PR
วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2562
สบายใจ
รัฐบาลผสมลุงตู่1
ร้องถูกโกงเพราะรู้แพ้แล้ว
ฉะนั้น.......
วันนี้ เรามาขยี้ให้สิ้นประเด็นสงสัยกันไปซักที
ดูการเมือง ก็เหมือนดูกีฬา สิ่งแรกต้องรู้คือ "กฎ-กติกา" ถ้าไม่รู้ เชียร์สะเปะ-สะปะ นอกจากทุเรศแล้ว
ยังเป็น "ตัวถ่วง" อีกตะหาก!
สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจ การเลือกตั้ง ๒๔ มีนา ถึง ณ ขณะนี้ กกต.ประกาศผล "ส.ส.แบ่งเขต" ออกมาเพียง ๙๕%
แต่ละพรรค ได้ ส.ส.เขตกันคนละเท่าไหร่ "คะแนนรวม" ที่เรียกป๊อปปูลาร์โหวต ได้กันพรรคละเท่าไหร่?
ก็อย่างที่ประกาศ "ไม่เป็นทางการ"
เพื่อไทยได้ ส.ส.เขต ๑๓๗ ป๊อปปูลาร์โหวต ๗.๔ ล้าน พลังประชารัฐได้ ส.ส.เขต ๙๖ ป๊อปปูลาร์โหวต ๗.๙ ล้าน ประมาณนั้น
ยกเป็นตัวอย่างคร่าวๆ ประกอบการทำความเข้าใจ เพื่อตาม "เกมชิงเมือง" ครั้งนี้ ให้ทัน
ประเด็นแรกที่ต้องเข้าใจ......
ตัวเลขทั้งหมดที่ กกต.แถลง "ยังไม่เป็นทางการ" รวมทั้งจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งด้วย
ฉะนั้น อย่าเพิ่ง "ทึกทัก" ตามประกาศเวลานี้เป็นตายตัว
ประเด็นที่สอง.......
ตัวเลขทั้งหมดที่ออกมา เพียง ๙๕%
นั่นคือ ยังเหลืออีก ๕% ที่ต้องรอ กกต.แถลงผล
๕% จากจำนวน ๓๕ ล้านคนที่ออกมาใช้สิทธิ์เมื่อ ๒๔ มีนา คำนวณแล้วตกประมาณอีก ๑.๗ ล้านคน
๑.๗ ล้าน คือ........
ตัวเลขที่จะเป็น "ตัวเพิ่ม-ตัวลด" ในจำนวน ส.ส.เขตและ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ รวมถึงคะแนนป๊อปปูลาร์โหวตทุกพรรคที่ลงแข่งขัน
ฉะนั้น ทุกคนต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า
ก่อนถึง ๙ พฤษภา......
อย่าเพิ่งทึกทักทุกตัวเลข "ที่เห็น" ว่าเป็นเลข "ที่ใช่" ยังมีอีกตั้ง ๑.๗ ล้านคะแนน เป็นตัวแปร-ปัจจัยเปลี่ยน
ยังไม่นับรวม กรณีใบเหลือง-ใบแดง และการเลือกตั้งใหม่บางเขต "อันอาจมี"
จนกว่า ๙ พฤษภา กกต.ประกาศผลเลือกตั้ง "เป็นทางการ" แล้วนั่นแหละ
ทุกรายชื่อ ทุกตัวเลข จึงจะเป็น "ของจริง"
ยึดเป็น "ฐานคำนวณ" ได้ครบ ๑๐๐%!
ขั้นตอนนี้ เข้าใจกันหรือยังครับ เมื่อเข้าใจแล้ว เห็นพรรคไหน-ขั้วไหน อ้างสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาล
ก็ให้เขาตั้งกันไป บนฐาน "ตัวเลขสมมุติ" ๙๕%
แต่ให้เข้าใจว่า อีก ๕% ผลออกมาเมื่อไหร่ ไอ้ประเภท ถ้าข้าได้เป็นธรรม แต่ถ้าข้าเสีย ก็โวยว่าถูกโกง แบบนั้น อย่าให้มี
ถ้ามี ต้องช่วยกันด่า.........
"แก่แล้วอย่าดอกตามไอ้สันดานแดนไกล" ที่มันเที่ยวเห่าให้สื่อรับใช้แปลงออกมาเป็นข่าวตอนนี้!
