PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2562

สบายใจ

ให้ คนดีปกครองบ้านเมือง! 

จบเลือกตั้ง แล้ว “บิ๊กตู่” ชวนนำพาประเทศไทย ไปสู่ความสงบสันติอย่างยั่งยืน เตรียมจัดพระราชพิธีฯ ยกแนวทาง “รัชกาลที่9-รัชกาลที่ 10 “ ให้คนดีปกครองบ้านเมือง... ลั่น คนไม่ดีก็ต้องถูกดำเนินการ....ยันยังไม่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งรัฐบาล

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า  ผมยังไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดตั้งรัฐบาล ทั้งหมดเป็นเรื่องของฝ่ายการเมือง อย่างไรก็ตามในฐานะนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ขอขอบคุณคนไทยทุกคน ที่ร่วมกันแสดงพลังในการมาออกเสียงเลือกตั้งเป็นจำนวนมากพอสมควร ผมก็จะตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่ของผมในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรี หัวหน้าคสช. และรัฐบาล ไปจนมีรัฐบาลใหม่ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ"

ตอนนี้เมื่อเราได้ให้กำลังใจในเรื่องประชาธิปไตยและเลือกตั้งให้ไปแล้วเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สงบ สันติ 

ผม จึงอยากให้ทุกคนกลับมามุ่งสู่พิธีสำคัญของเรา คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งจะมีในหลายกิจกรรมด้วยกันโดยจะเริ่มตั้งแต่เม.ย.เป็นต้นไป รัฐบาลได้มีการแต่งตั้งคณะทำงาน คณะกรรมการในระดับจังหวัดเพื่อเตรียมการในเรื่องเหล่านี้ 

โดยพิธีจะเริ่มจากพิธีพลีกรรม ตักน้ำ ตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย.เป็นต้นไป โดยพระราชพิธีดังกล่าวจะมี 3 ห้วงด้วยกัน คือ ช่วงก่อนพิธีบรมราชาภิเษกในเดือน เม.ย. จากนั้นก็จะเป็นในช่วงเดือนพ.ค. ระหว่างวันที่ 4-6 พ.ค. และจะมีพิธีหลังจากนั้นอีกช่วงหนึ่งในเดือนเดียวกัน ซึ่งมีหลายกิจกรรมและหลายโครงการ ที่เป็นของรัฐบาลและหน่วยงานต่างๆที่มีส่วนร่วม ซึ่งได้มีการเสนอโครการต่างๆเข้ามาและคณะกรรมการได้พิจารณาแล้ว ซึ่งพิธีเหล่านั้นพวกเราทุกคนจะต้องทำให้สมพระเกียรติ บ้านเมืองจะต้องสงบเรียบร้อย มีความรักความสามัคคี 

"ผมอยากให้ใช้โอกาสนี้นำพาประเทศไทย ไปสู่ความสงบสันติอย่างยั่งยืน ตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่9 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เพื่อประเทศไทยของเรา" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในส่วนของรัฐบาลจะเดินหน้าทำหน้าที่แก้ไขปัญหาให้ประชาชนต่อไป โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจฐานรากที่ยังมีปัญหามาก ซึ่งที่ผ่านมาทุกๆรัฐบาลก็ยังแก้ปัญหาไม่เสร็จ แต่รัฐบาลนี้ได้พยายามที่จะแก้ปัญหา เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถ 

ยืนยันว่าประเทศไทยยังมีความหวังทุกอย่าง การเมืองก็ต้องศึกษาสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่ใช่มองปัญหาแต่ในประเทศเราอย่างเดียวต้องมองทั่วโลกเผื่อไว้ด้วย

นายกฯว่า "นี่คือการบ้านการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ใช่การเมือง 
ตราบใดที่ผมเป็นรัฐบาลอยู่ก็จะทำแบบนี้ ทำให้เหมือน 5 ปีที่ผ่านมาและทำให้ดีขึ้น เพียงแต่ขอความเข้าใจ และขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนโดยรวม วันหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็สุดแท้แต่ประชาชน  แล้วแต่จะพิจารณา 

วันนี้ต้องขอขอบคุณทุกคนในเรื่องของการเลือกตั้ง ขอบคุณข้าราชการทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเลือกตั้ง ขอบคุณพี่น้องตำรวจทหารที่ทำงานในพื้นที่ชายแดน ทั้งภารกิจในเรื่องของความไม่สงบ ทุกคนที่ได้เสียสละชีวิตไม่ได้เรียกร้องค่าตอบแทนอะไรมากมายไปกว่าปกติพึ่งมีพึ่งได้ตามกฎหมาย ทั้งเบี้ยเลี้ยงและเงินเดือนก็ไม่ได้ขอเพิ่มอะไร ถือเป็นหน้าที่ของทหารทุกคนที่ต้องทำงานทุกวัน

“คนไม่ดีก็ต้องถูกดำเนินการ ตามพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่ระบุว่า ให้คนดีปกครองบ้านเมือง หรือปฏิบัติหน้าที่ราชการเพื่อดูแลประชาชนทุกกลุ่มให้สมศักดิ์ศรีในการเป็นข้าราชการที่ดีของแผ่นดิน เป็นพระบรมราโชวาทที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานไว้เมื่อหลาย 10 ปีแล้ว ก็ยังคงมีความทันสมัยอยู่ในการสืบสานรักษาต่อยอด ความมีอัตลักษณ์ของประเทศไทยอะไรที่เป็นอัตลักษณ์ไม่ดี ทุจริต โกงกิน การทำผิดกฎหมายเป็นบ่อเกิดของสังคมที่ไม่ปกติสุข เพราะฉะนั้นก็ต้องแลก ถ้าอยากให้เป็นบ้านเมืองที่สงบก็ต้องกลับมาเคารพกฎหมาย ก็ต้องมาปรับแก้ทุกอย่างเพื่อไม่ให้มีผลกระทบซึ่งกันและกัน ถ้ามองแต่ประโยชน์ส่วนตัวก็คงเป็นไปไม่ได้ เราต้องได้ประโยชน์ทั้งโดยตรงและส่วนรวม ไม่มีอะไรที่จะได้มาง่ายๆ บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่ง่ายขนาดนั้น ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามถ้าไม่คำนึงถึงประวัติศาสตร์ ปัญหาที่ทับซ้อนก็คงไม่ได้"

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคน  ผมเคารพคะแนนเสียงของประชาชนทุกคนที่ออกมาเลือกตั้งในครั้งนี้ ขอขอบคุณทุกคนด้วยใจจริง 

ขอบคุณสื่อทุกคน วันนี้ผมก็อยากจะบอกทุกคนว่า วันนี้ผมมีความสบายใจมากขึ้น ผมเคยบอกแล้วว่าประเทศไทยก็ต้องเดินหน้าไปแบบนี้ ไม่ได้ไปรักษาอำนาจ สืบทอดอำนาจ ถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงไม่ต้องให้มีการเลือกตั้งหรอก แต่กลไกอื่นๆที่เกิดขึ้นก็เป็นกลไกตามรัฐธรรมนูญ ตามผลประชามติก็ว่ากันไปตามนั้น เคารพเสียงประชาชนเขาบ้าง แค่นั้นเอง อย่าให้ทะเลาะเบาะแว้งกันอีกเลย อย่าไปให้ความสนใจกันมากนักเป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองเขาไปดำเนินการอย่ามาถามผมอีก" 

