PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2561

‘ยะใส’ระอา!คนบิ๊กรัฐบาล‘เกียร์ว่าง’อ้างเสรีภาพปล่อยผีสมุน‘แม้ว-ปู’ร่วมเริงร่า



9 ต.ค.61 นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีคณะนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความ “ท่าทีที่เปลี่ยนไป ของคนในรัฐบาล!” ลงในเพตเฟซบุ๊กว่า “ผมค่อนข้างแปลกใจกับท่าทีและจุดยืนของรองนายกฯ นายวิษณุ. เครืองาม ที่ระบุว่าการ เดินทางไปพบคุณทักษิณและคุณยิ่งลักษณ์ชิน วัตร ของแกนนำพรรคเพื่อไทยเป็นเสรีภาพ คสช. ปล่อยแล้ว และยังบอกว่า ใครจะตั้งพรรคสำรองกี่พรรคก็เป็นสิทธิที่ทำได้ถ้ามีทุนและมีสติปัญญา 

ฟังแล้วก็ค่อนข้างแปลกใจ กับจุดยืนดังกล่าวของท่านรองนายกฯ ที่ผมเป็นห่วงก็คือการพูดเช่นนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต. ที่กำลังตรวจสอบการกระทำที่เข้าข่ายผิด มาตรา 28 และ 29 พรป.พรรคการเมือง ที่ห้ามพรรคการเมืองยินยอมให้บุคคลภายนอกยุ่งเกี่ยวกับกิจการในพรรค ซึ่งมีผู้ร้องต่อ กกต. ในกรณีของพรรคเพื่อไทยไปแล้วก่อนหน้านี้ 
ท่าทีของคนในรัฐบาล บางเรื่องต้องไม่ชี้นำ บางเรื่องต้องเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต. ที่จะมีอิสระในการวินิจฉัย เพราะอาจทำให้การทำงานของ กกต. มีปัญหาตามมาด้วยเช่นกัน 
ที่สำคัญเรากำลังเข้าสู่บรรยากาศของการเลือกตั้ง มีคำสั่ง คสช. ควบคุมการทำกิจกรรมสิทธิและเสรีภาพของพรรคการเมืองสารพัดคำสั่ง แต่สิ่งที่คนในรัฐบาลทำก็ดูเหมือนกับไม่ได้เคร่งครัดในการบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา นี่ยังไม่รวมถึงการทำหน้าที่ของรัฐบาลในการนำคนผิดกลับมารับโทษในกระบวนการยุติธรรมด้วย 
“การตั้งพรรคสำรองหลายพรรคเพื่อเก็บคะแนนเสียงจากระบบเลือกตั้งแบบใหม่แม้เป็นสิทธิที่ทำได้ แต่วิธีดังกล่าวจะทำลายระบบพรรคการเมืองที่เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและ พรป.พรรคการเมืองต้องการสร้างความเข้มแข็งให้กับพรรคการเมืองการตั้งพรรคเครือข่ายพรรคสำรองพรรคแนวร่วมจะทำให้พรรคการเมืองจมอยู่กับคะแนนเสียงเลือกตั้งไม่ว่าจะได้มาโดยวิธีใดก็ตามแบบนี้ก็จะทำให้การปฏิรูปการเมือง โดยพรรคการเมืองไม่ประสบความสำเร็จ” นายสุริยะใส ระบุ

โจทย์ การเมือง จาก สุเทพ เทือกสุบรรณ การแบ่ง ‘เค้ก’

โจทย์ การเมือง จาก สุเทพ เทือกสุบรรณ การแบ่ง ‘เค้ก’



