PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

'สมีพลชัย'โล้นห่มเหลือง..เกาะชายกระโปรงนายกฯกอบโกยผลประโยชน์!

'สมีพลชัย'โล้นห่มเหลือง..เกาะชายกระโปรงนายกฯกอบโกยผลประโยชน์!

มีข่าวเล็กๆ แต่เป็นเรื่องใหญ่ในพุทธศาสนาชิ้นหนึ่ง ที่สื่อหลายสำนัก ไม่ค่อยให้ความสนใจ แม้แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ก็ไม่สนใจ สำนักงานพระพุทธศานาแห่งชาติ ก็ไม่สนใจ เจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะรองทางปกครองของสงฆ์ก็ไม่ใส่ใจด้วยซ้ำ
การไม่สนใจ และไม่ใส่ใจของทั้งฝ่ายอาณาจักร และพุทธจักร อาจอนุมานได้ว่า มีภาพ ภาพหนึ่ง  ที่อาจกระทบต่อความมั่นคง กระทบต่อตัวนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ยังไม่แน่ใจ ตรงนี้ จึงขอยกไว้ก่อน
ข่าวเล็กๆแต่เป็นเรื่องใหญ่ที่ว่า เป็นเรื่องของ นายพลชัย อุ่นทรัพย์ ที่สมอ้างตัวว่าเป็น"พระมหาดร.พลชัย ถาวโร"  ทั้งที่นายพลชัย เมื่อครั้งเป็นพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร เจ้าอาวาสวัดท่าช้าง ในอ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ถูกตำรวจกองปราบปรามจับกุมในชุดนายทหารยศ"พันเอก" ขณะขับรถพาสีกาสาวไปเสพสุขที่บ้านพักย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี ในเดือนตุลาคมปี 2543
เมื่อครั้งถูกตำรวจกองปราบจับขณะสวมชุดทหาร จนเป็นข่าวใหญ่โต
หลังจากต้องอาบัติปาราชิกในครั้งนั้นแล้ว เวลาผ่านไป 10 ปี นายวันชัย ไปเปลี่ยนชื่อเป็น"พลชัย" และกลับมาบวชใหม่เมื่อปี 2553 พร้อมกับใช้ชื่อ "พระมหาดร.พลชัย ถาวโร" แล้วระเห็ดตัวเองไปอยู่ ที่วัดสันติวิเศษสุข หรือวัดเจ้าเงาะ ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ซึ่งในปี 2554 หลวงพ่อผู้ก่อตั้งวัดเจ้าเงาะได้มรณภาพลง  นายพลชัย พยายามที่จะขอเป็นอาอาวาสให้ได้
เรื่องนี้ พระราชภัทรธาดา เจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี บอกว่า นายพลชัย พยายามจะให้คณะสงฆ์จังหวัดปราจีนบุรีรับเข้าเป็นพระในสังกัด และแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดสันติวิเศษสุข โดยมอบหมายให้ทนายความไปยื่นคำขอร้องต่อศาล ให้แต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส และเป็นผู้จัดการมรดกของอดีตเจ้าอาวาสวัดเจ้าเงาะ ซึ่งทางคณะสงฆ์กำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่ว่า จะดำเนินการกันอย่างไรต่อไป เนื่องจากทราบว่า นายพลชัย เคยถูกจับสึก ฐานอาบัติปาราชิกมาก่อน เรื่องการจะแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะยังไม่มีการรับนายพลชัย เข้าเป็นพระในสังกัดวัดเจ้าเงาะ ?
"สมีพลชัย" แปลงศรัทธาเป็นเม็ดเงิน จากการจัดรายการวิทยุ โดยใช้ชื่อรายการ"ธุดงค์วัตร" ซึ่งสถานีวิทยุดังกล่าวล้วนเป็นสถานีวิทยุสังกัด ของทหาร ประกอบด้วย
สถานีวิทยุยานเเกราะ AM 540 กรุงเทพฯ
สถานีวิทยุสวนมิสกวัน AM 1053 กรุงเทพฯ
สถานีวิทยุเสียงจากค่ายจักรพงษ์ AM 855 ปราจีนบุรี
สถานีวิทยุกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ปราจีนบุรี
ทั้ง 4 สถานีต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 190,000 บาท/เดือน
สมีพลชัย ออกสังคม นั่งฉันอาหารกับพระผู้ใหญ่อย่างไม่สะทกสะท้าน  โดยที่ทั้งพระผู้ใหญ่ก็ดี สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ดี ไม่สามารถทำอะไรได้  ซ้ำมีข่าวว่า เดินเข้าออกทำเนียบรัฐบาลเป็นว่าเล่น
25 มิ.ย.2556 "สมีพลชัย" ได้เป็นตัวแทนคณะสงฆ์ประเทศไทย พร้อมผู้นำเครือข่ายองค์กรชาวนา และภาคประชาสังคมไปนั่งร่วมแถลงข่าวที่ตึกนารีสโสมร ทำเนียบรัฐบาล ในโครงการเจริญพระพุทธมนต์เพื่อสร้างความสมานฉันท์ และเป็นสิริมงคลแก่ประเทศไทย