ผู้สื่อข่าวถามว่าที่บอกว่าสบายใจขึ้น เป็นเพราะได้เป็นนายกฯต่อใช่หรือไม่ พล.อ.ประ ยุทธ์ถึงกับส่ายหัวพร้อมกล่าวว่า "คำถามแบบนี้นี่แหละที่ไม่สบายใจ"

รัฐบาลผสมลุงตู่1

รัฐบาลผสม “ลุงตู่ 1”
โดย สิริอัญญา 
วันพุธที่ 27 มีนาคม 2562

คัมภีร์วิถีแห่งฟ้าบทหนึ่งระบุว่า “ผู้ใดครองตนสอดคล้องกับวิถีแห่งฟ้าย่อมได้รับมงคล ผู้ใดครองตนไม่สอดคล้องกับวิถีแห่งฟ้าย่อมได้รับอัปมงคล การได้รับมงคลหรืออัปมงคลเป็นเพราะการครองตนของตน อย่าว่าฟ้าบันดาลเลย” เพราะนั่นเป็นวิถีแห่งฟ้า 

คัมภีร์วิถีแห่งฟ้านี้เป็นคัมภีร์หลักคัมภีร์หนึ่งของการบริหารบ้านเมืองของจีนมาแต่โบราณกาล และนับถึงปัจจุบันนี้ก็มีผู้นำหลายประเทศที่ศึกษาค้นคว้าและนำคัมภีร์วิถีแห่งฟ้าไปใช้ 

คัมภีร์วิถีแห่งฟ้าย่อมเกี่ยวข้องกับลัทธิเต๋า เพราะเชื่อมโยงกับความสมดุล โดยถือว่าความปกติสุข ความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองนั้นย่อมเกิดขึ้นเพราะความสมดุลของฟ้าดิน ฟ้าดินสมดุลเกื้อหนุนกัน แผ่นดินก็เป็นสุขร่มเย็น มีความเจริญรุ่งเรือง ดินกับฟ้าจึงแยกจากกันไม่ได้ 

ผืนดินรองแผ่นฟ้า แผ่นฟ้าก็คุ้มครองครอบคลุมแผ่นดิน เป็นความจริงที่ใคร ๆ ก็รู้เห็น แต่จะมีสักกี่คนเล่าที่จะเห็นด้วยปัญญาทัศนะอันแจ่มใสถึงธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นี้ และสามารถนำกฎเกณฑ์หรือวิถีแห่งฟ้ามาใช้เพื่อให้บังเกิดประโยชน์สุขแก่บ้านเมืองและราษฎรได้อย่างแท้จริง 

นับแต่เกิดกรณีอันเป็นเหตุยุบพรรคไทยรักษาชาติ มาจนถึงกรณี Hong Kong Effect ล้วนเป็นกรณีที่เหนือความคาดคิดของผู้คนทั้งปวง และย่อมส่งผลต่อความเป็นไปในบ้านเมือง รวมทั้งการเลือกตั้งดังที่รู้เห็นกันอยู่ สถานการณ์ต่าง ๆ ได้พลิกผันไปชั่วเวลาเพียงข้ามคืน นั่นก็เพราะกฎเกณฑ์ธรรมชาติอันเป็นไปตามคัมภีร์วิถีแห่งฟ้านั้น 

ดังนั้นใครก็ตามที่ไม่เข้าใจวิถีแห่งฟ้า กระทำการอันก่อให้เกิดอัปมงคลแก่ตนก็ต้องได้รับผลแห่งวิบากแห่งการนั้นโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สึนามิทางการเมืองนั้นทุกคนได้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้ว หากยังดึงดันไม่สำนึก แทนที่จะเป็นแค่สึนามิทางการเมือง ก็อาจจะไปถึงขั้นธรณีสูบก็เป็นได้ 

เพราะกฎเกณฑ์อัปลักษณ์ที่ตราไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งที่มีผลสำคัญที่สุดก็คือทำให้รัฐบาลอ่อนแอ ทำให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมือง และทำให้เกิดความสับสนจนคนทั้งหลายมีความสับสนอลหม่านว่ากฎหมายในเรื่องต่าง ๆ นั้นมีว่าอย่างไร จนกระทั่งเป็นแหล่งทำมาหากินให้คนจำพวกหนึ่งตั้งตนเป็นกฎหมายเสียเอง 

กระทำกันกระทั่งราวกับว่าแผ่นดินนี้ขาดกลุ่มคนพวกนี้ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่คนทั้งหลายก็ย่อมรู้ย่อมเห็นเป็นอย่างเดียวกันว่า การที่บ้านเมืองสับสนวุ่นวายและการโกงบ้านกินเมืองลุกลามขยายตัวหยุดไม่ได้ยั้งไม่อยู่นั้น ล้วนเป็นผลมาจากความอัปลักษณ์ของระบบกฎหมายทั้งสิ้น 

เพราะถ้ากฎหมายสับสน กระทั่งผู้คนไม่รู้ว่ากฎหมายมีว่าอย่างไร แม้ที่รู้ว่ามีกฎหมายแล้วก็ไม่รู้ว่ามีความหมายอย่างไร เพราะทุกเรื่องทุกราวล้วนต้องตีความทั้งสิ้น กระทั่งหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ก็ยังเข้าใจผิด ตีความผิด และทำหน้าที่กันผิด ๆ ให้เห็นกันอยู่เสมอ นี่จึงเป็นต้นตอวิบัติของบ้านเมืองที่จะต้องเร่งปฏิรูปโดยไวที่สุด 

ผลจากความอัปลักษณ์ที่ทำกันไว้ จึงทำให้ผลการเลือกตั้งที่ออกมาทำให้ไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร อย่าว่าถึงกับเสียงข้างมากเลย เพราะมีการวางหมาก วางกล วางเกมกันไว้ จนทำให้พรรคไหน ๆ ก็ยากที่จะมีคะแนนเสียงถึง 150 เสียง 

หมายความว่า แต่ละพรรคไม่มีทางที่จะได้เสียงถึง 251 เสียง ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลโดยลำพังได้ จึงย่อมไม่สามารถนำนโยบายที่ได้ประกาศไว้ไปปฏิบัติได้อย่างเต็มที่ เพราะต้องประสานต้องต่อรองทางนโยบายกับพรรคการเมืองอื่นที่จะต้องมาร่วมรัฐบาลด้วย 

ยิ่งคะแนนเสียงที่แต่ละพรรคได้ยังห่างครึ่งหนึ่งนับร้อยเสียง ก็ยิ่งจำเป็นต้องพึ่งพาพรรคอื่นหลายพรรค จึงจะจัดตั้งเป็นรัฐบาลได้ ดังนั้นโครงสร้างของรัฐธรรมนูญนี้จึงเป็นโครงสร้างที่วางหมากกลให้ต้องเป็นรัฐบาลผสมในทุกกรณี 

