PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2561

แจงนักข่าวช่างภาพต้องโค้งนายกฯก่อนถ่าย

ช่างภาพ-นักข่าว ต้องโค้งคำนับ “บิ๊กตู่”!!

“บิ๊กตู่” รีบแจง กฏเหล็ก ช่างภาพ-นักข่าว  ของเก่าปี2558 สันติบาลแค่จะยกระดับมาตรการรปภ.ให้เป็นสากล ยันไม่ได้บังคับต้อง “โค้งคำนับ”ก่อนและหลัง ถ่ายภาพนายกฯ สั่งสันติบาลทบทวนและ ถอนออกจากข้อปฏิบัติ
ชี้ไม่อยากให้เกิดความเข้าใจผิด ส่งผลกระทบต่อการทำงาน

พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด.  กล่าวถึงกรณีที่มีการเผยแพร่เอกสารเกี่ยวกับข้อปฏิบัติของช่างภาพสื่อมวลชนทางโซเชียลมีเดีย ออกโดยกองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 ซึ่งมีเนื้อหาระบุถึงมารยาทในการถ่ายภาพ และข้อควรปฎิบัติในการบันทึกภาพ ว่า

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารตั้งแต่ปี 2558 จึงไม่เข้าใจว่าทำไมถูกนำมาเผยแพร่ตอนนี้ จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันในกลุ่มสื่อมวลชนและคนที่ได้พบเห็น 

โดยนายกฯ ไม่ต้องการให้เกิดความเข้าใจผิด หรือเกิดปัญหาการทำงานระหว่างทีมนายกรัฐมนตรีและสื่อมวลชน

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อว่าวัตถุประสงค์ของการออกข้อปฏิบัติในขณะนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจคงมีความปรารถนาดีต้องการให้การปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยผู้นำประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และตั้งใจจะยกระดับการทำงานของทั้งเจ้าหน้าที่และสื่อมวลชนให้มีความเป็นสากล และมีมาตรฐานเช่นเดียวกับนานาประเทศ

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาความเป็นจริงตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้บังคับใช้ข้อปฏิบัตินี้โดยเคร่งครัดแต่อย่างใด 

ส่วนเรื่องใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับมาตรการรักษาความปลอดภัย เช่น โค้งคำนับก่อนและหลังการถ่ายภาพ ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของช่างภาพ นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้กองบัญชาการตำรวจสันติบาลไปพิจารณาทบทวนและถอนออกจากข้อปฏิบัติ เพราะคนจะเคารพหรือให้เกียรติกันนั้นขึ้นอยู่กับวัตรปฏิบัติของแต่ละบุคคล

