลาภ”
นอกจากนี้ยังมีคนชื่อแปลกไปจากเดิม แต่เป็นคนหน้าเดิม ในแวดวง “ทีมโทรโข่ง” อย่าง “พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด” มาดำรงตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
เรียกได้ว่าเป็นการคัมแบ็กกลับมาหลังจากหายหน้าหายตาไปตั้งแต่เสร็จสิ้นการชุมนุมของ “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” (นปข.) เมื่อปี 2553 ซึ่ง “พล.ต.สรรเสริญ” ถูกตั้งให้เป็น “ทีมโฆษก” ของ “ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน” (ศอฉ.)
สำนักข่าวอิศรา www.isranwes.org จึงรวบรวมข้อมูลของ “โฆษกไก่อู” ที่มักจะถูกเรียกใช้บริการเกือบทุกครั้งมานำเสนอ เพื่อให้เห็นเบื้องหน้า-เบื้องหลัง-เบื้องลึก
“เสธ.ไก่อู” เข้ามามีบทบาทในฐาน “ทีมโทรโข่ง” ครั้งแรก ในช่วงที่ “พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” นำกำลังทหารรัฐประหารรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยเข้ามาดำรงตำแหน่ง “โฆษกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ” (คมช.) ในปี พ.ศ.2551 จากนั้นได้รับตำแหน่งโฆษกกองทัพบก
แต่ที่ทำให้ “เสธ.ไก่อู” ดังสุดขีดหนีไม่พ้นการดำรงตำแหน่ง “โฆษกศอฉ.” ซึ่งทำหน้าที่ร่วมกับ “ปณิธาน วัฒนายากร” ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
ล่าสุด "ปณิธาน วัฒนายากร" กลับมารับตำแหน่งทางการเมืองอีกครั้ง ในตำแหน่ง"รองเลขาธิการนายกฯ"ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กห. คู่หูศอฉ.คัมแบ๊กกลับมาเช่นกัน
“เสธ.ไก่อู” ดังแบบฉุดไม่อยู่ เพราะถือเป็น “หน่วยหน้า” ที่ต้องปะทะทางฝีปาก-จิตวิทยากับ “กลุ่มคนเสื้อแดง” โดยตรง แถมมาดเท่ๆเป็น “ทหาร” บวกกับ “วิวาทะ” ทิ่มแทงใจ จึงดึงดูดบรรดาแฟนคลับเกือบทุกวัย
ซึ่งทำให้บรรดา “แฟนคลับ” แห่ไปตัดต่อรูป “เสธ.ไก่อู” เก็บไว้มากมาย โดยเฉพาะภาพโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง “รถไฟฟ้ามาหานะเธอ” ที่นำแสดงโดย “ธีรเดช ผัวพงศ์พันธ์” ที่นำรูป “เสธ.ไก่อู” มาตัดต่อเปลี่ยนลงไป เรียกเสียงกรี๊ดได้มากมาย
PIC-ไกอ-3
หน่ำซ้ำยังมีการเปลี่ยนชื่อจาก “ศอฉ.” ให้เป็น “ศูนย์ไก่อูฉกหัวใจ” เรียกได้ว่าเก็บเล่นกันทุกมุก
PIC-ไกอ-1
แต่ที่ “เสธ.ไก่อู” รู้สึกภูมิใจมากเป็นพิเศษหนีไม่พ้นการได้ขึ้นปกนิตรสารชื่อดังอย่าง “a day”
PIC-ไกอ-2
ทว่าชื่อของ “เสธ.ไก่อู” เงียบหายเข้ากลีบเมฆทันที หลังการชุมนุมของ “คนเสื้อแดง” ต้องยุติลง แถมบทบาทในตำแหน่งโฆษกกองทัพบกก็ถูกลดทอนลงด้วย
นั่นเพราะมีกระแสข่าวออกมาว่า เสธ.ไก่อู” รู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง “นายพล” จึงออกอาการน้อยใจ “ผู้ใหญ่ในกองทัพบก”
แต่ล่าสุดได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง “พลตรี” สมใจอยากแล้ว
ทำให้ชื่อของ “เสธ.ไก่อู” ถูกดึงเข้าทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง เพื่อมาช่วยชี้แจง-ตอบโต้ เป็นตัวแทน “รัฐบาล” ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังแหลมคมอยู่ แม้ “รัฐบาล-คสช.” ยังพอกุมสภาพได้
จากนี้ต้องจับตาดูว่า “เสธ.ไก่” จะดังเป็นพลุแตกคำรบ 2 หรือไม่
ที่มา : http://www.isranews.org/isranews-scoop/item/32915-kaiaoo_01.html

นายกตู่ จะให้เด็กท่องบทบัญญัติ12ประการแทน เพลงเด็กเอ๋ยเด็กดี

‘ประยุทธ์’ เตรียมปรับ ‘ค่านิยม 12 ประการ’ ให้คล้องจองท่องแทน ‘เด็กเอ๋ยเด็กดี’ แย้มมีสอบด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี เผยถึงการรณรงค์ค่านิยม 12 ประการ ที่เคยเสนอ เตรียมให้กระทรวงศึกษาธิการปรับให้คล้องจองท่องแทน ‘เด็กเอ๋ยเด็กดี’ พร้อมบรรจุในการสอบ

15 ก.ย.2557 ภายหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เสนอ ‘ค่านิยม 12 ประการ’ ให้คนไทยรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน กตัญญู หาความรู้ รักษาประเพณีไทย มีวินัย มีเศรษฐกิจพอเพียง ฯลฯ เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ที่ผ่านมา ผ่านรายการ ‘คืนความสุขให้คนในชาติ’ ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และต่อมากระทรวงศึกษาธิการจะเร่งนำค่านิยมหลัก 12 ประการ ไปสานต่อเป็นรูปธรรม บรรจุลงในเป้าหมายของแผนโรดแมปปฏิรูปการศึกษา พ.ศ.2558-2564 ซึ่งอยู่ระหว่างเปิดรับฟังความคิดเห็นก่อนจะนำเสนอต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ

พล.อ.ประยุทธ์ พูดถึงค่านิยม 12 ประการในนาทีที่ 1.57 - 2.25(ที่มา :matichon tv) 

วันนี้(15 ก.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี เข้ารับฟังการแถลงยุทธศาสตร์ชาติและยุทธศาสตร์ทหาร พ.ศ. 2558-2562 ของคณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรรุ่นปี 2556 ซึ่งจัดโดยวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ที่สโมสรทหารบก วิภาวดี ซึ่งกล่าวตอนหนึ่งถึงค่านิยม 12 ประการ ดังกล่าวว่า “สิ่งที่ผมพูดมามันแก้ไม่ได้หรอก ถ้าคนไม่มี 'ค่านิยม' ค่านิยม 12 ประการ ผมถือว่าผมเขียนมาน้อยแล้ว ความจริงคนไทยต้องมีสัก 100 ประการ เพราะว่ามันไม่ทันไง ที่ผ่านมามันแก้ไม่ทัน เดิมเขามี 10 ใช่ไหม ที่เด็กเอ๋ยเด็กน้อยอะไรนั่น ที่เราท่องๆกันอยู่ วันนี้มาใหม่แล้ว 12 ประการ ผมให้กระทรวงศึกษาไป มีคนปรับให้แล้วคล้องจอง เดี๋ยวท่องให้ได้หมด บรรจุในการสอบด้วย”

สำหรับค่านิยม 12 ประการ นั้น ประกอบด้วย

1. มีความรักชาติ  ศาสนา  พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติในปัจจุบัน

2. ซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน มีอุดมการณ์ในสิ่งที่ดีงามเพื่อส่วนรวม

3. กตัญญู ต่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์

4. ใฝ่หาความรู้ หมั่นศึกษา เล่าเรียน ทางตรงและทางอ้อม

5. รักษาวัฒนธรรมประเพณีไทยอันงดงาม

6. มีศีลธรรม รักษาความสัตย์ หวังดีต่อผู้อื่น เผื่อแผ่และแบ่งปัน

7. เข้าใจ เรียนรู้ การเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ถูกต้อง

8. มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย ผู้น้อยรู้จักการเคารพผู้ใหญ่

9. มีสติ รู้ตัว รู้คิด รู้ทำ รู้ปฏิบัติ ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

10. รู้จักดำรงตนอยู่โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รู้จักอดออมไว้ใช้เมื่อยามจำเป็น มีไว้พอกินพอใช้ ถ้าเหลือก็แจกจ่าย จำหน่าย และขยายกิจการ เมื่อมีความพร้อม โดยมีภูมิคุ้มกันที่ดี

11. มีความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจฝ่ายต่ำ หรือกิเลส มีความละอาย เกรงกลัวต่อบาป ตามหลักของศาสนา

12. คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม และต่อชาติ มากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง

รัฐบาลเดิมพันประเทศ

รัฐบาลนับหนึ่ง เดิมพันประเทศ

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน 2557, 00:00 น.


เป็นสัญญาณเริ่มต้นภารกิจเดิมพันสูงของรัฐบาล คสช.

ภายหลังวันที่ 12 ก.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือสนช.

นโยบายรัฐบาล "ประยุทธ์ 1" ภายใต้สโลแกนใหม่ "จริงใจ จริงจัง ยั่งยืน" กระชับห้วนสั้นกว่าเดิม ครอบคลุมงานทั้งหมด 11 ด้าน ประกอบด้วย

การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ การรักษาความมั่นคงของรัฐและการต่างประเทศ การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การศึกษา ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การยกระดับด้านสาธารณสุข

การเพิ่มศักยภาพด้านเศรษฐกิจ การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม

การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร การสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล และการ ป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติ มิชอบในภาครัฐ

และการปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม

ทั้ง 11 ด้านมีฐานที่มาจาก 5 แหล่ง คือ

จากยุทธศาสตร์ตามแนวพระราชดำริ "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" จากปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 จากปัญหาประเทศและความต้องการของประชาชน

และจากนโยบายคสช. อาทิ โรดแม็ป 3 ระยะ หลักค่านิยม 12 ประการ เป็นต้น

ในส่วนของคสช.นั้น ในการประชุมครม.นัดพิเศษ ตามฤกษ์วันที่ 9 เดือน 9 เพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจวิธีทำงานและการเตรียมตัวเข้าสู่ภารกิจรัฐมนตรี

พล.อ.ประยุทธ์สั่งหัวหน้าฝ่ายแต่ละฝ่ายของ คสช. รายงานผลปฏิบัติงานในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่การเข้าควบคุมอำนาจวันที่ 22 พ.ค.2557 ให้รัฐมนตรีทุกคนได้รับทราบ

เพื่อรับช่วงทำงานแบบไร้ตะเข็บรอยต่อ

สําหรับบทบาทคสช.นับจากนี้เป็นต้นไป นับตั้งแต่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตน ซึ่งถือเป็นการเข้ารับหน้าที่โดยสมบูรณ์

จนถึงขั้นตอนการแถลงนโยบายต่อสนช. หลักกิโลเมตรแรกในการกลับสู่โครงสร้างอำนาจฝ่ายบริหารปกติ

หากว่ากันตามทฤษฎี คสช.ซึ่งถือเป็นกลุ่ม "อำนาจพิเศษ" จึงต้องปรับลดระดับการทำงานลง ไม่สามารถออกประกาศคำสั่งหรือเรียกบุคคลมารายงานตัวได้อีก ยกเว้นใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกหรือการจัดระเบียบภายในของคสช.เอง

แต่นั่นก็เป็นแค่ในทางทฤษฎี ในทางปฏิบัติไม่ใช่ปัญหา เพราะถึงจะเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างไร รัฐบาลชุดนี้ก็ยังหล่อหลอมเป็นเนื้อ เดียวกับคสช.อยู่ดี

หัวหน้า คสช.เป็นคนเดียวกับนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้ากับคณะที่ปรึกษาคสช.ก็เป็นทีมเดียวกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีกครึ่งค่อนคณะ

แตกต่างกันก็ในเรื่องทางเทคนิค เช่น การยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อป.ป.ช. ที่คสช.ไม่ต้องยื่น แต่ถ้าเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีต้องยื่นตามระเบียบ

ย้อนกลับยังเรื่องนโยบายรัฐบาล

สิ่งที่แตกต่างจากรัฐบาลที่ผ่านมาทุกชุดตามที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีอธิบายไว้ว่า ถ้าหากเป็นรัฐบาลปกติจะมีภารกิจ ข้อเดียวคือการบริหารราชการแผ่นดิน

แต่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 เป็นครั้งแรกที่กำหนดให้รัฐบาลมีภารกิจมากถึง 3 ข้อ ได้แก่ การบริหารราชการแผ่นดิน การปฏิรูป และการสร้างความปรองดองสมานฉันท์

ลึกลงไปในรายละเอียด เรื่องการบริหารราชการแผ่นดินจะครอบคลุมปัญหา 11 ด้านตามที่แถลงไว้เป็นนโยบาย