และเมื่อเป็นรัฐบาลผสมที่ต้องอาศัยคะแนนเสียงจำนวนมากเกือบเท่า ๆ กับพรรคที่เป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลด้วยแล้ว ก็จะก่อให้เกิดปัญหาแตกแยกภายในรัฐบาลได้ง่าย เพราะย่อมมีการต่อรองทางการเมืองกับนักการเมืองที่เป็นพรรคแกนในการจัดตั้งรัฐบาลนั้น 

ยิ่งเป็นนักการเมืองที่ดูดมาจากพรรคการเมืองอื่นหรือที่เป็นนักการเมืองรุ่นเก๋าหน้าเก่าที่แต่ละคนเปลี่ยนพรรคมานับไม่ถ้วน และล้วนมีวีรกรรมสำคัญไว้กับบ้านเมืองจนประชาชนจำหน้าได้ จำพฤติกรรมได้ไม่ลืมเลือน นักการเมืองเหล่านี้ก็จะมีการต่อรองทางการเมืองสูงกว่านักการเมืองหน้าใหม่ 

ถ้าหากถึงขั้นรวมกันแบบเสือสิงห์กระทิงแรดด้วยแล้ว ก็จะยิ่งมีความขัดแย้งภายในได้ง่าย 

และยิ่งพรรคแกนนำรัฐบาลต้องพึ่งพาคะแนนเสียงจากพรรคการเมืองอื่น ๆ หลายพรรค พรรคการเมืองและนักการเมืองเหล่านั้นก็ยิ่งมีอำนาจต่อรองทางการเมืองสูงยิ่งขึ้นไปอีก เพราะย่อมรู้ดีว่าการดำรงอยู่ของรัฐบาลผสมลักษณะนี้ต้องพึ่งพาอาศัยเสียงของพรรคร่วมรัฐบาล ดังนั้นแม้พรรคร่วมรัฐบาลแต่ละพรรคจะมี ส.ส. ไม่มากนัก แต่กลายเป็นจำนวนที่ขาดไม่ได้เพราะถ้าขาดไปแล้วก็จะแพ้เสียงในสภาผู้แทนราษฎร และทำให้รัฐบาลผสมนั้นต้องล้มครืนลง 

การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้แม้จะยังไม่ประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการ แต่ก็พอทราบผลเบื้องต้นได้แล้วว่า พรรคพลังประชารัฐจะได้ ส.ส. เกินกว่า 126 คน ซึ่งเมื่อรวมกับคะแนนเสียงของ ส.ว.อีก 250 คน ก็จะมีคะแนนเสียง 376 คน เกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงสามารถเลือกลุงตู่เป็นนายกรัฐมนตรีได้ตามรัฐธรรมนูญ 

แต่ลุงตู่จะบริหารราชการแผ่นดินได้โดยราบรื่นนั้นก็ต้องมีคะแนนเสียงในสภาผู้แทนราษฎรให้ได้เกินครึ่งหนึ่งพอสมควร เพราะแค่ 251 เสียง อาจจะไม่เพียงพอต่อการดำเนินงานในสภาผู้แทนราษฎร ดังที่มีการกล่าวกันว่า ถ้าคะแนนเสียงอย่างนี้ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลจะไปขี้ไปเยี่ยวหรือไปไหนไม่ได้ ต้องนั่งเฝ้าห้องประชุมสภากันทั้งหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นความเป็นไปได้จึงต้องมี ส.ส. ประมาณ 275 เสียงขึ้นไป เพราะบางคนต้องไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองในรัฐบาลด้วย 

ผลการเลือกตั้งที่ยังไม่เป็นทางการปรากฎว่าพรรคเพื่อไทยและพันธมิตรมีคะแนนเสียงเกือบ 250 เสียง หรือเกือบเกินครึ่งของสภาผู้แทนราษฎร จึงทำให้คะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยและพันธมิตรใกล้เคียงกับของรัฐบาลผสมมาก ดังนั้นจึงยิ่งเพิ่มอำนาจต่อรองให้แก่นักการเมืองในพรรคพลังประชารัฐและพรรคที่ร่วมรัฐบาลผสมอย่างหนักหน่วงมากกว่าปกติหลายเท่า 

ที่สำคัญคือแม้พรรคพลังประชารัฐจะได้เสียงจำนวนมาก แต่เมื่อมีคะแนนเสียงไม่ถึง 250 เสียง และต้องอาศัยพรรคอื่น ๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะคือต้องพึ่งพาคะแนนเสียงของพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ จึงจะทำให้มีคะแนนเสียงเกิน 250 เสียงได้ 

ดังนั้นจากตัวเลขผลการเลือกตั้งเบื้องต้นนั้นจึงเห็นได้ชัดแล้วว่า แม้พรรคประชาธิปัตย์จะปราชัยในการเลือกตั้ง และแม้พรรคภูมิใจไทยจะผงาดขึ้น มีความเหนือกว่าพรรคเก่าแก่หลายพรรค แต่ในที่สุดทั้งสองพรรคนี้จะเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งและในการดำรงอยู่ของรัฐบาลผสม 

รัฐบาลพรรคพลังประชารัฐจะเกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้จึงต้องพึ่งคะแนนเสียงของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทย ซึ่งจะต้องจับตาดูกันต่อไปว่าทั้งสองพรรคนี้จะตัดสินใจอย่างไร ซึ่งน่าจะมีการรอผลการเลือกตั้งที่ชัดเจนมากขึ้น 

ในขณะนี้แม้ยังไม่มีการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีการจุดประเด็นเกี่ยวกับความไม่ปกติในการเลือกตั้งหลายประการ เช่น การจุดประเด็นว่า
ประการแรก มีบัตรเสียเกือบ 2 ล้านใบ นับเป็นจำนวนสูงมาก ทำให้พรรคการเมืองที่มีโอกาสได้คะแนนเสียงจากบัตรเหล่านี้ต้องได้รับความเสียหาย หรือทำให้ผลการเลือกตั้งผิดไปจากที่ควรจะเป็น 

ประการที่สอง มีการตั้งข้อสังเกตและนินทากันอย่างกว้างขวางว่า มีบัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนเกินกว่าจำนวนผู้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งหลายล้านคน ซึ่งจะเป็นจำนวนเท่าใดแน่ยังไม่แน่ชัดเพราะได้หยุดการนับคะแนนไว้เสียก่อน จำนวนบัตรที่เกินมากมายขนาดนี้อาจทำให้การเลือกตั้งมีปัญหาว่าบัตรเกินนี้มาจากไหน ใครเป็นคนเอาบัตรส่วนเกินนี้ไปใส่ในหีบเลือกตั้งหรือเอามานับเป็นคะแนน เพราะเรื่องนี้ได้มีการบันทึกหลักฐานไว้อย่างละเอียด 

ประการที่สาม มีการหยุดนับคะแนนกลางคัน ซึ่งมีความเสี่ยงว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะการนับคะแนนนั้นกฎหมายบังคับให้นับคะแนนต่อเนื่องไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ 

ประการที่สี่ บัตรเลือกตั้งจากต่างประเทศถูกถือว่าเป็นโมฆะจำนวนหนึ่งเพราะมาถึงช้ากว่าเวลาปิดหีบเลือกตั้ง ในขณะที่สถานทูตไทยในประเทศที่เกี่ยวข้องยืนยันว่าได้มีการส่งบัตรมาก่อนหลายวันแล้ว หีบบัตรไปช้าอยู่ที่ไหน จึงเป็นคำถามที่ก้องกระหึ่ม 

ทั้งสี่ประการนี้เป็นเรื่องที่จะต้องทำความจริงให้ปรากฏ แต่คงไม่กระทบต่อการบริหารบ้านเมืองเพราะลุงตู่ยังคงเป็นนายกต่อไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาบริหารบ้านเมือง.