ที่เห็นทั้งเพื่อไทยและทั้งพลังประชารัฐ ต่างจัดตั้งรัฐบาลนั้น ไม่ต้องสับสน-วุ่นวายไปกับเขา
ก็อยู่ในเกณฑ์ "มีสิทธิ์" ด้วยกันทั้งคู่ คือ "จับขั้ว" แล้ว ทั้ง ๒ ฝ่าย ไม่มีฝ่ายไหนได้เสียง "เกินครึ่ง"
เพื่อไทยรวมพวกแล้ว ก็ ๒๔๐ กว่า พลังประชารัฐ ก็ ๒๔๐ กว่า จะถูก-จะแพงกว่ากัน ก็แค่ ๓-๔ เสียง
ถือว่า ชอบธรรมทั้ง ๒ ฝ่าย ส่วนใครจะชนะ ก็ขึ้นอยู่กับชั้นเชิง ลีลา ว่าฝ่ายไหนจะจีบพรรคพวกมารวมได้มากกว่า
ก็ไม่ต้องกลัว เมื่อเสียงยันกัน จะตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะคนร่างรัฐธรรมนูญเขามีประสบการณ์ "ปิดจุดตาย-เปิดทางเกิด" ไว้ให้เรียบร้อย
จะว่าไป เหมือนตอน "ต้มยำกุ้ง" ปี ๒๕๔๐ เราเจ๊งทางระบบเศรษฐกิจการเงิน-การคลัง แทบถูก "ทุนอเมริกัน" ยึดประเทศ
จากนั้น เรามีบทเรียนแล้ว ก็ออกกฎหมาย "อุดช่องโหว่" เป็นอานิสงส์ถึงวันนี้ ที่ทั่วโลกพบวิกฤติเศรษฐกิจการเงิน-การคลัง
แต่ไทยเรา "เสถียรประเทศ" แข็งแกร่ง-มั่นคงทางเศรษฐกิจการเงิน-การคลัง "มาตรฐานโลก" อันดับต้นๆ
ทำนองเดียวกัน ด้วยปัญหารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตัวนายกฯ สิ้นสภาพ เกิดสุญญากาศทางการบริหาร
เป็นปัญหาใหม่ ที่รัฐธรรมนูญตอนนั้น "ผ่าทางตัน" ระบอบทักษิณที่สร้างประชาธิปไตย "รัฐสภาเบ็ดเสร็จ" กินเมืองไม่ได้ จนคณะ คสช.ต้องเข้ามาควบคุมอำนาจปกครองประเทศ เมื่อพฤษภา ๕๗
ทำนองเดียวกันนั่นแหละ......
รัฐธรรมนูญ ๖๐ ที่ใช้ตอนนี้ ผู้ร่างจึงใช้ประสบการณ์นั้น เขียนเป็นกฎหมาย "ปิดจุดตาย" ไว้เรียบร้อย
ตามรัฐธรรมนูญก่อนๆ ตัวนายกฯ กับ ครม.มาพร้อมกัน แต่ตามรัฐธรรมนูญนี้ ระบุเลย
เปิดสภา (ราวๆ ปลายพฤษภา) ให้ ส.ส. ๕๐๐ กับ ส.ว. ๒๕๐ รวม ๗๕๐ คน
ประชุมร่วม โหวตเลือกตัวนายกฯ ก่อนเลย!
ตรงนี้ จะเห็นว่า ที่แย่งกันตั้งรัฐบาลตอนนี้ ไม่เด็ดสะระตี่เท่า พรรคไหน-ฝ่ายไหน...........
