PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

"เราเขื่อว่า ความดี จะทำให้โด่งประสบผลดี นะ เราไม่เชื่อว่า โด่งเป็นคนแบบนั้น

"เราเขื่อว่า ความดี จะทำให้โด่งประสบผลดี นะ เราไม่เชื่อว่า โด่งเป็นคนแบบนั้น เราเชื่อว่าโด่ง เป็นคนดี" พลเอกเปรม 30ธค.2558
ป๋าเปรม พลเอก เปรมให้กำลังใจ บิ๊กโด่ง ต่อหน้านายกฯ เรื่อง"ราชภักดิ์"เชื่อความดีจะคุ้มครอง เรามั่นใจว่าโด่ง ไม่ใช่คนแบบนั้น โด่งเป็นคนดี ในระหว่างเดินทักทาย ครม.-คสช. หลังนายกฯนำแถวอวยพรปีใหม่
"เราเขื่อว่า ความดี จะทำให้โด่งประสบผลดี นะ เราไม่เชื่อว่า โด่งเป็นคนแบบนั้น เราเชื่อว่าโด่ง เป็นคนดี" พลเอกเปรม กล่าว
ด้าน พลเอกอุดมเดช รมช.กห. ยิ้มแป้น หลัง ป๋าเปรม มั่นใจ บิ๊กโด่ง ไม่ผิด...
"บอกเรื่องที่เกิดนี่เรื่องเล็กน้อย โครงการมีปัญหาเลยต้องตรวจสอบ เขาไม่ได้ว่า ผมผิด" พลออกอุดมเดช กล่าว

พล.อ.ประวิตร" ลั่น อดทน เหนื่อยเพื่อชาติ และช่วยนายกฯต่อ ปลุก ทหาร-ตร. ช่วยนายกฯ



พล.อ.ประวิตร" ลั่น อดทน เหนื่อยเพื่อชาติ และช่วยนายกฯต่อ ปลุก ทหาร-ตร. ช่วยนายกฯ ชี้ ปี 2559 เป็น ปีแห่งความหวังของ รัฐบาล /"บิ๊กโด่ง"นำ ปลัดกห.ผบสส.ผบ.เหล่าทัพ ผบตร. ตบเท้าอวยพรปีใหม่ "พล.อ.ประวิตร" ชี้ ปี 2559 เป็น ปีแห่งความหวังของ รัฐบาล ด้าน บิ๊กตู่ ก็มา นำ รมต.อดีตทหาร อวยพร พี่ป้อม บอกอย่าท้อกับคำต่อว่า เพราะคนไม่เข้าใจ
เมื่อเวลา 07.00 น.ที่มูลนิธิป่ารอยต่อ5จังหวัด ในกรมทหารราบที่1มหาดเล็กรักษาพระองค์
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมว.กลาโหม นำ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.สมหมาย เกาฏีระผู้บัญชากานทหารสูงสุด พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.ณะ อรีนิจ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง ผู้บัญชาการทหารอากาศ และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และบิ๊กๆทหารและตำรวจระดับสูง และผบ.หน่วย ทั้งใน พล.1รอ. พล.ร.2รอ.และ พล.ร.9 เข้าร่วมอวยพร พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม
พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า พวกเรารู้สึกทราบซึ้งที่ท่านกรุณาให้เข้ามาอวยพรและขอรับพรจากท่านเพื่อความเป็นสิริมงคงและเป็นการแสดงออกถึงคงามกตัญญูกตเวทิตา เคารพรักท่านเนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2559
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ท่านเป็นผู้ที่มีเกียรติประวัติที่ดีงาม ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ อุทิศตนเพื่อกระทรวงกลาโหมและประเทศชาติ รวมถึงการทำคุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวง เป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีสนองพระเดชพระคุณ รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทตลอดมา
ตลอดจนเป็นผู้ที่มีความเมตตากรุณาต่อผู้ใต้บังคับบัญชาทุกลำดับชั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น"ต้นแบบ"ที่ดีงามที่ให้พวกกระผมได้ยึดถือและปฏิบัติตามอย่างต่อเนื่องและจารึกในจิตใจของพวกกระผมทุกคน
ในโอกาสอันเป็นมงคงเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2559 ที่จะได้เวียนมาบรรจบครบอีกครั้ง ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและสิงศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ตลอดจนเดชะพระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และอนุภาพความดีงามที่ท่านได้กระทำไว้ ดลบันดาลพระราชทานพรให้ท่านและครอบครัวประสบความสุขและมีสุขภาพ พลานามัย สมบูรณ์แข็งแรง สมหวังในสิ่งที่ปราถนาทุกประการตลอดไป และในโอกาสนี้ขอรับพรจากท่านเพื่อความเป็นศิริมงคลและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขอขอบคุณทุกท่านที่กรุณามาอวยพรปีใหม่ตน โดยปีใหม่ปีนี้เป็นปีความหวังของคณะรัฐมนตรีและ รัฐบาล
"โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ที่พวกเราทุกคนต้องร่วมทำงานเพื่อให้ประสพความสำเร็จในสิ่งที่คนไทยทุกคนหวัง ให้ประเทศเดินไปได้และเกิดความรุ่งโรจน์ตามความหวังของนายกรัฐมนตรี "
"นายกรัฐมนตรี ได้เสียสละมาโดยตลอดระยะเวลาที่เข้ามาควบคุมอำนาจวันที่ 22 พ.ค.57ก็ได้พวกท่านทุกได้ร่วมมือกันทำให้กับประเทศของเรา
และที่ผมทำงานจนถึงวันนี้ซึ่งอายุก็มากแล้ว ก็ทำให้กับประเทศและประชาชนทุกคน พวกเราก็เช่นเดียวกันที่เหน็ดเหนื่อยตลอดระบะเวลาที่ผ่านมานั้น เป็นสิ่งที่หายากที่เรารวมใจได้อย่างนี้และทำให้ประเทศของเรามีความสงบสุข ลดความขัดแย้ง ความเหลื่อมล้ำ ซึ่งก็ยังไม่สำเร็จ
แต่ท่านนายกรัฐมนตรีมีความหวังว่าพวกท่านทุกคน ข้าราชการ ประชาชน จะต้องช่วยกันในปี2559 ตลอดไป เพื่อให้ประเทศของเรามีเป็นหนึ่งในอาเซียนเกิดความมั่นคงและมั่นคั่งและมีความยั่งยืนตลอดไป
ก็ขอขอบคุณทุกคนที่มาอวยพรในวันนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นกำลังใจให้ตนอดทนเพื่อทำงานให้กับส่วนรวม ประเทศชาติ และประชาชน
ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ที่รัฐมนตรีช่วยว่สการกระทรวงกลาโหมได้อวยพร ตนจะเก็บพรนั้นไว้ในตัวเพื่อเป็นความภาคภูมิใจว่าจะต้องทำงานให้กับส่วนรวม
ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่นี้ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก โดยเฉพาะพระเดชะบารมีอันแผ่ไพรศาลขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้โปรดดลบันดาลและพระราชทานพรให้ทึกท่านจงประสบความสำเร็จทุกสิ่งทุกอย่างที่ปราถนาและสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์ เป็นกำลังของประเทศชาติ เพื่อทำให้ประเทศของเราเจริญรุ่งเรื่อง ปลอดภัยจากภยันอันตรายประสบความสุขปี 2559 ตลอดไป
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรัฐมนตรีที่เป็นอดีตทหาร ประกอบด้วยพ.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, พล.อ.ดาว์พงษ์รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และ พล.อ.สุรศักดิ์กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าอวยพรปีใหม่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เข้าพูดคุยภายในห้องส่วนตัวระหว่างพล.อ.ประวิตร,พล.อ.อุดมเดช สีตบุตรรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
นายกฯ ให้สัมภาษณ์ว่า ได้อวยพรให้ พล.อ.ประวิตร มีสุขภาพแข็งแรง มีกำลังใจ1ทำงาน
"อย่าท้อแท้ต่อคำต่อว่าของคนที่ไม่เข้าใจ เพราะได้ทำดีที่สุดแล้ว อย่าไปเสียอารมณ์กับเรื่องนี้มากนัก เพราะไม่เกิดประโยชน์" นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรี ต้องการกำลังใจอะไรในการทำงานปีหน้าหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนได้กำลังใจอยู่แล้ว มากบ้างน้อยบ้างก็ไม่เป็นไร เป็นกำลังใจที่ให้ทั้งคณะ
"ขอฝากด้วยว่าประเทศชาติอยู่ในกำมือทุกคน ไม่ใช่ของผมคนเดียว หรือว่าอยู่ที่รองนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เพราะทั้งหมดคือทีมงาน ที่ต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อประเทศชาติ และประชาชนคนไทย ถึงจะมีการพัฒนา มีการปฏิรูป และการทำงานต่างๆทั้งหมดเพราะฉะนั้นสื่อก็ต้องช่วยดูแล สมาคมสื่อก็ต้องรับผิดชอบมากขึ้น " นายกฯ กล่าว
"ผมไม่ได้ต้องการอะไรกับใครอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าสถานการณ์ขณะนี้ควรจะทำให้บ้านเมืองมีเสถียรภาพได้อย่างไร" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
/////
Sent from my iPhone

"พล.อ.เปรม" หนุน นายกฯ นำแก้ปัญหาชาติ เข้มแข็ง อยู่แล้ว ยันพวกเราไม่ได้มาเพื่ออำนาจ แต่เพื่อชาติ

