PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ผบ.ตร. แจงเหตุประท้วง สภ.ถลาง ต้องให้ความเป็นธรรมสองฝ่าย แต่กรณีทำลายทรัพย์สินของราชการต้องดำเนินคดี

พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวกับผู้สื่อข่าวช่วงเที่ยงวันนี้ ว่ากรณีประชาชนชุมนุมประท้วงที่สถานีตำรวจภูธรถลางในช่วงค่ำของวันเสาร์ที่ผ่านมานั้น ทางตำรวจภูธรภาค 8 กำลังทำการสอบสวนทั้งกรณีผู้เสียชีวิต 2 ราย การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และฝ่ายผู้ชุมนุมประท้วง

โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกล่าวว่ากรณีที่เกิดขึ้นนั้น แยกเป็นเป็นสองคดี คือกรณีผู้เสียชีวิตสองรายซึ่งเชื่อว่าหลายฝ่ายได้ดูคลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และอีกคดีคือการชุมนุมและทำลายทรัพย์สินของทางราชการ ส่วนภาพลักษณ์ตำรวจนั้น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติระบุว่าขอให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย แต่หากตรวจสอบพบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำผิดก็ต้องดำเนินคดีและไล่ออก
ในส่วนของผู้ที่มาชุมนุมนั้น ทางตำรวจมีทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว และพบว่าผู้ชุมนุมบางส่วนมีอาการมึนเมา ควบคุมสติไม่ได้ ซึ่งกรณีนี้เป็นคดีความมั่นคง ทางฝ่ายตำรวจจะตรวจสอบหลักฐานต่างๆ ภายในสามสิบวัน
ทั้งนี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกล่าวว่า กฎหมายที่ใช้บังคับต่อกรณีดังกล่าวคือ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ รวมไปถึง รัฐธรรมนูญ มาตรา44 โดยยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีเพียงโล่ในการรับมือกับผู้ชุมนุม และไม่ได้ใช้อาวุธอื่นใด ขณะที่พยายามเปิดทางเจรจากับผู้ชุมนุมแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
ขณะเดียวกันในส่วนของภาพลักษณ์ตำรวจก็เป็นเรื่องต้องแก้ไข และจะต้องมีการปรับปรุงวินัยในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถ้าตำรวจผิดก็ต้องดำเนินคดีและไล่ออก

บรรยากาศขมึงตึง ประยุทธ์ตัดเกมฟ้อง “ขาประจำ-กองกำลัง” ป่วน!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
12 ตุลาคม 2558 07:36 น.
ผ่าประเด็นร้อน 
       
       ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา และน่าแปลกใจทีเดียวที่จู่ๆ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาแถลง “สารจากใจ” ของเขาถึงแนวทางการยกร่างรัฐธรรมนูญ แนวทางการปรองดองในชาติในอนาคต ซึ่งแน่นอนว่าในเรื่องรัฐธรรมนูญนั้น อาจมีความจำเป็นที่ในฐานะผู้นำสูงสุดมีความจำเป็นที่ต้องแสดงท่าทีออกมาให้สังคมได้เห็นกันบ้าง อย่างไรก็ดี ที่น่าแปลกใจก็คือ ในการแถลงคราวนี้มีการเจาะจงให้มีการ “เปิดเผยบางเรื่องสำคัญ” ที่ไม่เคยเผยออกมาแบบ “เจาะจง” เช่นนี้มาก่อนเลยให้สังคมได้ทราบ
       
       โดยเฉพาะข้อความที่มีการเจาะจงในเรื่อง “กองกำลังทราบฝ่าย” พวก “ขาประจำ” ที่บิดเบือนมีเจตนาสร้างความแตกแยกในบ้านเมือง โดยอ้างเอาเรื่องเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาเป็นสาเหตุในการโจมตี
       
       ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาถึงเหตุผล และความจำเป็นของฝ่ายอำนาจรัฐ ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ต้องนำเรื่องสำคัญแบบนี้มาเปิดเผยให้สังคมได้รับรู้ชนิดที่เรียกว่า “ประจาน” มันย่อมไม่ธรรมดา ถ้าให้คาดเดาก็พอรับรู้ได้ทันทีว่าต้องมีรายการ “น่าตึงเครียด” รออยู่ข้างหน้าแน่นอน เพราะการเปิดโปงเรื่องดังกล่าวนั่นย่อมหมายถึงการแสดงท่าทีแบบ “เปิดหน้าชก” เป็นไงเป็นกัน ไม่ต้องเกรงใจกันอีกแล้ว
       
       “เรื่องการสร้างความปรองดอง ประเด็นที่ 1 หลักการปรองดอง หลายคนอ้างว่าหากจะเดินหน้าประเทศ เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ต้องนิรโทษกรรมทันที ประเทศชาติจึงจะสงบสุข ก็ต้องตั้งคำถามกลับไปว่า กระบวนการยุติธรรมซึ่งทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันมันหายไปไหน หากยอมรับข้อกล่าวหาแล้วเข้ามาต่อสู้คดีความตั้งแต่แรกคงไม่เกิดปัญหา ไม่ต้องมี คสช. ไม่ต้องมีประชาชนบาดเจ็บล้มตายจากการกระทำของกองกำลังที่อ้างว่าไม่ทราบว่าเป็นฝ่ายใด ทั้งที่มีการจับกุม ดำเนินคดี ตัดสินความผิด ชดใช้ความผิดอยู่ในเรือนจำหลายรายแล้ว ทุกคนทราบดีว่าพวกนี้สนับสนุนใคร หากเป็นการสนับสนุนตามกระบวนการประชาธิปไตย รัฐบาลแก้ปัญหาด้วยธรรมาภิบาล เหตุการณ์เหล่านี้คงไม่เกิดขึ้น ประชาชนไม่ต้องใช้ความรุนแรงต่อกัน”
       
       “คสช.และรัฐบาลเชื่อมั่นว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศเห็นตรงกันว่าการสร้างความปรองดอง คือ การสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน โดยยังคงยึดมั่นในกฎหมาย มิใช่ละเมิดความถูกต้องของกฎหมาย ใครผิดก็ยังต้องถูกลงโทษโดยกระบวนการยุติธรรมอย่างเด็ดขาด และเสมอภาค มิฉะนั้นเท่ากับเราสร้างระเบียบกฎเกณฑ์ที่ไร้วินัย เมื่อไม่มีอะไรเป็นหลักการให้รักษาอีก ความโกลาหลก็จะเกิด ความไร้ระเบียบจะตามมาอีกมากมาย”
       
       นั่นเป็นข้อความในสารบางตอนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ผ่านทางการแถลงของ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อวันก่อน ได้สะท้อน “บางอย่าง” ออกมาได้ชัดเจนจากปากของเขาแบบเป็นทางการครั้งแรก อย่างที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
       
       นั่นก็หมายความว่า ไม่มีการเกรงใจ พร้อมเดินหน้าลุยกันเต็มตัว แม้ว่าที่ผ่านมา เครื่อข่ายที่เรียกร้องให้แก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 การสร้างกระแส “ไพร่-อำมาตย์” เพื่อสร้างความแตกแยกในบ้านเมือง ก็คือพวกที่มีเจตนาทำลายสถาบันฯ พวกกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ที่ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ระบุชัดเจนแล้วว่า “ทราบฝ่าย” พวกนักวิชาการ “ขาประจำ” ที่มีเจตนาทำลายความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ล้วนเป็นพวกเครือข่ายเดียวกัน และมีใครอยู่เบื้องหลัง
       
       แน่นอนว่า ความเข้าใจเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนสำหรับชาวบ้านที่ติดตามสถานการณ์บ้านเมืองมาอย่างต่อเนื่อง และสำหรับคนที่ออกมาขับไล่รัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เพราะทนไม่ไหวกับความไม่ถูกต้องดังกล่าว แต่ที่ผ่านมาบรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลายต่อเนื่องมาถึงยุคของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับพยายามย้ำว่านี่คือ “ความแตกแยก” ของคนในชาติ ต้องออกมาห้ามทัพ
       
       เมื่อมาถึงวันนี้ วันที่มีการประกาศว่า มี “กองกำลังทราบฝ่าย” มีพวกเผด็จการรัฐสภา รัฐบาลทุจริต ขาดธรรมาภิบาล มีเว็บไซต์ทำลายความมั่นคง รวมไปถึงพวกนักวิชาการ “ขาประจำ” ที่อ้างเอาเรื่องเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน มาบังหน้า โดยมีเจตนาคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รวมไปถึงการยืนยันว่าจะไม่มีการนิรโทษกรรมโดยอ้างเรื่องการปรองดองส่งเดช ตราบใดที่ไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม การระบุแบบเฉพาะเจาะจงแบบนี้รับรองว่าย่อมมีเป้าหมายฝ่ายตรงข้าม ซึ่งหากเข้าใจไม่ผิดก็ต้องเป็น ทักษิณ ชินวัตร กับพวกเท่านั้น เพราะคงไม่มีฝ่ายอื่น
       
       ดังนั้น การระบุแบบนี้มันก็หมายความว่าไม่มีการเกรงใจกันอีกต่อไปแล้ว ขณะเดียวกัน ก็คงมองเห็นแล้วว่าได้เห็นการเคลื่อนไหวมีอย่างต่อเนื่องและหนักข้อกว่าเดิม จึงต้องจัดการให้เด็ดการเหมือนกัน! 