จะเสนอ "แคนดิเดตนายกฯ" คนไหนในฝ่ายตน ให้ ๗๕๐ ส.ส.-ส.ว.เป็นคนเลือก
ด้วยเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญ คือ คนไหนได้เสียงเกินครึ่งของทั้งสองสภา คือ ได้มากกว่า ๓๗๖ เสียง
คนนั้น ได้เป็นนายกฯ
แล้วนายกฯ เมื่อได้รับโปรดเกล้าฯ แล้ว ก็จะไปฟอร์ม ครม. "ตั้งรัฐบาล" ต่อไป
นี่ รัฐธรรมนูญ "ผ่าทางตัน" เลือกตั้งแล้ว "เสียงยันกัน" ก็มีทางออกให้เแบบนี้
จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก มี ส.ส.เกิน ๒๕๑ เสียงขึ้นไป หรือเป็นเสียงข้างน้อย ต่ำกว่า ๒๕๐ เสียงก็ตาม
ยังไงๆ ประเทศก็มีรัฐบาลและ "หัวหน้ารัฐบาล" ตามวิถีทางประชาธิปไตย ประเทศไม่เกิด "สุญญากาศ" ทางบริหารไว้ก่อน เป็นใช้ได้
เมื่อประเทศเข้าคลองประชาธิปไตยเรียบร้อยแล้ว ถ้าเสียงข้างมาก ก็ลอยฟ่องล่องทะเลไป
แต่ถ้าเป็นรัฐบาล "เสียงข้างน้อย" ตามที่วิพากษ์-วิจารณ์กันตอนนี้
รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ พอเปิดสภา ฝ่ายค้านถล่ม พอยกมือก็ "ล่มปากอ่าว" แล้ว!
ก็ดีนะซี....!
สมมุติ "พลังประชารัฐ" เป็น "รัฐบาลเสียงข้างน้อย" มีพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกฯ
ตามเกมการเมือง เมื่อเป็นรัฐบาล ขั้นต้น ก็ต้องมีฝีมือในทางจับ "งูเห่า" มาเสริมให้เป็นเสียงข้างมากให้ได้
ฝีมือจับงู.....
ต้องยกให้ "สุริยะ-สมศักดิ์-อนุชา" เขา เพราะเป็น "หมองู" มือฉกาจ
หรืออีกทาง ไม่ชอบเล่นกับงู ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายโค่นจะเป็นไรไป ก็พร้อม "ยุบสภา" ให้ประชาชนตัดสินกันใหม่อยู่แล้วนี่
ยังไงๆ "รัฐบาลรักษาการ-นายกฯ รักษาการ" ก็ยังอยู่ในมือ!
เห็นมั้ย เล่นไม่ยาก ประชาธิปไตยมันมีทางไปตามวิถี-ตามระบบอยู่แล้ว
ประเด็นที่ชี้ให้เห็น คือ ใครอยากตั้งรัฐบาล ให้ตั้งไป
รอไปลุ้นตอนเปิดประชุมรัฐสภาเลือกตัวนายกฯ ตอนนั้นมันกว่าเยอะ
ไม่ต้องกลัวว่าเลือกไม่ได้ หรือเลือกเอาคนเฮงซวยเป็นนายกฯ
เหตุที่มี ๒๕๐ ส.ว.ก็เพื่อ "ทะลวงทางตัน" และป้องกัน "เลือกคนเฮงซวย" นั่นแหละ
ในกรณี มี ส.ส.ยันกัน คือแต่ละฝ่าย เสียงก้ำกึ่งอย่างเป็นตอนนี้
๒๕๐ ส.ว.จะโหวตให้ฝ่ายไหนเป็นนายกฯ ด้วยเสียงสองสภารวมแล้วกว่า ๓๗๖
ถือว่า "ไม่น่าเกลียด" เพราะเสียงก้ำกึ่ง จะออกหัว-ออกก้อย ได้ทั้งนั้น!
ใคร "กระแนะ-กระแหน" ว่าพวกกัน ยันหงายท้องได้เลย!
หายข้องใจกันหรือยังล่ะ?
ไม่ต้องเครียด ยังมีคะแนนอีกร่วม ๒ ล้านให้ลุ้น ไม่ต้องเครียดเรื่องตั้งรัฐบาล ให้คะแนน "คี่-คู่" ไปอย่างนี้ดีแล้ว
ถึงตอนโหวตนายกฯ นั่นละ "ทีเด็ด" ประชาธิปไตย จะได้เห็นคนตั้งโต๊ะแหลกันเพลินๆ อีก!
พิษมันต้องล้างด้วยพิษ การเมืองประชาธิปไตยมันต้องไฉไลด้วยเล่ห์
เป็นคนต้องเป็นอย่างกระจ่า-ทัพพี อย่าเป็นอย่างสากกะเบือ
ดังนั้น ตอนนี้ ก็ดูเขาเถือกันไป เพราะมันรู้ตัวว่าพ่ายให้แก่ฝ่ายพลังประชารัฐแล้วนั่นแหละ
ทั้งลูกพี่-ลูกน้อง ถึงโวยว่า "ถูกโกง" ตามสันดาน.
อดีตอาจารย์มธ.ชี้เพื่อไทยได้ส.ส.พลาดเป้าเพราะกรณี'8ก.พ.-ฮ่องกง'แถม'ทักษิณ'กอดไพ่ใ
26 มี.ค.62 - พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า พรรคเพื่อไทยได้สส.ต่ำเป้าไปมากมีหลายสาเหตุที่พูดกันไปเยอะแล้ว
รธน.60 ที่มุ่งสลายพรรคใหญ่ สส.โดนดูดออก มุ้งท้องถิ่นแยกตัว การเกิดขึ้นของบรรดาพรรคทางเลือก นโยบายหว่านเงินของรัฐบาลคสช. "บัตรเลือกตั้งxxx" มากมายในหลายพื้นที่
แต่เหตุสำคัญที่ไม่ยอมพูดกันตรง ๆ คือ ทักษิณและกรณี 8 ก.พ.ที่สร้างความเสียหายอย่างมากถึงวันนี้
กรณี 8 ก.พ.ทำให้ฝ่ายเผด็จการสามัคคีเข้มแข็งขึ้น ชนชั้นนำกลุ่มต่าง ๆ เป็นเอกภาพ ผู้คนที่ทั้งเกลียดทักษิณและเบี่อประยุทธ์หันกลับมารวมตัวหนุนประยุทธ์เต็มที่ ขณะที่ฝั่งปชต.แตกแยกกันหนักขึ้น
ไทยรักษาชาติถูกยุบ คะแนนเสียงหายไปทันที 100 เขต แต่เหตุการณ์แสดงว่า ทักษิณ "ไม่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์อดีต" เลยแม้แต่น้อย ยังคงกอดไพ่ใบเดิมในมือไว้แน่น แล้วเอามาเล่นซ้ำอีกในงานที่ฮ่องกง โชว์ไลฟ์ยกแก้วประกาศ "เราชนะแน่นอน" ดังสนั่นฮอลล์เพียงสองคืนก่อนวันเลือกตั้ง!
ซึ่งก็ไปตอกย้ำความเชื่อของชนชั้นนำและมวลชนว่า ทักษิณคือภัยร้ายแรงต่อพวกเขาและพระราชวงศ์ มีการอัญเชิญพระบรมราโชวาทเรื่อง "คนดี" แล้วยังทำให้คนรักปชต.ที่รับไม่ได้กับดีลเหยียบหัวปชช. และยังลังเลอยู่ตัดสินใจได้ว่า ไม่เอา "การเมืองเก่า" อีกต่อไป
ฝ่ายเผด็จการจำนวนคนไม่เพิ่มแต่รวมตัวกันเหนียวแน่นรอบประยุทธ์ ปชป.ปี 54 ได้ 11.4 ล้านเสียงวันนี้เหลือ 3.7 ล้าน ส่วนใหญ่เทไปที่พปชร. บวกกับบัตรคนจนและ "บัตรxxx" รวมเป็น 7.9 ล้านเสียงของพปชร.ในวันนี้!
ที่เคยเชื่อกันว่า 15.7 ล้านเสียงเมื่อปี 54 ของพท.เหนียวแน่นเป็น "ของตาย" วันนี้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง พท.เหลือ 7.4 ล้านเสียง ส่วนหนึ่งไหลไปบรรดาพรรคทางเลือก แต่แม้พท.บวกพรรคทางเลือกทุกพรรคก็ยังได้เพียง 13 ล้านเสียง ที่หายไปคือ คะแนนสส.ที่โดนดูด มุ้งที่แยกตัวไป และปชช.ที่ทิ้งประชานิยมทักษิณไปหา "บัตรคนจน"
ทักษิณเคยเป็น "จุดแข็ง" ของค่ายเพื่อไทยจนถึงเลือกตั้ง 54 ความ "เสื่อม" และภาวะขาลงของทักษิณเริ่มที่พ.ค.56 เมื่อทักษิณประกาศกลางราชประสงค์ให้ยุบเลิกขบวนเสื้อแดง มาแผลงฤทธิ์ตอนเหมาเข่งปลายปี 56 จนปรากฏชัดที่ 8 ก.พ. (ซึ่งก็คือ "เหมาเข่งรอบสอง") และเลือกตั้ง 62
ทุกวันนี้ ทักษิณยังเป็น "จุดแข็ง" ของพท.เพียงในภาคเหนือตอนบนและอีสาน (เขตทษช.ส่วนใหญ่คือเขตที่พท.แพ้ปี 54) แต่ก็เป็น "จุดอ่อน" ที่คอย "ป่วน" การทำงานของพท. เป็นทั้งปัจจัยหนึ่งของความแตกแยกในหมูู่ปชช. และปัจจัยสำคัญที่สุดของความแตกแยกในฝ่ายประชาธิปไตยด้วย!