"พล.อ.เปรม" หนุน นายกฯ นำแก้ปัญหาชาติ เข้มแข็ง อยู่แล้ว ยันพวกเราไม่ได้มาเพื่ออำนาจ แต่เพื่อชาติ ยันพร้อมช่วยทุกทาง ขอความดีเป็นเกราะกำบัง บอก คนเข้าใจผิดคิดใหม่ /ป๋า เปิดบ้านสี่เสาเทเวศ์ ให้ "บิ๊กตู่"นำ ครม.-เหล่าทัพ-ตร. ตบเท้าขอรับพรและอวยพรวันปีใหม่ ระบุ ให้นำความรัก บริหารประเทศ-หน่วยงาน แสดงให้เห็นความสามัคคี ชี้ ประชาชนฝากความหวัง เชื่อ นายกฯ เข้มแข็ง-สู้ ไม่ถอย และความดีเป็นเกราะกำบัง บอก คนเข้าใจผิดคิดใหม่
เมื่อเวลา 09.00 น.ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เปิดบ้านสี่เสาเทเวศร์ให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ควช. ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจ ตลอดจนข้าราชการทหารและตำรวจเข้าขอรับพรและอวยพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนและคณะถือโอกาสอันเป็นสิริมงคลนี้ ขออำนวยพรแด่ท่านพร้อมแสดงมุทิตาจิต ซึ่งพวกกระผมตระหนักดีว่า ท่านเป็นผู้ที่มีคุนูประการต่อประเทศชาติ ในความเป็นผู้นำและมีความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ พร้อมทั้งการถวายความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหกษัตริย์มาโดยตลอด ทั้งนี้เกียรติประวัติอันดีงามของท่านจะยึดถือเป็นแนวทางในการบริหารราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีความรักความสามัคคีเพื่อนำพาประเทศชาติให้ก้าวหน้ามั่นคง ยั่งยืน
ขณะที่ พล.อ.เปรม กล่าวว่า ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่พา ครม. ทหาร 3เหล่าทัพ และตำรวจมาพบกันในวันนี้ ตนมีความภูมิใจมากที่ได้พบกับพวกเรา เพราะปีหนึ่งจะพบกันไม่กี่ครั้ง
"ดังนั้นการพบกันในครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่ตนปรารถนามากที่สุด เพราะวิญญาณ จิตใจในร่างกายของผม ความเป็นทหารยังคงอยู่และขออาศัยอยู่ต่อไปจนตลอดชีวิต"
"ขอขอบคุณนายกฯที่ไม่ลืมกัน ยังมีความเป็นเพื่อน เป็นมิตร เป็นพี่น้องกัน
สิ่งหนึ่งที่นายกฯเคยพูดถึง คือเรื่องความรัก ความสามัคคี ซึ่งเป็นกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เมื่อ 7-8ปีที่แล้ว พระองค์ท่านทรงรับสั่งเรื่องความรู้รักสามัคคี ซึ่งตนคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเราไม่เข้าใจและไม่นำไปใช้ก็จะเป็นที่น่าเสียดาย
พล.อ.เปรม กล่าวว่า ฉะนั้นเราต้องเข้าใจว่าพระองค์ท่านทรงหมายถึงว่า เราต้องรู้จักนำความรักไปใช้ในการบริหารประเทศของนายกฯและในการบริหารกองทัพต่างๆของ ผู้บัญชาการสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และเราต้องเข้าใจความสามัคคีและนำเอาความสามัคคีไปใช้ในการบริหารประเทศร่วมถึงหน่วยงานของเราอย่างที่ท่านนายกฯกำลังทำอยู่ในขณะนี้
"ผมเข้าใจดีว่าพวกเราคงเหนื่อยกันมากๆแต่ที่พูดกันเสมอว่า ถ้าเราเหนื่อยแล้วคนไทยมีความสุข ไม่มีความทุกข์ ถ้ามีก็มีน้อย แต่ด้วยฝืมือของเรา ตามความปรารถนาที่นายกฯกำลังทำ
สิ่งเหล่านี้ผมคิดว่าเราจะต้องนำเอาเรื่องความรัก รักผู้ใต้บังคับบัญชา ความรักประชาชน รักทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของชาติบ้านเมืองของเรา เราจะต้องแสดงความสามัคคีให้ทุกคนเห็นว่า ทั้งกองทัพและ สตช.มีแต่เรื่องความรักความสามัคคีทั้งนั้น ไม่มีสิ่งอื่นเข้ามาเจือปน
ผมก็ดีใจที่เห็นนายกฯและเห็นพวกเราสละความสุขส่วนตัวเพื่อความสุขของพี่น้องประชาชนในชาติบ้านเมืองของเรา
"เห็นชัดเจนว่าเมื่อครู่นี้ผมถามนายกฯ เช้านี้อารมณ์ดีไหม นายกฯบอกว่า เช้าๆผมก็อารมณ์ดี แต่พอสายๆไปอารมณ์เริ่มขุ่นมัว ผมคิดว่าก็ไม่เป็นไร เพราะนายกฯท่านเป็นคนเข้มแข็งอยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นคนสู้ไม่ถอย เพราะฉะนั้นจึงเป็นตัวอย่างที่ดี "พล.อ.เปรม กล่าว
พล.อ.เปรม กล่าวอีกว่า เมื่อครู่นี้ตนพูดถึงการรู้รัก สามัคคี อันนี้เราต้องทำเป็นตัวอย่างให้คนเห็นว่าในหมู่ของพวกเรา เรารักกันจริงๆ เราสามัคคีกันจริงๆซึ่งทุกคนเริ่มต้นได้ที่ตัวเอง เริ่มต้นได้ที่หน่วยของตัวเอง ไล่มาตั้งแต่ ผู้บังคับหน่วย ผู้บังคับกองพัน ผู้บังคับการกรม ว่าเรารักหน่วยของเรา รักผู้บังคับบัญชาของเรา
"รักชาติบ้านเมืองของเรา เราต้องเริ่มด้วยตัวเรา เพื่อให้เห็นว่า คนดีอย่างที่ตนกำลังทำอยู่นี้ คนดีอย่างที่นายกฯกำลังทำอยู่ ถ้าทำได้อย่างนี้ ผมคิดว่าเราจะมั่นคง แข็งแรงและช่วยประคองความทุกข์ยากของประชาชนในประเทศได้ เพราะประชาชนฝากความหวังไว้กับนายกฯ กองทัพบก กอทัพเรือ กองทัพอากาศ สตช.ซึ่งเขาฝากทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับพวกเรา
ดังนั้นเราต้องรับสิ่งนี้และทำ ไม่ว่าจะยากมาก แต่ก็ต้องทำให้ได้ เพราะว่านี่เป็นสิ่งเดียวที่เราจะทำให้เขาเห็นว่ากองทัพที่เขาจัดสรรงบประมาณมาให้เรา เราได้ใช้เพื่อช่วยชาติ บ้านเมือง และประชาชนอย่างจริงๆและแสดงให้เห็นว่าเรารักพวกเขาจริงๆเพื่อให้พวกเขามีความสุขสบาย
"พวกเราไม่ได้เข้ามาเพื่อหวังอำนาจ แต่เข้ามาเพื่อชาติ บ้านเมือง และประชาชนของเรา "
ทั้งนี้ผมคงจะช่วยพวกท่านได้ไม่มากนัก เพราะอายุมากแล้วแต่จะช่วยคิดและให้กำลังใจ ให้ความรู้ได้บ้างพอสมควร
อีกทั้งผมเป็นเพื่อนพวกท่านทั้งหลาย ถ้ามีสิ่งใดที่จะช่วยพวกท่านได้ก็พร้อมที่จะช่วยด้วยความเป็นเพื่อน เป็นมิตร และความสามัคคี
ขอจบด้วยคำว่า ความดีคือเกราะกำบังก็ขอให้ทำความดี ซึ่งความดีเป็นเกราะป้องกันไม่ให้มาทำอันตรายกับเราได้ ถ้าทุกคนทำความดีทุกวัน ก็จะเป็นเกราะที่แข็งแรง และจะช่วยให้เราพบความสำเร็จ มีใจชื่นบานในการช่วยเหลือคนอื่น "พล.อ.เปรม กล่าว
พล.อ.เปรม กล่าวว่า ตนขอขอบคุณนายกฯและทุกคน และคำอวยพรที่นายกฯให้กับตน ก็ขอให้ย้อนกลับไปหาพวกเราทุกคน และขอความปราถนาอันดีให้คนที่ไม่ได้มาด้วย หวังว่านายกฯนำพาประเทศของเราหายจากความยากจน มีความพอมีพอกิน มีความสุขตามที่สิ่งต่างๆจะทำได้ ขออวยพรให้ทุกคนประสพความสำเร็จ ขอให้คนที่เข้าใจ ผิดควรเข้าใจให้ถูกว่าพวกเรากำลังทำอะไรกันอยู่ ให้นายกฯและพวกเราประสบแต่ความดี ขอให้ความดีเป็นเกราะป้องกันให้ปลอดภัย ขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่นานกฯตั้งใจทำงานก็มีแต่ความสำเร็จในไม่ช้านี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้น พล.อ.เปรม ได้เข้ามาทักทาย ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ เดินแนะนำพร้อมทั้งอธิบายถึงภาระหน้าที่ ก่อนที่ พล.อ.เปรม เดินเข้ามาทักทาย พล.อ.อุดมเดช พร้อมพูดว่า "เชื่อว่าความดีจะทำให้โด่งประสบผลดี เราเชื่อว่าโด่งไม่ใช่คนแบบนั้น เชื่อว่าโด่งเป็นคนดี"
จากนั้น พล.อ.เปรม ได้ยืนพูดคุยกับคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย นายวิษณุ เครืองาม พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล พล.อ.สุรเชรษฐ ชัยวงศ์ พล.อ.ประจิน จั่นตอง
พลเอกเปรม คุย กับนายกณ เรื่อง อ้านกรังสือพ่มพ์ แล้วอามมณ์เสีย ทำยังไง นายกฯติบว่า จะไม่ให้มีหนังสือพิมพ์ ก็ไม่ได้ พ