ร้องถูกโกงเพราะรู้แพ้แล้ว

    พลุ่งพล่านกันเหลือเกินว่า "ขั้วไหน" จะได้เป็นรัฐบาล และ "ใคร" จะได้เป็นนายกฯ?
    ฉะนั้น.......
    วันนี้ เรามาขยี้ให้สิ้นประเด็นสงสัยกันไปซักที
    ดูการเมือง ก็เหมือนดูกีฬา สิ่งแรกต้องรู้คือ "กฎ-กติกา" ถ้าไม่รู้ เชียร์สะเปะ-สะปะ นอกจากทุเรศแล้ว 
    ยังเป็น "ตัวถ่วง" อีกตะหาก!    
    สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจ การเลือกตั้ง ๒๔ มีนา ถึง ณ ขณะนี้ กกต.ประกาศผล "ส.ส.แบ่งเขต" ออกมาเพียง ๙๕%
    แต่ละพรรค ได้ ส.ส.เขตกันคนละเท่าไหร่ "คะแนนรวม" ที่เรียกป๊อปปูลาร์โหวต ได้กันพรรคละเท่าไหร่?
    ก็อย่างที่ประกาศ "ไม่เป็นทางการ" 
    เพื่อไทยได้ ส.ส.เขต ๑๓๗ ป๊อปปูลาร์โหวต ๗.๔ ล้าน พลังประชารัฐได้ ส.ส.เขต ๙๖ ป๊อปปูลาร์โหวต ๗.๙ ล้าน ประมาณนั้น
    ยกเป็นตัวอย่างคร่าวๆ ประกอบการทำความเข้าใจ เพื่อตาม "เกมชิงเมือง" ครั้งนี้ ให้ทัน 
    ประเด็นแรกที่ต้องเข้าใจ......
    ตัวเลขทั้งหมดที่ กกต.แถลง "ยังไม่เป็นทางการ" รวมทั้งจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งด้วย
    ฉะนั้น อย่าเพิ่ง "ทึกทัก" ตามประกาศเวลานี้เป็นตายตัว
    ประเด็นที่สอง....... 
    ตัวเลขทั้งหมดที่ออกมา เพียง ๙๕% 
    นั่นคือ ยังเหลืออีก ๕% ที่ต้องรอ กกต.แถลงผล 
    ๕% จากจำนวน ๓๕ ล้านคนที่ออกมาใช้สิทธิ์เมื่อ ๒๔ มีนา คำนวณแล้วตกประมาณอีก ๑.๗ ล้านคน
    ๑.๗ ล้าน คือ........
    ตัวเลขที่จะเป็น "ตัวเพิ่ม-ตัวลด" ในจำนวน ส.ส.เขตและ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ รวมถึงคะแนนป๊อปปูลาร์โหวตทุกพรรคที่ลงแข่งขัน
    ฉะนั้น ทุกคนต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า 
    ก่อนถึง ๙ พฤษภา......
    อย่าเพิ่งทึกทักทุกตัวเลข "ที่เห็น" ว่าเป็นเลข "ที่ใช่" ยังมีอีกตั้ง ๑.๗ ล้านคะแนน เป็นตัวแปร-ปัจจัยเปลี่ยน
    ยังไม่นับรวม กรณีใบเหลือง-ใบแดง และการเลือกตั้งใหม่บางเขต "อันอาจมี"
    จนกว่า ๙ พฤษภา กกต.ประกาศผลเลือกตั้ง "เป็นทางการ" แล้วนั่นแหละ 
    ทุกรายชื่อ ทุกตัวเลข จึงจะเป็น "ของจริง"
    ยึดเป็น "ฐานคำนวณ" ได้ครบ ๑๐๐%!
    ขั้นตอนนี้ เข้าใจกันหรือยังครับ เมื่อเข้าใจแล้ว เห็นพรรคไหน-ขั้วไหน อ้างสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาล
    ก็ให้เขาตั้งกันไป บนฐาน "ตัวเลขสมมุติ" ๙๕%
    แต่ให้เข้าใจว่า อีก ๕% ผลออกมาเมื่อไหร่ ไอ้ประเภท ถ้าข้าได้เป็นธรรม แต่ถ้าข้าเสีย ก็โวยว่าถูกโกง แบบนั้น อย่าให้มี
    ถ้ามี ต้องช่วยกันด่า.........
    "แก่แล้วอย่าดอกตามไอ้สันดานแดนไกล" ที่มันเที่ยวเห่าให้สื่อรับใช้แปลงออกมาเป็นข่าวตอนนี้!
    ที่เห็นทั้งเพื่อไทยและทั้งพลังประชารัฐ ต่างจัดตั้งรัฐบาลนั้น ไม่ต้องสับสน-วุ่นวายไปกับเขา
    ก็อยู่ในเกณฑ์ "มีสิทธิ์" ด้วยกันทั้งคู่ คือ "จับขั้ว" แล้ว ทั้ง ๒ ฝ่าย ไม่มีฝ่ายไหนได้เสียง "เกินครึ่ง"
    เพื่อไทยรวมพวกแล้ว ก็ ๒๔๐ กว่า พลังประชารัฐ ก็ ๒๔๐ กว่า จะถูก-จะแพงกว่ากัน ก็แค่ ๓-๔  เสียง
    ถือว่า ชอบธรรมทั้ง ๒ ฝ่าย ส่วนใครจะชนะ ก็ขึ้นอยู่กับชั้นเชิง ลีลา ว่าฝ่ายไหนจะจีบพรรคพวกมารวมได้มากกว่า
    ก็ไม่ต้องกลัว เมื่อเสียงยันกัน จะตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะคนร่างรัฐธรรมนูญเขามีประสบการณ์ "ปิดจุดตาย-เปิดทางเกิด" ไว้ให้เรียบร้อย
    จะว่าไป เหมือนตอน "ต้มยำกุ้ง" ปี ๒๕๔๐ เราเจ๊งทางระบบเศรษฐกิจการเงิน-การคลัง แทบถูก "ทุนอเมริกัน" ยึดประเทศ
    จากนั้น เรามีบทเรียนแล้ว ก็ออกกฎหมาย "อุดช่องโหว่" เป็นอานิสงส์ถึงวันนี้ ที่ทั่วโลกพบวิกฤติเศรษฐกิจการเงิน-การคลัง
    แต่ไทยเรา "เสถียรประเทศ" แข็งแกร่ง-มั่นคงทางเศรษฐกิจการเงิน-การคลัง "มาตรฐานโลก" อันดับต้นๆ
