PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เริ่มแล้ว! ลาวส่งออกข้าวชุดแรกไปยังประเทศจีน



เริ่มแล้ว! ลาวส่งออกข้าวชุดแรกไปยังประเทศจีน
เมื่อวานนี้ (10 ธ.ค.) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้ส่งออกข้าวชุดแรกไปยังประเทศจีนอย่างเป็นทางการ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการส่งออกข้าวไปยังประเทศจีน โดยพิธีส่งมอบได้จัดขึ้นในเมืองสะหวันนะเขต ประเทศลาว
Phet Phomphiphak รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและป่าไม้ได้กล่าวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศลาวและจีน ซึ่งเป็น "เพื่อนบ้านที่ดี มิตรที่ดี สหายที่ดี และพันธมิตรที่ดีต่อกัน"
ภายใต้ความร่วมมือที่ครอบคลุมระหว่างทั้งสองประเทศ ข้าวในปริมาณที่มากขึ้นจากประเทศลาวจะถูกส่งออกไปยังประเทศจีน นาย Phet ยังได้กล่าวเสริมว่ากระทรวงของเขาจะยังคงสนับสนุนการส่งออกข้าวลาวไปยังประเทศจีน ขณะเดียวกันก็จะมีการปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรลาว เพื่อจะยกระดับรายได้ของประชาชนลาวอีกด้วย
ลาวจะขยายพื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตรและกำหนดภูมิภาคสำหรับการทำสวน ด้วยควาหวังว่าจะได้มีการลงนามในข้อตกลงทางการค้ากับประเทศจีนที่มากขึ้น เพื่อส่งออกข้าว ผัก และผลไม้ของลาวไปยังตลาดจีน รัฐมนตรีกล่าว

อนาคตของยูเครนและตุรกี:

ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์

อนาคตของยูเครนและตุรกี:
ผมไม่คิดเลยว่ามะกันจะให้ความสำคัญอะไรแก่ตุรกีและยูเครนมากมายนัก นอกจากแสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง
ที่คิดอย่างนี้ เพราะตะกี้เห็นข่าวแว็บๆ ว่าทหารยูเครนบ่นกันว่าอาวุธที่มะกันส่งให้ยูเครนใช้ตอนนี้มีแต่เก่า บุโรทั่งทั้งนั้น รถฮัมวีย์ที่เอาไปวิ่งยูเครนก็ติดขัดบ่อยๆ มะกันเคยนำไปใช้ที่อิรักอย่างสมบุกสมบันมาแล้วค่อยยกให้ยูเครน ทำให้สรุปได้ว่ามะกันคงจะแค่ต้องการให้ยูเครนเป็นฐานทัพของตัวเพื่อผลประโยชน์ทางภูมิรัฐศาสตร์เท่านั้น ส่วนว่ายูเครนจะมีปัญหาเศรษฐกิจหรือสังคมอย่างไรส่วนใหญ่ก็จะแก้กันเอง เช่น ก่อนนี้ เคยใช้ก๊าซจากรัสเซียในราคามิตรภาพ พอมะกันแทรกแซงจนมิตรภาพหมดไป ยูเครนก็ดิ้นรนหาจากที่อื่นอย่างหนักเพื่อเอาตัวให้รอด มะกันมายุให้มิตรแตกมิตรเพื่อตนจะได้ประโยชน์อย่างเดียว ถึงช่วยอะไรก็ไม่ได้ช่วยอย่างยั่งยืน
ตุรกีก็เหมือนกัน เป็นเพื่อนรัสเซียอยู่ดีๆ ได้เงินจากนักท่องเที่ยวรัสเซียเป็นจำนวนมหาศาลต่อปี ได้ก๊าซจากรัสเซียในราคาเป็นธรรมอยู่ดีๆ แต่พอคบกับมะกัน มิตรภาพกับรัสเซียก็หมดไป ตอนนี้ จะพึ่งรัสเซียอีกก็ไม่ได้แล้ว จะไปพึ่งมะกันก็ไม่มีอะไรจะพอพึ่งได้ นอกจากมีอาวุธให้ซื้อเท่านั้น
ที่เขียนมานี้ ผมมีข้อสังเกตว่าชาติไหนที่มีฐานทัพหรือทหารมะกันเคยไปตั้งอยู่หรือกำลังตั้งอยู่ ประชาชนรำคาญทั้งนั้นเพราะไม่ได้อะไร ผลเสียมีมากกว่า ไม่ว่าไทย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์และยูเครน และรัฐบาลมะกันนี้ชอบให้ชาติอื่นๆ แตกแยกกันจัง ดูชะตากรรมตุรกีตอนนี้สิครับ พอทะเลาะกับรัสเซียซึ่งเป็นชาติที่อยู่ใกล้และเคยพึ่งพากันมาตลอด แล้วต่อไปจะลงเอยอย่างไร? จะไปพึ่งมะกันเหมือนที่เคยพึ่งรัสเซียได้หรือเพราะวันๆ มีแต่จะเสนอขายอาวุธให้?
ผมมองแบบบ้านๆ ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรครับ
11 ธันวาคม 2558