กลาโหม แถลง ไม่มีหน้าที่ชี้ ใครทุจริต เพราะอำนาจหน้าที่มีแค่นั้น

กลาโหม แถลง ไม่มีหน้าที่ชี้ ใครทุจริต เพราะอำนาจหน้าที่มีแค่นั้น ระบุ สอบ23บุคคล มีบางคนไม่อาจตามตัวได้ รวมทั้งเซียนพระ ผู้กว้างขวาง เผยเอกสารคู่สัญญาโรงหล่อ พบ มี"ค่าที่ปรึกษา"20ล้าน มาเป็นเงินบริจาค จากเซียนพระ แต่ ไม่อาจตามตัวคนมาชี้แจงได้/ แต่ สรุปผล และทำ"ข้อสังเกตุ"เสนอ รมว.กลาโหม 16 หน้า ติงไม่ทำตามระเบียบฯ เริ่อง การรับเงินบริจาค การจัดจ้าง เพราะเร่งรัดการดำเนินการ / พลเอกชัยชาญ"ยัน กก.ไม่ได้ช่วยเหลือ “พลเอกอุดมเดช” เพราะมี กก.ส่วนอื่นสอบต่อ ยันไม่เกี่ยว บิ๊กโด่ง จะแสดงสปิริตลาออก หรือไม่ ชี้ 2 นายทหารใกล้ชิด ที่หนีไป เพราะคดีอื่น ไม่เกี่ยวข้อง ราชภักดิ์ พร้อมให้ข้อมูลหน่วยงานที่รับผิดด้านกฎหมายไปตรวจสอบต่อ/แจงตัวเลข รายรับ-จ่าย อุทยานราชภักดิ์ ละเอียด เงินบริจาค802 ล้าน รวมงบกลาง เป็น866 ล้าน ใช้ไป816 ล้าน ส่วนมูลนิธิ มี106 ล้าน เงินในบัญชีออุทยานฯ ทบ.มี76 ล้าน
ระบุ เอกสารหลักฐานถูกต้อง /เรืองไกร" มาฟัง พอใจ กก.กห.แจงตัวเลข งบฯเคลียร์ แต่ห่วง การไม่ทำตามระเบียบ เพราะเร่งรีบ/ เข้าใจ ขอบเขตอำนาจ กก.กห. มีแค่นี้ รอผลสอบ ของ "พลเอกไพบูลย์"
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 30 ธันวาคม ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการดำเนินการโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ พร้อมด้วย พล.ต.พนมเทพ เวสารัชชนันท์ ผู้ช่วยเจ้ากรมพระธรรมนูญ
พล.ต.กิตติศักดิ์ บุญสุข ผู้ชำนาญการ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะคณะกรรมการฯ ร่วมแถลงข่าว
โดยมีเจ้าหน้าที่จากสำนักตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ฝ่ายกฎหมาย พรรคเพื่อไทย และตัวแทนองค์กรต่อต้านคอรัปชั่น เข้าร่วมรับฟังการแถลงด้วย
พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า ในกรอบอำนาจหน้าที่ได้มีการดำเนินการ โดย รมว.กลาโหม ได้แต่งตั้ง เพื่อให้สื่อได้เข้าใจ โดยมีตนเป็นประธาน และมีคณะกรรมการอีก 8 ท่าน และ มีเลขา และ คณะกรรมการ คณะกรรมการกล่าวว่าไม่มีอำนาจหน้าที่กฎหมายไปแสวงข้อเท็จจริง เพียงแสวงหาข้อเท็จจริงตามเอกสารครอบครอง ไม่เหมือนกับหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าตามกรอบกฎหมาย
"คณะกรรมการไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายใด ๆ ที่จะไปแสวงหาข้อเท็จจริงได้อย่างกว้างขาง เพียงแต่ดำเนินการตามคำสั่งของกลาโหม ในการแสวงหาข้อเท็จจริงจากบุคคล และเอกสารต่าง ๆ ที่อยู่ในความครอบครองของบุคคลในกลาโหมเท่านั้น "
"ไม่เหมือนกับหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบตามกฎหมาย ซึ่งอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้คือ การรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง จากส่วนราชการ หรือบุคคล ตลอดเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำ ตามคำสั่งของกลาโหม เพื่อสอบหาข้อเท็จจริงในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์
พร้อมสรุปสำนวนความเห็น และรายงานผล จำนวน16 หน้า ให้ ะลเอกประวิตร รมว.กลาโหม ได้รับทราบ
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการต่างๆ คณะกรรมการพยายามอย่างถึงที่สุด ที่จะแสวงหาข้อเท็จจริงในประเด็นต่าง ๆ โดยได้ขอความร่วมมือจากหน่วยงาน และบุคคล มาให้ข้อเท็จจริงทั้งส้ิน 23 คน พร้อมหลักฐานอีกจำนวนมาก
พล.อ.ชัยชาญ กล่าวต่อว่า สำหรับการตรวจสอบในเรื่องเอกสาร เนื่องจากว่ามีเอกสารทั้งเรื่องการเงิน จำนวนมาก ซึ่งทางคณะกรรมการได้ตรวจสอบเอกสารตามบัญชีตามรายรับ และรายจ่าย ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. 2558 ซึ่งเป็นวันตัดยอดสรุปรายเดือน และในเดือน ธ.ค.ก็จะสรุปในปลายเดือนนี้ พร้อมทั้งได้รับเอกจากผู้ที่เกี่ยวข้องจนถึงวันที่ 24 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นวันที่คณะกรรมการสรุปสำนวนการสอบข้อเท็จจริง สำหรับภาพรวมของโครงการราชภักดิ์กำหนดไว้ 10 เดือน ตั้งแต่ พ.ย. ถึง ส.ค. ทั้งการสร้างหล่อพระบรมรูป 7 พระองค์ การสนามหญ้าภูมิทัศน์ และ ห้องพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์
สำหรับการใช้จ่ายงบประมาณ ในการก่อสร้างส่วนที่หนึ่ง ประกอบด้วยสองส่วน คือ งบกลาง จำนวนกว่า 63 ล้านบาท ใช้ในงานก่อสร้าง 5 งาน ซึ่งเป็นงานก่อสร้างรอบ ๆ พระบรมรูปฯ คือ งานติดตั้งหินอ่อน จำนวน 11.9 ล้านบาทเศษ งานปูพื้น 34.9 ล้านบาท ป้ายอุทยาน 5 ล้านบาทเศษ รปภ. 2 ล้านบาท และ การก่อสร้างรั้วโดยรวม 9 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดหา
ส่วนงบบริจาค ประกอบด้วยรายรับ จากภาครัฐ เอกชน และการจัดกิจการ ไบค์ แอนด์คอนเสริต์แทนคุณแผ่นดิน เข้ากองทุนสวัสดิการราชภักดิ จนถึง 30 พ.ย. รวมดอกเบี้ย เป็นเงิน 732 ล้านบาทเศษ และมีส่ิงขอต่าง ๆ ที่ได้รับการบริจาคสามารถตีเป็นค่าเงินได้ 69 ล้านบาทเศษ รวมรายรับจากการบริจาคแล้ว ทั้งหมด 802 ล้านบาทเศษ
สำหรับรายจ่าย ได้นำไปใช้ในการก่อสร้างตามโครงการ ตามแผน 27 งาน จำนวน 752 ล้านบาทเศษ เช่น การหล่อพระบรมรูปฯ พร้อมพานพุ่มคู่ จำนวน 318 ล้านบาทเศษ การปูหญ้า งานระบายน้ำ การปรับพื้นที่ รวมแล้วเป็นเงิน 752 ล้านบาทเศษ สรุปยอดเงินในวันที่ 30 พ.ย.2558 รายรับจาก งบกลาง และ งบบริจาค รวม 866 ล้านบาทเศษ และใช้ดำเนินการไปแล้ว และอยู่ในระหว่างการดำเนินการตามแผน จำนวน 816 ล้านบาทเศษ
ส่วนที่สองเป็นงบประมาณก่อสร้าง และปรับพื้นที่ รร.นายสิบทหารบก จำนวน 149 ล้านบาทเศษ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามแผนงานของ ทบ.ใน ปี 2558 เพื่อใช้ปรับปรุงสาธารณูปโภค และการปรับปรุงพื้นที่ รร.นายสิบทหารบก ใช้ในการก่อสร้างจำนวน 11 งาน งานปรับปรุงรั้ว ส่วนที่ 1 และ 2 จำนวน 28 ล้านบาทเศษ ระบบประปา 11 ล้านบาทเศษ ในส่วนที่สาม เป็นงบบริจาคที่เข้าไปในมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ จำนวน 106 ล้านบาทเศษ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการใช้จ่ายงบประมาณตรงนี้
พล.อ.ชัยชาญ กล่าวอีกว่า สำหรับงบประมาณนั้น ทางคณะกรรมการได้เห็นว่า การใช้จ่ายงบกลาง และ งบประมาณของกองทัพบก ในการก่อสร้าง และปรับปรุงพื้นที่ รร.นายสิบทหารบก นั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พศ. 2535 และระเบียบคำสั่งของกองทัพบกที่เกี่ยวข้อง ส่วนงบบริจาค ในบัญชีชื่อกองทุน สวัสดิการอุทยานราชภักดิ์นั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการสวัสดิการกองทัพบก ว่าด้วยอุทยานราชภักดิ์ พศ. 2558 และระเบียบการบริหารอุทยานราชภักดิ์ ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง พศ. 2558
"จากการพิจารณาตรวจสอบพิจารณาได้ว่า การใช้จ่ายงบประมาณ เป็นการดำเนินการตามระเบียบที่ได้กล่าวเอาไว้ ซึ่งทราบว่าคณะนี้ทาง สตง. อยู่ระหว่าง การตรวจสอบ งบประมาณตามโครงการนี้อยู่ "
พล.อ.ชัยชาญ กล่าวต่อว่า การจัดกิจกรรมราชภักดิ์ไบร์แอนคอนเสิร์ท แทนคุณแผ่นดิน เพื่อหารายได้สมทบทุนการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ และส่งเสริมให้ประชาชนดูแลสุขภาพด้วยการปั่นจักรยานออกกำลัง โดยมี 5 กิจกรรม คือ
1 จำหน่ายบัตรเข้านร่วมแข่งขันปั่น จยย. ชิงถ้วยพระราชทาน ราคา 1500 บาท
2.การจำหน่ายสิ่งของที่ระลึกมี 2 ราคา โดยเสื้อยืดราคา 600 บาท แต่หากมีเสื้อยืด บัตร และ หมวก ราคา 1500 บาท
3.การจำหน่ายบัตรเข้าร่วมในขบวนปั่น จยย. ซึ่งกำหนดให้ผู้เข้าร่วมบริจาค รายละ 1 ล้านบาท
4.การชมคอนเสริต และร่วมรับประทานอาหาร ซึ่งให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมบริจาคที่นั่งละ 1 ล้านบาท และ นอกจากนี้มีรายได้ในการจำหน่ายโต๊ะอาหารให้กับผู้ที่ร่วมงาน โต๊ะและ 3-5 หมื่นบาท ในส่วนการจัดคอนเสริต เอกชนจะออกค่าใช้จ่ายให้
5.การปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน กำหนดไว้ 72ต้น ๆ ละ 3 แสนบาท และมีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคอีก
"ขอย้ำว่ากิจกรรมดังกล่าวไม่ได้ซื้อต้นไม้มาปลูก ภาคเอกชนเป็นผู้สนับสนุนต้นไม้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และรับบริจาคเงินที่ผู้ประสงค์เข้าร่วมกิจกรรม และจะมีการนำชื่อไปติดไว้ที่หน้าต้นไม้ไว้เป็นเกียรติ ซึ่งการจัดกิจกรรมดังกล่าวมีรายได้รวมทั้งส้ิน 77 ล้านบาทเศษ หักค่าใช้จ่าย 1 ล้านบาทเศษ ซึ่งมีรายรับจ่ายชัดเจน ขณะนี้เหลือ 76 ล้านบาทเศษ และเงินจำนวนดังกล่าวได้นำเงินเข้าบัญชีกองทุนสวัสดิการอุทยานราชภักดิ์
"จากการตรวจสอบพบว่ามีการดำเนินการตามแผนงานที่ได้กำหนดไว้ทุกอย่าง"
พล.อ.ชัยชาญ กล่าวถึง การหล่อพระบรมรูปฯ และ คกก.ได้เชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ข้มูล เป็นบุคคลภายนอก แต่มีความเกี่ยวพันกับบุคคลภายนอกที่ไม่ได้มาให้ข้อมูล และ บางท่านก็ไม่สามารถตามตัวมาให้ข้อมูลได้
" คณะกรรมการจึงเห็นว่า การจะให้รายละเอียดในเรื่องดังกล่าวในขณะที่ข้อมูลไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ อาจจะกระทบกับผู้นั้นให้เกิดความเสียหายไดเ ซึ่งในการสอบข้อเท็จจริง คกก.ได้ตั้งข้อสังเกตุไว้ในรายงานสอบข้อเท็จจริง จำนวน 16 หน้า ให้กับ รมว.กลาโหม การดำเนินการต่อไป เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่มีอำนาจตามกฎหมาย ที่จะต้องดำเนินการต่อไปในประเด็นนี้ "
“คกก.ได้พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะแสวงหาข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานต่าง ๆ ในทุกจดทุกประเด็น เท่าที่จะทำได้ เพราะทราบว่าเรื่องนี้อยู่ในความสนใจของสังคม แต่ด้วยข้อจำกัด และในอำนาจหน้าที่ของ คกก. ส่วนที่นอกเหนือจากอำนาจหน้าที่ของ คกก. ถ้าหากหน่วยงานภายนอกของกลาโหม ที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบเรื่องนี้พบว่า มีการดำเนินการใดไม่ถูกต้อง ก็เป็นหน้าที่ของหน่วยงานนั้น สามารถดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ได้กำหนดเอาไว้”
เมื่อถามว่า ข้อสังเกตุที่ไปถึง คกก. เรื่องโรงหล่อนั้น พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า จากที่ตรวจสอบ บางท่านก็ไม่ให้ข้อมูล บางท่านก็ตามตัวไม่ได้ ประเด็นนี้ อยู่นอกเหนืออำนาจของ คกก. แต่ให้ข้อสังเกตุว่าให้หน่วยงานที่มีอำนาจดำเนินการ
เมื่อถามว่า สรุปแล้วการตรวจสอบทุกอย่างโปร่งใส พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า ทุกประเด็นในการสอบข้อเท็จจริงที่นำเรียน รมว.กลาโหม จะมีข้อสังเกตุในแต่ละประเด็นขึ้นไป ทั้งการหล่อพระบรมฯ
เมื่อถามว่า พูดชัด ๆ ว่า การตรวจสอบกลาโหม แสดงว่าไม่พบทุจริต ส่วนเรื่องของโรงหล่อ กับเซียนพระ เป็นเรื่องนอกอำนาจหน้าที่ กก.กห.พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า คกก. ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ รมว.กลาโหม ในเรื่องงบประมาณ โดยแต่ละเรื่องมีข้อสังเกตุอยู่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะต้องไปตรวจสอบจะบอกว่าแผนงานโครงการได้ดำเนินการตามหรือไม่ ส่วนผู้กว้างขวาง คนนั่นเราไม่วามารถตามตัวมาให้ข้อมูลได้
เมื่อถามว่า ข้อสังเกตุที่ส่งไปยัง รมว.กลาโหม มีอะไรบ้าง พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า ในเรื่องงบประมาณ ก็พูดถึงระเบียบต่าง ๆ ที่ใช้ โดยมีการตั้งข้อสังเกตุในเรื่อง กิจกรรมไบค์ แอนด์คอนเสริต์ มีรายรับจ่าย ที่ชัดเจนตามแผนการประชาสัมพันธ์ กิจกรรมเรื่องของการดำเนินการวิธีจัดหา
ข้อสังเกตุมีในการจัดหาจำกัด ส่วนประเด็น การหล่อฯ ก็เป็นไปตามที่ได้เรียนให้ทราบ
เมื่อถามว่า สังคมยังสงสัย และพุ่งเป้าไปที่ตัวของ พล.อ.อุดมเดช ถามว่าตัวบุคคลไมไ่ด้นำมาพิจารณา แสดงว่า พิจารณาในเรื่องงบประมาณ ดังนั้น พล.อ.อุดมเดช บริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า เราไม่สามารถชี้ได้ว่าตรงไหนผิดถูก เพียงแต่ดูประเด็นอะไรที่ตั้งข้อสังเกตุให้หน่วยงานที่่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป
เมื่อถามว่า พล.อ.อุดมเดช ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แม้ว่าสังคมจะตั้งข้อสงสัย พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า ในประเด็นเรื่องนี้ ตัวบุคคล โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการหล่อพระบรมฯ ก็ได้มีข้อสังเกตุ และได้ข้อกำหนดในชุดนี้มีการสอบข้อเท็จจริง ไมไ่ด้วินิจฉัยได้ว่าอันไหนถูกผิด เพราะมีอำนาจขอบเขตในการสอบข้อมูลในส่วนของกลาโหม ดังนั้นประเด็นที่สอบไม่สามารถชี้ถูกผิดได้อย่างไร เพียงให้ข้อสังเกตุก็ให้อยู่ในอำนาจของหน่วยงานที่มีอำนาจทางกฎหมายดำเนินการต่อไป
เมื่อถามว่า พล.อ.อุดมเดช และ คนใกล้ตัว ไม่มีการทุจริต แต่ทำไมคนใกล้ตัว ลาออก หนีออกต่างประเทศ ที่สังคมอยากทราบ พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า ตนขอความร่วมมือมาสอบข้อเท็จจริง แต่ก็ไม่ได้มา ไม่สามารถตามตัวได้ ดังนั้นส่ิงนั้นมีเหตุผลอย่างไรที่จะสรุปได้
"แต่คนที่ตามไม่ได้ หรือคนที่หนีไป นี้ นั้น เป็นความผิดคดีอื่น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่อง ราชภักดิ์นี้ ซึ่งเป็นคดีตามหมายศาลทหารกรุงเทพทหารออกหมายจับ"
เมื่อถามว่า พล.อ.อุดมเดช ไม่ต้องลาออกเพื่อแสดงสปิริต พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า ไม่สามารถตอบได้
เมื่อนายมานะ นิมิตรมงตล เลขาองค์กรต่อต้านคอรัปชั่น ที่เข้าร่วมรับฟังได้ลุกขึ้นถามว่า เรื่องนี้จะเปิดเผยรายชื่อคู่สัญญาณได้หรือไม่ พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า พร้อมเปิดเผยรายชื่อคู่สัญญา
เมื่อถามว่า การขออนุมัติงบประมาณกลางไปตรวจสอบ พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า อันนี้ก็เป็นข้อสังเกตุไป
เมื่อถามว่า การหักหัวคิด และ โรงหล่อ ผลการตรวจสอบได้ผลอย่างไร พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า เรื่องนี้ การเชิญบุคคลคนหนึ่งมาให้ข้อเท็จจริง ไม่ได้มาให้ข้อเท็จจริง และบุคคลที่เกี่ยวข้องก็ไม่สามารถตามตัวมาได้ ก็ไม่สามารถวินิจฉัยได้ ก็เสนอขึ้นไป อยู่ในอำนาจของหน่วยงานที่จะต้องดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้จะทำให้ดีที่สุดให้เคลียร์ในทุกประเด็น อย่างเช่นงบประมาณน่าจะชี้แจงได้ตามการดำเนินการ
เมื่อถามว่า ผลสอบเหมือนเป็นการซื้อเวลาให้กับ พล.อ.อุดมเดช นั้น พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า อำนาจของเจ้าหน้าที่ให้ รมว.กลาโหม และให้อำนาจหน้าที่ตรวจสอลไปดำเนินการ และไม่ได้เป็นการช่วย พลเอกอุดมเดช เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ช่วยกันไม่ได้ เพราะยังมีกก.ของส่วนราชการอื่น ตรวจสอบอีก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการแถลงข่าว คณะกรรมการฯ ได้มอบ เอกสารการแถลงข่าว ตัวเลขต่างๆ เป็น power point ให้สื่อ พร้อม เอกสารคู่สัญญา กับโรงหล่อ ต่างๆ ทั้งตัว้ลข ค่าใช้จ่าย และเงินบริจาค โดยพบว่า ในท้ายตาราง มีระบุ "ค่าที่ปรึกษา"20
ล้านบาท มา อยู่ในส่วนของเงินบริจาค โดย เซียนพระ คนดังกล่าวด้วย ซึ่งคาดว่า หมายถึง ค่าดำเนินการ หรือค่าหัวคืว ที่ โรงหล่อ จ่ายให้กับ เซียนพระ ซึ่งถือเป็นเรื่องของเอกชนกับเอกชน โดยที่ กก.กห. ก็ไม่อาจตามตัว เซียนพระ คนนี้ มาให้ข้อมูลได้
ด้าน นายเรืองไกร ลือกิจวัฒนะ ที่เข้ามาฟัง การแถลงด้วย กล่าวว่า พอใจผลการชี้แจงของกก.กห. ที่แจงเรื่องตัวเลข เงิน ต่างๆ ละเอียด ดีกว่า กก. ของ ทบ. แต่ที่ยังเห็นว่า เป็นปัญหาคือ เรื่อง การเร่งรีบดำเนินการ จนอาจไม่ได้ทำตามระเบียบต่างๆ และ ในส่วนของโรงหล่อ กับ เซียนพระ ก็เป็นเรื่องของ ส่วนราชการอื่นที่จะตรวจสอบต่อ คิดว่า กก.กห.ก็ได้พยายามทำหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่เพราะ อำนาจหน้าที่ ตามกม. มีแค่นี้ ก็ต่องรอผลของ ส่วนอิ่น และของ พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม

อ่าน......คำแถลงของ คณะกรรมการฯกลาโหม กรณี "ราชภักดิ์"

อ่าน......คำแถลงของ คณะกรรมการฯกลาโหม กรณี "ราชภักดิ์"
กลาโหม แถลง ไม่มีหน้าที่ชี้ ใครทุจริต เพราะอำนาจหน้าที่มีแค่นั้น ระบุ สอบ23บุคคล มีบางคนไม่อาจตามตัวได้ รวมทั้งเซียนพระ ผู้กว้างขวาง เผยเอกสารคู่สัญญาโรงหล่อ พบ มี"ค่าที่ปรึกษา"20ล้าน มาเป็นเงินบริจาค จากเซียนพระ แต่ ไม่อาจตามตัวคนมาชี้แจงได้/ แต่ สรุปผล และทำ"ข้อสังเกตุ"เสนอ รมว.กลาโหม 16 หน้า ติงไม่ทำตามระเบียบฯ เริ่อง การรับเงินบริจาค การจัดจ้าง เพราะเร่งรัดการดำเนินการ / พลเอกชัยชาญ"ยัน กก.ไม่ได้ช่วยเหลือ “พลเอกอุดมเดช” เพราะมี กก.ส่วนอื่นสอบต่อ ยันไม่เกี่ยว บิ๊กโด่ง จะแสดงสปิริตลาออก หรือไม่ ชี้ 2 นายทหารใกล้ชิด ที่หนีไป เพราะคดีอื่น ไม่เกี่ยวข้อง ราชภักดิ์ พร้อมให้ข้อมูลหน่วยงานที่รับผิดด้านกฎหมายไปตรวจสอบต่อ/แจงตัวเลข รายรับ-จ่าย อุทยานราชภักดิ์ ละเอียด เงินบริจาค802 ล้าน รวมงบกลาง เป็น866 ล้าน ใช้ไป816 ล้าน ส่วนมูลนิธิ มี106 ล้าน เงินในบัญชีออุทยานฯ ทบ.มี76 ล้าน
ระบุ เอกสารหลักฐานถูกต้อง /เรืองไกร" มาฟัง พอใจ กก.กห.แจงตัวเลข งบฯเคลียร์ แต่ห่วง การไม่ทำตามระเบียบ เพราะเร่งรีบ/ เข้าใจ ขอบเขตอำนาจ กก.กห. มีแค่นี้ รอผลสอบ ของ "พลเอกไพบูลย์"
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 30 ธันวาคม ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการดำเนินการโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ พร้อมด้วย พล.ต.พนมเทพ เวสารัชชนันท์ ผู้ช่วยเจ้ากรมพระธรรมนูญ
พล.ต.กิตติศักดิ์ บุญสุข ผู้ชำนาญการ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะคณะกรรมการฯ ร่วมแถลงข่าว
โดยมีเจ้าหน้าที่จากสำนักตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ฝ่ายกฎหมาย พรรคเพื่อไทย และตัวแทนองค์กรต่อต้านคอรัปชั่น เข้าร่วมรับฟังการแถลงด้วย
พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า ในกรอบอำนาจหน้าที่ได้มีการดำเนินการ โดย รมว.กลาโหม ได้แต่งตั้ง เพื่อให้สื่อได้เข้าใจ โดยมีตนเป็นประธาน และมีคณะกรรมการอีก 8 ท่าน และ มีเลขา และ คณะกรรมการ คณะกรรมการกล่าวว่าไม่มีอำนาจหน้าที่กฎหมายไปแสวงข้อเท็จจริง เพียงแสวงหาข้อเท็จจริงตามเอกสารครอบครอง ไม่เหมือนกับหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าตามกรอบกฎหมาย
"คณะกรรมการไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายใด ๆ ที่จะไปแสวงหาข้อเท็จจริงได้อย่างกว้างขาง เพียงแต่ดำเนินการตามคำสั่งของกลาโหม ในการแสวงหาข้อเท็จจริงจากบุคคล และเอกสารต่าง ๆ ที่อยู่ในความครอบครองของบุคคลในกลาโหมเท่านั้น "
"ไม่เหมือนกับหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบตามกฎหมาย ซึ่งอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้คือ การรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง จากส่วนราชการ หรือบุคคล ตลอดเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำ ตามคำสั่งของกลาโหม เพื่อสอบหาข้อเท็จจริงในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์
พร้อมสรุปสำนวนความเห็น และรายงานผล จำนวน16 หน้า ให้ ะลเอกประวิตร รมว.กลาโหม ได้รับทราบ
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการต่างๆ คณะกรรมการพยายามอย่างถึงที่สุด ที่จะแสวงหาข้อเท็จจริงในประเด็นต่าง ๆ โดยได้ขอความร่วมมือจากหน่วยงาน และบุคคล มาให้ข้อเท็จจริงทั้งส้ิน 23 คน พร้อมหลักฐานอีกจำนวนมาก
พล.อ.ชัยชาญ กล่าวต่อว่า สำหรับการตรวจสอบในเรื่องเอกสาร เนื่องจากว่ามีเอกสารทั้งเรื่องการเงิน จำนวนมาก ซึ่งทางคณะกรรมการได้ตรวจสอบเอกสารตามบัญชีตามรายรับ และรายจ่าย ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. 2558 ซึ่งเป็นวันตัดยอดสรุปรายเดือน และในเดือน ธ.ค.ก็จะสรุปในปลายเดือนนี้ พร้อมทั้งได้รับเอกจากผู้ที่เกี่ยวข้องจนถึงวันที่ 24 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นวันที่คณะกรรมการสรุปสำนวนการสอบข้อเท็จจริง สำหรับภาพรวมของโครงการราชภักดิ์กำหนดไว้ 10 เดือน ตั้งแต่ พ.ย. ถึง ส.ค. ทั้งการสร้างหล่อพระบรมรูป 7 พระองค์ การสนามหญ้าภูมิทัศน์ และ ห้องพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์
สำหรับการใช้จ่ายงบประมาณ ในการก่อสร้างส่วนที่หนึ่ง ประกอบด้วยสองส่วน คือ งบกลาง จำนวนกว่า 63 ล้านบาท ใช้ในงานก่อสร้าง 5 งาน ซึ่งเป็นงานก่อสร้างรอบ ๆ พระบรมรูปฯ คือ งานติดตั้งหินอ่อน จำนวน 11.9 ล้านบาทเศษ งานปูพื้น 34.9 ล้านบาท ป้ายอุทยาน 5 ล้านบาทเศษ รปภ. 2 ล้านบาท และ การก่อสร้างรั้วโดยรวม 9 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดหา
ส่วนงบบริจาค ประกอบด้วยรายรับ จากภาครัฐ เอกชน และการจัดกิจการ ไบค์ แอนด์คอนเสริต์แทนคุณแผ่นดิน เข้ากองทุนสวัสดิการราชภักดิ จนถึง 30 พ.ย. รวมดอกเบี้ย เป็นเงิน 732 ล้านบาทเศษ และมีส่ิงขอต่าง ๆ ที่ได้รับการบริจาคสามารถตีเป็นค่าเงินได้ 69 ล้านบาทเศษ รวมรายรับจากการบริจาคแล้ว ทั้งหมด 802 ล้านบาทเศษ
สำหรับรายจ่าย ได้นำไปใช้ในการก่อสร้างตามโครงการ ตามแผน 27 งาน จำนวน 752 ล้านบาทเศษ เช่น การหล่อพระบรมรูปฯ พร้อมพานพุ่มคู่ จำนวน 318 ล้านบาทเศษ การปูหญ้า งานระบายน้ำ การปรับพื้นที่ รวมแล้วเป็นเงิน 752 ล้านบาทเศษ สรุปยอดเงินในวันที่ 30 พ.ย.2558 รายรับจาก งบกลาง และ งบบริจาค รวม 866 ล้านบาทเศษ และใช้ดำเนินการไปแล้ว และอยู่ในระหว่างการดำเนินการตามแผน จำนวน 816 ล้านบาทเศษ
ส่วนที่สองเป็นงบประมาณก่อสร้าง และปรับพื้นที่ รร.นายสิบทหารบก จำนวน 149 ล้านบาทเศษ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามแผนงานของ ทบ.ใน ปี 2558 เพื่อใช้ปรับปรุงสาธารณูปโภค และการปรับปรุงพื้นที่ รร.นายสิบทหารบก ใช้ในการก่อสร้างจำนวน 11 งาน งานปรับปรุงรั้ว ส่วนที่ 1 และ 2 จำนวน 28 ล้านบาทเศษ ระบบประปา 11 ล้านบาทเศษ ในส่วนที่สาม เป็นงบบริจาคที่เข้าไปในมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ จำนวน 106 ล้านบาทเศษ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการใช้จ่ายงบประมาณตรงนี้
พล.อ.ชัยชาญ กล่าวอีกว่า สำหรับงบประมาณนั้น ทางคณะกรรมการได้เห็นว่า การใช้จ่ายงบกลาง และ งบประมาณของกองทัพบก ในการก่อสร้าง และปรับปรุงพื้นที่ รร.นายสิบทหารบก นั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พศ. 2535 และระเบียบคำสั่งของกองทัพบกที่เกี่ยวข้อง ส่วนงบบริจาค ในบัญชีชื่อกองทุน สวัสดิการอุทยานราชภักดิ์นั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการสวัสดิการกองทัพบก ว่าด้วยอุทยานราชภักดิ์ พศ. 2558 และระเบียบการบริหารอุทยานราชภักดิ์ ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง พศ. 2558
"จากการพิจารณาตรวจสอบพิจารณาได้ว่า การใช้จ่ายงบประมาณ เป็นการดำเนินการตามระเบียบที่ได้กล่าวเอาไว้ ซึ่งทราบว่าคณะนี้ทาง สตง. อยู่ระหว่าง การตรวจสอบ งบประมาณตามโครงการนี้อยู่ "
พล.อ.ชัยชาญ กล่าวต่อว่า การจัดกิจกรรมราชภักดิ์ไบร์แอนคอนเสิร์ท แทนคุณแผ่นดิน เพื่อหารายได้สมทบทุนการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ และส่งเสริมให้ประชาชนดูแลสุขภาพด้วยการปั่นจักรยานออกกำลัง โดยมี 5 กิจกรรม คือ
1 จำหน่ายบัตรเข้านร่วมแข่งขันปั่น จยย. ชิงถ้วยพระราชทาน ราคา 1500 บาท
2.การจำหน่ายสิ่งของที่ระลึกมี 2 ราคา โดยเสื้อยืดราคา 600 บาท แต่หากมีเสื้อยืด บัตร และ หมวก ราคา 1500 บาท
3.การจำหน่ายบัตรเข้าร่วมในขบวนปั่น จยย. ซึ่งกำหนดให้ผู้เข้าร่วมบริจาค รายละ 1 ล้านบาท
4.การชมคอนเสริต และร่วมรับประทานอาหาร ซึ่งให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมบริจาคที่นั่งละ 1 ล้านบาท และ นอกจากนี้มีรายได้ในการจำหน่ายโต๊ะอาหารให้กับผู้ที่ร่วมงาน โต๊ะและ 3-5 หมื่นบาท ในส่วนการจัดคอนเสริต เอกชนจะออกค่าใช้จ่ายให้
