PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2561

“ปี่กลอง”บรรเลงเสนาะหู เดินหน้าสู่”เลือกตั้ง”กพ.62

“ปี่กลอง”บรรเลงเสนาะหู เดินหน้าสู่”เลือกตั้ง”กพ.62


สะใจบรรดากองเชียร์โดยแท้ สำหรับกกต.ชุดใหม่
พอเข้ามารับตำแหน่งปุ๊บก็กางโรดแมปเดินหน้าสู่การเลือกตั้งปั๊บทันที
ความจริงก็เป็นไปตามที่เคยมีคนออกมาพูดก่อนหน้านี้แล้ว
ถ้าเป็นไปตามกระบวนการและระยะเวลาตามขั้นตอนระเบียบ ก็จะประมาณนี้แหละ
แต่ที่ผ่านมามัวแต่ยึกยักกันไปมา ไม่รู้ว่าเป็นความพยายามยื้อๆยุดๆ
คอยฉุดคอยดึงเอาไว้ ของใครบางคน ของคนบางกลุ่ม ไม่ยอมประกาศออกมาให้ชัด เพื่อหวังผลอะไรบางอย่างหรือไม่
แต่พอมาถึงกกต.ชุดใหม่ที่มีท่าน “อิทธิพร บุญประคอง” เข้ามาทำหน้าที่ ก็ประกาศโรดแมปทันที
ต้องบอกว่าเป็นเรื่องดี ต่างชาติจะได้เชื่อมั่น
ทั้งฝ่ายรัฐบาลและกกต. จะได้ไม่ต้องถูกกดดัน
ประกาศให้ชัดไปเลย จะได้แฟร์ๆ กันในสนามเลือกตั้ง
ส่วนในอนาคตจะได้เลือกตามแผนหรือไม่ เป็นอีกเรื่อง
ขึ้นกับปัจจัยในเรื่องความสงบเรียบร้อยภายในบ้านเมืองเป็นหลัก
ประเด็นเหล่านี้ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
เพราะเมื่อมีการประกาศกำหนดวันเลือกตั้ง แม้จะไม่ใช่อย่างเป็นทางการ
แต่ก็ถือว่าปี่กลองการเมืองเริ่มบรรเลงขึ้นแล้ว
นับจากนี้กิจกรรมการเมืองทั้งบนดินและใต้ดินจะเริ่มขยับ
บรรดานักการเมืองจะเคลื่อนไหว เป้าหมายเพื่อต้องการชนะเลือกตั้ง
กลยุทธ์ต่างๆ วิชาเทพ วิชามาร จะถูกงัดขึ้นมาใช้
ความไม่สงบอาจจะถูกจุดชนวนขึ้นมาหลังจากนี้ โดยผู้ไม่หวังดี
เราก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นฝีมือของฝ่ายไหนกันแน่

แต่ที่แน่ๆ คือรู้ว่าไม่ต้องการให้เกิดความสงบ เพื่อผลประโยชน์อะไรบางอย่าง
สิ่งสำคัญคือเจ้าหน้าที่รัฐ จะต้องเข้มงวดกวดขัน อย่าละเลย
และจะต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมือง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดอย่างจริงจัง
ให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎกติกาของระบอบประชาธิปไตย คือเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน
เพราะอย่างน้อยจะเป็นเกราะช่วยป้องกันตัวเอง ให้กับบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐ
โดยเฉพาะกกต. ในฐานะกรรมการกลางในสนามเลือกตั้ง จะต้องมีความเป็นกลางจริงๆ
ยิ่งเป็นกกต.ในยุครัฐบาลเผด็จการขณะนี้ด้วยแล้ว
ยิ่งต้องยึดหลักความเป็นกลางให้ได้มากที่สุด
ต้องพิสูจน์ให้ประชาชนเชื่อให้ได้ว่าตั้งมั่นอยู่บนความยุติธรรม ตรงไปตรงมา ไม่เข้าใครออกใคร
ไม่ใช่ว่าตั้งขึ้นมาในยุครัฐบาลนี้ ก็จะต้องทำตามใบสั่งของรัฐบาล
ไม่อย่างนั้นจะเป็นตราบาปติดตัวไป
และจะส่งผลให้หลังการเลือกตั้งบ้านเมืองไม่สงบ
เพราะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง
เชื่อว่าหลายคนคงไม่อยากกลับไปมีชีวิต “ติดม็อบ” จะไปไหนก็ไม่สะดวก

