PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เกิดระเบิดฆ่าตัวตายในปากีสถาน มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 22 คน

เกิดระเบิดฆ่าตัวตายในปากีสถาน มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 22 คน
ตำรวจปากีสถานเปิดเผยว่า เกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายโจมตีสำนักงานทะเบียนราษฎร์ปากีสถาน (NaDra) ในเมืองมาร์ดาน ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือในวันนี้ (29 ธ.ค.) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 22 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 30 คน
ข่าวระบุว่า คนร้ายที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ได้จุดชนวนระเบิดเมื่อถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเรียกตรวจที่ด้านนอกอาคาร ซึ่งมักเต็มไปด้วยผู้คนที่เข้าคิวทำบัตรประจำตัวประชาชน ตำรวจระบุว่า ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บส่วนใหญ่เป็นพลเรือน
นายตำรวจระดับสูงของเมืองมาร์ดาน บอกกับผู้สื่อข่าวบีบีซีว่า หากมือระเบิดไม่ถูกเจ้าหน้าที่เรียกตรวจที่ประตูทางเข้าสำนักงาน ยอดผู้เสียชีวิตก็อาจพุ่งสูงกว่านี้ โดยจากการตรวจสอบพบว่าคนร้ายอาจใช้วัตถุระเบิดน้ำหนัก 12 กิโลกรัม
ด้านกลุ่มจามาอัท-อุล-อาห์ราร์ ซึ่งแยกตัวออกจากกลุ่มตาลีบันในปากีสถานเมื่อปีก่อน อ้างว่าเป็นผู้ก่อเหตุโจมตี “รัฐปากีสถานนอกรีต” ในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นเหตุระเบิดครั้งรุนแรงที่สุดในปากีสถานนับแต่เกิดเหตุกลุ่มตาลีบันในปากีสถานสังหารหมู่ที่โรงเรียนในเมืองเปชาวาร์ เมื่อเดือนธ.ค.ปีก่อน ส่งผลให้เด็กนักเรียนและครูเสียชีวิตไป 150 คน
At least 22 people are killed in a suspected suicide blast in north-west Pakistan, one of the worst attacks since a major security crackdown.
BBC.CO.UK

แรงกระเพื่อม! นักข่าวงดตั้ง ′ฉายารัฐบาล′ ชาวบ้านคันไม้คันมือ ตั้งแทนสื่อ


http://www.matichon.co.th/online/2015/12/14513856971451388186l.jpg

เป็นธรรมเนียมทุกช่วงสิ้นปีที่สื่อมวลชนจะมีการตั้งฉายาให้กับรัฐบาล นายกรัฐมนตรี รวมถึงรัฐมนตรีที่ปฏิบัติหน้าที่บริหารประเทศ เพื่อสะท้อนการทำงานของรัฐบาลในรอบปีที่ผ่านมา หากแต่ในปีเก่า พ.ศ.2558 ต่อปีใหม่ พ.ศ.2559 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ได้มีแถลงการณ์แจ้งเรื่อง "งดตั้งฉายา ประจำปี 2558 เหตุเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ด้วยวิธีพิเศษ" โดยให้เหตุผลว่า คณะรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ด้วยวิธีพิเศษ ไม่ผ่านกระบวนการเลือกตั้งตามกลไกปกติในระบอบประชาธิปไตย

พร้อมระบุหลักเหตุผลที่ถือปฏิบัติในการไม่ตั้งฉายาไว้ 3 กรณี 1. กรณีรัฐบาลรักษาการ ภายหลังนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา หรือกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจนรัฐบาลยังทำงานไม่ครบปี 2.กรณีรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจหรือรัฐประหาร และ 3.กรณีสถานการณ์บ้านเมืองอยู่ในภาวะไม่ปกติ

แต่แม้จะออกตัวด้วยสิ่งที่เรียกว่า "ความเห็นร่วมกัน" ว่า "ไม่ต้องการให้การงดตั้งฉายาของรัฐบาลและรัฐมนตรีประจำปี 2558 ครั้งนี้ ถูกนำไปใช้ขยายความขัดแย้งที่ยังดำรงอยู่ในสังคมไทย หรือถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มบุคคล ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด" กระนั้นก็ยังมีเสียงสะท้อนกลับมาจากบรรดาผู้ติดตามข่าวสาร และเฝ้ารอฉายาที่มอบให้ ดังนั้น เมื่อไม่มีก็เลยทำให้บางคนมองว่าเป็นความกังวลเรื่องท่าทีของ "ท่านผู้นำ" ที่ค่อนข้างจะขึงขังจริงจังกับบางคำถามที่ไม่สบอารมณ์ของผู้สื่อข่าว บางคนถึงขั้นบอกว่าผู้สื่อข่าวกลัวอะไรบางอย่าง จึงเป็นเหตุให้ปีนี้งดที่สะท้อนผลงานรัฐบาลออกมาในรูปแบบฉายา

อย่างไรก็ตามยังมีความเห็นต่อประเด็นนี้เพิ่มเติม และทำหน้าที่ตั้งฉายาไว้อย่างน่าสนใจด้วย

*พระเอกตัวจริง?*
พยายามสอดส่ายสายตามองหาฉายาที่ "ชาวเน็ต" มอบให้กับรัฐบาลชุดนี้ พบว่าหลายฉายาค่อนข้างออกมารุนแรง และออกไปในทางที่เมื่อได้เห็นแล้ว คนที่ได้รับฉายาอาจเปลี่ยนจากหน้าเปื้อนยิ้มช่วงปีใหม่เป็นใบหน้าขมึงตึง โกรธเกรี้ยวแทนได้ ดังนั้น เพื่อเป็นหลักการและบทวิเคราะห์มากยิ่งขึ้น จึงลองสอบถามจากนักวิชาการผู้เกาะติดสถานการณ์บ้านเมืองอย่างใกล้ชิด มาลงไว้เผื่อใครจะคิดฉายาอื่นๆ มอบให้อีกก็ตามสะดวก

เริ่มต้นที่ สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่มองการงดตั้งฉายารัฐบาลว่า อาจมีกฎเขียนไว้ว่าถ้าเป็นรัฐบาลในระยะปฏิวัติจะไม่มีการตั้งฉายา เช่น สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็ไม่มีการตั้งฉายา แต่ตัวเองมองว่า ในระยะหลัง หรืออย่างล่าสุดที่มีการตั้งฉายาดาราออกมานั้น ตั้งกันแบบที่ไม่ใช่การหยิกแกมหยอกเหมือนเมื่อก่อน วันนี้ เหมือนตั้งฉายาไปแล้วทำให้คนที่ได้รับฉายานั้นเสียหาย เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดมีการตั้งฉายาให้รัฐบาลนี้ในแนวนี้ขึ้นมา คิดว่าอาจจะมีเรื่อง เพราะรัฐบาลชุดนี้ห่วงภาพลักษณ์ค่อนข้างสูงในแง่การถูกโจมตี มักจะมองว่าคนที่โจมตีเป็นฝ่ายตรงข้าม นักข่าวคงจะไม่อยากเสี่ยง

"ถ้าให้ตั้งเล่นๆ คงต้องตั้งแบบที่ไม่ใช่การด่าว่าหรือเสียดสี ควรตั้งในลักษณะล้อเลียน หยิกแกมหยอก ไม่ใช่การโจมตี แต่ถ้าจะให้ผมตั้งฉายาให้รัฐบาล ผมคงไม่เล่นด้วย...(หัวเราะ) แต่อาจจะเห็นภาพไม่ชัดมาก เลยยกตัวอย่างเช่น ′บิ๊กป้อม′  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ขอตั้งฉายาว่า ′พระเอกตัวจริง′ เพราะเวลามีปัญหาหรือข้อขัดแย้ง แต่งตั้งคนนั้นคนนี้ คนที่แก้ปัญหา นี่คือตัวจริง"  อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง กล่าว

*รัฐบาลขวัญใจใคร?*

อีกคนหนึ่งที่ร่วมวิเคราะห์ถึงธรรมเนียมสื่อที่เคยถือปฏิบัติมากว่า2 ทศวรรษจนสะท้อนออกมาให้เห็นถึงบทบาทของวิชาชีพในช่วงสถานการณ์นี้ กับคำถามว่าการที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลงดตั้งฉายาให้กับรัฐบาลสะท้อนอะไรบ้าง? และถ้าเป็นตัวเองจะให้ฉายาว่าอะไร?