ยังคาใจ
ในที่สุด กกต.ก็ประกาศผลเลือกตั้ง ส.ส.เขต ครบ 350 เขต ทั้ง 77 จังหวัด หลังรวมคะแนนครบ 95 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเย็นวานซืน
พรรคเพื่อไทยโกยไปมากที่สุด 137 เขต พรรคพลังประชารัฐกวาดไป 97 เขต พรรคภูมิใจไทยกดไป 39 เขต พรรคประชาธิปัตย์เก็บไป 33 เขต
พรรคอนาคตใหม่กินนิ่มไป 30 เขต
พรรคประชาชาติกับพรรคชาติไทยพัฒนาเจาะไปพรรคละ 6 เขต
พรรคชาติพัฒนา และพรรครวมพลังประชาชาติไทยของลุงกำนันได้เท่ากันพรรคละ 1 เขต
รวม 9 พรรค ได้ ส.ส.เขตรวมกัน 350 คน เต็มโควตาพอดี
ส่วนโควตา ส.ส.บัญชีรายชื่ออีก 150 คน กกต.ยังบวกลบคูณหารไม่ลงตัว
“แม่ลูกจันทร์” ประเมินล่วงหน้าแบบหลวมๆ พรรคเพื่อไทยไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อแม้แต่คนเดียว จึงมีแต่ ส.ส.เขต 137 คน
ส่วนพรรคพลังประชารัฐ ได้ ส.ส.เขต 97 เขต ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเติมไปอีก 21 คน รวมเป็น 118 คน
พรรคอนาคตใหม่ เจ๋งที่สุดได้ ส.ส.เขต 30 คน บวก ส.ส.บัญชีรายชื่ออีก 50 คน รวมเป็น 80 คน
ขึ้นแท่นเป็นพรรคใหญ่อันดับ 3 ในสภาฯ
พรรคประชาธิปัตย์พ่ายหมดฟอร์มเหลือ ส.ส.เขตแค่ 33 คน บวก ส.ส.บัญชีรายชื่ออีก 20 คน รวมเป็น 53 คน
พรรคภูมิใจไทย มี ส.ส.เขตในกระเป๋าแล้ว 39 คน บวก ส.ส.บัญชีรายชื่ออีก 12 คน ยึดเก้าอี้ในสภาฯได้ 51 ตัว
ส่วนพรรคที่ไม่ได้ ส.ส.เขต แต่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่ออย่างเดียว เช่น พรรคเสรีรวมไทย ได้ ส.ส.เข้าสภา 10 คน พรรคเศรษฐกิจใหม่ของ อดีต รมต.มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ เป็นม้าตีนปลายได้แบ่งเค้ก ส.ส.บัญชีรายชื่อ 6 คน
พรรคเพื่อชาติ ของขุนพลเสื้อแดง จตุพร พรหมพันธุ์ ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่ออีก 5 คน ฯลฯ
สรุปว่าขั้วต้านลุงตู่ รวมเสียง ส.ส.ในสภาฯเฉือนขั้วหนุนลุงตู่ฉิวเฉียดแค่ขนจมูกเท่านั้นเอง
แต่ขั้วหนุนลุงตู่ มีทั้งอำนาจรัฐในมือ มีทั้ง ส.ว.ลากตั้ง 250 คน ถือว่ากุมความได้เปรียบขั้วต้านลุงตู่อยู่ครึ่งช่วงตัว
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าแม้การเลือกตั้งครั้งนี้จะผ่านไปแล้วก็จริง แต่ยังมีปัญหาคาใจต้องตามล้างตามเช็ด กกต.อีกมากมายก่ายกอง
ถ้าไม่มีปัญหาคาใจ คงไม่มีประชาชนลงชื่อถอดถอน กกต.ชุดนี้มากมายเป็นประวัติการณ์กว่า 6 แสนคน
“แม่ลูกจันทร์” เองก็มีปัญหาคาใจ กกต.อยู่หลายประเด็น
โดยเฉพาะการที่ นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.แถลงข่าว (เมื่อช่วงดึกวันเลือกตั้ง) ว่า มีประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งล่าสุดเพียง 65.96 เปอร์เซ็นต์
เป็นไปได้อย่างไร มีคนไปใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ถึง 70 เปอร์เซ็นต์??