“บิ๊กโด่ง” จวกใครบางคน ให้มีวุฒิภาวะ-มีสติ อย่าตั้งธงชี้นำว่าทุจริต เพราะแค่เพียงรับเอกสารจากคนบางคน




“บิ๊กโด่ง”  จวกใครบางคน ให้มีวุฒิภาวะ-มีสติ อย่าตั้งธงชี้นำว่าทุจริต เพราะแค่เพียงรับเอกสารจากคนบางคน

เมื่อเวลา 13.45 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์ว่า ตนตั้งใจทำโครงการดังกล่าว ไม่ได้ต้องการหาประโยชน์เพื่อตัวเอง และไม่เคยคิดว่าในชีวิตจะต้องเจออะไรแบบนี้ เพราะในชีวิตผ่านการรบฝ่าดงระเบิดก็ผ่านมาได้ แต่กรณีนี้กระทบต่อชื่อเสียงที่สั่งสมมาตลอดชีวิต ที่ผ่านมาทำหน้าที่ปราบคนโกง ผู้มีอิทธิพล แต่กลับถูกตราหน้าว่าเป็นคนโกงเสียเอง โครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ คิดว่าเป็นจุดแข็งของตน แต่ไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาจึงรู้สึกเป็นห่วง และต้องแก้กันเป็นห้วงๆ ไป ตอนนี้ทุกอย่างหยุดชะงัก หากเป็นแบบนี้ในระยะยาวจะเกิดความเสียหายต่ออุทยานขึ้น ตนอยากจะตั้งโต๊ะชี้แจงในกรณีที่เป็นปัญหา แต่เวลานี้ถือว่าไม่เหมาะสมแล้ว เพราะเหมาะที่จะให้คณะกรรมการเข้าไปตรวจสอบแล้วจึงแถลง และขอยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่สามารถฮั้วกับคณะกรรมการตรวจสอบของกระทรวงกลาโหมได้ หากจะซักถามอย่างไรต้องเป็นไปตามกระบวนการ

“ทำงานก็ทำกันไป รับเงินมาก็เป็นกระดาษแผ่นหนึ่ง แล้วส่งให้เจ้าหน้าที่ทางการเงิน คนที่ใช้จ่ายก็ไปเบิกตามความเป็นจริง ตามแผนงาน ไม่มีอะไร มีแต่สิ่งดีๆ ทั้งนั้น เราก็เสียใจที่ทำสิ่งดีๆ แล้วมาเป็นถึงขนาดนี้ ไม่ได้ห่วงใยตำแหน่งหรืออะไรหรอก งานที่ทำเราก็ทำไป ไม่ได้บอกว่าจะดีหรือไม่ดี แต่ต้องทำไปเรื่อยๆ” พล.อ.อุดมเดชกล่าวและว่า เสียดายที่การชี้แจงรายรับ-รายจ่ายของกองทัพบกครั้งที่แล้วน่าจะมีการนำรายละเอียดเกี่ยวกับรายรับ-รายจ่ายมาชี้แจงด้วย ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้ ทั้งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สามารถตรวจสอบได้ เช่น การปลูกต้นปาล์มที่ได้รับบริจาคมานั้นและมีข่าวว่าต้นละ 3 แสนบาท แม้จะมีการชี้แจงจาก พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. แต่ยังไม่ชัดเจน เพราะมีบางคนยังตั้งแง่ ทั้งที่การรับบริจาคนั้นเพื่อหาเงินเข้าโครงการ ทำด้วยกันหลายส่วน มีการจัดคอนเสิร์ต ส่วนที่ตนเคยพูดว่าอาจมีการหักค่าหัวคิวของโรงหล่อนั้น ไม่ได้หมายความว่าเป็นการยอมรับว่ามีการรับค่าหัวคิว แต่เหมือนกับค่าตอบแทนบางอย่างระหว่างบริษัทหนึ่งกับบริษัทหนึ่งที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่เกี่ยวกับกองทัพบก