5.การปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน กำหนดไว้ 72ต้น ๆ ละ 3 แสนบาท และมีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคอีก
"ขอย้ำว่ากิจกรรมดังกล่าวไม่ได้ซื้อต้นไม้มาปลูก ภาคเอกชนเป็นผู้สนับสนุนต้นไม้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และรับบริจาคเงินที่ผู้ประสงค์เข้าร่วมกิจกรรม และจะมีการนำชื่อไปติดไว้ที่หน้าต้นไม้ไว้เป็นเกียรติ ซึ่งการจัดกิจกรรมดังกล่าวมีรายได้รวมทั้งส้ิน 77 ล้านบาทเศษ หักค่าใช้จ่าย 1 ล้านบาทเศษ ซึ่งมีรายรับจ่ายชัดเจน ขณะนี้เหลือ 76 ล้านบาทเศษ และเงินจำนวนดังกล่าวได้นำเงินเข้าบัญชีกองทุนสวัสดิการอุทยานราชภักดิ์
"จากการตรวจสอบพบว่ามีการดำเนินการตามแผนงานที่ได้กำหนดไว้ทุกอย่าง"
พล.อ.ชัยชาญ กล่าวถึง การหล่อพระบรมรูปฯ และ คกก.ได้เชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ข้มูล เป็นบุคคลภายนอก แต่มีความเกี่ยวพันกับบุคคลภายนอกที่ไม่ได้มาให้ข้อมูล และ บางท่านก็ไม่สามารถตามตัวมาให้ข้อมูลได้
" คณะกรรมการจึงเห็นว่า การจะให้รายละเอียดในเรื่องดังกล่าวในขณะที่ข้อมูลไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ อาจจะกระทบกับผู้นั้นให้เกิดความเสียหายไดเ ซึ่งในการสอบข้อเท็จจริง คกก.ได้ตั้งข้อสังเกตุไว้ในรายงานสอบข้อเท็จจริง จำนวน 16 หน้า ให้กับ รมว.กลาโหม การดำเนินการต่อไป เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่มีอำนาจตามกฎหมาย ที่จะต้องดำเนินการต่อไปในประเด็นนี้ "
“คกก.ได้พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะแสวงหาข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานต่าง ๆ ในทุกจดทุกประเด็น เท่าที่จะทำได้ เพราะทราบว่าเรื่องนี้อยู่ในความสนใจของสังคม แต่ด้วยข้อจำกัด และในอำนาจหน้าที่ของ คกก. ส่วนที่นอกเหนือจากอำนาจหน้าที่ของ คกก. ถ้าหากหน่วยงานภายนอกของกลาโหม ที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบเรื่องนี้พบว่า มีการดำเนินการใดไม่ถูกต้อง ก็เป็นหน้าที่ของหน่วยงานนั้น สามารถดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ได้กำหนดเอาไว้”
เมื่อถามว่า ข้อสังเกตุที่ไปถึง คกก. เรื่องโรงหล่อนั้น พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า จากที่ตรวจสอบ บางท่านก็ไม่ให้ข้อมูล บางท่านก็ตามตัวไม่ได้ ประเด็นนี้ อยู่นอกเหนืออำนาจของ คกก. แต่ให้ข้อสังเกตุว่าให้หน่วยงานที่มีอำนาจดำเนินการ
เมื่อถามว่า สรุปแล้วการตรวจสอบทุกอย่างโปร่งใส พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า ทุกประเด็นในการสอบข้อเท็จจริงที่นำเรียน รมว.กลาโหม จะมีข้อสังเกตุในแต่ละประเด็นขึ้นไป ทั้งการหล่อพระบรมฯ
เมื่อถามว่า พูดชัด ๆ ว่า การตรวจสอบกลาโหม แสดงว่าไม่พบทุจริต ส่วนเรื่องของโรงหล่อ กับเซียนพระ เป็นเรื่องนอกอำนาจหน้าที่ กก.กห.พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า คกก. ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ รมว.กลาโหม ในเรื่องงบประมาณ โดยแต่ละเรื่องมีข้อสังเกตุอยู่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะต้องไปตรวจสอบจะบอกว่าแผนงานโครงการได้ดำเนินการตามหรือไม่ ส่วนผู้กว้างขวาง คนนั่นเราไม่วามารถตามตัวมาให้ข้อมูลได้
เมื่อถามว่า ข้อสังเกตุที่ส่งไปยัง รมว.กลาโหม มีอะไรบ้าง พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า ในเรื่องงบประมาณ ก็พูดถึงระเบียบต่าง ๆ ที่ใช้ โดยมีการตั้งข้อสังเกตุในเรื่อง กิจกรรมไบค์ แอนด์คอนเสริต์ มีรายรับจ่าย ที่ชัดเจนตามแผนการประชาสัมพันธ์ กิจกรรมเรื่องของการดำเนินการวิธีจัดหา
ข้อสังเกตุมีในการจัดหาจำกัด ส่วนประเด็น การหล่อฯ ก็เป็นไปตามที่ได้เรียนให้ทราบ
เมื่อถามว่า สังคมยังสงสัย และพุ่งเป้าไปที่ตัวของ พล.อ.อุดมเดช ถามว่าตัวบุคคลไมไ่ด้นำมาพิจารณา แสดงว่า พิจารณาในเรื่องงบประมาณ ดังนั้น พล.อ.อุดมเดช บริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า เราไม่สามารถชี้ได้ว่าตรงไหนผิดถูก เพียงแต่ดูประเด็นอะไรที่ตั้งข้อสังเกตุให้หน่วยงานที่่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป
เมื่อถามว่า พล.อ.อุดมเดช ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แม้ว่าสังคมจะตั้งข้อสงสัย พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า ในประเด็นเรื่องนี้ ตัวบุคคล โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการหล่อพระบรมฯ ก็ได้มีข้อสังเกตุ และได้ข้อกำหนดในชุดนี้มีการสอบข้อเท็จจริง ไมไ่ด้วินิจฉัยได้ว่าอันไหนถูกผิด เพราะมีอำนาจขอบเขตในการสอบข้อมูลในส่วนของกลาโหม ดังนั้นประเด็นที่สอบไม่สามารถชี้ถูกผิดได้อย่างไร เพียงให้ข้อสังเกตุก็ให้อยู่ในอำนาจของหน่วยงานที่มีอำนาจทางกฎหมายดำเนินการต่อไป
เมื่อถามว่า พล.อ.อุดมเดช และ คนใกล้ตัว ไม่มีการทุจริต แต่ทำไมคนใกล้ตัว ลาออก หนีออกต่างประเทศ ที่สังคมอยากทราบ พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า ตนขอความร่วมมือมาสอบข้อเท็จจริง แต่ก็ไม่ได้มา ไม่สามารถตามตัวได้ ดังนั้นส่ิงนั้นมีเหตุผลอย่างไรที่จะสรุปได้
"แต่คนที่ตามไม่ได้ หรือคนที่หนีไป นี้ นั้น เป็นความผิดคดีอื่น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่อง ราชภักดิ์นี้ ซึ่งเป็นคดีตามหมายศาลทหารกรุงเทพทหารออกหมายจับ"
เมื่อถามว่า พล.อ.อุดมเดช ไม่ต้องลาออกเพื่อแสดงสปิริต พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า ไม่สามารถตอบได้
เมื่อนายมานะ นิมิตรมงตล เลขาองค์กรต่อต้านคอรัปชั่น ที่เข้าร่วมรับฟังได้ลุกขึ้นถามว่า เรื่องนี้จะเปิดเผยรายชื่อคู่สัญญาณได้หรือไม่ พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า พร้อมเปิดเผยรายชื่อคู่สัญญา
เมื่อถามว่า การขออนุมัติงบประมาณกลางไปตรวจสอบ พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า อันนี้ก็เป็นข้อสังเกตุไป
เมื่อถามว่า การหักหัวคิด และ โรงหล่อ ผลการตรวจสอบได้ผลอย่างไร พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า เรื่องนี้ การเชิญบุคคลคนหนึ่งมาให้ข้อเท็จจริง ไม่ได้มาให้ข้อเท็จจริง และบุคคลที่เกี่ยวข้องก็ไม่สามารถตามตัวมาได้ ก็ไม่สามารถวินิจฉัยได้ ก็เสนอขึ้นไป อยู่ในอำนาจของหน่วยงานที่จะต้องดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้จะทำให้ดีที่สุดให้เคลียร์ในทุกประเด็น อย่างเช่นงบประมาณน่าจะชี้แจงได้ตามการดำเนินการ
เมื่อถามว่า ผลสอบเหมือนเป็นการซื้อเวลาให้กับ พล.อ.อุดมเดช นั้น พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า อำนาจของเจ้าหน้าที่ให้ รมว.กลาโหม และให้อำนาจหน้าที่ตรวจสอลไปดำเนินการ และไม่ได้เป็นการช่วย พลเอกอุดมเดช เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ช่วยกันไม่ได้ เพราะยังมีกก.ของส่วนราชการอื่น ตรวจสอบอีก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการแถลงข่าว คณะกรรมการฯ ได้มอบ เอกสารการแถลงข่าว ตัวเลขต่างๆ เป็น power point ให้สื่อ พร้อม เอกสารคู่สัญญา กับโรงหล่อ ต่างๆ ทั้งตัว้ลข ค่าใช้จ่าย และเงินบริจาค โดยพบว่า ในท้ายตาราง มีระบุ "ค่าที่ปรึกษา"20
ล้านบาท มา อยู่ในส่วนของเงินบริจาค โดย เซียนพระ คนดังกล่าวด้วย ซึ่งคาดว่า หมายถึง ค่าดำเนินการ หรือค่าหัวคืว ที่ โรงหล่อ จ่ายให้กับ เซียนพระ ซึ่งถือเป็นเรื่องของเอกชนกับเอกชน โดยที่ กก.กห. ก็ไม่อาจตามตัว เซียนพระ คนนี้ มาให้ข้อมูลได้
ด้าน นายเรืองไกร ลือกิจวัฒนะ ที่เข้ามาฟัง การแถลงด้วย กล่าวว่า พอใจผลการชี้แจงของกก.กห. ที่แจงเรื่องตัวเลข เงิน ต่างๆ ละเอียด ดีกว่า กก. ของ ทบ. แต่ที่ยังเห็นว่า เป็นปัญหาคือ เรื่อง การเร่งรีบดำเนินการ จนอาจไม่ได้ทำตามระเบียบต่างๆ และ ในส่วนของโรงหล่อ กับ เซียนพระ ก็เป็นเรื่องของ ส่วนราชการอื่นที่จะตรวจสอบต่อ คิดว่า กก.กห.ก็ได้พยายามทำหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่เพราะ อำนาจหน้าที่ ตามกม. มีแค่นี้ ก็ต่องรอผลของ ส่วนอิ่น และของ พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม

ลูกเสธแดงโพส ของขวัญอัปลักษณ์ มติปปช.ยกคำร้องอภิสิทธิ์-สุเทพ



อยู่ดีๆ เมื่อวานเดียร์และใครอีกหลายคนก็ได้รับของขวัญปีใหม่หน้าตาอัปลักษณ์จากปปช. เป็นมติ 7 ต่อ 0 ให้ตีตกคำร้องขอให้ถอดถอนและคำกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สั่งใช้กำลังทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือนเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มนปช. ในวันที่ 10 เมษายน 2553 จนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก โดยปปช.ให้เหตุผลว่า...จากการไต่สวนยังรับฟังไม่ได้ว่าทั้งสามคนนี้ (อภิสิทธิ์/สุเทพ/อนุพงษ์ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนหลักใน ศอฉ.และมีอำนาจสั่งการในทุกด้านและทุกหน่วยงานในขณะนั้น) ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือเป็นผู้ก่อหรือใช้ให้มีการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผลแต่อย่างใด และโยนให้เป็นความรับผิดชอบเฉพาะตัวแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ (ง่ายๆ ก็คือพวกทหารและตำรวจ) ที่จะต้องพิสูจน์ว่าการใช้อาวุธในแต่ละกรณีนั้นสุจริต เลือกปฏิบัติ และเกินสมควรแก่เหตุหรือไม่ ซึ่งดีเอสไอจะต้องเป็นผู้สืบสวนหาความจริงในเรื่องนี้ต่อไป
ฟังดูเหมือนปปช. ได้ล้างความผิดให้กับผู้ชายทั้งสามคนนี้ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ที่ยังอยู่ก็คือหลักการ ความเชื่อ และความรู้สึกของญาติคนตายที่ทำใจยอมรับไม่ได้ว่า...ผู้ชายทั้งสามคนนี้ไม่ได้มีส่วนร่วมหรือเจตนาให้มีความตายเกิดขึ้น เพราะการออกคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหน้าที่นำอาวุธสงครามออกมาใช้เพื่อสลายการชุมนุม ผู้สั่งการย่อมมีเจตนาเล็งเห็นผลได้ว่าการกระทำนั้นจะเกิดอันตรายขึ้นแก่ผู้อื่น
ทหารและตำรวจถูกสอนและฝึกฝนมาว่าต้องฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด น่าเห็นใจเจ้าหน้าที่ที่รับคำสั่งให้เข้าไปปฏิบัติการสลายการชุมนุมและลงมือฆ่าผู้ชุมนุม ที่คงไม่ทันได้คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปตามคำสั่งในขณะนั้น ในอนาคตมันจะกลายเป็นความผิดเฉพาะตัวที่ผู้บังคับบัญชาสูงสุดหรือผู้สั่งการได้หนีเอาตัวรอดเพื่อให้ตัวเองพ้นผิดไปอย่างง่ายดาย ทิ้งให้แต่เจ้าหน้าที่ต้องมาพิสูจน์การกระทำของตัวเองว่าสุจริตหรือเกินสมควรแก่เหตุหรือไม่ เท่ากับว่านอกจากคนตายที่ตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้งแล้ว...เจ้าหน้าที่ก็กลายเป็นเหยื่อของนักการเมืองหรือผู้บังคับบัญชาของตนเองในขณะนั้นเหมือนกัน
แต่ที่น่าสงสารกว่า ก็คือผู้ตายและญาติที่ต้องสูญเสียผู้เป็นที่รัก เพราะโอกาสที่จะหาว่าเจ้าหน้าที่คนไหนเป็นคนฆ่าดูจะริบหรี่มาก และดูเหมือนจะไม่มีความหวังว่าจะหาตัวคนฆ่าบุพพการีหรือญาติพี่น้องของตัวเองได้ แถมคนที่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นผู้สั่งการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนให้มีการตาย ก็ดูเหมือนจะลอยนวลหลุดพ้นความผิดไปแล้ว
สิ่งที่ต้องจับตามองและเป็นสิ่งที่เดียร์กังวลมาตลอดว่ามันจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต คือการใช้ทฤษฎีสมคบคิดและการทำงานอย่างเป็นระบบของผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้อง ที่อาจจะโยนความผิดในเรื่องนี้กลับมาใส่คนตายที่ไม่สามารถฟื้นขึ้นมาพิสูจน์ความจริงได้ และเป็นแพะรับบาปได้ดีที่สุด เพื่อทำให้ผู้สั่งการและผู้ปฏิบัติพ้นผิดกันไปแบบตัวลอยและไม่บาดหมางกันเอง
น่าเสียใจที่ลำพังคนที่ตายต้องมาจบชีวิตไปทั้งๆที่ไม่มีอาวุธอยู่ในมือมันก็น่าอนาถกับสังคมไทยมากพอแล้ว ถ้าจะต้องเอาความผิดมาแปะไว้บนศพคนตายอีก กระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยก็คงไม่ได้มีไว้ให้พึ่งพา แต่คงตราหน้าไว้ได้ว่าเป็นเพียงเครื่องมือทางการเมือง
สุดท้ายนี้ ท่ามกลางสิ่งที่คนไทยต้องเผชิญในภาวะตกต่ำของสิทธิมนุษยชนไทย เดียร์ยังเชื่อว่าซักวันหนึ่งเมื่อประชาชนกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง เราจะสามารถแก้ไขความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นในอดีต และทำให้มันถูกต้องเสียที เดียร์ขอสวัสดีปีใหม่ทุกท่านและขออวยพรให้ทุกท่านเข็มแข็ง สุขภาพดี และมีความสุขตลอดปี 2559 ค่ะ

ป๋าเปรมบอกมีคนเตือนให้ระวังตัว



30 ธ.ค. 58 เมื่อเวลา 10.30 น. ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เปิดให้พล.อ.ปราการ ชมยุทธ์ รองเสนาธิการทหาร นำเหล่าทหารม้าเข้าอวยพรเนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ โดย พล.อ.เปรม กล่าวว่า หลายคนที่มาวันนี้ใกล้เกษียณแล้วเช่นเดียวกับตนที่ต้องเกษียณเหมือนกัน จึงมอบหมาย พล.อ.วันชัย เรืองตระกูล มาทำหน้าที่ดูแลเหล่าทหารม้าแทน
" ผมเป็นม้าที่ใกล้ตายแล้ว ไม่ไหวแล้วต้องปลดเกษีรยณ เพราะอายุมาก หากมีอะไรก็ให้พูดจากับท่าน อย่างไรก็ตาม อยากให้พวกเราทุกคนช่วยสนับสนุนและเชียร์ให้นายทหารเหล่าม้าเติบโตใน 5 เสือ ในในสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัด กองบัญชาการกองทัพไทย กองบัญชาการกองทัพบก เพื่อทดแทนคนที่เกษียณ และที่ผ่านมาก็มีคนคิดเห็นแตกต่าง อาจจะมีคนไม่ชอบเยอะ และบอกให้ผมระวังตัว แต่ไม่รู้จะระวังอย่างไร เพราะมีอยู่แค่นี้ จึงคิดว่าเกราะที่ดีที่สุดคือการทำดี คนเกลียดคงมีน้อยลง การทำความดีจะเป็นเกราะและสิ่งศักสิทธิ์ คุ้มครองเราได้" พล.อ.เปรม กล่าว
พล.อ.เปรม กล่าวอีกว่า  พวกเราควรจะต้องคิดว่า ควรทำอย่างไรกับเหล่าทหารม้าของเราให้เจริญ มั่นคง ไม่อยากให้มีคำว่าทหารแตงโม ตำรวจมะเขือเทศ เรามีแต่เหล่าทหารม้ารวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด ซึ่งคนเริ่มรู้จักกันมาก เช่นเรื่องการปราบคอรับชั่น หรือแม้แต่เรื่องที่ตนไปพูดเรื่องปล้นชาติ ซึ่งบางคนบอกว่าคิดทำได้ดี บางคนอาจไม่ชอบใจ แต่คุณลักษณะทหารม้า เราสามารถทำอะไรก็ได้ แต่สิ่งที่ยากเน้นหนักให้มากคือ การสามัคคี ซึ่งเหล่าทหารม้าคงไม่มีทหารแตงโมใช่หรือไม่
อย่างไรก็ตาม พล.อ.เปรม ยังกล่าวว่า ทั้งนี้ขอชื่นชม พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขานายกรัฐมนตรี เป็นคนดี และนายกรัฐมนตรี ยังชมกับตนว่าท่านทำงานเก่ง 
(แฟ้มภาพ)

รองปลัดกลาโหมชี้ผลสอบ'ราชภักดิ์'เป็นไปตามระเบียบใช้งบฯ 'อุดมเดช' ซัดสื่อต้องมีคนชดใช้