ยังไม่ทันที่ผลการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จะปรากฏอย่างแจ้งชัด การต่อรองในเรื่องตำแหน่งทางการเมืองก็เริ่มขึ้นแล้ว
เสียงแรกสุดมาจากพรรครวมพลังประชาชาติไทย
เป้าหมายที่จับจองเอาไว้เป็น 2 กระทรวงหลัก 1 กระทรวงศึกษาธิการ และ 1 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ถามว่าอำนาจในการต่อรองอยู่ที่ไหน
1 เป็นอำนาจจากความมั่นใจเป็นอย่างสูงว่าจะได้รับการสนับสนุนจาก “มวลมหาประชาชน” ไม่ต่ำกว่า 3.5 ล้านทั่วประเทศ
1 ส่งผลให้ได้ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่ออย่างน้อย 50 คน
อย่าลืมเป็นอันขาดว่าคำขวัญอันเปล่งขึ้นอย่างกึกก้องในห้วงแห่งการชัตดาวน์ กทม. ชัตดาวน์ประเทศไทยคืออะไร
คือ ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง
การแถลงของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในระหว่างปาฐกถาหัวข้อเรื่อง “ทำไมต้องปฏิรูปประเทศ” จากเชียงใหม่สะท้อนอย่างเด่นชัด
เด่นชัด 1 ว่าอะไรคือการปฏิรูปการเมือง
ขณะเดียวกัน 1 เด่นชัดว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทยอยู่ภายใต้การขับเคลื่อนและต่อรองของใคร
เป็น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
ไม่ใช่ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หัวหน้าพรรค ไม่ใช่ นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง เลขาธิการพรรค อย่างแน่นอน
หากมิใช่เป็นเจ้าของพรรคจะมั่นใจได้ขนาดนี้หรือ

มั่นใจในระนาบที่ว่าจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนไม่ต่ำกว่า 3.5 ล้านเสียง มั่นใจในระนาบที่ว่าจะต้องได้ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อไม่ต่ำกว่า 50 คน
อย่างนี้ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล พูดได้หรือ
ต้องยอมรับว่า ความมั่นใจอันมาจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ มิได้เป็นความว่างเปล่าอย่างเลื่อนลอยไร้รากฐานรองรับ
อย่าลืมว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นใคร
ในห้วงดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เขาเคยมีบทบาทเป็นอย่างสูงในฐานะ “ผู้จัดการ” รัฐบาล
นั่นก็คือ บทบาทในการตั้งรัฐบาลใน “ค่ายทหาร”
นั่นก็คือ การดึงเอา นายเนวิน ชิดชอบ เข้ามาโอบกอดและเป็นเหมือนกระดานหกให้กับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อเดือนธันวาคม 2551
ความจัดเจนนี้ยังเป็นของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อยู่
เป็นความจัดเจนที่ไม่เพียงแต่จะทำให้ได้ 50 ส.ส.อยู่ในมือ หากแต่ยังเป็นหลักประกันให้กับการสืบทอดอำนาจของ คสช.
เป็นข้อต่อรองที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องยอมรับ
ลํําพังเพียงเสียงจากพรรครวมพลังประชาชาติไทยก็มองเห็นภาพได้ระดับหนึ่ง เช่นเดียวกับสัญญาณที่เริ่มส่งจาก “กลุ่มสามมิตร” ซึ่งจะเข้าไปอยู่ในพรรคพลังประชารัฐ
50 เสียงของพรรครวมพลังประชาชาติไทยเอาไป 2 กระทรวง
70 เสียงอัน “กลุ่มสามมิตร” จะนำไปประเคนให้กับพรรคพลังประชารัฐ จะมีเสียงต่อรองกี่กระทรวงกี่ตำแหน่งก็พอจะได้กลิ่นมาบ้างแล้ว
นี่คือ โจทย์สืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

‘ชพน.’ออกโรงสยบลือ! ดัน‘สุวัจน์’ลงบัญชีชิงเก้าอี้นั่ง‘นายกรัฐมนตรี’