นั่งแถลงข่าวในทำเนียบ
นอกจากนี้ ในช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้ากราบนัมสการสมเด็จพระสังฆราชแห่งประเทศศรีลังกา "สมีพลชัย" ก็นั่งอยู่ในที่นั้นด้วย โดยภาพดังกล่าว "สมีพลชัย" นำไปใส่กรอบ ตั้งโชว์ไว้ภายในวัดเจ้าเงาะ เพื่อให้ผู้ที่มาทำบุญได้เห็นถึงบารมีของตนเอง!
สมีพลชัยนำรูปถ่ายที่มีน.ส.ยิ่งลักษณ์ใส่กรอบไว้อวดบารมี
มีการขุดคุ้ยว่า การที่"สมีพลชัย" ใช้คำนำหน้าว่า พระมหา และด็อกเตอร์นั้น ไม่เคยสอบได้เปรียญธรรม และจบปริญญาเอกจากที่ไหนมาก่อน จึงเป็นการแอบอ้างทั้งสิ้น รวมทั้ง ยังมีการปลอมแปลงหนังสือสุทธิ หรือบัตรประจำตัวพระถึง 2 เล่ม อันเป็นการปลอมแปลงเอกสารทางราชการ ซึ่งผิดกฏหมายชัดเจน
ปัจจุบัน "สมีพลชัย" พยายามที่จะฮุบสมบัติของวัดเจ้าเงาะ โดยเฉพาะที่ดินของวัดซึ่งมีประมาณ 100 ไร่ ถึงขนาดแต่งตั้งทนายความฟ้องร้อง ทั้งการฟ้องขอให้แต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส และเป็นผู้จัดการมรดกของอดีตเจ้าอาวาสวัดเจ้าเงาะที่ดินที่จัดตั้งวัดจริงๆมีประมาณ 9 ไร่ ส่วนที่เหลือ อดีตเจ้าอาวาส ต้องการให้เป็นสถานปฏิบัติธรรมทางพุทธศาสนา
เรื่องนี้ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ออกมาระบุชัดเจนแล้วว่า  ทรัพย์สินต่างๆของอดีตเจ้าอาวาส ต้องตกเป็นของวัดทั้งหมด ไม่สามารถนำทรัพย์สินไปเป็นของส่วนตัวได้ ส่วนการจะได้เป็นเจ้าอาวาสได้หรือไม่นั้น เป็นอำนาจของเจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี
ขณะที่พระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) รักษาการเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะภาค 12 นั้น ออกมาแก้ต่างว่า การที่"สมีพลชัย" อ้างว่าสนิทสนมด้วยนั้น เป็นการรู้จักแบบรู้จักคนทั่วๆ ไป ไม่มีความสนิทเป็นพิเศษ
พฤติกรรมของ"สมีพลชัย"นั้น ถือเป็นความสามารถเฉพาะตัว เฉพาะบุคคล ที่นำศรัทธามาแปลงเป็น"เงิน" ไม่ต่างกับบรรดาอลัชชีชื่อกระฉ่อนทั้งหลายที่ผ่านมา
สิ่งที่สำคัญคือ การที่พระพรหมสุธี เจ้าคณะภาค 12 วนเวียนไปที่วัดเจ้าเงาะหลายต่อหลายครั้ง การที่"สมีพลชัย" เอาชื่อพระพรหมสุธีไปแอบอ้าง ข่มขู่พระผู้ใหญ่ในจังหวัดปราจีนบุรีบ่อยครั้งนั้น ไฉนพระพรหมสุธีจึงนิ่งเฉย เป็นการรู้จักกันธรรมดา ไม่มีความสนิทเป็นพิเศษจริงหรือ
สมีพลชัย
การที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ไม่เข้าไปดำเนินการเอาผิดใดๆกับ"สมีพลชัย"  โดยอาจอ้างว่า ยังไม่มีผู้เสียหายมาร้องทุกข์นั้น ในข้อเท็จจริง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้เสียหายโดยตรง ในฐานะที่เป็นตัวแทนของพุทธศาสนิกชน ก็ควรที่จะรีบดำเนินการแจ้งเอาผิด
แม้ความผิดในลักษณะดังกล่าว  เป็นความผิดเฉพาะตัวบุคคล แต่ทำให้พุทธศาสนาส่วนรวมเสียหายอย่างใหญ่หลวง การแต่งกายเลียนแบบพระก็ดี การปลอมแปลงเอกสารทางราชการก็ดี การหลอกลวงประชาชนก็ดี ยังไม่เพียงพอที่จะเอาผิด"สมีพลชัย"ได้เชียวหรือ
หรือว่า เพราะภาพถ่ายกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในทำเนียบรัฐบาล เป็นยันต์กันผีได้อย่างดี หน่วยงานราชการจึงพากันหัวหดทั้งหมด
สุดท้าย แว่วๆมาจากต่างแดนว่า "สมีคำ" ฝากถามไปยัง "ธาริต เพ็งดิษฐ์" แห่งดีเอสไอ ที่ได้ต่ออายุราชการไปอีก 1 ปีว่า  รู้จัก และเคยได้ยินชื่อ"สมีพลชัย"บ้างไหม?
เพราะมีอะไรหลายอย่างที่ดีเอสไอ อาจต้องตั้งสำนักคดีกำจัดมารศาสนาเป็นการเฉพาะ!
                                                                                                                                จารบุรุษ

ไม่มีความคิดเห็น: