PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

กกต.โต้รบ.!ส่งงบจำนำข้าวมาช้าเอง

นพุธที่ 15 มกราคม 2557

กกต.โต้รบ.!ส่งงบจำนำข้าวมาช้าเอง

กกต.โต้รัฐบาล!ส่งเรื่องงบจำนำข้าวมาช้าเอง เชื่อรมต.-ขรก.ตื่นกลัว ม.181 ชาวนากาฬสินธุ์โอดหนี้บานเงินจำนำข้าวอืด

             15ม.ค.2556 นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง เปิดเผยว่า ที่ผ่านมามีเรื่องที่เกี่ยวกับการจำนำข้าวจากรัฐบาลเข้ามายัง กกต. ทั้งหมด 4 เรื่อง คือ 1. การขออนุมัติใช้งบกลางวงเงิน 5.9 พันล้านบาท  เพื่อชดเชยส่วนต่างราคาข้างในโครงการธงฟ้า  หรือช่วยเหลืออุทกภัย  ซึ่ง กกต. อนุมัติไปแล้ว 2.  เรื่องที่ ธ.ก.ส. ขอเปลี่ยนแปลงเอาเงินทุนหมุนเวียนภายในของ ธ.ก.ส. ไปใช้ชำระหนี้แก่ชาวนา  ซึ่งส่งมาเป็นเอกสารเพียงหน้าเดียว  กกต. จึงขอให้ผู้จัดการ ธ.ก.ส.  และนักวิชาการคือนายนิพนธ์  พัวพงศธร  มาชี้แจงในสัปดาห์นี้  แต่ทาง ธ.ก.ส.กลับทำหนังสือขอถอนเรื่องกลับไปเอง 
             3.กระทรวงพาณิชย์ขอหารือว่าจะไปเจรจาขายข้าวแบบจีทูจีได้หรือไม่ โดย กกต. ตอบไปว่าอาจขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 181  เพราะอาจเป็นสัญญาผูกพันกับรัฐบาลหน้า  และอาจมีผลต่อคะแนนเสียงในระหว่างเลือกตั้ง  และ 4.การเซ็นรายละเอียดการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะของกระทรวงการคลัง  ซึ่ง กกต. ได้ประสานเชิญนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรักษาการที่รับผิดชอบ  เพื่อฟังว่าวงเงินกู้1.3 แสนล้านบาทนี้  หากกู้แล้วจะมีผลผูกพันกับรัฐบาลชุดต่อไปหรือไม่  ซึ่งคาดว่าจะพิจารณาได้ในสัปดาห์หน้า
             ด้านนายศุภชัย  สมเจริญ ประธาน กกต. กล่าวว่า โดยขั้นตอนการของบประมาณนั้น ต้องให้ผู้มีอำนาจอนุมัติก่อน  เช่น ครม.หรือนายกฯ อนุมัติในหลักการแล้ว ถึงจะมาขอความเห็นชอบจาก กกต. ได้ แล้ว กกต. ค่อยขอให้รัฐบาลมาชี้แจงเหตุผลต่อไป
             ทั้งนี้ แหล่งข่าวผู้บริหารสำนักงาน กกต. ระดับสูงเปิดเผยว่า  สถานการณ์ขณะนี้มีแนวโน้มว่ารัฐมนตรีรักษาการหลายกระทรวงมีความตื่นกังวลกับการถูกจับผิดตามมาตรา 181 เป็นพิเศษ  ทำให้หน่วยงานใต้สังกัดส่งเรื่องที่เกี่ยวกับงบประมาณมาขอให้ กกต. อนุมัติจำนวนมาก  ซึ่งพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคือ  มีการส่งเรื่องที่ ครม. อนุมัติไปก่อนยุบสภา คือ 9 ธ.ค. มาด้วย  ทั้งที่เป็นอำนาจเต็มของ ครม.  และอีกส่วนหนึ่งคือหน่วยงานที่ขอใช้งบประมาณชิงเสนอมาขออนุมัติจาก กกต. แบบข้ามขั้นตอน  คือก่อนที่จะผ่านการอนุมัติจาก ครม.รักษาการก่อน  ทำให้ กกต. ไม่สามารถอนุมัติให้ได้  เพราะไม่รู้ว่าอนุมัติไปแล้ว ครม.รักษาการจะเห็นชอบด้วยหรือไม่ หรือมีการปรับเปลี่ยนอย่างไร  วันนี้จึงมีหลายหน่วยงานรวมทั้งผู้แทนสำนักงบประมาณที่เดินทางมาชี้แจงในที่ประชุม กกต. ที่เซฟเฮ้าส์  แต่หลายเรื่องที่ กกต. ต้องตีกลับ  เนื่องจากสำนักงบประมาณก็ไม่สามารถรับรองได้ว่าหลายโครงการ ครม.รักษาการจะให้ผ่านแน่นอนหรือไม่

ชาวนากาฬสินธุ์โอดหนี้บานเงินจำนำข้าวอืด


             ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ ธ.ก.ส.จังหวัดกาฬสินธุ์ ไม่มีเกษตรกรนำใบประทวน โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ฤดูกาลผลิตปี 2556/2557 มาขึ้นเงิน เนื่องจากยังไม่มีการแจ้งให้รายใดนำใบประทวนมาขึ้นเงินได้ ซึ่งผู้สื่อข่าวได้มีการไปสอบถามเกษตรกรที่นำข้าวไปจำนำ แม้จะได้ใบประทวนแล้ว แต่ยังไม่ได้เงิน หลายคนบอกว่าเดือดร้อนเพราะไม่มีเงินไปใช้จ่ายรวมทั้งหนี้ที่ยืมมาเมื่อจ่ายช้าต้องเพิ่มดอกเบี้ยเข้าไปอีก จึงได้แค่ตั้งตารอ

             นางวิระมุล ภูผันผิน อายุ 57 ปี เกษตรกรบ้านปอแดง ม.2 ต.นาดี อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ เปิดเผยว่า นอกจากจะได้รับความเดือนร้อนจากภัยแล้ง ผลผลิตข้าวเสียหาย แล้ว ขณะนี้ยังเดือดร้อนเรื่องเงินที่จะต้องนำมาใช้จ่ายในครัวเรือน และนำไปใช้หนี้ค่าจ้างต่างๆ รวมทั้งเงินกู้ที่ยืมมาลงทุนในการทำนาปีที่ผ่านมา โดยผลผลิตข้าวที่ได้จำนวน 1.8 ตัน ที่นำไปจำนำกับรัฐบาลในปีนี้ยังไม่ได้เงิน และยังไม่มีความชัดเจนว่าจะได้วันไหน ทำให้ตนและสามีต้องไปรับจ้างก่อสร้างหาเงินมาเสียดอกเบี้ยค่าแรงเกี่ยวข้าวและดอกเบี้ยเงินกู้ ธ.ก.ส.ไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้เงินจากธ.ก.ส.มาใช้หนี้ ซึ่งครอบครัวต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
          
             นายประยุทธ ภูงามเงิน ผู้ใหญ่บ้านปอแดง ม.2 ต.นาดี อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า มีชาวบ้านปอแดง ม.1 อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 20 ราย ที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี แต่ยังไม่ได้รับเงิน ทำให้ต้องแบกรับภาระหนี้สินเก่าค้างอยู่เช่นเดิม และเสียดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น เพราะรอเงินรับจำนำข้าวจากธ.ก.ส.มาใช้หนี้และใช้จ่ายในครอบครัว ดังนั้นจึงวอนขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลเร่งจัดสรรเงินจ่ายให้กับเกษตรกรเพื่อบรรเทาความเดือนร้อนอย่างเร่งด่วนด้วย

             ด้านนายชัยณรงค์ กล้าวิจารณ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานธ.ก.ส.จังหวัดกาฬสินธุ์ เปิดเผยว่า ในปีฤดูกาลผลิต 2556/2557 มีเกษตรกรในจังหวัดกาฬสินธุ์เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี และได้รับใบประทวนแล้วทั้งหมด 11,850 ราย รวมวงเงินที่ต้องจ่ายทั้งสิ้น 1,043,825,135.65 บาท โดยปัจจุบัน ธ.ก.ส.จังหวัดกาฬสินธุ์ได้จ่ายเงินให้กับเกษตรกรเฉลี่ยตามคิวทั่วทั้ง 18 อำเภอ ไปแล้ว 5,678 ราย รวมเงิน 360 ล้านบาท ซึ่งยังเหลืออีก 6,172 ราย วงเงินประมาณ 683 ล้านบาท ทั้งนี้รัฐบาลและมติกรรมการ ธ.ก.ส.เห็นชอบให้ ธ.ก.ส.ดำเนินการสำรองจ่ายเงินตามสภาพคล่องให้กับเกษตรกรไปก่อน ซึ่งธ.ก.ส.กาฬสินธุ์คาดว่าจะดำเนินการจ่ายเงินให้กับเกษตรกรครบถ้วน 100 % ภายในสิ้นเดือนมกราคมนี้

2014/01/15 คลิป "นิติธร"แฉถูกคนแดนไกลสั่งเด็ดหัว ลั่นไม่กลัว.



นิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา แฉบนเวทีวันนี้(15ม.ค.57)ว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร คุยโทรศัพท์กับ"พายัพ ชินวัตร"สั่งยิงหัวทนายนกเขาเมื่อไหร่ก็ได้  ลั่นไม่กลัว เตือนให้รีบทำ เพราะนับแต่วินาทีนี้ ครอบครัวลูกเมียทักษิณ จะโดนเช่นกัน...

กกต.ชี้หากนายกฯไม่ตอบรับต้องเดินหน้าเลือกตั้ง


วันที่ 15 มกราคม 2557 20:40
กกต.ชี้หากนายกฯไม่ตอบรับต้องเดินหน้าเลือกตั้ง

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ประธานกกต.ระบุหากนายกฯไม่ตอบรับพูดคุยคงทำอะไรไม่ได้ ต้องเดินหน้าจัดการเลือกตั้งต่อไป


นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม กกต.นอกสถานที่ถึงกรณีรัฐบาลเชิญประชุมพรรคการเมืองต่าง ๆ โดยเสียงส่วนใหญ่เห็นชอบให้จัดการเลือกตั้งต่อไปว่า เมื่อยัง
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงการเลือกตั้ง กกต.ก็ต้องทำหน้าที่ต่อไป ซึ่งกกต.ได้ชี้แจงไปแล้วว่าหากมีการเลือกตั้งจะมีเหตุอะไร และเสียเงินอย่างไร เมื่อรัฐบาลไม่เลื่อน กกต.ก็ไม่มีอำนาจไปเลื่อน เพราะไม่มีอำนาจเสนอ พ.ร.ฎ. ให้เลื่อนการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามคงต้องให้มีการตอบหนังสือ กกต.มาอย่างเป็นทางการก่อน

เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีให้คำตอบหรือยังว่าจะมาหารือกับ กกต.ในวันที่ 16ม.ค.หรือไม่ นายศุภชัย กล่าวว่า ถ้าไม่ตอบรับถือว่าไม่อยากจะคุยกับ กกต.เพราะเขามี70 กว่าเสียงที่สนับสนุนการเลือกตั้ง ก็เป็นเรื่องของเขา เพราะเราทำอะไรไม่ได้ แต่ กกต.คงต้องเชิญนายกฯมาหารือ ซึ่งการเชิญนายกฯต้องถามนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง ซึ่งเป็นผู้เสนอความคิด

เมื่อถามถึงการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหากรัฐบาลและ กกต.มีความเห็นต่างกัน นายศุภชัย กล่าวว่า ในวันนี้ไม่ได้พูดคุยในประเด็นนี้ ให้ไปถามอาจารย์สมชัย ต่อข้อถามว่า มีบทบัญญัติมาตราใดที่จะเลื่อนการเลือกตั้งออกไปหรือไม่ นายศุภชัย กล่าวว่า เรากำลังหาช่องกันอยู่ ทุกอย่างต้องมีทางออกจนได้

ส่วนกรณีที่ว่า กกต.ทั้งออกแถลงการณ์และทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีแต่ไม่ได้รับการตอบรับแล้วปัญหาจะจบอย่างไร นายศุภชัย กล่าวว่า ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะจบอย่างไร เราก็เป็นห่วง ถ้าไม่ได้อย่างที่เราคาดหวัง กไม่รู้จะเป็นอย่างไร ต้องคิดวันต่อวัน ยืนยันว่านายกฯควรจะมาหารือกับ กกต.ว่าจะเอาอย่างไร กกต.พยายามหาช่องให้บ้านเมืองเดินไปได้ ไม่ใช่เราดื้อ ระหว่างที่เชิญนายกฯมาหารือ กกต.ก็ทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งขณะเดียวกันก็ชี้ให้เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้เราก็โดนเขาขู่ไปเรื่อย เป็นธรรมดาที่เขาเรา แต่ไม่เป็นไร เราก็ทำไปตามอำนาจหน้าที่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะ

มาโทษ กกต.ไม่ได้ อย่างไรก็ตามหากได้พูดคุยกับนายกฯเชื่อว่าน่าจะจบ มีอะไรก็ต้องคุยกันหาทางออกร่วมกันเพื่อให้บ้านเมืองเดินไปได้ บ้านเมืองสงบ ประเทศชาติเดินไปได้

ทักษิณ ซื้อรอยเตอร์ !


  • "รอยเตอร์แทรกแซงกิจการภายในของไทย !" ชี้แนวโน้มต่ำ‘จัดเลือกตั้ง’โอกาสสูงมากสถานการณ์ชักนำสู่‘รปห.’ 

  • รอยเตอร์ - สำนักข่าวรอยเตอร์เสนอภาพจำลองสถานการณ์ (scenario) 5 แบบ ซึ่งอาจบังเกิดขึ้นจากวิกฤตการเมืองไทยในปัจจุบัน ซึ่งทั้งฝ่ายประชาชนที่ต่อต้านทั้งฝ่ายรัฐบาลไม่มีใครยอมถอย โดยที่สำนักข่าวสัญชาติอังกฤษแห่งนี้บอกด้วยว่า เวลานี้ยังห่างไกลจากความชัดเจนนักว่าจะมีการจัดการเลือกตั้ง ขณะที่ข่าวลือเรื่องการทำปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจของกองทัพแพร่สะพัด 

    รอยเตอร์บอกว่า ฝ่ายผู้ประท้วงนั้นต้องการชะลอสิ่งที่พวกเขาเห็นว่า เป็นประชาธิปไตยอันเปราะบางซึ่งชักใยโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีที่ถูกกล่าวหาเล่นพรรคเล่นพวกและทุจริตโกงกิน และกวาดล้างอิทธิพลของตระกูลนี้ด้วยการเปลี่ยนแปลงการดำเนินการเกี่ยวกับการเลือกตั้งซึ่งพวกเขายังไม่ได้ระบุออกมาอย่างชัดเจน แต่กลุ่มผู้สนับสนุน “แม้ว” ที่ส่วนใหญ่อยู่ในต่างจังหวัด มีแนวโน้มออกมาประท้วงอีกครั้งหากเชื่อว่า ผลประโยชน์ของตนถูกชนชั้นนำในเมืองหลวงมองข้าม

    ต่อไปนี้คือภาพจำลองสถานการณ์จำลองของการเมืองไทยที่อาจจะดำเนินไปรวม 5 แบบในสายตารอยเตอร์

    **ตุลาการปฏิวัติ**
  • สำนักข่าวแห่งนี้ระบุว่า หลายสัปดาห์มานี้ สถาบันตุลาการมีความคืบหน้าในการพิจารณาคดีสำคัญผิดปกติ โดยเฉพาะคดีเกี่ยวกับความพยายามของพรรคเพื่อไทย (พ.ท.) ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

    อีกไม่นานเกินรอ สมาชิกรัฐสภา 308 คน ส่วนใหญ่จากพ.ท. อาจถูกฟ้องร้องต่อศาลฎีกาว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจากการพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ซึ่งถูกวินิจฉัยแล้วว่า ขัดต่อกฎหมาย

    ในอีกด้านหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญก็กำลังพิจารณาคดีที่ว่า การอนุญาตให้รัฐบาลทำข้อตกลงกับต่างประเทศโดยไม่ต้องชี้แจงหรือขอความคิดเห็นจากรัฐสภาเป็นสิ่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยที่พรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องให้ลงโทษยิ่งลักษณ์และคณะรัฐมนตรี สำหรับความผิดในคดีนี้ด้วยการจำกัดสิทธิ์ทางการเมือง

    ที่ผ่านมา ศาลซึ่งรอยเตอร์ระบุว่า ถูกการเมืองแทรกแซง เคยแบนพันธมิตรของทักษิณและบีบให้รัฐบาลโปรแม้วหลุดจากอำนาจ หรือที่เรียกว่า “ตุลาการปฏิวัติ” อย่างไรก็ดี ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ศาลจะมีคำตัดสินอย่างไรในคดีทางการเมืองเหล่านี้ โดยมีความเป็นไปได้ว่า อาจมีการตัดสิทธิ์ลงสมัครเลือกตั้ง ห้ามมีส่วนร่วมทางการเมือง หรือยุบพ.ท.

    **ทหารแทรกแซง-ระบอบต้านแม้วผงาด**
  • กองทัพที่รอยเตอร์ชี้ว่าได้เคยปฏิวัติรัฐประหารมาหลายครั้ง เวลานี้พยายามวางตัวเป็นกลางในสถานการณ์ปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ดูเหมือนนายทหารระดับสูงจะมีอารมณ์ร่วมกับกระแสชิงชังทักษิณ

    การชุมนุมประท้วงส่วนใหญ่ตอนนี้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย และรัฐบาลหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า กระนั้น หากความรุนแรงปะทุขึ้นและแม้ไม่ชัดเจนว่าใครอยู่เบื้องหลัง กองทัพอาจเข้าแทรกแซงและยึดอำนาจเพื่อป้องกันเหตุการณ์วุ่นวาย

    ในภาพจำลองสถานการณ์แบบนี้ อาจมีการแต่งตั้งรัฐบาลชั่วคราวโดยผู้พิพากษาและวุฒิสมาชิก และทูลเกล้าให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยรับรอง รัฐบาลเฉพาะกาลนี้อาจแก้ไขกลไกการเลือกตั้งตามเสียงเรียกร้องของผู้ประท้วงเพื่อขจัดอิทธิพลของของทักษิณ จากนั้นจึงจัดการเลือกตั้งขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพื่อดับกระแสเสียงคัดค้านจากนานาชาติที่ไม่เห็นด้วยกับการปกครองโดยฝ่ายทหาร

    **พ.ท.ชนะเลือกตั้ง**
  • มีความสงสัยเพิ่มมากขึ้นทุกทีว่าการเลือกตั้งอาจจะเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นภาพจำลองสถานการณ์แบบนี้จึงอาจจะมีความเป็นไปได้น้อยที่สุด แต่หากมีการเดินหน้าเลือกตั้งกันจริงๆ แล้ว พ.ท.จะใช้คลังทรัพย์สินอันเหลือเฟือของตนทำการโปรโมทนโยบายประชานิยม และประชาชนโดยเฉพาะในพื้นที่ของพ.ท.อย่างภาคเหนือและอีสาน มีแนวโน้มออกมาเทคะแนนและทำให้พรรคนี้ได้รับชัยชนะอีกครั้ง

    ถึงตอนนั้นกำลังของกลุ่มต่อต้านแม้วอาจแผ่วลงเช่นเดียวกับการสนับสนุนทางการเงิน แต่อาจจะยังพยายามรักษาหน้าด้วยการไปตกลงหลังฉากกับทักษิณ เพื่อยอมให้พ.ท.บริหารประเทศ โดยมีข้อแม้ห้ามแม้วกลับเมืองไทย

    น.ส.ยิ่งลักษณ์จะจัดตั้งรัฐบาล รวมทั้งให้สัญญาปฏิรูปและสมานฉันท์ จัดการกับบางเรื่องที่ผู้ประท้วงคับข้องใจ เช่น ยกเลิกนโยบายประชานิยมที่สูญเปล่าและแก้ปัญหาคอร์รัปชัน เพื่อป้องกันการเผชิญหน้าในอนาคต ควบคู่ไปกับรักษาระยะห่างจากพี่ชาย

    **พ.ท.ชนะ-เลือกตั้งโมฆะ**
  • แม้พ.ท.ชนะอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ฝ่ายต่อต้านระบอบแม้วอาจไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง รวมทั้งก่อกวนการเลือกตั้งด้วยการกล่าวหาว่า มีการโกงและการฝ่าฝืนต่างๆ นานา

    นอกจากนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อาจไม่รับรองการเลือกตั้ง และถึงแม้รับรอง แต่อาจมีการฟ้องร้องเพื่อให้ผลการเลือกตั้งเป็นโมฆะ

    สถานการณ์จะวุ่นวาย และผู้ประท้วงที่ไม่ยอมรับการเลือกตั้งแต่แรกจะยิ่งลุกฮือต่อต้านรัฐบาลรักษาการที่ไม่มีอำนาจตัดสินใจนโยบายใดๆ และมีความเป็นไปได้ว่า ทหารจะเข้าแทรกแซง

    **เลื่อนเลือกตั้งไม่มีกำหนด**
  • กลุ่มต่อต้านทักษิณอาจใช้ช่องทางทางกฎหมายทั้งหมดสกัดการเลือกตั้ง โดยขณะนี้ทั้งศาลและกกต. ได้รับเรื่องร้องเรียนมากมาย แต่ปัญหาที่ชัดเจนคือ การมีผู้สมัครเลือกตั้งไม่ครบเพราะพรรคประชาธิปัตย์คว่ำบาตรการเลือกตั้ง เท่ากับว่าสภาไม่สามารถเปิดประชุมได้เนื่องจากมีสมาชิกไม่ครบองค์ประชุม

    การประท้วงจะลุกลามและท้ายที่สุดกกต.หรือศาลอาจวินิจฉัยว่า ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งที่ชอบธรรมได้ และสถานการณ์จะชุลมุนวุ่นวาย เปิดทางให้ทหารเข้าแทรกแซงอีกเช่นกัน

ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี:ระวังโดนเขาหลอกนะ...จะบอกให้


14 Jan2014
ต้องยอมรับด้วยความขมขื่นว่า วัน Shut Down กทม. โหดเอาการ (ใจร้ายมากๆ จะจำไว้!) พ่อค้า แม่ขาย นายธนาคาร เถ้าแก่น้อยใหญ่ ครู นักเรียน เดือดร้อนไปหมด แต่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้และก็คงจะเกิดต่อไปอีกสักพักหนึ่งเท่านั้นเอง ละครเรื่องนี้ ผู้ร้ายกำลังเท่ห์เพราะหลอกนางเอกสำเร็จ หลอกอย่างไรหรือครับ เอ้า...จะบอกให้ (ข้อมูลจากฝ่ายความมั่นคงนะ)

1. สงครามยกแรก 24-26 พ.ย. 56 ตั้งทัพ กปปส. ต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม วันที่ 24 พ.ย. ยกทัพมาประมาณ 110,000 คน แต่ตบตา(หลอกสื่อ) ว่ามากัน 500,000 (เกินจริง 5 เท่า) สงสัยพลยักษ์จะรู้ทัน วันที่ 2 เหลือ 41,000 คน และวันที่ 3 เหลือเพียง 18,000 คน จากนั้นก็หงอย

2. สงครามยกที่สอง 9-11 ธ.ค. 56 แม่ทัพใหญ่สุเทพประกาศล้มระบอบทักษิณ รวบรวมทัพได้ 190,000 คน (เป็นทัพใต้ซะ 82,500 คน) แต่ประกาศว่ามีกำลังพลถึง 5 ล้านคน (คือหลอกกันเองให้ฮึกเหิม) รุ่งขึ้นลูกทัพรู้ความจริง เลยยกกลับ เหลือเพียง 15,700 คน เท่านั้น

3. สงครามยกที่สาม (คงไม่ใช่ยกสุดท้าย เห็นประกาศยกระดับอีกแล้ว) 13 ม.ค.57 ลูกทีมสงสัยจะสะบักสะบอม จากศึกขัดขวางลงสมัครเลือกตั้ง จึงเหลือให้เกณฑ์เพียง 110,000 คน ยกนี้แม่ทัพสุเทพ จำนนไม่กล้าประกาศ กลัวลูกทัพจะตกใจว่า น้อย เลยเบี่ยงใช้กลยุทธ์ 8 ทัพเล็ก เพื่อหนีคนนับกำลังศึก (แต่พวกผมก็แอบไปนับมาจนได้)

4. ยกนี้ตอนแรกประกาศจะเอาเป็นเอาตาย จะปิดกรุงเทพทีเดียว 20 จุด แต่พอเกณฑ์คนไม่ได้ตามแผนก็พลิกลิ้น บอกเอาแค่ 7 จุดก็พอ

5. ประกาศจะปิดกรุงเทพให้สนิท เหมือนปิดประตู อุตสาห์ไปหารือหัวหน้าฝ่ายปราบคอรัปชั่นภาคเอกชน ออกมาเออ ออ ว่ายอมให้เศรษฐกิจเสียหายแปบเดียว เพื่อรอความเจริญ (ซวย)ใหญ่ในภายหน้า พอเอาเข้าจริงทำไม่ได้ ชาวสีลม ชาวราชประสงค์ ไม่เอาด้วย (โดนปาขวดเรียบโร้ย...) จึงกลับลำเป็นปิดหน่วยราชการแทน (เขาไปไหนต่อไหนกันนานแล้ว ตอนนี้เหลือแต่ตึกแล้วโยม)

6. ไปปิดหน่วยราชการก็เหมือนไปแก้บน ตัวอย่าง กรมสรรพากร (เขาใช้ระบบ online และจ่ายภาษีผ่านธนาคารกันนานมาแล้ว ปิดกรมจึงไม่เกิดอะไร) กรมศุลกากร (งานเขาทำกันที่ท่าเรือ ท่ารถไฟ ท่าอากาศยาน ถูกหลอกไปปิดตึก...เจ็บไหมครับ) ไปปิดกรมอุทยาน กรมป่าไม้ (ไปทำห่าอะไร เขาทำงานกันในป่า โว้ย) ถามว่า เมื่อไปแล้วไม่เป็นประโยชน์แล้วไปทำไม ก็ขอตอบง่ายๆ ว่า เขาหลอกหางานให้ทำจะได้ไม่เหงา และกลัวหนีกลับก่อนไงหล่ะครับ

7. เดินทางใกล้นิดเดียว ก็หลอกให้ดูเป็นไกล (เสียใจด้วยครับ พี่น้องชาวใต้) เช่น ประกาศจะเดินจากแยกอโศก ไปศูนย์ประชุมสิริกิติ์ เพื่อหยุดการทำงานของข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ ขอโทษครับระยะทางมันห่างกันแค่หมาเห่าได้ยินครับ (รู้ดีเพราะอยู่หน้าบ้านผม) และแทนที่จะรีบไป กลับรอแม่ทัพสุเทพให้มาประกาศเอง และยังบอกว่าจะอยู่ให้ถึง 4 ชั่วโมง (อยู่นานขนาดนั้นจะถือโอกาสไปเล่นหุ้นหรือไง)

8. หลวงปู่พุทธอิสระ (คนอารั้ย ชื่อเหมือนพระ) นำกำลังพลเดินจากท่าน้ำนนท์ มาศูนย์ราชการใช้เวลา 8 ชั่วโมง ครั้นวันรุ่งขึ้นหลอกให้เดินกลับไปกระทรวงพาณิชย์อีก (สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี) แล้วอุตริให้เดินกลับมา ดีเอสไอ (ใกล้ๆศูนย์ราชการนั่นแหละ) ผมว่าพี่น้องชาวใต้หมดแรงแน่ๆ อย่าไปเชื่อพวกครึ่งพระครึ่งผีเลยครับ

พี่น้องครับ เห็นหรือยังว่าเขาหลอก หลอกให้เดิน หลอกให้หวัง หวังแล้วหวังอีกอย่างลมๆ แล้งๆ หลอกให้เกลียดชังรัฐบาลอย่างไร้เหตุผล (บางคนอาจไม่ถูกหลอก) หลอกให้คนไทยเกลียดชังกันเอง หลอกให้ฉีกรัฐธรรมนูญ (หาคุกให้นี่หว่า) หลอกให้ตั้งตนเองเป็นใหญ่ (ไปหาเมืองครองเองเถอะ) สุดท้ายหลอกให้มาไล่จับนายกและผม

ผมน่ะ...สมัยเป็นนักเรียนเป็นนักวิ่งร้อยเมตร และยังเป็นนักกีฬาแม่นปืนซะด้วย หวังว่าเพื่อนสุเทพคงจะจำได้บ้างนะครับ

ทัพฟ้า-ทัพบก ซ้อมร่วมปฏิบัติการทางอากาศ

ทัพฟ้า-ทัพบก ซ้อมร่วมปฏิบัติการทางอากาศ ยิ่งใหญ่ ผบสส.มั่นใจ ทอ.ทันสมัย พร้อมจัดตั้ง กองกำลังร่วมAsean ขอมั่นใจกองทัพดูแลอธิปไตย ได้ "ฝึกทหารพันวัน เพื่อใช้วันเดียว"คุ้มค่า สร้าง network centric operation 4 เหล่าทัพ

ที่สนามฝึกใช้อาวุธทางอากาศชัยบาดาล จ. ลพบุรี พล. อ. ธนะศักดิ์ปฏิมาประกร ผบสส.พล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ. ได้มาร่วมพิธีเปิดการแข่งขัน การปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธีประจำปี2557 โดย มีพล.อ.อักษรา เกิดผลเสนาธิการทหารบก พล.ร.อ.ไกรสรณ์ จันทร์สุวาณิชย์
ผช.ผบทร. ร่วมชมด้วย

โการสาธิตการปฏิบัติการทางอากาศ ครั้งยี้ มีการใช้เครื่องบินขับไล่ F16 บินผ่านในพิธีเปิด การบินลาดตระเวณถ่ายภาพโดยอากาศยานไร้นักบิน UAV การบินโจมตีทางอากาศ ของเครื่องบินโจมตี Alpha Jet การบินสกัดกั้นและยุทธวิธีการรบทางอากาศของเครื่องบิน F 16 การบินสนับสนุนทางอากาศของเครื่องบินขับไล่ฝึก L-39 และการบินค้นหาช่วยชีวิตในพื้นที่การรบของเฮลิคอปเตอร์ UH-1H

การแข่งขันการปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธี จะจัดขึ้นระหว่างวันที่23ธค.56-24 มค.57 เพื่อฝึกฝนความพร้อมปฏิบัติภารกิจของทุกหน่วยรบและทุกฝูงบิน การประเมินขีดความสามารถพร้อมรบของนักบินเพื่อนำมาประเมินเพื่อเป็นเกณฑ์ในการจัดการฝึกต่างๆ และสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน

โดยแบ่งการแข่งขันเป็น 11ประเภท เช่นการใช้อาวุธทางยุทธวิธี ประเภทระเบิด การลำเลียงทางอากาศ การบินค้นหาและช่วยชีวิต ความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจในการรับ-ส่งบุคคลสำคัญ

พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าวว่า ทุกเหล่าทัพเข้าร่วม ในส่วนของหน่วยป้องกันภัยทางอากาศ ของ ทบ.ทุกหน่วยมีการทำงาน มีการฝึกร่วมกัน การปฏิบัติการต่อเป้าหมาย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพ ก่อนจะมาถึงจุดนี้ สิ่งที่เราต้องทำบ่อยๆ คือ" การฝึกคนพันวัน เพื่อใช้วันหนึ่ง" นั่นคือสิ่งที่คุ้มค่า ซึ่งเราต้องมีความรักความสามัคคี มีความขยันที่จะซ้อม และมีความเป็นหนึ่งเดียว การปฏิบัติภารกิจจะได้มีความสำเร็จ ขอให้พี่น้องคนไทย เข้าใจในประสิทธิภาพในการป้องกันประเทศ และ การรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดน การป้องกันอธิปไตย ขอให้สบายใจว่า เราเป็นหน่วยที่มีประสิทธิภาพ"

ผบสส. กล่าวว่า ขณะนี้ถือว่ากองทัพอากาศของเราเป็นชั้นนำและในอีกไม่กี่ปีจะเป็นกองทัพอากาศชั้นนำในอาเซียน ซึ่งการฝึกวันนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ หน่วยป้องกันภัยทางอากาศ หน่วยปฏิบัติการทางยุทธวิธี หน่วยจู่โจมทางบอากาศที่ไดฝึกร่วมกัน ถือว่าผลออกมาดีมากและคุ้มค่า 

"ในอนาคตเราจะจัดตั้งกองกำลังร่วมอาเซียน เพื่อเข้าไปรักษาสันติภาพซึ่ง และ บรรเทาสาธารณภัยและการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม หรือ เอชเอดีอาร์ ซึ่งถือว่าการฝึกรั้งนี้มีความจำเป็น" ผบสส.กล่าว

พล.อ.อ. ประจิน ผบ.ทอ. กล่าวว่า การฝึกวันนี้แสดงให้เห็นว่าเราป้องกันเชิงรับอย่างไร ป้องกันอากาศยานเข้ามาโจมตีหน่วยที่ตั้งอย่างไร และ แสดงให้เห็นว่าสามารถรุกเข้าไปทำลายขุมกำลังของฝ่ายตรงข้ามได้ และสามารถทำให้ขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ดีขึ้น ที่สำคัญคือเราได้มีการบูรณาการกำลัง ในการป้องกันหน่วยที่ตั้ง ของกองทัพบก กองทัพเรือกองทัพอากาศ และสามารถเชื่อมต่อมายังศูนย์ควบคุมสั่งการ โดยใช้ระบบ network centric operation จึงอยากสื่อให้ประชาชนมั่นใจว่ากองทัพมีความพร้อมในการป้องกันน่านฟ้าไทย

ที่มา FB วาสนา นาน่วม
21

มอไซต์รับจ้างโดนการ์ดซ้อมเหตุมีบัตรแดง


เพจเสื้อแดง รายงาน(15ม.ค.57)

ข่าวที่ไม่ได้เป็นข่าว! เหตุเกิดเวลาประมาณ 20.00น. วันที่ 12 มกราคม 2557 นายสำเภา สติมั่น วินมอเตอไซค์ที่ขับประจำอยู่แถวถนนราชดำเนิน ทะเบียน อทง. 793 กรุงเทพมหานคร ถูกกลุ่มการ์ดกปปส.เรียกตรวจค้นตัวบริเวณหน้าร้าน มน นมสด กลุ่มการ์ดได้ตรวจค้นในกระเป๋าสตางค์พบบัตรนปช. จึงได้ทำการยึดเงินในกระเป๋า พร้อมบัตรเอทีเอ็ม บังคับข่มขู่ให้ยอมบอกรหัส จากนั้นจึงลากตัวไปหลังวัดฝั่งตรงข้าม รุ่มทำร้ายร่างกายตั้งแต่ 2 ทุ่มยันเช้า จนดั้งหัก ซี่โครงหัก2ซี่ ถูกน้ำร้อนราดหัว โดนใช้เครื่องช๊อตไฟฟ้าช๊อต และจับกดน้ำในคลอง พอฟื้นมาก็ซ้อมต่อจนสาหัสอาการปางตาย ก่อนจะขโมยรถมอเตอร์ไซค์หลบหนีไป กว่าจะมี
พลเมืองดีไปพบก็เข้ารุ่งเข้าของวันที่ 13 ก่อนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลกลาง และยังอาการน่าเป็นห่วง โดยใข้สิทธิ์รักษาของโครงการ30บาทรักษาทุกโรค ยังไม่มีหน่วยงานใดๆไปดูแลช่วยเหลือ ตำรวจสน.สำราญราษฎร์แจ้งว่าต้องรอให้ผู้เสียหายฟื้นแล้วมาแจ้งความเอง (ขณะนี้ผู้เสียหายยังไม่สามารถไปแจ้งได้) ปล.พี่สำเภาไม่มีญาติอยู่ที่กทม.เลย จึงยังไม่มีใครไปแจ้งความหรือช่วยดูแลเรื่องการรักษาพยาบาล จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนที่ผ่านไปผ่านมาบริเวณจุดที่มีด่านของการ์กปปส.โปรดเก็บสัญลักษณ์ใดๆก็ตามที่แสดงจุดยืนทางการเมืองของตนที่ไม่ตรวกับกปปส.ไว้ให้มิดชิด หรือเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงเส้นทางนั้น

จักรภพ เพ็ญแข : ตอนนี้จีนคิดอะไรต่อไทย ?