เพราะเห็นกันชัดๆว่าเลือกตั้งใหญ่ครั้งนี้ คนไทยตื่นตัวไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ผลการเลือกตั้งจากจังหวัดต่างๆที่รายงาน กกต.ยังไม่เห็นมีจังหวัดไหนที่มีผู้ใช้สิทธิต่ำกว่า 70 เปอร์เซ็นต์
ถ้าเทียบสถิติย้อนหลัง ตอนเลือกตั้งปี 2548 มีผู้ใช้สิทธิ 72.55 เปอร์เซ็นต์
เลือกตั้งปี 2550 มีผู้ใช้สิทธิ 74.49 เปอร์เซ็นต์
เลือกตั้งปี 2554 มีผู้ใช้สิทธิ 75.03 เปอร์เซ็นต์
แม้แต่การเลือกตั้งปี 2557 ที่ถูกม็อบนกหวีดปิดหน่วยเลือกตั้งยังมีคนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งถึง 47.72 เปอร์เซ็นต์
ถ้าเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งนี้ มีผู้ไปใช้สิทธิแค่ 65.96 เปอร์เซ็นต์
ก็แปลกตายชักน่ะซีโยม.
“แม่ลูกจันทร์”
ตำนานงูเห่าการเมือง
แต้มอ่อนชิงหงายไพ่?
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 272 กำหนดไว้
ในระหว่างห้าปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ การให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการตามมาตรา 159
เว้นแต่การพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 159 วรรคหนึ่ง ให้กระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา
และมติที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 159 วรรคสาม ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา
จากตัวเลข ส.ส. 500 คน รวมกับ ส.ว. 250 คน กึ่งหนึ่งเท่ากับ 376 คน
กติกา กฎหมายสูงสุดของรัฐที่กำลังโดนชิงตัดหน้าด้วยกติกา “โลกโซเชียลมีเดีย” ตามเกมแห่กระแสของขวัญใจ “เจนอัลฟา” อย่าง “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่
หวังตัดเกม 250 ส.ว.ไม่ให้มายุ่งเกี่ยวกับการโหวตนายกรัฐมนตรี
เร้าเกมกดดันให้สภาผู้แทนราษฎรจัดการกันเอง โดยการปั่นตัวเลข เบ่งเสียงของฝั่งโหนประชาธิปไตยเกิน 250 ที่นั่ง มากกว่ากึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯ
เปิดหน้าไพ่ แบไต๋กันชัดๆเป็นการเดินตามแผนร่วมกับพรรคเพื่อไทย ต่อสายรับมุกเหยียบเท้ากันเล่นกับขุมข่าย “ทักษิณ” ตามยุทธศาสตร์ทีมดูไบ
สกัด “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตีตั๋วต่อนายกฯอย่างสุดแรงเกิด
ในจังหวะอีกทางก็โยนระเบิดใส่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดเลือกตั้งห่วย ปล่อยโกง การลงคะแนนไม่โปร่งใส แห่นักรบไซเบอร์ลงชื่อถอดถอนกันกระหึ่มคีย์บอร์ด
สุดยอดของโคตรเซียนการตลาดดิจิทัล “ทักษิณ-ธนาธร” แท็กทีมกัน
เขย่าแรงกระเพื่อมในพื้นที่ข่าว เกมชิงจัดตั้งรัฐบาลหลายแมกนิจูด
