PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เปิดที่มา "เกรย์ วูลฟ์" หลังนักวิเคราะห์เชื่อเกี่ยวข้องระเบิดแยกราชประสงค์

เปิดที่มา "เกรย์ วูลฟ์" หลังนักวิเคราะห์เชื่อเกี่ยวข้องระเบิดแยกราชประสงค์
Tue, 25/08/2015 - 20:03

นักวิเคราะห์ข้อมูลด้านความมั่นคงและทางทหารเปิดประเด็นในเวทีเสวนาที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศเมื่อวานนี้ (24 ส.ค.2558) โดยเชื่อว่า กลุ่มเกรย์ วูฟ ของตุรกีมีความเป็นไปได้มากที่สุดที่ก่อเหตุระเบิดแยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 17 ส.ค.2558 ที่ผ่านมา

นายแอนโทนี่ เดวิส นักวิเคราะห์ข้อมูลด้านความมั่นคงและทางทหารเปิดประเด็นในเวทีเสวนาที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศเมื่อวานนี้ (24 ส.ค.2558) โดยเชื่อว่า กลุ่มเกรย์ วูฟ ของตุรกีมีความเป็นไปได้มากที่สุดในการก่อเหตุระเบิดแยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 17 ส.ค.2558 ที่ผ่านมาจนเป็นเหตุทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก

กลุ่มเกรย์ วูฟ (Grey Wolves) เป็นส่วนหนึ่งของ พรรค Nationalist Movement Party หรือ พรรค MHP ในภาษาตุรกี แปลว่า พรรคขบวนการชาตินิยม มีอุดมการณ์ขวาจัด นำโดยนายเดฟเลท บาเซลี มีสุนัขป่าเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มเกรย์ วูฟ ก่อตั้งขึ้นในปี 2511 มีลักษณะเป็นองค์กรแบบทหารใช้หลักศาสนาอิสลามเป็นหลักปฏิบัติ ต้องการรวบรวมกลุ่มชาวเติร์กทั่วโลกเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน จัดตั้งค่ายฝึกเยาวชนที่ใช้ภาษาตระกูลเติร์กในเอเชียกลาง เป้าหมายหลักคือชาวมุสลิมอุยเกอร์ในมณฑลซินเจียงของจีน

กลุ่มชาตินิยมในตุรกีกลุ่มนี้ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการโจมตีและลอบสังหารหลายครั้ง เช่นความพยายามลอบสังหารสมเด็จพระสันตปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 เมื่อปี 2524 และนายตูรกูทโอซาล อดีตนายกรัฐมนตรีของตุรกี ปี 2531 เคยมีส่วนในการพยายามก่อรัฐประหารในอาเซอร์ไบจาน เมื่อปี 2538 คาซัคสถานประกาศให้กลุ่มนี้เป็นองค์กรก่อการร้าย

พื้นที่ปฏิบัติการของเกรย์ วูล์ฟ มีทั้งอาเซอร์ไบจาน สาธารณรัฐเชเชน มณฑลซินเจียงของจีน ไซปรัส และหลายประเทศในยุโรป ข้อมูลบางส่วนระบุว่า เกรย์ วูล์ฟ มีรายได้จากการค้ายาเสพติด การขู่กรรโชกทรัพย์และการนำพาคนข้ามพรมแดน รวมถึงการโจมตีสถานทูตไทยในตุรกีหลังรัฐบาลไทยตัดสินใจส่งชาวมุสลิมอุยเกอร์กลับไปยังจีน ก็มีชื่อกลุ่ม เกรย์ โวลฟ ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลัง

แอนโทนี เดวิส นักวิเคราะห์จากไอเอชเอส (IHS) วิเคราะห์จากแรงจูงใจ ศักยภาพและรูปแบบการก่อเหตุที่ผ่านมาของกลุ่มการเมืองภายในไทย กลุ่มก่อเหตุในภาคใต้ เครือข่ายของกลุ่มไอเอสและ
อัลกออิดะห์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่ามีความเป็นไปได้น้อย มีเพียงเกรย์ วูฟ ที่มีน้ำหนักมากที่สุด แต่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไม่มีความเห็นเรื่องนี้

เกรย์ โวลฟ อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จริงหรือไม่อาจจะอยู่ในชั้นการสอบสวนที่ไม่เปิดเผยแต่การไม่พูดชื่อกลุ่มและไม่ให้น้ำหนักกับการก่อการร้าย เป็นสิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงยืนยันมาตั้งแต่วันแรกที่เกิดระเบิด
//////////
สื่อนอกจับตาหัวรุนแรงเติร์ก
ไทยรัฐ 25ส.ค.58

มีรายงานว่าวันเดียวกัน เว็บไซต์ข่าววอยซ์ออฟอเมริกา หรือวีโอเอ รวมถึงนิตยสารฟอร์บส์ของสหรัฐฯ เปิดเผยการวิเคราะห์กรณีเหตุลอบวางระเบิดบริเวณศาลพระพรหม แยกราชประสงค์ ใน กทม.
ของ นายแอนโทนี่ เดวิส นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงของวารสารความมั่นคงไอเอชเอส เจน’ส ของสหรัฐฯ ในระหว่างการประชุมสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย หรือเอฟซีซีที โดยมองว่าทางการไทยควรจับตากลุ่มชาตินิยมฝ่ายขวาหัวรุนแรงในตุรกี ที่เรียกว่ากลุ่มเกรย์ วูล์ฟส (Grey Wolves) ว่ามีส่วนเชื่อมโยงในเหตุระเบิดครั้งนี้หรือไม่ เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเห็นได้ชัดว่าตั้งใจโจมตีสถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวจีน และกลุ่มเกรย์ วูล์ฟส เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์บุกสถานกงสุลไทยในนครอิสตันบูล ตุรกี เมื่อวันที่ 9 ก.ค. เพื่อแสดงความไม่พอใจที่ทางการไทยส่งตัวผู้อพยพชาวมุสลิมอุยกูร์กลับจีน 109 คน ทั้งนี้ นายเดวิสยังกล่าวด้วยว่า เหตุที่กลุ่มเกรย์ วูล์ฟส มีความเชื่อมโยงมากกว่ากลุ่มหัวรุนแรงหลักๆ อาทิ กองกำลังรัฐอิสลามไอเอส หรืออัล-เคดา เป็นเพราะกลุ่มหลักๆเหล่านั้นจะรีบประกาศตัวว่าอยู่เบื้องหลังการก่อเหตุทันที ต่างจากเหตุระเบิดครั้งนี้ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาแสดงตัวรับผิดชอบ

อาเซียนร่วมต้านก่อการร้าย

เย็นวันเดียวกัน อาเซียนออกแถลงการณ์ร่วมต่อเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ ระบุว่าประเทศสมาชิกอาเซียน ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อรัฐบาลและประชาชนชาวไทย รวมทั้งครอบครัวของเหยื่อจากเหตุการณ์ พร้อมขอประณามการกระทำดังกล่าว เช่นเดียวกับที่ประณามการก่อการร้ายทุกรูปแบบไม่ว่าจะมีแรงจูงใจจากสาเหตุใด ที่ใดและเมื่อไร จากกลุ่มคนใดก็ตาม ทั้งนี้อาเซียนจะร่วมมือกับประชาคมโลกเพื่อเสริมสร้างการต่อต้านการก่อการร้ายในทุกรูปแบบ พร้อมแสดงความเป็นหนึ่งเดียว กับรัฐบาลและประชาชนชาวไทย สนับสนุนความพยายามในการนำตัวผู้ก่อเหตุครั้งนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
//////////////

รบ.เผยฟังข้อมูลกลุ่มเกรย์วูฟส์ ถูกอ้างเอี่ยวบึ้มราชประสงค์
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
วันที่ 26 สิงหาคม 2558, 17:34

"วีรชน"เผยพร้อมรับฟังข้อมูล"กลุ่มเกรย์วูฟส์" หลังถูกอ้างเอี่ยวระเบิดราชประสงค์ ชี้ต้องวิเคราะห์ให้รอบด้าน

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.วีระชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายแอนโทนี เดวิส ซึ่งอ้างตัวเป็นนักวิเคราะห์จากกลุ่มรวบรวมข้อมูลด้านความมั่นคง

เจนส์ อินฟอร์เมชั่น กรุ๊ป บริษัทไอเอชเอส อิ้งค์ ที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในประเทศอังกฤษ ให้จับตากลุ่มเกรย์วูฟส์ องค์การชาตินิยมเตอร์กิซ อาจเชื่อมโยงอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดแยกราชประสงค์ว่า เรื่องนี้
เป็นการแสดงความคิดเห็นของนักวิชาการชาวต่างประเทศ ซึ่งเป็นข้อมูลที่รับฟังไว้ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องเข้าใจว่าเป็นการวิเคราะห์สถานการณ์ในลักษณะของการมีข้อมูลของสถานการณ์ที่เกี่ยวกับความเคลื่อนไหว เป็นเรื่องของทฤษฎีบวกกับสถานการณ์บวกกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เขามีความรู้ว่าใครมีความเคลื่อนไหวอย่างไร

แต่สิ่งหนึ่งที่เรามองข้ามไม่ได้คือการวิเคราะห์ของเขายังไม่มีหลักฐานอะไรประกอบ ดังนั้น การจะชี้ให้ชัดว่าเป็นใคร ที่ไหน คงไม่ใช่เพียงแค่หลักการหรือทฤษฎีอย่างเดียว แต่ต้องมีหลักฐานอื่นประกอบ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวคิดว่าคงจะนำไปประกอบในการทำงานของเจ้าหน้าที่ของเราได้ว่า ตรงนี้มีความเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้ มีกลุ่มที่มีความคิดในการก่อเหตุการณ์แบบนี้โดยมีแรงจูงใจในลักษณะนี้ ก็ต้องดูว่ามีหลักฐานใดที่จะมาสนับสนุนกับความเคลื่อนไหวของคนกลุ่มดังกล่าวว่ามีหรือไม่ ไม่สามารถจะไปบอกได้ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องถูก หรือที่เราพูดเป็นเรื่องถูก คงต้องนำมาประกอบกันเพื่อนำมาวิเคราะห์ทั้งทฤษฎีและหลักฐาน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้อมูลที่นักวิเคราะห์คนดังกล่าวมีนั้นน่าเชื่อถือหรือไม่ พล.ต.วีระชน กล่าวว่า เป็นลักษณะของการเคลื่อนไหว เหมือนกับนักวิชาการที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องกลุ่มก่อความรุนแรง ความ
ไม่สงบต่างๆ เขาจะมีข้อมูลว่าปัจจุบันมีกลุ่มใดเคลื่อนไหวอยู่บ้างและเคลื่อนไหวอย่างไร มีมูลเหตุจูงใจอะไรจึงเหมือนเป็นข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ นำมารวมกับหลักฐานที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นหลักฐานในที่เกิดเหตุ หลักฐานที่ได้จากนิติวิทยาศาสตร์  