ใช้ชีวิตไม่เป็นปกติสุขเหมือนในอดีตอีกอย่างแน่นอน

ลดแล้วก็ยังแพง

ลดแล้วก็ยังแพง



โครงการติดตั้งระบบไอทีของอาคารรัฐสภาใหม่ วงเงิน6,493ล้านบาทซึ่งโดนที่ประชุมครม.ตีกลับไป เมื่อ3เดือนที่ผ่านมา
ถือว่าเป็นโครงการอื้อฉาวติดอันดับท็อปเทนใน ยุค คสช.
เนื่องจากงบติดตั้งระบบไอทีอย่างเดียว มีมูลค่าเกือบครึ่งหนึ่งของงบ 12,358 ล้านบาท ที่ใช้ก่อสร้างอาคารรัฐสภา
แถมราคาอุปกรณ์ต่างๆ ยังแพงหูฉี่ขี้หูร่วงกราว
เช่น...ไมโครโฟน 859 ตัว เคาะราคาตัวละ 1.25 แสนบาท
จำเป็นอย่างไร จึงต้องใช้ไมโครโฟนราคาแพงเว่อร์เกินความจำเป็น??
หรือ ทีวีจอแบน 65 นิ้ว ล่อเข้าไปเครื่องละ 1.6 แสนบาท
ทั้งๆที่วางขายในห้างตัวละ 5 หมื่นบาทเท่านั้นเอง
หรือ นาฬิกาติดผนังห้องประชุมสภา ราคา 8 หมื่นบาทต่อเรือน
จำเป็นอย่างไร ต้องใช้นาฬิกาเชื่อมระบบดาวเทียม??
ด้วยเหตุนี้ ที่ประชุม ครม.จึงไม่อนุมัติอัดฉีดงบ 6,493 ล้านบาท ตามที่สำนักงานเลขาธิการรัฐสภาเสนอขอมา
โดยให้กลับไปปรับลดวงเงินระบบไอทีใหม่ ไม่ให้แพงอื้อซ่าเกินความจำเป็น
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่า ล่าสุด สำนักงานเลขาธิการรัฐสภาได้ยินยอมปรับลดงบติดตั้งระบบไอทีในอาคารรัฐสภาใหม่ จาก 6,493 ล้านบาท ลงมา เป็น 3,900 ล้านบาท ตามความต้องการของรัฐบาล คสช.
ยอมใจปํ้าลดงบติดตั้งระบบไอที รัฐสภาใหม่พรวดเดียวถึง 2,593 ล้านบาท
ลดลงเกือบเท่าตัวจากวงเงินเดิมที่เสนอขออนุมัติงบอัดฉีดจากรัฐบาล เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.แถลงสาเหตุที่สามารถปรับลดงบติดตั้งระบบไอทีรัฐสภาแห่งใหม่ได้เกือบเท่าตัวไม่ใช่เป็นการลดสเปก หรือลดคุณภาพระบบไอทีที่ใช้ในรัฐสภา
แต่ใช้วิธีลดจำนวนอุปกรณ์ไอทีลงให้เหมาะสมตามความจำเป็นในการใช้งานจริงๆ
หากพบว่าไม่เพียงพอ จะขอเบิกงบเพิ่มจากรัฐบาลภายหลังอีกที
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า การปรับลดวงเงินติดตั้งระบบไอทีในอาคารรัฐสภาใหม่ จาก 6,493 ล้านบาท เหลือ 3,900 ล้านบาท ดูเผินๆเหมือนถูกลง
แต่ความจริงยังแพงแสบไส้ติ่งเหมือนเดิม
เพราะใช้วิธีลดอุปกรณ์ไอทีที่จะจัดซื้อจำนวนน้อยลง เช่น แผนเดิมจะจัดซื้อ 200 ตัว ก็ลดลงเหลือ 120 ตัว
วงเงินจัดซื้อย่อมต้องลดลงเป็นธรรมดา
นอกจากนั้น นายพรเพชร ยังแบะท่า ว่าถ้าอุปกรณ์ระบบไอทีที่จัดซื้อมายังไม่พอความต้องการ จะขอเบิกงบอัดฉีดจากรัฐบาลจัดซื้อเพิ่มเติม
แสดงว่างบไอทีที่ปรับลดลงจาก 6,493 ล้านบาท เหลือ 3,900 ล้านบาท ยังขอเบิกเพิ่มจากรัฐบาลได้อีกตามสมควร
“แม่ลูกจันทร์” ยํ้าว่า ต้นเหตุจริงๆ ที่ทำให้งบติดตั้งระบบไอทีรัฐสภาใหม่แพงเว่อร์ผิดปกติ เพราะใช้ระบบจัดซื้อจัดจ้าง “วิธีพิเศษ” ไม่ต้องเปิดประมูลประกวดราคาตามระเบียบราชการ
เมื่อไม่มีการประมูลแข่งขัน
...ก็เปิดช่องให้ “อัปราคา” สบายแฮ
“แม่ลูกจันทร์” ยํ้าอีกที การจัดซื้อจัดจ้าง “วิธีพิเศษ” ไม่ต้องเปิดประมูลเสนอราคา ทำให้รัฐบาลต้องถลุงงบ ประมาณเกินความจำเป็น
บางโครงการแพงเกินจริงหลายเท่าตัว
เลิกระบบจัดซื้อวิธีพิเศษได้เมื่อไหร่...ความโปร่งใสจะเกิดขึ้นทันที.
“แม่ลูกจันทร์”