แต่เรื่องของเรื่อง นั่นก็ยังเป็นแค่เกมแห่ตัวเลขลอยๆตามหน้าสื่อมวลชน กกต.เพิ่งประกาศผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการแค่ร้อยละ 95 ยังต้องรอผลอย่างเป็นทางการในอีก 60 วัน
กว่าจะล็อกตัวเลขชัวร์ๆได้ในต้นเดือนพฤษภาคม
โดยเปอร์เซ็นต์ที่เหลืออีกร้อยละ 5 อาจทำให้ตัวเลขปาร์ตี้ลิสต์สวิงไปสวิงมา นั่นยังไม่สำคัญเท่า “อิทธิฤทธิ์” ใบเหลือง ใบแดง ที่ขึ้นเขียงรอ กกต.ลับดาบเชือด
ตัวเลขยังแกว่ง สมการเปลี่ยนแปลงได้อีก
นี่คือจุดที่โคตรเซียนการเมืองยังนิ่ง รุ่นใหญ่ไม่รีบแบไพ่
มีแต่มือใหม่หัดขับอย่าง “ธนาธร” ที่รีบ “ชิงสุกก่อนห่าม” หงายไพ่ประกาศหนุนพรรคอันดับหนึ่งจัดรัฐบาลเป็นนายกฯ เดินแต้มตามจังหวะของพรรคเพื่อไทย ที่ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แคนดิเดตนายกฯพรรคเพื่อไทย เทหน้าตักแบบไม่กั๊ก
ยอมหมดทุกเงื่อนไขในการสกัด “นายกฯลุงตู่”
หวังเชิด “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกฯหยิบชิ้นปลามัน
ตามเงื่อนไขสถานการณ์ของทีมดูไบที่มีแต้มสู้อยู่แค่ไม่กี่ทาง จากผลเลือกตั้งที่พรรคพลังประชารัฐ ทีมหนุน พล.อ.ประยุทธ์ โกยคะแนนป๊อปปูลาร์โหวตมาเป็นอันดับหนึ่ง กวาด ส.ส.ได้ทั่วทุกภูมิภาค
คนส่วนใหญ่เลือกความสงบจบที่ “ลุงตู่”
และเท่าที่ดูตามรูปการณ์ ทีมดูไบก็น่าจะดิ้นได้ลุ้นสุดแค่มุกนี้
เพราะจิ๊กซอว์สำคัญอีกตัวคือประชาธิปัตย์ที่จะประชุมกรรมการบริหารพรรคในวันที่ 29 มีนาคม เพื่อจัดกระบวนทัพกันใหม่หลัง “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไขก๊อกแม่ทัพ รับผิดชอบสึนามิถล่ม
แต่จับอารมณ์แบบที่นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรค ประกาศไม่สังฆกรรมกับพรรคเพื่อไทยแน่ และไม่เอาด้วยพวกที่เสนอรื้อกฎหมายมาตรา 112 เช่นเดียวกับนายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค บอกปัดข่าวแตะมือเพื่อไทยไร้มูลความจริง
มั่นใจในระดับพันเปอร์เซ็นต์ ประชาธิปัตย์ไม่เอากับ “ทักษิณ-ธนาธร” แน่
หรือแม้แต่ตัว “เสี่ยหนู” เองที่กำลังกระหยิ่มกับสถานะ “ตัวแปรฝังเพชร” ตามกระแสแห่มีชื่อพาดหัวข่าวยักษ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
อย่างน้อยก็ฝันได้อีกหลายวันกว่าตัวเลขจะชัวร์ จับขั้วรัฐบาลกันได้
แต่ถึงจังหวะต้องกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ในสถานการณ์ที่ต้องยึดตามกติการัฐธรรมนูญที่มีบทเฉพาะกาลช่วงเปลี่ยนผ่าน เงื่อนไขที่ฝ่ายคุมเกมอำนาจประเทศไทยยังจับจ้องทุกความเป็นไป
จาก “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ทษช. มาถึง “ฮ่องกงเอฟเฟกต์”
กัปตันเครื่องบินเล็กอย่าง “เสี่ยหนู” ย่อมรู้ทิศทางลมดี จะเลือกบินสูงหรือบินต่ำ
ถ้าเดิมพันพลาด ไม่ใช่การเมืองเจ๊ง แต่ธุรกิจกระเทือนแน่.
ทีมข่าวการเมือง