    ทำนองเดียวกัน ด้วยปัญหารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตัวนายกฯ สิ้นสภาพ เกิดสุญญากาศทางการบริหาร 
    เป็นปัญหาใหม่ ที่รัฐธรรมนูญตอนนั้น "ผ่าทางตัน" ระบอบทักษิณที่สร้างประชาธิปไตย "รัฐสภาเบ็ดเสร็จ" กินเมืองไม่ได้ จนคณะ คสช.ต้องเข้ามาควบคุมอำนาจปกครองประเทศ เมื่อพฤษภา ๕๗ 
    ทำนองเดียวกันนั่นแหละ......
    รัฐธรรมนูญ ๖๐ ที่ใช้ตอนนี้ ผู้ร่างจึงใช้ประสบการณ์นั้น เขียนเป็นกฎหมาย "ปิดจุดตาย" ไว้เรียบร้อย
    ตามรัฐธรรมนูญก่อนๆ ตัวนายกฯ กับ ครม.มาพร้อมกัน แต่ตามรัฐธรรมนูญนี้ ระบุเลย
    เปิดสภา (ราวๆ ปลายพฤษภา) ให้ ส.ส. ๕๐๐ กับ ส.ว. ๒๕๐ รวม ๗๕๐ คน 
    ประชุมร่วม โหวตเลือกตัวนายกฯ ก่อนเลย!
    ตรงนี้ จะเห็นว่า ที่แย่งกันตั้งรัฐบาลตอนนี้ ไม่เด็ดสะระตี่เท่า พรรคไหน-ฝ่ายไหน...........
    จะเสนอ "แคนดิเดตนายกฯ" คนไหนในฝ่ายตน ให้ ๗๕๐ ส.ส.-ส.ว.เป็นคนเลือก
    ด้วยเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญ คือ คนไหนได้เสียงเกินครึ่งของทั้งสองสภา คือ ได้มากกว่า ๓๗๖ เสียง 
    คนนั้น ได้เป็นนายกฯ
    แล้วนายกฯ เมื่อได้รับโปรดเกล้าฯ แล้ว ก็จะไปฟอร์ม ครม. "ตั้งรัฐบาล" ต่อไป
    นี่ รัฐธรรมนูญ "ผ่าทางตัน" เลือกตั้งแล้ว "เสียงยันกัน" ก็มีทางออกให้เแบบนี้
    จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก มี ส.ส.เกิน ๒๕๑ เสียงขึ้นไป หรือเป็นเสียงข้างน้อย ต่ำกว่า ๒๕๐ เสียงก็ตาม
    ยังไงๆ ประเทศก็มีรัฐบาลและ "หัวหน้ารัฐบาล" ตามวิถีทางประชาธิปไตย ประเทศไม่เกิด "สุญญากาศ" ทางบริหารไว้ก่อน เป็นใช้ได้
    เมื่อประเทศเข้าคลองประชาธิปไตยเรียบร้อยแล้ว ถ้าเสียงข้างมาก ก็ลอยฟ่องล่องทะเลไป
    แต่ถ้าเป็นรัฐบาล "เสียงข้างน้อย" ตามที่วิพากษ์-วิจารณ์กันตอนนี้ 
    รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ พอเปิดสภา ฝ่ายค้านถล่ม พอยกมือก็ "ล่มปากอ่าว" แล้ว!
    ก็ดีนะซี....!
    สมมุติ "พลังประชารัฐ" เป็น "รัฐบาลเสียงข้างน้อย" มีพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกฯ
    ตามเกมการเมือง เมื่อเป็นรัฐบาล ขั้นต้น ก็ต้องมีฝีมือในทางจับ "งูเห่า" มาเสริมให้เป็นเสียงข้างมากให้ได้
    ฝีมือจับงู.....
    ต้องยกให้ "สุริยะ-สมศักดิ์-อนุชา" เขา เพราะเป็น "หมองู" มือฉกาจ
    หรืออีกทาง ไม่ชอบเล่นกับงู ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายโค่นจะเป็นไรไป ก็พร้อม "ยุบสภา" ให้ประชาชนตัดสินกันใหม่อยู่แล้วนี่
    ยังไงๆ "รัฐบาลรักษาการ-นายกฯ รักษาการ" ก็ยังอยู่ในมือ!    
    เห็นมั้ย เล่นไม่ยาก ประชาธิปไตยมันมีทางไปตามวิถี-ตามระบบอยู่แล้ว 
    ประเด็นที่ชี้ให้เห็น คือ ใครอยากตั้งรัฐบาล ให้ตั้งไป 
    รอไปลุ้นตอนเปิดประชุมรัฐสภาเลือกตัวนายกฯ ตอนนั้นมันกว่าเยอะ
    ไม่ต้องกลัวว่าเลือกไม่ได้ หรือเลือกเอาคนเฮงซวยเป็นนายกฯ
    เหตุที่มี ๒๕๐ ส.ว.ก็เพื่อ "ทะลวงทางตัน" และป้องกัน "เลือกคนเฮงซวย" นั่นแหละ
    ในกรณี มี ส.ส.ยันกัน คือแต่ละฝ่าย เสียงก้ำกึ่งอย่างเป็นตอนนี้ 
    ๒๕๐ ส.ว.จะโหวตให้ฝ่ายไหนเป็นนายกฯ ด้วยเสียงสองสภารวมแล้วกว่า ๓๗๖ 
    ถือว่า "ไม่น่าเกลียด" เพราะเสียงก้ำกึ่ง จะออกหัว-ออกก้อย ได้ทั้งนั้น!
    ใคร "กระแนะ-กระแหน" ว่าพวกกัน ยันหงายท้องได้เลย!
    หายข้องใจกันหรือยังล่ะ?
    ไม่ต้องเครียด ยังมีคะแนนอีกร่วม ๒ ล้านให้ลุ้น ไม่ต้องเครียดเรื่องตั้งรัฐบาล ให้คะแนน "คี่-คู่" ไปอย่างนี้ดีแล้ว
    ถึงตอนโหวตนายกฯ นั่นละ "ทีเด็ด" ประชาธิปไตย จะได้เห็นคนตั้งโต๊ะแหลกันเพลินๆ อีก!
    พิษมันต้องล้างด้วยพิษ การเมืองประชาธิปไตยมันต้องไฉไลด้วยเล่ห์ 
    เป็นคนต้องเป็นอย่างกระจ่า-ทัพพี อย่าเป็นอย่างสากกะเบือ
    ดังนั้น ตอนนี้ ก็ดูเขาเถือกันไป เพราะมันรู้ตัวว่าพ่ายให้แก่ฝ่ายพลังประชารัฐแล้วนั่นแหละ 
    ทั้งลูกพี่-ลูกน้อง ถึงโวยว่า "ถูกโกง" ตามสันดาน.