15ม.ค.2557

จักรภพ เพ็ญแข



      เมื่อวานพูดถึงสหรัฐอเมริกาเพียงรายเดียว เพราะตั้งใจจะเจาะเรื่องนั้น แต่ในภาพระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับไทยในขณะนี้ ยังมีผู้เล่นที่เกี่ยวข้องมากและออกจะลึกซึ้งอีกรายหนึ่ง ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การนำของสี จินผิง ซึ่งเป็นผู้นำที่กำลังล้างภาพศักดินาคอมมิวนิสต์ และปัญหาคอรัปชั่นที่แผ่ซ่านไปทั่วระบบเศรษฐกิจสองระบบ ความจริงจีนนั้นสนใจไทยมานานแล้ว ไม่ใช่เพราะหน้าไหนไปคอยนั่งเล่นดนตรีหรือไปเจ๊าะแจ๊ะทำอะไรน่ารักให้เขาเอ็นดู  แต่เป็นแผนยุทธศาสตร์การครองโลกและเอเชียที่จีนถือว่ารัฐไทยมีความสำคัญเสมอมา ถามว่าไทยสำคัญขนาดไหนต่อจีน ก็ต้องตอบว่าสำคัญในทางยุทธศาสตร์คานอำนาจและถ่วงดุลกับสหรัฐฯ และสำคัญในแง่ตลาดสำหรับสินค้าและบริการจากจีน แต่ไม่ถึงขนาดที่เราจะไปบังคับขู่เข็ญอะไรจีนได้ ส่วนจีนก็มิได้แสดงอาการเบ่งหรือข่มขู่อะไรกับไทย ยังเป็นตะวันออกมากเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ เรียกว่าเป็นการอยู่ร่วมกันอย่างเกรงใจกัน และใช้แรงจูงใจในทางบวกเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมของอีกฝ่ายหนึ่งมากกว่าจะเป็นนัยลบ

     ในสถานการณ์ปัจจุบัน จีนเป็นห่วงว่าไทยจะเคลื่อนออกไปมากเกินพอดีจากดุลยภาพเดิม เมื่อไทยอยู่ภายใต้รัฐบาลทักษิณ ไทยได้สร้างวิธีการทำงานร่วมกันกับจีนขึ้นมาใหม่และถือว่าประสบความสำเร็จเพราะจีนยอมรับมาก หลักฐานที่ใหญ่มากชิ้นหนึ่งคือการก่อตั้ง ACD (Asian Cooperation Dialogue) ซึ่งเป็นการฟื้นทวีปเอเชียทั้งทวีปขึ้นเป็นกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ACD คือความริเริ่มของรัฐบาลทักษิณที่จีนยอมรับและเข้ามาช่วยสานต่อให้ใหญ่โตขึ้น ช่วงเชื่อมประสานนั้นก็คือการประชุมครั้งแรกที่เชียงใหม่และต่อด้วยการประชุมครั้งต่อมาที่นครซิงเต่าของจีน จากนั้นมา จีนก็ถือว่าไม่ว่าจะเป็นวังไทยหรือบ้านไทย เขาก็คบได้อย่างสบายทั้งสองทาง ครั้งหนึ่งที่เวียงจันทน์ ผมได้ร่วมโต๊ะอาหารเช้าระหว่าง ดร.ทักษิณฯ และ เหวิน เจีย เป่า นายกรัฐมนตรีของจีนในขณะนั้น และได้เห็นสายสัมพันธ์พิเศษระหว่างกันด้วยตาตัวเอง ทำให้นึกสบายใจมาแต่ครั้งนั้นแล้วว่า เจ้ากับไพร่ไปด้วยกัน ไม่ว่าจะสายไหนในเมืองไทยเราก็คบกับจีนได้สบาย แต่มาในชั่วโมงนี้ จีนเกิดข้อสรุปว่า ฝ่ายอำนาจเดิมของไทยก้าวไกลเกินไปเสียแล้ว ความกลัวในปลายรัชกาลนั้นเข้าใจได้ แต่ก็ไม่ควรเสียจริตกันมากถึงขนาดนี้ เรื่องประท้วงนั้นก็ช่างเถิด แต่การสั่งให้ขัดขวางโครงการระบบคมนาคมและขนส่งมูลค่าสองล้านล้านบาทนั่นต่างหากที่ทำให้จีนรู้สึกคาใจมาก ถามกันอยู่ภายในว่า ฝ่ายตรงข้ามกับทักษิณเขาไม่ต้องการให้บ้านเมืองของเขาพัฒนาบ้างหรือ เราก็ตอบว่า ขณะนี้เขาบ้ากันอยู่แต่เรื่องรั่วไหลกระจุกกระจิก และความกลัวเป็นบ้าเป็นหลังว่าจะมีใครล้มเจ้า จนไม่มีใครเหลือสติปัญญาเอาไว้มองภาพรวมกันหรอก จีนนำคำตอบนี้ไปศึกษาแล้วก็เห็นว่าจริง และแสดงท่าทีชัดเจนต่อมาว่า บ้าแบบนี้ จีนคงรับไม่ไหว และบอกกับสตรีที่จีนมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับจีนว่า ให้เธอหยุดความคิดและพฤติกรรมกระตุ้นรัฐประหารได้แล้ว จีนเคยผ่านการ “ปฏิวัติวัฒนธรรม” มาเสียจนแหลกลาญไปทั้งเมือง จีนไม่อยากเห็นไทยต้องย่อยยับอย่างนั้น ส่วนเธอผู้นั้นเมื่อฟังแล้วก็อึ้งกิมกี่ เพราะหลวมตัวแสดงบทบาทไปจนแทบจะกู่ไม่กลับแล้ว จึงวิ่งกลับไปหาหัวหน้าครอบครัวเพื่อหารือที่ว่าจะก้าวเดินต่อไปอย่างไร ถึงตรงนี้ผมเองก็ไม่รู้แล้วว่าเขาแนะนำอะไรกันมา


     จีนจึงห่วงผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์ไทยมากกว่าความมั่นคงมาก ซึ่งเป็นท่าทีที่จีนในยุคสงครามเย็นไม่เคยมี เขาผ่านประสบการณ์มาแล้วทุกอย่าง ตั้งแต่การเปลี่ยนผู้นำสูงสุดที่มีลักษณะเป็นเทพเจ้า ซึ่งสร้างความโกลาหลถึงขั้นอนาธิปไตยอยู่หลายปี จนถึงการเชื่อมระหว่างเศรษฐกิจที่เป็นศัตรูกันในทางอุดมการณ์สองทาง ได้แก่ ระบบตลาดและระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ โดยหวังจับหนูมากินเป็นอาหารโดยแมวสีไหนก็ได้ อะไรที่ไทยเผชิญอยู่ในขณะนี้จีนเคยลิ้มรสมาก่อนทั้งสิ้น จีนจึงมีฐานะที่มีความหมายกว่าสหรัฐอเมริกาในแง่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งถึงขั้นรู้สึกได้ เราจึงคุยกับจีนมากและบ่อยจนจีนยุคนี้เข้าใจในพลวัตรความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยได้ดีขึ้น ส่วนบ้านของสตรีคนสำคัญที่ไปปลูกเอาไว้ในจีนนั้น จีนเขาก็ดูแลอย่างดี โดยเขาบอกว่าสนิทสนมรักใคร่กันมาก่อน ส่วนเมื่ออะไรมันผ่านพ้นไปแล้วตรงนั้นจะกลายเป็นหอกข้างแคร่ของฝ่ายประชาธิปไตยต่อไปหรือไม่ เราก็พูดติดข้างฝาไว้ให้จีนนำมาคิดพิจารณาเมื่อถึงเวลาเท่านั้นเอง.

ขัตติยา สวัสดิผล:อย่าเอาความบริสุทธิ์และความตายของผู้อื่น มาเป็นเงื่อนไขเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่

ช่วงนี้เป็นระยะเวลาการปิดกรุงเทพฯของท่านกำนันค่ะ ซึ่งมีทั้งคนกรุงเทพฯ ที่เห็นว่าตัวเองใช้ชีวิตลำบากขึ้นในการเดินทางไปไหนมาไหน แต่ก็มีบางส่วนที่เต็มใจจะใช้ชีวิตลำบากขึ้นอีกนิดเพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของม็อบคนดี ก็ว่ากันไป

แต่จะชุมนุมยังไงก็แล้วแต่ สิ่งหนึ่งที่ทุกคนภาวนาไม่อยากให้เกิด นั่นก็คือความรุนแรงจนนำไปสู่การมีผู้เสียชีวิต

เดียร์มองว่าตัวแกนนำของม็อบเอง ก็จะต้องใช้ความรับผิดชอบขั้นสูงสุดเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นเช่นกัน ไม่ใช่ว่าหากมีความรุนแรงจนมีคนตาย ก็จะโยนความผิดให้รัฐบาลอย่างเดียวและอ้างว่ารัฐบาลคุมสถานการณ์ไม่ได้ แต่ท่านต้องอย่าลืมว่า "ท่านเป็นคนกวักมือเรียกพวกเค้ามาชุมนุม เชื้อเชิญให้เค้ามาช่วยชาติในแบบฉบับของกปปส. ท่านก็ต้องปกป้องชีวิตพวกเค้าให้ได้และเอาให้อยู่”

และครั้งนี้ไม่เหมือนการชุมนุมในปี 2553
รัฐบาลไม่ได้สั่งสลายการชุมนุม
ไม่ได้ใช้กระสุนจริงกับผู้ชุมนุมแม้แต่นัดเดียว

การสร้างสถานการณ์ความรุนแรงของใครบางคน โดยไม่สนใจว่าคนจะต้องมีคนตายอีกสักกี่คน เพื่อที่จะนำไปสู่เงื่อนไขในการอ้าแขนรอรับการรัฐประหารนั้นหรืออะไรก็แล้วแต่ มันไม่ได้ทำให้ประเทศชาติดีขึ้น แต่มันกลับทำให้แย่ลงเข้าไปอีก

และอยากขอฝากไปยังแกนนำของกลุ่มผู้ชุมนุมว่า "อย่าริอาจสร้างความรุนแรงต่อมวลชนของท่านเอง ที่พวกเค้ามาร่วมด้วยช่วยกันกับท่าน ก็เพราะเค้าเชื่อพวกท่านอย่างบริสุทธิ์ใจว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการปฏิรูปตามแบบฉบับของท่านได้ แล้วพวกท่านยังจะเอาพวกคนบริสุทธิ์เหล่านี้มาเป็นตัวประกัน หรือฆ่าเค้าได้ลงคอ???"

เห็นใจพวกเค้าเถอะค่ะ ที่ไม่อาจนอนหลับได้เต็มตาเลยในตอนกลางคืน ณ ที่ชุมนุม เพราะไม่รู้ว่าต้องตื่นขึ้นมาหนีกระสุนหนีระเบิดกันเมื่อไหร่ เห็นใจพวกเค้าเถอะค่ะ ที่ไม่รู้เลยว่าตื่นมาตอนเช้าพวกท่านจะสั่งให้เค้าเดินกี่กิโลเมตรเพื่อไปบุกไปยึดที่ไหน เห็นใจเค้าเถอะค่ะ ที่หากมีการปะทะกันเกิดขึ้นแล้วเค้าจะต้องตายโดยที่ไม่ได้ร่ำลาคนในครอบครัว

อย่าเอาความบริสุทธิ์และความตายของผู้อื่น มาเป็นเงื่อนไขเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ให้ตัวเองอีกเลย


กำนันสุเทพ'ยกระดับกระชับพื้นที่!