ผู้ว่าฯ ภูเก็ตเตรียมตั้งคณะทำงานถอดบทเรียนเหตุจราจลโรงพักถลาง

ผู้ว่าฯ ภูเก็ตเตรียมตั้งคณะทำงานถอดบทเรียนเหตุจราจลโรงพักถลางเสนอรัฐบาลรื้อระบบดูแลความปลอดภัย "สถานการณ์เฉพาะ" รับมืออนาคต ขณะที่ผลการชันสูตรศพ 2 วัยรุ่นเสียชีวิตจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ญาติไม่ติดใจแล้ว
วันนี้(12 ต.ค.)ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดภูเก็ต นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ผู้แทนฝ่ายตำรวจ และทหาร ร่วมแถลงข่าวสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนและนักท่องเที่ยว หลังเกิดเหตุวุ่นวายในคืนวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่มีกลุ่มชาวบ้านรวมตัวเรียกร้องกรณีชุดปราบปรามยาเสพติด สถานีตำรวจภูธรถลาง สกัดจับ 2 วัยรุ่นและเสียชีวิต ว่า ต่อกรณีมีผู้เสียชีวิต 2 รายจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น จนเป็นเหตุให้เกิดสถานการณ์บานปลาย ถึงขั้นปิดถนน ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ ทำลายทรัพย์สินทางราชการ และของประชาชน นั้น ได้ส่งผลกระทบในภาพรวมเป็นวงกว้าง กระทบกับทุกฝ่าย ผลที่ตามมาไม่สามารถประเมินค่าได้ จึงอยากเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนตระหนักในเรื่องของภาวะอารมณ์การยั้งคิด ไม่มีสติ"ในการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกหน่วย ต้องปรับบริบท บทบาทให้เหมาะสม ในการปฏิบัติการ ต่อไปต้องมีความระมัดระวัง
ขณะที่ปัญหายาเสพติดต้องขันน็อตกันขนานใหญ่ เน้นย้ำทุกฝ่ายดูแลปัญหาของพื้นที่ ต้องให้ความสำคัญเรื่องยาเสพติด ต้องปรับบทบาทบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในการดูแลความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยว และขณะนี้ จังหวัดภูเก็ต ได้ก้าวเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวอย่างเต็มตัว มีนักท่องเที่ยวเข้าสู่จังหวัดภูเก็ตมากขึ้น ทางจังหวัดมีมาตรการในการรักษาความปลอดภัย โดยการสั่งสำรวจคุณภาพของกล้องซีซีทีวีตามจุดต่างๆ อย่างเร่งด่วน เพื่อดูแลความเรียบร้อยของบ้านเมือง และนักท่องเที่ยว และขอให้ชาวภูเก็ต ร่วมใจกันเพื่อเป็นเจ้าภาพที่ดีในการต้อนรับนักท่องเที่ยว"
นายจำเริญ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามหลังจากการทำคดีนี้เสร็จสิ้น จะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาหนึ่งชุดเพื่อถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ในทุกมิติ ทั้งการสั่งการ การใช้กำลังคนและเครื่องมือ และรวมถึงในแง่ของพี่น้องประชาชน แล้วทำรายงานเสนอรัฐบาลในการปรับเปลี่ยนรื้อระบบการดูแลความปลอดภัย กรณีเป็นสถานการณ์เฉพาะ อันจะนำไปสู่การปรับปรุงเพื่อที่จะรับมือในอนาคต เพื่อประโยชน์ในการดูแลความสงบเรียบร้อยให้กับสังคม
ด้านนายโชคดี อมรวัฒน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้ว่าราชการจังหวัดให้เป็นคณะทำงานฝ่ายตรวจสอบและดูแลเรื่องการชันสูตร กล่าวถึงผลการชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิต 2 ราย จากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรถลาง เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า จากการชันสูตรพลิกศพ นอกจากผู้เกี่ยวข้องทางกฎหมายที่ร่วมในขั้นตอนดังกล่าว ซึ่งมี 4 ส่วน คือ พนักงานสอบสวน แพทย์ อัยการ และนายอำเภอ แต่ครั้งนี้มีรองผู้ว่าราชการจังหวัด ทนายความ และญาติผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ราย ร่วมในการชันสูตรด้วย ซึ่งทางนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดได้นำชี้ สรุปความเห็นว่า เป็นการตายเนื่องจากอุบัติเหตุ มีการกระแทกอย่างแรงทำให้เกิดความเสียหายที่กะโหลกศีรษะ และเสียชีวิตก่อนถึงโรงพยาบาล ขณะที่ญาติผู้เสียชีวิต ไม่ติดใจสงสัยถึงสาเหตุการตายแล้ว และได้ลงนามร่วมรับทราบถึงผลชันสูตรดังกล่าวส่วนใครขับรถไปชนใครนั้น เป็นการดำเนินการชั้นสอบสวน ซึ่งจะเร่งรัดให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันโดยจะมีฝ่ายปกครอง เข้าควบคุมการสอบสวนด้วย เพื่อให้เกิดความยุติธรรมทั้งสองฝ่าย
"ไม่มีใครอยากให้เกิดๆ แล้วนำพาความเสียหายให้กับทุกคน กระทบวงกว้างค่อนข้างมาก ห่วงภาพลักษณ์การท่องเที่ยว ต้องการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวต้องช่วยกันกู้ภาพลักษณ์กลับมาโดยเร็ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวง อธิบดีกระทรวงมหาดไทย ได้ติดตามสถานการณ์ด้วยตัวเอง เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้กับญาติผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ฝ่ายทางจังหวัดต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงอำนวยความเป็นธรรมในกระบวนการสอบสวนเพื่อไม่ให้เป็นที่คลางแคลงใจกับผู้เสียหาย ให้ได้รับความเป็นธรรมมากที่สุด"นายโชคดี กล่าว

แฉที่มากองกำลังฆ่าคน เอาจริง!?

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
12 ตุลาคม 2558 04:22 น.

เกาะกระแส 
      
       00 ได้เห็นได้ยินสารจากใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. ที่แจกแจงโดย พล.ต.สรรเสริญ แก้กำเนิด โฆษกรัฐบาล ที่ให้แนวทางในการยกร่างรธน.ฉบับใหม่ ที่มี มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยกร่างในเวลานี้ และมีประเด็นที่เป็นโจทย์ในการยกร่างขึ้นมาสำหรับคนไทยส่วนใหญ่ มีทั้งเรื่องการให้ชาวบ้านมีส่วนร่วม แก้ไขเผด็จการรัฐสภา การทุจริต การถ่วงดุลอำนาจ ทั้งบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ การบริหารต้องมีธรรมาภิบาล และที่สำคัญในความหมายของคำว่า"เสรีภาพ" จะต้อง "มีขอบเขต" จะต้องไม่นำเรื่องของสิทธิมนุษยชนมาบิดเบือน
      
       00 ในสารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ตั้งใจสื่อออกมาคราวนี้ นอกจากต้องการส่งถึงประชาชนโดยตรงแล้ว คราวนี้ยัง "วัดใจ" เทหมดหน้าตักเหมือนกัน ที่ต้องการ "เปิดโปง" ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายทำลายชาติออกมาให้เห็นแบบชัดเจนเป็นครั้งแรก แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้มีการระบุชื่อกันโดยตรง แต่รับรองว่า คนที่ติดตามเรื่องแบบนี้ พอรับฟังเรื่อง"เผด็จการรัฐสภา" การทุจริต การบริหารแบบไร้ธรรมาภิบาล การบิดเบือนเสรีภาพเรื่องสิทธิมนุษยชน การใช้วาทกรรม "ไพร่-อำมาตย์" มาแบ่งแยก รวมไปถึงเจตนาในการวิจารณ์ถึง ม.112 เพื่อบ่อนทำลายสถาบันฯ ก็ต้องรับรู้โดยอัตโนมัติอยู่แล้วว่า หมายถึงใคร และยังรู้อีกว่ามีเพียงเครือข่ายพวกนี้เท่านั้นในเวลานี้ที่ยังเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล และคสช.
      
       00 ที่น่าจับตาก็คือ คราวนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้พูดถึง "ปริศนาของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย"ซึ่งในสารจากใจของเขายืนยันชัดว่า "เป็นกองกำลังที่ทราบฝ่าย" ที่ใช้อาวุธสงครามทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่ ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ สำหรับชาวบ้านที่ติดตามการเมืองมาอย่างรู้ทัน มีการรับรู้มานานแล้วว่า "กลุ่มติดอาวุธ" พวกนี้เป็นพวกไหน แต่การพูดออกมาจากปากของเขาที่ออกมาในลักษณะ "เป็นทางการ" แบบนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ ซึ่งก็ชัดเจนว่า ฝ่าย คสช.และรัฐบาลนี้มองเห็นและประกาศออกมาว่าใครคือ "ศัตรูต่อความมั่นคง" ไม่ต้องอ้ำอึ้งหรือพูดไปอีกทาง เหมือนเช่นในอดีต
      
       00 การแสดงออกมาแบบนี้มันก็เหมือนกำหนดท่าทีชัดเจน ไม่ต่างจากการ "เปิดหน้าชก" กันชัดๆ แบบไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป เพราะฝ่ายที่ตั้งตนอยู่ตรงข้ามในเวลานี้ก็มีเพียง ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายเท่านั้น ที่เห็นในตอนนี้ก็มีเพียงพวกนี้ที่ต่อต้าน รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะพวกเขาได้รับผลกระทบเต็มๆ โดยเครื่องมือที่นำมาบิดเบือนก็คือ เผด็จการ และสิทธิมนุษยชน การมีส่วนร่วมของประชาชน ดังนั้น นับจากนี้ก็ต้องรอดูปฏิกิริยาจากคนพวกนี้ว่าจะมีการตอบโต้กลับมาอย่างไรอีกบ้าง แต่ถึงอย่างไรสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เขาแบออกหมดหน้าตักแล้วว่า "แลกหมัด" กันได้แล้ว !!
      
       00 พิจารณาตามรูปการณ์จากแถลงการณ์ตำหนิรัฐบาลไทย ว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน และกดดันให้เร่งคืนประชาธิปไตย ทำให้พอมองเห็นอนาคตข้างหน้า น่าส่งผลถึงแนวโน้มการพิจารณาในเรื่อง "ประมง" ของไทย ที่ก่อนหน้านี้ได้ให้ "ใบเหลือง"เตือนมาอย่างเข้ม และกดดันให้ไทยเร่งแก้ไขเรื่องการทำประมงผิดกฎหมาย ซึ่งภายในปลายเดือนนี้ ก็จะประกาศผลแล้ว ซึ่งเมื่อพิจารณาจากอาการที่เห็นมันก็พอมองเห็นอนาคตได้ลางๆ แล้ว ก็ต้องทำใจว่าเราคงต้องเสียมูลค่าการส่งออกด้านนี้ไปอีกนับแสนล้านบาท ก็หวังว่าอย่าเป็นข่าวร้ายเลย !! 