ผู้สื่อข่าวถามกรณีที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระบุว่ามีการทุจริต พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า

“ต้องถามว่าถูกต้องหรือไม่ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แล้วมีคนสองคนเดินมาหาแล้วนำซองเอกสารสีน้ำตาลบางๆมาให้ คุยกันอยู่สักพักเสร็จแล้วมาบอกว่าทุจริตแน่นอน มีที่ไหนเขาทำกัน จริงๆ แล้วทำแบบนี้ผิด เพราะเป็นการชี้นำ เพราะกรรมการที่ตรวจสอบต้องหาคนผิดให้ได้ ต้องเป็นลักษณะที่ว่าเอาข้อมูลมาแล้วไปให้กับ สตง. ป.ป.ช. ไปไล่ดูแต่ละจุดว่ามีความผิดต่างๆ อย่างไร ไม่ใช่ออกมาพูดแบบนี้ อย่างนี้แสดงว่าอย่างไร เป็นนายพรานออกมาจากพุ่มไม้หรืออย่างไร เป็นนายพรานหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ผมไม่ได้ทะเลาะกัน แต่เขาพลาดพลั้งที่พูดไป ถามว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีวุฒิภาวะในตัวเองทุกคน จะต้องมีสติ ไม่ใช่มีธงในใจ พอนักข่าวถามก็ตั้งใจว่าเดี๋ยววันนี้จะฟันแน่ การเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ใช่มีเอกสารอยู่แค่นั้นแล้วจะมาบอกว่าผิดแน่นอน ต้องให้กรรมการเข้าไปตรวจสอบดูบัญชี” 

หัวหน้าเรือนจำมทบ.11 แจ้งเอาผิดเว็บประชาไท

หัวหน้าเรือนจำมทบ.11 แจ้งเอาผิดเว็บประชาไท
Cr:เดลินิวส์
เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. นายนฤพนธ์ แก้วเทศ ผอ.ส่วนควบคุมผู้ต้องขัง เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พร้อมนายบุญญรักษ์ บุญญาธิการ หัวหน้าเรือนจำชั่วคราว แขวงถนนนครไชยศรี ซึ่งตั้งอยู่ในมทบ. 11 เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนปอท. เพื่อแจ้งความเอาผิดกับเว็บไซต์ประชาไท โดยนายบุญญรักษ์ กล่าวว่า เนื่องจากเว็บไซต์ดังกล่าวได้ เผยแพร่บทความพาดพิงตนในฐานะผู้ดูแลเรือนจำชั่วคราวฯระบุว่า ได้รับตัวนายฐนกร ศิริไพบูลย์ ผู้ต้องหาความผิดมาตรา 112 ซึ่งโพสต์แผนผังทุจริตการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ควบคุมไว้ในเรือนจำชั่วคราว 1 คืน ซึ่งไม่เป็นความจริง และตนเคยชี้แจงให้ทราบไปแล้ว การที่เว็บไซต์ดังกล่าว โพสต์ข้อความว่าตนเป็นผู้ให้ข้อมูลดังกล่าวซึ่งเป็นความเท็จ จึงทำให้ตนเสียหาย ตนจึงนำบทความจากเว็บไซต์ดังกล่าว ซึ่งโพสต์เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.ที่ผ่านมา มามอบให้พนักงานสอบสวน พื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบสำนวน เอาผิดกับเว็บไซต์ประชาไท และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาและความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
หัวหน้าเรือนจำชั่วคราวฯกล่าวต่อว่า ตนทำงานในกรมราชทัณฑ์มาแล้ว 27 ปี ที่ผ่านมาดำเนินการตามระเบียบอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการรับตัวผู้ต้องขังไปคุมขัง มีหน้าที่ดำเนินการตามคำสั่งศาลเท่านั้น หากทำเกินคำสั่งถือว่า กระทำผิดระเบียบ และเป็นเรื่องที่สร้างความเสื่อมเสียให้กับองค์กรด้วย เมื่อถามว่า ตั้งข้อสังเกตถึงการออกมาปล่อยข้อมูลในลักษณะนี้อย่างไร หัวหน้าเรือนจำชั่วคราวฯ กล่าวว่า ตนไม่เข้าใจเจตนา แต่สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ เป็นอย่างไรตนไม่เคยให้สัมภาษณ์ การจะให้สัมภาษณ์จะเป็นไปตามคำสั่งและต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาก่อนเท่านั้น.

