PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

อาสากู้ภัยช่วยงมศพน้ำท่วมประสบอุบัติเหตุเืรือชนวินาทีสุดท้ายโยนห่วงยางให้ชาวบ้านส่วนตวเองจมน้ำตาย

"ต๊ะ ธนารักษ์ โยธิกุล" อาสากู้ภัยมูลนิธิขอนแก่นสามัคคีอุทิศ เสียชีวิตขณะออกไปปฏิบัติหน้าที่งมศพผู้เสียชีวิต โดยเรือเกิดเสียหลักพุ่งชนเชือก จนทำให้เรือล่ม ที่ อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม เมื่อกลางดึกวันที่ 23 ก.ย. แม้แต่วินาทีสุดท้ายของชีวิต ยังเลือกที่จะโยนห่วงชูชีพให้ชาวบ้านที่ช่วยขับเรือให้ ส่วนตัวเองนั้นจมน้ำเสียชีวิต

Cr. @yoware ข้อมูลและภาพจาก www.painaidii.com/most-like/mostlike-detail/002558/lang/th/

ยุทธพงศ์รับเป็นคนในคลิปปัดกดบัตรแทน

25 กันยายน 2556 เวลา 19:48 น. |


ยุทธพงศ์รับเป็นคนในคลิปปัดกดบัตรแทน
"ยุทธพงศ์"ยอมรับเป็นหนึ่งผู้ที่ปรากฎในคลิป ยันไม่ใช่การกดบัตรแทนกัน แจงแค่เดินมาหยิบบัตรคืนหลังเปลี่ยนที่นั่ง
เมื่อวันที่ 25 ก.ย. นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย กล่าวยอมรับว่า เป็น ส.ส.ที่ปรากฎในคลิปเสียบบัตรแทนกันระหว่างการประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมชี้แจงว่า ก่อนหน้านี้ได้เสียบบัตรคาไว้ในที่นั่ง แต่มีส.ส.อีกคนเข้ามานั่งแทน จึงเดินเข้าไปเอาบัตรคืน และไม่ใช่เป็นการมีพฤติกรรมกดบัตรแทนกันแต่อย่างใด
"คนที่เข้าไปนั่งแทนเป็นส.ส. เพื่อไทยที่เป็นระดับผู้ใหญ่ ผมคงไม่สามารถเข้าไปไล่ให้ออกไปได้ จึงเข้าไปเอาบัตรและย้ายที่นั่ง"นายยุทธพงศ์กล่าว
สำหรับนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร เป็น อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดมหาสารคาม เขต 3 สังกัดพรรคเพื่อไทย 

ทหารประกาศภาวะฉุกเฉินห้ามผัดกะเพราเข้าพื้นที่กองทัพบก..เหตุกลิ่นกวนนาย

โรงอาหาร สนง.ลข.ทบ. ออกกฎห้ามแม่ค้า "ผัดกระเพรา" เหตุส่งกลิ่นรบกวนนาย

ภายในอาคารสำนักงานเลขานุการ ทบ. ปรากฎเกิดเรื่องฮือฮาขึ้น เมื่อภายในโรงอาหารติดประกาศตัวใหญ่อยู่บริเวณหน้าร้านอาหารทุกร้านว่า “ลูกค้าโปรดทราบ ห้าม !!! สั่งผัดกระเพรา” ทำให้ลูกค้าที่เข้ามารับประทานอาหารถึงกับตกใจ โดยเฉพาะกำลังพลที่เป็นทหาร ทบ.

ทั้งนี้ หลังจากสอบถามกับ “พ่อค้า-แม่ค้า” ได้ความว่า ที่ถูกสั่งห้ามขาย ผัดกระเพราะเพราะกลิ่นฉุนจากใบกระเพรา ส่งกลิ่นไปไกลถึงห้องทำงานผู้ใหญ่ ส่งผลรบกวนจิตใจอันมีผลต่อการทำงาน จึงได้ประชุมหารือเพื่อแก้ปัญหา อย่างไรก็ตาม ภายในโรงอาหารได้ติดตั้งเครื่องดูดควันไว้ทุกร้านค้า แต่กลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย 

มิหนำซ้ำยังส่งเสียงดังรบกวนพ่อค้า-แม่ค้าอีกต่างหาก ถ้าจะให้เครื่องดูดควันแต่ละทีก็ต้องเปิดพัดลมไล่ เพื่อให้ควันและกลิ่นเข้าเครื่อง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ทราบมาว่าหลังประชุมหารือเพื่อหาทางแก้ปัญหาก็ได้ลงมติให้แก้ไขและซ่อมเครื่องดูดควันมารอบนึงแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผล

จนสุดท้าย จึงมีคำสั่งจากผู้ใหญ่ห้ามผัดกระเพราเด็ดขาด เว้นแต่จะมีการปรุงประกอบมาจากบ้านและนำมาขายเป็นข้าวแกง

"ปัญหาอยู่ที่เครื่องดูดควันที่ไร้ประสิทธิภาพ ไม่สามารถใช้งานได้ ทั้งที่งบประมาณในการเบิกจ่าย-สั่งซื้อนั้นค่อนข้างสูง รวมการปรับปรุงโรงอาหารภายในอาคาร สลก.ทบ.ครั้งที่ผ่านมานี้"

"เผาโลง “ปู” แล้ว ผู้ว่าฯ นครฯ เปิดอกขอย้ายตัวเอง หวังม็อบยางคลี่คลาย

นครศรีธรรมราช - ม็อบหนองหงษ์ เผาโลงศพ “ปู” แล้ว ชาวสวนยางที่ไร้เอกสารสิทธิเรียกร้องรัฐให้ดูแลชาวสวนยางอย่างทั่วถึง ขณะที่ผู้ว่าฯ เตรียมเดินทางไปรับตำแหน่งใหม่ที่ จ.เลย ยอมรับแล้วขอย้ายตัวเองหวังการชุมนุมคลี่คลาย ด้านภาคีเครือข่าย 16 จังหวัดเตรียมยกระดับการชุมนุมในอีก 7 วัน