“โอบามา” ฟันธง! ปธน.สหรัฐฯ คนต่อไปไม่ใช่ “โดนัลด์ ทรัมป์”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
12 ตุลาคม 2558 10:29 น

“โอบามา” ฟันธง! ปธน.สหรัฐฯ คนต่อไปไม่ใช่ “โดนัลด์ ทรัมป์”
ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ และ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครตัวเก็งของพรรครีพับลิกันที่จะลงชิงเก้าอี้ผู้นำทำเนียบขาวในปี 2016
        เอเอฟพี - ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ แสดงความมั่นใจว่ามหาเศรษฐีปากเปราะ “โดนัลด์ ทรัมป์” จะไม่ชนะศึกเลือกตั้งผู้นำทำเนียบขาวในปี 2016 และไม่อาจก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีต่อจากเขาได้อย่างแน่นอน
      
       มหาเศรษฐีนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์วัย 69 ปี ที่ตอนนี้เป็นตัวเก็งที่มาแรงสุดในสายรีพับลิกัน ใช้กลยุทธ์ปราศรัยที่ก้าวร้าวรุนแรงจนสร้างความโกรธเคืองและกังขาต่อสาธารณชนชาวอเมริกัน ทั้งในเรื่องนโยบายผู้อพยพ กฎหมายควบคุมอาวุธปืน สตรี และอื่นๆ
      
       “เขารู้วิธีดึงดูดความสนใจคน เขาเป็น... ตัวละครทีวีคลาสสิกอย่างแท้จริง และในขั้นเริ่มต้นนี้ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะได้รับความสนใจอย่างมาก” โอบามาให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 minutes ทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส ซึ่งออกอากาศเมื่อวันอาทิตย์ (11 ต.ค.)
      
       “แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ” 
      
       คำพูดดูหมิ่นและยั่วยุของทรัมป์ ทั้งในเรื่องผู้อพยพและอื่นๆ ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยรู้สึกไม่พอใจ แต่ถึงกระนั้นเมื่อมีการสำรวจความคิดเห็นกลับพบว่าคะแนนนิยมของเขาพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
      
       ระหว่างการปาฐกถาต่อบรรดาผู้นำการเมืองละตินเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โอบามาได้ติเตียน “พวกที่พูดจายั่วโทสะคนอื่น แล้วก็มาบอกภายหลังว่า ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น เพื่อที่จะทำพฤติกรรมเดิมๆ ซ้ำอีก”
      
       “การโหมกระพือไฟแห่งความไม่อดทนซึ่งกันและกัน (intolerance) และทำเป็นตกตะลึงเมื่อพบว่าไฟลามเสียแล้ว... ไม่ใช่ภาวะผู้นำ” 
      
       ทั้งนี้ โอบามาไม่ได้เอ่ยนามมหาเศรษฐีปากเปราะตรงๆ แต่วิจารณ์ทิศทางการปราศรัยของผู้สมัครสายรีพับลิกันโดยรวม
      
       ผู้นำสหรัฐฯ ยังแสดงความเป็นห่วงเรื่อง “กระแสต่อต้านผู้อพยพอย่างจริงจังในหมู่ฐานเสียงส่วนใหญ่ของรีพับลิกัน” แต่ก็ยอมรับว่า “ไม่ใช่ทั้งหมด” ที่เป็นเช่นนั้น
      
       โอบามาซึ่งชนะศึกเลือกตั้งครั้งแรกในปี 2008 กำลังจะหมดวาระในเทอมที่ 2 ของการเป็นประธานาธิบดีในช่วงต้นปี 2017 ยืนยันว่าไม่รู้สึกเสียใจที่ถูกจำกัดด้วยข้อกฎหมายไม่ให้ลงสมัครเป็นผู้นำทำเนียบขาวสมัยที่ 3
      
       “ผมคิดว่าการได้บุคคลใหม่เข้ามาทำหน้าที่ การได้มุมมองใหม่ บุคลากรใหม่ แนวคิดใหม่ และบทสนทนาใหม่ๆ กับชาวอเมริกันในประเด็นปัญหาต่างๆ ซึ่งในปีหน้าอาจจะแตกต่างไปจากวันนี้ยิ่งกว่าสมัยที่ผมเริ่มดำรงตำแหน่งเมื่อ 8 ปีก่อนเสียอีก... ผมคิดว่าเรื่องเหล่านี้จะดีต่อระบอบประชาธิปไตยของเรา... มันสื่อถึงความสมบูรณ์แข็งแรง”
      
       อย่างไรก็ตาม โอบามาเชื่อว่าเขาจะ “ชนะ” ถ้ามีโอกาสได้กลับสู่สนามเลือกตั้งประธานาธิบดี และในช่วง 15 เดือนสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็เป็นเวลาที่ทั้ง “หวานและขมขื่น” สำหรับเขา
      
       “ผมรู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากกับความสำเร็จที่เราได้ทำมา และบางทีก็เกิดความคิดว่าอยากจะทำอะไรต่อไปอีกสักหน่อย... แต่เมื่อเวลาของผมหมดลง ผมก็คงต้องไป”
“โอบามา” ฟันธง! ปธน.สหรัฐฯ คนต่อไปไม่ใช่ “โดนัลด์ ทรัมป์”
       
“โอบามา” ฟันธง! ปธน.สหรัฐฯ คนต่อไปไม่ใช่ “โดนัลด์ ทรัมป์”
       
“โอบามา” ฟันธง! ปธน.สหรัฐฯ คนต่อไปไม่ใช่ “โดนัลด์ ทรัมป์”
        

คน TPBS บางกลุ่มฮึดสู้แทน “สมชัย” จี้ ปธ.บอร์ดแจง-อดีต ผอ.น้ำตาคลอทิ้งบอมบ์ “มาตรฐาน TPBS”

คน TPBS บางกลุ่มฮึดสู้แทน “สมชัย” จี้ ปธ.บอร์ดแจง-อดีต ผอ.น้ำตาคลอทิ้งบอมบ์ “มาตรฐาน TPBS”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
12 ตุลาคม 2558 17:04 น. (แก้ไขล่าสุด 12 ตุลาคม 2558 17:39 น.)
คน TPBS บางกลุ่มฮึดสู้แทน “สมชัย” จี้ ปธ.บอร์ดแจง-อดีต ผอ.น้ำตาคลอทิ้งบอมบ์ “มาตรฐาน TPBS”
        “คนไทยพีบีเอส” กลุ่มหนึ่งฮึดสู้แทน “สมชัย สุวรรณบรรณ” อดีตผู้อำนวยการ ส.ส.ท. ยื่นจดหมายถึง “ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ” ประธานบอร์ดฯ ขอให้ชี้แจงมติเลิกจ้างผู้อำนวยการ ด้าน “ณรงค์” ระบุสั้นๆ เป็นเพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้องกันมา 30 ปี ไม่มีอะไรเป็นเรื่องส่วนตัว ด้าน “สมชัย” ยังไม่ไปศาลปกครองขอความเป็นธรรม เข้าแจงกรรมการสอบสวนปมจัดซื้อจัดจ้างอุปกรณ์โครงข่าวทีวีดิจิตอลมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท ปูดบอร์ดใหญ่เริ่มกระบวนการสรรหา ผอ.คนใหม่แทนแล้ว ทิ้งบอมบ์ “คนมาใหม่อาจทำงานตามมาตรฐานบางอย่างที่น่ากังวลใจ” น้ำตาคลอตื้นตันพนักงานไทยพีบีเอสมอบดอกไม้ให้กำลังใจ ด้านบอร์ดใหญ่ออกแถลงการณ์ยันปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก
      
       วันนี้ (12 ต.ค.) มีรายงานว่า เว็บไซต์ thaipbs เปิดเผยว่า เวลาประมาณ 13.00 น. พนักงานองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) กลุ่มหนึ่งได้รวมตัวกันยื่นจดหมายถึงนายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ ประธานคณะกรรมการนโยบาย ส.ส.ท.เพื่อเรียกร้องในชี้แจงกรณีการเลิกจ้างผู้อำนวยการ ส.ส.ท.และคณะกรรมการบริหาร ตามมติเมื่อวันที่ 9 ต.ค. 2558 เนื่องจากพนักงานเห็นว่ามติดังกล่าวทำให้เกิดความสับสนในองค์กรและกระทบต่อภาพลักษณ์ของ ส.ส.ท.ในการทำหน้าที่สื่อสาธารณะ
      
       ข้อความในจดหมายระบุว่า “ตามที่กรรมการนโยบายมีมติเลิกจ้างผู้อำนวยการ ส.ส.ท.และกรรมการบริหาร เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2558 ก่อนครบวาระ ทำให้เกิดความสับสนและความไม่มั่นใจในการทำงานของพนักงาน อีกทั้งยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ของ ส.ส.ท.ต่อการทำหน้าที่สื่อสาธารณะในสังคมไทย จึงขอให้ประธานกรรมการนโยบายและกรรมการนโยบายทุกท่าน มาชี้แจงเหตุผลและตอบคำถามกับพนักงานเกี่ยวกับกรณีการเลิกจ้างผู้อำนวยการ ส.ส.ท.และคณะภายในวันนี้ (12 ต.ค.)”
      