กทม. เร่งป้องกันไข้เลือดออกระบาด ‘หนองจอก-บางกะปิ-ดินแดง’ ตายแล้ว 3 ราย

กทม. เร่งป้องกันไข้เลือดออกระบาด ‘หนองจอก-บางกะปิ-ดินแดง’ ตายแล้ว 3 ราย


เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม นพ.ชวินทร์ ศิรินาค ผู้อำนวยการสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า กรุงเทพมหานครห่วงใยสุขภาพอนามัยประชาชนสอดคล้องกับนโยบายพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม. เนื่องจากสถานการณ์โรคไข้เลือดออกในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม-3 กรกฎาคม 2561 พบมีผู้ป่วยสะสม จำนวน 3,701 ราย คิดเป็นอัตราป่วยสะสม 65.13 รายต่อประชากรแสนคน เมื่อเทียบกับอัตราป่วยโรคไข้เลือดออกของประเทศ พบกทม.อยู่ในลำดับที่ 30 ซึ่งปัจจุบันพบมีผู้เสียชีวิตแล้ว 3 รายในเขตหนองจอก ดินแดงและบางกะปิ จึงให้ทุกหน่วยงานบูรณาการกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออก ขณะเดียวกัน สำนักอนามัยจะเร่งรณรงค์ในการทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายในเดือนสิงหาคมนี้
นพ.ชวินทร์ กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ประกอบด้วย 1.การควบคุมโรค โดยจัดทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว (SRRT) ลงดำเนินการสวบสวนการระบาดเมื่อพบผู้ป่วย รวมถึงสำรวจ ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายทั้งในบ้านและบริเวณรอบบ้าน และพ่นสารเคมีกำจัดยุงตัวเต็มวันในรัศมี 100 เมตร รอบบ้านผู้ป่วย ภายใน 24 ชั่วโมง โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในวันที่ 3,7,14,21,28 นับจากวันแรกที่เข้าควบคุมโรค 2.การเฝ้าระวังไข้เลือดออก สำนักอนามัยได้ติดตามสถานการณ์โรคอย่างใกล้ชิด ตรวจจับการระบาดของโรคในพื้นที่และแจ้งเตือน มีการสำรวจ ทำลายแหล่งเพาะพันธ์ุในพื้นที่เสี่ยงทุกสัปดาห์ ได้แก่ ย่านชุมชน โรคเรียน ศาสนสถาน สถานพยาบาลและสวนสาธารณะ โดยมีเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบจะร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขดำเนินการประชาสัมพันธ์และแจ้งเตือนสถานการณ์ และ 3.การขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้ดำเนินการตามหลัก “3 เก็บ 5 ป.” คือ เก็บบ้านให้เรียบร้อย เก็บขยะ กำจัดพาชนะที่อาจมีน้ำขัง เก็บน้ำ กำจัดแหล่งน้ำไม่ใช้ประโยชน์

ด้าน นพ.เมธิพจน์ ชาตะเมธีกุล ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคติดต่อ สำนักอนามัย กล่าวว่า พบผู้เสียชีวิตรายแรกจากไข้เลือดออกในเขตหนองจอก ส่วนรายที่ 2 พบในพื้นที่เขตดินแดงและรายที่ 3 พบในเขตบางกะปิ โดยผู้ป่วยเสียชีวิตไล่เลี่ยกันเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ส่วนสาเหตุโรคไข้เลือดออกระบาดมากในช่วงนี้เพราะมีฝนตกชุก เกิดน้ำขังตามพาชนะต่างๆ ทำให้กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ขณะที่ประชาชนอาจจะชะล่าใจในการป้องกันโรคไข้เลือดออก ฉะนั้น จึงแนะนำให้ประชาชนป้องกันอย่าให้ยุงกัด โดยการสวมใส่เสื้อผ้าอย่างมิดชิด ทาครีมหรือพ่นสเปรย์ไล่ยุง จุดยากันยุง ฉีดสเปรย์ฆ่ายุง กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายตามหลัก 3 เก็บ ทั้งนี้ หากมีอาการสำคัญเสี่ยงเป็นโรคไข้เลือดออก คือ ไข้สูงลอย หน้าแดง ปวดศรีษา ปวดเมื่อกล้ามเนื้อ เกิน 3 วัน รวมถึงมีอาการเหนื่อยหน้ามือ ใจสั่น เลือดกำเดาออกให้รีบแพทย์ทันที

