PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2558

"ประวุฒิ"ปัดคุมตัว"อ๊อด"เชื่ออยู่ไทย เผย 8 คนที่มาเลย์คุมตัวไม่เอี่ยวบึ้ม "โอ๊ค"หอบ 7 ล้านมอบ ขอตรวจสอบก่อน

2 ตุลาคม 2558 17:29 น

  ASTV ผู้จัดการ - ผู้ช่วย ผบ.ตร. ปัดควบคุมตัว "อ๊อด พยุงวงศ์" เชื่อยังอยู่ไทย เผยผู้ต้องสงสัย 8 คนมาเลเซียคุมตัวไม่เอี่ยวระเบิดราชประสงค์-สาทร ส่วน"โอ๊ค" มอบเงินนำจับ 7 ล้าน ขอตรวจสอบก่อน ยันไม่โยงการเมืองแต่ไม่ตัดทิ้ง 
       
       วันนี้( 2ต.ค.)ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. รักษาราชการแทนที่ปรึกษา (สบ 10) กล่าวถึงกระแสข่าวการควบคุมตัวนายอ๊อด พยุงวงศ์ หรือนายยงยุทธ พบแก้ว ผู้ต้องหาคดีระเบิดที่แยกราชประสงค์และท่าน้ำสาทร ว่า ตนได้ตรวจสอบกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล แล้ว พบว่ายังไม่มีการควบคุมตัว นายอ๊อด แต่อย่างใด แต่เบื้องต้นได้เจอตัวมารดาของนายอ๊อดแล้ว ส่วนจะได้ข้อมูลอะไรจากมารดานายอ๊อดบ้างนั้นกำลังตรวจสอบอยู่ สำหรับนายอ๊อดไม่ได้อาศัยอยู่กับมารดานานแล้ว ส่วนที่ว่านายอ๊อดกับมารดาได้เจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อใดนั้น กำลังตรวจสอบ
       
       พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า นอกเหนือจากการตรวจสอบข้อมูลจากมารดานายอ๊อดแล้ว ได้มีการตรวจสอบไปยังโรงพยาบาลที่ทำการคลอดนายอ๊อดด้วย ขณะนี้กำลังรอผล ส่วนจะได้ข้อมูลอะไรที่ของนายอ๊อดที่เป็นประโยชน์นั้น ตอนนี้ยังไม่ได้รับรายงาน ทั้งนี้ในการทำงานตำรวจมีการแยกคณะทำงานออกเป็น 4 สาย ล่าสุดมีการตรวจสอบพบมารดานายอ๊อดแล้ว จากนี้ก็รอผลการตรวจสอบโรงพยาบาลที่ทำคลอดนายอ๊อดซึ่งมารดานายอ๊อดเป็นคนให้ข้อมูลกับตำรวจมา สำหรับมารดานายอ๊อด เป็นชาวอีสาน น่าจะเป็นชาวจังหวัดอุบลราชธานี แต่ขณะนี้ได้อาศัยอยู่ในภาคกลาง
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่านอกจากสถานที่ ที่ได้ตรวจสอบมารดานายอ๊อดและสถานที่ซึ่งกล่าวอ้างมาแล้วได้มีการตรวจสอบที่อื่นอีกหรือไม่ พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า มีการตรวจสอบในแหล่งที่มีคนให้ข้อมูล หรือว่าฝ่ายสืบสวนได้ข้อมูลมาว่านายอ๊อดจะไปอยู่หรือไปคบหากับเพื่อนกลุ่มไหนอยู่ มีการไปตรวจสอบตามกลุ่ม ส่วนเบาะแสสุดท้ายของนายอ๊อดพบว่าอยู่ย่านมีนบุรี และหนองจอก ส่วนจะมีการวิเคราะห์ประวัตินายอ๊อดว่าจะมีศักยภาพในคดีใหญ่หรือไม่นั้น ยังไม่สรุปในส่วนนั้น อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่า นายอ๊อดเป็นผู้ให้การสนับสนุน ช่วยเหลือในการจัดหาอุปกรณ์ ส่วนลักษณะเป็นขบวนการหรือนายอ๊อดจะเป็นขาใหญ่ในย่านมีนบุรี-หนองจอกหรือไม่นั้น ยังไม่ถึงขนาดนั้น ส่วนการตรวจสอบเส้นทางการเงินนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเงินไม่เยอะ และได้รับข้อมูลเบื้องต้นว่าเป็นการโอนกันอยู่ในกลุ่มของเขา มีบางส่วนมาจากต่างประเทศบ้าง
       
       "สำหรับนายอ๊อดไม่ได้เป็นผู้เกี่ยวข้องระดับบงการ นายอ๊อด ก็เป็นคนหนึ่งที่อยู่ในขบวนการ ซึ่งเป็นคนไทยและมีหมายจับปรากฏออกมา ทั้งนี้เป็นลักษณะการไปสืบสวนและพบว่ามีคนไทยร่วมด้วย ตามที่เคยบอกไปแล้วว่ามีคนไทยให้การสนับสนุนด้วย ก็เป็นแค่กลุ่มคนที่ให้ความช่วยเหลือสนับสนุน แต่ก็ถือได้ว่าเข้าข่ายร่วมกันกระทำความผิด"พล.ต.ท.ประวุฒิ ระบุ
       
       ส่วนความคืบหน้าของการติดตามตัวนาย อาบูดูซาตาร์ อบูดูเราะห์มาน หรืออิซาน ผู้ต้องหาในคดีระเบิดนั้น ทางพนักงานสืบสวนคงต้องมีการทำหนังสือผ่านไปทางกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้ยืนยันการเดินทาง ตนนำลังตรวจสอบว่าได้มีการประสานไปหรือยัง เมื่อไหร่ เพื่อยืนยันว่ามีการเดินทางเข้าประเทศหรือไม่ ซึ่งต้องผ่านกระทรวงการต่างประเทศ คาดว่าจะได้ความคืบหน้าเร็วๆนี้
       
       พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า สำหรับผู้ต้องสงสัยทั้ง 8 คนที่ประเทศมาเลเซียควบคุมตัวไว้ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการตรวจสอบแล้ว เบื้องต้นมีการสรุปแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับคดีระเบิดในประเทศไทย และน่าจะไม่เกี่ยวข้องทั้ง 8 คน ส่วนจะมีการส่งข้อมูลหลักฐานทางดีเอ็นเอของคดีนี้ไปให้ทางประเทศมาเลเซียตรวจสอบหรือไม่นั้น ตนยังไม่ยืนยันในส่วนนั้น แต่ว่ามีการตรวจสอบในทุกเรื่อง เพียงแต่ว่าดีเอ็นเอกับลายนิ้วมือจะต้องไปตรวจสอบก่อนว่าส่งไปหรือยัง
       
       เมื่อถามถึงกรณีที่มีการส่งพล.ต.ท.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ จเรตำรวจ (สบ.8) ไปประสานงานกับทางการมาเลเซีย พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า พล.ต.ท.สุชาติ ก็รายงานมาตลอด รายงานทั้งพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผบ.ตร.และพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ยังไม่มีความเชื่อมโยงที่สรุปได้ว่าเกี่ยวข้องกัน ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าผู้ต้องสงสัย 2 คนใน 8 คน มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดในประเทศไทย ข้อมูลตรงนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ อาจเพียงแค่รู้เห็นในการเดินทางของกลุ่มคนผิดกฏหมายระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย แต่ว่ายังไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรง
       
       เมื่อถามถึงกรณีนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะนำรางวัลนำจับจำนวน 7 ล้านบาท มามอบให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการติดต่อประสานงานมาหรือไม่พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า ได้ข่าวมาว่ามี ตนกำลังตรวจสอบดูว่ามีการนัดหมายกันเมื่อใด แต่ว่าตอนนี้ยกเลิกไปก่อน ส่วนก่อนหน้านี้ได้มีการประสานมาจริง แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ว่าง มีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรนั้น กำลังตรวจสอบอยู่ ตนก็ได้ทราบจากสื่อ ต้องขอตรวจสอบก่อนว่าจริงๆ แล้วเขานัดผ่านใคร ตอนนี้ยังไม่ทราบ ทั้งนี้ หากนำเงินมามอบให้จริงๆ จะยินดีรับหรือไม่นั้น ต้องดูวิธีการก่อนว่าจะนำไปใช้หรือนำไปเข้าอะไร ดูรายละเอียดส่วนนั้นด้วย
       
       เมื่อถามว่าเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นมีความชัดเจนในเรื่องที่เกี่ยวจ้องกับประเด็นการเมืองหรือไม่ พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า เรายังไม่ได้มีการโยงกับการเมือง แค่เรายังไม่ตัดประเด็นใดทิ้งเท่านั้น เป็นประเด็นทั้งหมดที่ตั้งไว้อยู่แล้ว ส่วนจะมีใครเข้ามาเกี่ยวข้องในลักษณะร่วมกระทำผิด และเป็นใคร ซึ่งอาจจะไปโยง ต้องค่อยมาดูว่าจะมีความชัดเจนเป็นอย่างไร ทั้งนี้ ความผิดอาจจะทำส่วนตัว ทำเป็นกลุ่มหรือต้องการผลประโยชน์ส่วนตัวก็ได้ ต้องได้ตัวผู้ต้องหามา หรือได้ตัวพยานสำคัญมายืนยัน ต้องดูรายละเอียดอีกครั้ง เราไม่ได้สรุปว่าเขาเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่เป็นแค่ภูมิหลังของเขาว่าเคยทำผิดอะไรมาบ้าง
       