       หลังจากรับจดหมายจากพนักงานแล้ว นายณรงค์ได้กล่าวกับพนักงานเพียงสั้นๆ ว่า “ผมกับ ผอ. (สมชัย) เป็นเพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้องกันมา 30 ปี ไม่มีอะไรเป็นเรื่องส่วนตัว” จากนั้นนายณรงค์ได้หยุดพูดและเดินกลับเข้าห้องประชุมทันที
      
       ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบาย ส.ส.ท.มีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 2558 ให้เลิกสัญญาจ้างนายสมชัย สุวรรณบรรณ ผู้อำนวยการ ส.ส.ท. โดยชี้แจงว่า ผู้อำนวยการ ส.ส.ท.ได้กระทำผิดสัญญาจ้างเรื่องการปฏิบัติงานตามแผนงานที่ได้รับความเห็นชอบให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนด และการจัดทำรายงานแสดงผลการปฏิบัติงานเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายทุกสามเดือน
      
       “นอกจากนั้นยังไม่ปฏิบัติตามระเบียบของ ส.ส.ท. และมติของคณะกรรมการนโยบาย ทั้งยังไม่สามารถกำกับ ดูแล และติดตามให้ฝ่ายบริหารปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ขององค์การอย่างมีสัมฤทธิผล เพื่อพร้อมรับการแข่งขันและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
      
       อนึ่ง การเลิกจ้างผู้อำนวยการ ส.ส.ท.ครั้งนี้ มีผลให้ผู้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการ ส.ส.ท.พ้นจากตำแหน่งตามวาระของผู้อำนวยการด้วย ส่วนคณะกรรมการบริหารทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งทันที ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายได้แต่งตั้ง นางพวงรัตน์ สองเมือง ผู้อำนวยการสำนักรายการ ให้รักษาการผู้อำนวยการ ส.ส.ท. จนกว่าการดำเนินการสรรหาผู้อำนวยการ ส.ส.ท.คนใหม่จะแล้วเสร็จ” คณะกรรมการนโยบายระบุในเอกสาร
      
       เว็บไซต์ thaipbs ระบุด้วยว่า นายสมชัยได้เดินทางมาที่ไทยพีบีเอสวันนี้เพื่อเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีการอนุมัติโครงการจัดซื้อจัดจ้างอุปกรณ์โครงข่าวทีวีดิจิตอลที่มีมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท ซึ่งนายสมชัยระบุว่าเป็นประเด็นหนึ่งที่คณะกรรมการนโยบายใช้เป็นเหตุผลในการเลิกจ้าง
      
       ขณะที่มีรายงานว่า นายสมชัยไม่ได้เดินทางไปยื่นขอความเป็นธรรมที่ศาลปกครองกลาง หลังจากที่สัปดาห์ที่ผ่านมาระบุว่าจะเดินทางไปยื่น
      
       นายสมชัยกล่าวว่า คณะกรรมการชุดนี้ตั้งโดยคณะกรรมการนโยบายมาประมาณ 1 เดือนกว่าแล้ว และได้ส่งหนังสือให้ตนมาชี้แจงในวันนี้ (12 ต.ค.) นอกจากนี้ อดีต ผอ.ไทยพีบีเอสยังได้กล่าวถึงกระบวนการสรรหาผู้อำนวยการ ส.ส.ท.คนใหม่ว่า ผู้ที่จะลงสมัครเข้ารับการสรรหาอาจจะไม่แน่ใจว่าจะมาทำงานในบรรยากาศแบบนี้ได้หรือเปล่า “เพราะกรณีนี้เป็นการวางมาตรฐานบางอย่างที่น่ากังวลใจ”
      
       ก่อนหน้านี้นายณรงค์เปิดเผยว่าได้เริ่มกระบวนการสรรหาผู้อำนวยการคนใหม่แทนนายสมชัยแล้ว
      
       เว็บไซต์ thaipbs ระบุด้วยว่า ต่อมาเมื่อเวลา 14.14 น. คณะกรรมการนโยบาย ส.ส.ท.ได้เผยแพร่เอกสารชี้แจงถึงพนักงานซึ่งเป็นฉบับที่ 2 ระบุว่า
      
       “คณะกรรมการนโยบาย ส.ส.ท.ขอชี้แจงว่าเป็นการกระทำตามอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายตามพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 โดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก เหตุที่ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วเพราะวันที่ 9 ต.ค.2558 เป็นวันที่ผู้อำนวยการ ส.ส.ท.ทำงานตามสัญญาจ้างครบ 3 ปี และจะต้องถูกประเมินซึ่งทางคณะกรรมการนโยบาย ได้ดำเนินกระบวนการประเมินอย่างละเอียดรอบคอบมาตั้งแต่เมื่อ 2 ต.ค. 2558 โดยมอบหมายให้ผู้แทนแจ้งผลการประเมินเบื้องต้นแก่ผู้อำนวยการ ส.ส.ท. ในเช้าของวันที่ 9 ต.ค. พร้อมทั้งเสนอทางเลือกในการตัดสินใจระหว่างการลาออกกับการประเมินไม่ผ่าน ผู้อำนวยการ ส.ส.ท.แจ้งแก่ผู้แทนคณะกรรมการนโยบายว่าเลือกไม่ลาออก อย่างไรก็ตาม นอกจากการประเมินไม่ผ่านแล้ว ผู้อำนวยการ ส.ส.ท.ยังได้กระทำผิดสัญญาจ้างอีกด้วย
      
       กระบวนการประเมินผู้อำนวยการ ส.ส.ท.เป็นการประเมินตามสัญญาจ้างและเอกสารแนบท้ายสัญญาซึ่งเป็นการตกลงร่วมกันระหว่าง ส.ส.ท. ในฐานะผู้จ้างกับผู้อำนวยการ ส.ส.ท.ในฐานะผู้รับจ้าง โดยมุ่งประเมินความสามารถด้านการบริหารจัดการ (Management Competency) รวม 6 หัวข้อสำคัญ ได้แก่ การบริหารงานเชิงกลยุทธ์ การแก้ปัญหาและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ความสามารถในการสื่อสาร ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การบริหารความเปลี่ยนแปลง คุณธรรม จริยธรรมแลธรรมาภิบาล โดยมีเป้าหมายการประเมินที่ระดับดีถึงดีเด่น ซึ่งปรากฏว่าคณะกรรมการนโยบายมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าผู้อำนวยการ ส.ส.ท.มีผลการปฏิบัติต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
      
       อนึ่ง การดำเนินการทั้งหมดนี้ คณะกรรมการนโยบายมีความมุ่งมั่นที่จะรักษาองค์กรแห่งนี้ให้ดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า โปร่งใสและมีธรรมาภิบาล ตามเจตนารมณ์ของสื่อสาธารณะอย่างแท้จริง และกำลังอยู่ในกระบวนการสรรหาผู้อำนวยการ ส.ส.ท.คนใหม่ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติฯ ต่อไป”
      
       เวลา 17.30 น. มีรายงานว่า นายสมชัยได้เดินทางกลับ หลังไม่ได้ชี้แจงคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงประเด็นการจัดซื้อทีวีดิจิตอล 50 ล้านบาท เนื่องจากเหตุผลองค์ประชุมคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงมาไม่ครบ
 
คน TPBS บางกลุ่มฮึดสู้แทน “สมชัย” จี้ ปธ.บอร์ดแจง-อดีต ผอ.น้ำตาคลอทิ้งบอมบ์ “มาตรฐาน TPBS”
       
คน TPBS บางกลุ่มฮึดสู้แทน “สมชัย” จี้ ปธ.บอร์ดแจง-อดีต ผอ.น้ำตาคลอทิ้งบอมบ์ “มาตรฐาน TPBS”
       
คน TPBS บางกลุ่มฮึดสู้แทน “สมชัย” จี้ ปธ.บอร์ดแจง-อดีต ผอ.น้ำตาคลอทิ้งบอมบ์ “มาตรฐาน TPBS”
       
คน TPBS บางกลุ่มฮึดสู้แทน “สมชัย” จี้ ปธ.บอร์ดแจง-อดีต ผอ.น้ำตาคลอทิ้งบอมบ์ “มาตรฐาน TPBS”
       
คน TPBS บางกลุ่มฮึดสู้แทน “สมชัย” จี้ ปธ.บอร์ดแจง-อดีต ผอ.น้ำตาคลอทิ้งบอมบ์ “มาตรฐาน TPBS”
       
คน TPBS บางกลุ่มฮึดสู้แทน “สมชัย” จี้ ปธ.บอร์ดแจง-อดีต ผอ.น้ำตาคลอทิ้งบอมบ์ “มาตรฐาน TPBS”
       
คน TPBS บางกลุ่มฮึดสู้แทน “สมชัย” จี้ ปธ.บอร์ดแจง-อดีต ผอ.น้ำตาคลอทิ้งบอมบ์ “มาตรฐาน TPBS”
       
คน TPBS บางกลุ่มฮึดสู้แทน “สมชัย” จี้ ปธ.บอร์ดแจง-อดีต ผอ.น้ำตาคลอทิ้งบอมบ์ “มาตรฐาน TPBS”
       
คน TPBS บางกลุ่มฮึดสู้แทน “สมชัย” จี้ ปธ.บอร์ดแจง-อดีต ผอ.น้ำตาคลอทิ้งบอมบ์ “มาตรฐาน TPBS”
       
คน TPBS บางกลุ่มฮึดสู้แทน “สมชัย” จี้ ปธ.บอร์ดแจง-อดีต ผอ.น้ำตาคลอทิ้งบอมบ์ “มาตรฐาน TPBS”

สสส. แจงการตรวจสอบของ คตร. ข้อมูลคลาดเคลื่อน ยันใช้เงิน “ไม่บิดเบี้ยว” ปัดเป็นแหล่งทุน NGO เคลื่อนไหวการเมือง



12 ตุลาคม 2015
หลังจาก พล.อ. ชาตอุดม ติตถะสิริ ประธานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ออกมาเปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบการเบิกจ่ายงบประมาณของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่ามีการเบิกจ่ายงบประมาณบางโครงการไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุน สสส. ตามพ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 จน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุข เข้ามากำกับการเบิกจ่าย หากโครงการใดไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของ สสส. ก็ให้หยุดไว้ก่อน
เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2558 ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการกองทุน สสส. พร้อมด้วย นพ.บัณฑิต ศรไพศาล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สสส. เปิดแถลงข่าวชี้แจงถึงกระแสข่าวดังกล่าว
ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการกองทุน สสส.
ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการกองทุน สสส.