วันนี้ (25 ก.ย.56) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.นครศรีธรรมราช ว่า สถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มเกษตรกรที่บริเวณแยกควนหนองหงษ์ ต.ควนหนองหงษ์ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งชุมนุมมาอย่างต่อเนื่องแล้วเป็นเวลากว่า 1 เดือน ยังคงมีความเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ช่วงเช้าวานนี้ ได้มีการรื้อถอนเวที และรื้อเต็นท์ที่หลบร้อนของผู้ชุมนุมออกไปในช่วงค่ำ ในวันนี้ได้มีการนำมาติดตั้งใหม่เช่นเดิม

ขณะเดียวกัน เกษตรกรบางรายที่ไปรับเงินสนับสนุนปัจจัยการผลิตจากรัฐ ได้นำเงินที่ได้มาสนับสนุนในการชุมนุม เนื่องจากเห็นว่าไม่สามารถช่วยเหลือชาวสวนยางได้อย่างแท้จริง แต่ถ้าเร่งสร้างเสถียรภาพทางราคาเกษตรกรชาวสวนยาง และระบบลูกจ้าง รวมทั้งเกษตรกรที่ไม่มีเอกสารสิทธิจะได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง

อย่างไรก็ตาม กลางดึกที่ผ่านมามีความเคลื่อนไหวของภาคีเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางพารา และปาล์มน้ำมัน 16 จังหวัด ที่มีการประชุมกัน โดยเป็นการประชุมลับเฉพาะสมาชิกที่วัดห้วยปริก อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช โดยมีประเด็นที่สำคัญคือ ได้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารทั้งหมด 5 ตำแหน่ง โดยเลือกนายทศพล ขวัญรอด เป็นประธานภาคีเครือข่าย นายมนัส บุญพัฒน์ เป็นเลขาธิการ มีตัวแทนจากภาคใต้ตอนบน และตัวแทนจากภาคใต้ตอนล่างเป็นรองประธาน และตัวแทนจากภาคใต้อันดามัน เป็นรองเลขาธิการ

นายทศพล ขวัญรอด ประธานภาคีเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยาง และปาล์มน้ำมัน 16 จังหวัด แถลงว่า ข้อสรุปของมติที่ประชุม ได้มีมติเสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล 5 ข้อคือ

1.ให้รัฐบาลชดเชยส่วนต่างของราคายางพาราแผ่นดิบชั้น 3 ในราคา 100 บาท ทั้งนี้ เพื่อให้ผลประโยชน์ครอบคลุมไปถึงเกษตรชาวสวนยางที่ไม่มีเอกสารสิทธิในที่ดิน และกลุ่มผู้กรีดยางพาราซึ่งถือเป็นหุ้นส่วนกับเจ้าของสวนยาง

2.รัฐบาลต้องยุติการดำเนินคดี จับกุม คุมขังเกษตรกรชาวสวนยางพาราทั่วประเทศที่เป็นผู้ชุมนุมเรียกร้องราคายางพารา อันเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 63

3.รัฐบาลต้องยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการใช้อำนาจรัฐข่มขู่ คุกคาม เกษตรกรชาวสวนยางพาราที่ชุมนุมเรียกร้องราคายางพารา

4.ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ต้องประกาศยกเลิกการบังคับใช้ พ.ร.บ.บรรเทาและป้องกันสาธารณภัย ในเขตพื้นที่การชุมนุม

5.จากข้อเรียกร้องดังกล่าวข้างต้น 4 ข้อ รัฐบาลต้องปฏิบัติให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน หากเลยกำหนดเวลา ภาคีเครือข่ายฯ จะเรียกชุมนุมใหญ่เพื่อนำไปสู่การยกระดับการชุมนุมขั้นสูงสุดที่บ้านธรรมรัตน์ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์

และในวันเดียวกันนี้ เกษตรกรชาวสวนยางในอำเภอลานสกา จ.นครศรีธรรมราช โดยเฉพาะในส่วนที่ไม่มีเอกสารสิทธิ แถบตำบลกำโลน อ.ลานสกา ซึ่งเป็นที่อยู่ในเทือกเขาหลวง ทับซ้อนกับเขตป่าสงวน ทั้งที่เกษตรกรเหล่านี้ได้สืบทอดการทำเกษตรกรรมมาจากบรรพบุรุษมาแล้วหลายรุ่น แต่ก็ไม่มีสิทธิที่จะได้รับการช่วยเหลือ เนื่องจากยังไม่มีเอกสารสิทธิที่เป็นเอกสารสำคัญในการนำไปขึ้นทะเบียนเกษตรกร

นางกชพร เนาว์สุวรรณ อายุ 42 ปี เกษตรกรรุ่นที่ 4 ที่สืบทอดที่ดินแปลงนี้มาจากบรรพบุรุษ ระบุว่า อยากเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือเกษตรกรให้มีความเท่าเทียมและทั่วถึง เนื่องจากเวลาเกษตรกรไปขายยางพาราแผ่น จะมีการเก็บเงินของเกษตรกรไปแล้ว ซึ่งรวมทั้งเกษตรกรที่ไม่มีเอกสารสิทธิ แต่มีผลผลิตยางพาราออกไปจำหน่าย ดังนั้น เมื่อเกษตรกรเดือดร้อนรัฐควรให้ความช่วยเหลือ

ส่วนความเคลื่อนไหวของ นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งจะเดินทางไปรับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ เช่นเดียวกับ นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ที่จะเดินทางมารับตำแหน่งใหม่ในช่วงเดียวกัน โดยมีภารกิจแรกที่ท้าทายคือ การแก้ไขปัญหากลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณแยกควนหนองหงษ์

นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ว่าที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ได้กล่าวก่อนเข้าประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์จากกระทรวงมหาดไทยว่า หลังจากที่มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเลยว่า

“ผมมีความรู้สึก 2 อย่าง คือ อย่างแรกรู้สึกเสียดายที่ได้ทำงานที่จังหวัดนครศรีธรรมราชมา 2 ปี ได้สร้างผลงานมากมาย และมีเรื่องที่จะทำต่อไปอีกหลายเรื่อง เช่น ท่าอากาศยานนานาชาติ ท่าเรือน้ำลึก และการต่อยอดการแก้ไขปัญหายาเสพติด เป็นต้น ส่วนอย่างที่สอง รู้สึกดีใจ เนื่องจากจังหวัดเลยเป็นภูมิลำเนาของภรรยา และตนเองก็บรรจุรับราชการที่จังหวัดเลยเป็นจังหวัดแรก ซึ่งมีบ้าน และญาติสนิทมิตรสหายมากมาย จึงทำให้มีความรู้สึกที่ดีที่ได้ไปจังหวัดเลย ซึ่งผมเป็นผู้เลือกเอง”

นายวิโรจน์ ยังกล่าวต่อว่า ส่วนหนึ่งของการตัดสินใจครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา พยายามแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยความตั้งใจ เพราะรักนครศรีธรรมราช รักชาวชะอวดมาก เพราะเคยเป็นนายอำเภอชะอวด ซึ่งพิจารณาดูแล้วว่าลำพังตนเองไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ให้สำเร็จได้ หากอยู่ต่อไปจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ และอาจจะทำให้ปัญหาบานปลายได้ จึงตัดสินใจว่า หากตนยุติบทบาทลงในเรื่องการแก้ไขปัญหายางพารา อาจจะทำให้มีความรู้สึกคลี่คลายไปในทางที่ดีได้ จึงตัดสินใจเสียสละงานที่อยากจะทำ ซึ่งเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เองว่าในช่วงที่ตนอยู่นครศรีธรรมราชทำงานให้ใคร ทำเพื่ออะไร

“และหลังจากที่ตนเดินทางไปแล้ว ขอให้ทุกคนได้กลับมาคิดทบทวนว่าความสามัคคีปรองดอง ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเป็นปัจจัยสำคัญซึ่งจะนำมาถึงการพัฒนา ไม่คิดว่าเพียงระยะเวลาเพียง 1 เดือน ภาพลักษณ์ที่ร่วมสร้างกันมาจะหายไป เพราะฉะนั้น จึงไม่อยากจะได้ชื่อว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของการทำลาย” นายวิโรจน์กล่าว

ขณะเดียวกัน เมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้ (25 ก.ย.) กลุ่มเกษตรกรที่ร่วมชุมนุมบริเวณแยกควนหนองหงษ์ พร้อมด้วยกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ร่วมกันเผาหีบศพจำลอง ที่มีชื่อของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนักการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหายางพาราอีกหลายคน พร้อมทั้งทำพิธีสาปแช่งในบริเวณใกล้จุดชุมนุม จากเดิมที่จะมีการเผาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา แต่พระสงฆ์ที่มาร่วมพิธีทำบุญ และรับภัตตาหารเพลบอกว่าวันจันทร์เป็นวันดีไม่ควรเผา ให้เลื่อนมาเผาเป็นวันพุธ ซึ่งเป็นวันเน่าวันเปื่อย โบราณว่าจะทำให้เกิดผลเร็วขึ้นส่งผลให้ผู้ชุมนุมทำพิธีในวันนี้

http://astv.mobi/AU9khRh

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เรียกร้องรัฐตรวจสอบ จัดเวทีให้ทุกฝ่ายร่วมดีเบต เผยความจริงสู่สังคม

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ขอคัดค้านท่าทีการคุกคามและปิดกั้นเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนและนักวิชาการ ร่วมสนับสนุนสื่อมวลชนในการเปิดโปง ตีแผ่ความจริงสู่สังคม และเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐร่วมตรวจสอบและเชิญทุกฝ่ายร่วมดีเบตเพื่อตอบคำถามความจริงสู่สาธารณชนจากกรณี อบจ.สมุทรปราการ ฟ้องหมิ่นประมาทนายสมโภชน์ โตรักษา ผู้ช่วยบรรณาธิการข่าว สถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เรื่องการเสนอข่าวความไม่โปร่งใสในการใช้งบประมาณอุดหนุนวัด และกรณี กทค.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีหมิ่นประมาทกับ ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ และนางสาวณัฎฐา โกมลวาทิน ในกรณีข่าวซิมดับกับ กทค.
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เรียกร้องรัฐตรวจสอบ จัดเวทีให้ทุกฝ่ายร่วมดีเบต เผยความจริงสู่สังคม

25 กันยายน 2556 - องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ขอคัดค้านท่าทีการคุกคามและปิดกั้นเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนและนักวิชาการ ร่วมสนับสนุนสื่อมวลชนในการเปิดโปง ตีแผ่ความจริงสู่สังคม และเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐร่วมตรวจสอบและเชิญทุกฝ่ายร่วมดีเบตเพื่อตอบคำถามความจริงสู่สาธารณชนจากกรณี อบจ.สมุทรปราการ ฟ้องหมิ่นประมาทนายสมโภชน์ โตรักษา ผู้ช่วยบรรณาธิการข่าว สถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เรื่องการเสนอข่าวความไม่โปร่งใสในการใช้งบประมาณอุดหนุนวัด และกรณี กทค.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีหมิ่นประมาทกับ ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ และนางสาวณัฎฐา โกมลวาทิน ในกรณีข่าวซิมดับกับ กทค.

คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม รองประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ เปิดเผยว่า องค์กรฯ ขอคัดค้านท่าทีของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งกรณีองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการและ กทค. ที่คุกคามและปิดกั้นเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสารของนักวิชาการและสื่อมวลชน เนื่องจากหน่วยงานของรัฐ ควรมีหลักธรรมมาภิบาลและเปิดกว้างรับการตรวจสอบในประเด็นที่กระทบต่อผลประโยชน์สาธารณะ ซึ่งพฤติกรรมการคุกคามเหล่านี้เกิดจากการนำเสนอข้อมูลของสื่อมวลชนที่แสดงถึงความเสี่ยงที่จะนำไปสู่การคอร์รัปชัน และอาจทำให้ประชาชนไม่สามารถตรวจสอบพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ เพราะเกรงกลัวต่ออิทธิพลและอันตรายที่จะเกิดขึ้นและองค์กรฯ ขอเป็นกำลังใจให้บุคคลทั้งสาม ผู้ทำหน้าที่โดยบริสุทธิ์ใจเพื่อสาธารณประโยชน์ และพร้อมให้การสนับสนุนด้านการเงินและการจัดหาทนายความเพื่อการต่อสู้คดีถึงที่สุด

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น องค์กรข้อเรียกร้องดังนี้
1.ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยกรณี องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ขอให้มีการตรวจสอบโดยสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และ ป.ป.ช. ส่วนกรณี กทค. ขอให้มีการตรวจสอบโดยผู้ตรวจการแผ่นดิน (ทำการตรวจสอบ สนง. กสทช.) ป.ป.ช. (ตรวจสอบการทำหน้าที่ของ กทค.และ สนง.) คณะกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 มาตรา 70 หรือ ซูเปอร์บอร์ด กสทช.

2.ขอให้ กทค. และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมุทรปราการ ออกมาแสดงข้อมูล(ดีเบต) และตอบคำถามต่อสาธารณะ พร้อมผู้ถูกกล่าวหา ในเวทีสาธารณะที่องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ จะจัดขึ้นร่วมกับองค์กรเครือข่ายฯ

ทั้งสองกรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่า เครือข่ายของคนที่พร้อมจะร่วมมือกันในการต่อต้านคอร์รัปชันเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ สื่อมวลชนผู้ทำหน้าที่นำเสนอความจริงจำเป็นต้องมีความกล้าที่จะเปิดโปงและรายงานข่าวอย่างตรงไปตรงมา เพื่อเผยความจริงสู่สาธารณชนและเปิดพื้นที่ให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล เสนอแนะให้ความคิดเห็นอย่างเสรี องค์กรฯ พร้อมที่จะช่วยผลักดันและสนับสนุนการต่อต้านคอร์รัปชันทุกรูปแบบ และขอปลุกพลังคนที่ต้องการเข้าร่วมการเปิดโปงการโกงแต่เกรงกลัวต่ออิทธิพลต่าง ๆ ให้กล้าออกมาตีแผ่ความจริงต่อสังคมให้มากขึ้น เพื่อขจัดการโกงให้หมดไปเพื่ออนาคตของประเทศไทย คุณหญิงชฎา กล่าวสรุป
ถูกใจ · 

โรงอาหาร สนง.ลข.ทบ. ออกกฎห้ามแม่ค้า "ผัดกระเพรา" เหตุส่งกลิ่นรบกวนนาย

ภายในอาคารสำนักงานเลขานุการ ทบ. ปรากฎเกิดเรื่องฮือฮาขึ้น เมื่อภายในโรงอาหารติดประกาศตัวใหญ่อยู่บริเวณหน้าร้านอาหารทุกร้านว่า “ลูกค้าโปรดทราบ ห้าม !!! สั่งผัดกระเพรา” ทำให้ลูกค้าที่เข้ามารับประทานอาหารถึงกับตกใจ โดยเฉพาะกำลังพลที่เป็นทหาร ทบ.

ทั้งนี้ หลังจากสอบถามกับ “พ่อค้า-แม่ค้า” ได้ความว่า ที่ถูกสั่งห้ามขาย ผัดกระเพราะเพราะกลิ่นฉุนจากใบกระเพรา ส่งกลิ่นไปไกลถึงห้องทำงานผู้ใหญ่ ส่งผลรบกวนจิตใจอันมีผลต่อการทำงาน จึงได้ประชุมหารือเพื่อแก้ปัญหา อย่างไรก็ตาม ภายในโรงอาหารได้ติดตั้งเครื่องดูดควันไว้ทุกร้านค้า แต่กลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย 

มิหนำซ้ำยังส่งเสียงดังรบกวนพ่อค้า-แม่ค้าอีกต่างหาก ถ้าจะให้เครื่องดูดควันแต่ละทีก็ต้องเปิดพัดลมไล่ เพื่อให้ควันและกลิ่นเข้าเครื่อง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ทราบมาว่าหลังประชุมหารือเพื่อหาทางแก้ปัญหาก็ได้ลงมติให้แก้ไขและซ่อมเครื่องดูดควันมารอบนึงแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผล

จนสุดท้าย จึงมีคำสั่งจากผู้ใหญ่ห้ามผัดกระเพราเด็ดขาด เว้นแต่จะมีการปรุงประกอบมาจากบ้านและนำมาขายเป็นข้าวแกง

"ปัญหาอยู่ที่เครื่องดูดควันที่ไร้ประสิทธิภาพ ไม่สามารถใช้งานได้ ทั้งที่งบประมาณในการเบิกจ่าย-สั่งซื้อนั้นค่อนข้างสูง รวมการปรับปรุงโรงอาหารภายในอาคาร สลก.ทบ.ครั้งที่ผ่านมานี้"

by..@matichon


'สมีพลชัย'โล้นห่มเหลือง..เกาะชายกระโปรงนายกฯกอบโกยผลประโยชน์!