อดีตอาจารย์มธ.ชี้เพื่อไทยได้ส.ส.พลาดเป้าเพราะกรณี'8ก.พ.-ฮ่องกง'แถม'ทักษิณ'กอดไพ่ใ

26 มี.ค.62 - พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์  อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า พรรคเพื่อไทยได้สส.ต่ำเป้าไปมากมีหลายสาเหตุที่พูดกันไปเยอะแล้ว

รธน.60 ที่มุ่งสลายพรรคใหญ่ สส.โดนดูดออก มุ้งท้องถิ่นแยกตัว การเกิดขึ้นของบรรดาพรรคทางเลือก นโยบายหว่านเงินของรัฐบาลคสช. "บัตรเลือกตั้งxxx" มากมายในหลายพื้นที่

แต่เหตุสำคัญที่ไม่ยอมพูดกันตรง ๆ คือ ทักษิณและกรณี 8 ก.พ.ที่สร้างความเสียหายอย่างมากถึงวันนี้

กรณี 8 ก.พ.ทำให้ฝ่ายเผด็จการสามัคคีเข้มแข็งขึ้น ชนชั้นนำกลุ่มต่าง ๆ เป็นเอกภาพ ผู้คนที่ทั้งเกลียดทักษิณและเบี่อประยุทธ์หันกลับมารวมตัวหนุนประยุทธ์เต็มที่ ขณะที่ฝั่งปชต.แตกแยกกันหนักขึ้น

ไทยรักษาชาติถูกยุบ คะแนนเสียงหายไปทันที 100 เขต แต่เหตุการณ์แสดงว่า ทักษิณ "ไม่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์อดีต" เลยแม้แต่น้อย ยังคงกอดไพ่ใบเดิมในมือไว้แน่น แล้วเอามาเล่นซ้ำอีกในงานที่ฮ่องกง โชว์ไลฟ์ยกแก้วประกาศ "เราชนะแน่นอน" ดังสนั่นฮอลล์เพียงสองคืนก่อนวันเลือกตั้ง!

ซึ่งก็ไปตอกย้ำความเชื่อของชนชั้นนำและมวลชนว่า ทักษิณคือภัยร้ายแรงต่อพวกเขาและพระราชวงศ์ มีการอัญเชิญพระบรมราโชวาทเรื่อง "คนดี" แล้วยังทำให้คนรักปชต.ที่รับไม่ได้กับดีลเหยียบหัวปชช. และยังลังเลอยู่ตัดสินใจได้ว่า ไม่เอา "การเมืองเก่า" อีกต่อไป

ฝ่ายเผด็จการจำนวนคนไม่เพิ่มแต่รวมตัวกันเหนียวแน่นรอบประยุทธ์ ปชป.ปี 54 ได้ 11.4 ล้านเสียงวันนี้เหลือ 3.7 ล้าน ส่วนใหญ่เทไปที่พปชร. บวกกับบัตรคนจนและ "บัตรxxx" รวมเป็น 7.9 ล้านเสียงของพปชร.ในวันนี้!

ที่เคยเชื่อกันว่า 15.7 ล้านเสียงเมื่อปี 54 ของพท.เหนียวแน่นเป็น "ของตาย" วันนี้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง พท.เหลือ 7.4 ล้านเสียง ส่วนหนึ่งไหลไปบรรดาพรรคทางเลือก แต่แม้พท.บวกพรรคทางเลือกทุกพรรคก็ยังได้เพียง 13 ล้านเสียง ที่หายไปคือ คะแนนสส.ที่โดนดูด มุ้งที่แยกตัวไป และปชช.ที่ทิ้งประชานิยมทักษิณไปหา "บัตรคนจน"

ทักษิณเคยเป็น "จุดแข็ง" ของค่ายเพื่อไทยจนถึงเลือกตั้ง 54 ความ "เสื่อม" และภาวะขาลงของทักษิณเริ่มที่พ.ค.56 เมื่อทักษิณประกาศกลางราชประสงค์ให้ยุบเลิกขบวนเสื้อแดง มาแผลงฤทธิ์ตอนเหมาเข่งปลายปี 56 จนปรากฏชัดที่ 8 ก.พ. (ซึ่งก็คือ "เหมาเข่งรอบสอง") และเลือกตั้ง 62

ทุกวันนี้ ทักษิณยังเป็น "จุดแข็ง" ของพท.เพียงในภาคเหนือตอนบนและอีสาน (เขตทษช.ส่วนใหญ่คือเขตที่พท.แพ้ปี 54) แต่ก็เป็น "จุดอ่อน" ที่คอย "ป่วน" การทำงานของพท. เป็นทั้งปัจจัยหนึ่งของความแตกแยกในหมูู่ปชช. และปัจจัยสำคัญที่สุดของความแตกแยกในฝ่ายประชาธิปไตยด้วย!

ยังคาใจ


ในที่สุด กกต.ก็ประกาศผลเลือกตั้ง ส.ส.เขต ครบ 350 เขต ทั้ง 77 จังหวัด หลังรวมคะแนนครบ 95 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเย็นวานซืน

พรรคเพื่อไทยโกยไปมากที่สุด 137 เขต พรรคพลังประชารัฐกวาดไป 97 เขต พรรคภูมิใจไทยกดไป 39 เขต พรรคประชาธิปัตย์เก็บไป 33 เขต

พรรคอนาคตใหม่กินนิ่มไป 30 เขต

พรรคประชาชาติกับพรรคชาติไทยพัฒนาเจาะไปพรรคละ 6 เขต

พรรคชาติพัฒนา และพรรครวมพลังประชาชาติไทยของลุงกำนันได้เท่ากันพรรคละ 1 เขต

รวม 9 พรรค ได้ ส.ส.เขตรวมกัน 350 คน เต็มโควตาพอดี


ส่วนโควตา ส.ส.บัญชีรายชื่ออีก 150 คน กกต.ยังบวกลบคูณหารไม่ลงตัว

“แม่ลูกจันทร์” ประเมินล่วงหน้าแบบหลวมๆ พรรคเพื่อไทยไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อแม้แต่คนเดียว จึงมีแต่ ส.ส.เขต 137 คน

ส่วนพรรคพลังประชารัฐ ได้ ส.ส.เขต 97 เขต ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเติมไปอีก 21 คน รวมเป็น 118 คน

พรรคอนาคตใหม่ เจ๋งที่สุดได้ ส.ส.เขต 30 คน บวก ส.ส.บัญชีรายชื่ออีก 50 คน รวมเป็น 80 คน

ขึ้นแท่นเป็นพรรคใหญ่อันดับ 3 ในสภาฯ

พรรคประชาธิปัตย์พ่ายหมดฟอร์มเหลือ ส.ส.เขตแค่ 33 คน บวก ส.ส.บัญชีรายชื่ออีก 20 คน รวมเป็น 53 คน

พรรคภูมิใจไทย มี ส.ส.เขตในกระเป๋าแล้ว 39 คน บวก ส.ส.บัญชีรายชื่ออีก 12 คน ยึดเก้าอี้ในสภาฯได้ 51 ตัว

ส่วนพรรคที่ไม่ได้ ส.ส.เขต แต่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่ออย่างเดียว เช่น พรรคเสรีรวมไทย ได้ ส.ส.เข้าสภา 10 คน พรรคเศรษฐกิจใหม่ของ อดีต รมต.มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ เป็นม้าตีนปลายได้แบ่งเค้ก ส.ส.บัญชีรายชื่อ 6 คน

พรรคเพื่อชาติ ของขุนพลเสื้อแดง จตุพร พรหมพันธุ์ ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่ออีก 5 คน ฯลฯ

สรุปว่าขั้วต้านลุงตู่ รวมเสียง ส.ส.ในสภาฯเฉือนขั้วหนุนลุงตู่ฉิวเฉียดแค่ขนจมูกเท่านั้นเอง