ทูตสหรัฐฯ-อังกฤษ-นิวซีเเลนด์ แชะภาพร่วม เตรียมพร้อมก่อน"ปั่นเพื่อพ่อ"



วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 14:52:32 น.






ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายมาร์ค เคนท์ (Mark  Kent)เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย นายกลิน เดวีส์ เอกอัคราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย และนายเบน คิงส์ เอกอัครราชทูตนิวซีเเลนด์ประจำประเทศไทย ถ่ายรูปร่วมกันก่อนเข้าร่วมในกิจกรรม Bike for Dad ปั่นเพื่อพ่อ ก่อนทวิตภาพลงในทวิตเตอร์ส่วนตัวของ เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร

ส่วนบรรยากาศที่กระทรวงการต่างประเทศ เป็นที่รวมตัวของ ขบวนนานาชาติ (D1) ซึ่งประกอบด้วย คณะทูตต่างประเทศ ผู้ช่วยทูตทหาร ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่กรมข่าวทหาร ก่อนออกเดินทางปั่นจักรยานจากกระทรวงการต่างประเทศไปร่วมขบวนที่ลานพระราชวังดุสิต

จุฬาราชมนตรีชี้ผลกระทบจากข่าวด้านลบจนมีกระแสต้านมุสลิม


จุฬาราชมนตรีชี้ผลกระทบจากข่าวด้านลบจนมีกระแสต้านมุสลิม ต้องแก้ด้วยการที่รัฐช่วยป้องปราม ขณะที่มุสลิมเองต้องแสดงออกในวิถีที่ทำให้คนเข้าใจตัวเอง
นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทยถึงเรื่องของผลกระทบในด้านลบจากข่าวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุรุนแรงและมุสลิมทั้งในและนอกประเทศ รวมทั้งเรื่องกลุ่มที่เรียกตัวเองว่ารัฐอิสลาม (ไอเอส) และเหตุก่อการร้ายต่าง ๆ โดยยอมรับว่าเท่าที่เห็นขณะนี้รับรู้ได้ว่า เหตุการณ์หลายอย่างได้ทำให้เกิดกระแสต่อต้านมุสลิม แต่ก็เห็นว่าสำหรับสังคมไทยแล้ว อาจจะถือว่ายังไม่มากนัก แต่ก็มีแนวโน้มหรือความเป็นไปได้อยู่บ้างว่าจะรุนแรงได้หากไม่ป้องปราม จุฬาราชมนตรีชี้ว่า เรื่องนี้ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากรัฐ ในขณะที่มุสลิมเองก็ต้องประพฤติตนให้คนเชื่อมั่น
“มุสลิมก็ต้องแสดงตัวให้แตกต่างไปจากผู้ที่มีความคิดใช้ความรุนแรง การแสดงออกของมุสลิมจะเป็นสิ่งที่อธิบายให้คนทั่วไปเข้าใจได้ดีที่สุด มากกว่าการใช้เอกสารหรือการประชาสัมพันธ์ใด ๆ การแสดงออกของมุสลิมต่อคนต่างศาสนา การโอภาปราศรัย มีความรู้สึกเป็นพี่น้องร่วมประเทศ สิ่งนี้จะอธิบายข้อเท็จจริงและลักษณะที่แท้จริงของอิสลาม ต้องเอื้ออาทรต่อคนอื่น โดยเฉพาะคนต่างศาสนา ในสังคมไทยเราไม่มีความแตกต่างทางศาสนาที่จะเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิต ยังไม่เคยมี” พร้อมกับย้ำว่า มุสลิมควรจะศึกษาประวัติศาสตร์ ว่าผู้นำในอดีตเคยปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร แม้กระทั่งคนที่เป็นศัตรูก็ยังช่วยเหลือ ถึงแม้ว่าอาจจะพบกับคนที่ไม่เปิดใจ แต่ก็เป็นหน้าที่ของมุสลิมที่จะต้องแสดงออกให้ชัดเจนถึงความเอื้ออาทรต่าง ๆเพื่อให้เข้าใจถึงความเป็นมุสลิมและอิสลาม
จุฬาราชมนตรีกล่าวว่า กระแสต่อต้านมุสลิมที่ปรากฎในบางครั้ง เช่นเรื่องของการสร้างกระแสจะทำลายมัสยิด ทำให้ที่ผ่านมาได้พยายามขอความร่วมมือกับทางรัฐบาลให้ช่วยยับยั้งกระแสต่อต้านและให้ร้าย แต่อีกด้านก็พยายามบอกมุสลิมไม่ให้ตอบโต้ แต่ให้ใช้วิธีการแสดงออกในการปฏิบัติเพื่อให้เห็นว่าเป็นมิตรและไม่ใช่ศัตรู
“เราก็เคยขอให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหานี้ เพราะมันเป็นเรื่องของความมั่นคงของชาติด้วย ช่วยหาทางยับยั้งกระแสในเรื่องการต่อต้านก่อนที่มันจะบานปลาย ขณะที่มุสลิมก็ต้องตรวจสอบตัวเอง” จุฬาราชมนตรีกล่าว
อย่างไรก็ตาม จุฬาราชมนตรีเห็นว่า ไม่น่าจะมีอะไรรุนแรงมากสำหรับคนเอเชีย โดยเฉพาะสำหรับสังคมไทย เพราะชาวพุทธเองก็เป็นผู้ที่รักความสงบเช่นกัน แต่จุดที่น่าเป็นห่วงอีกจุดหนึ่งคือมือที่สาม ที่อาจจะสร้างสถานการณ์ให้รุนแรงมากขึ้นได้ จึงต้องฝากให้รัฐบาลดูแลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ในโอกาสต่อไป ความขัดแย้งทางศาสนาไม่ควรจะเกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะว่าเกิดแล้วแก้ไขได้ยาก

ระหว่างสถาบัน-คนที่เรียกว่าตำรวจ เปลว สีเงิน

11122558 ระหว่าง "สถาบัน-คน" ที่เรียกตำรวจ เปลว สีเงิน
เมื่อเอ่ยชื่อ "พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์" คงรู้จักกันดี?
ท่านเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๘ และหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา
เมื่อมีคำสั่งย้ายไปประจำศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.)
ท่านลาออกจากราชการตำรวจ!
เหตุลาออก ฟังที่ท่านบอกนักข่าว เพราะรู้สึกว่าการย้ายนั้นไม่เป็นธรรม ที่สำคัญ จากการทำคดีนี้ มีผลให้ข้าราชการทั้งทหาร-ตำรวจ และผู้มีอิทธิพล ตกเป็นผู้ต้องหาจำนวนมาก
และนั่นเป็นเหตุให้ทั้งตัวท่าน-ครอบครัว "ตกอยู่ในอันตราย" ด้วยถูกข่มขู่-คุกคาม หมายปองชีวิตมาตลอด
เมื่อถูกย้ายไปอยู่ชายแดนภาคใต้เช่นนี้ ก็เหมือนถูก "ส่งไปตาย"!
ท่านไม่ได้พูดคำนี้.........
แต่ความหมายทำนองนี้ และเมื่อผู้บังคับบัญชาไม่ยอมทบทวนคำสั่ง เพื่อรักษาชีวิตตัวเองและครอบครัว จึงตัดสินใจยื่นใบลาออก
ทั้งที่อายุราชการเหลืออีก ๓ ปี!
แล้วเมื่อวาน (๑๐ ธ.ค.๕๘) ก็มีข่าวใหม่ หลังได้รับอนุมัติการลาออกเรียบร้อยแล้ว ท่านพาครอบครัวไปพักผ่อนที่ออสเตรเลีย
ที่นั่น ท่านให้สัมภาษณ์นักข่าวโทรทัศน์ ABC ของออสเตรเลีย ว่าจะไม่กลับมาไทยแล้ว
จะยื่นขอลี้ภัยทางการเมืองต่อรัฐบาลออสเตรเลีย หวังลงหลักปักครอบครัวอยู่ออสเตรเลียเลย!
เหตุผลคือ..........
"กลัวตาย" จากการ "เอาคืน" ของแก๊งค้ามนุษย์!
นักข่าวถาม ในฐานะเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีโรฮีนจา ถึงวันศาลนัด จะกลับไปขึ้นศาลมั้ย?
ท่านตอบ...ไม่!
ครับ...สรุปเรื่องราวก็จบตรงนี้ ความจริง เรื่อง พล.ต.ต.ปวีณนี้ ผมเห็นใจ แอบให้กำลังใจท่านแต่แรก ด้วยเข้าใจความรู้สึก ทั้ง ๒ ประเด็น
คือประเด็น "ทำความชอบ ผู้บังคับบัญชากลับย้ายไปประจำชายแดนเป็นรางวัลตอบแทน"
กับประเด็น ตัวเองและครอบครัว ถูกข่มขู่-คุกคามเอาชีวิต จากการทำหน้าที่พนักงานสอบสวนตงฉิน แต่ผู้บังคับบัญชากลับไม่อินังขังขอบ
เป็นใคร....ใครก็น้อยใจเป็นธรรมดา!
แต่มาฟังเมื่อวาน ทำให้ต้องนั่งทบทวนอะไรบางอย่าง?
ตอนแรก บอก...ลาออกแล้ว จะพาครอบครัวไปพักผ่อนต่างประเทศสักระยะ
แต่วันนี้ บอกจะขอลี้ภัยการเมืองอยู่ต่างประเทศเลย ไม่กลับมาไทยแล้ว?
สรุป...
ผมชักไม่แน่ใจ "พล.ต.ต.ปวีณ" ต้องการอะไรกันแน่?
ดูประวัติแล้ว ท่าน "เลือดตำรวจ" ร้อยเปอร์เซ็นต์ คือจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ที่สามพราน โดยตรง