เลี่ยงเต้นเข้าล็อกป่วน

เลี่ยงเต้นเข้าล็อกป่วน



เหมือนจะเบื่อๆอยากๆ สำหรับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ที่ประกาศตัวไปแล้วว่าเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ ป้ายแดง
อาการไม่ค่อยอยากเอ่ยถึงปมร้อนการเมืองของ “บิ๊กตู่” ก็น่าจะพอเข้าใจได้ คงไม่อยากเสียสมาธิ ไม่วอกแวก กระทบคิวปั่นงานโค้งสุดท้าย อย่างที่โฆษกรัฐบาลเอ่ยอ้าง
ล่าสุดทั้งคิวของอดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ แตกทัพ พาดพิงเผาค่ายเก่า “สมคบคิด” โค่นรัฐบาลขั้วนายใหญ่ หรือกระบวนการในการขอตัวอดีตนายกฯหญิงที่หนีคดีต่อประเทศอังกฤษ
ผู้นำโบ้ยตอบรายละเอียดทุกปม
แต่ทั้งนี้ไม่ต้องห่วง “บิ๊กตู่” จะส่งสัญญาณแฝงใดๆไปกระทบโรดแม็ปคืนอำนาจ
เพราะล่าสุดยืนยันอีกรอบ “อย่างไรปีหน้าต้องเลือกตั้งอยู่แล้ว”
ย้ำกำหนดการเข้าคูหากาคะแนน เป็นไปตามโปรแกรมเดิม
นั่นก็วิเคราะห์ได้ถึงทิศทางของอำนาจพิเศษ เคลื่อนไปตามจังหวะ ลงล็อกตามพิมพ์เขียวที่วางไว้ ทั้งการคุมโจทย์ความมั่นคง ดูแลความสงบเรียบร้อยหลังเข้ามาเบรกวิกฤติขัดแย้งในห้วงเปลี่ยนผ่าน
ปักหมุดเป้าหมาย สานต่อเก็บงานให้เรียบร้อย
บรรดาขุมข่ายการเมือง กองหนุนตีตั๋วต่อ แบ่งงานกันทำเข้าเป้า ทั้งกลุ่มสามมิตร แนวร่วมของพรรคพลังประชารัฐ คึกคักจนเริ่มล้น ค่ายรวมพลังประชาชาติไทย ซอยแต้มขั้วจอมดื้อประชาธิปัตย์ได้พอสมควร
แผนปั้น “บิ๊กตู่” เข้าสู่ระบบผู้นำหลังเลือกตั้งแนวโน้มไปโลด
ในจังหวะที่สูตรกันอำนาจพิเศษสีเขียวลายพรางออกนอกวงนั้น ดูตามรูปเกมแล้ว เพื่อไทยบวกประชาธิปัตย์ “ต้านท็อปบูต” ยังเป็นไปได้ยาก เมื่อขั้วคู่กรณีเก่ายังค้างคาปมขัดแย้ง
ยังอยู่ในโหมด “น้ำผสมน้ำมัน”
มองข้ามช็อตให้ทั่นผู้นำ ก็น่าจะเหลืองานยากอยู่ 2 ปม ประเมินทางไกลก่อนก็ต้องบอกว่า “บิ๊กตู่” อาจจะต้องศึกษาบทเรียนจากอดีตในสูตรการเป็นผู้นำรัฐบาลผสม รวมพลคนการเมืองเขี้ยวงาโง้ง ดีกรีต่อรองสูง