กำนันสุเทพ'ยกระดับกระชับพื้นที่!

การประกาศยกระดับการชุมนุมของ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ได้ใจมวลชน แต่ทำให้คณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี พากันนั่งเก้าอี้ไม่ติด

เพราะการประกาศของ "สุเทพ" มีเนื้อหาว่า "ภายใน 2-3 วันนี้ จะปิดสถานที่ราชการให้หมด โดยจะนำไปยึดสถานที่ราชการบางแห่ง และจะมีการควบคุมนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรีให้หมด ตัดน้ำตัดไฟบ้านรัฐมนตรี หากยังดื้อด้านก็จะควบคุมตัวและขอให้แต่ละคนส่งลูกเมียไปที่อื่นก่อน หากฉุกเฉินจะได้หนีได้สะดวก"

การประกาศยกระดับของ "สุเทพ" ในครั้งนี้ทำให้มวลชนที่มาร่วมชุมนุมเห็นทิศทางการเคลื่อนไหวของ "แกนนำ" มากขึ้น เพราะไม่ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะยกระดับการชุมนุมแค่ไหน แต่ดูเหมือนรัฐบาลยังเล่นบท "นิ่งเฉย" ไม่สะทกสะท้านต่อกระแสเรียกร้องของผู้ชุมนุม พร้อมกับพยายาม "หลบหน้า" ไม่ปะทะโดยหันไปกระตุ้นให้เกิดการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว

แม้ว่า "คณะกรรมการการเลือกตั้ง" (กกต.) จะเสนอให้เลื่อนการเลือกตั้งจากวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เป็นวันที่ 4 พฤษภาคม เนื่องจากเห็นว่าหากยังเดินหน้าเลือกตั้งต่อไปการจัดการเลือกตั้งจะไม่เรียบร้อย และสถานการณ์จะมีแนวโน้มเกิดความรุนแรง

สถานการณ์การเมืองไทยในขณะนี้ขณะที่ "กลุ่มผู้ชุมนุม" ได้เรียกร้องให้ปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง ส่งผลให้หลายพื้นที่ในภาคใต้อย่างน้อย 28 เขต ไม่มีผู้สมัคร และอีก 22 เขต มีผู้สมัครเพียงคนเดียว ยังไม่รวมถึงไม่มี "กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง" (กปน.) บางพื้นที่ในภาคใต้ และกทม.หลายหมื่นคน ดังนั้น แม้จะมีการเลือกตั้งย่อมส่งผลให้สภาผู้แทนราษฎร มีส.ส.ไม่ครบ 475 คน ไม่สามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้

แต่ที่หลายฝ่ายกังวลจะเกิดภาพความรุนแรงหากยังเดินหน้าเลือกตั้ง โดยเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้อาจจะมีการ "ฉีกบัตรเลือกตั้ง" เกิดเหตุการณ์ประท้วงหน้าหน่วยเลือกตั้งจนกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ และไม่อยากให้เหตุการณ์รุกลามบานปลายเหมือนกับการเลือกตั้งในบังกลาเทศ ที่ผู้คัดค้านการเลือกตั้งจุดไฟเผาและขว้างระเบิดใส่หน่วยเลือกตั้ง รวมถึงพยายามบุกเผาบัตรลงคะแนน และอุปกรณ์เลือกตั้ง

ดังนั้น การประกาศยกระดับ "กระชับพื้นที่" ของ "สุเทพ" บนเวทีแยกอโศกครั้งนี้ถือเป็นการเรียก "ขวัญและกำลังใจ" ให้กับมวลชนที่ไม่แน่ใจการเคลื่อนไหวจะรุกคืบรัฐบาลในรูปแบบไหนอย่างไรต่อไปเริ่มเข้าใจและมั่นใจในตัวผู้นำ

ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าหลังจาก "งานวันเด็ก" หนึ่งวันสถานการณ์ทางการเมืองที่คุกรุ่นจะ "มีข่าวดี" มีผู้เสียสละ เพราะทนสภาพแรงกดดันที่เป็นอยู่ไม่ไหว แต่ปรากฏว่าหลังจากมีการประชุมทีมยุทธศาสตร์ที่ประชุมไม่เห็นด้วย ทำให้ "คำสัญญา" ที่เคยรับปากเป็นอันต้องล้มไป

ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองต้องเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง การยกระดับการชุมนุมจากเพียงแค่เวทีราชดำเนินเพิ่มเป็น 7-8 จุด ในวันที่ 13 มกราคม ทำให้ "นายกฯ ยิ่งลักษณ์" ต้องหาพื้นที่ปักหลักทำงาน และเพื่อความปลอดภัยให้ตัวเองและคณะรัฐมนตรี โดยยึดพื้นที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เพราะมองว่าปลอดภัยมากกว่าที่อื่น

แม้จะรู้ว่าในกองทัพก็มีบางคนเห็นต่างแต่ยามนี้ "นายกฯ ยิ่งลักษณ์" ยังมองไม่เห็นที่ปลอดภัยกว่านี้ เพราะทุกพื้นที่ย่อมมีการแบ่งพื้นที่รับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานไม่มีการข้ามเขต

ส่วนแนวคิดก่อตั้ง "รัฐบาลพลัดถิ่น" ที่ภาคเหนือ หรือภาคอีสาน นาทีนี้ถือว่าปิดเกม เพราะไม่ว่าภาคเหนือ หรือภาคอีสาน ให้ไปดูว่าหน่วยงานกรมกองไหนดูแลรับผิดชอบอยู่

ขณะที่ "สุเทพ" หลังจากถูกแจ้งข้อหาเป็น "กบฏ" เวลาเดินทางไปไหนก็ต้องมีการ์ดคอยดูแล เพราะมีเจ้าหน้าที่แฝงตัวมาอยู่ในผู้ชุมนุมเตรียมควบคุมตัวอยู่ตลอดเวลา

ด้าน "นายกฯ ยิ่งลักษณ์" หลังจาก "สุเทพ" ประกาศยกระดับกระชับพื้นที่บนเวทีแยกอโศกในครั้งนี้ก็ยิ่งบีบให้พื้นที่ของ "นายกฯ" เหลือน้อยและแคบลง ยิ่งนานวันยิ่งทำให้สถานการณ์ของ "นายกฯยิ่งลักษณ์" อยู่ยากยิ่ง

นับจากนาทีนี้ต้องมาจับตาดูว่าระหว่าง "สุเทพ-ยิ่งลักษณ์" ใครจะเดินเกมพลาด!

คำเตือนจากเพจเทวดาฯอ้างข้อมูล ทหาร ร.๑๑ให้ระวังคืนนี้

เตือนตาย ๑ !

 "แชร์พ้นตาย แชร์ด่วน" !!! 

พีน้องชาวไทยทุกๆท่านที่เคารพ วันนี้ ทุกๆเวที หลัง ๒๒.๐๐ ในส่วนของประชาชนที่ไม่ได้มานอนค้างจาก ต่างจังหวัด ห้ามอยู่และควรกลับบ้าน โรงแรม หรือที่พักทันที่ จนถึงวันที่ ๑๘.๐๑.๕๗ และตอนเช้าท่านทั้งหลายก็มาใหม่ ในการปกป้องชาติ 

"อย่าอวดเก่ง อย่าท้าทาย เพราะคนชั่วใจทรามมีอยู่ใน รัฐบาล มีอยู่ในกลุ่มที่ พวกท่านอาจจะคิดไม่ถึง ที่รอตีกินจากผลประโยชน์การตายของประชาชน และพวกสร้างสถานะการ " 

ฉะนั้น พอถึงเวลา ๒๐.๐๐ น. ไปอย่างช้า ๒๒.๐๐ น กลับบ้านกันให้หมด อย่าอวดเก่ง อย่าไปเชื่อฝีมือ กาดท์ อย่าไปเชื่อใครทั้งสิ้น รู้รักษาตัวเป็นยอดดี 

ตอนเช้ามาร่วมกลุ่มกันใหม่ ลุยกันใหม่ สนุกกว่าเยอะ เพราะชีวิตท่านปลอดภัย ชาติก็มั่นคง ทหารก็ไม่ทรมานใจ ที่เห็นท่านเป็นเหยือ "กำนันคนดี มีทหารค่อยประกบดูแลอยู่แล้ว พีน้องไม่ต้องกังวล " 

คำเตือนเด็ดขาด ๑ วันนี้ หลัง ๒๐.๐๐ พีน้องประชาชนอย่าไปอยู่ แถว ๕ แยกลาดพร้าว แยกหลักสี่ วิภาวดี ตรงแยกตึกคอม แยกถนนหน้า กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตรงที่หนีขึ้นสะพานพระราม ๘ ได้ ห้ามไปอยู่โดยเด็ดขาด เตือนแล้ว ขอร้องแล้ว พีน้องอย่าไปเด็ดขาด . 

ด้วยรักและห่วงใยประชาชน 

ทหาร ร. ๑๑

ปปช.ฟันจำนำข้าว จีทูจีลวงโลก นายกฯรอด

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ปปช.ระบุพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหา "จำนำข้าว-ระบายข้าว" พรุ่งนี้ (16 ม.ค.) ถึงแค่ "บุญทรง-ภูมิ" ไม่เกี่ยว "นายกฯ"

เมื่อเวลา 15.30 น. นายประสาท พงษ์ศิวาภัย กรรมการป.ป.ช.ในฐานะอนุกรรมการไต่สวนโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะอนุกรรมการไต่สวนโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลเตรียมสรุปความคืบหน้าการไต่สวนในกรณีดังกล่าวในวันที่ 16 ม.ค.นี้ว่า คณะอนุกรรมการไต่สวนโครงการรับจำนำข้าวรัฐบาลจะเริ่มประชุมกันในเวลา 10.00 น.โดยจะพิจารณาว่าจะแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลที่คณะกรรมการป.ป.ช.มีมติตั้งอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวนเอาไว้หรือไม่ โดยเป็นในส่วนของการรับจำนำข้าวและระบายข้าว

นายประสาทกล่าวว่า ผู้ที่ถูกร้องประกอบด้วย นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ และพวก ซึ่งต่อมามีการขยายผลไปถึงนายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์ ข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ เจ้าหน้าที่จากฝ่ายไทยและจีน รวมถึงบริษัทเอกชน

ทั้งนี้ ผู้ที่จะถูกแจ้งข้อกล่าวหาจะต้องอยู่ในกลุ่มที่ป.ป.ช.มีมติตั้งอนุกรรมการไต่สวนไว้แล้วเท่านั้น

ส่วนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ยังไม่มีรายชื่อที่ถูกตั้งอนุกรรมการไต่สวนเอาไว้ หากจะขยายผลไปถึงจะต้องนำเข้าสู่คณะกรรมการป.ป.ช.เพื่อวินิฉัยว่าจะต้องกล่าวหาและตั้งอนุกรรมการไต่สวนเพิ่มเติมหรือไม่

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการแจ้งข้อกล่าวหาบุคคลไปแล้ว แต่หากภายหลังพบพยานหลักฐานทางป.ป.ช.ยังสามารถขยายผลไปได้

อย่างไรก็ตาม สำหรับบุคคลที่ป.ป.ช.มีมติแจ้งข้อกล่าวหา ตามกฎหมายยังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อยู่ จนกว่าป.ป.ช.จะมีมีติชี้มูลความผิดจึงจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ หลังจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาถอดถอนของวุฒิสภา หากวุฒิสภามีมติ โดยใช้เสียง 3 ใน 5 เห็นสมควรให้ถอดถอน บุคคลดังกล่าวจะต้องถูกเว้นวรรคทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี

'ธีรยุทธ'หนุนสันติภิวัฒน์ มวลมหาประชาชน

วันที่ 15 มกราคม 2557 12:37

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

"ธีรยุทธ บุญมี"หนุน"สันติภิวัฒน์" มวลมหาประชาชน ทวงคืนอำนาจรัฐ ปิดฉากระบอบทักษิณ สร้างรากฐานใหม่ให้ประเทศไทย