       "ส่วนเรื่องการประสานข้อมูลกับมาเลเซีย เรายังมีการประสานกันและมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอยู่ เชื่อว่าหากเขามีอะไรคืบหน้าที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยต้องแจ้งเรามาอย่างแน่นอน และมั่นใจว่าทางรัฐบาลมาเลเซียจะให้ข้อมูลซึ่งเป็นความจริง เพราะมีการทำงานร่วมกันมาอย่างยาวนาน ส่วนยังเชื่อหรือไม่นั้นว่ายังมีผู้กระทำความผิดยังหลบหนีอยู่ในประเทศมาเลเซียนั้น เป็นไปได้ว่ามี เราจึงไม่ทิ้งประเด็น ยังมีการตามต่อ หากมีข้อมูลเพิ่มเติมจากการขยายผลว่าเดินทางผ่านไปทางประเทศนั้น เราก็จะแจ้งไป ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน มีการประสานงานกันอยู่ตลอด ซึ่งประเทศ 2-3ประเทศที่เราทำงานร่วมกันอยู่ ก็มีการให้ข้อมูลกันอยู่ตลอด"พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าว
       
       พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับยังอยู่ในประเทศไทย แต่ก็มีข้อมูลยืนยันว่าผู้ต้องหาได้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว 2-3 คน แต่ที่เหลือยังไม่สามารถยืนยันได้ เชื่อว่านายอ๊อดยังอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่มั่นใจว่าอยู่ที่ไหน ทั้งนี้ มีการติดตามตัวอยู่ทั้งหมด มีชุดสืบสวนสอบสวนหลายชุดดูแลอยู่ ต้องรอความชัดเจนของบช.น.ซึ่งจะมีการประชุมใหญ่ในรายละเอียดเร็วๆ นี้ ส่วนจะมีการการถึงขั้นพิจารณาการออกหมายจับผู้ที่ร่วมขบวนการเพิ่มเติมจาก 17 คนที่มีอยู่หรือไม่ คงมีเพราะมีหลักฐานที่อาจจะได้เพิ่มเติมมาและหากเข้าข่ายความผิดก็จะต้องขออนุมัติหมายจับเพิ่ม แต่ตอนนี้ยังไม่ยืนยันว่ามีหรือไม่ หรือจะมีกี่คน ขอดูในรายละเอียดก่อน ส่วนการตั้งข้อหามีเส้นบางๆ กั้นอยู่ว่าทำไมถึงไม่ตั้งข้อหาก่อการร้าย เนื่องจากไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135 ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่เรื่องของการตีความแต่เป็นเรื่องขององค์ประกอบทางกฎหมาย ทั้งนี้หากเทียบกับคดีระเบิดที่เกิดก่อนหน้านี้ ทั้งที่ย่านมีนบุรีและสมานเมตตาแมนชั่น ผู้ต้องหาโดนข้อหาก่อการร้ายแต่ในครั้งนี้ทำไมถึงไม่โดนนั้น ต้องไปตรวจสอบองค์ประกอบความชัดเจนที่ได้มีการตั้งเอาไว้ก่อน
       
       เมื่อถามว่าตำรวจได้ประโยชน์อะไรจากคำรับสารภาพของนายอาเดม หรือ บิลาล พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า จริงๆ เขาก็รับสารภาพก่อนที่ทนายจะเข้าไปคุย และไปชี้ที่เกิดเหตุแล้ว เรามีการคุยกันไปแล้ว เขาก็รับไปแล้ว ทั้งนี้การจะได้ตัวผู้ต้องหามานั้นต้องเข้าใจว่าผู้ต้องหาคนไทยยังต้องใช้เวลาติดตาม เพราะเขาได้มีการหนีหลบซ่อนตัว บางคนนานเป็นปี บางคดีใช้ถึง4-5 ปี ผู้ต้องหาที่ไม่ใช่คนไทย ก็ต้องมีความลำบากกว่า เพราะไม่มีข้อมูลทั้งนี้ เชื่อว่าจะได้ตัวมาเพิ่ม ส่วนจะได้มาเมื่อไหร่คงยังไม่สามารถตอบได้
       
       ถามต่อถึงกรณีมีชายลักษณะคล้ายชาวแขกขาวต้องสงสัยสะพายเป้เดินเข้าไปที่ศาลทหารเมื่อวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมามีการวิเคราะห์หรือไม่ว่าเข้ามาด้วยเหตุผลใด พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า กำลังดูข้อมูลและกำลังหาตัวอยู่ ยังไม่ชัดเจนว่าเขาเข้ามาทำอะไร ยังไม่พบพฤติกรรมหรือการกระทำผิดใดๆ ส่วนช่วงเวลาที่เกิดเหตุดูเหมือนจะสอดคล้องกับเหตุการณ์ระเบิดในประเทศไทยนั้น อย่าเพิ่งไปโยงถึงขนาดนั้น เดี๋ยวจะเป็นการตีตนไปก่อนไข้เกินไป ขอดูว่าเขาไปทำอะไรและเป็นใครก่อน ขณะนี้กำลังตรวจสอบอยู่ ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าเขาไปทำอะไร ไม่ได้เป็นการล้างคองูเห่า เพราะเขาไม่ได้เป็นคนร้าย ขอตรวจสอบก่อนว่าคืออะไร

"บีบีซี" เผยข้อมูลอีกด้าน เบื้องหลัง "บิ๊กตู่" จับมือ"โอบามา"

"บีบีซี" เผยข้อมูลอีกด้าน เบื้องหลัง "บิ๊กตู่" จับมือ"โอบามา"
>>>> อ่านแล้วตลก คือหากคิดว่าตัวเองเป็นสื่อเพื่อจะออกมาเขียนตามใจตัวเองหรือตามใจใคร แบบที่ก็ไม่รู้มันเป็นอย่างนั้น นี่แหละการเมืองไทย ที่ไม่ไปไหน อย่างนี้ถ้ามันเขียนโอบาม่าเข้าส้วมขี้กี่ก้อน ก็ต้องเชื่อมัน
2 ต.ค. 58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า "บีบีซีไทย- BBC Thai" ได้เผยแพร่ Outside contributor บทความ "การประชุมยูเอ็นเริ่มจากในบ้าน" วิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เกี่ยวกับการเดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติสมัยที่ 70 ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่วันที่ 23 ก.ย. 58 ที่ผ่านมา โดยสรุปว่า
พล.อ.ประยุทธ์ พยายามสร้างความชอบธรรมจากการได้รับเลือกให้นั่งเป็นประธานกลุ่ม 77 ว่าได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ซึ่งที่แท้จริงการได้ตำแหน่งดังกล่าวเป็นผลของการปฏิบัติการทางการทูตที่ดำเนินการมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว นอกจากนี้การเข้ารับรางวัลจากสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ก็ไม่ใช่ผลงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แต่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ประเทศไทยส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีดิจิตอลเพื่อบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมา
ส่วนภาพการจับมือระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับประธานาธิบดี บารัค โอบามา ของสหรัฐฯ ก็เป็นหนึ่งในความพยายามของเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล ที่ต้องการแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ไม่ได้แสดงความรังเกียจ พล.อ.ประยุทธ์ แต่อย่างใด และทั้งหมดเป็นการจัดฉากภายใต้ข้อตกลงว่า ต้องไม่มีการเผยแพร่ภาพดังกล่าวอย่างเป็นทางการ จึงปรากฏเฉพาะแต่ภาพจากเจ้าหน้าที่ติดตามซึ่งถ่ายจากโทรศัพท์มือถือเผยแพร่ในโซเซียลมีเดียเท่านั้น
นอกจากนี้ภาพของคนไทย 2 กลุ่มที่ออกมาประท้วงและสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ที่หน้าอาคารสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ก็สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยยังห่างไกลจากความปรองดองสมานฉันท์ เนื่องจากนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล มีโอกาสได้พบปะกับกลุ่มผู้สนับสนุนอย่างเป็นกันเอง แต่กลับไม่ได้มีความพยายามที่จะพบปะกับกลุ่มผู้ประท้วงแต่อย่างใด

บิ๊กป้อม มั่นใจสุดๆ "บิ๊กหมู" ผบทบ.ใหม่ คุมกองทัพ ลูกน้องผม เพราะรู้จักกันมาตั้งแต่ยังเป็นร.ต.

บิ๊กป้อม มั่นใจสุดๆ "บิ๊กหมู" ผบทบ.ใหม่ คุมกองทัพ ลูกน้องผม เพราะรู้จักกันมาตั้งแต่ พลเอกธีรชัย เป็นร้อยตรี ส่วนผมเป็นผู้พัน รู้แนวทางกันอยู่แล้ว เผยปรับ โครงสร้าง คสช.ใหม่ ให้ "พลเอกธีรชัย" ผบทบ.นั่งเลขาฯคสช. แทน"พลเอกอุดมเดช"ที่เกษียณ /พลเอกประวิตร เผย มอบ "พลเอกธีรชัย" ปรับการทำงาน คสช.ให้กระชับ สั้น รวดเร็วขึ้น อาจให้ ผบทบ.นั่งคุม กกล.รส.เอง
บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม เผยว่า มีการ ปรับกรรมการ คสช.ใหม่ แล้ว โดยให้ พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบทบ.ที่จะเป็น เลขาธิการคสช.คนใหม่ แทน พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รมช.กห.ที่เกษียณ จาก ผบทบ. มาดูแลการทำงานคสช. ปรับให้สั้น กระชับ รวดเร็วขึ้น ปรับคสช.ใหม่ ผบ.เหล่าทัพที่เกษียณ ก็ออกไป คนใหม่ก็มาแทน ต้องปรับโครงสร้างใหม่ โดยให้ พลเอกธีรชัย ผบทบ.ไปดูแลยังไง ให้เหมาะสม เพื่อให้การ สั่งการ ที่กระชับ สั้น รวดเร็ว
ทั้งนี้ พลเอกธีรชัย ผบทบ./เลขาฯคสช. อาจเป็น ผบ.กองกำลังรักษาความสงบ(ผบ.กกล.รส.) เอง แทน แม่ทัพภาค1 ที่เป็นโดยตำแหน่ง
"แต่ก็ต้องไปถาม ผบทบ.ว่า เขาอยากเป็นหรือไม่ เพื่อให้การสั่งการสั้น เพราะต้องนำข้อเสียปีที่แล้วมาปรับ"
ส่วน พลเอกธีรชัย ผบทบ.คนใหม่นั้น จะมีการเรียกมาหารือหรือไม่นั้น "ผมรู้จักมัน มาตั้งแต่เด็กๆ มันลูกน้องผม ผมรู้จักมันมา ก่อนนักข่าวเกิดอีก เพราะฉะนั้น ไม่ต้องถาม ไม่ต้องเรียกคุย เพราะคุยกันมา 10 -20ปี แล้ว รู้แนวทางกันอยู่แล้ว" พลเอกประวิตร กล่าว