9 ต.ค. 61 นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา โฆษกพรรคชาติพัฒนา กล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่า พรรคชาติพัฒนาจะเสนอชื่อนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ให้เป็นหนึ่งในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรคว่า ขณะนี้ยังไม่มีการหารือเกี่ยวกับรายชื่อบุคคลที่พรรคจะเสนอเป็นนายกฯในการเลือกตั้งตามที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด เนื่องจากกรณีของบัญชีนายกฯ ที่พรรคจะสนับสนุนนั้น ต้องมีการนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ของพรรค และเปิดโอกาสสมาชิกพรรคมีส่วนร่วมก่อน ตามข้อบังคับพรรคที่กำหนดไว้ 

“ขณะนี้การประชุมใหญ่ ที่จะมีวาระการแต่งตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ก็ยังไม่ได้กำหนดว่าจะจัดขึ้นเมื่อใด มีเพียงกำหนดการวันที่ 12 ต.ค.นี้ที่จะประชุมกรรมการบริหารพรรคเพื่อจัดตั้งสาขาพรรคแห่งแรกที่ จ.นครราชสีมา เท่านั้น” โฆษกพรรคชาติพัฒนา กล่าว 
นายชลิตรัตน์ กล่าวอีกว่า  เรื่องดังกล่าวอาจมีการเข้าใจผิดหรือคาดเดาเองว่า จะเข้ามาเป็นหนึ่งในรายชื่อผู้ถูกเสนอเป็นนายกฯของพรรค ซึ่งต้องย้ำว่า เป็นเรื่องที่ต้องรอการประชุมใหญ่ และแต่งตั้งกรรมการบริหารชุดใหม่ของพรรคแล้วเสร็จเสียก่อน จึงขอยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลา และยังไม่มีการกล่าวถึงการพิจารณาบุคคลที่จะเสนอเป็นนายกฯของพรรคแต่อย่างใด

‘บิ๊กป้อม’บอกชัด‘เพื่อไทย’ไม่ผิดไม่ต้องกลัวโดนยุบ ยัน‘คสช.’ยังนิ่ง



9 ต.ค. 61 ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ  รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงแนวทางแยกกันเดิน ร่วมกันตีของพรรคเพื่อไทยหลังเชื่อว่า จะถูกยุบพรรค โดยมี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังว่า ตนไม่ทราบ ตนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ คสช. เท่านั้น ส่วนที่ นายทักษิณ แสดงตัวอยู่เบื้องหลังของพรรคเพื่อไทยนั้น หากทำผิดเรื่องการเมือง ก็เป็นเรื่องของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต. )หากทำผิดกฎหมายก็เป็นเรื่องของตน 

“ยืนยันว่า คสช.ไม่ได้มีแผนที่จะยุบพรรคเพื่อไทย คสช. จะไปรู้ได้อย่างไร ถ้าจะถูกยุบพรรต ก็ต้องเป็น กกต. จะมาโทษ คสช.ได้อย่างไร และตอนนี้ คสช. ยังไม่ได้ประชุมอะไรเลย” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว 
เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยกังวลว่า พรรคจะถูกยุบ เพราะเป็นกลยุทธ์ อย่างหนึ่งก่อนการเลือกตั้งพล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เขาทำผิดหรือไม่ ทำไมจะต้องกลัว ถ้าไม่ทำผิด พรรคการเมืองอื่นๆไม่เห็นไม่เห็นกลัว เพราะเขาไม่ทำผิด

ใครจะร่วมกับปชป.!'มาร์ค'ประกาศเป็นพรรคหลัก-ลั่นคนละขั้วกับ'พท.-คสช.'

อดีตส.ส.กทม.ตบเท้าเชียร์ “มาร์ค”สู้ศึกชิงหน.พรรค เจ้าตัวยอมรับวิธีหยั่งเสียงเสี่ยงหลุดเก้าอี้ ชี้อย่าถามปชป.จะร่วมกับใครตั้งรบ.ให้ถามใครจะร่วมกับ ปชป.สร้างบ้านเมืองบ้าง 