รองปลัดกลาโหมชี้ผลสอบ'ราชภักดิ์'เป็นไปตามระเบียบใช้งบฯ 'อุดมเดช' ซัดสื่อต้องมีคนชดใช้

30 ธ.ค. 2558 ที่กระทรวงกลาโหม เมื่อเวลา 14.00 น. คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ที่มี พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ได้แถลงผลการตรวจสอบการทุจริตโครงการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ ระบุว่า คณะกรรมการฯ มีอำนาจเพียงแค่ตรวจสอบงบประมาณ ซึ่งเป็นไปตามระเบียบการใช้งบประมาณ ขณะนี้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กำลังตรวจสอบอยู่       
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการฯ มีอำนาจเพียงแค่ตรวจสอบงบประมาณเท่านั้น ในส่วนของบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งโรงหล่อพระบรมราชานุสาวรีย์ ไม่มีอำนาจตรวจสอบเหมือน สตง. และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยจะได้ส่งข้อสังเกตไปยัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือกองทัพบก
พล.อ.ชัยชาญ แถลงด้วยว่า คณะกรรมการฯ ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย เป็นเพียงคณะกรรมการฯ ที่ตั้งขึ้นโดย พล.อ.ประวิตร เพื่อการรวบรวมข้อเท็จจริง โดยมีผู้มาชี้แจงจำนวน 23 คน มีเอกสารหลักฐานต่างๆ โดยเฉพาะหลักฐานบัญชีทางการเงินจำนวนมาก เป็นหลักฐานทางการรับจ่าย ถึงวันที่ 30 พ.ย.2558 เพื่อสรุปสำนวนข้อเท็จจริง โดยสรุปรายรับ-รายจ่ายโครงการอุทยานราชภักดิ์ มีรายรับเป็นงบกลางและงบบริจาค 866 ล้านบาท รายจ่าย 816 ล้านบาท ส่วนงบบริจาคเข้ามูลนิธิราชภักดิ์ ที่ภาครัฐและเอกชน ประชาชน บริจาคจำนวน 106 ล้านบาทเศษ ปัจจุบันยังไมมีการใช้งบนีทั้งนี้ด้านงบประมาณคณะกรรมการฯเห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 และระเบียบคำสั่งของกองทัพบกที่เกี่ยวข้อง สำหรับการใช้จ่ายงบบริจาค หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ปฏิบติตามระเบียบคณะกรรมการสวัสดิการกองทัพบกว่าด้วยอุทยานราชภักดิ์ พ.ศ.2558 และระเบียบคณะกรรมการบริหารอุทยานราชภักดิ์ว่าด้วยการสั่งซื้อสั่งจ้าง พ.ศ.2558
 
พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า ส่วนเรื่องการหล่อพระบรมราชานุสาวรีย์ เราได้ทำข้อสังเกตไปว่ากรณีการเรียกบุคคลมาสอบถามนั้น ไม่ครบถ้วน บางคนไม่มา บางคนตามตัวไม่ได้ ซึ่งตรงนี้ถือว่าอยู่นอกเหนืออำนาจของคณะกรรมการฯ สำหรับกิจกรรมอื่น ๆ เช่น ราชภักดิ์ไบค์แอนคอนเสิร์ตแทนคุณแผ่นดิน หรือกิจกรรมปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ที่มีข่าวว่าใช้ต้นปาล์ม 72 ต้น ต้นละ 3 แสนบาทนั้น ในข้อเท็จจริงสอบแล้วไม่ใช่การใช้ต้นไม้มาปลูกในอุทยาน แต่เป็นลักษณะให้ภาคเอกชนสนับสนุน คือถ้าใครมาบริจาคก็จะมีชื่อติดตามต้นไม้ ซึ่งคณะกรรมการฯเห็นว่าทั้ง 2 กิจกรรมดังกล่าวได้ดำเนินการตามแผนงาน มีการเปิดเผยบัญชีรายรับรายจ่ายชัดเจน ส่วนนี้ไม่มีข้อสังเกตใด ๆ 
 
ต่อกรณีคำถามว่าการพิจารณาไม่ได้พิจารณาตัวบุคคลอย่าง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า การตรวจสอบของคณะกรรมการฯไม่ใช่การชี้มูลความผิด หรือบอกใครถูกใครผิด ซึ่งจะเป็นเพียงการให้ข้อสังเกตเท่านั้น ส่วนจะหาว่ามีประเด็นอะไรทุจริต ต้องให้หน่วยงานที่มีอำนาจตามกฎหมายเป็นผู้ดำเนินการ ถ้าหาก สตง.อยากได้ข้อมูล เราก็พร้อมที่จะให้
 
นายเรืองไกร  ลีกิจวัฒนะ ฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ซึ่งเข้าร่วมรับฟังด้วย กล่าวภายหลังรับฟังการแถลงว่า ส่วนตัวรู้สึกพอใจในเรื่องการชี้แจงข้อมูล ทั้งการใช้งบกลางบบริจาคและงบมูลนิธิ ซึ่งจะชัดเจนกว่าที่ผ่านมามาก ทำให้สังคมหายสงสัยได้ระดับหนึ่ง เนื่องจากตนเข้าใจดีว่าการสอบของคณะกรรมการฯไม่สามารถชี้มูลความผิดเหมือน ป.ป.ช. หรือ สตง. เพราะเป็นเพียงการแสวงหาข้อเท็จจริง ส่วนตนจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไปอย่างไรนั้น ขอเอกสารหลักฐานจากคณะกรรมการฯก่อน
 
 
'อุดมเดช' ซัดสื่อ ต้องมีคนชดใช้ เหตุทำความเสียหายต่อชื่อเสียงอุทยานราชภักดิ์ 
 
ไทยรัฐฉบับพิมพ์ รายงานว่า พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม กล่าวถึงกรณีนี้ก่อนมีการแถลงผลสอบว่า ขอบคุณคนไทยทุกคนที่ร่วมบริจาคเงินไม่ว่าจำนวนเท่าใด ผู้ที่บริจาคเหล่านี้ไม่เคยเอ่ยสักครั้งว่าโครงการนี้มีอะไรเกิดขึ้น เชื่อว่าคนเหล่านี้มั่นใจว่ากองทัพบกทำด้วยความตั้งใจ เราสุขใจที่จะทำและภูมิใจในสิ่งที่เกิดขึ้นมานี้ด้วย แม้โครงการจะไม่เสร็จสมบูรณ์ ก็ต้องทำให้สมบูรณ์ต่อไป เพราะคนเหล่านี้เขารอคอย เมื่ออุทยานราชภักดิ์สมบูรณ์แล้วจะเป็นอย่างไร อยากให้สื่อลงในแง่มุมที่ดีได้แล้ว เลิกไปลงในทางที่เสียหาย เพราะมันไม่มีอะไรเสียหาย บางคนที่ไม่ปรารถนาดี อาจขุดหลุมพรางอะไรไว้ เราควรขึ้นจากหลุมพรางเหล่านั้นได้แล้ว
 
“ใครก็ตามที่ทำและพยายามกลบเกลื่อนเรื่องต่างๆที่มันไม่ดีไม่งาม โดยเอาเรื่องนี้มากลบเกลื่อน ถือว่าไม่เหมาะสม บาปกรรมมาก อุทยานราชภักดิ์เป็นสิ่งที่ต้องเคารพ เห็นบางสื่อซึ่งผมให้ลูกน้องบันทึกไว้ คิดว่าอีกระยะหนึ่ง คงต้องมีคนต้องชดใช้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ที่เขาได้ทำความเสียหายต่อชื่อเสียงของอุทยานราชภักดิ์ สื่อบางสื่อ พอเปิดหนังสือพิมพ์ดูก็ไปเขียนภาพองค์พระบูรพกษัตริย์ รู้หรือไม่ ขณะนี้คุณกำลังไม่เคารพอะไร พวกเราที่เป็นทหาร เป็นข้าราชการ เห็นภาพสิ่งที่เคารพรักไม่ว่าที่ใดก็ตาม เรายกมือไหว้ พวกเราถูกสั่งสอน แม้กระทั่งภาพสิ่งที่เราเคารพรักที่ถูกนำเสนอผ่านทางโทรทัศน์ ถ้าเห็นสิ่งที่เราเคารพรักสูงสุดเราจะยกมือไหว้โทรทัศน์ด้วยซ้ำ ผมพูดจากใจจริง เพราะทำมาตลอด แต่คนที่เอามาเขียนข่าวเล่น เขียนภาพเล่นๆ รู้หรือไม่คุณกำลังถูกกฎหมายข้อใด ขอให้ระมัดระวัง เพราะผมเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ แล้ววันหนึ่งคิดว่าจะเอามาดูอีกครั้งหนึ่ง” พล.อ.อุดมเดช กล่าว 
 
พล.อ.อุดมเดชกล่าวต่อว่า ยืนยันว่าสิ่งที่ไม่มีอะไรมันคงไม่มีอะไร มันไม่ทุจริตก็อยากให้ทุจริต เห็นบางคนเป็นตัวหลักที่จะเอ่ยหยอดถามประเด็นนั้นประเด็นนี้ คิดว่าหลายคนถ้าได้เห็นชื่อแล้ว ไม่มีคุณค่าทางสังคม ไม่มีคุณค่าต่อประเทศชาติอย่างไร เคยบริจาคสิ่งดีๆเหล่านี้แม้สักบาทเดียวหรือไม่ แล้วเที่ยวมากล่าวหากล่าวร้ายกัน คนที่เขามั่นใจเขาไม่เคยพูดสักคำ เมื่อถามว่า ยังยืนยันจะทำหน้าที่ในตำแหน่ง รมช.กลาโหมต่อไปหรือไม่ พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า ขอไม่พูดถึง อย่าถามในสิ่งที่คิดว่าเขาคงไม่ให้คำตอบ เมื่อมีภาระหน้าที่เราต้องทำไป เป็นสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาจะพิจารณาความเหมาะความควรหลายอย่างประกอบกัน ทุกคนที่เข้ามาทำงานคิดว่าพวกเราไม่ใช่นักการเมือง แต่เรามาทำหน้าที่การเมืองให้ในระยะหนึ่ง ในสถานการณ์จำเป็น ต้องพยายามทำกันต่อไปให้ดีที่สุด