เมื่อถามว่า เมื่อมีการตั้งข้อสังเกตให้ระวัง แล้วเจ้าหน้าที่จะต้องดำเนินการอย่างไร พล.ต.วีระชน กล่าวว่า ต้องให้ความสำคัญกับการตรวจสอบความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ หากเป็นความเคลื่อนไหวที่มีการระบุพื้นที่ว่ามาจากที่ใด เคลื่อนไหวอยู่บริเวณหรือประเทศใดก็ต้องแสวงหาความร่วมมือ แบ่งปันข้อมูลข่าวกรองต่างๆกับประเทศที่เขามีความเคลื่อนไหวตรงนั้นและเป็นมิตรประเทศกับไทย เมื่อมีประเด็นนี้เกิดขึ้น สิ่งที่จะอุดช่องว่างได้ คือเรื่องของความร่วมมือ การแบ่งปันข้อมูลข่าวสารระหว่างประเทศ เมื่อเราได้ยินในเรื่องนี้มาที่ทำให้มองได้ว่าไปเชื่อมโยงก็ต้องมาตรวจสอบน้ำหนักข้อมูลกับสิ่งที่เรามี ต้องมาหาความเชื่อมโยงอื่นๆ ทั้งวิธีการปฏิบัติงาน ต้องมาศึกษารายละเอียดให้ชัดเจนทั้งข้อมูล หลักฐาน ทฤษฎีต่างๆ เราคงไปปฏิเสธว่าอันนี้ไม่จริง อันนี้ไม่ใช่ คงไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นประโยชน์อย่างหนึ่ง

////////
ระเบิดราชประสงค์ นักวิเคราะห์ต่างชาติชี้เป็นฝีมือ เกรย์วูล์ฟ ตอบโต้ไทยส่งอุยกูร์กลับจีน

 แอนโธนี เดวิส นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงของอังกฤษ เชื่อเหตุระเบิดราชประสงค์เป็นฝีมือกลุ่ม "เกรย์วูล์ฟ" ตอบโต้กรณีรัฐบาลไทยบังคับส่งชาวอุยกูร์กลับจีน

          ยังคงเป็นประเด็นที่สื่อต่างประเทศให้ความสนใจเป็นอย่างมาก สำหรับเหตุระเบิดราชประสงค์ บริเวณศาลพระพรหมเอราวัณ เมื่อช่วงค่ำวันที่ 17 สิงหาคม 2558 ซึ่งจนถึงขณะนี้แม้จะมีการออกหมายจับผู้ต้องสงสัยคือชายสวมเสื้อสีเหลืองแล้ว แต่ทางการไทยก็ยังคงไม่สรุปมูลเหตุที่นำไปสู่การก่อเหตุไม่สงบดังกล่าว รวมทั้งยังไม่สรุปว่าเกิดจากฝีมือของกลุ่มใด

          อย่างไรก็ตาม ล่าสุดวันที่ 25 สิงหาคม 2558 นิตยสารฟอร์บส์ ได้มีรายงานบทวิเคราะห์จาก แอนโธนี เดวิส นักวิเคราะห์ในแวดวงความมั่นคงของกลุ่มบริษัท IHS Janes ซึ่งได้กล่าวในการบรรยายที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ โดยเดวิสได้ชี้ว่ากลุ่มที่น่าสงสัยว่ามีแนวโน้มเป็นผู้ก่อเหตุระเบิดราชประสงค์มากที่สุด ก็คือ เกรย์วูล์ฟ (Grey Wolves) กลุ่มนักรบชาวตุรกี

         แม้เดวิสจะไม่ปฏิเสธถึงความเป็นไปได้ที่เหตุวินาศกรรมดังกล่าวอาจเป็นฝีมือของกลุ่มนักรบมุสลิมจากนอกประเทศ แต่เขามองว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เรื่องดังกล่าวจะเกิดขึ้นจากกลุ่มการเมืองของไทย รวมถึงกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่ภาคใต้ พร้อมกันนี้เขายังชี้ให้เห็นถึงหลักฐานที่สนับสนุนความคิดของเขา เมื่อพบว่ากองกำลัง เกรย์วูล์ฟ ได้เป็นส่วนหนึ่งในผู้ก่อเหตุโจมตีสถานทูตไทยในตุรกี จากเหตุความไม่พอใจที่ทางการไทยดำเนินการส่งผู้อพยพชาวอุยกูร์ 109 คนกลับประเทศจีน เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา

          สำหรับกลุ่มหัวรุนแรงดังกล่าว เป็นกลุ่มที่ถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีแนวคิดรวมชาติกับผู้ที่พูดภาษาตระกูลเติร์กให้เป็นหนึ่งเดียว และพวกเขาได้หันมาต่อสู้กันเพื่อชาวอุยกูร์ ซึ่งเป็นกลุ่มชาวมุสลิมพูดภาษาเติร์กในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ของประเทศจีน

          นอกจากนี้ เดวิสยังเชื่อว่าสาเหตุที่ผู้ลงมือเลือกศาลพระพรหมเป็นสถานที่ก่อเหตุ เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีน และในกลุ่มผู้ที่เสียชีวิตก็ยังประกอบไปด้วยชาวจีนแผ่นดินใหญ่ 2 ราย นักท่องเที่ยวเชื้อสายจีนจากอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฮ่องกง และสิงคโปร์ รวม 9 คน ส่วนสาเหตุที่เขาไม่คาดว่าผู้ก่อเหตุเป็นชาวอุยกูร์ เพราะที่ผ่านมาคนกลุ่มนี้เคยก่อเหตุในจีนแค่ระดับเล็ก ๆ เท่านั้น รวมทั้งไม่น่าเป็นฝีมือของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน เนื่องจากลักษณะระเบิดที่ใช้ก่อเหตุไม่สอดคล้องกันและเป้าหมายของกลุ่มนี้ก็ไม่ใช่ชาวต่างชาติด้วย

ขณะเดียวกัน เดวิสยังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่เหตุวินาศกรรมในครั้งนี้อาจเป็นฝีมือของพวกนักรบในเครือข่ายรัฐอิสลาม (ISIS) หรืออัลกออิดะห์ เนื่องจากมีความสามารถในการก่อเหตุระดับนี้ โดยอาศัยความช่วยเหลือจากกลุ่มสนับสนุนในประเทศไทย ร่วมกับอาสาสมัครชาวมุสลิมบางส่วนในมาเลเซีย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่มีเครือข่ายกับพวกนักรบในซีเรีย และถูกสอนมาให้เป็นนักรบจีฮัดเพื่อกลับไปปฏิบัติการในบ้านเกิด ซึ่งเรื่องแบบนี้อาจเกิดขึ้นในไทยได้เช่นกัน

          ส่วน อัลกออิดะห์ ก็มีแรงจูงใจในการแก้แค้นเช่นเดียวกับกลุ่มเกรย์วูล์ฟ ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยในเครือข่ายอัลกออิดะห์ นั่นคือกลุ่มอิสลามเตอร์กิสถานตะวันออก ที่มีกำลังหลักเป็นชาวอุยกูร์ที่เข้าไปต่อสู้ในภาคใต้ของซีเรียตั้งแต่ปี 2555 อย่างไรก็ตาม แม้กลุ่มเหล่านี้จะมีความสามารถในการก่อเหตุแต่น่าจะเลือกก่อเหตุแบบนี้ในประเทศจีนมากกว่า รวมทั้งที่ผ่านมากลุ่มเหล่านี้ก็ไม่เคยแสดงท่าทีว่าอยากโจมตีไทย และวิธีการโจมตีของทั้ง ISIS และอัลกออิดะห์จะใช้วิธีโจมตีแบบฆ่าตัวตาย ทั้งยังมักจะมีการประกาศว่าตนเองเป็นผู้ลงมือทุกครั้ง ต่างจากเหตุระเบิดราชประสงค์ที่ยังไม่มีผู้ใดออกมาอ้างความรับผิดชอบ
///////////////

นักวิเคราะห์ชี้บึ้ม-เอี่ยวเกรย์วูล์ฟส์

สำหรับเนื้อหางานเสวนา "ระเบิดในกรุงเทพฯ ที่จริงแล้วเรารู้อะไรบ้าง" คืนวันที่ 24 ส.ค. จัดโดยสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ หรือเอฟซีซีที ตอนหนึ่งที่นายแอนโธนี เดวิส นักวิเคราะห์จากกลุ่มรวบรวมข้อมูลด้านความมั่นคง เจนส์ อินฟอร์เมชั่น กรุ๊ป บริษัทไอเอชเอส อิงค์ สำนักงานในประเทศอังกฤษ ตั้งข้อสังเกตว่า ควรต้องจับตากลุ่มสายสุดโต่งในตุรกีที่ชื่อว่า เกรย์ วูล์ฟส์ หรือหมาป่าสีเทา องค์การชาตินิยมเตอร์กิชเป็นพิเศษ เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่กลุ่มนี้จะเป็น กลุ่มที่อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดในกรุงเทพฯ หลังจากมีบทบาทสนับสนุนการประท้วงและโจมตีสถานกงสุลไทยในตุรกี

กรณีที่ทางการไทยส่งชาวอุยกูร์ให้จีน ในขณะที่กลุ่ม อุยกูร์ไม่มีศักยภาพพอ เคยก่อการระดับเล็กๆ ในจีนเท่านั้น

โยงขบวนการก่อการร้ายตุรกี

เว็บไซต์ trackigterrorism.org แหล่งข้อมูลและงานวิจัยเกี่ยวกับองค์การก่อการร้าย ระบุว่า กลุ่มเกรย์ วูล์ฟส์ มีชื่อตุรกีว่า บอซกูร์ลาร์ เป็นฝ่ายกองกำลังติดอาวุธของพรรคขบวนการชาตินิยม เริ่มก่อตั้งในทศวรรษที่ 1960 หรือช่วงปีพ.ศ.2503-2512 มีแนวคิดแบบมุสลิมสายสุดโต่ง มีความเกี่ยวพันกับกลุ่มอาชญากรรมของกลุ่มคนเชื้อสายตุรกี ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นการค้ายาเสพติดหรือการค้ามนุษย์

กลยุทธ์ที่ใช้ในการโจมตีมีทั้งยิงปะทะ วางเพลิง และระเบิด ระหว่างปี 2517-2523 สมาชิกกลุ่มเกรย์วูล์ฟส์ราว 220 คน ก่อเหตุสังหารนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้าย และกลุ่มเสรีนิยมไม่ต่ำกว่า 694 ราย รวมถึงคดีสังหารหมู่กว่า 40 ศพ ที่จัตุรัสทักซิมในนครอิสตันบูล เมื่อปี 2520 และคดีสังหารหมู่มุสลิมอเลวี มุสลิมนิกายชีอะห์ ที่เมืองคาห์รามานมารา ซึ่งมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,200 ราย ในปี 2521

เกรย์วูล์ฟส์เคยโต้ไม่เกี่ยวทุบกงสุล

ด้านเว็บไซต์วิกิพีเดียระบุว่า แม้ศัตรูสำคัญคือชนกลุ่มน้อยในประเทศตุรกี ในที่นี้หมายรวมถึงชาวเคิร์ด ชาวมุสลิมอเลวี และคริสต์ศาสนิกชน แต่กลุ่มเกรย์วูล์ฟส์เคยร่วมสงครามต่างชาติ อาทิ สงครามนากอร์โน-คาราบักห์ ในฐานะพันธมิตรของอาเซอร์ไบจาน และ สงครามเชชเนียต่อต้านรัสเซียทั้งในครั้งที่ 1 และ 2 นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายสาขาในยุโรป โดยเฉพาะเบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และ ในเยอรมนี เกรย์ วูล์ฟส์ มีสมาชิกแนวคิดฝ่ายขวามากที่สุด อย่างน้อย 10,000 คน

นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมา กลุ่มสุดโต่งฝ่ายขวากลุ่มนี้เน้นโจมตีชาวเคิร์ด ขณะเดียวกันมีการรวมตัวประท้วงชนกลุ่มน้อยชาวอาร์เมเนีย และผู้ลี้ภัยชาวซีเรียที่อพยพหนีภัยสงครามกลางเมือง

เมื่อเดือนก.ค.ปีนี้ หลังมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลจีนออกกฎห้ามชาวมุสลิมอุยกูร์ ในเขตปกครองซินเกียง-อุยกูร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ประกอบพิธีอดอาหารในช่วงเดือนรอมฎอน ปรากฏว่าเกิดเหตุนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ 2 คนในนครอิสตันบูล ประเทศตุรกีถูกทำร้ายเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นชาวจีน ก่อนบานปลายกลายเป็นการนำกำลังบุกทำลายสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ไทยในนครอิสตันบูล เพื่อแสดงความไม่พอใจที่ ทางการไทยส่งคืนผู้ลี้ภัยชาวมุสลิมอุยกูร์กลับ ไปยังประเทศจีน เหตุการณ์ดังกล่าวกลุ่มเกรย์วูล์ฟส์แถลงปฏิเสธความเกี่ยวข้อง

ประวุฒิชี้มือบึ้มใช้เน็ตโฟน-แอพ

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท. ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร.กล่าวถึงคดีระเบิด 2 จุด ว่า ยอมรับว่ามีพยานถึง 2 คนเป็นญาติของผู้ป่วยมาเฝ้าไข้ และผู้ที่มารักษา ที่ร.พ.จุฬาฯ ให้การตรงกันว่าขณะลงมาชั้นล่างมาซื้อของ เห็นผู้ต้องสงสัยตามหมายจับปะปนอยู่ในกลุ่มคนที่กำลังวุ่นวายรับผู้ป่วยจากเหตุระเบิด โดยชายคนดังกล่าวเปลี่ยนจากเสื้อสีเหลือง เป็นสีเทา แต่สวมกางเกงและรองเท้าเดิม กำลังใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพ เหมือนถ่ายรูปผลงานตัวเอง เชื่อว่าเขาคงไม่กล้ามาที่ร.พ.ตร.เลยไปที่ร.พ.จุฬาฯ เมื่อพยานยืนยันถึง 2 คน เราก็ตรวจสอบ แต่ปรากฏว่ากล้องวงจรปิดที่ร.พ.จุฬาฯ ใช้การไม่ได้เลย ไม่มีใครถ่ายภาพได้เลย แม้แต่เจ้าหน้าที่มูลนิธิ หน่วยกู้ภัยก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายภาพ เราจึงไม่มีภาพยืนยัน มีแต่คำบอกเล่าของพยาน

โฆษกตร.ยอมรับว่าการสืบสวนจับกุม ผู้ต้องหาในคดีนี้ตำรวจทำทุกวิถีทางแต่ ไม่ง่าย คนร้ายระวังตัวมาก แม้แต่การติดต่อสื่อสารคนร้ายก็ไม่ใช้ผ่านสัญญาณโทรศัพท์เลย แต่ใช้เน็ตโฟน หรือแอพพลิ
เคชั่นต่างๆ เช่น วอตส์แอพ วีแช็ต เท่านั้น

หน่วยข่าวเชื่อโยงเกรย์วูล์ฟส์-อุยกูร์

รายงานข่าวกล่าวว่า หลังเหตุระเบิดที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ผ่านไปแล้ว 9 วัน แม้ผบ.ตรไม่ได้ออกมาเปิดเผยว่าสาเหตุเกิดจากอะไร แต่จากการวิเคราะห์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลพบว่าเมื่อวิเคราะห์สัญญาณโทรศัพท์มือถือในวันเกิดเหตุ พบว่า ชายเสื้อเหลืองที่ปรากฏในภาพจากกล้องวงจรปิด ได้โทรศัพท์ไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายเอ็นจีโอรายหนึ่งของอุยกูร์ และเชื่อว่าน่าจะเป็นกลุ่มผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย เชื่อว่าผู้ที่วางระเบิดในครั้งนี้ต้องมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานานพอสมควร จึงได้ส่งข้อมูลต่างๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองไปตรวจสอบ เพราะสามารถสอบข้อมูลย้อนหลัง ได้กว่า 6 เดือน ขณะนี้อยู่ระหว่างการวิเคราะห์ แต่จากหลักฐานที่ปรากฏทำให้เชื่อได้ว่ากลุ่ม ที่ลงมือน่าจะเป็นกลุ่มเกรย์ วูล์ฟส์เป็นผู้ก่อเหตุ หลังรัฐบาลไทยดำเนินนโยบายผิดพลาดกรณีส่งชาวอุยกูร์กลับไปให้ทางการสาธารณรัฐประชาชนจีน

เจาะลึกรัฐอิสลาม ‘ไอเอส’ กลุ่มก่อการร้ายชื่อกระฉ่อนโลก

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ 2558 Mthai

ณ วันนี้ เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก กลุ่มรัฐอิสลามในอิรักและซีเรีย ‘ไอเอส’(ISIS) หรือสื่อบางสำนักอาจจะเรียกว่า ‘ไอซิล’ (ISIL)    
แรกเริ่มเดิมที กลุ่มไอเอสมาจากกลุ่มติดอาวุธที่ช่วยเหลือรัฐบาลอิรัก สู้รบกับกองกำลังสหรัฐฯ ในช่วงสงครามอิรักปี 2546 ก่อนที่ต่อมาจะจัดตั้งเป็นกลุ่ม “รัฐอิสลามแห่งอิรัก” (ISI)  จากนั้นได้ขยายอิทธิพล ไปยังหลายเมืองของประเทศซีเรียในช่วงที่ซีเรียกำลังเกิดสงครามกลางเมือง และจึงเกิดการบัญญัติชื่อกลุ่ม ‘รัฐอิสลามแห่งอิรักและซีเรีย’ หรือไอซิส(ISIS) กลุ่มติดอาวุธมุสลิมนิการซุนหนี่
กระทั่งล่าสุดได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นเพียงกลุ่มรัฐอิสลามหรือไอเอส (IS) ณ วันนี้กลุ่มไอเอสได้กลายมาเป็น ‘กลุ่มหัวรุนแรงที่อันตรายที่สุดในโลก’
ใครคือผู้นำของกลุ่มไอเอส ?
Abu-Bakr-al-Baghdadi-398x350
ขณะนี้ ‘ไอเอส’นำโดย อาบู บาการ์ อัล-แบกดาดี หัวหน้ากลุ่มชาวอาหรับเชื้อสายจอร์แดน ซึ่งประกาศตนเป็นกาหลิบ (ผู้ปกครองชาวมุสลิมทั่วทุกหนแห่ง) ในเมืองโมซุลของอิรักเมื่อเดือนกรกฏาคม ปี2557
เชื่อกันว่า บักดาดี เกิดที่เมืองซามาร์รา ของอิรัก เมื่อปี 2514 (อายุ 44 ปี) สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี โท และเอก รวดเดียวที่ศูนย์ศึกษาอิสลาม (กวีและประวัติศาสตร์อิสลาม) ที่มหาวิทยาลัยแบกแดด
ครั้งหนึ่งเคยประกอบอาชีพนักวิชาการควบคู่ไปกับการเป็นครูสอนศาสนาที่เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมและกฎหมายอิสลาม ได้เข้าร่วมกับกลุ่มกบฏเพื่อต่อต้านกองทัพสหรัฐ หลังจากทหารอเมริกันบุกอิรักเพื่อโค่นล้มอำนาจนายกรัฐมนตรี ‘ซัดดัม ฮุสเซน’ ภายหลังถูกควบคุมตัวในเรือนจำของกองทัพสหรัฐ เขาก็ก้าวขึ้นเป็นผู้นำกลุ่มติดอาวุธกลุ่มหนึ่ง ก่อนจะร่วมมือกับกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ โดยใช้ชือกลุ่มว่ารัฐอิสลามแห่งอิรัก เมื่อปี 2553 ในเวลานั้น
ครั้งหนึ่ง อาบู บาการ์ อัล-แบกดาดีเคยได้รับยกย่องว่าเป็นผู้นำญิฮาดที่โดดเด่นที่สุดในศตวรรษที่ 21 เทียบเท่านายโอซามา บิน ลาเดน ผู้นำกลุ่มติดอาวุธอัลไกดา จนมีชื่อเลื่องลือในเรื่องความโหดเหี้ยมว่าใครก็ตามที่ต้องสงสัยว่าช่วยเหลือทหารอเมริกันก็จะถูกประหารชีวิตกลางที่สาธารณะ เมื่อก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ ‘ไอเอส อาบู บักห์ดาดี’ ได้พลิกกลยุทธ์ใหม่ให้กับกลุ่มหลายประการ
isis-is-now-directly-threatening-to-attack-american-and-european-targets
จุดมุ่งหมายหลัก ?
จุดมุ่งหมายหลักของกลุ่มไอเอส คือการจัดตั้ง ‘รัฐอิสลาม’ทั่วพื้นที่ประเทศอิรักและในซีเรีย โดยเก็บภาษีกฎหมายอิสลามในเมือง แยกเด็กชายและหญิงออกจากกันในการศึกษาในโรงเรียน รวมทั้งกำหนดให้สตรีต้องสวมผ้าคลุมหน้า ญิฮาบ ในที่สาธารณะ กล่าวคือ การนำเอากฏหมายอิสลามมาใช้อย่างเข้างวดในพื้นที่ที่ตนปกครอง
ไอเอสหาเงินทุนจากไหน ?
ก่อนหน้านี้ ทีมข่าวเอ็มไทย เคยนำเสนอเรื่องราวของกลุ่มติดอาวุธกลุ่มนี้ ในประเด็นของการก้าวขึ้นมาเป็น กลุ่มก่อการร้ายที่รวยที่สุดในโลกมาแล้ว ซึ่งที่มาของเงินทุนที่ได้รับการสนุบสนุนเหล่านี้ บางสำนักก็ให้ความเห็นว่าได้มาจากมหาเศรษฐีที่คอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง รวมไปถึงการปล้นธนาคาร ไปจนถึงร้านทอง ค้าสตรีชนกลุ่มน้อย ยึดบ่อน้ำมันมาขายในตลาดมืด เก็บส่วยตามตะเข็บชายแดน โดยใช้เงินทุนเหล่านี้เพื่อการยึดครองเมืองอื่นๆต่อไป
พร้อมกันนี้กลุ่มไอเอสยังมีระบบการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ทั้งในด้านของเงินทุนในกลุ่ม และการโฆษณา พีอาร์กลุ่มตนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อระดมสมาชิกจากทั่วทุกมุมโลก ให้เดินทางมายังตะวันออกกลางเพื่อรวมกลุ่ม
isis (1)