บิ๊กป้อม เรียกประชุม ศมบ.ทบทวนการดูแลความมั่นคง ภาพรวม หลังเกิดเหตุระเบืดราขประสงค์ ลั่น ต้องไม่ให้เกิดขึ้นอีก

บิ๊กป้อม เรียกประชุม ศมบ.ทบทวนการดูแลความมั่นคง ภาพรวม หลังเกิดเหตุระเบืดราขประสงค์ ลั่น ต้องไม่ให้เกิดขึ้นอีก ไม่ใช่เกิดแล้ว มาตามจับ ยอมรับ มีช่องโหว่ เร่งตามจับ"อ๊อด" จะรู้เชื่อมโยง คนไทย ใคร
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝายความมั่นคง และรมว.กลาโหม เรียกประชุม เพื่อสรุปการทำงาน"ศูนย์ความมั่นคงแบบบูรณาการ"(ศบม.)ส่งท้ายปีงบประมาณ 2558 ที่กลาโหม
พลเอกประวิตร กล่าวว่า มีการทบทวนมาตรการไม่ให้มีช่องโหว่ โดยเฉพาะเหตุระเบิด จะต้องไม่เกิด อีก ไม่ใช่เกิดแล้ว มาตามจับ เราไม่อยากให้เกิดเลย แต่คนจ้องจะทำ กับคนป้องกัน มันก็ยากนะ
ยอมรับว่า มีช่องว่าง อยู่ แม้ว่าเราจะป่องกันเข้มงวดอยู่แล้ว แต่
เราก็ต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ประเทศเกิดความสงบ และเกิดความมั่นคง ความสงบ
"ถ้าจับกุม "อ๊อด" ได้ ก็จะเชื่อมโยงกับคนไทย ส่วน "อิธาน" ก็เชื่อมโยงกับต่างประเทศ ก็จะรู้ว่ามันเชื่อมต่อกันยังไง"

"สุวัจน์ ลิปตพัลลภ" จัดให้ Novak Djokovic,Rafael Nadal นักเทนนิสระดับโลก สวมเสื้อผ้าไหมราชปะแตน สไตล์บิ๊กตู่

บิ๊กตู่ แฮปปี้...
"สุวัจน์ ลิปตพัลลภ" นายกฯลอนเทนนิสสมาคม สร้างความประทับใจให้ นายกฯ บิ๊กตู่ เพราะจัดให้ Novak Djokovic,Rafael Nadal นักเทนนิสระดับโลก สวมเสื้อผ้าไหมราชปะแตน สไตล์บิ๊กตู่ มาพบที่ทำเนียบฯ นายกฯสุดปลื้ม เผย พาNovak Djokovic,Rafael Nadal ชมห้องทำงานนายกฯ ไหว้พระ ก่อนพาเดินตลาดนายกฯ เอ่ยปาก ชวนมาเที่ยวไทยอีก เราเป็นเพื่อนกัน

บื๊กตู่ ออกคำสั่ง ปรับ บอร์ด คสช.แล้ว...ตั้ง บิ๊กหมู เป็น เลขาฯคสช.ใหม่



บื๊กตู่ ออกคำสั่ง ปรับ บอร์ด คสช.แล้ว...ตั้ง บิ๊กหมู เป็น เลขาฯคสช.ใหม่
พลเอกประยุทธ์ ในฐานะ หัวหน้าคสช. เผยว่า ได้ ลงนามคำสั่งคสช. แต่งตั้ง "คณะกรรมการคสช." ชุดใหม่ แทน ผบ.เหล่าทัพ ที่เกษียณราชการ แล้ว ตั้งแต่ก่อนไปสหรัฐอเมริกา โดยให้ พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบทบ.เป็นเลขาฯคสช.คนใหม่ โดยตำแหน่ง พร้อม ปลัดกห. ผบ.สส. และผบ.ทร. ผบตร. คนใหม่
ส่วน ผบ.เหล่าทัพ ผบ.ตร.ที่เกษียณ ก็หลุดไป แต่ผบ.เหล่าทัพ ชุดเดิม ตอน22พค.57 ก็ยังเป็นบอร์ดคสช.อยู่ คือ รองนายกฯ พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร อดีตผบสส. พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง อดีตผบทอ. พลเรือเอกณรงค์ พิพัฒนาศัย อดีตผบทร. พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว อดีตผบตร./รมว.พม.

"มีชัย"พบ"นายกฯบิ๊กตู่"ตึกไทยคู่ฟ้า คุยเกือบชม. ดูชื่อ20กรธ.คาดตอบตกลง ยอมเป็นประธาน กก.ร่างรธน

ฝนตกหนัก "มีชัย"พบ"นายกฯบิ๊กตู่"ตึกไทยคู่ฟ้า คุยเกือบชม. ดูชื่อ20กรธ.คาดตอบตกลง ยอมเป็นประธาน กก.ร่างรธน.
นายมีชัย ฤชุพันธ์ หนึ่ง ในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้เดินทางมายังทำเนียบรัฐบาล ลงรถที่หน้าตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อเข้าพบพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรี เผยว่า นัดนายมีชัย มาพบเพื่อขอดูรายชื่อบุคคลที่จะมาเป็นกรธ.ทั้งหมดเพื่อประกอบการตัดสินใจว่าจะรับตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)
โดย นาย มีชัยใช้เวลาหาริอกับ พลเอกประยุทธ์นาน 50 นาที แล้วจากนั้นก็กลับทันที
ก่อนหน้านั้น พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในช่วงบ่ายวันนี้ได้เชิญนายมีชัย ฤชุพันธ์ สมาชิก คสช.เข้าหารือกับตนเอง เพื่อจะสอบถามว่านายมีชัยจะรับหรือไม่รับตำแหน่งประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ.หรือไม่
โดยจะให้นายมีชัยได้ดูรายชื่อคณะกรรมการที่จะทำงานร่วมกัน ว่ามีความพึงพอใจหรือไม่ด้วย ซึ่งคาดว่าในช่วงบ่ายวันนี้จะทราบผลการตัดสินใจ หากนายมีชัยไม่รับ ก็ต้องหาคนอื่นมาทำหน้าที่ แต่ยังปฏิเสธแสดงความคิดเห็นว่า หากนายมีชัยไม่รับตำแหน่ง จะมีการทาบทามนายอานันต์ ปันยารชุน มาทำหน้าที่แทนหรือไม่
"วันนี้จะเชิญท่านมาพบที่ทำเนียบรัฐบาล เรียกมาคุย คนอื่นมีรายชื่อหมดแล้ว ให้ท่านมาดูว่ารับหรือไม่ ให้ท่านดูรายชื่อนี้ว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เพราะต้องทำงานกับท่าน"พลเอกประยุทธ์ กล่าว
พร้อมยืนยันว่าการแต่งตั้งทั้ง กรธ.และสปท.จะสรุปรายชื่อก่อนวันที่5 ตุลาคมนี้แน่นอน โดยขอให้ทุกฝ่ายอย่าสนใจว่าใครจะมาทำหน้าที่ แต่ขอให้สนใจในเนื้อหาของรัฐธรรมนูญมากกว่า

และย้ำว่า การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ จะนำความคิดเห็นของประชาชนและทุกภาคส่วนที่สปช.เคยรวบรวมไว้แล้ว มาพิจารณาร่วมกับการร่างในฉบับก่อนหน้านี้มาเปรียบเทียบ เพื่อให้เกิดความเหมาะสม และทำให้ประเทศเดินหน้าไปได้ โดยขออย่าเชื่อคำบิดเบือนที่ว่าประชาชนไม่มีส่วนร่วม เพราะไม่สามารถให้คนเกือบ 70 ล้านคนมาร่วมร่างรัฐธรรมนูญได้

"พลเอกประวิตร" ถกศมบ.-หน่วยความมั่นคง ปรับแผน ในรอบ1 ปี ศูนย์แก้ไขปัญหาความมั่นคงแบบบูรณาการ หลังเหตุระเบิด