ปลดล็อกฟัดกันเละแน่

ปลดล็อกฟัดกันเละแน่



จาก EEC (Eastern Economic Corridor) ระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก ถึง SEC (Southern Economic Corridor) ระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคใต้
โดยจังหวะการขับเคลื่อนรัฐบาลอำนาจพิเศษภายใต้การนำของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มี “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ เป็นกัปตันทีมเศรษฐกิจ
เดินหน้าเนื้องานพัฒนาเศรษฐกิจไปสู่อนาคตแบบเห็นเนื้อเห็นหนัง
ในสถานการณ์ตีคู่ไปกับโหมดเลือกตั้ง ตามคิวที่ “5 เสือ” กกต.ชุดใหม่ วางตุ๊กตากำหนดโปรแกรมเข้าคูหากาบัตรในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562
กับตัวเลขที่ต้อง “หูผึ่ง” ตามๆกัน เพื่อไทยจะชนะเลือกตั้งเกิน 250 ที่นั่งอัป
จากปากของ “น้าเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แกนนำพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ระหว่างเดินทางมาเป็นกำลังใจให้ “หลานรัก” มอบตัวคดีทำร้ายร่างกายคู่อริ
มีแถมประเด็นการเมืองแบบตั้งใจ “ปล่อยเบรกยาว”
เรื่องของเรื่อง เบื้องต้นจับอาการ “สารวัตรเหลิม” มันก็ย้อนโยงไปถึงวงสนทนาที่ฮ่องกง ที่ “ขุนศึกฝั่งธนฯ” พาลูก “วัน อยู่บำรุง” ไปนั่งร่วมโต๊ะอาหารในภัตตาคารหรูกับอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร และ “น้องปู” อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถ่ายรูปโชว์หราในโซเชียลฯ
ประเด็นหลักน่าจะวนอยู่ที่เรื่องของกลุ่มสามมิตร
สะท้อนอาการลึกๆ “นายใหญ่” กับลูกข่ายสายตรงพะว้าพะวังกับการโผล่กลับมาของอดีตมือขวาคนสำคัญอย่างนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย และนักการเมือง “เขี้ยวลากดิน” ระดับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่เคยร่วมทีมยึดสนามเลือกตั้งมาด้วยกัน
มวยมันรู้มือ รู้ทางกันดี งานนี้ยากที่ “หิมะถล่ม” เมืองไทย
นี่ขนาดทีมงานสามมิตรยังไม่ระบุสังกัดพรรคการเมืองชัดๆ ออกตัวเป็นแค่กลุ่มคนที่มีความเห็นตรงกัน แสดงตัวแสดงตนสนับสนุน “นายกฯลุงตู่” ตีตั๋วต่อนายกรัฐมนตรี
แค่นี้ยังทำให้ “นายใหญ่” กับพรรคเพื่อไทยนั่งไม่ติด
เรื่องของเรื่อง มันนัวเนียๆกับวิกฤติในทีมของ “นายใหญ่” นั่นแหละปมใหญ่