รู้จักกับไอเอสดีขึ้น !
หลังจากนั้นมีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้โลก ไม่ได้มองว่ากลุ่มไอเอสเป็นเพียงกองโจรธรรมดาๆ หากแต่ยังมีหลายเหตุการณ์ที่แสดงถึงความโหดร้าย ป่าเถื่อน เช่น การแพร่คลิปฆ่าตัดศีรษะตัวประกันชาวตะวันตก หลายราย โดยเหยื่อรายล่าสุดคือนาย ‘เคนจิ โกโตะ’ ที่ถูกสังหารด้วยวิธีเดียวกัน
แต่ที่น่าตกใจ และทำให้โลกต้องหวาดผวาอีกครั้ง ในวันที่ 3 ก.พ.สื่อทั่วโลกได้พาดหัวข่าว การแพร่คลิปวีดีโอสุดเหี้ยมโหดเกินรับได้ ด้วยการจับนายอัล-คาซาสเบห์ นักบินจอร์แดน ที่ถูกจับเป็นตัวประกันเมื่อเดือนธันวาคม มาขังในกรงเหล็ก และเผาทั้งเป็น สร้างความโกรธแค้นให้กับรัฐบาลจอร์แดน จนกระทั่งออกมาประกาศตอบโต้ และจับนักโทษประหารคือ นางอัล-ริชาวี ซึ่งไอเอสต้องการตัว และนำมาเป็นเครื่องมือต่อรองแลกตัวประกันก่อนหน้านี้ ด้วยการแขวนคอในที่สุด
จริงหรือที่ไอเอสวางแผน “ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ” ?
เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา บีบีซี ได้นำเสนอหัวข้อที่น่าสนใจอย่างมาก คือการตั้งคำถามว่ากลุ่มไอเอส วางแผนที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือไม่อย่างไร ซึ่งก็ได้อ้างอิงจากองค์การนิรโทษกรรมสากล ที่ได้ออกมายืนยันว่ามีหลักฐานชี้ชัดว่า ไอเอสมีแผนการที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนกลุ่มน้อยทางภาคเหนือของประเทศอิรัก เช่น ชาวคริสเตียนจากกลุ่มยาซิดี เติร์กเมนิสถาน โดยพลเรือนหลายพันคนถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด และอีกนับล้านราย ถูกขับไล่ให้ออกไปจากพื้นที่ดังกล่าว ตลอดช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ทั้งยังบุกเข้าไปยังหมู่บ้านต่างๆ เพื่อฆ่า ลักพาตัว หญิงสาวเพื่อนำมาก่ออาชญากรรมทางเพศ บ้างก็ส่งขายเพื่อสร้างรายได้อีกทางให้กับกลุ่ม
ISIS3213121773200731.jpg
เพราะอะไรต้องเผยแพร่เรื่องเลวร้ายที่ก่อขึ้นให้โลกรู้ผ่านอินเทอร์เน็ต ?
จิม มูเยอร์ นักวิเคราะข่าวจากบีบีซี ตั้งข้องสังเกตว่า ‘ไอเอส’ มีความแตกต่างออกไปจากกลุ่มก่อการร้ายที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ กล่าวคือบ่อยครั้งที่เครือข่าย สวมบทบาท ‘นักรบไฮเทค’ เนื่องจากบ่อยครั้ง ไอเอสได้ทำการโฆษณาและประชาสัมพันธ์การกระทำอันเลวร้ายของพวกเขาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป้าหมายหลักคือการสร้างความกลัวต่อศัตรู ให้หยุดต่อกลอนกับตน
โลกตะลึง หลากหลายเหตุการณ์ความโหดร้ายของกลุ่ม ‘ไอเอส’
กลุ่มรัฐอิสลามในอิรักและซีเรีย หรือ ‘ไอเอส’ เป็นกลุ่มติดอาวุธที่ก้าวเข้ามามีบทบาท โดยเฉพาะเรื่องราวที่ถูกเผยแพร่ออกมาในสื่อสังคมออนไลน์ นับได้ว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายในยุคดิจิตอลอย่างสมบูรณ์ ทั้งในเรื่องการพีอาร์ เรื่องราวความเคลื่อนไหวในกลุ่ม ที่ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว
นับได้ว่ามีหลายต่อหลายเหตุการณ์ที่ทำให้โลกรู้จักกลุ่มรัฐอิสลามกลุ่มนี้ได้ดียิ่งขึ้น และอาจกล่าวได้ว่า เหตุการณ์ที่เรากำลังจะพูดถึง นับเป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญ และสร้างความหวั่นวิตก ต่อโลกอย่างมาก
ISIS Control in Iraq and Syria 6/16/2014
เริ่มจากการก่อการร้ายในท้องถิ่น หรือประเทศที่ต่อต้านกลุ่มรัฐอิสลาม ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ได้มีคลิปวีดีโอถูกเผยแพร่ออกมา ทั้งแสดงให้เห็นเหตุการณ์การสังหารด้วยการเฉือนคอกลางถนนเพียงเพราะเขาทำผิดกฏ ท่ามกลางฝูงชนที่รายล้อมอยู่รอบข้าง
นอกจากนี้ยังปรากฏเหตุการณ์เฆี่ยนทำโทษคน เพราะไม่ใช้เครื่องดนตรีอิสลามที่ถูกต้องตามหลักศาสนา หรือแม้แต่ความผิดเล็กๆน้อยๆ เช่น การลักลอบ สูบบุหรี่ ก็จะต้องถูกลงโทษด้วยการทรมานอย่างทารุณ ด้วยการถอนขนตาเป็นจำนวนกว่า 50 เส้น
ล่าสุดก่อนหน้าตัวประกันชาวญี่ปุ่นจะถูกสังหาร ไอเอสได้เรียกค่าไถ่ตัวประกันทั้งสองรายเป็นเงินกว่า 200 ล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ยังสอนให้เด็กชาย เพื่อเข้าลัทธิความรุนแรงให้สามารถสังหารเชลยได้อย่างเลือดเย็น เห็นได้จากกรณีที่มีข่าวเด็กชายวัยประมาณ 10 ขวบ ทำการสังหารชาย 2 คน ที่รับสารภาพว่าเป็นสายลับให้รัสเซีย ด้วยการยิงเข้าที่ศีรษะอย่างหน้าตาเฉย
รวมไปถึงการสังหารตัวประกันด้วยการตัดศีรษะเหยื่อผู้บริสุทธิ์ พร้อมบันทึกเทป เผยแพร่ผ่านอินเตอร์เน็ต สร้างความสะเทือนใจ รวมถึงส่งสารข่มขู่ไปยังประเทศของเหยื่อเหล่านี้ เพื่อต้องการให้เกิดความหวาดกลัว
แต่ความโหดเหี้ยมยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เนื่องจากไอเอสยังลงมือสังหารเด็กวัยเพียง 13 ปี เพราะดูฟุตบอล เนื่องจากถือเป็นการไม่ทำปฏิบัติคำสอนของศาสนา ทั้งยังมีการประณามความผิดของเหยื่อผ่านลำโพง และทิ้งศพไว้กลางถนน เพื่อข่มขู่ไม่ให้ผู้ที่พบเห็นกล้าฝ่าฝืนกฏ
02
นับได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจอย่างมาก เมื่อกลุ่มไอเอสก่อเหตุ ตัดศีรษะเด็กผู้หญิงบริสุทธิ์ เพียงเพราะเธอคือลูกสาวของครอบครัวต่างศาสนา โดยรายงานเมื่อเดือน สิงหาคมปี 2556 ได้มีการเผยแพร่รูปภาพที่แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายทารุณ ของกลุ่มไอเอส ที่กระทำต่อครอบครัวชาวคริสเตียน ซึ่งจากรายงานระบุว่า ไอเอสต้องการขจัดความเชื่อของศาสนาอื่นออกไป และมุ่งเป้าไปที่เด็ก เนื่องจากต้องการกวาดล้างความเชื่อที่มีในคนรุ่นหลัง นั่นก็คือเยาวชนไม่ให้ดำเนินต่อไป
นอกจากนี้ยังบัญญัติบทลงโทษ ผู้ที่ถูกจับได้ว่าเป็นเพศทางเลือก ด้วยการประหาร โดยการโยนลงมาจากตึกสูง หากไม่ตายจะต้องถูกรุมปาหินซ้ำจนตายในที่สุด ทั้งนี้ไอเอสจะไม่ส่งศพของเหยื่อคือแก่ญาติ แต่จะเรียกค่าไถ่ศพจากญาติเหยื่ออีกที เรียกได้ว่ากลุ่มไอเอสมักจะหารายได้จากทุกทาง หากมีโอกาส
 แนวโน้มผลกระทบของกลุ่มไอเอสที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
อาจบานปลายเป็นภัยคุกคามในระดับภูมิภาค ซึ่งอิรักและซีเรีย อาจจะต้องประสบกับความเลวร้าย จากสงครามกลางเมือง การดึงดูดแนวร่วมจากชาวมุสลิมทั่วโลกจะยังคงดำเนินต่อไป กลุ่มไอเอสจะแข็งแกร่งกว่าเดิม เนื่องจากการระดมทุนจากวิธีต่างๆที่กล่าวมา

ประวัติศาสตร์บาดแผล "อุยกูร์-จีน"