"พลเอกประวิตร" ถกศมบ.-หน่วยความมั่นคง ปรับแผน ในรอบ1 ปี ศูนย์แก้ไขปัญหาความมั่นคงแบบบูรณาการ หลังเหตุระเบิด มอบนโยบาย 6 ข้อ ผบ.ใหม่ ร่วม ปกป้องสถาบัน สนับสนึนรัฐบาล เดินตามโรดแมพ เดินหน้าจัดระเบียบต่อ
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกฯและ รมว.กห. ได้ประชุมศูนย์แก้ไขปัญหาความมั่นคงแบบบูรณาการ (ศมบ.) ทึ่ ศาลาว่าการกลาโหม โดยมี พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รมช.กห. พลเอกสมหมาย เกาฏีระ ผบ.สส. และ ผบ.เหล่าทัพ รวมทั้งผู้แทนกระทรวงต่างๆ เข้าร่วมประชุม เพื่อรับทราบผลการปฏิบัติงานที่ผ่านมา โดย ศมบ. จัดตั้งขึ้นเมื่อ 1 ต.ค.57 จากดำริของ พล.อ.ประวิตร ที่ต้องการให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงได้มีการบูรณาการ ติดตาม อำนวยการ ประสานงานการแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติร่วมกัน เพื่อให้มีความรวดเร็ว เกิดประสิทธิภาพ และทันต่อเหตุการณ์
พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. กล่าวว่าศมบ. ได้สรุปผลการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานสำคัญรอบปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย
• การเพิ่มมาตรการป้องกันในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินประชาชน ด้วยการติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ใน กทม.ควบคู่กับการติดตั้งไฟสาธารณะในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญยิ่งต่อมาตรการป้องกันและการติดตามคดีสำคัญๆ ที่ผ่านมา
• การจัดระเบียบสังคม เช่น หาบเร่ แผงลอย การแข่งรถในที่สาธารณะ แหล่งอบายมุขรอบสถานศึกษา ขอทานและคนเร่ร่อนจรจัด เป็นต้น ซึ่งสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและอำนวยความสะดวกการสัญจรของประชาชนส่วนใหญ่
• การจัดระเบียบสถานที่ท่องเที่ยวและสร้างความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว เช่น การดูแลความปลอดภัยในช่วงเทศกาลสำคัญ การรักษาความปลอดภัยบริเวณศูนย์กลางคมนาคมที่สำคัญ เป็นต้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญยิ่งต่อมาตรการส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยว
• การป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมาย เช่น ปัญหาการค้ามนุษย์ ปัญหายาเสพติด ปัญหาตัดไม้ทำลายป่า ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมือง เป็นต้น ซึ่งเป็นการทำลายขบวนการอิทธิพลนอกกฏหมายและการคืนทรัพยากรธรรมชาติให้กับสังคม
• การขับเคลื่อนงานความมั่นคงด้านต่างประเทศ เช่น การสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับต่างประเทศและประชาชน ในการแก้ไขปัญหา IUU ปัญหาการค้ามนุษย์ รวมทั้งการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ เป็นต้น ซึ่งถือเป็นการยกระดับและสร้างมาตรฐานสากลในเวทีโลก
• การช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน เช่น การแก้ปัญหาการดำเนินงานของศูนย์ดำรงธรรม เป็นต้น รวมทั้งการสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องต่าง ๆ
พลเอกประวืตร ได้กล่าวย้ำว่า “ การแก้ปัญหาด้านความมั่นคงของประเทศ ไม่ใช่ความรับผิดชอบของหน่วยงานใด หน่วยงานหนึ่ง จำเป็นต้องบูรณาการและแก้ปัญหาร่วมกัน
โดยตลอด 1 ปีที่ผ่านมา เป็นห้วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของประเทศไทย การขับเคลื่อนเดินหน้าปฏิรูปประเทศที่ผ่านมา ฝ่ายความมั่นคงต้องเผชิญกับความท้าทายในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย เช่น การล่วงละเมิดสถาบัน สถานการณ์ยาเสพติด แรงงานต่างด้าวและการทำประมงผิดกฎหมาย การอพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายและการค้ามนุษย์ การจัดระเบียบสังคม การแก้ปัญหาการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ สถานการณ์ภัยแล้งและอุทกภัย
รวมทั้งการทำความเข้าใจกับกลุ่มที่เห็นต่างและกลุ่มที่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลและ คสช. การบ่อนทำลายชาติด้วยก่อเหตุระเบิดในสถานที่ต่างๆ รวมทั้ง การทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและประเทศไทยในสายตาต่างชาติ
ศมบ. ได้ใช้กลไกการทำงานร่วมกัน ประสานงานขับเคลื่อนกับทุกส่วนราชการในการคลี่คลายและแก้ปัญหาที่สำคัญต่าง ๆ ของชาติ เป็นผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมที่ผ่านมา จนสามารถนำพาความสงบสุข ความมั่นคงมาสู่สังคมและประเทศชาติอย่างเห็นได้ชัด”
พล.อ.ประวิตรฯ ได้กล่าวขอบคุณข้าราชการจากทุกส่วนราชการใน ศมบ. ที่มุ่งมั่น ตั้งใจปฏิบัติงานด้วยความอดทน ในการสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับประชาชน รวมทั้งสร้างความร่วมมือกับประชาชนในการขับเคลื่อนแก้ปัญหาความมั่นคงไปด้วยกัน
พร้อมทั้งได้มอบนโยบายการปฏิบัติงานในปี 2559 ที่สำคัญ ดังนี้
1. การปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ขอให้ทุกหน่วยดำเนินการให้เต็มกำลังสุดความสามารถโดยร่วมกับภาคประชาชน
2. ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงการจัดระเบียบต่างๆ ในสังคม ขอให้หน่วยถือเป็นความเร่งด่วนลำดับแรกที่ต้องรีบปฏิบัติ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตปรกติสุข อย่างมั่นคง และปลอดภัย
3. มาตรการป้องกันเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง จึงขอให้ดำรงการปฏิบัติงานด้านการข่าวร่วมกับเครือข่ายเฝ้าระวังจากภาคประชาชนอยู่ตลอดเวลา โดยติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์การข่าวให้ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นส่วนสำคัญในมาตรการป้องกัน
4. ขอให้ทุกหน่วยงานสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลและดำเนินงานตามนโยบายให้ได้ในทุกมิติ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายตามโรดแมป ที่รัฐบาลวางเอาไว้
5. รัฐบาลพยายามเร่งแก้ปัญหาจราจร ระยะยาวด้วยการสร้างระบบขนส่งมวลชน ขณะเดียวกันปัญหาจราจรระยะสั้นเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในการสัญจร จึงขอให้มท.เป็นเจ้าภาพร่วมกับสตช. และกทม. วางแผนการแก้ปัญหาจราจรในระยะสั้นควบคู่ไปกับการสร้างการรับรู้ เพื่อมิให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน
6. สื่อมวลชน มีความสำคัญยิ่ง ในการร่วมสร้างการตระหนักรู้และรับรู้ในข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องแก่ประชาชน โดยเฉพาะสถานการณ์เปลี่ยนผ่านปัจจุบัน จึงขอให้ทุกส่วนราชการประสานให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องร่วมกันของประชาชน

นายกฯ แปลกใจ ทำไมต้องมีพวกออกมาปฏิเสธ "อ๊อด"ไม่เกี่ยว


นายกฯ แปลกใจ ทำไมต้องมีพวกออกมาปฏิเสธ "อ๊อด"ไม่เกี่ยว ไม่ใช่ ก็ให้เขามามอบตัว มาสอบสวนดูก่อนสิ ใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ แขวะหรือเป็นคนดีตลอดไป
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) แถลงผลการสืบสวนสอบสวนในคดีเหตุระเบิดแยกราชประสงค์และท่าเรือสาทรว่า ตอนนี้ได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามดูว่า คนร้ายที่จับกุมได้นั้นใช่ตัวจริงหรือไม่ หากใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนเลย ทำไมจะต้องเดือดร้อนกันหนักหนา ถ้าใช่เขาก็จะหาหลักฐาน ถ้าพบว่ามีหลักฐานก็แสดงว่าถูกตัว
เมื่อถามว่า จากแถลงข่าวพบว่า มีชื่อของ นายอ๊อด พยุงวงศ์ หรือนายยงยุทธ พบแก้ว ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความรุนแรงในปี 2553 เข้ามาเกี่ยวโยง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "แล้วจะมาปฏิเสธว่าเป็นพวกนี้ ไม่ใช่พวกนี้ ก็เห็นๆ อยู่ ต้องเอาหลักฐานมา
ส่วนจะเกี่ยวข้องหรือเปล่าผมไม่รู้ ต้องให้เขาสอบสวน แล้วทำไมต้องออกมาปฏิเสธ หรือเป็นคนดีตลอดมา แล้วไอ้คนที่ติดคุกตลอดชีวิตอยู่หนึ่งกลุ่ม อีกกลุ่มหนึ่งติดคุก 15 ปี ถามว่าคือพวกไหนที่เขาจะมาติดกันแบบนี้บ้าง แล้วจะต้องมาปรองดองกันอีกไหม ติดคุกไปแล้วน่าสงสารไหมเล่า ใครไปดูแลพวกเขา เวลาไปเอาเขามาเผาศาลากลางจนติดคุก ใครไปดูแลคนพวกนี้ ไอ้พวกที่ปลุกระดมไม่เห็นติดคุกสักคน อย่ามาพูดไรส่งเดช

เมื่อรัสเซีย "กระแทกไหล่" สหรัฐ เปลว สีเงิน

02102558 เมื่อรัสเซีย "กระแทกไหล่" สหรัฐ เปลว สีเงิน

ท่านรู้หรือยัง "สงคราม (โลก) อุ่นเครื่อง" ถูกประกาศเป็นทางการแล้ว โดยรัสเซีย มีซีเรียเป็นสมรภูมิรบ ตั้งแต่ ๓๐ กันยา.๕๘!