9 ต.ค.61 ที่พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) คณะอดีต ส.ส. กรุงเทพมหานคร นำโดย นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย อดีต ส.ส. ในพื้นที่ กทม.มอบช่อดอกไม้และกุหลาบแดง เพื่อ ให้กำลังใจ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้สมัครเข้ารับการหยั่งเสียงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 1
ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงคำขวัญที่โพสต์ผ่าน line  ข้อความว่า Make My Mark ว่า เป็นข้อความของคนรุ่นใหม่ที่จะมาร่วมงานกับพรรคสนับสนุนแนวคิดนี้ และจัดทำเป็นคลิปวีดีโอ ซึ่งมีหลายความหมาย ความหมายที่ไม่เกี่ยวกับชื่อตนคือการมีโอกาสแสดงออก มีส่วนร่วมให้เกิดความเปลี่ยนแปลง หมายถึงการสนับสนุนตนทำหน้าที่คือการมีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่คนในประเทศรอคอยทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง
ส่วนถ้าเล่นคำว่า Mark เป็นชื่อตนก็เป็นการสื่อสารว่า กระบวนการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้เป็นการสร้างหัวหน้าพรรคด้วยมือของตัวเอง  เป็นการสร้างหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สร้างพรรคประชาธิปัตย์ และสร้างใหม่ประเทศไทย  ซึ่งการเปิดกระบวนการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคเป็นการยกระดับพรรคการเมืองไทย และทำให้เกิดความชัดเจนเรื่องจุดยืนของพรรค ซึ่งตนอาสานำพรรคในสถานการณ์ที่ประชาชนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย ให้หลุดพ้นจากปัญหาการไม่เป็นประชาธิปไตยและการทุจริตคอรัปชั่น ทั้งนี้การแข่งขันภายในพรรคเป็นกระบวนการที่คนภายนอกสนใจว่าเป็นมิติใหม่ของพรรคการเมือง ทำให้หลายคนสนใจอยากมีส่วนร่วม ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง
ส่วนที่มองว่ามีความขัดแย้งนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่เชื่อว่าประชาชนมองว่าเป็นกระบวนการทางประชาธิปไตย ซึ่งต่อไปจะมีการตั้งคำถามกับพรรคการเมืองอื่นว่าเหตุใดไม่ใช้วิธีเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ และยอมรับว่าการเปิดกว้างให้มีการหยั่งเสียงมีความเสี่ยงสำหรับหัวหน้าพรรคของตนในอนาคตแต่ตนไม่ได้คิดเรื่องนี้ เพราะถือว่าเป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลง สร้างระบบจะกลัวความเสี่ยงไม่ได้ เพาะถ้ากลัวจะสร้างอะไรใหม่ๆไม่ได้เลย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนที่ตนพูดที่จังหวัดสงขลาว่า อายุ 54 ปีแล้ว ไม่เกรงใจใครแล้วนั้น ก็หมายความอย่างที่พูด เพราะตลอดการทำงานการเมือง 26 ปีที่ผ่านมา ก่อนจะทำอะไรต้องมีความระมัดระวัง แต่ตนมาทำการเมืองด้วยความเชื่อ และอุดมการณ์ พร้อมกับความฝันว่าอยากได้ประเทศไทยอย่างไร การก้าวหน้าทางการเมืองและเคยได้รับโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีก็ยังมีหลายเรื่องที่ยังทำไม่ได้ เพราะเป็นนายกฯพร้อมกับวิกฤตเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์บ้านเมืองที่ปั่นป่วน แต่ก็กอบกู้วิกฤตและเริ่มต้นบางอย่างได้ แต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้สร้าง ตนรู้ว่าอายุขนาดนี้แล้วการจะสร้างฝันให้กับประเทศที่เป็นจริงไม่มีเวลามากแล้ว จึงต้องทำไม่มีอะไรที่ต้องลังเลใจหรือเกรงใจใครอีกต่อไป เพราะนี่คือโอกาสใหม่ และโอกาสเดียวที่จะทำให้ตนผลักดันความฝันให้เป็นจริงได้
“ตลอด 26 ปีทางการเมืองผมได้ทบทวนทั้งจุดอ่อน จุดแข็ง เรื่องความเกรงใจก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากกการทบทวนตัวเอง และตั้งใจที่จะทำให้บ้านเมืองหลุดพ้นจากปัญหาตรงนี้ให้ได้ ถ้าไม่ทำครั้งนี้มีโอกาสสูงมากที่ประเทศจะติดหล่มไปอีกนาน ทั้งหล่มเผด็จการ และหล่มทุจริตคอรัปชั่น  ซึ่งสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นจุดแข็งของตัวเองคือแม้จะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่ประวัติของผมยืนยันได้ว่า ไม่เคยมีเรื่องผลประโยชน์ตัวเอง ของจากผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศ และเป็นความเชื่อจากใจที่สุจริตของผมในการทุ่มเท ทำให้มีความพร้อมที่จะนำพาบ้านเมืองออกจากปัญหา”
ส่วนที่มีการวิเคราะห์ว่าการเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้ไม่เพียงการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคล แต่เป็นเรื่องอุดมการณ์พรรคที่เปลี่ยนไปด้วย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องถามผู้สมัครหัวหน้าพรรคคนอื่นว่ามีแนวคิดเกี่ยวกับแนวทางการเมืองของพรรคอย่างไร แต่ตนชัดเจนว่าอุดมการณ์ของพรรคที่ผู้ก่อตั้งประกาศไว้ตั้งแต่พ.ศ. 2489 เราจะปฏิบัติอย่างจริงจัง
“หลังการเลือกตั้ง ผมเคยบอกแล้วว่าไม่ควรมาถามพรรคประชาธิปัตย์ว่า จะร่วมกับใครตั้งรัฐบาล แต่ควรถามคนอื่นว่าจะร่วมกับพรรคประชาธิปัคย์สร้างบ้านเมืองหรือไม่ เพราะเรามีแนวทางที่ชัดเจนและแตกต่าง จากทั้งคสช. และพรรคเพื่อไทย เราจะเป็นทางหลักของประเทศไทยไม่ใช่ไปช่วยหรือไปร่วมกับใครเป็นรัฐบาล โดยไม่สามารถตอบคำถามว่า ไปร่วมรัฐบาลแล้วจะทำอะไร เพราะไม่เป็นประโยชน์กับพรรคและประเทศ แต่พรรคจะเป็นทางหลักคือเป็นตัวของตัวเอง  ไม่มีทางเป็นอะไหล่ทางการเมืองให้ใครทั้งสิ้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคอะไหล่ แต่เป็นพรรคการเมืองหลัก  มีความตรงไปตรงมา และมีความก้าวหน้าในระบบพรรคการเมืองมากกว่าพรรคอื่น ส่วนจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ ประชาชนจะเป็นผู้ให้คำตอบหลังการเลือกตั้ง” นายอภิสิทธิ์กล่าว