นพฤหัสบดี ที่ 09 กรกฎาคม 2558 เวลา 21:39 น ทีมข่าวอิศรา

ความแตกต่างทางเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตลอดจนประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาติพันธุ์ คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชาวอุยกูร์มุสลิมไม่อาจรวมเป็นเนื้อเดียวกันได้กับชาวฮั่น ซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ของจีน 
xin
          แม้รัฐบาลจีนจะพยายามแก้ไขปัญหาด้วยนโยบาย "ไม้นวม" คือการยอมให้มณฑลซินเจียง มณฑลใหญ่ที่สุดทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ซึ่งมีชาวอุยกูร์เป็นประชากรส่วนใหญ่ สถาปนาเป็นเขตปกครองตนเองซินเจียง-อุยกูร์ พร้อมให้อิสระในการนับถือศาสนา การปฏิบัติศาสนกิจ และการเลือกผู้นำของตนเองในระดับหนึ่ง ทว่านโยบายในด้านอื่นๆ ที่ดำเนินควบคู่กันไป ประกอบกับสถานการณ์การก่อการร้ายในระดับโลก ทำให้ดินแดนแห่งนี้ร้อนระอุไปด้วยความขัดแย้งและความรุนแรง อย่างน้อยๆ ก็ในช่วงทศวรรษนี้
          "อุยกูร์" เป็นเชื้อสายหนึ่งของชาติพันธุ์เติร์ก ซึ่งแผ่อิทธิพลและตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบเอเชียกลางมาตั้งแต่อดีต โดยอุยกูร์กลุ่มใหญ่ตั้งรกรากอยู่ในดินแดนที่เป็นมณฑลซินเจียงปัจจุบัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมอันลือลั่นมาแต่ครั้งโบราณกาล และเมืองอูรุมซี หรือ อูหลู่มู่ฉี เมืองเอกของเขตปกครองตนเองซินเจียง-อุยกูร์ ก็เป็นเมืองหน้าด่านบนเส้นทางสายไหม เป็นจุดเชื่อมจีนเข้ากับเอเชียกลางและเอเชียใต้เมื่อจีนควบรวมซินเจียงเข้ามาอยู่ใต้อธิปไตยของตน
          ในบทความชื่อ "ซินเจียงโมเดล : แนวทางการอยู่ร่วมกันของชนต่างชาติพันธุ์ตามแบบฉบับจีน" ซึ่งเขียนโดยเมธัส อนุวัตรอุดม จากสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า ระบุไว้ตอนหนึ่งว่า ซินเจียงเป็นแอ่งอารยธรรมตะวันตกและตะวันออกทั้ง 4 คือ จีน อินเดีย อิสลาม และกรีกโรมัน ที่ได้มาบรรจบพบเจอกัน ณ ดินแดนแห่งนี้ ทำให้สภาพบ้านเมืองและวิถีชีวิตวัฒนธรรมของเขตนี้มีลักษณะพิเศษคือมีคนจากหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีหน้าตาออกฝรั่งคล้ายแขกขาว แต่กลับพูดภาษาจีนได้คล่องแคล่ว และคนจีนฮั่นที่พูดภาษาอุยกูร์สำเนียงคล้ายอาหรับได้เช่นเดียวกัน โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ในเขตปกครองนี้เป็นคนอุยกูร์ที่มีเชื้อสายเติร์กนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งชาวจีนจะเรียกว่าคนเหวยหวู่เอ่อร์ ในขณะที่คนจีนฮั่นเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศจะเป็นคนส่วนน้อยในเขตซินเจียงแห่งนี้
          มณฑลซินเจียงมีประชากร 19,630,000 คน โดยกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นคนส่วนใหญ่ในพื้นที่คือ ชาวอุยกูร์ซึ่งมีเชื้อสายเติร์กนับถือศาสนาอิสลาม มีประมาณ 8.7 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 45 รองลงมาคือชาวจีนฮั่นประมาณ 7.6 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 41 ลำดับที่สามคือชาวคาซัค (ฮาซาเค่อ) ประมาณ 1.3 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 7 ที่เหลือเป็นชนชาติอื่น
          จริงๆ แล้วอาณาจักรเดิมของอุยกูร์ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง ในคริสตวรรษที่ 16 ช่วงนั้นชาวฮั่นกับชาวอุยกูร์อยู่ร่วมกันได้ด้วยดี ความขัดแย้งเริ่มขึ้นอย่างจริงจังเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์เข้าครองอำนาจเบ็ดเสร็จในจีน มีความพยายามใช้นโยบายต่างๆ เพื่อจัดการชาวอุยกูร์ในมณฑลแห่งนี้ให้ราบคาบ ทั้งปราบปราม ผสมกลมกลืนโดยสนับสนุนให้ชาวฮั่นเข้าไปตั้งถิ่นฐาน และพยายามปิดกั้นการนับถือศาสนาและการปฏิบัติศาสนกิจ ก่อนจะมีการปรับนโยบายให้ผ่อนคลายลงในภายหลัง เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจ และให้สิทธิพิเศษต่างๆ แก่ชาวอุยกูร์พื้นเมืองเพื่อให้ทัดเทียมกับชาวฮั่น รวมทั้งเสรีภาพด้านการใช้ภาษา แต่นั่นก็ดูจะยังไม่เพียงพอ
          ประกอบกับขบวนการต่อต้านอำนาจพรรคคอมมิวนิสต์จีนเดินไปไกลแล้ว มีการตั้งกองกำลังต่อสู้เพื่อสถาปนาสาธารณรัฐเตอร์กิสถานตะวันออก เมื่อผนวกเข้ากับสถานการณ์การก่อการร้ายในระดับโลก ทำให้ทางการจีนมองชาวอุยกูร์บางส่วนเป็นมุสลิมหัวรุนแรง จึงมีการเปิดฉากใช้ความรุนแรงเข้าใส่กัน
          วันที่ 5 กรกฎาคม 2552 มีการก่อจลาจลครั้งใหญ่ในเขตปกครองตนเองซินเจียง-อุยกูร์ จนรัฐบาลจีนต้องตัดสินใจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม กระทั่งมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 150 คน และตั้งแต่บัดนั้น ดินแดนแห่งนี้ก็ร้อนระอุมาตลอดกระทั่งถึงปัจจุบัน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : แผนที่ประเทศจีนและมณฑลซินเจียง 

"ดร.โกร่ง"มอง ศก.ไทยเข้าขั้นวิกฤต ส่งออกหด-ธุรกิจขาดทุน เชื่อ"สมคิด"ทำได้เเค่ประคอง

มติชน วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 08:00:18 น.


ดร.วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวในงานสัมมนา "Second Half of 2015 Economic Outlook & Fund Investment" ว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยขณะนี้เข้าขั้นวิกฤติ เพราะส่งออกหดตัว ธุรกิจต่างๆ ขาดทุน โดยเฉพาะเอสเอ็มอีทยอยล้ม ขณะที่หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของสถาบันการเงินปรับตัวสูงขึ้น โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้ถือว่าต่ำมาก โดยภาวะเศรษฐกิจมีลักษณะเป็น U shape ก้นยาวไปถึงสิ้นปีนี้ หลังจากเศรษฐกิจผ่านจุดต่ำสุด

“คงยังไม่ฟื้นตัวไปจนถึงปีหน้า เนื่องจากดีมานด์ยังไม่กลับมา และเศรษฐกิจโลก เช่น สหรัฐฯ แม้ฟื้นตัวมาบ้างแล้ว แต่คงยังไม่ค่อยดี ประกอบกับราคาพลังงานปรับตัวลงมาก ทำให้ธุรกิจอื่นตกลงไปด้วย ส่วนเศรษฐกิจยุโรปยังไม่ฟื้นตัว เพราะหลายประเทศมีปัญหาเรื่องหนี้สิน ขณะที่ญี่ปุ่นคาดการณ์ได้ยาก เพราะภาคอุตสาหกรรมย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศค่อนข้างมากแล้ว”

สำหรับทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ของรัฐบาลคงทำได้แค่ประคับประคองเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดไปกว่านี้เพราะข้อเท็จจริงปรากฏอยู่แล้ว ดังนั้น จึงไม่อยากให้ตั้งความหวังกับการเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจสูงนัก เพราะอาจผิดหวังได้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจต้องไปตามกระแสเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจีน ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ เพราะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก และเชื่อว่าไม่มีใครที่จะฝืนได้ คงทำได้แค่ประทังไปสักพักเท่านั้น ซึ่งรัฐบาลควรลงทุนให้มากขึ้น

ทั้งนี้ได้แนะนำให้ภาคอุตสาหกรรมการผลิต ปรับปรุงประสิทธิภาพ ด้วยการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและเทคโนโลยีให้ทันสมัย เพราะอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ย 60% ในปัจจุบันถือว่าน้อย เครื่องจักรส่วนใหญ่ใช้มาแล้ว 18 ปี ถือว่าเก่า การแข่งขันก็ไม่ได้ ช่วงนี้เป็นโอกาสที่ปรับเปลี่ยนการลงทุน

อย่างไรก็ตาม การที่ภาครัฐจะสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมปรับเปลี่ยนเครื่องจักรก็อาจจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นและตลาดทุน เพราะการเปลี่ยนเครื่องจักร และการเปลี่ยนเทคโนโลยี ต้องมีการระดมทุนค่อนข้างมาก แต่ภาวะตลาดหุ้นอย่างนี้จะระดมทุนได้ยาก ไม่ว่าจะอย่างไร มองว่า การระดมทุนผ่านตลาดของบริษัทจดทะเบียนจะเกิดขึ้นแน่นอน แต่การลงทุนเพื่อไปปรับเปลี่ยนเครื่องจักรนั้น เชื่อว่าทุนน่าจะมาจากต่างประเทศมากกว่า

ส่วนราคาพลังงานที่ปรับตัวลง ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลงตามไปด้วย ได้แก่ ยางพารา แป้งมันสำปะหลัง น้ำตาล ข้าว ข้าวโพด เป็นเหตุให้รายได้ครัวเรือนภาคเกษตรที่คิดเป็น 1 ใน 3 ของประเทศนั้นปรับตัวลง

“สถานการณ์เช่นนี้จะดำรงต่อไปตลอดช่วงครึ่งหลังปี 58 และอาจจะซึมๆ ต่อไปถึงปี 59 จนกว่าจะมีการลงทุนใหม่เกิดขึ้น ซึ่งก็ไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อไร ซึ่งทิศทางค่าเงินบาท มองว่ามีแนวโน้มอ่อนค่าลงได้อีก เพราะเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งขึ้น เพราะคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากอัตราว่างงานต่ำสุดในรอบ 20 ปี และต่ำกว่าเป้าหมาย”

ระเบิดราชประสงค์ นักวิเคราะห์ต่างชาติชี้เป็นฝีมือ เกรย์วูล์ฟ


ระเบิดราชประสงค์ นักวิเคราะห์ต่างชาติชี้เป็นฝีมือ เกรย์วูล์ฟ ตอบโต้ไทยส่งอุยกูร์กลับจีน


 ระเบิดราชประสงค์
ภาพจาก PORNCHAI KITTIWONGSAKUL / AFP

          แอนโธนี เดวิส นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงของอังกฤษ เชื่อเหตุระเบิดราชประสงค์เป็นฝีมือกลุ่ม "เกรย์วูล์ฟ" ตอบโต้กรณีรัฐบาลไทยบังคับส่งชาวอุยกูร์กลับจีน


          ยังคงเป็นประเด็นที่สื่อต่างประเทศให้ความสนใจเป็นอย่างมาก สำหรับเหตุระเบิดราชประสงค์ บริเวณศาลพระพรหมเอราวัณ เมื่อช่วงค่ำวันที่ 17 สิงหาคม 2558 ซึ่งจนถึงขณะนี้แม้จะมีการออกหมายจับผู้ต้องสงสัยคือชายสวมเสื้อสีเหลืองแล้ว แต่ทางการไทยก็ยังคงไม่สรุปมูลเหตุที่นำไปสู่การก่อเหตุไม่สงบดังกล่าว รวมทั้งยังไม่สรุปว่าเกิดจากฝีมือของกลุ่มใด
ระเบิดราชประสงค์
ภาพจาก PORNCHAI KITTIWONGSAKUL / AFP

          อย่างไรก็ตาม ล่าสุดวันที่ 25 สิงหาคม 2558 นิตยสารฟอร์บส์ ได้มีรายงานบทวิเคราะห์จาก แอนโธนี เดวิส นักวิเคราะห์ในแวดวงความมั่นคงของกลุ่มบริษัท IHS Jane’s ซึ่งได้กล่าวในการบรรยายที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ โดยเดวิสได้ชี้ว่ากลุ่มที่น่าสงสัยว่ามีแนวโน้มเป็นผู้ก่อเหตุระเบิดราชประสงค์มากที่สุด ก็คือ เกรย์วูล์ฟ (Grey Wolves) กลุ่มนักรบชาวตุรกี

วิเคราะห์ระเบิดราชประสงค์
ภาพจาก forbes.com

          แม้เดวิสจะไม่ปฏิเสธถึงความเป็นไปได้ที่เหตุวินาศกรรมดังกล่าวอาจเป็นฝีมือของกลุ่มนักรบมุสลิมจากนอกประเทศ แต่เขามองว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เรื่องดังกล่าวจะเกิดขึ้นจากกลุ่มการเมืองของไทย รวมถึงกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่ภาคใต้ พร้อมกันนี้เขายังชี้ให้เห็นถึงหลักฐานที่สนับสนุนความคิดของเขา เมื่อพบว่ากองกำลัง เกรย์วูล์ฟ ได้เป็นส่วนหนึ่งในผู้ก่อเหตุโจมตีสถานทูตไทยในตุรกี จากเหตุความไม่พอใจที่ทางการไทยดำเนินการส่งผู้อพยพชาวอุยกูร์ 109 คนกลับประเทศจีน เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา

          สำหรับกลุ่มหัวรุนแรงดังกล่าว เป็นกลุ่มที่ถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีแนวคิดรวมชาติกับผู้ที่พูดภาษาตระกูลเติร์กให้เป็นหนึ่งเดียว และพวกเขาได้หันมาต่อสู้กันเพื่อชาวอุยกูร์ ซึ่งเป็นกลุ่มชาวมุสลิมพูดภาษาเติร์กในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ของประเทศจีน