'สมีพลชัย'โล้นห่มเหลือง..เกาะชายกระโปรงนายกฯกอบโกยผลประโยชน์!

มีข่าวเล็กๆ แต่เป็นเรื่องใหญ่ในพุทธศาสนาชิ้นหนึ่ง ที่สื่อหลายสำนัก ไม่ค่อยให้ความสนใจ แม้แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ก็ไม่สนใจ สำนักงานพระพุทธศานาแห่งชาติ ก็ไม่สนใจ เจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะรองทางปกครองของสงฆ์ก็ไม่ใส่ใจด้วยซ้ำ
การไม่สนใจ และไม่ใส่ใจของทั้งฝ่ายอาณาจักร และพุทธจักร อาจอนุมานได้ว่า มีภาพ ภาพหนึ่ง  ที่อาจกระทบต่อความมั่นคง กระทบต่อตัวนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ยังไม่แน่ใจ ตรงนี้ จึงขอยกไว้ก่อน
ข่าวเล็กๆแต่เป็นเรื่องใหญ่ที่ว่า เป็นเรื่องของ นายพลชัย อุ่นทรัพย์ ที่สมอ้างตัวว่าเป็น"พระมหาดร.พลชัย ถาวโร"  ทั้งที่นายพลชัย เมื่อครั้งเป็นพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร เจ้าอาวาสวัดท่าช้าง ในอ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ถูกตำรวจกองปราบปรามจับกุมในชุดนายทหารยศ"พันเอก" ขณะขับรถพาสีกาสาวไปเสพสุขที่บ้านพักย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี ในเดือนตุลาคมปี 2543
เมื่อครั้งถูกตำรวจกองปราบจับขณะสวมชุดทหาร จนเป็นข่าวใหญ่โต
หลังจากต้องอาบัติปาราชิกในครั้งนั้นแล้ว เวลาผ่านไป 10 ปี นายวันชัย ไปเปลี่ยนชื่อเป็น"พลชัย" และกลับมาบวชใหม่เมื่อปี 2553 พร้อมกับใช้ชื่อ "พระมหาดร.พลชัย ถาวโร" แล้วระเห็ดตัวเองไปอยู่ ที่วัดสันติวิเศษสุข หรือวัดเจ้าเงาะ ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ซึ่งในปี 2554 หลวงพ่อผู้ก่อตั้งวัดเจ้าเงาะได้มรณภาพลง  นายพลชัย พยายามที่จะขอเป็นอาอาวาสให้ได้
เรื่องนี้ พระราชภัทรธาดา เจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี บอกว่า นายพลชัย พยายามจะให้คณะสงฆ์จังหวัดปราจีนบุรีรับเข้าเป็นพระในสังกัด และแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดสันติวิเศษสุข โดยมอบหมายให้ทนายความไปยื่นคำขอร้องต่อศาล ให้แต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส และเป็นผู้จัดการมรดกของอดีตเจ้าอาวาสวัดเจ้าเงาะ ซึ่งทางคณะสงฆ์กำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่ว่า จะดำเนินการกันอย่างไรต่อไป เนื่องจากทราบว่า นายพลชัย เคยถูกจับสึก ฐานอาบัติปาราชิกมาก่อน เรื่องการจะแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะยังไม่มีการรับนายพลชัย เข้าเป็นพระในสังกัดวัดเจ้าเงาะ ?
"สมีพลชัย" แปลงศรัทธาเป็นเม็ดเงิน จากการจัดรายการวิทยุ โดยใช้ชื่อรายการ"ธุดงค์วัตร" ซึ่งสถานีวิทยุดังกล่าวล้วนเป็นสถานีวิทยุสังกัด ของทหาร ประกอบด้วย
สถานีวิทยุยานเเกราะ AM 540 กรุงเทพฯ
สถานีวิทยุสวนมิสกวัน AM 1053 กรุงเทพฯ
สถานีวิทยุเสียงจากค่ายจักรพงษ์ AM 855 ปราจีนบุรี
สถานีวิทยุกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ปราจีนบุรี
ทั้ง 4 สถานีต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 190,000 บาท/เดือน
สมีพลชัย ออกสังคม นั่งฉันอาหารกับพระผู้ใหญ่อย่างไม่สะทกสะท้าน  โดยที่ทั้งพระผู้ใหญ่ก็ดี สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ดี ไม่สามารถทำอะไรได้  ซ้ำมีข่าวว่า เดินเข้าออกทำเนียบรัฐบาลเป็นว่าเล่น
25 มิ.ย.2556 "สมีพลชัย" ได้เป็นตัวแทนคณะสงฆ์ประเทศไทย พร้อมผู้นำเครือข่ายองค์กรชาวนา และภาคประชาสังคมไปนั่งร่วมแถลงข่าวที่ตึกนารีสโสมร ทำเนียบรัฐบาล ในโครงการเจริญพระพุทธมนต์เพื่อสร้างความสมานฉันท์ และเป็นสิริมงคลแก่ประเทศไทย
นั่งแถลงข่าวในทำเนียบ