ได้รับคำตอบจาก ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระ วิเคราะห์ถึงการงดตั้งฉายารัฐบาลว่า สะท้อนถึง 3 สาเหตุสำคัญคือ 1.ความเกรงใจรัฐบาลของสื่อมวลชนในยุคนี้ที่มีมากพิเศษ อย่างไม่เคยเห็นมาก่อน  2.การทำงานรัฐบาลชุดนี้ ที่มีคนในวงการสื่อมวลชนเข้าร่วมด้วยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะใน สนช. สปช. หรือที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำ 5 สายที่มาจากการรัฐประหารนั้น ทำให้เครือข่ายผู้สื่อข่าวเกิดความเกรงอกเกรงใจนักข่าวอาวุโส ที่เข้าไปมีส่วนร่วมนั้น อย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จนนำมาสู่สาเหตุข้อที่ 3. คือ สมควรหรือไม่ที่สื่อมวลชนจะเข้าไปเป็นกลไกหนึ่งของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร โดยเฉพาะแบบหลังนั้น เราก็เห็นชัดว่าเมื่อมีการรัฐประหารแล้ว มีการประกาศกฎอัยการศึกควบคุมเสรีภาพสื่อ การที่สื่อเข้าไปแล้วบอกว่าจะไปขับเคลื่อน ปกป้องสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนในประเทศให้ดีขึ้นก็ไม่เห็นทำได้ ทุกวันนี้ยังมีการพูดจาข่มขู่ การที่สื่อทุกคนรู้ว่าต้องเซ็นเซอร์ตัวเองอย่างไรเกิดขึ้นไม่เสื่อมคลาย อย่างนี้ไม่น่าจะเรียกว่าการใช้สิทธิเสรีภาพ

"สำหรับฉายา ถ้าให้ตั้งให้รัฐบาล ขอให้ฉายาว่า ′รัฐบาลขวัญใจนายทุน′ เพราะเป็นรัฐบาลชุดที่แม้ตัวเลขเศรษฐกิจจะไม่ดี การส่งออกจะติดลบต่อเนื่อง การคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจปีหน้าก็ไม่ดีขึ้น แต่รัฐบาลก็ไม่ได้เป็นห่วง ขณะเดียวกันก็เอากลุ่มทุนมานั่งทำงานกับรัฐมนตรี กับรัฐบาล แม้ผ่านมาจะมีบ้างลักษณะนี้ แต่ก็ทำเป็นเรื่องๆ แล้วก็ผ่านไป แต่การทำเป็นแพ็กเกจแบบมานั่งอยู่ในกลุ่มบริหาร มีฉันทานุมัติกำหนดนโยบายรัฐได้ ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญ เราจะเห็นกลุ่มทุนใหญ่เข้าไปร่วมทำงานตรงนี้ ดังนั้น การยืนยันไม่ขึ้นค่าแรงเพราะอ้างเศรษฐกิจไม่ดี ทั้งที่การขึ้นค่าแรงไม่ใช่ใช้เงินรัฐบาล ก็เป็นการเอื้อกับทุนใหญ่เป็นหลัก" ศิโรตม์กล่าว

ขณะที่ถ้าจะให้ตั้งฉายาให้กับรัฐมนตรีในแต่ละกระทรวงนั้น ศิโรตม์บอกว่ายังเห็นภาพไม่ชัด แต่ก็ขอตั้งให้กลุ่ม ′รัฐมนตรีด้านสังคม′ แบบแต่ละกระทรวงรับไปว่า "รัฐมนตรีสังคมโลกลืม" เพราะภาพการทำงานที่ออกมาแทบไม่รู้เลยว่าทำอะไรบ้าง จะเป็นประชาสัมพันธ์ไม่ดีด้วยหรือเปล่านั้นส่วนหนึ่ง แต่ถ้าไปถามประชาชนเชื่อว่าคงไม่มีใครคิดออก

เป็นบทวิเคราะห์และฉายาบางส่วนที่นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ช่วยตั้งให้ในวันที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลที่มีธรรมเนียมถือปฏิบัติกันเป็นประจำงดทำหน้าที่น่าจะพอช่วยฉายภาพสถานการณ์บ้านเมืองในห้วงปีที่ผ่านมาได้บ้าง
หรืออย่างน้อยก็ทำให้ประชาชนคันไม้คันมือคิดอยากให้"ฉายารัฐบาล"แทนสื่อกันแล้ว

′พูลผล′ ลูกคนกลาง ตระกูลอัศวเหม หัวใจล้มเหลว ช็อกวูบล้มกระแทกพื้นดับ



http://www.matichon.co.th/online/2015/12/14513696451451375832l.jpg

เมื่อเวลา 04.00 น. วันที่ 29 ธันวาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ รับแจงเหตุพบศพ ผู้เสียชีวิตในบ้านเลขที่ 111 หมู่ที่ 4 ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ ภายหลังพบว่าเป็นบ้านของ นายพูลผล อัศวเหม อายุ 48 ปี นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดสมุทรปราการ และประธานคณะกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัย (คสม.) สมุทรปราการ โดยบริเวณที่เกิดเหตุอยู่ภายในบ้านพัก พบศพ นายพูลผลนอนเสียชีวิตอยู่บริเวณเก้าอี้ ภายในบ้านพักเรือนไม้ หลังเล็ก จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ตายสวมเสื้อยืด กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ ลักษณะเหมือนกำลังจะออกกำลังกาย

เบื้องต้นแพทย์ระบุว่า เกิดจากอาการช็อกวูบ แล้วล้มลงกระแทกพื้น หัวใจล้มเหลว อย่างไรก็ตามทราบว่าผู้ตายมีโรคประจำตัว และเพิ่งออกจาก รพ. มาได้ไม่นาน เบื้องต้นคาดว่า ผู้ตายกำลังออกไปวิ่งเช่นเคย แต่เนื่องจากมีอาการผิดปกติ จนเสียการทรงตัว ล้มลงขณะลุกขึ้นหลังผูกเชือกรองเท้า ทางญาติไม่ติดใจเหตุเสียชีวิต ทางเจ้าหน้าที่จึงลงบันทึกประจำวันเอาไว้ตามกฎหมาย ขณะเดียวกันญาติจะได้จัดงานรดน้ำศพที่บ้านพักของนายพูลผล ในช่วง 16.00 น. วันเดียวกันนี้ พร้อมดำเนินการตามพิธีทางศาสนาต่อไป

สำหรับนายพูลผล อัศวเหม นั้น เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2510 จบการศึกษาปริญญาตรีทางบริหารธุรกิจ สหรัฐอเมริกา และปริญญาโททางบริหารธุรกิจ สหรัฐอเมริกา เป็นบุตรของนายวัฒนา อัศวเหม อดีตรมช.มหาดไทย มีพี่น้อง 3 คนคือ นายพิบูลย์ อัศวเหม, นายพูลผล อัศวเหม อดีตส.ส.สมุทรปราการ และนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สมุทรปราการ

โดยนายพูลผลนั้น เคยถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำพิพากษาให้ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี กรณีจงใจซุกบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 295 ได้แก่เงินลงทุนมูลค่ากว่า 435 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นในชื่อนายพูลผลอยู่ในบริษัทต่างๆ จำนวน 25 บริษัท และนางประภาพร อัศวเหม ภรรยานายพูลผล อีก 19 บริษัท โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลเมื่อ วันที่ 8 มกราคม 2547

ดร.มั่น พัธโนทัย อดีตรองนายกรัฐมนตรี คนใกล้ชิดนายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ได้รับโทรศัพท์จากเลขานุการนายพูลผล แจ้งให้ทราบว่านายพูลผลได้เสียชีวิตแล้วด้วยโรคหัวใจ เมื่อเวลา 04.00 น.ที่ผ่านมา ที่บ้านพระสมุทรเจดีย์ โดยจะมีพิธีรดน้ำศพ 16.00 น. ในวันเดียวกันนี้ที่บ้านพระสมุทรเจดีย์ และสวดอภิธรรมศพที่วัดพระสมุทรเจดีย์ในวันที่ 30 ธันวาคม อย่างไรก็ตามทราบว่านายวัฒนา บิดาของนายพูลผลรับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพูลผลเป็นอดีตส.ส.สมุทรปราการ 3 สมัย และเคยดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการรองนายกรัฐมนตรี บรรดาคนใกล้ชิดนายวัฒนาทราบดีว่า บรรดาลูกชายทั้ง 3 คน นายพูลผล ซึ่งเป็นบุตรชายคนกลาง เป็นคนที่นายวัฒนารักมากที่สุด เพราะอุปนิสัยเป็นคนใจกว้าง โอบอ้อมอารี และเป็นอดีตส.ส.คล้ายพ่อมากที่สุด

ศาลแพ่งยกฟ้องคดี "อภิสิทธิ์" ให้ถอนคำสั่งกลาโหมปลดออกจากราชการ


ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ศาลแพ่งมีคำพิพากษา ในคดีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของกระทรวงกลาโหม ที่ให้ปลดโจทก์ออกจากราชการ
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุที่จำเลยปลดโจทก์ออกจากราชการ เนื่องจากโจทก์ขาดการตรวจเลือกทหารแล้วนำใบสำคัญ (ใบสด.9) แทนฉบับที่ชำรุดสูญหายอันเป็นเท็จ มาแสดงต่อสัสดีจังหวัดนครนายก ทำให้สัสดีจังหวัดนครนายกไม่ทราบความจริงว่าโจทก์ครบเวลาที่จะต้องเข้ารับการตรวจเลือกทหาร จึงไม่ได้ระบุสถานะว่า เป็นผู้ขาดการเกณฑ์ทหาร เป็นเหตุให้สัสดีจังหวัดนครนายกออกใบสำคัญ สด.3 (ใบขึ้นทะเบียนกองประจำการ) ให้แก่โจทก์ อีกทั้งโจทก์ไม่มีใบสด.41 ซึ่งเป็นเอกสารแสดงว่าได้รับการผ่อนผันกรณีศึกษาที่ต่างประเทศว่าไม่ต้องเข้ารับการตรวจเลือกทหาร โจทก์จึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติและไม่มีคุณสมบัติที่จะบรรจุเข้ารับราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตรได้ การสมัครและบรรจุโจทก์เป็นข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตร กับการแต่งตั้งโจทก์เป็นนายทหารสัญญาบัตรฯ ตามคำสั่งกระทรวงกลาโหมเป็นการไม่ชอบ คำสั่งของจำเลยที่ให้ปลดโจทก์ออกจากราชการ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว ไม่มีเหตุเพิกถอนคำสั่งของจำเลย

ด้านนายไพบูลย์ โพธิ์น้อย ทีมทนายความ เปิดเผยว่า คดีนี้นายอภิสิทธิ์เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีตรัฐมนตรีกลาโหม โดยทางทีมทนายเพิ่งทราบคำพิพากษาแบบฉุกละหุก จึงยังไม่สามารถให้ข้อมูลอะไรได้ ต้องขอศึกษารายละเอียดก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ นายอภิสิทธิ์ เคยยื่นฟ้อง พล.อ.อ.สุกำพล ต่อศาลปกครองกลาง กรณีที่ได้รับความเสียหายจากการที่พล.อ.อ.สุกำพล ผู้ถูกฟ้องคดี มีคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ 1163/2555 ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน ปลด ร.ต. อภิสิทธิ์ ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการทหาร ต่อมาศาลปกครองกลางมีคำสั่งเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2557 ให้โอนคดีดังกล่าวไปให้ศาลแพ่งวินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา 11 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลปกครอง

ต่อจากนั้น นายอภิสิทธิ์ จึงได้ ยื่นฟ้อง พล.อ.อ.สุกำพล ต่อศาลแพ่ง เรื่องกระทำการโดยมิชอบในการออกคำสั่งกลาโหม ในการออกคำสั่งดังกล่าว โดยนายอภิสิทธิ์โจทก์ ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่ง รมว.กลาโหม ดังกล่าว โดยให้มีผลนับตั้งแต่วันที่ออกคำสั่ง เนื่องจากมีตั้งคณะกรรมการขึ้นมาไต่สวนข้อร้องเรียนที่เคยพิจารณาไปแล้วเมื่อปี 2542 และยังมีการเร่งดำเนินการจัดทำรายงานว่าโจทก์กระทำผิดตามข้อกล่าวหา โดยไม่เรียกไปให้ถ้อยคำหรือแสดงพยานหลักฐาน ขณะที่โจทก์ได้ลาออกจากข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตรที่ได้รับบรรจุ ปี 2530 ในตำแหน่ง รรก.อจ.ส่วนการศึกษา จปร.แล้ว ตั้งแต่ปี 2532 เพื่อลงสมัครผู้แทนราษฎร

ซีเรีย..ใกล้ประกาศชัยชนะต่อไอซิสอย่างเป็นทางการ



หมี CNN ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 5 ภาพ
รอฟังข่าวดี 3 ข่าวภายในค่ำคืนนี้ !!! ซีเรีย..ใกล้ประกาศชัยชนะต่อไอซิสอย่างเป็นทางการ หากหลังจากถล่มกองเสบียงใหญ่แหล่งสุดท้ายของไอซิส อิรักเตรียมบุกโมซุล เอาแผ่นดินคืน มีสิทธิ์เก็บกวาดเศษทหารไก่งวงไปด้วย..ลิเบีย แอฟกานิสถาน ประกาศขอให้รัสเซียเข้าช่วยเหลือกำจัดกลุ่มก่อการร้ายอย่างเป็นทางการแล้ว
สรุปง่ายๆว่า..รัสเซียกำลังจะได้ความชอบธรรมเข้ากุมพื้นที่ตะวันออกกลางจุดยุทธศาสตร์ส่วนใหญ่ โดยเจ้าบ้านเชื้อเชิญ เต็มใจ และสามารถถล่มอีแร้ง นาโต้ได้เต็มพิกัด เพราะมีตรายางจากเจ้าของแผ่นดินแล้วสิน่ะ !! ซาอุ อิสราเอล ร้องจ๊าก..กูโดนปิดประตูตีแมว ไก่งวงก็โดนด้วย
-------------------------------------------------------------------------------------
ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ / ข่าวน่าสนใจสำหรับวันนี้อีก ๓ ข่าว:
ข่าวที่หนึ่ง กองทัพซีเรีย, เครื่องบินรบรัสเซียและกองกำลังเฮสบอเลาะห์ได้สนธิกำลังกันตั้งแต่เมื่อวานเพื่อเปิดศึกหนักวันนี้ นั่นก็คือการบุกถล่มฐานที่มั่นของไอสิสที่อิดลิบซึ่งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรียและติดพรมแดนตุรกี
ฐานนี้ตุรกีเคยฝันหวานมานานว่าจะตั้งเป็นฐานทัพใหญ่ของกองทัพตุรกีอย่างถาวรและเป็น *เส้นทางลำเลียงเสบียง* ของไอสิสมาจากตุรกีด้วย ถ้าฐานที่มั่นของไอสิสที่อิดลิบแตก ก็แปลว่าเส้นทางลำเลียงเสบียงกรังหลักของไอสิสถูกทำลายลง ซีเรียก็น่าจะประกาศชัยชนะแล้ว เมื่อขาดเสบียงกรัง ไอสิสที่อื่นๆ ก็ร่อแร่ไปด้วย รอดูข่าวคืบหน้าพรุ่งนี้ครับ
ข่าวที่สอง รัฐบาลอิรักประกาศจะส่งกำลังบุกเข้ายึดจังหวัดโมซุลคืนจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายไอสิสและอาจจะต้องปะทะกับกองทัพตุรกีที่ยังเหลืออยู่ด้วย โดยจะดำเนินการหลังจากที่กวาดล้างไอสิสที่จังหวัดรามาดีเรียบร้อยแล้ว ..เห็นอิรักประกาศอย่างนี้ คงจะมี *ตัวช่วย* แล้วละครับ และคงไม่มีชาติไหนจะกล้ามาช่วยทั้งไอสิสและตุรกีออกหน้าออกตาได้อีกแล้ว
ข่าวที่สาม นอกจากอิรักและเลบานอน (แว่วๆมาว่าอาฟกานิสถานด้วย) ที่ส่งหนังสือขอให้รัสเซียช่วยส่งทหารมาปราบผู้ก่อการร้ายในประเทศอย่างเป็นทางการ วันนี้ ลิเบียได้ร้องขอความช่วยเหลือจากรัสเซียอย่างเป็นทางการแล้วอีกประเทศ
ตำรา *ประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่* สรุปได้หรือยังว่าวิธีล่าอาณานิคมแนวใหม่คือสร้างผู้ร้ายไปก่อกวนให้เขาแตกแยกแล้วแสวงหาผลประโยชน์ทีหลัง? ประเทศประชาธิปไตย+ทุนนิยมเขาทำกันอย่างนี้ครับ
25 ธันวาคม 2558