พูดที่ไหน...ใครจะเชื่อ ถ้าคนกลัวตาย กลัวโจร กลัวอิทธิพล ก็ต้องไปสอบเข้าโรงเรียนเย็บปักถักร้อย
แต่นี่ พล.ต.ต.ปวีณ กลับสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งใครก็รู้ นอกจากต้องแข่งขันกันชนิดเลือดตากระเด็นแล้ว
ใจต้องรัก..ใจต้องรู้ ว่าตำรวจนั้น เมื่อเข้าไปเป็นแล้ว ด้วยภาระ-หน้าที่อันเป็นจิตวิญญาณผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ต้องเจออะไรบ้าง?
"อำนาจ-โจร-ปืน-ในกฎหมาย-เหนือกฎหมาย-ตาย-อยู่-ไม่มึงก็กู...ต้องไปกันข้าง"
ถ้า "ตำรวจ-ทหาร" บอก.....กลัวตาย
ผมว่า "เรื่องใหญ่" กว่าระเบิดลงกองบัญชาการตำรวจแห่งชาติ และกองทัพบกอีก!
ชีวิตทหาร-ตำรวจ เมื่อผู้บังคับบัญชาย้ายไปอยู่ในที่ไม่ถูกใจ เสี่ยงภัย-เสี่ยงอันตราย บ้านไร่-ปลายแดน ต่อรองไม่ได้ ก็พากันลาออก
แล้วแบบนี้......
ประเทศชาติ จะมีกองทัพ-กองตำรวจไว้เพื่ออะไร?
มนุษย์ทุกคน นอกจากพระอรหันต์แล้ว มีใครรู้ "ที่ตาย" ตัวเองบ้าง?
พล.ต.ต.ปวีณ รู้ได้อย่างไรว่า ย้ายไปประจำศูนย์ชายแดนภาคใต้แล้วต้องตาย อยู่ที่อื่น ที่ไม่ใช่ชายแดนใต้ แล้วจะไม่ตาย
อย่างขอลี้ภัยอยู่ออสเตรเลีย........
สมมุติแก๊งค้ามนุษย์จะ "เอาคืน" จริงๆ ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่า อยู่ออสซี่แล้วปลอดภัย มันมาเอาคืนไม่ได้?
ด้วยแนวคิดตามทัศนคติท่าน ทำคดีไหนตงฉิน เอาคนมีสี-มีเส้น-มีเงิน-มีอิทธิพลเข้าคุกแล้ว ชีวิตจะไม่ปลอดภัย
แบบนี้...ตำรวจทั้งฝ่ายปราบและฝ่ายสอบสวนอีกครึ่ง-ค่อนสถาบันวันนี้ก็ไม่มีใครปลอดภัยแล้ว ต่างตกอยู่ใต้การข่มขู่-คุกคามพวกโจรทั้งนั้น
แล้วจะทำยังไงดี........!
ในเมื่อตำรวจกลัวโจรซะแล้ว ผมก็ยังคิดวิธีแก้ไม่ตก หรือต้องพากันลาออก แล้วขอลี้ภัยโจร ไปอยู่ต่างประเทศกันให้หมด?
ชีวิตข้าราชการ ไม่ว่าข้าราชการพลเรือน ข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ.....
คำว่า "ไม่เป็นธรรม" มันคู่กับคำว่า "ถูกย้าย" มาตั้งแต่พระเจ้าชักกระดูกซี่โครงอดัมไปปั้นเป็นอีฟโน่นแล้ว!
ใครที่คิดว่าโลกนี้มีความเป็นธรรม หรือไม่มีความเป็นธรรม ขอให้รู้ไว้นั่น...คิดนั้นก็ไม่เป็นธรรม
ทุกวงการ ทุกคน ทุกหน่วยงาน ถ้าคิดหาเหตุผลในการย้าย ก่อนจะหา... ต้องรู้จักด้วยเข้าใจคำว่า "หน้าที่" ในงานที่ตัวเองอาสาเข้ามาก่อน
หา-ด้วยเข้าใจภาระ-หน้าที่พบ ก็จะพบเหตุและผลในการย้าย
เมื่อพบแล้ว.......
บั้นปลายของการย้าย ก็จะเข้าใจเองในคำว่า "เป็นธรรม-ไม่เป็นธรรม" คืออะไร!