ยูเอ็น ๑๙๓ ประเทศ เขาประชุมกัน ๖-๗ วัน

แต่ปูติน-แห่งดีรัสเซีย โฉบวันเดียว ชิงพื้นที่ข่าว ยึดตำแหน่ง "ดาวยูเอ็น" ไปกินต่อหน้า-ต่อตา

ชนิด โอบามา ร้องได้คำเดียว โอ...มาย ก๊อด!

อินทรีเหมือนอีแร้งปีกหัก ท่ามกลางความสะใจ-สมน้ำหน้าของบรรดาประเทศบิ๊กและสมอลในวงประชุม
ปูตินประจานความเป็นอันธพาลโลกซะจนโอบามา ที่หน้าคล้ำอยู่แล้ว ต้องคล้ำจนเขียว!

ขณะประจันหน้าโอบามาที่ยูเอ็น บอก...อั๊วประกาศสงครามในซีเรีย ส่งเครื่องบินไปถล่มพวกไอซิสแล้วนะ เอาด้วยกันมั้ย?"
โอบามาจะตอบไงล่ะ...?
ได้แต่ตีหน้าเหมือนอมอุจจาระสุนัขทั้งก้อน เพราะก็รู้กันอยู่ ว่าจอมมารไอซิส นั่นคือ "เด็กสร้าง" สหรัฐ เหมือนอัลกออิดะห์ นั่นแหละ

รัสเซียส่งเครื่องบินรบถล่ม ตูม..ตูม วันแรก-รอบแรก ล่อเข้าไป ๒๐ เที่ยว สหรัฐสั่นเหมือนลูกหมาตกน้ำ

"เฮ้ ยู...ที่ถล่มนั่นไม่ใช่ไอซิส มันกลุ่มกบฏโค่นล้มประธานาธิบดีอัสซาดที่ไอสนับสนุนอยู่ตะหากล่ะ!"

อ้าว...แล้วกัน......

ไหนเที่ยวคุยเป็นโคตรพ่อ-โคตรแม่ประชาธิปไตย เกลียดเผด็จการ แล้วไหงเป็นเผด็จการซะเอง แถมสนับสนุนกลุ่มกบฏให้โค่นล้มรัฐบาลซีเรียล่ะ?

นี่...เจอลูกนี้จากขาโจ๋รัสเซีย อินทรีอันธพาลหงอยเป็นหอยห่างหาด ไปไม่เป็นเหมือนกัน

เพราะทั้งโลกรู้ ประธานาธิบดีหมอตาจากอังกฤษชื่อ "บาชาร์ อัล อัสซาด" ที่สหรัฐประณามเป็นเผด็จการ ต้องโค่นล้มจากตำแหน่งนั้น

แท้จริงแล้ว เป็นประธานาธิบดีจากการเลือกตั้ง เขาชนะคู่แข่ง ชนิดไม่เห็นฝุ่น ในขณะที่คู่แข่งได้คนละไม่ถึง ๑๐%

แต่ประชาชนซีเรียร่วม ๘๐% เลือกให้เขาเป็น!

แล้ววันนี้ สหรัฐที่คุยว่าเป็นผู้ต่อต้านเผด็จการ กลับสวมบทเผด็จการเสียเอง โค่นล้มรัฐบาลประชาธิปไตยซีเรียเหย็งๆ

เพราะเขาไม่ยอมเป็นลูกกระเป๋งเหมือน ซาอุฯ อิสราเอล บาห์เรน สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ จอร์แดน

เลยจัด "อาหรับสปริง" บังหน้า ส่วนมือไขว้หลัง ยื่นให้ทุน ให้อาวุธ "กลุ่มทักษิณซีเรีย" ก่อการโค่นล้มประธานาธิบดีมาจากเลือกตั้ง!

มองที่สหรัฐทำกับประธานาธิบดีอัสซาดในซีเรีย กับที่ทำกับนายกฯ ประยุทธ์ในไทย ทำให้เห็น
"สันดานอเมริกัน" ชัดขึ้น!

โลกไม่มีกัดดาฟี แต่ชั่วโมงนี้ ต้องยกให้อัสซาดนี่แหละเป็น "มนุษย์เหล็ก" โลกอาหรับ!

ก็ดูซี...ทั้งจอมโหดไอซิส ทั้งกบฏในเอวสหรัฐ รุมอัด-รุมถล่มซีเรียมา นี่ก็เข้าปีที่ ๕ แล้ว ตายกันเป็นแสน-เป็นล้าน "อัสซาด" ยังอยู่ดี

และ...สู้สุดใจขาดดิ้น!

๒ ลูกกระเป๋งเอาไม่อยู่ ลูกพี่ต้องเปิดหน้าออกฉากเอง ชนวนบริวาร ๕-๖ ประเทศ ซาอุฯ เอมิเรสต์ บาห์เรน จอร์แดน บินถล่มซีเรีย เช้า-สาย-บ่าย-ค่ำ

ผู้คนต้องหนีตาย กระจายเข้ายุโรปอลหม่าน จนทำให้แนวร่วมยุโรปชักไม่พอใจ สหรัฐคนเดียว ทำให้เขาซวยไปด้วย

ไหนจะคนอพยพเข้ามา ไหนจะเดือดร้อนที่ไปคว่ำบาตรรัสเซีย แต่ถูกรัสเซียคว่ำกลับ ไม่ซื้อสินค้า ก๊าซ-น้ำมัน ก็ไม่ส่งให้ ฝ่ายที่ตาย กลายเป็นยุโรปเอง

รัสเซียเห็นแล้วหมั่นไส้ ให้จีนคุมเชิงรอบนอก ตัวเองชวนอิหร่าน-อิรัก-เยเมน "ประกาศศึก" ไม่พูดพล่ามทำเพลง

แจ้งปุ๊บ...ส่งฝูงบินถล่มปั๊บ!

สถานการณ์ตอนนี้ รัฐบาลซีเรียเหมือนมวยได้น้ำ บนอากาศรัสเซียถล่ม ภาคพื้นดินกองทัพซีเรียไล่อัดเอาคืน

ขณะนี้ พันธมิตรรัสเซีย...เฮ แต่ฝ่ายพันธมิตรสหรัฐ....โฮ!

สหรัฐ ยูเอ็น ไปไม่ถูก เพราะที่รัสเซียประกาศทำสงครามในซีเรีย ไม่ใช่เสือก หากแต่ทางซีเรีย โดยอัสซาดร้องขอ

ต่างกับสหรัฐ ที่เข้าไปถล่มซีเรีย อิรัก เยเมน นั่นเสือก ใช้อำนาจบาตรใหญ่ โดยยูเอ็น (เด็กในคาถา) คล้ายปากว่า-ตาขยิบ!

นั่นในด้าน "การสงคราม" แต่แทบทุกครั้ง สืบเนื่องจาก "การศาสนา"

พอดีคุณเปรมศักดิ์ จีระแพทย์ ผู้เขียนหนังสือรัฐบาลโลก และสงครามโลกครั้งที่ ๓ ซึ่งไปถึงกรุงเยรูซาเลมเพื่อค้นคว้ามาแล้ว ส่งบทพิเคราะห์ผ่านเวทียูเอ็น กันยา.๕๘ มาให้ อ่านดูนะครับ

- เปรมศักดิ์ จีระแพทย์

นับถอยหลังสู่สงครามโลกครั้งที่ 3

วันนี้มาเกาะติดกลิ่นอายสถานการณ์สงครามโลกครั้งที่ 3 โดยพิจารณาจากบรรยากาศประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติ 25 กย.58 ที่นิวยอร์ก

ซึ่งสิ่งที่น่าจับตาคือ ท่าทีสหรัฐ จีน รัสเซีย และสันตะปาปา Francis ที่ร่วมประชุมครั้งนี้

สถานการณ์ที่น่าสังเกต
1.สำนักข่าวจีนรายงานว่า ในช่วง 20-28 สิงหาคม 2015 จีนและรัสเซียซ้อมรบร่วมทางทะเลที่เมืองท่า น่านน้ำรัสเซีย

ท่าทีเป็นนัยบ่งชี้ “อเมริกาเอ๋ย ข้าไม่กลัวเอ็งหรอก” จึงเป็นสิ่งที่น่าเชื่อว่า จะมีการเจรจานอกรอบใน
ประเด็นดังกล่าว รวมทั้งหัวข้ออื่น ดังนี้

2.การสู้รบในซีเรีย ที่มีนักรบ I.S.I.S เข้าไปปฏิบัติการ และสหรัฐจำต้องระดมถล่มทางอากาศ ทำให้ชาวซีเรียจำนวนมหาศาลอพยพลี้ภัยไปยังประเทศต่างๆ ซึ่งเยอรมันเปิดรับจำนวนมากกว่าเพื่อน

ที่น่าสนใจอีกเรื่อง ในการประชุมนอกรอบ ระหว่างปูตินและโอบามา นายโอบามาบอก ประธานาธิบดีอัสซาดของซีเรียต้องลงจากตำแหน่ง
แต่ปูตินแย้ง ว่าให้เป็นหน้าที่ประชาชนซีเรียตัดสินอนาคตประเทศของเขาเอง (อเมริกาไม่ควรแทรกแซง)

3.ประเด็นสุดท้าย เคยเล่าค้างไว้ว่า.........
อิสราเอล จะเป็นฉนวนสำคัญของสงครามโลกครั้งที่ 3 โดยมีศาสนสถานในเยรูซาเลมตะวันออกเป็นชนวน

เรื่องนี้ต้องย้อนดู หลังจากชาวยิวกลับมาประกาศเอกราชบนดินแดนดั้งเดิมในปี ค.ศ.1948 พวกเขาเฝ้าหวังรอคอยที่จะสร้างวิหารของยิวขึ้นใหม่ แต่ไม่สำเร็จตามความหวัง เพราะติดปัญหาอยู่ที่มีสุเหร่าของมุสลิมสร้างอยู่

ผลความพยายามล่าสุด Magazine ชื่อ Famiglia Christiana ได้รายงานว่า เมื่อ 8 มิถุนายน 2014 นายชิโมน เปเรส ประธานาธิบดีอิสราเอลขณะนั้น เข้าพบสันตะปาปา Francis

เสนอให้พระองค์สานสัมพันธ์ "อิสราเอล-ปาเลสไตน์" (ส่วนหนึ่งของโลกมุสลิม) โดยการก่อตั้ง “Organization of United (World) Religions” (องค์การศาสนาสากลรวมทุกศาสนาเข้าเป็นหนึ่งเพื่อแก้ปัญหาความแตกแยกทางศาสนา)

ต่อมา 9 กันยายน 2014 นายเปเรสได้พ้นตำแหน่ง แต่ก็ยังไปพบกับสันตะปาปา Francis อีก เพื่อสานต่อเป้าหมายเดิม คือจัดตั้ง “องค์การศาสนาสากลโลก”

อุดมการณ์คือ ก่อตั้งศาสนาใหม่ขึ้นมา โดยรวมทุกศาสนาเข้ามาเป็นศาสนาหนึ่งเดียว เสนอให้ สันตะปาปา Francis เป็นผู้นำ

ประเด็นดังกล่าว จะเป็นสาเหตุจริงๆ ของสงครามโลกครั้งที่ 3!
แผนการนี้จะสำเร็จหรือไม่?

เราต้องทำความเข้าใจกับการเมืองในอิสราเอลว่า นายชิโมน เปเรส เคยเป็นประธานาธิบดีในช่วง 2007-2014 เขามีนโยบายขัดแย้งกับ นายเบนจามิน เนทันยาฮู ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน

คือ นายชิโมน เปเรส ถือนโยบายปรองดองกับโลกมุสลิม ต่างกับนายเบนจามิน เนทันยาฮู

หากจะให้เข้าใจสถานการณ์ชัดเจนขึ้น ต้องฟังนักวิเคราะห์ข่าวชั้นนำของอิสราเอล "Joel Bainerman" เขาเขียนบทความ ซึ่งสรุปท่าทีสัมพันธภาพของอิสราเอลกับสันตะปาปา Francis ไว้

นาย Joel บรรยายว่า........
ชาวยิวรู้ว่า องค์สันตะปาปาต้องการควบคุมเยรูซาเลม "กรุงเก่า" เพราะคาดคิดว่า พระเมสสิยาห์ จะเสด็จมาประสาน 3 ศาสนา คือ ยูดาย (ของอิสราเอล) อิสลาม และคริสต์ ให้เป็นหนึ่งเดียว
ซึ่งจะทำให้ประสานกลมกลืน ระงับความแตกแยก ขัดแย้งในตะวันออกกลาง

นาย Joel บรรยายว่า ชาวยิวคิดเห็นว่าองค์พระเยซูคริสต์ มิใช่เป็นพระเมสสิยาห์ และนโยบายจัดตั้งรัฐบาลโลกของ UN ที่จะทำให้เกิดสันติภาพนั้น เป็นเรื่องหลอกลวง

แต่ทำไงได้ อิสราเอลในอดีตหลวมตัวไปแล้ว ตอนนี้ ถ้า UN มีมติอย่างไร ก็ต้องยอมตามนั้น โดยเฉพาะเรื่องการสร้างวิหารโซโลมอนหลังที่ 3

แต่พวกเขาไม่พอใจท่าทีวาติกัน ที่จะครอบครองเยรูซาเลมตะวันออก นครเก่าบนภูเขาซีโอน (Zion) เพราะการนั้น เกิดขึ้นจากการตกลงลับๆ ของ Shimon Peres, Yossi Beilin ที่ทำกับสันตะปาปา Francis
ครับ วันนี้ ไม่สนุก......!

ไม่ต้องอ่านก็ได้ สำหรับคนสนใจ "ศาสนาและสงครามโลก" คุณเปรมศักดิ์บอก โทร.คุยได้ที่ 08-1813-3904 ID:Premsakjeerapaet

การประชุมยูเอ็นเริ่มจากในบ้าน

บีบีซีไทย - BBC Thai
3 ชม.
การประชุมยูเอ็นเริ่มจากในบ้าน
Outside contributor
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทยได้เสร็จสิ้นภารกิจในการร่วมประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติสมัยที่ 70 แล้วเมื่อตอนค่ำวันอังคารที่ 29 ก.ย. ตามเวลาท้องถิ่นในนครนิวยอร์กโดยการปิดท้ายด้วยสุนทรพจน์ในที่ประชุมใหญ่ที่ดูจะมีคำถามว่าได้ให้อะไรใหม่เกี่ยวกับทิศทางและนโยบายในการพัฒนาประเทศของไทยทั้งในแง่การเมือง เศรษฐกิจ และ สังคมหรือไม่ นอกไปจากการแสดงอาการหมกมุ่นอยู่กับปัญหาภายในประเทศที่ไม่อาจจะข้ามพ้นไปได้ง่ายๆ
ภาพของคนไทย 2 กลุ่มพากันไปประท้วงและสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ที่หน้าอาคารสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย นายกรัฐมนตรีไม่ได้พยายามจะพบกับผู้ประท้วงแต่ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ทั้งตัวนายกรัฐมนตรีเอง รัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลับพบปะโอภาปราศรัยกับผู้สนับสนุนอย่างเป็นกันเอง นี่ก็สะท้อนให้ชาวโลกเห็นว่า สังคมไทยยังห่างไกลความสมานฉันท์ยิ่งนัก
บรรดาผู้สนับสนุนและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการข้อมูลของรัฐบาลทั้งฝ่ายปิดลับและเปิดเผยพยายามให้ข่าวว่า พลเอกประยุทธ์ ได้รับเลือกให้นั่งเป็นประธานกลุ่ม 77 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าประชาคมนานาชาติให้การยอมรับรัฐบาลทหารอย่างไม่มีข้อสงสัย ในความจริงแล้วการดำรงตำแหน่งประธานกลุ่มดังกล่าวเป็นผลของการปฏิบัติการทางการทูตของนักการทูตไทยในกระทรวงต่างประเทศที่ได้ดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้ว ประเทศไทยได้มีบทบาทในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีสมาชิก 134 ประเทศกลุ่มนี้มานานพอสมควร ทั้งยังเคยเป็นประธานของกลุ่มนี้ในสำนักงานอื่นๆมาแล้ว เช่น ไนโรบี เมื่อปีที่แล้ว และสำนักงานอื่นๆในปีก่อนๆ ทั้งการเป็นประธานในคราวนี้คือการเป็นประธานกลุ่มในสำนักงานนิวยอร์กซึ่งประจำสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งพิเศษที่จัดไว้ให้พลเอกประยุทธ์หรือว่าเป็นผลงานของนายกรัฐมนตรีไทยคนปัจจุบันแต่อย่างใด
และการเป็นประธานนั้นก็อาศัยการเลือกตั้งภายใต้โครงสร้างของกลุ่มที่หมุนเวียนไปตามภูมิภาค ประธานในปีหน้านั้นเป็นโควตาของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประเทศไทยอาสาเข้ารับตำแหน่งเมื่อหลายเดือนก่อน โดยไม่มีคู่แข่งขันจึงได้รับการคัดเลือกและรับรองให้เป็นประธานในสำนักงานนิวยอร์ก 1 วันก่อนที่พลเอกประยุทธ์จะเดินทางถึงสหรัฐ เครดิตระหว่างประเทศถ้าหากจะมีขึ้นจากกรณีนี้ก็เป็นการสั่งสมมาแต่ในอดีตจากการดำเนินงานทางด้านองค์การระหว่างประเทศของข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลทหารไม่ได้แสดงว่าให้ความสนใจมาก่อน ตัวพลเอกประยุทธ์เองก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีความเข้าใจในบทบาทและหน้าที่ของกลุ่ม 77 การเป็นประธานก็อาศัยฝีมือทางการทูตของผู้แทนถาวรประจำสหประชาชาติมากกว่าจะมาจากฝ่ายการเมือง

ประเทศไทยได้รับรางวัลจากสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศและมีพลเอกประยุทธ์ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลขึ้นรับรางวัลอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ประเทศไทยส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีดิจิตอลเพื่อบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมา ลำพังผลงานของรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ในห้วง 1 ปีที่ผ่านมาก็ยังไม่มีความโดดเด่นในเรื่องโทรคมนาคมเพียงพอจะได้รับรางวัล มิหนำซ้ำ แนวคิดที่จะใช้ single gateway เพื่อทำการควบคุมการจราจรในระบบดิจิตอลและจำกัดเสรีภาพในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศยังจะทำให้รางวัล ITU Global Sustainable Digital Development Award ที่พลเอกประยุทธ์ได้รับมาหมาดๆนั้นสูญค่าลงไปในทันที
เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลพยายามอย่างมากที่จะทำให้ประชาชนในประเทศเห็นว่า รัฐบาลสหรัฐฯนั้นไม่ได้แสดงความรังเกียจเดียดฉันท์พลเอกประยุทธ์ซึ่งเป็นผู้นำการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว โดยการพยายามจัดการให้พลเอกประยุทธ์ได้มีโอกาสสัมผัสมือกับประธานาธิบดี บารัค โอบามาของสหรัฐฯแม้เพียงผ่านๆก็ยังดี หลังจากเจรจาต่อรองกันอยู่นานฝ่ายสหรัฐฯยินยอมให้ประธานาธิบดีโอบามาเดินมาทักทายและสัมผัสมือพลเอกประยุทธ์ได้ แต่ก็บนเงื่อนไขว่าจะไม่มีการเผยแพร่เรื่องนี้อย่างเป็นทางการ ช่างภาพที่ติดตามนายกรัฐมนตรีไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายภาพ จึงปรากฏเฉพาะแต่ภาพจากเจ้าหน้าที่ติดตามซึ่งถ่ายจากโทรศัพท์มือถือเผยแพร่ในโซเซียลมีเดียเท่านั้น
พลเอกประยุทธ์ได้พบปะหารือแบบทวิภาคีกับผู้นำจากประเทศมหาอำนาจรายเดียวคือ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีนเท่านั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นบุคคลที่มีความคุ้นเคยกันอยู่แล้ว พลเอกประยุทธ์ให้ความสำคัญกับการพบปะผู้นำประเทศที่ไม่เป็นที่รู้จักมากนักในประเทศไทย เช่นประเทศในหมู่เกาะในแปซิฟิกใต้ แคริบเบียนและแอฟริกา เพื่อขอความสนับสนุนในการรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งจะมีการเลือกตั้งในปีหน้าและจนขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่า ประเทศไทยได้รับเสียงสนับสนุนเท่าใดแล้ว
การประชุมสหประชาชาติในปีนี้ดำเนินการภายใต้หัวข้อ สหประชาชาติครบรอบ 70 ปี หนทางสู่สันติภาพ ความมั่นคง และสิทธิมนุษยชน (The United Nation at 70 the road ahead to peace, security and human right) แต่พลเอกประยุทธ์ พยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงปัญหาสำคัญในประเทศไทยเกี่ยวกับการฟื้นฟูประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ซึ่งได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงจากนานาชาติในปัจจุบัน แต่ก็หนีไปไม่พ้น
บัน คีมูน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติไม่ลังเลที่จะยกปัญหาเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนขึ้นหารือกับพลเอกประยุทธ์ ระหว่างที่มีการพบกันแบบทวิภาคีที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ โดยบอกกับพลเอกประยุทธ์ว่าเขาวิตกกังวลเกี่ยวกับพื้นที่ประชาธิปไตยของไทยที่กำลังลดน้อยลงทุกทีและยังขอให้รัฐบาลไทยปกป้องและรักษาสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมของประชาชนที่กำลังมีการจำกัดอย่างมากอยู่ในขณะนี้ด้วย ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับโรดแม๊ปของไทยที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งที่ล่าช้าออกไป เพราะเหตุผลที่พลเอกประยุทธ์บอกกับ บัน คีมูน คือร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ผ่านความเห็นชอบของสภาปฏิรูปแห่งชาติซึ่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติคือพลเอกประยุทธ์เองตั้งมากับมือ
บรรดาผู้สนับสนุนรัฐบาลทหารพยายามจะช่วยรักษาหน้าของพลเอกประยุทธ์ในระหว่างที่อยู่ในนิวยอร์คด้วยการระดมคนจำนวนหลายร้อยคนไปชุมนุมหน้าองค์การสหประชาชาติ 3 วันติดต่อกันเพื่อให้กำลังใจและประกาศว่าคนไทยต้องการรัฐบาลทหารมากกว่ารัฐบาลจากการเลือกตั้งหรือระบอบประชาธิปไตยซึ่งเต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่น ในขณะที่ฝ่ายต่อต้านหรือกลุ่มเสื้อแดงนั้นมีจำนวนน้อยกว่าและปรากฏตัวเพียงวันเดียวทั้งยังไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้ตัวนายกรัฐมนตรี จำเป็นต้องอยู่แต่ในที่ซึ่งทางการสหรัฐจัดสรรไว้ให้ ทั้งการถ่ายทอดการชุมนุมของพวกเขาไปประเทศไทยก็ถูกปิดกั้นโดยรัฐบาล
โดยสรุปแล้วพลเอกประยุทธ์ได้มีโอกาสทำหน้าที่หัวหน้ารัฐบาลไทยในฐานะผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมประชุมสหประชาชาติเพื่อพูดถึงการพัฒนาและการมีส่วนร่วมของไทยในหลายภาคส่วนขององค์การสหประชาชาติโดยเฉพาะการได้ร่วมรับรองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนฉบับใหม่ วาระปี ค.ศ. 2030 ได้ร่วมประชุมสุดยอดว่าด้วยการรักษาสันติภาพซึ่งประธานาธิบดีโอบามาเป็นประธาน และได้กล่าวสุนทรพจน์ในเวทีเดียวกัน แต่นั่นก็ไม่แน่ว่าได้ช่วยให้พลเอกประยุทธ์โดดเด่นหรือกลายที่ยอมรับนับถือในชุมชนนานาชาติ เพราะนโยบายแห่งการปิดกั้นเสรีภาพ ละเมิดสิทธิมนุษยชนในบ้านยังคงดำเนินอยู่ต่อไป ดังที่นานาชาติได้แสดงความเป็นห่วงและยกเป็นประเด็นขึ้นมาพูดเสมอ
ในภาพ พล.อ.ประยุทธ์พบกับนายแกสตัน บราวน์ นายกรัฐมนตรีแอนติกาและบาร์บูดา

ศึกหนัก สสส.หลัง คตร. ตรวจสอบงาน สสส. ไม่เข้าข่ายสร้างเสริมสุขภาพ

สะพัด! จดหมายเวียนผู้จัดการ สสส. ส่งถึงคนทำงาน สั่งสอดส่องสื่อ - โซเชียลมีเดีย หวั่นกระแสโจมตี
หลัง คตร. ตรวจสอบงาน สสส. ไม่เข้าข่ายสร้างเสริมสุขภาพ เชื่อถูกธุรกิจมืดแทรกแซง พร้อมตั้งทีมสื่อสารเฉพาะกิจ รวบรวมผลงานเชิงบวกต่อประเทศทำความเข้าใจสังคม วิพากษ์สนั่นกระแสฟรีซ สสส. 3 เดือน ห้ามทำงาน ห้ามให้งบเครือข่าย ระหว่างหน่วยงานสุขภาพอื่น และ สธ. ตรวจสอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ในสังคมออนไลน์มีการส่งต่อข้อความในลักษณะจดหมายเวียน ซึ่งคาดว่าเป็นของ ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ถึงบุคลากร สสส. ทุกคน โดยเนื้อหาระบุถึงวิกฤตใหม่ที่ สสส. กำลังเผชิญ คือ ผลการตรวจสอบเบื้องต้นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้งบประมาณภาครัฐ (คตร.) ที่มีการกล่าวหาว่า งาน สสส. อยู่นอกขอบข่ายการสร้างเสริมสุขภาพ เช่น การตั้งศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน เป็นบทบาทของกระทรวงคมนาคม งานสวดมนต์ข้ามปี เป็นงานของกรมการศาสนา หรืองานพัฒนาผู้นำการเปลี่ยนแปลงร่วมกับกระทรวงต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดล้วนไม่ใช่บทบาท สสส. เป็นต้น ซึ่ง สสส. ยังไม่ทันได้ชี้แจง คตร. ก็สรุปผลและส่งรายงานต่อนายกรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ข้อความในจดหมายยังระบุอีกว่า การตรวจสอบของ คตร. ครั้งนี้ เชื่อว่าไม่เป็นไปตามปกติ อาจมีการแทรกแซงโดยธุรกิจที่เสียประโยชน์ และมีความเสี่ยงสูงที่ สสส. อาจจะถูกทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง โดยอาจเสนอให้ สสส. เข้าสู่ระบบบริหารราชการปกติ หรือแทรกแซงการทำงานของ สสส. ให้ไม่สามารถดำเนินการได้เหมือนเดิม ซึ่งจากการได้หารือด่วนกับผู้บริหารทุกคน เพื่อวางแผนรับมือกับสถานการณ์ เป็นไปได้ว่าช่วง 1 - 2 สัปดาห์นี้ อาจมีการโจมตีการทำงานของ สสส. ออกมาทางสื่อและโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างกระแสและความชอบธรรมในการทำลาย สสส. โดยขณะนี้ได้ตั้งทีมสื่อสารเฉพาะกิจ เพื่อรวบรวมข้อมูลและประเด็น จัดทำชุดสื่อสารที่ตรงจุด เข้าใจง่าย หากมีการโจมตี สสส. ก็จะตอบโต้และสื่อสารให้กับสังคมเข้าใจโดยเร็วและทันสถานการณ์
นอกจากนี้ ยังระบุว่า สิ่งที่ชาว สสส. ต้องช่วยกันทำ คือ เตรียมข้อมูลการทำงานของ สสส. ที่ส่งผลกระทบเชิงบวกที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศ ผลงานเด่นของแต่ละสำนัก และชี้แจงประเด็นที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และ คตร. มีคำถามและตั้งข้อสังเกตทุกประเด็น คอยสอดส่องสื่อต่าง ๆ ที่มีประเด็นเชิงลบกับ สสส. แล้วช่วยกันส่งข่าวให้ทีมสื่อสารกลางได้รับทราบอย่างรวดเร็ว ช่วยเตรียมข้อมูลผลงานของสำนัก พร้อมหลักฐานอ้างอิงที่สนับสนุนผลงานอย่างเป็นรูปธรรม และช่วยกันทำความเข้าใจกับภาคีและสังคม เมื่อทีมสื่อสาร สสส. ให้สัญญาณ เชื่อว่า ครั้งนี้ สสส. จะผ่านวิกฤตไปด้วยความร่วมมือของทุกคนเหมือนทุกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากมีการกระจายจดหมายเวียนดังกล่าว ได้มีการกระจายไปยังนอกหน่วยงาน และวิพากษ์วิจารณ์ว่า อีกไม่นาน คตร. จะส่งรายงานถึงนายกรัฐมนตรี และอาจมีคำสั่งให้บุคลากร สสส. หยุดการทำงาน 3 เดือน โดยหยุดให้การสนับสนุนงบประมาณเครือข่าย สสส. ต่าง ๆ และอาจให้หน่วยงานด้านสุขภาพอื่น ๆ รวมถึงกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เข้าไปตรวจสอบตรงนี้ ให้แล้วเสร็จ 3 เดือน จากนั้นจึงจะเดินหน้างาน สสส.ต่อไป จนเกิดข้อวิตกว่าจะมีการล้วงลูกหรือไม่
ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามเรื่องนี้ต่อ ทพ.กฤษดา แต่ไม่สามารถติดต่อได้ ขณะที่แหล่งข่าวใน สสส. ระบุว่า เรื่องผลการตรวสอบของ คตร. เป็นเรื่องจริง ซึ่ง สสส. ยังต้องชี้แจง แต่ขณะนี้ยังชี้แจงไม่เป็นที่เรียบร้อย
ผู้สื่อข่าวสอบถาม นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ถึงกรณีกระแสข่าวให้ สธ.เข้ามาตรวจสอบ สสส. นพ.ปิยะสกล กล่าวสั้นๆ ว่า ข่าวลือก็ปล่อยให้ลือไปก่อน ถ้าลือเสร็จเมื่อไรค่อยมาว่ากันอีกที
พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ที่ปรึกษาสมาพันธ์โรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไป (สพศท.) กล่าวว่า บทบาทของ สสส. ตั้งขึ้นมาเพื่อต้องการให้ใช้เงินภาษีบาปฟื้นฟูสุขภาพประชาชน หรือรณรงค์ให้ประชาชนลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ อยู่ภายใต้การดูแลของนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นหน่วยงานพิเศษในยุคที่เริ่มก่อตั้ง แต่ปัจจุบันกลับมีการใช้เงินแบบให้ใครก็ได้ที่ต้องการทำกิจกรรมแล้วมีการระบุว่าเพื่อสุขภาพ ซึ่งเรื่องนี้ต้องมีการดูแลให้ชัดเจน ขณะนี้ สสส. ยังได้รับเงินจากภาษีบาปเพิ่มขึ้นจากเริ่มต้นที่ประมาณ 1 พันล้านบาท เป็นประมาณ 4 พันล้านบาทแล้ว การได้รับเงินมากขึ้นส่งผลให้ต้องเร่งใช้เงินให้หมด ดังนั้น สสส. ในปัจจุบัน จึงถูกมองว่าเป็นหน่วยงานที่เอากระแสมากกว่าผลงาน บางครั้งก็มีการไปทำงานทับเส้นหน่วยงานอื่น นอกจากนี้ การใช้เงินของสสส.ก็ตรวจไม่ได้ สตง.ยังเคยระบุว่า สสส.ตรวจสอบลำบาก การนำเงินไปใช้บางโครงการไม่ชัดเจน
“บางโครงการของกลุ่มเอ็นจีโอบางกลุ่มที่มีการทำเรื่องมาเสนอของบประมาณจาก สสส. ก็มีการเปลี่ยนเพียง พ.ศ. แต่ชื่อโครงการไม่เปลี่ยน สะท้อนให้เห็นว่า หากโครงการสำเร็จก็คงไม่ของบซ้ำ นอกจากนี้ ยังมีเอ็นจีโอกลุ่มที่ไม่ใช่พวกพ้องออกมาโจมตีว่า สสส. อาจให้เงินเฉพาะกลุ่มของพวกพ้อง ดังนั้น ช่วงหลังกระทรวงการคลังจึงมีความพยายามที่จะดึงงบ สสส. มาไว้ที่กระทรวงการคลังแล้วให้ สสส. ไปเบิกงบหากต้องการใช้ ทั้งนี้ หากเอาเงินไปไว้ที่กระทรวงการคลัง สตง. ก็จะสามารถตรวจสอบได้ เพราะเวลาจะนำเงินออกไปใช้จะมีเลขกำกับ และขอสนับสนุนให้นำเงินไปไว้ที่กระทวงการคลังเพื่อให้เงินจำนวนมหาศาลนี้เกิดประโยชน์กับประชาชนสูง” พญ.ประชุมพร กล่าว
อ่านจดหมายเวียนฉบับเต็ม
ถึง ชาว สสส. ทุกคน
จากเหตุการณ์หลายเดือนก่อนที่ สสส. อยู่ในวิกฤติของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อยกเลิก Earmarked tax และพวกเราก็สามารถฝ่าฟันวิกฤติครั้งนั้นได้ ด้วยความร่วมมือของทุกคน
ครั้งนี้เราเจอความเสี่ยงครั้งใหม่ เมื่อคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้งบประมาณภาครัฐ (คตร.) ได้ถูกส่งมาตรวจสอบการทำงานของ สสส. ซึ่งทีม สสส. ได้มีการชี้แจงและทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ ที่มาตรวจสอบ จนเกิดความเข้าใจเป็นอย่างดี และเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ไม่ติดใจประเด็นการทำงานของ สสส. แล้ว แต่เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ผมและคณะได้เข้าไปรับทราบผลการตรวจสอบเบื้องต้นจาก คตร. ซึ่งผลที่ออกมาเบื้องต้นไม่ positive กับ สสส. ในหลายประเด็น โดยมีการกล่าวหาว่า งาน สสส. อยู่นอกขอบข่ายการสร้างเสริมสุขภาพ เช่น การตั้งศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน เป็นบทบาทของกระทรวงคมนาคมไม่ใช่ สสส. หรือ งานสวดมนต์ข้ามปี เป็นงานของกรมศาสนา ไม่ใช่ บทบาท สสส. หรือ งานพัฒนาผู้นำการเปลี่ยนแปลงร่วมกับกระทรวงต่างๆ ไม่ใช่บทบาท สสส. เป็นต้น
ในการพบ คตร. วันนั้นประธานได้นัดหมาย ให้ สสส. ไปชี้แจงรายละเอียดการทำงานในครั้งต่อไป แต่ทีมงาน สสส. ยังไม่ทันได้ไปชี้แจงแต่อย่างใด คตร. ก็สรุปผลและส่งรายงานต่อนายกเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อหลายวันที่ผ่านมา
ทำให้เรามีความเชื่อว่าการตรวจสอบ ของ คตร. ครั้งนี้ไม่เป็นไปตามปกติ อาจมีการแทรกแซงโดยธุรกิจที่เสียประโยชน์ และมีความเสี่ยงสูงที่ สสส. อาจจะถูกทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงโดยอาจเสนอให้ สสส. เข้าสู่ระบบบริหารราชการปกติ หรือแทรกแซงการทำงานของ สสส. ให้ไม่สามารถดำเนินการได้เหมือนเดิม
และเช้านี้ผมได้หารือด่วนกับผู้บริหารทุกคน เพื่อวางแผนรับมือกับสถานการณ์ครั้งนี้อย่างจริงจัง โดยการวิเคราะห์สถานการณ์ วิเคราะห์ scenario ที่อาจจะเกิดขึ้น รวมถึงแนวทางที่พวกเราจะต้องร่วมมือ ร่วมแรง และร่วมใจกัน อีกครั้ง เพื่อฟันฝ่าวิกฤตนี้ ให้ได้
ในช่วง 1 - 2 สัปดาห์นี้เป็นไปได้อาจมีการโจมตีการทำงานของ สสส. ออกมาทางสื่อ และ social media อีกระลอก เพื่อสร้างกระแสและความชอบธรรมในการทำลาย สสส.
สิ่งที่พวกเราจะต้องช่วยทำกันในช่วง 1 - 2 สัปดาห์นี้ คือ การเตรียมข้อมูลการทำงานของ สสส ที่ส่งผลกระทบเชิงบวก ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและต่อประเทศ ผลงานเด่นของแต่ละสำนัก และชี้แจงประเด็นที่ สตง. และ คตร. มีคำถามและตั้งข้อสังเกตุทุกประเด็น
ขณะนี้เราได้ตั้งทีมสื่อสารเฉพาะกิจ ซึ่งประกอบด้วย CC SM ศรร. และฝ่ายนวัตกรรม เพื่อรวบรวมข้อมูลและประเด็น และจัดทำชุดสื่อสารที่ตรงจุด เข้าใจง่าย ให้พร้อม และหากมีการโจมตี สสส. ทางสื่อ หรือ social media ออกมาเราก็จะตอบโต้และสื่อสารประเด็นให้กับสังคมเข้าใจโดยเร็ว และทันต่อสถานะการณ์
สิ่งที่อยากให้ชาว สสส ทุกคนช่วยกัน คือ
- สอดส่องสื่อต่างๆ หรือ social media ที่มีประเด็นเชิงลบกับ สสส แล้วช่วยกันส่งข่าว ให้ทีมสื่อสารกลางได้รับทราบอย่างรวดเร็ว
- ช่วยเตรียมข้อมูลผลงานของสำนัก พร้อมหลักฐานอ้างอิงที่สนับสนุนผลงานอย่างเป็นรูปธรรม
- ช่วยกันทำความเข้าใจกับภาคีและสังคม เมื่อทีมสื่อสาร สสส. ให้สัญญาน
พวกเราพบวิกฤตร่วมกันมาหลายครั้ง และเราก็สามารถผ่านวิกฤตเหล่านั้นมาได้ทุกครั้ง และครั้งนี้ผมก็เชื่อมั่นว่าเราจะผ่านไปได้ ด้วยความร่วมมือของพวกเราทุกคน