นายธีรยุทธ บุญมี นักวิชาการอิสระ แถลง "สุดท้ายของระบอบทักษิณ สร้างรากฐานใหม่ให้ประเทศไทย?" โดยระบุว่า ต้นเหตุของการเกิดกระแสปฏิรูปประเทศและการปฏิวัติประชาชน

1. ทักษิณไม่ใช่นักประชาธิปไตยแต่เป็นพวกอนาธิปไตย ซึ่งปฏิเสธอำนาจรัฐไม่ว่าจะในมุมใดๆ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการหาผลประโยชน์อย่างไม่มีขอบเขตไม่มีกฎเกณฑ์กรอบคุณธรรมศีลธรรมใดๆ
ของตน แต่ทักษิณยังเห็นความสำคัญของรัฐเป็นเครื่องมือในการคอร์รัปชั่น จึงเน้นการแยกสลายและควบคุมบุคลากรของรัฐ เกิดเป็นโรคระบาดคอร์รัปชั่นขึ้นในทุกวงการ 

ผลงานของทักษิณคือ

- รื้อเส้นแบ่งอธิปไตยของชาติ ทำลายผลประโยชน์ชาติเพื่อประโยชน์ตนเอง เช่น การแก้กฎหมายเกี่ยวกับดาวเทียมรัฐเพื่อให้ขายบริษัทได้ ตกลงให้เงินกู้พม่าเพื่อประโยชน์ตัวเอง จ้างงานบริษัทเกาหลีแก้ปัญหาน้ำ หรือขายข้าวโครงการจำนำข้าวอย่างมีเงื่อนงำกับบริษัทที่มีปัญหาอย่าง GSSG ของจีน Bulog ของอินโดนีเซีย ไม่มีหลักประกันจะไม่มีการขายชาติให้กับประเทศอื่นๆ ที่ให้ผลประโยชน์ตัวเองมากพอ

- รื้อร้างระบบโยกย้ายราชการ รัฐวิสาหกิจ ให้พรรคพวกตน การประมูลตำแหน่งสำคัญๆ เช่น ในระดับสารวัตร ผู้กำกับ อธิบดี ปลัด ผู้ว่าการ ตำแหน่งรัฐมนตรี ตั้งแต่สิบถึงหลายร้อยล้านบาท

- ใช้เงินและตำแหน่งซื้อความจงรักภักดีของข้าราชการและองค์กรอิสระ รัฐวิสาหกิจ รวมทั้งการใช้การจูงใจด้วยงบประมาณหรือทรัพยากรอื่นๆ

- ทำลายห่วงโซ่ระบบยุติธรรมในส่วนของตำรวจ อัยการ องค์กรอิสระบางส่วน ลงได้เด็ดขาด ระบบตรวจสอบคอร์รัปชั่นจึงพังทลาย

- ทำลายวินัยการเงินการคลัง ระเบียบงบประมาณ เช่น การออก พ.ร.บ. เงินกู้ 2.2 ล้านบาท การสร้างหนี้นอกงบประมาณผ่านธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ซึ่งเอื้อการคอร์รัปชั่นอย่างไม่มีขอบเขตเพดานความเสียหาย

- ใช้งบกระทรวง รัฐวิสาหกิจ ทำลายการตรวจสอบของสังคม โดยเฉพาะสื่อมวลชน ทั้งทีวี ดาวเทียม วิทยุ สิ่งพิมพ์ ออนไลน์

- ทำลายเส้นแบ่งระหว่างบุคคล (ทักษิณ) กับพรรค ระหว่างฝ่ายบริหารกับนิติบัญญัติ กลายเป็นเผด็จการบุคคลโดยผ่านการเลือกตั้ง

- การเลือกตั้งคือกระบวนการเปลี่ยนบุคคลในครอบครัวทักษิณขึ้นมาครองอำนาจ

2. โรคระบาดคอร์รัปชันทำให้สังคมเป็นอนาธิปไตยไปด้วยคือ แตกเป็นพวกเป็นกลุ่ม ไม่ฟังความเห็นกัน ไม่เชื่อใจกัน แก่งแย่งอำนาจผลประโยชน์กันเป็นกลุ่มๆ รัฐไทยกำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ มิหนำซ้ำสึนามิของการคอร์รัปชั่นกำลังพังทลายกำแพงด่านสุดท้ายคือกำแพงศีลธรรมของประชาชน ส่งผลให้ประเทศล่มสลายอย่างแท้จริง เพราะผู้คนจะมุ่งแสวงกลุ่มพวกเพื่อร่วมกันโกงกิน เพื่อให้ได้เปรียบหรือไม่เสียเปรียบกลุ่มอื่น สังคมไทยจะไม่มีความคิดเรื่องส่วนรวม ความไว้วางใจกัน ไม่ฟังเหตุผลของกันและกัน

มองความต่างทางความคิดเพื่อเข้าใจปมความขัดแย้ง

1. เพื่อไทยและแกนนำเสื้อแดงมองประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมคลาสสิกหรือเชิงเดียว (monism) คือเชื่อว่าเมื่อมีความเท่าเทียมกันในการใช้สิทธิสมบูรณ์ของบุคคลในการเลือกตั้งแล้ว เหตุและผลที่ผู้เลือกตั้งใช้เลือกผู้แทนย่อมนำไปสู่การแก้ปัญหาและความก้าวหน้าโดยอัตโนมัติ (เป็นอิทธิพลความคิดตะวันตกแบบคริสต์ เพราะปัญญาเหตุผลจะนำไปสู่ความเข้าใจกฎธรรมชาติ ทั้งสองอย่างมีพลังอำนาจเพราะมีที่มาจากพระเจ้า จึงย่อมทำให้เกิดความดีและความก้าวหน้า เช่นอังกฤษเชื่อหลัก "อำนาจสูงสุดเป็นของสภา"(parliamentary supremacy) สภาจะออกกฎหมายอะไรเช่นให้ช้างออกลูกเป็นลิงก็ได้ หลักศีลธรรมสำคัญน้อยกว่าสิทธิและหลักความเท่าเทียมกัน ปัจจุบันอังกฤษยอมรับให้สภาถูกตรวจสอบโดยตุลาการได้ แต่พรรคเพื่อไทยยังไม่ยินยอม (จึงเชื่อว่าตัวเองออก พ.ร.บ. นิรโทษกรรมสุดซอยได้)

อย่างไรก็ตาม มีประชาธิปไตยกระแสหลังๆ (ซึ่งมีนักคิดตั้งแต่ John Locke, John Rawls, Isaiah Berlin, Joseph Raz, Ronald Dworkin, John Gray ฯลฯ) ที่เรียกว่าเสรีนิยมแบบพหุนิยม มองว่าโลกที่เป็นจริงมีความหลากแตกต่างทางความคิด ความเชื่อ วิถีชีวิต ซึ่งจะลดทอนให้เหลือเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดำรงอยู่ด้วยกัน (Modus Vivendi) ต้องยึดหลักอดทนอดกลั้น (toleration) ซึ่งกันและกัน

และบางครั้งสิทธิก็ขัดแย้งกันเอง สิทธิรัฐกับบุคคลขัดแย้งกัน ความเท่าเทียมกันกับเสรีภาพก็ขัดแย้งกัน เช่น คนรวยจะอ้างความเท่าเทียมกันเสียภาษีเท่าคนจนไม่ได้ เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ก็ไม่มีสิทธิลงคะแนนเสียง สตรีทั่วโลกเพิ่งมีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งได้เมื่อไม่นานมานี้ คนชนชาติส่วนน้อยหลายกลุ่มในทุกประเทศยังไม่สามารถอ้างสิทธิเพื่อมีโรงเรียนสอนภาษาของตัวเองได้ รถบรรทุกรถใหญ่ต้องวิ่งเลนซ้ายสุด ในประเทศไทยในวันสำคัญของศาสนาพุทธมีกฎหมายห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คนที่มีความเชื่ออื่นจะอ้างสิทธิความเท่าเทียมกันก็ไม่ได้ เป็นต้น

2. มวลมหาประชาชนมองปัญหาได้ลึกกว่ายิ่งลักษณ์ เพื่อไทย พวกเขาแยกชีวิตการเมืองของเขาเป็น 2 ระดับ ระดับแรกคือ กลไกการเมือง เช่น การเลือกตั้ง การตั้งรัฐบาล และระดับแก่นซึ่งเป็นชีวิตหรือจิตวิญญาณของการเมืองทั้งหมด คือตัวประชาชนรวมกับประเทศหรือรัฐ พวกเขามองว่าในโลกความเป็นจริงมนุษย์ทุกคนเกิดมาในรัฐหรือประชาคมที่มีวิถีประวัติศาสตร์ ความคิดความเชื่อที่มีมาก่อน ถ้ารัฐหรือประชาคมทำงานได้ดีก็จะช่วยค้ำประกันเคารพต่อชีวิตทรัพย์สิน สิทธิเสรีภาพ ความคิด ศรัทธา ความรู้สึก ของพวกเขาได้ แต่ถ้ารัฐต้องพังทลายจะเป็นปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดมากกว่าปัญหาอื่นๆ พวกเขาจึงต้องการปฏิรูปในตัวระบบรัฐหรือโครงสร้างของรัฐ ซึ่งพวกเขาไม่อาจเชื่อถือเพื่อไทย ซึ่งผลักดันนิรโทษกรรมสุดซอยเพื่อเอื้อต่อนักการเมืองโกงใช้อำนาจไม่ชอบ พวกเขาไม่อาจเชื่อนักคิดนักวิชาการเพื่อไทยที่มาย้ำเรื่องการเลือกตั้งและการปฏิรูปกฎหมายในปัจจุบัน เพราะ 2 ปีที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเพื่อไทยปฏิรูปประเทศจริงจัง เกือบไม่เคยเรียกร้องให้ปฏิรูปโครงสร้างความเหลื่อมล้ำทางด้านอำนาจ ศักดิ์ศรี รายได้ ให้แก่มวลชนรากหญ้าเลย

สังเกตการชุมนุมของ "มวลมหาประชาชน" ที่ผ่านมาเชื่อได้ว่า จะไม่มีคนกลุ่มใดอ้างหลักความเท่าเทียมกันในการใช้สิทธิเลือกตั้งไปเปลี่ยนใจ "มวลมหาประชาชน" ที่จะใช้สิทธิรักษาทรัพย์สิน ชีวิตตัวเองและลูกหลานจากภัยคุกคามของการคอร์รัปชั่น การใช้อำนาจข่มเหงรังแกโดยไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นคนไทยได้ ถ้าการต่อสู้ยืดเยื้อไปเรื่อยๆ พวกเขาอาจถูกผลักดันให้ยินยอมพิจารณาตัวเองเสมือนเป็นเพียงชนกลุ่มน้อย เหมือนชาวเขา ชาวเล เป็นเผ่าพันธุ์ใหม่ของไทยไม่เอาคนโกง ที่ยินดีต่อสู้ด้วยสันติวิธีไปชั่วชีวิตจนถึงรุ่นลูกหลาน เพื่อสิทธิที่จะอยู่ในสภาพศีลธรรมอันดีที่มีการเข้มงวดกับการโกงกินจริงจัง อยู่ในสังคมที่แยกความดีความชั่ว (ไม่ใช่แยกผู้ดี-ชาวบ้าน) ได้ ดังพุทธวจนะว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สุกกธรรม 2 ประการนี้ย่อมคุ้มครองโลก ถ้าหากสุกกธรรม 2 ประการนี้ (คือ การละอาย การเกรงกลัวต่อบาป) ไม่พึงคุ้มครองโลกไซร้ ในโลกนี้จะไม่พึงปรากฏคำว่า มารดา พี่ป้าน้าอา สามีภรรยา ครูอาจารย์ ฯ ชาวโลกจักปะปนกันเหมือนอย่าง แพะแกะ ไก่ สุกรและสุนัข (เพราะ) ธรรม 2 ประการนี้คุ้มครองโลกอยู่ จึงยังปรากฏคำว่า มารดา พี่ป้าน้าอา ครูอาจารย์ ฯ”