          นอกจากนี้ เดวิสยังเชื่อว่าสาเหตุที่ผู้ลงมือเลือกศาลพระพรหมเป็นสถานที่ก่อเหตุ เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีน และในกลุ่มผู้ที่เสียชีวิตก็ยังประกอบไปด้วยชาวจีนแผ่นดินใหญ่ 2 ราย นักท่องเที่ยวเชื้อสายจีนจากอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฮ่องกง และสิงคโปร์ รวม 9 คน ส่วนสาเหตุที่เขาไม่คาดว่าผู้ก่อเหตุเป็นชาวอุยกูร์ เพราะที่ผ่านมาคนกลุ่มนี้เคยก่อเหตุในจีนแค่ระดับเล็ก ๆ เท่านั้น รวมทั้งไม่น่าเป็นฝีมือของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน เนื่องจากลักษณะระเบิดที่ใช้ก่อเหตุไม่สอดคล้องกันและเป้าหมายของกลุ่มนี้ก็ไม่ใช่ชาวต่างชาติด้วย

ศาลพระพรหมเอราวัณ
ภาพจาก CHRISTOPHE ARCHAMBAULT / AFP

          ขณะเดียวกัน เดวิสยังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่เหตุวินาศกรรมในครั้งนี้อาจเป็นฝีมือของพวกนักรบในเครือข่ายรัฐอิสลาม (ISIS) หรืออัลกออิดะห์ เนื่องจากมีความสามารถในการก่อเหตุระดับนี้ โดยอาศัยความช่วยเหลือจากกลุ่มสนับสนุนในประเทศไทย ร่วมกับอาสาสมัครชาวมุสลิมบางส่วนในมาเลเซีย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่มีเครือข่ายกับพวกนักรบในซีเรีย และถูกสอนมาให้เป็นนักรบจีฮัดเพื่อกลับไปปฏิบัติการในบ้านเกิด ซึ่งเรื่องแบบนี้อาจเกิดขึ้นในไทยได้เช่นกัน

          ส่วน อัลกออิดะห์ ก็มีแรงจูงใจในการแก้แค้นเช่นเดียวกับกลุ่มเกรย์วูล์ฟ ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยในเครือข่ายอัลกออิดะห์ นั่นคือกลุ่มอิสลามเตอร์กิสถานตะวันออก ที่มีกำลังหลักเป็นชาวอุยกูร์ที่เข้าไปต่อสู้ในภาคใต้ของซีเรียตั้งแต่ปี 2555 อย่างไรก็ตาม แม้กลุ่มเหล่านี้จะมีความสามารถในการก่อเหตุแต่น่าจะเลือกก่อเหตุแบบนี้ในประเทศจีนมากกว่า รวมทั้งที่ผ่านมากลุ่มเหล่านี้ก็ไม่เคยแสดงท่าทีว่าอยากโจมตีไทย และวิธีการโจมตีของทั้ง ISIS และอัลกออิดะห์จะใช้วิธีโจมตีแบบฆ่าตัวตาย ทั้งยังมักจะมีการประกาศว่าตนเองเป็นผู้ลงมือทุกครั้ง ต่างจากเหตุระเบิดราชประสงค์ที่ยังไม่มีผู้ใดออกมาอ้างความรับผิดชอบ

รัฐคุชราตประกาศเคอร์ฟิวหลังคนวรรณะปาเทลออกมาประท้วงใหญ่

รัฐคุชราต ทางภาคตะวันตกของอินเดียประกาศห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานในยามวิกาล หลังชาวบ้านวรรณะปาเทลออกมาประท้วงใหญ่ เรียกร้องขอโอกาสในตำแหน่งงานและการศึกษา แต่เหตุประท้วงได้บานปลายกลายเป็นเหตุจลาจลในที่สุด

ด้านนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดีของอินเดีย ได้ออกมาเรียกร้องให้ประชาชนอยู่ในความสงบและใช้การเจรจา และว่าการก่อความรุนแรงจะไม่ทำให้เกิดผลดีต่อใครทั้งสิ้น

การประท้วงเมื่อวานนี้ (25 ส.ค.) มีขึ้นที่เมืองอาห์เมดาบัด และมีชาวปาเทลมาชุมนุมราว 300,000 คน โดยคนกลุ่มนี้ซึ่งเป็นวรรณะที่มีอิทธิพลในภาคเศรษฐกิจและการเมือง ได้เรียกร้องขอโอกาสเข้าถึงด้านการศึกษาและตำแหน่งงานมากกว่านี้ โดยชี้ว่าโควต้าที่ทางการกำหนดไว้ให้กลุ่มคนวรรณะต่ำกว่า ตามนโยบายช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ทำให้ชาวปาเทลเข้าถึงตำแหน่งงานและที่นั่งในสถาบันการศึกษาได้น้อยลง

อย่างไรก็ตาม การประท้วงได้ลุกลามเป็นเหตุจลาจลหลายจุดในเมืองอาห์เมดาบัดเมื่อคืนนี้ หลังจากกลุ่มผู้ประท้วงวรรณะปาเทลเกิดปะทะกับคนท้องถิ่นที่มีวรรณะต่ำกว่า รวมทั้งยังไม่พอใจที่แกนนำการประท้วงวัย 22 ปีถูกจับกุม รายงานหลายกระแสระบุว่า เจ้าหน้าที่ได้ใช้กระบองเข้าสลายการชุมนุม ขณะที่ผู้ประท้วงบางคนจุดไฟเผาทำลายรถบัสอย่างน้อย 70 คัน ส่งผลให้ทางการต้องประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่ 9 เขตในเมืองอาห์เมดาบัด นอกจากนี้ทางการได้ระดมกำลังทหารและทหารอาสาไปรักษาความสงบเรียบร้อย อีกทั้งยังมีการระงับบริการอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือในพื้นที่ด้วย

ด้านกลุ่มผู้ประท้วงได้นัดผละงานประท้วงเป็นเวลา 1 วันในวันนี้ ส่งผลให้สถานศึกษาและธุรกิจหลายแห่ง ปิดทำการ รวมทั้งมีการระงับบริการขนส่งมวลชนในเมืองอาห์เมดาบัด และหลายพื้นที่ในรัฐคุชราต

ทั้งนี้ คนวรรณะปาเทลมีสัดส่วนคิดเป็น 20% ของประชากรในรัฐคุชราต พวกเขาระบุว่า ไม่ได้รับสิทธิให้เข้าเรียนในสถาบันอุดมศึกษา เพราะทางการเก็บโควต้าเข้าเรียนให้คนวรรณะต่ำกว่า นอกจากนี้ภาวะที่อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมที่ชะลอตัว ทำให้หางานได้ยากขึ้นจากระบบโควต้าดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ จึงขอเรียกร้องให้ทางการจัดพวกเขาอยู่ในกลุ่ม Other Backward Classes (OBC) ซึ่งเป็นกลุ่มคนวรรณะกลางในระบบวรรณะของศาสนาฮินดู ที่ไม่ได้ถูกกีดกันจากสังคม แต่เป็นกลุ่มที่มักเสียเปรียบทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ

สื่อนอกเฉ่งยับ! คดีบึ้มราชประสงค์สะท้อนชื่อเสียงด้านแย่ของตำรวจไทย


สื่อนอกเฉ่งยับ! คดีบึ้มราชประสงค์สะท้อนชื่อเสียงด้านแย่ของตำรวจไทย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
26 สิงหาคม 2558 02:30 น. (แก้ไขล่าสุด 26 สิงหาคม 2558 10:26 น.)
สื่อนอกเฉ่งยับ! คดีบึ้มราชประสงค์สะท้อนชื่อเสียงด้านแย่ของตำรวจไทย
        เอพี - สำนักข่าวเอพีของสหรัฐฯ เมื่อวันอังคาร (25 ส.ค.) ตีแผ่รายงานชี้การสืบสวนเหตุระเบิดบริเวณศาลพระพรหม เอราวัณ ที่ยังไร้ความคืบหน้า สะท้อนประสิทธิภาพการทำงานของตำรวจไทยที่ภาพลักษณ์แปดเปื้อนไปด้วยคอร์รัปชัน เต็มไปด้วยความอำมหิตและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของการเมืองมาอย่างช้านาน
      
       ในรายงานของเอพีระบุว่าด้วยที่ยังไม่สามารถระบุชื่อผู้ต้องสงสัยหรือแม้แต่สัญชาติของมือระเบิด ได้กระพือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อการสืบสวนเหตุระเบิดบริเวณศาลพระพรหม เอราวัณ ใจกลางกรุงเทพฯเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม โดยตำรวจถูกกล่าวหาล้มเหลวในการคุ้มกันหลักฐานทางนิติเวชศาสตร์ ออกประกาศผิดพลาดหรือให้ข้อมูลที่นำไปสู่ความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน จนกระทั่งเกิดคำถามด้านความมีประสิทธิภาพของพวกเขาหรือแม้แต่ก่อข่าวลือว่ารัฐบาลทหารที่ยึดอำนาจเมื่อปีที่แล้วอาจไม่ต้องการได้ตัวผู้กระทำผิดตัวจริง
      
       รายงานของเอพีบอกว่า ประชาชนในไทยมีความศรัทธาในตำรวจเพียงน้อยนิด ขณะที่ในดินแดนแห่งนี้ตำรวจชั้นผู้น้อยมีเงินเดือนต่ำอย่างน่าอดสู ส่วนเจ้าหน้าที่ระดับสูงก็ยังคงต่อสู้แย่งชิงอำนาจและอิทธิพลกันอย่างไม่ลดละ
      
       เอพีระบุต่อว่า ผลสำรวจเมื่อปี 2013 ขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ พบว่าจากผู้ตอบแบสอบถามทั้งหมด มีถึง 71 เปอร์เซ็นต์ที่ลงความเห็นว่าตำรวจไทยคอร์รัปชัน หรือคอร์รัปชันอย่างร้ายแรง ครองแชมป์สถาบันที่มีการคอร์รัปชันมากที่สุด เหนือเหล่าพรรคการเมืองต่างๆ ที่ได้รับการโหวตไป 68 เปอร์เซ็นต์
      
       ส่วนผลสำรวจในอันดับความเชื่อถือได้ของตำรวจ ที่เผยแพร่ในรายงานดัชนีขีดความสามารถด้านการแข่งขันโลกของเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม จัดให้ ไทย อยู่อันดับ 113 จากทั้งหมด 144 ชาติ “ในไทย อาชญากรรมที่อ่อนไหวที่สุดของประเทศ บ่อยครั้งมักเป็นตำรวจ” นิตยสารอีโคโนมิสต์ให้คำจำกัดความอย่างรวบรัดในปี 2008
      
       เอพีได้อ้างคำกล่าวของ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับเหตุระเบิดอย่างน่าสนใจว่า “การสืบสวนเหตุระเบิดใดๆบนโลกใบนี้ล้วนยากลำบาก บางกรณีอาจใช้เวลานานกว่า 5 ปี บางคดีอาจไม่พบผู้ต้องสงสัยเลย แต่แม้จะผ่านไป 20 ปี เราจะพยายามต่อไป”
      