มุมมองสว.สมชาย กรณีคดี"อถิสิทธิ์-สุเทพ"สลายการชุมนุม

Cr:สมชาย แสวงการ
ไม่เเปลกใจที่มติปปช7:0ชี้ อภิสิทธิ์ สุเทพ พลเอกอนุพงษ์ไม่ผิดในการสลายการชุมนุมปี53. เพราะความจริงคือความจริงที่ว่ามีกองกำลังชายชุดดำใช้อาวุธสงคราม เอ็ม16 อาร์ก้า เอ็ม79 และระเบิดนานาชนิดสังหารทหารตำรวจเเละประชาชน. เเต่อยากบอกให้เเกนนำจตุพรเเละหมอเหวงอย่าบิดครับ. เพราะข้อเท็จจริงที่คณะกมธตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ปี53 ของกมธสิทธิมนุษยชน วุฒิสภา. ตรวจสอบมานั้น ไม่ใช่อย่างที่หมอเหวงกล่าวอ้าง
1)คนตายคนเเรกไม่ใช่เสธเเดง คนตายเป็นทหารชื่อ พอ ร่มเกล้า ธุวธรรม อนุพงษ์. หอมมาลี อนุพงษ์ เมืองอำพัน สทภูริวัตน์ ประพันธ์ นาย ฮิโรยูกิ มูราโมโต้ นายวสันต์ ภู่ทอง ฯลฯ รวมทั้งสิ้น26คน. เป็นทหาร5 พลเรือน20 อีก1 เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวระหว่างชุมนุม.
ข้อเท็จจริงยืนยันการใช้กองกำลังชายชุดดำพร้อมอาวุธสงครามโจมตีทหารเเละประชาชนที่ถนนตะนาว ถนนดินสอเเละอีกหลายๆจุดรอบถนนราชดำเนิน. หลังที่พอร่มเกล้าเสียชีวิต ทหารทั้งหมดถอยร่นไปติดริมคลองตรงข้ามวัดบวรนิเวศน์หมดเเล้ว อย่าว่าเเต่ออกมายิงใส่ผู้ชุมนุมเลย. จะออกไปโรงพยายบาลยังถูกไล่ตี หลายคนที่บาดเจ็บถูกต้องปลอมเป็นชาวบ้าน หลายคนถูกขอร้องให้ถอดเครื่องเเบบใส่เเต่กางเกงในออกมาในรถหน่วยกู้ภัยที่มาช่วย กว่าจะถึงโรงพยาบาลพระมงกุฎ 23:00-01:00. หลังเวลาเกิดเหตุกว่า4-5ชั่วโมง. บางคนสียชีวิตเพราะเสียเลือดมาก. บางคนทุพลภาพเพราะได้รับการรักษาล่าช้า
2)ในการชุมนุมลุมพินีราชประสงค์ ผมเข้าไป2ครั้ง ด้านราชปรารภเเละด้านสวนลุม ยืนยันว่ามีอาวุธ มีการสะสมเเละใช้เอ็ม79ยิงใส่ประชาชนทหารที่ย่านถนนสีลม สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสีลม สนลุมพินีเเละบ่อนไก่จากมุมต่างๆในสวนลุมพินี จากคำสารภาพของสุรัยหรือหรั่ง เทวารัตน์อดีตคนขับรถของเสธเเดง. ยอมรับว่าพวกเค้าเอ็ม79กว่า200นัดจากที่สวนลุมเเละถนนราชปรารถ รวมทั้งสำนักข่าวบีบีซีเคยถ่ายภาพชายชุดดำใช้เอ็ม16ยิงออกจากสวนลุมในเช้าวันที่19พ.ค. เเละนักข่าวตปทบางสำนักเคยสัมภาษณ์ชายชุดดำอีกกลุ่มที่อยู่ในเเถวถนราชดำริถึงวิธีการการใช้ออาวุธซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ด้วยการออกไปซุ่มยิงอาวุธสงครามเอ็ม16อาร์ก้าเเละเอ็ม79 ตลอดเวลาที่มีการชุมนุม
3)หลังเเกนนำยอมจำนนมอบตัว เพราะกองกำลังชุดดำได้หลบหนีออกไปเเละลำเลียงอาวุธทางเรือไปหมดเพราะถูกกระชับวงล้อม มีคนบางส่วนได้ยุยงให้เกิดการเผา เซนทรัลเวิลด์ บิ้กซี ของกลุ่มจิราธิวัฒน์ เผาโรงหนังสยาม สยามสเเควร์ ห้างเซนเตอร์พอยท์. เเต่ไม่เผาโรงเเรมเอราวัน ของพงษ์เทพ. ซึ่งอยู่ใกล้กัน
วันอังคาร ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงผลการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ กรณีคำร้องขอให้ถอดถอนและคำกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กับพวก ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สั่งใช้กำลังทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือน เข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในวันที่ 10 เมษายน 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
นายสรรเสริญกล่าวว่า เรื่องนี้จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่าขณะเกิดเหตุที่มีการสั่งใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธปืนติดตัว เข้าขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ระหว่างวันที่ 10 เมษายน 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บนั้น อยู่ในช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลว่าการชุมนุมของกลุ่ม นปช. มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. จึงมีเหตุจำเป็นที่ ศอฉ.ต้องใช้มาตรการขอพื้นที่คืน เพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง โดยมีคำสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัว หากมีความจำเป็นสามารถนำมาใช้เพื่อระงับยับยั้งได้ไปตามสถานการณ์ หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเองได้ อันเป็นไปตามหลักสากล ตามนัยคำพิพากษาศาลแพ่งในคดีหมายเลขดำที่ 1433/2553
นายสรรเสริญกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม แม้คำสั่งที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัวเพื่อป้องกันตนเองได้จะเป็นไปตามหลักสากลก็ตาม แต่ก็เป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการใช้อาวุธปืนตามแนวทางดังกล่าวข้างต้นตามความจำเป็น และพอสมควรแก่เหตุ อันเป็นภาระที่หนักและยากอย่างยิ่งในการปฏิบัติ แต่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบดังกล่าวได้ หากภายหลังสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้อาวุธปืนโดยไม่สุจริต เลือกปฏิบัติ และเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีจำเป็น จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ อันเป็นความรับผิดเฉพาะตัว เช่นเดียวกับนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ จะต้องรับผิดในกรณีที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า รู้ว่าเจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของตนได้ใช้หรืออยู่ระหว่างใช้กำลังบังคับและอาวุธปืนโดย ไม่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วไม่ดำเนินการยับยั้ง ป้องกัน และรายงานเหตุดังกล่าว
ทั้งนี้ คดีการเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช.เมื่อปี 2553 ในเหตุการณ์เดียวกันนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้รับดำเนินการเป็นคดีพิเศษด้วย จึงมีมติให้ส่งเรื่องการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ทหารที่เป็นผู้กระทำให้เกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บดังกล่าว รวมถึงนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ ซึ่งมิใช่บุคคลตามมาตรา 66 ให้ดีเอสไอดำเนินการต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 89/2
เลขาธิการ ป.ป.ช.กล่าวว่า สำหรับประเด็นการกล่าวหานายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และ พล.อ.อนุพงษ์ กับพวก กรณีละเว้นไม่สั่งระงับยับยั้ง ทบทวนวิธีการ หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้กำลังทหารนั้น จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์การขอคืนพื้นที่ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บแล้ว ศอฉ.ได้ทบทวนปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยไม่ใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าผลักดันผู้ชุมนุมอีกต่อไป แต่ใช้มาตรการตั้งด่านตรวจ หรือจุดสกัดปิดล้อมวงนอกไว้โดยรอบ เพื่อให้ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมไปเอง โดยการปฏิบัติในวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 เป็นการตั้งด่านอยู่กับที่ทุกแห่ง แต่ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนกำลังเข้าไปควบคุมพื้นที่บริเวณสวนลุมพินี โดยไม่ได้มีการผลักดันต่อ ผู้ชุมนุมที่แยกราชประสงค์โดยตรง
"แต่เป็นการกดดันต่อกองกำลังติดอาวุธที่ยึดสวนลุมพินีอยู่ ซึ่งการปฏิบัติในการกระชับพื้นที่สวนลุมพินี ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน โดยประกาศให้ผู้ชุมนุมออกไปจากพื้นที่ก่อน, หลังจากประกาศแล้วเจ้าหน้าที่จึงเข้าไป" เลขาธิการ ป.ป.ช.กล่าว และระบุว่า ดังนั้นข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวน ยังรับฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามกับพวกได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว โดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือเป็นผู้ก่อหรือใช้ให้มีการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผลแต่อย่างใด คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติให้ข้อกล่าวหาตกไปเช่นกัน
รายงานข่าวจากสำนักงาน ป.ป.ช.แจ้งว่า สำหรับคดีดังกล่าวมีคณะกรรมการ ป.ป.ช.ทั้งคณะเป็นองค์คณะไต่สวน โดยมอบให้นายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. เป็นผู้รับผิดชอบสำนวนคดี ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.ที่มีการลงมตินั้น มีคณะกรรมการ ป.ป.ช.อยู่ครบทั้ง 7 คน ประกอบด้วยนายวิชา, นายประสาท พงษ์ศิวาภัย, นายภักดี โพธิศิริ, นายปรีชา เลิศกมลมาศ, พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง, นายณรงค์ รัฐอมฤต และ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ โดยได้ลงมติคดีดังกล่าวด้วยเสียงเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 เสียง
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า จากการไต่สวนถือว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 รายกับพวก ได้ทำตามหน้าที่โดยมีมาตรการจากเบาไปหาหนักแล้ว ส่วนเรื่องที่มีมติส่งไปให้ดีเอสไอสอบสวนต่อนั้นคือ กรณีที่มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากในที่เกิดเหตุเพื่อให้ดีเอสไอหาสอบสวนเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดกรณีที่ทำให้มีการตายเกิดขึ้น หรือการฆ่าคนตายที่เกิดขึ้นจากผู้ที่ยิง ซึ่งถือเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง ไม่เกี่ยวข้องกับผู้สั่งการแต่อย่างใด
ทางด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. กล่าวว่า คดีนี้ดีเอสไอส่งเรื่องให้อัยการ แล้วอัยการส่งเรื่องไต่สวนสำนวนชันสูตรพลิกศพในศาลว่าผู้ตายเป็นใคร และใครเป็นคนร้ายที่ทำให้ตาย จึงดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ฐานฆ่าคนตายโดยเร่งเห็นผล ต่อมานายสุเทพและนายอภิสิทธิ์ก็ฟ้องว่าไม่ใช่อำนาจของศาลอาญาในการพิจารณาคดี แต่เป็นอำนาจของศาลฎีกาแผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็จึงจำหน่ายเรื่องออกจากศาลอาญา แล้วคดีนี้ที่อยู่ศาลอาญาขณะนั้น จึงเกิดความเห็นแย้งคดีฆ่าคนตายจนกลายเป็นคดีสุญญากาศว่าคดีดังกล่าวเป็นอำนาจของศาลอาญาในการพิจารณาคดีหรือไม่
นายจตุพรกล่าวต่อว่า อัยการและญาติผู้เสียชีวิตในช่วงชุมนุมปี 53 จึงยื่นอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ว่าคดีนี้เป็นอำนาจของศาลอาญาพิจารณา การที่จะไปให้ศาลฎีกาพิจารณานั้น ก็ต้องผ่าน ป.ป.ช.ก่อน ซึ่งทุกคนก็คิดอยู่แล้วผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นยังไง ดังนั้นมันไม่ควรมาให้ ป.ป.ช.พิจารณาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว และทางญาติผู้เสียชีวิตกำลังรอการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ถ้าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีดังกล่าวเป็นอำนาจของศาลอาญา คดีก็จะเดินหน้าต่อไป ถ้าวินิจฉัยเห็นด้วยกับศาลชั้นต้น อัยการและญาติผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บก็ยังสามารถยื่นฎีกาได้ต่อไปเรื่องเขตอำนาจศาล ฉะนั้นมันไม่ควรส่งมาให้ ป.ป.ช.ทำคดี เพราะ ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจพิจารณาคดีฆ่าและพยายามฆ่า และตนไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไร
นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยกับมติ ป.ป.ช. เพราะ ป.ป.ช.อ้างคำพิพากษาศาลแพ่ง 433/2553 เท่าที่ตนจำได้ ป.ป.ช.อ้างว่ามีกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งไม่ตรงกับความจริง และอ้างว่าหลังจากเหตุการณ์ 10 เมษยาน 53 ไปแล้วในเหตุการณ์พฤษภา ไม่มีการใช้กองกำลังนอกจากการใช้กองกำลังทหารไปผลักดัน แต่มีการตั้งด่านสกัด ซึ่งตรงนี้ก็ไม่ตรงกับความจริง เพราะว่ามีคนตายคนแรกคือ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล (เสธ.แดง) ที่ถูกยิงที่สมอง ต่อมาที่ราชปรารภก็หลายศพ ซึ่งศาลก็พิพากษาไปแล้วว่าตายเพราะกระสุนของทหาร
"มติของ ป.ป.ช.ไม่ตรงกับความจริงโดยสิ้นเชิง และกองกำลังติดอาวุธในสวนลุมพินี อันนี้ ป.ป.ช.ก็พูดไปเองไม่มีหลักฐานปรากฏว่ามีจริง ดังนั้นผมจึงรับไม่ได้กับมติ ป.ป.ช. ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่ามติ ป.ป.ช.เป็นการช่วยเหลือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯและพรรคพวก ผมอยากเรียน ป.ป.ช.ว่า ที่ใดไม่มีความยุติธรรม ที่นั้นไม่มีการปรองดองไม่มีความสงบ" นพ.เหวงระบุ.