3. ต่อประเด็น "1 คน 1 เสียง" และ "Respect My Vote" มีคำอธิบายดังนี้คือ ความเท่าเทียมกันของมนุษย์เป็นหลักการที่ต้องเคารพจะละเมิดไม่ได้ หลักสิทธิเลือกตั้ง 1 คน 1 เสียง ก็เป็นหลักที่จะละเมิดไม่ได้เช่นกัน แต่เมื่อไรก็ตามที่รัฐบาลที่ถูกเลือกโกงกินก็ย่อมถูกปลดหรือล้มล้างได้ และถ้าหากระบบการเมืองเลวร้ายจริงๆ และเรายึดหลักเคารพความต่าง การที่มวลมหาประชาชนจะประกาศคัดค้านการเลือกตั้งก็เป็นสิทธิ ถ้าจะรณรงค์ให้คน Vote No หรือไม่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งก็เป็นสิทธิเช่นกัน แต่ถ้าบางส่วนอดทนไม่ไหวต่อความเลวของนักการเมืองโดยรวมทั้งหมด ถึงขั้นออกมาขัดขวางไม่ให้คนไปเลือกตั้งก็ย่อมทำได้ แต่พวกเขาก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ทำเป็นการละเมิดกฎหมายด้วย

อย่างไรก็ตาม อาจมีคำถามย้อนกลับเช่นกันว่า ท่านเอง "Do you respect your vote?" "Have you respected your vote?" หรือไม่ เพราะตลอด 2 ปี ทักษิณเป็นผู้ใช้อำนาจแทนท่าน เป็นผู้บงการรัฐบาลของท่านอย่างเปิดเผย ดังคำสัมภาษณ์อย่างเปิดเผยของประธานสภา รมต. ส.ส. แกนนำเสื้อแดง นปช. ฯ รวมทั้งการคอร์รัปชั่นมโหฬารในโครงการจำนำข้าว แต่ท่านไม่เคยออกมาแสดงความเคารพต่อสิทธิของท่านเองเลย

4. เมื่อการคัดคานกันของการใช้อำนาจอธิปัตย์ได้ลดระดับลงมาถึงระดับประชาชน ข้อดีก็คือเป็นครั้งแรกที่ประชาชนระดับชาวบ้านได้รู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดของบ้านเมือง ข้อที่น่ากังวลคือ จะมีการขยายวาทกรรมเรื่องคนจนโง่ไม่เข้าใจประชาธิปไตย ที่จริงประชาธิปไตยไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับการศึกษา ฐานะจน-รวย เพราะหัวใจของประชาธิปไตยคือการที่บุคคลจะเชื่อมั่นสิทธิอำนาจ ความรับผิดชอบต่อตัวเองและต่อส่วนรวม รวมทั้งเคารพสิทธิเช่นนี้ของคนอื่นๆ จนแล้วไม่ทำก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย รวยแล้วไม่ทำก็ไม่ใช่เช่นกัน ควรเลิกความคิดผิดๆ เพื่อช่วยลดความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น

คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจประชาธิปไตยไม่ทะลุปรุโปร่งนัก เพราะประชาธิปไตยจริงๆ เกิดจากประวัติศาสตร์ที่มีการต่อสู้จนมีการเปลี่ยนแปลงภายในตัวตนของคนในแง่ความเชื่อความคิด คนตะวันตกใช้เวลาเป็นศตวรรษเปลี่ยนความคิดเรื่องอำนาจในสังคม ให้เปลี่ยนจากอำนาจสูงสุดเป็นของกษัตริย์มาเป็นอำนาจของประชาชน จึงเกิดคำ The People หรือประชาชน แทนคำไพร่หรือข้าของกษัตริย์ (subject) คนตะวันตกจึงเชื่อมั่นอำนาจตัวเองมากกว่าคนไทยเรา ที่ยังมองเป็นผู้น้อย เป็นประชาชนตาดำๆ เป็นคนทุกข์ เกรงอำนาจเกรงใจผู้ใหญ่หรือเจ้านายขุนนาง ไม่เกิดความคิดเรื่องความเท่าเทียมกัน ความเป็นคนที่มีอำนาจ มีความหมาย มีความสำคัญด้วยตัวเองเลย สิทธิ (Right) ของฝรั่ง หมายถึง การทำให้ตรงและความถูกต้องด้วย แต่ของเราหมายถึงความสำเร็จผลจากบุคคลหรือการกระทำพิเศษ คนไทยจึงไม่เข้าใจเรื่องตนเองมีสิทธิ เข้าใจเพียงแต่ว่าตนเองอยากมีเสียงไว้ร้องทุกข์หรือมีเสียงในสังคม

อีกประเด็นคือการดูถูกระหว่างเชื้อชาติหรือชนชั้น มีการเรียกร้องให้แก้ไขมานานแล้ว ในอดีตคนจนเป็นบ่าวไพร่ที่ไร้อำนาจ ในช่วงสมัยใหม่ขึ้นมาก็ยังมีความคิดแบ่งแยกที่ถ่ายทอดจากบ้าน โรงเรียน ว่าคนจนเป็นปัญหาสังคม คนรวยเป็นผู้ช่วยเหลือเจือจานสังคมและคนจน ซึ่งเป็นพวกไร้การศึกษา โง่ ขี้เกียจ อีกนัยหนึ่งคนจนเป็นแหล่งของปัญหาหรือความด้อยกว่าในทุกๆ ด้าน

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2500-2530 สังคมไทยยอมรับตัวตน วัฒนธรรมของชาวบ้านในด้านบวกเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังมองเป็นวัฒนธรรมบ้านๆ เช่น อาหารอีสาน เพลงลูกทุ่ง เซิ้งหมอลำ ช่วงถัดมาช่องว่างทางอัตลักษณ์ลดลง เพราะบทบาทและตัวตนของชาวบ้านในภาคอุตสาหกรรม การบริการ วงการบันเทิง ท่องเที่ยว ฯ มีมากขึ้น จนเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจ ดังปรากฏในช่วงสงกรานต์ที่ทุกอย่างต้องหยุดหมด ซึ่งปรากฏตั้งแต่ปี 2532 อีกมุมหนึ่งความหลากหลายของวิถีชีวิต (lifestyle) การเสพวัฒนธรรมโลกาภิวัตน์ โลกออนไลน์ และสังคมสื่อสาร วัฒนธรรมฟิวชั่น ก็ทำให้ผู้คนสนใจเรื่องความต่างทางอัตลักษณ์ วัฒนธรรมสูง-ต่ำ และแสดงออกซึ่งการดูถูกดูหมิ่นน้อยลง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีดำรงอยู่ ซึ่งต้องตำหนิประณามคนที่กระทำเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ของมวลมหาประชาชนเป็นชนชั้นกลางในเมือง แต่ก็มีชาวบ้านผู้มีรายได้น้อย พ่อค้าแม่ค้าจำนวนมากเกือบทุกจังหวัดเช่นกัน การที่มวลชนนกหวีดลุกขึ้นมาสู้แบบไม่ยอมถอยไม่ใช่เพราะอคติต่อชาวบ้านชนบท แต่เป็นเพราะปัญหาเศรษฐกิจที่กระทบตัวพวกเขาโดยตรง ความกังวลเรื่องการขยายตัวอย่างไร้การควบคุมของการคอร์รัปชั่น และโอกาสล่มสลายของสังคมไทยโดยรวมทั้งหมดดังกล่าวมาแล้ว

วิกฤติจะจบลงอย่างไร

สันติภิวัฒน์หรือจะก้าวสู่ระบอบทักษิณโดยสมบูรณ์

1. การแก้ไขวิกฤติ วิเคราะห์ผ่านการตระหนักอำนาจสูงสุดของประชาชน

ปกติอำนาจอธิปัตย์หมายถึงอำนาจสูงสุดซึ่งไม่อาจมีผู้โต้แย้งได้ มีผู้ใช้ เช่น ประมุขประเทศ ประมุขฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ ตามหลักประชาธิปไตยอำนาจนี้มีที่มาสุดท้ายจากประชาชน

ดังนั้นประชาชนจึงมีอำนาจกำหนดชีวิตตนเอง ซึ่งก็คือการเป็นเจ้าของอำนาจอธิปัตย์ที่เท่าเทียมกัน ประชาชนแต่ละคนใช้อำนาจอธิปไตยของตนมาตกลง (contract) เพื่อสถาปนา (constitute) รัฐให้มีฝ่ายต่างๆ เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนตัวเอง ขณะเดียวกันก็ต้องมีความเหมาะสมพอดี (prudent) มี trust หรือการเชื่อมั่นไว้วางใจร่วมกัน ถ้ามีฝ่ายใดละเมิดความไว้วางใจนี้สัญญาประชาคมก็ถือเป็นโมฆะ สมาชิกสามารถขับไล่ล้มล้างผู้ปกครองที่ใช้อำนาจไม่ชอบได้ (ดู Locke บิดาประชาธิปไตยของอังกฤษ, The second treatise of government, 1998, ข้อ 136, 139, 142, 167)

ปัญหาการเมืองทั้งหมด เช่น การประท้วง ขบถ ปฏิวัติ รัฐประหาร หรือเลือกตั้ง ล้วนเกี่ยวพันกับอำนาจตัดสินสูงสุดของประชาชนทั้งสิ้น อารยะขัดขืนก็คือการที่สมาชิกประชาคมบางส่วนไม่สามารถยอมรับนโยบายรัฐ จึงใช้อำนาจอธิปไตยของตนแข็งขืนโดยสงบ โดยสันติวิธี ไปจนถึงขั้นการไม่ยอมรับข้อตกลงกับเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งมวลมหาประชาชนกำลังอ้างการทวงคืนอำนาจอธิปไตยอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งก็คือการปฏิวัติโดยสันติหรือ "สันติภิวัฒน์" ซึ่งถ้าเขาพ่ายแพ้อาจทำให้เขาเสียสิทธิด้านต่างๆ ของการเป็นพลเมืองตามรัฐธรรมนูญ กลายเป็นชีวิตเปล่าๆ ที่รัฐหรือเสียงส่วนใหญ่จะจำคุกลงโทษประหารชีวิตก็ได้ แต่พวกเขาก็ยอมเพื่อประกาศความคิด การต่อสู้ และแบบวิถีชีวิตที่ดีงามที่พวกเขาเชื่อมั่น ดังคำปราศรัยของ เนลสัน แมนเดลา ปราศรัยต่อหน้าศาลสูง "ผมพร้อมจะตาย" หรือคำปราศรัย I have a dream ของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ในปี 1963

"จะเป็นอันตรายในระดับเป็นตาย ถ้าประเทศนี้ยังมองข้ามภาวะฉุกเฉินของสถานการณ์ ฤดูร้อนอันระอุด้วยความไม่พอใจของชาวนิโกรเราจะไม่ผ่านพ้นไปจนกระทั่งฤดูใบไม้ผลิแห่งเสรีภาพและความเท่าเทียมกันจะมาถึง ...(นี่)ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้น คนที่หวังว่าพวกเราจะอ่อนล้า พึงพอใจง่ายๆ และหวนกลับไปสู่ภาวะปกติธรรมดา จะตระหนักด้วยความคาดไม่ถึงว่า จะไม่มีการหยุดพักหรือความสงบในอเมริกา จนกว่าชาวนิโกรจะได้มาซึ่งสิทธิพลเมืองของพวกเขา ลมพายุแห่งการปฏิวัติจะสั่นคลอนรากฐานของชาติเราไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งวันที่ส่องสว่างด้วยแสงแห่งความยุติธรรมบังเกิดขึ้น"

บางครั้งก็เกิดอารยะขัดขืนซึ่งก็คือการคัดง้างระหว่างอำนาจอธิปัตย์นี้ ก็เกิดระหว่างองค์อธิปัตย์ในระดับต่างๆ เมื่อแต่ละอำนาจต่างไม่ยอมกัน ต้องมีอำนาจอธิปัตย์อื่นเข้ามาคลี่คลายการคัดง้างนี้ เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 พฤษภาคม 2535 พระเจ้าอยู่หัวทรงช่วยคลี่คลายวิกฤติไปได้