       อย่างไรก็ตาม เอพีว่าบอกว่าแม้มีการจับกุม แต่ก็อาจนำมาอีกฟากหนึ่งของเสียงวิพากษ์วิจารณ์ โดยตำรวจไทยมักถูกกล่าวหาใช้การข่มขู่และทรมานเพื่อให้ผู้ต้องสงสัยรับสารภาพ ในปีนี้ตำรวจไทยถูกกล่าวหาทรมานแรงงานต่างด้าวชาวพม่า 2 คนให้รับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือฆาตกรรม 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษบนเกาะเต่า ส่วนคดีวางระเบิดนั้นมีข้อสงสัยว่าเจ้าหน้าที่แค่กำลังหาทางคลี่คลายความกังวลแก่นักท่องเที่ยวอย่างรวดเร็วเท่านั้น
      
       เอพีระบุว่า ชื่อเสียงของตำรวจไทยได้รับความเสียหายหนักในปี 2003 เมื่อรัฐบาลที่นำโดยทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้หลบหนี ประกาศสงครามยาเสพติดจัดการกับการไหลบ่าของยาบ้า ซึ่งระหว่างช่วงพีคสุดของมาตรการนี้พบว่ามีอัตราคดีฆาตกรรมเพิ่มกว่า 2 เท่า ที่ทางการกล่าวโทษว่าเป็นการฆ่าตัดตอนกันเองในหมู่ขบวนการต้ายาเสพติด แต่ก็มีหลายคดีสำคัญๆที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องมาเสียชีวิตจากปฏิบัติการของตำรวจ
      
       สื่อมวลชนระดับโลกแห่งนี้บอกต่อว่ามุมมองด้านลบของคนไทยจำนวนมากที่มีต่อตำรวจ มาจากประสบการณ์ที่พบเห็นได้ทั่วไป โดยบ่อยครั้งตำรวจมักเรียกรับสินบนจากผู้ขับขี่ตามท้องถนนหรืออื่นๆ รูปแบบคอรัปชันหนึ่งซึ่งเป็นผลจากการมีรายได้น้อย
      
       เอพีอ้างคำสัมภาษณ์ของ ร.ต.อ.จอมเดช ตรีเมฆ อาจารย์ประจำหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต ให้ความเห็นว่า รัฐบาลที่นำโดยทหารให้สัญญาว่าจะชำระล้างกองกำลังตำรวจ แต่ในคดีระเบิดอาจบีบให้คณะสืบสวนต้องถอยห่างจากสมมติฐานหนึ่งที่อาจก่อกัดเซาะรัฐบาล นั่นคือมีความเป็นไปได้ที่การโจมตีนี้จะเป็นฝีมือของพวกอุยกูร์
      
       ศาลพระพรหมจุดที่เกิดระเบิดเป็นแหล่งยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวจีน และเหตุโจมตีดังกล่าวคร่าชีวิตชาวจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงอย่างน้อย 6 ศพ โดยหากเป็นการโจมตีแก้แค้นไทยกรณีรับมือผู้อพยพชาวอุยกุร์ มันอาจนำมาซึ่งเสียงกล่าวโทษคณะรัฐประหารที่มอบข้ออ้างแก่มือระเบิดและก่อความตื่นกลัวแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนที่ตอนนี้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย “ถ้าแรงจูงใจที่แท้จริงของพฤติกรรมก่อการร้ายนี้มีความสัมพันธ์กับประเด็นอุยกูร์” ร.ต.อ.จอมเดช บอกกับเอพี “ผมเชื่อว่ารัฐบาลจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้”
      
       ร.ต.อ.จอมเดชบอกกับเอพีว่า การด่วนเก็บกวาดบริเวณจุดเกิดเหตุสะท้อนให้เห็นถึงความเร่งรีบคืนความเชื่อมั่นแก่ประชาชน ซึ่งกระทบต่อการรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมเนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวถูกปิดแค่ไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังจากเกิดเหตุ ส่วนหลุมระเบิดก็ถูกกลบภายในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง
      
       รายงานของเอพีระบุว่าในขณะที่ตำรวจยังไม่พบผู้ต้องสงสัยใดๆที่เกี่ยวกับเหตุโจมตี แต่พวกเขาจับกุมประชาชน 2 คน ตามคำกล่าวหาเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จบนโลกออนไลน์

สื่อนอกจวกสอบคดีบึ้มล้มเหลว "ตอกย้ำ"ชื่อเสียงแย่ตร.ไทย ชี้"อาจรู้จริง แต่บอกไม่ได้"!

สื่อนอกจวกสอบคดีบึ้มล้มเหลว "ตอกย้ำ"ชื่อเสียงแย่ตร.ไทย ชี้"อาจรู้จริง แต่บอกไม่ได้"!

วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 12:30:18 น มติชน

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า กรณีการสอบสวนคดีลอบวางระเบิดพระพรหมเอราวัณ บริเวณย่านราชประสงค์ของตำรวจไทย ซึ่งแทบไม่มีหลักฐานด้านนิติเวชวิทยา ไม่มีการสรุปแรงจูงใจอย่างชัดเจน และไม่มีการอ้างความรับผิดชอบใด ๆ ยิ่งส่งผลทำให้ภาพพจน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทยย่ำแย่ขึ้นอีก จากเดิมที่เคยอื้อฉาวจากเรื่องคอร์รัปชั่น การทารุณผู้ต้องหา และการรับใช้ทางการเมือง

รายงานระบุว่า ในคดีนี้ ปรากฏว่าหน่วยงานตำรวจแห่งชาติไม่สามารถระบุชื่อของผู้ต้องหา หรือแม้แต่สัญชาติได้เลย ซึ่งยิ่งทำให้เกิดกระแสสังคมโจมตีมากขึ้น โดยตำรวจไทยถูกกล่าวหาว่า ล้มเหลวในการเก็บหลักฐานนิติเวช รวมทั้งยังแถลงการณ์ข้อมูลผิด ๆ ต่อสาธารณชน

ขณะที่บางรายตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของตำรวจไทย รวมทั้งตั้งข้อสังเกตว่า คดีนี้อาจเป็นเพราะรัฐบาลปัจจุบันที่มาจากการยึดอำนาจไม่ต้องการเปิดเผยคนร้ายที่แท้จริง ขณะที่ความศรัทธาของคนไทยต่อตำรวจไทย ที่ผ่านมาก็ถือว่าไม่ค่อยมีอยู่แล้ว จากกรณีตำรวจบนท้องถนนและเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงที่เชื่อว่าเกี่ยวพันกับการแสวงอำนาจและการรับใช้ทางการเมือง

โดยผลสำรวจเมื่อปี2013จากหน่วยงานความโปร่งใสสากลพบว่า71 เปอร์เซ็นต์มองว่า ตำรวจไทยคอร์รัปชั่นจริง หรือมีการคอร์รัปชั่นระดับอย่างสูงที่สุด มากกว่าพรรคการเมืองซึ่งอยู่ระดับ 61 เปอร์เซ็นต์ ในบรรดาสถาบันทั้งหลายของไทย ขณะที่การสำรวจของรายงานด้านการแข่งขันทั่วโลก ได้จัดอันดับให้เมืองไทย อยู่ในอันดับที่ 113 จากทั้งหมด 144 ประเทศ ในด้านความเชื่อถือได้ในการทำงานของตำรวจไทย

ขณะที่นิตยสาร"ดิ อีโคโนมิสต์"เคยระบุไว้เมื่อปี 2008 ว่า ในคดีอาชญากรรมล่อแหลมที่สุดในเมืองไทย ผู้ต้องหาหลักมักจะเป็นตำรวจ

รายงานระบุวด้วยว่า ภาพลักษณ์ของตำรวจไทยยิ่งย่ำแย่ในปี 2013 เมื่อรัฐบาลได้ประกาศสงครามต่อต้านยาเสพติด เพื่อจัดการกับปัญหายาบ้ามหาศาลที่หลั่งทะลักเข้าประเทศ ปรากฏว่า จำนวนคดีฆ่าคนตายได้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในช่วงดังกล่าว โดยปรากฏว่า ในเหตุการณ์จับกุมใหญ่ มีผู้บริสุทธิ์ถูกสังหาร โดยมีประจักษ์พยานเห็นอย่างชัดเจนว่า ตำรวจใช้นโยบายวิสามัญฆาตกรรมเป็นหลัก นอกจากนี้ ภาพลักษณ์ตำรวจก็ยังมีเรื่องของการรีดไถผู้ใช้ยานพาหนะอย่างบ่อยครั้ง ซึ่งนี่ถือเป็นรูปแบบการคอร์รัปชั่นของพวกตำรวจชั้นผู้น้อยที่มีรายได้ต่ำ

เอพีรายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้ รัฐบาลคสช.ได้สัญญาว่าจะล้างพฤติกรรมอื้อฉาวของตำรวจไทย แต่เมื่อเกิดคดีวางระเบิดพระพรหมฯ เหตุการณ์นี้อาจกระต้นให้ผู้ตรวจสอบคดีถอยห่างจากทฤษฎีที่อาจสร้างผลกระทบต่อภาพลักษณ์ต่อทางการไทยที่อาจเกิดขึ้นได้เพราะก่อนหน้านี้มีรายงานรั่วระบุว่าตำรวจไทยได้ชี้ว่ากลุ่มมุสลิมอุยกูร์เป็นผู้ต้องสงสัยเพราะต้องการแก้แค้นเหตุการณ์ที่ทางการไทยส่งตัวคนกลุ่มนี้กลับประเทศจีน เมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่าทางการไทยได้พยายามลดกระแสคาดการณ์ว่าคดีนี้อาจเป็นฝีมือของกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติ แม้ว่าจะมีการออกหมายจับผู้ต้องสงสัยหลักที่ยังไม่ทราบสัญชาติที่มีการระบุว่าเป็น"คนต่างชาติ"และผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็บอกว่ายังไม่มีการตัดประเด็นใดๆทิ้งทั้งสิ้น

นอกจากนี้รายงานระบุว่า สถานสักการะท้าวมหาพรหมซึ่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักที่เป็นที่นิยมของชาวจีนถูกวางระเบิด หากเหตุการณ์นี้เป็นการแก้แค้นทางการไทยต่อวิธีการปฏิบัติต่อกลุ่มอุยกูร์จริง สิ่งนี้ก็จะส่งผลให้เกิดการตำหนิต่อรัฐบาลคสช.ที่ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น และยังส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนเกิดความกลัว และย่อมจะกระทบต่อกลุ่มนักท่องเที่ยวชาติจีนที่ถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยด้วย

ขณะที่ร้อยตำรวจเอกจอมเดช ตรีเมฆ อาจารย์ประจำหลักสูตรอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรมมหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า หากแรงจูงใจที่แท้จริงของการก่อการร้ายเกี่ยวกับกรณีชาวอุยกูร์ เขาเชื่อว่ารัฐบาลจะไม่มีการเปิดเผยเรื่องนี้ และว่า การเร่งรีบทำความสะอาดสถานที่เกิดเหตุ เป็นความพยายามทำเพื่อฟื้นความมั่นใจต่อผู้คน ทั้งที่มันจะกำจัดการเก็บหลักฐานได้เพิ่มขึ้น โดยบริเวณดังกล่าวได้ถูกล้างทำความสะอาดเพียงไม่ถึง 24 ชม.หลังเกิดเหตุ ขณะที่รูระเบิดก็ยังถูกซ่อมแซมอุดรูทั้งที่ยังไม่ถึง 48 ชม.