ถึงแม้ในเวลานั้น จะมีน้องๆในกองทัพแบ็กอัพ พลังสัญญาณพิเศษหนุนหลัง ก็เบาใจแค่ระดับหนึ่ง
อย่างไร “บิ๊กตู่” ก็ต้องศึกษาตำรับผู้นำรัฐบาลผสมในอดีต ทั้งทฤษฎีฤาษีเลี้ยงลิง-โมเดลเตมีย์ใบ้ คุมเกมป่วน
ส่วนปมปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องเคลียร์ให้จบงานกันก่อน กับโจทย์แก้เศรษฐกิจฐานราก เป้าหมายหลักหนุนแผนตีตั๋วต่อ ที่เวลานี้จึงเห็นชัดว่า สารพัดมาตรการโครงการอัดฉีดทยอยปล่อยออกมา
ทั้งโครงการจำนำยุ้งฉางอุ้มราคาข้าว ถัดจากงบฯลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง มอเตอร์เวย์ ถนนหนทางใหม่ๆ ฯลฯ
และที่ยิงตรงสู่คนจน สารพัดแบรนด์ประชารัฐ ทั้งเพิ่มงบฯบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เปิดแอปพลิเคชัน “ถุงเงินประชารัฐ” ยิงเข้าโค้ดโทรศัพท์มือถือ ซื้อของร้านโชห่วย ร้านเล็กร้านย่อย กระทั่งแผงลอย แบกะดิน
ทลายท่อสู่ฐานรากอุดตัน ล้างข้อหาเอื้อร้านใหญ่นายทุน
ไม่เท่านั้น เร็วๆนี้กระทรวงการคลังเตรียมเสนอ ครม.เพิ่มสิทธิผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ใช้สิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรคฟรี ตั้งแต่เดือน ก.ย.นี้ และกำลังศึกษาแนวทางการคืนแวตให้ผู้มีรายได้น้อย
ผู้มีรายได้น้อย 11 ล้านรายเป็นเป้าหมายล้างจน อัดฉีดฟื้นฐานราก โกยแต้ม
เรียกว่าถึงจุดที่ “บิ๊กตู่” เริ่มวางใจสเต็ปการเมือง พุ่งเป้าไปที่ปั่นงาน ที่สำคัญไม่อยากเสียสมาธิในห้วงที่ขั้วนายใหญ่เริ่มขยับเกม
เพราะสังเกตได้ ทั้งคิวอดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์แปรพักตร์ไปซบค่ายนายใหญ่ โยนบอมบ์ใส่บ้านเก่าลากลามกองทัพและรัฐบาล คสช. และประเด็นการขอตัว “ยิ่งลักษณ์” โยงเครือข่ายขั้วนายใหญ่เปิดเกมเอง
จึงถึงจังหวะที่ “บิ๊กตู่” ต้องนิ่งดูทิศทางลม ไม่เต้นจนเข้าล็อก ในอีกทางสู้ของ “ทักษิณ”
ไม่ให้พลาดเป็นแนวร่วมมุมกลับ ช่วยโหมกระแสป่วนเสียเอง.
ทีมข่าวการเมือง