สสส. เผยมีกลไกตรวจสอบใช้งบให้ตรงวัตถุประสงค์ มีปัญหาน้อยมาก แค่ 5 โครงการ/ปี

ทพ.กฤษดา กล่าวว่า ได้รับหนังสือจาก คตร. จริง เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา แต่ข้อมูลที่ปรากฏตามสื่อมวลชนบางอย่างยังคลาดเคลื่อน จึงอยากขอโอกาสชี้แจงข้อเท็จจริง
  1. ที่ปรากฏข่าวว่าการใช้งบของ สสส. บางโครงการไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ขอยืนยันว่าเราทำตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง สสส. ทุกอย่าง ทั้งที่ปรากฏในกฎหมาย ซึ่งมีอยู่ 6 ประการ และตามกรอบขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ตามกฎบัตรออตตาวา ที่มีอยู่ 5 ประการ ที่ให้นิยามการเสริมสร้างสุขภาพไม่ได้หมายความแค่เรื่องเหล้าและบุหรี่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเสริมสร้างสุขภาพทุกมิติ ทั้งการทำงานวิจัย การส่งเสริมการทำงานของภาคประชาสังคม หรือเอ็นจีโอ (Non-Governmental Organization: NGO) การเสริมสร้างผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น กีฬา ศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ เป็นต้น นี่คือสิ่งที่เรายึดถือในการปฏิบัติที่บอกว่า สสส. ใช้งบไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ อาจเป็นการตีความไม่เหมือนกัน คตร. อาจจะมองในมุมผู้ตรวจสอบบัญชี เช่น โครงการสวดมนต์ข้ามปีที่ถูกยกมาเป็นตัวอย่าง คตร. อาจจะมองว่าไม่เกี่ยวข้องกับการสร้างเสริมสุขภาพ แต่ สสส. มีข้อมูลชัดเจนว่าโครงการนี้ทำให้คนที่เคยไปฉลองปีใหม่ด้วยการกินเหล้า หันมาสวดมนต์ข้ามปีแทน ถือเป็นการลดอุบัติเหตุไปในตัว หรือการส่งนักวิชาการไปดูงานต่างประเทศในบางโครงการ ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสุขภาพ ทั้งนี้ ตนจึงคิดว่าเป็นเรื่องของการตีความ
  1. การอนุมัติโครงการต่างๆ ของ สสส. จะมีขั้นตอนปฏิบัติอยู่ โดยมีผู้เชี่ยวชาญในเครือข่ายกว่า 1,200 คน ที่จะคอยคัดกรองว่าโครงการที่เสนอมาตรงตามวัตถุประสงค์ของ สสส. หรือไม่ โครงการขนาดเล็กอาจพิจารณากันแค่ 2-3 คน โครงการขนาดใหญ่ขึ้นมาอาจพิจารณากันถึง 7 คน โครงการที่มีมูลค่าตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องเข้าสู่คณะกรรมการบริหารแผน และโครงการที่มีมูลค่ามากกว่านั้น อาจต้องเข้าสู่คณะกรรมการกองทุนโดยตรง ที่บอกว่า สสส. เบิกจ่ายงบให้กับบุคคล/กลุ่มบุคคล/องค์กรที่ไม่ส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพดีนั้น ส่วนตัวยังไม่เห็นรายละเอียด ในหนังสือที่ คตร. ส่งมาก็ไม่ระบุรายละเอียดว่าเป็นโครงการใด ทั้งนี้ นับแต่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และ คตร. เข้ามาตรวจสอบการใช้งบของ สสส. เมื่อ 2 เดือนก่อน ก็ไม่เคยเปิดโอกาสให้ สสส. ได้ชี้แจงเลย ทำให้มีสิทธิที่จะมีข้อมูลที่ผิดพลาด จึงอยากขอโอกาสชี้แจงเพื่อแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง
  1. ที่มีหนังสือพิมพ์บางฉบับบอกว่า การใช้งบของ สสส. อาจมีปัญหาเรื่องการทุจริตด้วยนั้น ในหนังสือที่ คตร. ส่งมาไม่มีการระบุถึงเรื่องนี้ ที่ก่อนหน้านี้ สตง. เคยเข้ามาสุ่มตรวจแล้วพบว่ามี 2 โครงการ จากทั้งหมด 11 โครงการที่ถูกสุ่มตรวจ ผู้รับทุนนำเงินไปใช้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ สสส. ก็ได้ฟ้องร้องดำเนินคดีก่อนที่ สตง. จะเข้ามาตรวจสอบเสียอีกแต่ละปี สสส. ให้งบสนับสนุนโครงการต่างๆ มากกว่า 4,000 โครงการ อาจจะมีผู้รับทุนบางรายใช้เงินไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ซึ่ง สสส. ก็จะดำเนินการขั้นเด็ดขาด ทั้งเรียกเงินคืนและฟ้องร้องดำเนินคดี ทว่าในแต่ละปีจะมีการใช้เงินไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์เฉลี่ยไม่เกิน 5 โครงการเท่านั้น
เมื่อถามว่าการให้เงินทำวิจัยเรื่องการเมืองไทยเกี่ยวกับสีเสื้อต่างๆ เกี่ยวข้องกับสุขภาพอย่างไร ทพ.กฤษดา กล่าวว่า โครงการนี้อยู่ในส่วนที่เรียกว่านโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ ซึ่งจะมี 12 นโยบายย่อย โดยอยู่ในนโยบายสุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของประเทศไทย ซึ่งแยกลงไปได้อีกเป็น 14 หัวข้อย่อ โดยมีหัวข้อหนึ่งที่กล่าวถึงผลกระทบทางการเมืองต่อปัญหาเรื่องสุขภาพ เช่น ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่การทำวิจัยเกี่ยวกับการเมืองเป็นการใช้งบที่น้อยมากๆ ไม่ถึง 1% ของงบ สสส. ทั้งหมด
เมื่อถามว่าที่นายกฯ สั่งให้หยุดจ่ายเงินบางโครงการ สสส. จะทำอย่างไรต่อไป และฝ่ายบริหารมีอำนาจสั่งไม่ให้ สสส. เบิกจ่ายเงินหรือไม่ ทพ.กฤษดา กล่าวว่า หนังสือที่ คตร. ส่งมาเป็นเพียงข้อแนะนำ ซึ่งตนจะนำเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนในวันที่ 16 ตุลาคม 2558 เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป อย่างไรก็ตาม ถ้าในอนาคตมีโอกาสได้สอบถามหรือพูดคุยกับ คตร. โดยตรง เชื่อว่าจะทำให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้ การเบิกจ่ายงบของปีงบประมาณ 2559 ยังเป็นไปตามปกติ ไม่ได้ถูกเบรกตามที่เป็นข่าว
รายได้สสส.

ไม่เชื่อ คสช. จ้องยุบ – ปฏิเสธให้เงินแค่พวกพ้อง

เมื่อถามว่า สสส. มีข้อครหาเรื่องการให้งบเฉพาะคนบางกลุ่มเท่านั้น จะชี้แจงอย่างไร ทพ.กฤษดา กล่าวว่า ในหนังสือของ คตร. ไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้ ตนอยากให้มีกระบวนการพูดคุยกันเพื่อแก้ไขปัญหา ทราบมาว่า นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจะเข้ามาร่วมพิจารณาในเรื่องนี้ด้วย
เมื่อถามว่ามีรายงานข่าวจากสื่อมวลชนบางแห่งว่า คตร. ติงเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในการอนุมัติโครงการของผู้บริหาร สสส. บางราย ทพ.กฤษดา กล่าวว่า “เรื่องนี้ผมไม่สามารถเปิดเผยได้ ขอชี้แจงเฉพาะประเด็นที่เป็นข่าวเท่านั้น เช่น การใช้งบผิดวัตถุประสงค์ของโครงการสวดมนต์ข้ามปี เพราะถ้าไปตอบเรื่องอื่นล่วงหน้า อาจเป็นการเปิดเผยข้อมูลในเอกสารที่เป็นความลับของทางราชการ แต่ยืนยันได้ว่า การใช้เงินของ สสส. ไม่มีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนแน่นอน”
เมื่อถามว่าจริงหรือไม่ที่การพิจารณาโครงการของ สสส. จะดูที่ความสนิทสนมเป็นหลัก ทพ.กฤษดา กล่าวว่า ไม่มี เพราะการเบิกจ่ายงบประมาณจะต้องกำหนดแผนการก่อนว่าอยากได้อะไร แล้วค่อยนำไปสู่การพิจารณาคำขอรายโครงการ ด้วยกลไกนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะจ่ายให้คนซ้ำๆ ยกเว้นบางกรณีที่อาจต้องทำงานต่อเนื่อง เช่น โครงการลดอุบัติเหตุทางถนน ก็จะต้องให้ตำรวจดำเนินการ ฉะนั้น การให้งบของ สสส. จึงมุ่งที่ภารกิจมากกว่าตัวบุคคล
เมื่อถามว่านับแต่ คสช. เข้ามาควบคุมอำนาจการบริหารประเทศ ในปี 2557 สสส. ก็ถูกตั้งคำถามมากมาย กระทั่งมีแนวคิดว่าจะยุบ สสส. คิดว่านี่คือสาเหตุที่ถูกตรวจสอบครั้งนี้หรือไม่ และอะไรน่าจะอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ทพ.กฤษดา กล่าวว่า สสส. เป็นภาครัฐ แต่ไม่ได้อยู่ในระบบราชการ จึงเป็นธรรมดาที่จะมีคำถาม มีข้อสงสัย แต่ทาง สสส. ก็ยินดีที่จะตอบทุกคำถาม และพร้อมให้ตรวจสอบ
“ผมไม่เคยคิดว่ารัฐบาลจ้องจะยุบเรานะ เพราะ สสส. ก็ยังทำงานสนองรัฐบาลอยู่ มีรองนายกฯ เป็นประธานคณะกรรมการบริหาร สสส. ถ้ามีอะไรจึงน่าจะคุยกันได้”

ปัดเป็นแหล่งทุน NGO เคลื่อนไหวการเมือง

เมื่อถามว่าแต่ละปี สสส. ให้เงินสนับสนุนเอ็นจีโอจำนวนมาก และเอ็นจีโอเหล่านั้นก็คัดค้านการทำงานของรัฐบาล อาจเป็นสาเหตุทำให้ถูกตรวจสอบครั้งนี้หรือไม่ ทพ.กฤษดา กล่าวว่า การให้เงินสนับสนุนของ สสส. จะดูที่ตัวโครงการเป็นหลัก และเมื่ออนุมัติไปแล้วก็จะเข้าไปดูว่าใช้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ขอมาหรือไม่ ถ้าเอ็นจีโอนั้นๆ ได้ทุนจากแหล่งอื่นแล้วไปเคลื่อนไหวทางการเมือง สสส. ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะถ้าไปบอกว่าจะไม่ให้เงินสนับสนุนกับเอ็นจีโอนั้นนี้ ก็จะถูกมองว่าเลือกข้างไป แต่หลักการของ สสส. ก็คือจะไม่สนับสนุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง เช่น นำคนมาประท้วง
เมื่อถามว่ามีเสียงวิจารณ์ว่า สสส. เป็นแหล่งทุนให้เอ็นจีโอเคลื่อนไหวทางการเมือง ทพ.กฤษดา กล่าวว่า งบส่วนใหญ่ของ สสส. ให้ไปกับภาครัฐ ไม่ใช่เอ็นจีโอ เอ็นจีโอมาเป็นอันดับสอง
เมื่อถามว่า สสส. ให้เงินกับเอ็นจีโอมาต่อเนื่องหลายปี รวมถึงการให้งบซื้อโฆษณาในสื่อมวลชน จนมีเครือข่ายกว้างขวาง อาจทำให้ภาครัฐรู้สึกว่า สสส. มีอำนาจมาก จนต้องเข้ามาตรวจสอบหรือเปล่า ทพ.กฤษดา กล่าวว่า “เราทำงานด้านสุขภาพเป็นหลัก คิดแต่ว่าจะทำอย่างไรให้คนไทยมีสุขภาพดี เราไม่เคยคิดว่าตัวเองมี power หรือจะใช้ power ไปในทางใด”
เมื่อถามว่าเคยประเมินไหมว่าโครงการที่ สสส. สนับสนุน มีประสิทธิภาพเพียงใด ทพ.กฤษดา กล่าวว่า เคยมีตัวแทน WHO มาพิจารณาการทำงานของ สสส. และเห็นว่ามีประสิทธิภาพ จนหลายๆ ประเทศในอุษาคเนย์คิดจะจัดตั้งองค์กรอย่าง สสส. ขึ้นมา และถ้า สสส. ทำงานไม่ได้ผล ก็คงไม่ได้รับการยอมรับจากต่างชาติ และคงไม่ทำให้บริษัทที่เกี่ยวข้องกับสุราและยาสูบได้รับความเดือดร้อนขนาดนี้
เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่าบริษัทเหล่านั้นอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของภาครัฐให้เข้ามาตรวจสอบ สสส. อย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา ทพ.กฤษดา กล่าวว่า ในต่างประเทศบริษัทเอกชนมีพลังพอที่จะทำให้ภาครัฐเข้ามากดดันการทำงานขององค์กรอย่าง สสส. แต่ในประเทศไทยตนคงไม่สามารถตอบได้ว่าเพราะอะไร(คลิกภาพเพื่อขยาย)
รายได้ภาษีสรรพสามิตยาสูบและสุรา ระหว่างปี 2545-2557 ที่เพิ่มขึ้นทุกปี แต่จะเห็นได้ว่ามีอยู่ 2 ปีที่เก็บภาษีได้ลดลง คือ ในปี 2549 ที่มีการเพิ่มอัตราภาษียาสูบ ส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่ายยาสูบ และในปี 2552 ที่มีการขึ้นภาษีเบียร์จาก 55% เป็น 60% ทำให้การบริโภคเบียร์ลดลงเกือบ 4,000 ล้านบาท
รายได้ภาษีสรรพสามิตยาสูบและสุรา ระหว่างปี 2545-2557 ที่เพิ่มขึ้นทุกปี แต่จะเห็นได้ว่ามีอยู่ 2 ปีที่เก็บภาษีได้ลดลง คือ ในปี 2549 ที่มีการเพิ่มอัตราภาษียาสูบ ส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่ายยาสูบ และในปี 2552 ที่มีการขึ้นภาษีเบียร์จาก 55% เป็น 60% ทำให้การบริโภคเบียร์ลดลงเกือบ 4,000 ล้านบาท

ยันทำงานได้ผล ได้งบเพิ่มเพราะรัฐขึ้นภาษี “บุหรี่-เหล้า”

ด้าน นพ.บัณฑิต กล่าวชี้แจงว่า ที่นักวิชาการบางคนออกมาพูดว่า หาก สสส. ทำงานประสบความสำเร็จแล้วทำไมรายได้ของ สสส. ถึงเพิ่มขึ้นในช่วงเวลา 13 ปีที่ผ่านมา จาก 1,526 ล้านบาท ในปี 2545 มาเป็น 4,064 ล้านบาท ในปี 2557 ขอชี้แจงว่า นับตั้งแต่มีการจัดตั้ง สสส. มาในปี 2544 มีการขั้นภาษีบุหรี่ถึง 5 ครั้ง ขึ้นภาษีเหล้าอีก 7 ครั้ง ทำให้ภาษีที่ได้จากเหล้าและบุหรี่ เพิ่มขึ้นสวนทางกับอัตราการสูบบุหรี่และดื่มเหล้าที่ลดลง โดยเมื่อสิบปีก่อน คนไทยมีอัตราการสูบบุหรี่ถึง 25% ตอนนี้เหลือแค่ 19% ถ้าไม่มี สสส. ปัจจุบันน่าจะมีคนไทยสูบบุหรี่มากขึ้นถึง 7 ล้านคน ถามว่าตัวเลข 19% ถือว่าดีไหม ถ้าเทียบกับสิงคโปร์ที่ 14% และออสเตรเลียที่ 13% ก็ยังต้องทำงานต่อไป ขณะที่ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุราก็ลดลงจากสิบปีก่อนถึง 1.7 หมื่นล้านบาท

ภาพเหตุการณ์การยิงถล่มโจมตีกลุ่ม ISIS ของกองทัพรัสเซีย





ไร้ทางสู้!!! ภาพเหตุการณ์การยิงถล่มโจมตีกลุ่ม ISIS ของกองทัพรัสเซีย โดยที่ฝ่ายตรงข้ามแทบจะไม่สามารถตอบโต้ได้เลย!!! (มีคลิป)

  โหดจริงๆ สำหรับกองทัพรัสเซียที่นอกจากการใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดโจมตีแล้ว ยังส่งหน่วยเฮลิคอปเตอร์ออกไปกวาดล้างอีกด้วย โดยที่อีกฝ่ายหนึ่งแทบจะหมดทางต่อสู้ ทำได้เพียงแค่หลบหนีไปเพื่อให้รอดชีวิตเท่านั้น งานนี้จัดหนักจัดเต็มทุกดอกเลย

สามัคคี....นายกฯ ยันกองทัพสามัคคี ไม่ขัดแย้ง

สามัคคี....นายกฯ ยันกองทัพสามัคคี ไม่ขัดแย้งแม้ว่าบางท่านอาจจะมีแนวความคิดที่แตกต่างกันไปบ้าง วอนสื่อยุติเสนอข่าว
พลตรีสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้นำสารของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 2 อ่านออกทีวี.พูล เมื่อช่วงเย็น ที่ผ่านมาว่า เรื่องการเสนอข้อมูลที่ออกไปในทางกองทัพมีความขัดแย้งกันนั้น มีความพยายามจากบางส่วนที่จะนำเสนอข่าวในเรื่องนี้ ถ้าเกิดมีความขัดแย้งให้เกิดความแตกแยกในกองทัพ
"นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันว่า ขณะนี้สถานการณ์ในกองทัพนั้นเป็นปกติ กำลังพลทุกนายในกองทัพตั้งแต่ระดับผู้บังคับบัญชา จนกระทั่งถึงกำลังพลคนสุดท้ายนั้น มีความรักความสามัคคีต่อกันดี
การบริหารราชการภายในก็คงเป็นไปตามบทบาทภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายของแต่ละท่าน แม้ว่าบางท่านอาจจะมีแนวความคิดที่แตกต่างกันไปบ้าง
แต่สิ่งสำคัญคือการเคารพต่อการตัดสินใจ การให้เกียรติซึ่งกันและกันตามหน้าที่ภาระของแต่ละคน "
นายกรัฐมนตรี คาดหมายว่าจะได้รับความร่วมมือจากสื่อมวลชนที่จะยุติการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่จะออกไปในทางความขัดแย้งอย่างที่ผ่านมา เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่เป็นข้อเท็จจริงและไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเลย

เว็บวิเคราะห์นโยบายการต่างประเทศวิพากษ์รัฐบาลโอบามา พิษสงของ 'ลัทธิความมั่นคง'


เว็บวิเคราะห์นโยบายการต่างประเทศวิพากษ์รัฐบาลโอบามา พิษสงของ 'ลัทธิความมั่นคง'

ในช่วงที่ใกล้หมดวาระของรัฐบาลโอบามา จอห์น เฟฟเฟอร์ จากเว็บไซต์วิเคราะห์นโยบายการต่างประเทศเขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลโอบามาอย่างหนักในเรื่องการปราบปรามผู้เปิดโปง และการไม่สามารถยกเลิกวิธีการทารุณกรรมของหน่วยงานความมั่นคงที่ตกทอดมาจากสมัยรัฐบาลบุช