เอพียังได้อ้างศาสตราจารย์ ดร.ณัฎฐพงศ์ ทองภักดี แห่งสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ซึ่งได้เขียนบทความเมื่อสัปดาห์ก่อน เปรียบเทียบคดีบึ้มท้าวมหาพรหมกับคดีวางระเบิดบอสตันของสหรัฐ เมื่อปี 2013 ว่า คดีบอสตันถูกมองว่าเป็นคดีของสาธารณชน และมีการระดมกำลังทุกอย่างเพื่อหาตัวคนร้ายและแรงจูงใจให้ได้ เพื่อรับประกันว่าเหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นซ้ำรอย หรืออย่างน้อยก็จะต้องรู้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นอีกหรือไม่ โดยทางการสหรัฐได้ตามหาหลักฐานโดยไม่มีการคาดเดาอย่างไม่มีมูล

อย่างไรก็ตาม เอพีระบุด้วยว่า ก่อนหน้านี้ มีตำรวจไทยที่รับราชการยาวนานกว่า 10 ปี บางรายที่ขอสงวนนาม เผยกับสื่อว่า ทีมกำจัดวัตถุระเบิด และหน่วยงานนิติเวชวิทยาศาสตร์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ถูกส่งไปยังพื้นที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็วและเก็บหลักฐานได้เยอะมาก จากหน่วยสืบสวนที่ดีที่สุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยตำรวจไทยได้ประโยชน์จากการที่เคยร่วมมือรับการฝึกจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ รวมทั้งหลักสูตร "การสอบสวนหลังเกิดเหตุระเบิดด้วย"

พิพากษาจำคุก “ร.ท.สุชาย-วิโรจน์” 18 ปี ทุจริตปล่อยกู้กรุงไทย ชดใช้หมื่นล.

วันพุธ ที่ 26 สิงหาคม 2558 เวลา 13:23 น isranews

ศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุก ร.ท.สุชาย-วิโรจน์ อดีตบอร์ดแบงก์กรุงไทย 18 ปี ปมปล่อยสินเชื่อเครือ 'กฤษดามหานคร' ทำเสียหายกว่าหมื่นล้าน จำคุกผู้บริหารเครือกฤษดานคร 12 ปี ให้ชดใช้ค่าเสียหายร่วมหมื่นล้าน  
piitteeeeeedde
 ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2558 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อม.3/2555 ระหว่างอัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 1 ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ์ อดีตประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย จำเลยที่ 2 นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย จำเลยที่ 3 และบริษัทในเครือของบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) กับพวกรวม 27 ราย เป็นจำเลยในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ความผิดต่อ พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ความผิดต่อ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 และความผิดต่อ พ.ร.บ.บริษัทมหาชน พ.ศ.2535
คดีนี้จำเลยที่ 1 คือ พ.ต.ท.ทักษิณ จำเลยที่ 2-4 เป็นอดีตกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย จำเลยที่ 5-12 คืออดีตคณะกรรมการสินเชื่อฯ ธ.กรุงไทย จำเลยที่ 13-17 คืออดีตพนักงานสินเชื่อฯภาคเหนือและตะวันตก ธ.กรุงไทย และจำเลยที่ 18-27 คือ บริษัทในเครือกฤษดามหานคร กรรมการผู้มีอำนาจ และผู้บริหารเครือกฤษดามหานคร
คดีนี้มีประเด็นว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ศาลเห็นว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์มีอำนาจฟ้องเฉพาะจำเลยที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งปรากฏว่าไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาแก่จำเลยที่ 6-7 
ประเด็นว่า การอนุมัติสินเชื่อให้แก่จำเลยที่ 18-19 ชอบหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 18-20 รวมทั้งบริษัทในกลุ่มต่างอยู่ในสภาพมีหนี้สินจำนวนมาก ไม่มีรายได้ต่อเนื่องกันมาหลายปี มีดอกเบี้ยค้างชำระเพิ่มพูนขึ้น เกิดการขาดทุนสะสมตลอดมา ทำให้ฐานะการเงินไม่มั่นคง ความสามารถในการหารายได้ต่ำจนไม่น่าเชื่อว่าจะชำระหนี้ได้ มีเหตุอันควรสงสัยว่า ไม่ได้ประกอบธุรกิจจริงจังและไม่ปรากฏรายได้เพียงพอที่จะชำระหนี้ เข้าลักษระเป็นลูกหนี้ที่ไม่อาจชำระหนี้ได้ หรืออาจชำระหนี้ได้โดยยาก ซึ่งต้องห้ามมิให้ให้สินเชื่อตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย และคำสั่งธนาคารกรุงไทย 
แม้ว่าการขอสินเชื่อของจำเลยที่ 19 เพื่อทำโครงการกฤษดาซิตี้ 4000 โดยมีจำเลยที่ 20 เป็นพันธมิตรร่วมลงทุนจะแสดงประมาณการว่ามีผลกำไร แต่เมื่อจำเลยที่ 20 เป็ฯหนี้สถาบันการเงินหลายแห่ง มีการปรับโครงสร้างหนี้หลายครั้งจนถูกห้ามมิให้ก่อหนี้เพิ่ม จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 18 หรือไม่อยู่ในฐานะที่จะหาเงินมาร่วมลงทุนกับจำเลยที่ 19 ได้ 
อีกทั้งโครงการของจำเลยที่ 19 เป็นโครงการขนาดใหญ่ วงเงินที่ขอสินเชื่อสูง แต่ไม่มีรายละเอียดของข้อมูลที่จำเป็นประกอบการขอสินเชื่อ เพื่อให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของโครงการ การที่จำเลยที่ 5-17 อนุมัติสินเชื่อให้แก่จำเลยที่ 18 และจำเลยที่ 2-5 และจำเลยที่ 8-27 กรรมการสินเชื่ออนุมัติสินเชื่อให้แก่จำเลยที่ 19 จึงเป็นการไม่ชอบ
ประเด็นว่า จำเลยที่ 2-4 ขายหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพของจำเลยที่ 20 ให้แก่จำเลยที่ 22 เป็นเงิน 1,185,735,380 บาท ด้วยการให้เครดิตชำระเงินภายใน 4 เดือน และมอบฉันทะให้จำเลยที่ 22 ออกเสียงลงคะแนนในการประชุมผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 20 ชอบหรือไม่ 
ศาลเห็นว่า การขายหุ้นบุริมสิทธิด้วยวิธีการดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการให้สินเชื่ออย่างหนึ่ง จึงต้องปฏิบัติตามคำสั่งที่ ธ 222/2545 เรื่อง นโยบายสินเชื่อ ที่กำหนดให้มีการวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ซื้อคือจำเลยที่ 22 แต่จำเลยที่ 2-4 ไม่วิเคราะห์สินเชื่อ ทำให้ธนาคารผู้เสียหายขายหุ้นบุริมสิทธิไปโดยไม่ได้รับชำระค่าหุ้น ทั้งมีการมอบฉันทะให้จำเลยที่ 22 เข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 20 ในการออกเสียงลงคะแนนลดจำนวนหุ้นบุริมสิทธิเพื่อลดขาดทุนสะสม ทำให้หุ้นบุริมสิทธิมีมูลค่าเป็นศูนย์ เป็นการไม่ชอบ
ศาลพิพากษาว่า จำเลยที่ 2-4 และที่ 12 มีความผิดให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การฯ มาตรา 4 ให้จำคุกคนละ 18 ปี
จำเลยที่ 5 ที่ 8-11 และที่ 13-17 มีความผิดให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การฯ มาตรา 4 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ให้จำคุกคนละ 12 ปี
สำหรับจำเลยที่ 18-27 มีความผิดให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การฯ มาตรา 4 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 แบ่งเป็น
จำเลยที่ 18-22 เป็นนิติบุคคล ให้ปรับรายละ 26,000 บาท จำเลยที่ 23-27 ให้จำคุกคนละ 12 ปี
และให้จำเลยที่ 20 ที่ 25 และที่ 26 ร่วมกันคืนเงิน 10,004,467,480 บาท แก่ธนาคารที่เสียหาย โดยให้จำเลยที่ 3 ที่ 22 และที่ 27 ร่วมรับผิด 9,554,467,480 บาท จำเลยที่ 12-17 ที่ 21 ที่ 23 และที่ 24 ร่วมรับผิด 8,818,732100 บาท จำเลยที่ 18 ร่วมรับผิด 450,000,000 บาท และจำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 8-11 และที่ 19 ร่วมรับผิด 8,368,732,100 บาท ซึ่งเงินสส่วนนี้ถ้าธนาคารผู้เสียหายได้รับชำระคืนแล้วเป็นจำนวนเท่าใด ก็ให้หักออกจากจำนวนที่สั่งให้ใช้คืนตามส่วน หากจำเลยที่ 18-22 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก สำหรับจำเลยที่ 6-7 ให้ยกฟ้อง 
ส่วนกรณีจำเลยที่ 2-5 และที่ 8-27 ร่วมกันสนับสนุนจำเลยที่ 1 (พ.ต.ท.ทักษิณ) หรือไม่ ศาลพิเคราะห์ข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า การที่กรรมการบริหารธนาคารกรุงไทยคนหนึ่งในช่วงเวลานั้น อ้างถึงกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทยอีกรายหนึ่ง ระบุว่า “บิ๊กบอส” เป็นคนสั่งการให้ธนาคารดำเนินการปล่อยสินเชื่อให้บริษัทในเครือกฤษดามหานคร ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ยังไม่ชัดเจนว่า “บิ๊กบอส” หมายถึงใคร รวมถึงเรื่องของเส้นทางการเงินที่อ้างว่า มีการโอนให้บุตรและภรรยา ก็ยังไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน
ศาลจึงเห็นว่าพยานหลักฐานในส่วนนี้ยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2-5 และที่ 8-27 ร่วมสนับสนุนจำเลยที่ 1 ฐานเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และมีส่วนได้ส่วนเสีย ผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 152 และ 157 จึงให้ยกคำร้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้เป็นการกล่าวหาว่า ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้สินเชื่อกลุ่ม บมจ.กฤษดามหานคร ที่มีสถานะอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคาร เนื่องจาก ผอ.ฝ่ายกลั่นกรองสินเชื่อธุรกิจนครหลวง เคยจัดอันดับความเสี่ยงของกลุ่มกฤษดามหานครในอันดับ 5 คือไม่สามารถอนุมัติสินเชื่อให้ได้ แต่ได้มีการอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทในกลุ่มกฤษดามหานคร 3 กรณี คือ 1. การอนุมัติสินเชื่อให้บริษัท อาร์เค โปรเฟสชั่นนัล จำกัด จำนวนเงิน 500 ล้านบาท 2. การอนุมัติสินเชื่อให้บริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด วงเงิน 9,900 ล้านบาท (วงเงินไฟแนนซ์ 8,000 ล้านบาท วงเงินซื้อที่ดินเพิ่ม 500 ล้านบาท และวงเงินพัฒนาโครงการ 1,400 ล้านบาท) และ 3. การอนุมัติขายหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพของ บมจ.กฤษดามหานคร ให้กับบริษัท แกรนด์ คอมพิวเตอร์คอมมูนิเคชั่น จำกัด จำนวนเงิน 1,185,735,380 บาท ถือว่าผู้เกี่ยวข้องมีพฤติการณ์ร่วมกันหรือสนับสนุนการกระทำความผิดกรณีธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐ เป็นการกระทำโดยทุจริต เพื่อฟื้นฟูกิจการของ บมจ.กฤษดามหานคร โดยมิชอบ
สำหรับคดีนี้ เมื่อปี 2555 ศาลฎีกาฯ ได้ออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราว เนื่องจากจำเลยหนีคดี ไม่มารายงานตัวต่อศาล