หยอดน้ำมัน


ในยามที่เศรษฐกิจยังหนืดๆ การส่งออกยังอืดๆ การทำมาหากินยังฝืดๆ เรายังมีธุรกิจท่องเที่ยวที่ปั๊มรายได้เข้าประเทศเป็นกอบเป็นกำ
ปีนี้ (2561) เดิมทีรัฐบาลตั้งเป้าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวเมืองไทย 39 ล้านคน เพิ่มจากปีที่แล้ว (2560) 8 เปอร์เซ็นต์
ฟันรายได้เนื้อๆ เน็ตๆ 2 ล้านล้านบาทสบายๆ
แต่กลับมีแนวโน้มจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวเมืองไทยเพียง 37 ล้านคน
ต่ำกว่าเป้าราว 2 ล้านคน
หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพียง 5 เปอร์เซ็นต์
“แม่ลูกจันทร์” มองแง่ดีว่า การที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติแห่เข้ามาทัวร์ไทยแลนด์ปีละ 37 ล้านคน ยังถือว่ามากอักโขมโหฬารบานตะไท
แต่...แต่การที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติหดจากเป้าไป 2 ล้านคน ทำให้รายได้จากธุรกิจท่องเที่ยวที่เป็นเส้นเลือดใหญ่เลี้ยงเศรษฐกิจไทยหดหายไปด้วยก้อนโต!!
ทำให้ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.การท่องเที่ยวฯ เครียดจนท้องผูกมาแล้ว 2 เดือน
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า นักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งเป็นลูกค้าขาใหญ่ที่หลั่งไหลมาเที่ยวเมืองไทยเพิ่มขึ้นๆทุกปีๆ
ปี 2560 กองทัพทัวร์จีนเดินทางมาทัวร์ไทย 9.8 ล้านคน
ปีนี้ 2561 ตั้งเป้าว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนทะลุ 10 ล้านคน
แต่หลังจากเกิดเหตุเรือล่มที่ภูเก็ตทำให้นักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิตจำนวนมาก ข่าวไข้เลือดออกระบาดในเมืองไทย และล่าสุดข่าว รปภ.สนามบินดอนเมืองทำร้ายนักท่องเที่ยวจีน
ข่าวเน่าๆแบบนี้ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนชะลอการเดินทางมาเที่ยวเมืองไทยเห็นผลทันตา
2 เดือนล่าสุด นักท่องเที่ยวจีนลดฮวบจากปีก่อน 12 เปอร์เซ็นต์
นักท่องเที่ยวจีนเปลี่ยนเป้าหมายไปเที่ยวญี่ปุ่นกันระเบิดเถิดเทิง
ทำให้ญี่ปุ่นแซงหน้าประเทศไทย กลายเป็นเป้าหมายยอดนิยมอันดับหนึ่งของทัวร์จีน
แถมยังโดน “พม่า เวียดนาม” แอบเจาะยางแย่งตลาดทัวร์จีนกันสุดลิ่มทิ่มประตู
ปัญหาทัวร์จีนหายไปจึงน่ากังวลทั้งระยะสั้นและระยะยาว
“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่า สาเหตุสำคัญที่กองทัพทัวร์จีนหดตัวลง ไม่หลั่งไหลเข้ามาเที่ยวเมืองไทยหัวกระไดเป็นมันอย่างเดิม
อาจไม่ใช่เรื่องอุบัติเหตุเรือล่มภูเก็ต
อาจไม่ใช่ข่าวไข้เลือดออกระบาดในเมืองไทย
อาจจะไม่ใช่เรื่อง รปภ.สนามบินทำร้ายนักท่องเที่ยวจีน
แต่ปัญหาสำคัญที่ส่งผลให้ทัวร์จีนเกิดอาการไม่แฮปปี้จะเดินทางมาเที่ยวเมืองไทยคือ พฤติการณ์เรียกเก็บค่าเก๋าเจี๊ยะจากนักท่องเที่ยวจีน ที่ขอวีซ่าเข้าเมืองชั่วคราวที่สนามบิน
มีข่าวฉาวโฉ่ว่า มีขบวนการเรียก “เก็บเงินใต้โต๊ะ” หรือพูดอย่างสุภาพ เป็น “ค่าอำนวยความสะดวก” จากกลุ่มทัวร์จีน
คิดค่าหยอดน้ำมันเป็นรายหัว หัวละ 300 บาท ถึง 400 บาทต่อคน
คำนวณอย่างเบาะๆ ถ้ามีทัวร์จีนขอวีซ่าที่สนามบิน 3 แสนคนต่อเดือน จะฟันค่าเก๋าเจี๊ยะถึง 90 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 1,000 ล้านบาทต่อปี
“แม่ลูกจันทร์” ย้ำว่า ปัญหาเก๋าเจี๊ยะใต้โต๊ะทำให้ทัวร์จีนอึดอัดคับข้องใจ
เพราะทัวร์ชาติอื่นไม่โดนเก็บเก๋าเจี๊ยะ เก็บเก๋าเจี๊ยะเฉพาะทัวร์จีน
ถ้าเป็นความจริง...ถือเป็นการทุจริตที่สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและชื่อเสียงประเทศไทยอย่างร้ายแรง!!
รัฐบาลต้องตรวจสอบให้ได้ว่าเงินเก๋าเจี๊ยะก้อนนี้ไหลไปเข้ากระเป๋าใคร??
ใครอยู่เบื้องหลังฟาดเก๋าเจี๊ยะนักท่องเที่ยวจีน??
“แม่ลูกจันทร์”