นอกจากนี้ ในช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้ากราบนัมสการสมเด็จพระสังฆราชแห่งประเทศศรีลังกา "สมีพลชัย" ก็นั่งอยู่ในที่นั้นด้วย โดยภาพดังกล่าว "สมีพลชัย" นำไปใส่กรอบ ตั้งโชว์ไว้ภายในวัดเจ้าเงาะ เพื่อให้ผู้ที่มาทำบุญได้เห็นถึงบารมีของตนเอง!
สมีพลชัยนำรูปถ่ายที่มีน.ส.ยิ่งลักษณ์ใส่กรอบไว้อวดบารมี
มีการขุดคุ้ยว่า การที่"สมีพลชัย" ใช้คำนำหน้าว่า พระมหา และด็อกเตอร์นั้น ไม่เคยสอบได้เปรียญธรรม และจบปริญญาเอกจากที่ไหนมาก่อน จึงเป็นการแอบอ้างทั้งสิ้น รวมทั้ง ยังมีการปลอมแปลงหนังสือสุทธิ หรือบัตรประจำตัวพระถึง 2 เล่ม อันเป็นการปลอมแปลงเอกสารทางราชการ ซึ่งผิดกฏหมายชัดเจน
ปัจจุบัน "สมีพลชัย" พยายามที่จะฮุบสมบัติของวัดเจ้าเงาะ โดยเฉพาะที่ดินของวัดซึ่งมีประมาณ 100 ไร่ ถึงขนาดแต่งตั้งทนายความฟ้องร้อง ทั้งการฟ้องขอให้แต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส และเป็นผู้จัดการมรดกของอดีตเจ้าอาวาสวัดเจ้าเงาะที่ดินที่จัดตั้งวัดจริงๆมีประมาณ 9 ไร่ ส่วนที่เหลือ อดีตเจ้าอาวาส ต้องการให้เป็นสถานปฏิบัติธรรมทางพุทธศาสนา
เรื่องนี้ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ออกมาระบุชัดเจนแล้วว่า  ทรัพย์สินต่างๆของอดีตเจ้าอาวาส ต้องตกเป็นของวัดทั้งหมด ไม่สามารถนำทรัพย์สินไปเป็นของส่วนตัวได้ ส่วนการจะได้เป็นเจ้าอาวาสได้หรือไม่นั้น เป็นอำนาจของเจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี
ขณะที่พระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) รักษาการเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะภาค 12 นั้น ออกมาแก้ต่างว่า การที่"สมีพลชัย" อ้างว่าสนิทสนมด้วยนั้น เป็นการรู้จักแบบรู้จักคนทั่วๆ ไป ไม่มีความสนิทเป็นพิเศษ
พฤติกรรมของ"สมีพลชัย"นั้น ถือเป็นความสามารถเฉพาะตัว เฉพาะบุคคล ที่นำศรัทธามาแปลงเป็น"เงิน" ไม่ต่างกับบรรดาอลัชชีชื่อกระฉ่อนทั้งหลายที่ผ่านมา
สิ่งที่สำคัญคือ การที่พระพรหมสุธี เจ้าคณะภาค 12 วนเวียนไปที่วัดเจ้าเงาะหลายต่อหลายครั้ง การที่"สมีพลชัย" เอาชื่อพระพรหมสุธีไปแอบอ้าง ข่มขู่พระผู้ใหญ่ในจังหวัดปราจีนบุรีบ่อยครั้งนั้น ไฉนพระพรหมสุธีจึงนิ่งเฉย เป็นการรู้จักกันธรรมดา ไม่มีความสนิทเป็นพิเศษจริงหรือ
สมีพลชัย
การที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ไม่เข้าไปดำเนินการเอาผิดใดๆกับ"สมีพลชัย"  โดยอาจอ้างว่า ยังไม่มีผู้เสียหายมาร้องทุกข์นั้น ในข้อเท็จจริง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้เสียหายโดยตรง ในฐานะที่เป็นตัวแทนของพุทธศาสนิกชน ก็ควรที่จะรีบดำเนินการแจ้งเอาผิด
แม้ความผิดในลักษณะดังกล่าว  เป็นความผิดเฉพาะตัวบุคคล แต่ทำให้พุทธศาสนาส่วนรวมเสียหายอย่างใหญ่หลวง การแต่งกายเลียนแบบพระก็ดี การปลอมแปลงเอกสารทางราชการก็ดี การหลอกลวงประชาชนก็ดี ยังไม่เพียงพอที่จะเอาผิด"สมีพลชัย"ได้เชียวหรือ
หรือว่า เพราะภาพถ่ายกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในทำเนียบรัฐบาล เป็นยันต์กันผีได้อย่างดี หน่วยงานราชการจึงพากันหัวหดทั้งหมด
สุดท้าย แว่วๆมาจากต่างแดนว่า "สมีคำ" ฝากถามไปยัง "ธาริต เพ็งดิษฐ์" แห่งดีเอสไอ ที่ได้ต่ออายุราชการไปอีก 1 ปีว่า  รู้จัก และเคยได้ยินชื่อ"สมีพลชัย"บ้างไหม?
เพราะมีอะไรหลายอย่างที่ดีเอสไอ อาจต้องตั้งสำนักคดีกำจัดมารศาสนาเป็นการเฉพาะ!
                                                                                                                                จารบุรุษ

ศาลรธน.รับคำร้อง ปมแก้รธน.ม.๖๘และพรบ.งบฯปี๕๗.