แต่ขั้วหนุนลุงตู่ มีทั้งอำนาจรัฐในมือ มีทั้ง ส.ว.ลากตั้ง 250 คน ถือว่ากุมความได้เปรียบขั้วต้านลุงตู่อยู่ครึ่งช่วงตัว

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าแม้การเลือกตั้งครั้งนี้จะผ่านไปแล้วก็จริง แต่ยังมีปัญหาคาใจต้องตามล้างตามเช็ด กกต.อีกมากมายก่ายกอง
ถ้าไม่มีปัญหาคาใจ คงไม่มีประชาชนลงชื่อถอดถอน กกต.ชุดนี้มากมายเป็นประวัติการณ์กว่า 6 แสนคน

“แม่ลูกจันทร์” เองก็มีปัญหาคาใจ กกต.อยู่หลายประเด็น

โดยเฉพาะการที่ นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.แถลงข่าว (เมื่อช่วงดึกวันเลือกตั้ง) ว่า มีประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งล่าสุดเพียง 65.96 เปอร์เซ็นต์

เป็นไปได้อย่างไร มีคนไปใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ถึง 70 เปอร์เซ็นต์??

เพราะเห็นกันชัดๆว่าเลือกตั้งใหญ่ครั้งนี้ คนไทยตื่นตัวไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

ผลการเลือกตั้งจากจังหวัดต่างๆที่รายงาน กกต.ยังไม่เห็นมีจังหวัดไหนที่มีผู้ใช้สิทธิต่ำกว่า 70 เปอร์เซ็นต์

ถ้าเทียบสถิติย้อนหลัง ตอนเลือกตั้งปี 2548 มีผู้ใช้สิทธิ 72.55 เปอร์เซ็นต์

เลือกตั้งปี 2550 มีผู้ใช้สิทธิ 74.49 เปอร์เซ็นต์

เลือกตั้งปี 2554 มีผู้ใช้สิทธิ 75.03 เปอร์เซ็นต์

แม้แต่การเลือกตั้งปี 2557 ที่ถูกม็อบนกหวีดปิดหน่วยเลือกตั้งยังมีคนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งถึง 47.72 เปอร์เซ็นต์

ถ้าเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งนี้ มีผู้ไปใช้สิทธิแค่ 65.96 เปอร์เซ็นต์

ก็แปลกตายชักน่ะซีโยม.

“แม่ลูกจันทร์”

ตำนานงูเห่าการเมือง

ประวัติความเป็นมาของ “กลุ่มงูเห่า”

“กลุ่มงูเห่า”  เป็นชื่อเรียก ส.ส. กลุ่มหนึ่งที่เคยสังกัดพรรคประชากรไทย มีที่มาจากคำเปรียบเปรยของ นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคประชากรไทย ในขณะนั้น ที่เปรียบตัวเองเป็นเหมือนชาวนาที่ถูกงูเห่ากัดในนิทานอีสป

เหตุการณ์เกิดขึ้น หลังการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ปลายปี พ.ศ. 2540 และพรรคร่วมรัฐบาลเดิมมีมติ จะสนับสนุนให้ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมตรีแทน ด้วยเสียงของพรรคความหวังใหม่ (ส.ส. 125 เสียง) พรรคชาติพัฒนา (52 เสียง) พรรคประชากรไทย (18 เสียง) และ พรรคมวลชน (2 เสียง) รวม 197 เสียง

ขณะที่พรรคฝ่ายค้านเดิม นำโดย พรรคประชาธิปัตย์ (123 เสียง) ต้องการสนับสนุน นายชวน หลีกภัย โดยร่วมกับ พรรคชาติไทย (39 เสียง) พรรคเอกภาพ (8 เสียง) พรรคพลังธรรม(1 เสียง) พรรคไท (1 เสียง) และพรรคร่วมรัฐบาลสมัย พล.อ.ชวลิต 2 พรรคได้แก่ พรรคกิจสังคม (20 เสียง) และ พรรคเสรีธรรม (4 คน) รวมได้ 196 เสียง ซึ่งน้อยกว่าฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลเดิม อยู่เพียง 1 เสียง

พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ จึงได้ชักชวน ส.ส.พรรคประชากรไทย กลุ่มของนายวัฒนา อัศวเหม จำนวน 13คนเข้ามาสนับสนุน รวมได้เป็น 209 สียง และทำให้ฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลเดิม เหลือเพียง 185 เสียง นายชวน หลีกภัย จึงได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นการไม่เคารพกติกาประชาธิปไตย เนื่องจากนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคประชากรไทย มีมติพรรค ไม่ให้กลุ่มของนายวัฒนาเข้าร่วมรัฐบาล หลังเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้นายสมัครที่เดิมเป็นรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล กลับต้องกลายเป็นฝ่ายค้าน โดยเหลือ ส.ส. ในสังกัดเพียง 4 คนไม่นับตัวเองคือ นายสุมิตร สุนทรเวช นางลลิตา ฤกษ์สำราญ นายห้างทอง ธรรมวัฒนะ และ นายสนิท กุลเจริญ

อย่างไรก็ดี หลังจากมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรี นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ ซึ่งเป็น 1 ในสมาชิกที่สนับสนุนนายชวน ก็ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง ส.ส. ทันที

หลังเหตุการณ์ครั้งนี้ นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคประชากรไทย ได้กล่าวเปรียบเทียบว่า ตนเองเป็นเหมือน ชาวนา ในนิทานอีสป เรื่อง "ชาวนากับงูเห่า" ที่เก็บงูเห่าที่กำลังจะตายจากความหนาวเย็น มาไว้ในอกเสื้อเพื่อให้ความอบอุ่น แต่ต่อมา งูเห่า นั้นก็ฉกชาวนาตาย ซึ่งนายสมัคร เปรียบเทียบงูเห่า กับแกนนำของ ส.ส. ทั้ง 12 คน โดยเฉพาะ ส.ส.กลุ่มปากน้ำ ของนายวัฒนา อัศวเหม ซึ่งเดิมสังกัด พรรคชาติไทย แต่หลังจากมีความขัดแย้งกับ นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค จึงไม่มีพรรรคสังกัด จนในที่สุดมาเข้าสังกัด พรรคประชากรไทย ที่นายสมัครเป็นหัวหน้าพรรค และต่อมาก็มีการกระทำ ที่ขัดต่อมติพรรคดังกล่าว ทำให้ต่อมา สื่อมวลชน เรียก ส.ส. 12 คนนี้ตามคำพูดของนายสมัครว่า "กลุ่มงูเห่า" อยู่เป็นเวลานาน

ต่อมาพรรคประชากรไทยตอบโต้ โดยมีมติขับไล่สมาชิกกลุ่มนี้ออกจากพรรค ซึ่งจะส่งผลให้สิ้นสภาพ ส.ส. และกลุ่มงูเห่าได้ยื่นคำร้องต่อ ศาลรัฐธรรมนูญ ให้ตัดสินว่าการดำรงตำแหน่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สิ้นสุดลงตามมติพรรคหรือไม่ และต่อมาศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีคำวินิจฉัย ที่ 1/2542 ลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 ว่า สมาชิกภาพของกลุ่มงูเห่าไม่ได้สิ้นสุดลง เนื่องจาก สส. มีความเป็นอิสระ ที่จะไม่ต้องปฏิบัติตามมติพรรค และมติขับไล่ ออกจากพรรคเป็นมติที่ไม่ชอบ ขัดต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้ ส.ส.ทั้ง 12 คน ยังคงสถานภาพ และหาพรรคใหม่สังกัด

หลังพรรคประชาธิปัตย์ จัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ แกนนำกลุ่ม ส.ส. ดังกล่าวได้รับตำแหน่ง รัฐมนตรี จากรัฐบาล นายชวน หลีกภัย 4 ตำแหน่ง คือ พลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์ ได้ตำแหน่ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายวัฒนา อัศวเหม ได้ตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายประกอบ สังข์โต ได้ตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม นายยิ่งพันธ์ มนะสิการได้ตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี /.