ป.ป.ช. มีมติให้ข้อกล่าวหากรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพวก สลายการชุมนุมกลุ่ม นปช.

ป.ป.ช. มีมติให้ข้อกล่าวหากรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพวก สลายการชุมนุมกลุ่ม นปช. ตกไป แต่ให้ส่งเรื่องการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ทหารไปยังดีเอสไอ เพื่อสอบสวนการกระทำผิดต่อไป

 ในวันนี้ (29 ธันวาคม 2558) เวลา 16.30 น. นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ได้แถลงมติที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีคำร้องขอให้ถอดถอนและ คำกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก กับพวก ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สั่งใช้กำลังทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือน เข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในวันที่ 10 เมษายน 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก โดยเรื่องนี้จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า ขณะเกิดเหตุที่มีการสั่งใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธปืนติดตัว เข้าขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ในระหว่างวันที่ 10 เมษายน 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บนั้น อยู่ในช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลว่าการชุมนุมของกลุ่ม นปช. มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. จึงมีเหตุจำเป็นที่ ศอฉ. ต้องใช้มาตรการขอพื้นที่คืน เพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง โดยมีคำสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัว หากมีความจำเป็นสามารถนำมาใช้เพื่อระงับยับยั้งได้ไปตามสถานการณ์ หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเองได้ อันเป็นไปตามหลักสากล ตามนัยคำพิพากษาศาลแพ่งในคดีหมายเลขดำที่ 1433/2553 
อย่างไรก็ตาม แม้คำสั่งที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัวเพื่อป้องกันตนเองได้จะเป็นไปตามหลักสากลก็ตาม แต่ก็เป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการใช้อาวุธปืนตามแนวทางดังกล่าวข้างต้นตามความจำเป็น และพอสมควรแก่เหตุ อันเป็นภาระที่หนักและยากอย่างยิ่งในการปฏิบัติ แต่เจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบดังกล่าวได้ หากภายหลังสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้อาวุธปืนโดยไม่สุจริต เลือกปฏิบัติ และเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีจำเป็น จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ อันเป็นความรับผิดเฉพาะตัว เช่นเดียวกับนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ จะต้องรับผิดในกรณีที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า รู้ว่าเจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของตนได้ใช้หรืออยู่ระหว่างใช้กำลังบังคับและอาวุธปืนโดย ไม่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วไม่ดำเนินการยับยั้ง ป้องกัน และรายงานเหตุดังกล่าว ซึ่งคดีการเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. เมื่อปี 2553 ในเหตุการณ์เดียวกันนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับดำเนินการเป็นคดีพิเศษด้วย จึงมีมติให้ส่งเรื่องการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ทหารที่เป็นผู้กระทำให้เกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บดังกล่าว รวมถึงนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ ซึ่งมิใช่บุคคลตามมาตรา 66 ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 89/2
 สำหรับประเด็นการกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา กับพวก กรณีละเว้นไม่สั่งระงับยับยั้ง ทบทวนวิธีการ หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้กำลังทหารนั้น จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์การขอคืนพื้นที่ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บแล้ว ศอฉ.ได้ทบทวนปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยไม่ใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าผลักดันผู้ชุมนุมอีกต่อไป แต่ใช้มาตรการตั้งด่านตรวจ หรือจุดสกัดปิดล้อมวงนอกไว้โดยรอบ เพื่อให้ ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมไปเอง โดยการปฏิบัติในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓ เป็นการตั้งด่านอยู่กับที่ทุกแห่ง แต่ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ เจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนกำลังเข้าไปควบคุมพื้นที่บริเวณสวนลุมพินี โดยไม่ได้มีการผลักดันต่อ ผู้ชุมนุมที่แยกราชประสงค์โดยตรง แต่เป็นการกดดันต่อกองกำลังติดอาวุธที่ยึดสวนลุมพินีอยู่ ซึ่งการปฏิบัติในการกระชับพื้นที่สวนลุมพินี ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน โดยประกาศให้ผู้ชุมนุมออกไปจากพื้นที่ก่อน หลังจากประกาศแล้ว เจ้าหน้าที่จึงเข้าไป ดังนั้นข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวน ยังรับฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งสาม กับพวก ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการดำเนินการ ในเรื่องดังกล่าว โดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือเป็นผู้ก่อหรือใช้ให้มีการฆ่าผู้อื่น โดยเจตนาเล็งเห็นผลแต่อย่างใด คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติให้ข้อกล่าวหาตกไปเช่นกัน