สมัยผมเป็นนักข่าวโรงพัก พวกสารวัตรใหญ่ จำใจอดเปรี้ยวไปกินหวาน ต้องย้ายก้นไปนั่งปากแห้งในตำแหน่ง "รองผู้กำกับ"
ผู้กำกับก็เหมือนกัน ไม่มีใครอยากไปนั่งหาวในตำแหน่ง "รองผู้บังคับการ" แต่มันจำเป็น...ต้องไป
นี่คือตัวอย่าง ทุกคนในระบบรู้ จากสารวัตรใหญ่จะพรวดขึ้นผู้กำกับย่อมไม่ได้ และจากผู้กำกับระดับ พ.ต.อ.จะพรวดขึ้นเป็นผู้บังคับการ ระดับ พล.ต.ต.ก็ไม่ได้
ต้องยอมถูกย้ายไปอยู่ในที่ "ต้องจำใจ" เพื่อรอขึ้นเก้าอี้ที่ใหญ่กว่าเดิมกันแทบทั้งนั้น
พล.ต.ต.ปวีณนั้น ดูตามประวัติ ท่านเป็นนายตำรวจผลงานดีเด่นเหนือใครๆ ใน นรต.รุ่น ๓๕
และชีวิตตำรวจ เติบโตวนเวียนอยู่ในภาคใต้มาตลอด!
เนี่ย...ดูแล้ว ก่อนลาออก อยู่ในตำแหน่ง "รองผู้บัญชาการ" ถ้าอดใจไปอยู่ชายแดนใต้ซักพัก ด้วยความเจิดจ้าพิชิตคดีโรฮีนจา
อดใจซักพัก เก้าอี้ "ผู้บัญชาการ" ด้วยยศ พล.ต.ท.จะต้องมาเป็นคำตอบของคำว่า "เป็นธรรม-ไม่เป็นธรรม" ค่อนข้างแน่
แต่ในเมื่อตัดสินใจเช่นนี้ ก็ต้องเคารพการตัดสินใจท่าน แต่ที่บอก...จะไม่มาทำหน้าที่ในศาล ในคดีโรฮีนจาที่ท่านเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนนั้น
อืมมมมม....!?
เอาล่ะ...ถึงยังไงผมยังให้เกียรติที่จะไม่เชื่อตามที่ท่านย้ำ "กลัวโจร" ถึงขั้นลาออก หนีตายขอลี้ภัยไปอยู่นอกประเทศ
แต่ถ้ามี "ตำรวจกลัวโจร" จริงๆ ล่ะก็ ผมอยากขอเพิ่มเติม
ขอให้ตำรวจ "กลัวบาป" บ้าง บุญจะได้มีตกถึงประชาชน!
ไหนๆ ท่านก็ลาออก ไปดี-ลี้ภัยรอดแล้ว........
แต่สถาบันตำรวจยังอยู่ ตำรวจอีกหลายแสนนาย ยังต้องเป็น "งูเห่า-พังพอน" กับสุจริตชนและทุจริตชนอีกนานแสนนาน
เห็นแก่รูปปั้น "ตำรวจอุ้มประชาชน" หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติเถอะ หยุดให้สัมภาษณ์หรือบอกใครต่อใครว่า...ที่ลาออก ที่ต้องขอลี้ภัย
เพราะเป็นตำรวจ "กลัวตาย"
เพราะถูกย้ายไปอยู่ ๓ จว.ใต้...กลัวแก๊งค้ามนุษย์เอาคืนเลย!
ผมอยากให้ "ความทรงจำดีๆ" ของผม ที่มีต่อตัวอ่าน สวยงามอยู่ตลอดไป
ไม่อยากเห็น-ไม่อยากได้ยินท่านพูดด้านร้ายกับสถาบันที่ท่านเลือกเข้าไปอยู่-เข้าไปเป็นเองแต่แรก
เพราะอย่างน้อย "สถาบันตำรวจ" ก็สถาบันของชาติ
สถาบันไม่เคยชั่ว ไม่เคยเลว ไม่เคยอคติ-ลำเอียง ยุติธรรม-อยุติธรรมกับตำรวจหรือประชาชนคนไหน
มีแต่คนที่เข้าไปอาศัย-ไปแฝงสถาบันตำรวจในเครื่องแบบ "ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์" บางคน-บางพวกนั่นแหละ
มันชั่ว-มันเลว บางคน เป็นใบบัว "บังโจร"!
ก็หวังท่านอยู่จะได้ช่วยพยุงบ้าง แต่เมื่อตัดช่องน้อย ผมก็พลอยเศร้าครับ.