แต่ละด้านมุ่งสอดแทรกเรื่องป้องกันและปราบปราบการทุจริตคอร์รัปชั่น การปฏิรูป และการเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยไว้ในฐานะเป็นวาระแห่งชาติ

แบ่งการทำงานเป็น 3 ระยะ

ระยะเร่งด่วนเฉพาะหน้า ทำภายใน 1-2 เดือนหลังการแถลงนโยบาย ระยะกลาง ทำต่อจากระยะเร่งด่วน พยายามให้เสร็จภายใน 1 ปี ส่วนระยะยาว 5-10 ปี เป็นการวางรากฐานให้รัฐบาลชุดต่อไปเข้ามารับช่วง

ส่วนเรื่องการปฏิรูป กำลังจะมีสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือสปช. จากการสรรหาจำนวน 250 คน คาดว่าเสร็จสิ้นภายในไม่เกินต้นเดือนต.ค.นี้

ด้านการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ รัฐบาลจะนำมาทำต่อจากคสช. หัวใจสำคัญคือการขจัดเงื่อนไขความไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำ

รวมถึงปัญหายุติธรรมสองมาตรฐาน

มีการวิเคราะห์ว่าในห้วงเวลานับจากนี้ หลังการเปลี่ยนผ่านบทบาทจากคสช. มาเป็นการบริหารประเทศโดยคณะรัฐบาล

สิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีและคณะต้องเผชิญ จะเป็นปัญหาที่มีลักษณะแตกต่างออกไปจากเมื่อครั้งเป็นคสช.เพียงโดดๆ ตั้งแต่ปัญหาจุกจิก ไปจนถึงปัญหาขนาดใหญ่

ยกตัวอย่างเรื่องติดตั้งไมโครโฟนห้องประชุม ครม. ราคาตัวละ 1.4 แสน หรือทีวีเครื่องละ 5 แสน ที่ตกเป็นข่าวครึกโครมทางหน้าหนังสือพิมพ์นานนับสัปดาห์

ในตอนแรกรัฐมนตรีกับอธิบดีต่างก็บ่ายเบี่ยงโยนเรื่องกันไปมา

กว่าจะตัดสินใจออกมาแถลงชี้แจงทำความเข้าใจให้เรื่องซาลงไปได้ รัฐบาลต้องเสียหายด้านภาพลักษณ์ความพอเพียงไม่ฟุ้งเฟ้อไปพอสมควร

ล่าสุดกระแสบีบรัดให้นายกฯ ต้องตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องราวข้อเท็จจริง สังคมจึงต้องเฝ้าติดตามผลสอบว่าจะออกมารูปไหน เรื่องเล็กจะบานปลายเป็นเรื่องใหญ่หรือไม่

ส่วนปัญหาระดับใหญ่นั้น ตลอด 3 เดือนเศษที่ผ่านมา เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าปัญหาด้านความมั่นคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ของรัฐบาลและคสช.อีกต่อไป

แม้จะมีกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านเหลืออยู่บ้าง แต่ก็อยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้แบบสบายๆ ไม่มีจุดไหนตึงมือเหมือนในช่วงแรก

ดังนั้นสิ่งที่เป็นตัวชี้เป็นชี้ตายจริงๆ ของแทบทุกรัฐบาลคือ ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ปัญหาเกี่ยวกับปากท้องชาวบ้าน ราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค การค้าการลงทุน ปัญหาพลังงาน

รวมถึงปัญหาธุรกิจการท่องเที่ยวซึ่งกำลังได้ผลกระทบรุนแรง จากการที่จนแล้วจนรอดคสช.ก็ยังไม่ประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก

ถึงแม้จะมีเสียงเรียกร้องว่าควรยกเลิกในบางจังหวัดพื้นที่ท่องเที่ยว เพื่อเรียกบรรยากาศความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับคืนมาก็ตาม 

ปัญหาเหล่านี้ต้องเร่งแก้ไขด้วยการลงมือทำทันที ไม่ใช่แก้ไขด้วยการดีแต่พูด หรือหลอกตัวเองไปวันๆ โดยเฉพาะบรรดาข้าราชการที่คอยป้อนข้อมูลเอาอกเอาใจ ผู้มีอำนาจ ว่าทุกอย่างกำลังดีขึ้นเองหลังจากมีรัฐบาล

เพราะการเปิดรับความจริงเท่านั้นที่จะนำไปสู่ทางออกของปัญหาที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะปัญหาเล็กหรือใหญ่ก็ตาม