นึกว่าลึกศึกเจ๊กับเฮีย


“อุลตร้าแมน-อุตตม”
ฉายาใหม่ที่ได้มาโดยตั้งใจ ตามภาพหราบนหน้าหนังสือพิมพ์ที่นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม ว่าที่หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โพสท่าแอ็กชันถ่ายรูปกับแนวร่วมคนรุ่นใหม่
เริ่มเล่นบท “นักเลือกตั้งอาชีพ” ได้เนียนขึ้นตามธรรมชาติ
ล้อกับตัวเลข “สวนดุสิตโพล” ประชาชนส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 57 รับได้กับการที่ “นายกฯลุงตู่” บอกสนใจการเมือง และไฟเขียวให้รัฐมนตรีทีมงานพลังประชารัฐสามารถสนับสนุนพรรคการเมืองได้
สวนกระแส ขบวนการหมั่นไส้ คสช.ที่ตีปี๊บโห่ไล่ 4 รัฐมนตรีไขก๊อก
โพลบ่งบอกว่า ประชาชนส่วนใหญ่รับได้กับการที่ทีมพลังประชารัฐขอสะสางภารกิจทีมเศรษฐกิจรัฐบาล ไปลาออกหลังประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งในเดือนธันวาคมปลายปี
และระหว่างนี้ก็ไม่ได้ห้าม“ตีกินคะแนนนิยม” ตามจังหวะที่กระทรวงการคลังเตรียมปล่อย “โปรโมชัน” ใหม่ มาตรการช่วยเหลือค่าน้ำมันมอเตอร์ไซค์รับจ้าง กวาดแต้มวินทุกตรอกซอกซอย
รัฐบาลอัดโปรโมชันที่จับต้องได้ สู้กับอุปาทานหมู่ต้านพรรคทหาร
ในสถานการณ์ที่ “เกมฮั้ว” ของนักการเมืองอาชีพ รวมหัวสกัดเส้นทาง “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ หัวหน้า คสช. เริ่มเห็นเค้าลางความเป็นไปได้ในชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้าตอนบ่าย
กับปรากฏการณ์ “น้องปู”อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เล่นบท “นางฟ้าผู้ปรานี” ยกโทษ ไม่ติดใจเอาความ สั่งให้ทนายถอนฟ้อง “3 เกลอ” สายล่อฟ้า ทีวีช่องบลูสกาย ประจำค่ายประชาธิปัตย์
เป็นบุญคุณมัดคอ นายศิริโชค โสภา อดีต ส.ส.สงขลา นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช และนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่กำลังขาแหย่เข้าคุก คดีหมิ่นประมาท “ว.5 โฟร์ซีซั่นส์”
มันเป็นอะไรที่ลากไปถึงดีลเย้ยฟ้าท้านรก “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จูบปากพรรคเพื่อไทย อาศัยลูกข่าย “ทักษิณ” หามขึ้นแท่นนายกรัฐมนตรี
พลิกเกมคุมอำนาจประเทศไทย เปิดทาง“นายใหญ่”กลับมาแจม
ตามจังหวะปูทางนำร่องพันธมิตรต้านทหาร แบบที่ “นักวิชาการเสื้อแดง” อย่างนายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฟันธงล่วงหน้าหลังสมัครเป็นสมาชิกพรรคอนาคตใหม่