ที่มาภาพ: U.S. Navy photo by Mass Communication Specialist 2nd Class Kevin S. O'Brien/Released
Public domain
11 ต.ค. 2558 จอห์น เฟฟเฟอร์ ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์วิเคราะห์นโยบายการต่างประเทศ (Foreign Policy in Focus หรือ FPIF) เขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ในยุคสมัยของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ทั้งในเรื่องที่ไม่ยกเลิกวิธีการทารุณกรรมนักโทษตามที่สัญญาไว้ และเรื่องการสั่งลงโทษจับขัง 'ผู้เปิดโปง' หลายคน โดยในยุคโอบามามีการลงโทษจำคุกผู้เปิดโปงรวมแล้ว 751 เดือน มากกว่าการลงโทษผู้เปิดโปงตั้งแต่การปฏิวัติก่อตั้งประเทศที่มีการจำคุกรวมแล้วเพียงแค่ 24 เดือนเท่านั้น
เฟฟเฟอร์ระบุถึงการหาเสียงเมื่อปี 2551 ของโอบามาว่ามีการแสดงท่าทีต่อต้านการทารุณกรรมในปฏิบัติการต่างๆ ของสหรัฐฯ อย่างชัดเจนว่าเป็นเรื่องที่ "ไม่มีทางยอมรับได้" นอกจากนี้ย้งสัญญาว่าจะยกเลิกการส่งตัวผู้ต้องสงสัยข้ามแดนไปยังประเทศที่มีความสามารถกระทำการทารุณกรรมและสัญญาว่าจะสั่งปิดเรือนจำกวนตานาโมและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นมาใหม่ให้กับสหรัฐฯ
ถึงแม้ว่าโอบามาจะลงนามในคำสั่งให้มีการยกเลิกการทารุณกรรมและการคุมขังโดยสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐฯ หรือซีไอเอ (CIA) ทำให้มีการปิดคุกลับของซีไอเอที่เคยมีอยู่ก่อนหน้านี้ โอบามายังลงนามสั่งให้มีการปิดคุกกวนตานาโม แต่สภาคองเกรสกลับมีมติต่อต้านการปิดคุกแห่งนี้ทำให้พวกเขาต้องหันไปใช้แผนสองคือการสั่งปล่อยตัวนักโทษทีละน้อย และในขณะที่วุฒิสภาสหรัฐฯ เพิ่งลงมติสั่งห้ามการทารุณกรรมในปีนี้เอง แต่โอบามาก็ไม่ได้ยกเลิกข้อสัญญาทางกฎหมายที่ให้อำนาจโครงการทารุณกรรมทั้งหมด ซึ่งหมายความว่ามีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ อาจจะกลับไปใช้วิธีการสุดโต่งอย่างการทารุณกรรมอีก
เฟฟเฟอร์ยังวิจารณ์อีกว่ารัฐบาลโอบามาไม่มีการแก้ไขหรือยกเลิกคำสั่งฉบับของรัฐบาลบุชที่อนุญาตให้มีการใช้เครื่องบินไร้คนขับหรือ 'โดรน' ในการกำจัดผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายโดยไม่มีการสอบสวนใดๆ นอกจากนี้การกระทำแบบปิดลับในที่ทำการของฝ่ายความมั่นคงสหรัฐฯ ยังทำให้ไม่สามารถรับประกันได้ว่าสำนักงานข่าวกรองจะปฏิบัติตามคำสั่งห้ามทารุณกรรม โดยยกตัวอย่างกรณีที่เกิดขึ้นในปี 2554 ที่มีการคุมขังและทารุณกรรมผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายโซมาเลียบนเรือของสหรัฐฯ ที่อยู่ในน่านน้ำสากล และกรณีการส่งตัวผู้ต้องขังชาวอัฟกานิสถานให้กับทางการอัฟกานิสถานแม้ว่าจะมีหลักฐานว่าทางการอัฟกานิสถานละเมิดสิทธิมนุษยชน
แต่เรื่องหนึ่งที่เฟฟเฟอร์มองว่าเป็นความย้อนแย้งในตัวเองมากคือการปฏิบัติต่อผู้เปิดโปง เพราะถ้าหากรัฐบาลโอบามาต้องการแสดงออกทางจริยธรรมในการต่อต้านการทารุณกรรมและการเปิดโปงความลับจริง เขาก็ควรจะยอมรับคนที่เสี่ยงชีวิตเพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้องเหล่านี้ แต่รัฐบาลโอบามากลับลงโทษผู้เปิดโปงอย่างไม่ไว้หน้า เฟฟเฟอร์บอกว่าเขาได้พูดคุยกับผู้เปิดโปงชาวอเมริกันผู้กล้าหาญ 3 คน ที่อธิบายว่าทำไมประธานาธิบดีโอบามาถึงเข้าสู่ตำแหน่งในมาดของ "ราชสีห์ผู้พิทักษ์เสรีภาพพลเมือง" แต่กลับทำตัวเหมือน "แกะ (ทว่ามีเขี้ยวแหลมคม) ที่อ้างความมั่นคงของชาติ"
บทความของเฟฟเฟอร์เปิดเผยว่าในทุกรัฐบาลมีการปล่อยให้ข่าวรั่วไหลเกิดขึ้นทั้งสิ้นแต่ว่าฝ่ายรัฐบาลเองก็มีการควบคุมว่าให้ข้อมูลใดรั่วไหลออกไปได้บ้างและรัฐบาลก็เกลียดการรั่วไหลของข้อมูลที่พวกเขาไม่ให้ปล่อยออกไปเองมากเพราะทำให้พวกเขารู้สึกสูญเสียการควบคุมสื่อว่าจะให้เรื่องราวใดเปิดเผยได้บ้าง
เฟฟเฟอร์ระบุว่าผู้เปิดโปง (whistleblower) กับผู้ให้ข้อมูลรั่วไหล (leaker) มีความแตกต่างกัน ผู้เปิดโปงจะมองเห็นปัญหาเช่นการกระทำที่น่าต้องสงสัยในเรื่องความชอบธรรมแล้วจะรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบถึงเรื่องที่ไม่เหมาะสมและจะเปิดเผยข้อมูลต่อสภาหรือสื่อก็ต่อเมื่อการพยายามสะท้อนปัญหาผ่านทางสายการบังคับบัญชาในหน่วยงานไม่ได้ผลเท่านั้น
บทความของเฟฟเฟอร์ระบุถึงผู้เปิดโปง 3 คน ได้แก่ จอห์น คิริอาโคว, เจสเซลิน ราดัก และทอม เดร็ก ต่างก็พยายามสื่อสารเรื่องความไม่ชอบธรรมผ่านช่องทางที่เหมาะสมก่อนหน้านี้ คิริอาโคว แสดงความกังวลเรื่องการทารุณกรรมโดยซีไอเอ ราดักแสดงความไม่สบายใจต่อวิธีการสอบสวนผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย ส่วน เดร็ก พูดกับบุคคลระดับสูงของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ หรือเอ็นเอสเอ (NSA) ในเรื่องการสอดแนมอย่างผิดกฎหมาย แต่พวกเขาก็ล้วนแต่รู้สึกไม่พอใจที่ไม่มีการตอบสนองต่อเรื่องที่กังวลมากพอหรือไม่ก็ถูกโต้ตอบกลับในทางลบทำให้พวกเขาต้องยอมเสี่ยงเพื่อเปิดโปงการกระทำผิดขององค์กรตัวเอง
แต่ผู้เปิดโปงทั้ง 3 คนก็ถูกดำเนินคดี คิริอาโควและเดร็กถูกตั้งข้อหาโดยอ้างกฎหมายจารกรรมซึ่งมีมาตั้งแต่ปี 2460 รวมกับผู้เปิดโปงรายอื่นๆ อย่างเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน และเชลซี แมนนิง ทำให้รัฐบาลโอบามาใช้กฎหมายนี้กับผู้เปิดโปงรวมทั้ง 7 คน เทียบกับก่อนหน้านี้ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของสหรัฐฯ มีคนถูกตั้งข้อหาเพียง 3 คนเท่านั้น ในเวลาต่อมาก็มีการยกฟ้องเดร็ก ส่วนคิริอาโควติดคุก 2 ปีหลังจากที่ขอลดโทษ ในตอนนี้คิริอาโควเป็นหนึ่งในผู้ร่วมงานกับสถาบันศึกษาวิจัยนโยบายซึ่งเป็นหน่วยงานหลักของ FPIF
เฟฟเฟอร์ระบุว่าสิ่งที่ชวนให้ไม่สบายใจคือการที่คนที่ร่วมการทารุณกรรมและผู้ที่สั่งการให้มีการสอดแนมอย่างผิดกฎหมาย ยังไม่มีใครถูกดำเนินคดีเลย
เกลน กรีนวัลด์ เคยชี้ว่าโอบามาให้การคุ้มครองทางกฎหมายต่อเจ้าหน้าที่ที่ทำการทารุณกรรมถ้าหากเป็นไปตามคำสั่งอนุญาตจากนักกฎหมายในกระทรวงยุติธรรมสมัยรัฐบาลบุชซึ่งให้อนุญาตการทารุณกรรมในบางรูปแบบ ส่วนคนที่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ก็ให้พ้นผิด
ในกรณีเรื่องการสอดแนมผู้คนจำนวนมากที่มีการเปิดโปงโดยเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดนนั้นถึงแม้ว่าในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาจะมีคำตัดสินจากศาลสหรัฐฯ ว่าการสอดแนมดักเก็บข้อมูลของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า 'เมตาเดตา' (metadata) เป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่ในโครงการบางอย่างที่ถูกเปิดโปงเช่น TREASUREMAP ที่มีการปล่อยมัลแวร์ไปยัง 50,000 แห่งทั่วโลกเพื่อทำแผนที่ความเชื่อมโยงของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตก็ไม่มีใครที่ถูกลงโทษในการละเมิดสิทธิพลเมืองเลย
เฟฟเฟอร์ชี้ว่ารัฐบาลโอบามาอ้างความชอบธรรมเพื่อทำให้เจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนกับ "ด้านมืด" ของสหรัฐฯ ทั้งหมดไม่ต้องรับผิดตั้งแต่ระดับอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ไปจนถึงผู้กระทำการทารุณกรรมและสอดแนมข้อมูลอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งถือเป็นความลำเอียงเมื่อเทียบกับการไล่ล่าเอาผิดผู้เปิดโปงอย่างหนัก
เฟฟเฟอร์ ถามผู้เปิดโปงทั้ง 3 คน เกี่ยวกับความย้อนแย้งเช่นนี้ พวกเขาอธิบายว่าบารัค โอบามา คนที่หาเสียง มีความแตกต่างกับโอบามา คนที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ทันทีที่เขาเข้าสู่ทำเนียบขาวแล้วก็ได้รับคำสั่งลับสุดยอดแบบสรุปย่อ เขาก็กลายเป็นน้องใหม่ของ "สมาคม" ทันที เขาหลงใหลไปกับอำนาจบริหารจัดการโดยตรงที่มีความสามารถชี้เป็นชี้ตายได้เสมือนพระเจ้าเมื่อตอนที่เขาจัดประชุมรายสัปดาห์ที่มีการพิจารณารายชื่อผู้ที่เป็นเป้าหมายสังหารของโดรน
บทความของเฟฟเฟอร์เปรียบเปรยว่าเหมือนโอบามาถูก "รับน้อง" เข้าร่วมกับ "ลัทธิความมั่นคงแห่งชาติ" ซึ่งกฎข้อแรกของลัทธินี้คือการปกป้องตัวตนของตัวเองทุกวิถีทางทำให้ผู้เปิดโปงกลายเป็นคนทรยศต่อลัทธิทำให้ลัทธิต้องตามล่าอย่างไม่ปราณี เฟฟเฟอร์มองอีกว่าระบบถ่วงดุลอำนาจหรือการตรวจสอบอื่นๆ ไม่มีผลกับลัทธิความมั่นคงนี้ นอกจากนี้ในช่วงรัฐบาลโอบามายังมีเอกสารที่ถูกระบุให้เป็นความลับเพิ่มมากขึ้นเป็น 76.7 ล้านฉบับ เทียบกับก่อนหน้านี้ในสมัยรัฐบาลบุชที่มี 8.6 ล้านฉบับในปี 2544 และ 23.4 ล้านฉบับในปี 2551 นอกจากนี้ยังมีการใช้งบประมาณในสายงานข่าวกรองเพิ่มมากขึ้นหลายพันล้านดอลลาร์ด้วย
เฟฟเฟอร์ระบุอีกว่าไม่เพียงแค่การไล่ล่าผู้เปิดโปงเท่านั้น รัฐบาลโอบามายังพยายามเล่นงานสื่อเช่นการพยายามป้ายสีนักข่าวยูเอสเอทูเดย์ที่พยายามเจาะเรื่องโฆษณาชวนเชื่อของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ อีกทั้งยังมีการสอดแนมนักข่าวหลายคน
"ภายในปีหน้าในขณะที่โอบามาพยายามประกาศชัยชนะต่อสิ่งที่เขากระทำไว้ เขาจะอ้างถึงชัยชนะทางด้านนโยบายการต่างประเทศอย่างการทำข้อตกลงกับอิหร่านและการเชื่อมความสัมพันธ์กับคิวบา และจะพูดถึงนโยบายที่ประสบความสำเร็จภายในประเทศเช่น 'กฎหมายประกันสุขภาพในราคาที่คนเข้าถึงได้' (Affordable Care Act)" เฟฟเฟอร์ระบุในบทความ
แต่เฟฟเฟอร์ก็ระบุต่อไปว่าสิ่งที่เป็นปัญหาซ่อนอยู่ใต้พรมคือเรื่องกลุ่มลัทธิความมั่นคงที่แสดงความชื่นชมประธานาธิบดีอยู่เงียบๆ ในแง่ที่เลวร้ายอย่างการปกป้องการทำลายล้างอย่างไร้ขื่อแป และลัทธินี้ก็มีอำนาจมากขึ้นภายใต้รัฐบาลของเขา