ที่ประชุมตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 5 ต่อ 2 รับคำร้องที่ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา กับพวก และคำร้องของนายวิรัตน์ กัลยาศิริ กับพวก ที่ขอให้วินิจฉัยตาม ม.68 ว่า นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา กับพวกรวม 310 คน กระทำการ เพื่อล้มล้างการปกครอง หรือให้ได้มาซึ่งอำนาจ ในการปกครองประเทศ โดยวิถีทางที่ไม่ได้บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 68 วรรคหนึ่ง

ส่วนคำร้อง ที่กำหนดให้คุ้มครองชั่วคราว ชะลอการลงมติวาระ 3 มีคำสั่งให้ยกคำร้อง

ศาลรัฐธรรมนูญ ยังมีมติรับคำร้องเรื่อง ที่ประธานรัฐสภาฯ ส่งความเห็นของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว. และพวก 50 คน และนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กับพวก 62 คน เข้าชื่อเสนอ ต่อประธานรัฐสภา เพื่อส่งความเห็นให้วินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 57 ม. 27 กรณี งบประมาณของ ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ป.ป.ช. ว่า ขัดหรือแย้ง ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่

และมีคำสั่งรับคำร้อง และให้ประธานกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ สำนักงบประมาณ สำนักงานศาลปกครอง สำนักงานศาลยุติธรรม และสำนักงาน ป.ป.ช. ทำคำชี้แจง เป็นหนังสือยื่นต่อ ศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 1 ต.ค. 2556 และให้ประธาน กมธ. และผู้แทนหน่วยงานทั้ง 4 มาชี้แจงต่อศาลวันที่ 2 ต.ค. นี้

ทีวีดิจิทัลยุคทอง"คอนเทนท์"

กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

โดย รัตติยา อังกุลานนท์


การเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมโทรทัศน์ไทยสู่ระบบดิจิทัล พร้อมการจัดสรรคลื่นความถี่ "ทีวีดิจิทัล" ใหม่รวม 48 ช่อง นอกจากเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการก้าวสู่การเป็น"เจ้าของ" สถานีโทรทัศน์ "ฟรีทีวีดิจิทัล" แล้ว นับเป็นยุคทองของ คอนเทนท์ โปรวายเดอร์ ด้วยเช่นกัน

กว่า 30 ปีในอุตสาหกรรมสื่อวันนี้ เจเอสแอล โกลบอล มีเดีย ก้าวสู่การเป็น 1 ใน 5 บริษัทผลิตรายการโทรทัศน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมทั้งเป็นบริษัทออแกไนเซอร์ชั้นนำสร้างสรรค์งานทุกรูปแบบทั้งระดับประเทศและต่างประเทศ และกำลังก้าวสู่เป้าหมาย Content Empire ภายใต้การบริการ "เจเนอเรชั่น 2" ของเจเอสแอล ในยุคดิจิทัล

รติวัลคุ์ ศรีมงคลกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทเจเอสแอล โกลบอล มีเดีย จำกัด กล่าวว่าการเกิดขึ้นของ "ทีวีดิจิทัล" ช่วยสร้างโอกาสให้คอนเทนท์ โปรวายเดอร์ ในการพัฒนาคอนเทนท์ที่มีความหลากหลาย จากเดิมผลิตงานเพื่อออกอากาศบนฟอร์แมทฟรีทีวี แต่ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและการเติบโตของเครือข่ายสังคมออนไลน์ ทำให้สามารถสร้างสรรค์งานได้หลากหลายในยุคนี้

"แฟลตฟอร์มที่หลากหลาย ทำให้สามารถผสานสื่อในรูปแบบต่างๆ การคิดคอนเทนท์ สนุกขึ้น และหลากหลายมุมมอง"

ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เจเอสแอล ได้พัฒนาเทคโนโลยี Transmedia ผ่านสื่อต่างๆ ทั้งออนไลน์ และโซเชียลมีเดีย เพื่อจะนำมาใช้งานกับ "คอนเทนท์" ที่สร้างสรรค์ขึ้น ซึ่งในต่างประเทศได้ใช้แนวคิด "ทรานส์มีเดีย" มาแล้วหลายปี โดยเฉพาะในสื่อภาพยนตร์ คือก่อนสร้างภาพยนตร์ จะมีการสร้างเรื่องราวในโลกโซเชียล มีเดีย เพื่อดึงผู้ชมเข้ามามีส่วนรวมกับตัวละคร ให้เกิดกระแสสนใจต่อเนื่องไปยังภาพยนตร์

เจเอสแอลกำลังพัฒนาคอนเทนท์ในรูปแบบทรานส์มีเดียผ่าน "ละคร" ที่กำลังผลิตให้กับช่อง True10 ของทรูวิชั่นส์ ซึ่งจะเป็นการผสานคอนเทนท์เข้ากับแบรนด์อย่างกลมกลืน นำเสนอผ่าน "มัลติ
แพลตฟอร์ม" ในทุก "จอ" ไม่ว่าจะเป็น มีแอพพลิเคชั่น เว็บบล็อก เว็บไซต์ และจอทีวีที่เข้าถึงผู้ชมตามไลฟ์สไตล์การเสพคอนเทนท์

ภายใต้แนวคิด "ทรานส์มีเดีย" ดังกล่าวเจเอสแอล จะนำใช้กับการสร้างสรรค์คอนเทนท์ให้กับ "ทีวีดิจิทัล" แม้เจเอสแอล จะไม่เข้าร่วมประมูลช่องรายการ แต่เชื่อว่าการเกิดขึ้นของทีวีดิจิทัล ธุรกิจ 24 ช่อง จะเป็นพื้นที่ใหม่ให้บริษัทได้นำเสนอคอนเทนท์เพิ่มขึ้น