เตรียมจับแอดมินเพจกว่า20คน เล็งเอาผิดอีกกว่า100คนร่วมไลค์-แชร์



วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 10:11:37 น.


กรณี พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานด้านกฎหมาย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อม พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ เสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชาฝ่ายกฎหมาย คสช. เข้าพบพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายฐนกร หรือเอฟ ศิริไพบูลย์ อายุ 27 ปี ชาว อ.เมืองสมุทรปราการ ที่ทหารเข้าควบคุมตัวเมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา เนื่องจากสืบสวนพบว่าเป็นผู้โพสต์แผนผังการทุจริตโครงการราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในข้อหาหมิ่นเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, ข้อหาปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2550 นั้น

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พนักงานสอบสวน บก.ป.เข้าขออำนาจศาลทหารเพื่อออกหมายจับนายฐนกร และศาลได้พิเคราะห์หลักฐานแล้วจึงอนุมัติออกหมายจับเลขที่ 63/2558 ให้จับกุม นายฐนกรในข้อหาตามมาตรา 112 มาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2550
        
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่พบว่า แอดมินของเพจ “สถาบันคนเสื้อแดงแห่งชาติ” มีจำนวนกว่า 20 คน ขณะนี้เจ้าหน้าที่มีข้อมูลของแอดมินทั้งหมดแล้ว อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเตรียมดำเนินคดี นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังรวบรวมรายชื่อเจ้าของเฟซบุ๊กที่เป็นสมาชิกเพจดังกล่าว ที่กดถูกใจและแชร์ข้อความหรือรูปภาพที่ไม่เหมาะสม ส่อเค้าว่าจะกระทำความผิดข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูงฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เอาไว้ทั้งหมดแล้ว สำหรับเรื่องดังกล่าวฝ่ายกฎหมายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะ ดำเนินการจับกุมบุคคลที่ทำผิดกฎหมายในลักษณะที่ส่อว่า เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างเด็ดขาด หลังจากนี้จะออกหมายจับกลุ่มบุคคลในฐานความผิดนี้เพิ่มเติมอีกหลายร้อยราย