เรียบเรียงจาก
Mouth Wide Shut, John Feffer, FPIF, 07-10-2015
http://fpif.org/mouth-wide-shut/

"ตัดสิทธิตลอดชีวิต สะท้านการเมือง

12/10/58

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

การเดินหน้าจัดทำร่างรัฐธรรมนูญเฟสสองได้เริ่มต้นขึ้นมาอย่างเป็นทางการแล้ว ภายหลัง มีชัย ฤชุพันธุ์  อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการร่าง
รัฐธรรมนูญ (กรธ.) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

เวลาร่วมๆ สัปดาห์ที่เพิ่งผ่านไป อาจจะยังไม่เห็นเค้าโครงของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เท่าไหร่นัก แต่ถือว่ามีความคืบหน้าอยู่พอสมควร

การทำงานของ กรธ.เริ่มต้นจากการพิจารณากรอบการร่างรัฐธรรมนูญตามมาตรา 35ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 จำนวน 10 ข้อ และกรอบการร่างรัฐธรรมนูญ ตามความมุ่งหมายของ
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จำนวน 5 ข้อ ซึ่ง กรธ.ได้พิจารณาเสร็จสิ้นหมดแล้ว

กระบวนการทำงานที่เริ่มจากขั้นตอนดังกล่าวเป็นความต้องการของประธาน กรธ.ที่อยากให้ กรธ.มีโอกาสแสดงความคิดเห็นว่าแต่ละคนมองกรอบการทำงานดังกล่าวอย่างไร รวมไปถึงแสดงจุดมุ่งหมายส่วนตัวว่าอยากให้ประเทศไทยในอนาคตมีรูปร่างหน้าตาออกมาเป็นแบบไหน จากนั้นฝ่ายเลขานุการ กรธ.จะนำความคิดเห็นทั้งหมดไปประมวลเพื่อจัดทำเป็นบทบัญญัติร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราต่อไป

ทั้งนี้ กรธ.ได้พิจารณาตามขั้นตอนข้างต้นเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งมีความน่าสนใจตรงที่ กรธ.นำประเด็นที่ว่าด้วยการกลั่นกรองบุคคลเข้าสู่อำนาจมาพิจารณาอย่างจริงจังด้วย

มาตรา 35 (4) ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวบัญญัติว่าการจัดทําร่างรัฐธรรมนูญให้ครอบคลุมเรื่องกลไกที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและตรวจสอบมิให้ผู้เคยต้องคําพิพากษาหรือคําสั่งที่ชอบด้วย
กฎหมายว่ากระทําการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ หรือเคยกระทําการอันทําให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรม เข้าดํารงตําแหน่งทางการเมืองอย่างเด็ดขาด

โดยมีรายงานว่า กรธ.เห็นตรงกันแล้วว่าในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรมีมาตรการจัดการกับกระบวนการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองให้มีความโปร่งใสมากที่สุด ซึ่งจะเน้นไปที่ตัวบุคคลเป็นหลัก

สัญญาณกับการปฏิรูปการเมืองตั้งแต่ระดับตัวบุคคลเริ่มชัดเจนและแรงมากขึ้นด้วยท่าทีของมีชัยเอง

ข้าราชการตัวเล็กๆ ไปโกงข้อสอบยังถูกห้ามไม่ให้เป็นข้าราชการตลอดชีวิต นักศึกษาที่โกงการสอบก็ไม่มีทางได้เข้ามาในมหาวิทยาลัยได้เลย แล้วทำไมคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ถ้าผิด

ต่อหน้าที่กลับบอกว่า 5 ปีผ่านไปแล้วเอามาเถอะ เบื้องหลังของเหตุผลมันคืออะไร ผมก็พร้อมรับฟังและช่วยยืนยันได้หรือไม่ว่าจะไม่มีการทุจริตอีก

ตรงนี้ กรธ.กำลังคุยกันอยู่ว่าเรื่องบางเรื่องอาจจำเป็นต้องให้มีผลย้อนหลัง คนที่จะมาปกครองต้องมีความโปร่งใสทุกด้านเพื่อให้ประชาชนสามารถยกมือไหว้ได้อย่างสนิทใจท่าทีที่ออกมาจากประธาน
กรธ.

อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวอาจไม่ใช่ประเด็นใหม่ในทางการเมืองเสียทีเดียว เนื่องจากคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญชุดที่แล้ว ก็ได้เขียนร่างรัฐธรรมนูญที่มีลักษณะของการห้ามนักการเมืองที่มีรอยตำหนิกลับสู่อำนาจอีก แต่ไม่ได้ระบุชัดว่าจะให้มีย้อนหลังหรือไม่

เวลานั้นถึง กมธ.ยกร่างฯ จะไม่ระบุชัดในเรื่องการมีผลย้อนหลัง แต่มีผลให้เกิดแรงเสียดทานทางการเมืองอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะการที่ กมธ.ยกร่างฯ ถูกกล่าวหาว่าจัดทำร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

มาครั้งนี้เมื่อดูจากที่ประธาน กรธ.ลั่นวาจาเอาไว้พอจะเริ่มเดาออกว่ารอบนี้ เอาจริง ซึ่งน่าจะมีความเป็นไปได้อย่างน้อย 2 รูปแบบ ระหว่าง สุดซอย กับ ไม่สุดซอย 

สุดซอยในที่นี้หมายถึงการตัดสิทธิกลุ่มบุคคลทุกกลุ่มย้อนหลังตลอดชีวิตไม่ว่าจะเป็น "กลุ่มบ้านเลขที่ 111-109"ที่ต้องโทษเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจากกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคการเมือง เพราะมีผู้บริหารพรรคทุจริตการเลือกตั้ง"กลุ่มอดีตนักการเมืองที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งให้ใบแดง" ต่อด้วย "กลุ่มบุคคลที่ถูกถอดถอน" ทั้ง"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"อดีตนายกรัฐมนตรี "บุญทรง เตริยาภิรมย์"อดีต รมว.พาณิชย์ ในคดีโครงการรับจำนำข้าว เช่นเดียวกับ "กลุ่มคนที่ศาลพิพากษาว่ามีความผิดฐานทุจริต" เช่น ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นต้น

ขณะที่รูปแบบ "ไม่สุดซอย" มีแนวโน้มที่อาจจะออกมาใน 2 ทิศทางด้วยกัน

ทิศทางที่หนึ่ง คือ ตัดสิทธิย้อนหลังตลอดชีวิต เฉพาะกลุ่มบุคคลที่ถูกใบแดง คดีถอดถอน และคดีทุจริต โดยปล่อยให้พวกกลุ่มอดีตกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีสิทธิกลับมาสู่ตำแหน่งทางการเมืองได้ ภายใต้เหตุผลที่ว่าในเมื่อได้รับโทษการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งครบ 5 ปีแล้วก็ควรได้สิทธิดังกล่าวคื

ส่วนทิศทางที่สอง คือ การระบุถึงคุณสมบัติของ สส.ที่ต้องไม่เป็นบุคคลที่เคยถูกถอดถอน ไม่เคยต้องโทษทุจริตเลือกตั้ง และต้องไม่เคยถูกพิพากษาว่ามีความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ไว้ในรัฐธรรมนูญให้หมด เพียงแต่ไม่ให้มีผลย้อนหลัง

ดังนั้น อำนาจการเขียนรัฐธรรมนูญที่มีอยู่ในมือของ กรธ.ทั้ง 21 คน ไม่ต่างอะไรกับการเป็นตัวกำหนดทิศทางการเมืองในวันข้างหน้า ถ้าเขียนได้ดีและจัดวางเนื้อหาได้อย่างสมดุลและเหมาะสม อุณหภูมิของประเทศก็คงไม่สูง แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นเท่ากับว่าประเทศกำลังเข้าสู่สถานการณ์ของการเผชิญหน้าอีกครั้ง