แทงหวยไม่กลัวหน้าแตก พรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้งได้จัดรัฐบาล
ในห้วงสถานการณ์ที่ “นายใหญ่” อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ย้ายฐานบัญชาการเคลื่อนที่บินมาปักหลักที่ฮ่องกง เปิดคิวให้ลูกข่ายสายตรง สายอ้อม บินไปพบโดยไม่ต้องเกรงอกเกรงใจฝ่ายคุมเกมความมั่นคง
เพราะลูกหาบชัก “งง” กับ “คอนเซปต์” แยกกันเดินรวมกันตี
แบบที่ผุดยี่ห้อ “เพื่อธรรม” ทีมงานในกำกับของ “เจ๊แดง” นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เจ้าแม่เมืองเหนือ ทีแรกก็เชื่อว่าเป็นการตั้งพรรค อะไหล่สำรองเผื่อพรรคเพื่อไทยโดนยุบพรรค ล้างน้ำสาม
แต่ดูตามรูปการณ์ที่ คสช.ปล่อยให้นกแล นกเอี้ยง บินไปหา “นายใหญ่” ได้อย่างเสรี โดยที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม บอกเป็นสิทธิที่ทำได้
คสช.ก็ไม่ได้จ้องทุบเพื่อไทย ให้แต้มสงสารไหลเข้าเหลี่ยม “ทักษิณ” ที่ดักไว้
หรือจะมองในมุมผลพลอยได้จากการผุดป้อมค่ายสำรองมารองรับผู้สมัคร ส.ส.ที่ล้นทะลักจากพรรคเพื่อไทย และเก็บแต้มปาร์ตี้ลิสต์แทนพรรคเพื่อไทยได้ ส.ส.เขตเต็มอัตรา ไม่ได้โควตา ส.ส.บัญชีรายชื่อ
แต่เมื่อเทียบกับภาพมโนลอยๆในอนาคต กับผลลบที่เกิดขึ้นตรงหน้า สถานการณ์แตกทัพของ “นายใหญ่” ทำให้ลูกแถวเวียนหัวกับยุทธศาสตร์ และนั่นก็ไม่ต้องพูดถึงกองเชียร์สับสน เสียงแตก
มีหวังได้ตัดกำลังกันเองจนคะแนนกระจายเละเทะ
สรุปอ่านไต๋ตามเงื่อนไขสถานการณ์ของการแตกค่าย โดยน้ำหนักความน่าจะเป็นมันอยู่ที่การแก้ปมขบเหลี่ยมเฉือนคมในอาณาจักรการเมืองบริษัท ชินฯ จำกัด ซะมากกว่า
“นายใหญ่” ต้องรีบเคลียร์ “ศึกเจ๊” ในอารมณ์ที่ “เจ๊แดง” ไม่มีทางเปิด “ยุ้งข้าว” ให้เจ้าแม่นครบาลอย่าง “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เสวยอำนาจ
อารมณ์เดียวกับยี่ห้อ “เพื่อชาติ” ผุดใต้ปีกของ “อ้ายยงยุทธ” นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานสภาฯ สายตรงดูไบ เพื่อเคลียร์ “เฮีย” กับ “เจ๊” ที่ไม่ลงรอยกัน
เพราะ “ยงยุทธ” ไม่ลงรอยกับ “เจ๊แดง” และไม่เอาด้วยกับ “เจ๊หน่อย”
แต่ทั้งหมดทั้งปวง ภายใต้ฉากซับซ้อนกึ่งจริงกึ่งมั่ว อาการที่สะท้อนออกมามันชัดเจนเลยว่า ศึกเลือกตั้งเดิมพันเปลี่ยนผ่านประเทศรอบนี้ “นายใหญ่” รบทุกรูปแบบ รุกทุกทาง จ้องสางแค้นทวงคืนอำนาจ
ไม่ว่า “เพื่อไทย” หรือ “เพื่อธรรม” หรือ “เพื่อชาติ”
มันก็ล้วนแต่ “เพื่อทักษิณ” กลับบ้านเท่ๆ.
ทีมข่าวการเมือง