ในออสเตรเลีย แคนาดา มีการคัดง้างอำนาจกันระหว่างพรรครัฐบาล พรรคฝ่ายค้านบ้าง ระหว่างมลรัฐบ้าง จนศาลหรือข้าหลวงใหญ่ (ซึ่งเป็นตัวแทนของพระราชินีอังกฤษ) ต้องเข้าแทรกแซงหลายครั้ง

ในอเมริกามีความขัดแย้งรัฐต่อรัฐ และระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐ บางครั้งศาลช่วยหาข้อตกลงได้ บางครั้งก็เกิดเป็นสงครามกลางเมืองใหญ่ (1861-1865) 

ในมาเลเซียศาลสูงเคยพยายามเข้าคานอำนาจรัฐบาลของกลุ่มพรรคร่วม UMNO ในปี 1988 แต่ไม่สำเร็จถูกลดอำนาจลงเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน

ในปากีสถานศาลสูงมีปัญหาคัดง้างกับผู้นำทหารมาตลอด 60 กว่าปี ผู้พิพากษาที่ยอมสาบานตนรับรองรัฐธรรมนูญชั่วคราวของทหารจะได้ทำงานต่อ แต่ผู้คัดค้านมักถูกบังคับให้ออกหรือจับกุมตัว จนถึงปี 2009 ขบวนนักกฎหมายเพื่อฟื้นฟูระบบยุติธรรมได้จัดการนั่งประท้วงและเดินทางไกลเพื่อประท้วงรัฐบาลทหาร จนรัฐบาลต้องยอมแต่งตั้งผู้พิพากษาที่ถูกขับออกโดยไม่ชอบธรรม จากนั้นศาลสูงในปากีสถานก็ได้มีบทบาทตรวจสอบคอร์รัปชั่นและอำนาจไม่ชอบของนักการเมืองมากขึ้น

2. ความเป็นไปได้ของการคลี่คลายวิกฤติด้านนี้ 2 แนวทางใหญ่ แต่หลายแนวทางย่อย คือ

(1) ถ้าคนไทยส่วนใหญ่ไม่แคร์เรื่องการคอร์รัปชัน การเปลี่ยนกลับไปมาของเพื่อไทย รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะรักษาการไปจนถึงการเลือกตั้งใหม่และได้กลับมาเป็นอำนาจอธิปัตย์อีกครั้ง ซึ่งจะนำไปสู่ระบอบทักษิณโดยสมบูรณ์ และจะไม่มีการปฏิรูปที่เป็นจริงใดๆ เกิดขึ้น

(2) มีการเปลี่ยนแปลงในระดับ "การปฏิวัติ" ซึ่งยังแบ่งได้เป็น 3 แบบคือ

(1) มีการปฏิวัติโดยประชาชนขนานใหญ่ (great revolution) เช่น การปฏิวัติฝรั่งเศส อเมริกา รัสเซีย จีน มีการใช้กองกำลังติดอาวุธเพื่อเปลี่ยนอำนาจ โครงสร้าง ความคิด มีการเสียเลือดเนื้อสูง เมืองไทยไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเพราะมีกองทัพซึ่งเหนียวแน่นอยู่กับสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่กองเดียว รวมทั้งสังคมไทยก็ไม่ชอบความรุนแรง ไม่อยากให้มีการปะทะโดยการใช้กำลัง
 (2) การปฏิวัติแบบใหม่ คือ "สันติภิวัฒน์" ขณะนี้คนส่วนใหญ่ของสังคมวิชาชีพต่างๆ ภาคเอกชน ข้าราชการ ทหาร นักวิชาการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กรรมกร ชาวนา ชาวบ้านร้านตลาด รากหญ้าทุกจังหวัด (ซึ่งเป็นไปได้ถ้ามีนโยบายดีๆ) จนเป็นฉันทามติหรือประชามติกดดันให้เกิดการแก้กฎหมาย เปลี่ยนโครงสร้าง ทำลายห่วงโซ่ที่เป็นปมปัญหา

ทั้งนี้ยอมรับว่าการปฏิวัติทุกประเทศไม่ใช่เสียงทั้งหมดของประชาชน แต่เป็นเสียงของประชาชนมากที่สุดที่จะเป็นได้ และทำไปเพื่อสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงได้ ดังที่เกิดกับการปฏิวัติประชาธิปไตยส่วนใหญ่
(3) ทหารรัฐประหาร สถาปนาตัวเองหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งซึ่งปกติเป็นชนชั้นนำขึ้นเป็นอำนาจอธิปัตย์แล้วร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งจะไม่แก้ปัญหาเพราะไม่เคยเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใดๆ ได้เลย ถ้าเกิดครั้งนี้ในแบบเดิมๆ ก็อาจถูกคัดค้านทั้งจากฝ่ายมวลมหาประชาชนและกลุ่มเสื้อแดง

3. โอกาสที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะชนะมีน้อยมาก เพราะ

(ก) ระบอบทักษิณเริ่มเสื่อมลง เพราะการกลับกลอกผิดคำพูดครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่กับผู้สนับสนุน
(ข) ประชานิยมของทักษิณเป็น "ประชาซาเล้ง" ซึ่งมี 3 ระดับ ต้นน้ำ คือ แกนนำ ได้ประโยชน์หลักจากตัวโครงการต่างๆ กลางน้ำ คือ รุ่นลิ่วล้อทักษิณ ขโมยตัดเหล็ก ทองเหลือง ทองแดง สายไฟ ของโครงการเอาไปขาย ปลายน้ำ คือ ชาวบ้านรากหญ้า ได้เพียงเศษเหล็กเศษพลาสติกที่เหลือใส่ซาเล้งถีบไปขาย ประเทศจะได้เพียงซากของโครงการ
(ค) วิกฤติครั้งนี้ทักษิณต้องอาศัยนักวิชาการ แกนนำเสื้อแดง นปช. ส.ส. อย่างขาดไม่ได้ โครงสร้างอำนาจของเพื่อไทยในอนาคตจะเปลี่ยนไป จำเป็นต้องแบ่งปันอำนาจกับกลุ่มเหล่านี้มากขึ้น

4. มวลมหาประชาชนก็อาจไม่ได้รับชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ก. การปฏิรูปโครงสร้างที่เลวร้ายและวางรากฐานใหม่ให้ประเทศเป็นเรื่องยาก ใช้เวลา กลุ่มธุรกิจใหญ่และชนชั้นนำเมืองไทยรู้ดี พวกเขาไม่เชื่อว่าจะมีใครทำได้ จึงไม่เชื่อหรือศรัทธาพลังประชาชน

ข. มวลมหาประชาชนจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นนำทางเศรษฐกิจสังคมไทย เพราะคนเหล่านั้นไม่มีความกล้าพอจะเป็นผู้นำหรือริเริ่มการเปลี่ยนแปลงระดับปฏิรูปหรือปฏิวัติด้วยตัวเอง แต่ทุกครั้งจะรอให้ (1) ประชาชนลุกขึ้นสู้จนเกิดความรุนแรง (2) ทหารเข้ายึดอำนาจ (3) พระมหากษัตริย์ออกมาใช้อำนาจอธิปัตย์คลี่คลายสถานการณ์4) กลุ่มชนชั้นนำได้รับแต่งตั้งขึ้นบริหารประเทศ

ในปัจจุบันงาน 3 ส่วนแรกจะถูกตำหนิประณามง่ายๆ ว่า ไม่เป็น "ประชาธิปไตย" ไม่ "เคารพกติกา" ส่วนงานสุดท้ายจะเป็นงานที่มีเกียรติ

ค. มวลมหาประชาชนประสบความสำเร็จเกินคาดจาก 3 ปัจจัยคือ
(1) พลังทางความคิดที่กินใจคนไทย ที่จะขุดรากเหง้าการคอร์รัปชั่น การใช้อำนาจบาตรใหญ่ของเพื่อไทย
(2) มวลชนจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ที่ออกมาสนับสนุน
(3) แนวทางสันติวิธี เป็นพลังทางศีลธรรมคุณธรรมที่สำคัญที่สุด

ปัญหาคือจะรักษาการชุมนุมขนาดใหญ่ซึ่งใช้พลังกาย พลังใจ พลังวัตถุมหาศาลนี้ได้อย่างไร การชุมนุมที่ยืดเยื้อมากขึ้นจะมีโอกาสเกิดความรุนแรง ทั้งจากการกระทบกระทั่งกันกับฝ่ายไม่เห็นด้วย และจากภายในกลุ่มตัวเองที่ต้องการยกระดับการต่อสู้ (ซึ่งเป็นภาวะธรรมชาติ เพราะการประท้วงคือการเสียสละตัวเอง ทุ่มเทไปมากกลับไม่มีคนเห็นใจ จึงต้องเพิ่มระดับการเสียสละตัวเองขึ้นไปอีก เช่นหลายแห่งไปถึงขั้นการพลีชีพตัวเอง เช่น พระเวียดนาม พม่า จุดไฟเผาตัวเองประท้วง)

ข้อเสนอแนะคือ

(1) มวลมหาประชาชนต้องใช้ความมุ่งมั่นแบบเหนือมนุษย์ยืนหยัดการต่อสู้อย่างสันติต่อไป ขยายผู้สนับสนุนจากชาวบ้าน ชาวรากหญ้าต่างจังหวัดมากขึ้น

(2) การปฏิวัติแบบฉันทามตินี้เป็นไปได้ถ้าตัวแทนของคนไทยทั้งหมดทั้งระดับนำและชาวบ้าน ออกมาประกาศตนร่วมปฏิรูปประเทศ โดยไม่คาดหวังตำแหน่งอำนาจหรือประโยชน์ใดๆ กปปส. สามารถประกาศอุดมคติที่ชัดเจนที่จะเป็นเพียงผู้กระตุ้น ไม่ใช่เจ้าของหรือผู้นำการอภิวัฒน์ของประชาชน ไม่ต้องขอมีส่วนกำหนดโควตาของคณะกรรมการ หรือสมัชชา หรือสภาปฏิรูปของประชาชน ขอเพียงสิทธิที่จะจัดให้มีการตรวจสอบสาธารณะ (public hearing คล้ายกระบวนการเลือกผู้พิพากษาศาลสูงสหรัฐ) ของบุคคลที่อาสาจะเข้ามาปฏิรูปสร้างรากฐานใหญ่ให้ประเทศอย่างถูกต้องตามหลักสากล เพื่อตรวจสอบป้องกันไม่ให้พวกระบบเก่าแฝงเข้ามาทำลายกระบวนการปฏิรูปก็พอ กำหนดบทบาทตัวเองเป็น "หมาเฝ้าบ้าน" ที่ทรงพลัง ตรวจสอบการปฏิรูปอยู่ข้างๆ จะเป็นคุณูปการสูงสุดที่ประชาชนจะไม่มีวันลืม

(3) ขยายนโยบายซึ่ง กปปส. คิดได้ดีกว่าพรรคเพื่อไทยที่อยู่ในอำนาจมา 2 ปีแล้ว คือการกระจายอำนาจที่แท้จริงไปให้คนต่างจังหวัด โดยแนวคิด “เลือกตั้งผู้ว่า” ทั่วประเทศ ขยายเน้นการปฏิรูปโครงสร้างความเหลื่อมล้ำทั้งอำนาจการจัดการตนเอง งบประมาณ การใช้ทรัพยากร การมีศักดิ์ศรี ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม การศึกษา เทคโนโลยี ท้องถิ่น ที่ทัดเทียมกันมากขึ้น

ยุทธศาสตร์ของการต่อสู้อาจเรียกเป็น “ทฤษฎีมะม่วงหล่น” คือใช้ความอดทนยาวนาน รอให้ "ผลไม้หล่นลงมาเอง" ซึ่งดูเป็นการเรียกร้องเกินขีดความสามารถของมนุษย์ แต่ถ้าเกิดขึ้นได้แม้แต่โลกทั้งโลกก็คงจะประหลาดใจและนับถือความมหัศจรรย์ของมวลมหาประชาชนไทย

ผมขอสนับสนุนและขอเป็นส่วนหนึ่งของการ "สันติภิวัฒน์" ของมวลมหาประชาชน