ขณะนี้มีการพูดคุยกับพันธมิตรผู้ประมูลช่องรายการ เพื่อเป็นหนึ่งในพันธมิตรผลิตรายการป้อนช่องทีวีดิจิทัล คาดว่าจะผลิตให้กับผู้ชนะการประมูลรวม 3-4 ช่อง ช่องละ 3-4 ชั่วโมงต่อวัน โดยจะพัฒนาคอนเทนท์เพื่อนำเสนอในแต่ละช่องแตกต่างกันและในช่วงเวลาที่ไม่เหมือนกัน เพื่อตอบสนองผู้ชมในแต่ละกลุ่ม โดยมุ่งคอนเทนท์แนวถนัดในกลุ่มวาไรตี้และเอ็ดดูเทนเมนท์

ปัจจุบันเจเอสแอลและบริษัทในเครือผลิตรายการทางฟรีทีวี รวม 8 รายการ โดยกำลังอยู่ระหว่างพูดคุยกับพาร์ทเนอร์ กลุ่มคอนเทนท์โปรดิวเซอร์ เพื่อร่วมกันทำงานรองรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นอีกหลาย "เท่าตัว" ผ่านช่องทางทีวีดิจิทัล คาดว่าในปีหน้าที่ "ทีวีดิจิทัล" ธุรกิจเริ่มออนแอร์ เจเอสแอลจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการผลิตคอนเทนท์ใหม่ป้อนให้ทีวีดิจิทัล ปีแรกไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท


ในยุคทีวีดิจิทัล เจเอสแอลวางเป้าหมายองค์กรก้าวสู่การเป็น Content Empire ที่ไม่ใช่เพียงการ ผลิตคอนเทนท์รายการทีวี แต่จะผลิตคอนเทนท์ที่รองรับทุกแพลตฟอร์มทุกช่องทาง ตอบโจทย์อุตสาหกรรมสื่อยุคดิจิทัล ที่มีการเปลี่ยนแปลงและเกิดสื่อใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลาขณะที่คอนเทท์ที่ดีสามารถอยู่ได้ในทุกแพลตฟอร์ม


'เรทติ้ง'ชี้ชะตาราคาโฆษณา

งบโฆษณาผ่านการซื้อสื่อมูลค่ากว่าง"แสนล้านบาท" ต่อปี เค้กก้อนใหญ่เกือบ 60% อยู่ที่ "ฟรีทีวี" โดยมี 2 ช่องผู้นำเรทติ้งผู้ชม "ช่อง3-ช่อง7" ร่วมกันครองเม็ดเงินโฆษณาสูงสุด


มณี เอียบ กรรมการผู้จัดการ แมกน่า โกลบอล ในเครือไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ดำเนิน
ธุรกิจการซื้อสื่อโฆษณา กล่าวว่า "ทีวีดิจิทัล" จะทำให้เกิดการแข่งขันและมีตัวเลือกให้ผู้ชมและผู้ลงโฆษณาผ่านสื่อฟรีทีวีมากขึ้น จากเดิมที่มีเพียง "รายใหญ่" ก็จะมี "รายใหม่" มาเป็นทางเลือก

แต่การจะโกยเรทติ้งผู้ชมและเม็ดเงินโฆษณาไปได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของคอนเทนท์ที่สามารถดึงผู้ชม สร้างความนิยมและเรทติ้งได้หรือไม่

เชื่อว่าใน 2-3 ปีแรกทีวีดิจิทัล ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงด้านผู้ชมจาก "รายใหม่" ที่เข้ามา เพราะต้องรอการขยายการส่งสัญญาณของโครงข่าย (mux) ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ 80% ในปีที่2 อีกทั้งผู้ชมยังมีความคุ้นเคยกับช่องเดิมๆ

อย่างไรก็ตามการเกิดขึ้นของช่อง "ทีวีดาวเทียม" ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เห็นมาแล้วเช่นกัน พบว่าคอนเทนท์ที่ดีของทีวีดาวเทียม ไม่ว่าจะเป็น "อาร์เอสและแกรมมี่" สามารถเรียกเรทติ้งผู้ชมได้สูงกว่าบาง "รายการ"ทางฟรีทีวี

แสดงให้เห็นว่า "คอนเทนท์" ที่ดี มีเรทติ้งผู้ชม ทั้งลูกค้าและมีเดีย เอเยนซี่ พร้อมจะตามไปซื้อโฆษณา โดยไม่ติดยึดกับรายการใด รายการหนึ่ง หรือช่องใดช่องหนึ่ง

ขณะที่การเกิดขึ้นของทีวีดิจิทัล ธุรกิจ 24 ช่อง การกำหนด "ราคา"โฆษณา จะขึ้นอยู่กับคอนเทนท์ว่าสามารถเรียกเรทติ้งผู้ชมได้ระดับใด หากมีเรทติ้งสูง สามารถกำหนดราคาได้สูง แต่ในช่วงแรกจะไม่สามารถตั้งราคาในระดับเดียวกับ"ฟรีทีวี อนาล็อก"

อีกทั้งความแตกต่างด้านความคมชัดสูง (เอชดี) ไม่สามารถนำมาใช้เป็นปัจจัยกำหนดราคาเพิ่มขึ้นมากกว่าช่องปกติ เพราะผู้ชมไม่มองความแตกต่างของคอนเทนท์ จากระบบเอชดี เช่นเดียวกับช่อง

ทีวีดาวเทียม ที่จะเปลี่ยนแพลตฟอร์มสู่ทีวีดิจิทัล หากเป็นคอนเทนท์เดิม เชื่อว่าไม่สามารถกำหนดราคาโฆษณาได้เพิ่มจากความแตกต่างของแพลตฟอร์ม

การกำหนดราคาค่าโฆษณาของทีวีดิจิทัล "ทุกอย่างอยู่ที่ความนิยมและเรทติ้ง"