สถานการณ์แบบที่ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุง ยังหวังลุ้นธงที่ได้รับจาก “นายหญิง” แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า ยื้อวัดกำลังกับแรงต้านสายน้องสาวตระกูลชินของ “นายใหญ่”
แบ่งข้าง แยกตระกูล ไม่มีทางจูนกันติด
อีกจุดที่สะท้อนอาการขบเกลียวกันชัดๆก็คืออาการ “ย้อนศร” ระหว่าง “เสี่ยเต้น” นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่ม นปช. อดีต รมช.พาณิชย์ รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” ที่ประกาศเสียงดังฟังชัด
พรรคเพื่อไทยขาดคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่ได้
ไปกันคนละทางกับมุมของ “ตุ๊ดตู่” นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มเสื้อแดง นปช.ที่เห็นสัจธรรมหลังพ้นออกจากเรือนจำ ย้ำชัดๆพรรคเพื่อไทยและกลุ่มเสื้อแดง นปช.ต้องยึดอยู่กับกระบวนการประชาธิปไตย ทำให้พรรคเป็นสถาบันการเมืองของประชาชนอย่างแท้จริง
ไม่ใช่ยึดติดกับตัวบุคคลในตระกูลชินวัตร เสี่ยงพังแล้วพังอีก
สองจุดใหญ่ๆที่สะท้อนอาการขัดลำกล้องชัดๆ รอยปริแยกระหว่างสาย “นายหญิง” กับน้องๆ “นายใหญ่” ทีมเพื่อไทยกับเสื้อแดง หรือแม้แต่เสื้อแดงกับเสื้อแดง
เจอ “สนิมเนื้อใน” แชมป์เก่ายี่ห้อ “ทักษิณ” แรงถดถอยตามสภาพ
ขณะที่ฝั่งประชาธิปัตย์เองเร่งยังไงก็เร่งไม่ขึ้น กับสภาวะอึมครึมกลบ “คลื่นใต้น้ำ” ไม่มิด
ถึงตรงนี้สถานะของ “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ยังคลุมเครือ
ตามกระแสข่าววงในล่าสุด มีการจุดพลุชื่อของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก มือปราบจำนำข้าวคนดัง โผล่ขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงใหม่สดซิงๆ ขณะที่ชื่อเก่าค้างปีอย่างนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ แกนนำรุ่นเก๋าสายปักษ์ใต้ สายตรงปรมาจารย์ชวน หลีกภัย ก็ “สแตนด์บาย” รอเสียบยามฉุกเฉิน
โดยมีกองกำลัง กปปส.ของ “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ “แทรกซึม” คอยปฏิบัติการยึดเก้าอี้ “เดอะมาร์ค” ปลดระวาง “เด็กดื้อ” ทำดีลอำนาจป่วน
ว่ากันตามสภาพการณ์เครื่องรวนทั้งประชาธิปัตย์และเพื่อไทย คสช.ปลดล็อกการเมืองเมื่อไหร่
ยกแรกคงต้องฟัดกันในพรรคเลือดกบ ก่อนลงสนามเลือกตั้ง.
ทีมข่าวการเมือง

ขับรถไม่พกใบขับขี่-ปรับ 5 หมื่น ยังไม่บังคับใช้

ขับรถไม่พกใบขับขี่-ปรับ 5 หมื่น ยังไม่บังคับใช้
21 ส.ค. 2561
กรมการขนส่งทางบก แจง ประเด็นการแก้กฎหมายเพิ่มโทษความผิดเกี่ยวกับใบอนุญาตขับรถ โดยเฉพาะกรณีที่สังคมให้ความสนใจ หากขับรถไม่พกใบขับขี่ มีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท ยังอยู่ระหว่างการนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนส่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ยืนยันขณะนี้ยังไม่มีผลบังคับใช้แต่อย่างใด
จากกรณีที่กรมการขนส่งทางบกได้ดำเนินกาปรับปรุงกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 และพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522 โดยรวมเข้าเป็นฉบับเดียวกัน เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมและกำกับการใช้รถ ยกระดับมาตรฐานความมั่นคงแข็งแรงด้านตัวรถ และการประกอบการขนส่งให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
โดยปรับปรุงรายละเอียดของกฎหมายให้เป็นเครื่องมือในการควบคุมกำกับพฤติกรรมของผู้ขับขี่ให้มากขึ้น รวมถึงปรับเพิ่มบทลงโทษกรณีผู้ขับขี่กระทำผิด เพื่อให้ผู้ขับขี่ตระหนักและปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด และเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยลดอุบัติเหตุและความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
ขณะนี้ “ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ....” อยู่ระหว่างการนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนส่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณา และประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป
สำหรับรายละเอียดใน “ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ....” มีการเสนอแก้ไขปรับเพิ่มโทษความผิดเกี่ยวกับใบอนุญาตขับรถ ดังนี้ ความผิดเกี่ยวกับการขับรถโดยไม่มีใบอนุญาต ปัจจุบันมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับสูงสุดไม่เกิน 1,000 บาท ส่วนร่างพระราชบัญญัติฯ ใหม่เสนอให้ปรับเพิ่มโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท
ความผิดเกี่ยวกับการขับรถในระหว่างใบอนุญาตสิ้นอายุ ถูกพักใช้ หรือเพิกถอนใบอนุญาต หรือถูกยึดใบอนุญาต ปัจจุบันมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาทส่วนร่างพระราชบัญญัติฯ ใหม่ เพิ่มโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับเพิ่มขึ้นเป็นสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท
และส่วนความผิดเกี่ยวกับการขับรถโดยไม่แสดงใบอนุญาต ปัจจุบันมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท ในขณะที่ร่างพระราชบัญญัติฯ ปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท
ซึ่งจะทำให้เกิดความสอดคล้องกับบริบทการบริหารราชการ การควบคุมกำกับดูแล และบังคับใช้กฎหมาย ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกยังคงดำเนินการตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 และกฎหมายที่เกี่ยวข้องในปัจจุบันอย่างเคร่งครัด เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ทั้งการบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายตรวจจับเข้มข้นจริงจังหรือการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการควบคุมกำกับพฤติกรรมการขับรถ โดยเฉพาะผู้ขับรถสาธารณะทุกประเภท มีการติดตามลงโทษผู้กระทำความผิดตามกฎหมายขั้นสูงสุดทุกกรณี ส่งตัวเข้ารับการอบรมเพื่อสร้างจิตสำนึกการให้บริการ บันทึกประวัติการกระทำผิด โดยเชื่อมโยงข้อมูลจากทุกหน่วยงานให้เป็นปัจจุบัน เพื่อตรวจสอบการกระทำความผิดซ้ำซาก มาตรการพักใช้และเพิกถอนใบอนุญาตขับรถกรณีกระทำผิดซ้ำซาก อย่างไรก็ตาม การเพิ่มความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือหนึ่งเท่านั้น ส่วนสำคัญอยู่ที่ผู้ขับขี่ซึ่งต้องตระหนักถึงความปลอดภัยและนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังด้วย