ระเบียบใหม่ทำข่าวนายกฯ

เอาใจนายกฯ ออกระเบียบให้ช่างภาพ สื่อมวลชนทำความเคารพก่อนและหลังในการถ่ายภาพ ห้ามห้อมล้อมและอยู่ห่าง 5 เมตร เพื่อไม่ให้กีดขวางทาง ของนายกรัฐมนตรี 

– ออกระเบียบช่างภาพ ห้ามเข้าใกล้นายกฯ / ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.)ว่า เมื่อเวลา 09.30 น.นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดงาน Thailand Social Expo 2018 ที่ฮอลล์ 5 – 7 อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี
ทั้งนี้ ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางมาถึงเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของอิมแพค เมืองทองธานีได้ทำตามตรวจ(สกรีน)บุคคลที่จะเข้าร่วมงานอย่างบะเอียดเข้มงวด โดยทุกคนจะต้องเดินผ่านเครื่องสแกนวัตถุต้องสงสัย รวมทั้งต้องลงทะเบียนติดบัตรและติดสติ๊กเกอร์เพื่อแสดงว่าผ่านการตรวจเรียบร้อยแล้วทุกคน กระเป๋าแบะวัตถุแปลกปลอมจะต้องแสดงกับเจ้าหน้าที่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า และวันเดียวกันนี้ (3 ส.ค.) เป็นที่น่าสังเกตว่าเจ้าหน้าที่ได้มีความเข้มงวดกับสื่อมวลชนและช่างภาพที่จะเข้าปฎิบัติหน้าที่ภายในบริเวณงาน และเป็นครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่จากกองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 จัดทำใบลงทะเบียนสำหรับช่างภาพสื่อมวลชนโดยให้มีการลงชื่อ สังกัด และเบอร์โทรศัพท์อย่างชัดเจน มีการจดเลขที่ไอดีการ์ดบัตรประชาชน
ซึ่งข้อกำหนดมีเนื้อหาดังนี้ มารยาทในการถ่ายภาพของช่างภาพสื่อมวลชน 1.ต้องอยู่ในลักษณะเคารพต่อนายกรัฐมนตรีและแสดงความเคารพทั้งก่อนและหลังถ่ายภาพ 2. การแต่งกายที่สุภาพบุรุษชุดสูทสากล สุภาพสตรีชุดกระโปรง รองเท้าหุ้มส้น
3.กล้องที่จะนำมาบันทึกภาพต้องผ่านการตรวจและติดแท็กที่ได้รับอนุญาตจากตำรวจสันติบาล 4. จะอนุญาตให้เฉพาะช่างภาพที่ลงทะเบียนและติดต่อแผนที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น 5.ไม่แสดงกริยาวาจาหรือมารยาทอันไม่สมควร
6.ในการถ่ายภาพควรอยู่ห่างจากนายกรัฐมนตรี 5 เมตรเป็นอย่างน้อย 7. ไม่ควรเบียดเสียดกันถ่ายภาพหรือถ่ายภาพลักษณะยืนขำศรีษะผู้อื่นหรือยื่นกล้องถ่ายภาพในลักษณะถ่ายภาพข้ามท่าน
สำหรับข้อควรปฎิบัติในการบันทึกภาพ 1.ต้องไม่ถ่ายภาพตรงหน้า ขณะที่นายกรัฐมนตรีอยู่ในห้องรับรอง 2.ห้ามถ่ายภาพขณะเดินขึ้นหรือลงจากที่สูงเช่นบันได ฯล 3.ห้ามถ่ายภาพขณะรับประทานอาหาร 4.ห้ามออกนอกสถานที่ที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ วิ่งตัดหน้า วิ่งลุกลนหรือห้อมล้อมกีดขวางทางเดิน
5.ให้บันทึกได้ในจุดหรือสถานที่ที่เจ้าหน้าที่ได้จัดไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม 6.การใช้ไฟฉายใช้ได้ในทุกโอกาส แต่การถ่ายไฟไม่ควรเกิน 1,500 วัตต์และควรอยู่ห่างจากห้องรับรอง 7.หากฝ่าฝืนมารยาทข้อควรปฏิบัติหรือไม่เชื่อฟังคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ จะถูกริบปลอกแขนและห้ามบันทึกภาพ
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีการวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของพล.อ.ประยุทธ์ ทั้งในและต่างประเทศ โดยล่าสุด JAKARTA POST สื่อหลักอินโดนีเซียตีพิมพ์บทความแนะ อย่าให้ผู้นำเผด็จการทหารไทยนั่งเป็นประธานอาเซียนในปีหน้า
โดยมีเนื้อหาของบทความระบุว่า “การรัฐประหาร (junta)ของไทยไม่คู่ควรกับตำแหน่งท่ามกลางคลื่นที่แข็งแกร่งของความประชาธิปไตยในภูมิภาคนี้ ( democratization) ประเทศไทยสมควรได้รับสิทธิ์ในการนั่งเก้าอี้ประธานอาเซียน แต่ไม่ได้อยู่ภายใต้การรัฐประหาร( junta)
และก่อนที่จะนั่งเก้าอี้ประธานอาเซียนในปีหน้าพล.อ.ประยุทธ์ ควรเติมเต็มความมุ่งมั่นของเขาในการเลือกตั้งฟรีและประชาธิปไตย ถ้าเขาไม่ทำอย่างนั้นเขาไม่ควรนั่งเก้าอี้ในปีหน้า” น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ประกาศที่จะไม่ตอบโต้และพูดประเด็นการเมืองในช่วงนี้ และคาดว่า จะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่เจ้าหน้าที่เข้มงวดกับการทำงานของช่างภาพและสื่อมวลชน
ที่มา : นสพ.ข่าวสด 
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_1400601