แต้มอ่อนชิงหงายไพ่?

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 272 กำหนดไว้

ในระหว่างห้าปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ การให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการตามมาตรา 159

เว้นแต่การพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 159 วรรคหนึ่ง ให้กระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา

และมติที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 159 วรรคสาม ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

จากตัวเลข ส.ส. 500 คน รวมกับ ส.ว. 250 คน กึ่งหนึ่งเท่ากับ 376 คน

กติกา กฎหมายสูงสุดของรัฐที่กำลังโดนชิงตัดหน้าด้วยกติกา “โลกโซเชียลมีเดีย” ตามเกมแห่กระแสของขวัญใจ “เจนอัลฟา” อย่าง “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่

หวังตัดเกม 250 ส.ว.ไม่ให้มายุ่งเกี่ยวกับการโหวตนายกรัฐมนตรี

เร้าเกมกดดันให้สภาผู้แทนราษฎรจัดการกันเอง โดยการปั่นตัวเลข เบ่งเสียงของฝั่งโหนประชาธิปไตยเกิน 250 ที่นั่ง มากกว่ากึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯ

เปิดหน้าไพ่ แบไต๋กันชัดๆเป็นการเดินตามแผนร่วมกับพรรคเพื่อไทย ต่อสายรับมุกเหยียบเท้ากันเล่นกับขุมข่าย “ทักษิณ” ตามยุทธศาสตร์ทีมดูไบ

สกัด “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตีตั๋วต่อนายกฯอย่างสุดแรงเกิด

ในจังหวะอีกทางก็โยนระเบิดใส่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดเลือกตั้งห่วย ปล่อยโกง การลงคะแนนไม่โปร่งใส แห่นักรบไซเบอร์ลงชื่อถอดถอนกันกระหึ่มคีย์บอร์ด

สุดยอดของโคตรเซียนการตลาดดิจิทัล “ทักษิณ-ธนาธร” แท็กทีมกัน

เขย่าแรงกระเพื่อมในพื้นที่ข่าว เกมชิงจัดตั้งรัฐบาลหลายแมกนิจูด

แต่เรื่องของเรื่อง นั่นก็ยังเป็นแค่เกมแห่ตัวเลขลอยๆตามหน้าสื่อมวลชน กกต.เพิ่งประกาศผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการแค่ร้อยละ 95 ยังต้องรอผลอย่างเป็นทางการในอีก 60 วัน

กว่าจะล็อกตัวเลขชัวร์ๆได้ในต้นเดือนพฤษภาคม

โดยเปอร์เซ็นต์ที่เหลืออีกร้อยละ 5 อาจทำให้ตัวเลขปาร์ตี้ลิสต์สวิงไปสวิงมา นั่นยังไม่สำคัญเท่า “อิทธิฤทธิ์” ใบเหลือง ใบแดง ที่ขึ้นเขียงรอ กกต.ลับดาบเชือด

ตัวเลขยังแกว่ง สมการเปลี่ยนแปลงได้อีก

นี่คือจุดที่โคตรเซียนการเมืองยังนิ่ง รุ่นใหญ่ไม่รีบแบไพ่

มีแต่มือใหม่หัดขับอย่าง “ธนาธร” ที่รีบ “ชิงสุกก่อนห่าม” หงายไพ่ประกาศหนุนพรรคอันดับหนึ่งจัดรัฐบาลเป็นนายกฯ เดินแต้มตามจังหวะของพรรคเพื่อไทย ที่ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แคนดิเดตนายกฯพรรคเพื่อไทย เทหน้าตักแบบไม่กั๊ก

ยอมหมดทุกเงื่อนไขในการสกัด “นายกฯลุงตู่”

หวังเชิด “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกฯหยิบชิ้นปลามัน

ตามเงื่อนไขสถานการณ์ของทีมดูไบที่มีแต้มสู้อยู่แค่ไม่กี่ทาง จากผลเลือกตั้งที่พรรคพลังประชารัฐ ทีมหนุน พล.อ.ประยุทธ์ โกยคะแนนป๊อปปูลาร์โหวตมาเป็นอันดับหนึ่ง กวาด ส.ส.ได้ทั่วทุกภูมิภาค

คนส่วนใหญ่เลือกความสงบจบที่ “ลุงตู่”

และเท่าที่ดูตามรูปการณ์ ทีมดูไบก็น่าจะดิ้นได้ลุ้นสุดแค่มุกนี้

เพราะจิ๊กซอว์สำคัญอีกตัวคือประชาธิปัตย์ที่จะประชุมกรรมการบริหารพรรคในวันที่ 29 มีนาคม เพื่อจัดกระบวนทัพกันใหม่หลัง “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไขก๊อกแม่ทัพ รับผิดชอบสึนามิถล่ม

แต่จับอารมณ์แบบที่นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรค ประกาศไม่สังฆกรรมกับพรรคเพื่อไทยแน่ และไม่เอาด้วยพวกที่เสนอรื้อกฎหมายมาตรา 112 เช่นเดียวกับนายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค บอกปัดข่าวแตะมือเพื่อไทยไร้มูลความจริง

มั่นใจในระดับพันเปอร์เซ็นต์ ประชาธิปัตย์ไม่เอากับ “ทักษิณ-ธนาธร” แน่

หรือแม้แต่ตัว “เสี่ยหนู” เองที่กำลังกระหยิ่มกับสถานะ “ตัวแปรฝังเพชร” ตามกระแสแห่มีชื่อพาดหัวข่าวยักษ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

อย่างน้อยก็ฝันได้อีกหลายวันกว่าตัวเลขจะชัวร์ จับขั้วรัฐบาลกันได้

แต่ถึงจังหวะต้องกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ในสถานการณ์ที่ต้องยึดตามกติการัฐธรรมนูญที่มีบทเฉพาะกาลช่วงเปลี่ยนผ่าน เงื่อนไขที่ฝ่ายคุมเกมอำนาจประเทศไทยยังจับจ้องทุกความเป็นไป

จาก “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ทษช. มาถึง “ฮ่องกงเอฟเฟกต์”

กัปตันเครื่องบินเล็กอย่าง “เสี่ยหนู” ย่อมรู้ทิศทางลมดี จะเลือกบินสูงหรือบินต่ำ

ถ้าเดิมพันพลาด ไม่ใช่การเมืองเจ๊ง แต่ธุรกิจกระเทือนแน่.

ทีมข่าวการเมือง