นายกยังให้โอกาส85ขรก.

นายกฯ ให้แต่ละกระทรวง ตรวจสอบ 58ขรก.ก่อน  ยังไม่เซนต์ ให้โอกาส เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน แต่ถ้าผิด ก็ย้าย-ปลด-ดำเนินคดี ปปช. ฟ้องศาล

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงการตรวจสอบบัญชีรายชื่อ 58 ข้าราชการทุจริตล็อตใหม่ว่า 
“ทำไม มันจะเป็นจะตายหรือไง ก็เดี๋ยวเขาขอตรวจสอบและส่งขึ้นมา แต่ผมยังไม่เห็น ก็เดี๋ยวเขาจะเอาขึ้นมาตรวจสอบและคัดกรองส่งไปยังกระทรวง 

ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงกันก่อน ไม่ใช่ส่งไปส่งมาแล้วจะไปเล่นงานเขา มันไม่ใช่ คือต้องให้กระทรวงเขาตรวจสอบก่อนว่าจริงหรือเปล่า ให้โอกาสเขาสิ ไม่ใช่ว่าเป็นคนข้างนี้แล้วผมจะลงโทษก่อน มันไม่ใช่ คนไทยด้วยกัน แต่ผมจะให้โอกาสเขา ถ้าต้องลงโทษก็ต้องเข้ากระบวนการตรวจสอบ หาหลักฐานอะไรต่างๆให้เรียบร้อย 

แล้วให้ทางกระทรวงเขาลงโทษเองได้ 1. ก็ปรับย้าย 2.คือปลดออก ไล่ออก ไม่ได้บำเหน็จบำนาญ 3.หากยังไม่พอยัง ยังมีความผิดอีกก็ส่งไปคณะ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)และสำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) 

หรือจะไปฟ้องศาลอาญา ศาลแพ่งก็ได้ มันเป็นแบบนี้ ไม่ต้องเร่งรัด ถามว่าเสร็จยังๆ ไม่สร้างสรรค์เลย มันเป็นเรื่องของการแก้ปัญหา เป็นเรื่องของปลายเหตุ ต้องถามว่าแล้วจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเหล่านี้ นั่นคือการพัฒนาระบบราชการบริหารแผ่นดิน มีกฎหมาย ไม่ก้าวล่วงอำนาจซึ่งกันและกัน ข้าราชการต้องรักษากฎระเบียบ ผู้มีอำนาจทางปกครองก็ไม่ไปทับเขา ไอ้นี่ก็แก้ไป ติดคุกก็ติดไป การแก้ไขปัญหาต้องให้ความเป็นธรรมด้วย”

“การตรวจสอบทุจริตของข้าราชการทางการเมืองก็อีกอย่างหนึ่ง ข้าราชการก็อีกอย่างหนึ่ง ประชาชนทั่วไปก็อีกอย่างหนึ่ง ข้าราชการนั้นมี 2 ดอกคืออาญากับแพ่งและมีมาตรการทางวินัย โดยจะต้องมีการตรวจสอบภายในและภายนอก ซึ่งหากยังไม่พอหน่วยงานอื่นก็สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ ทุกโครงการของกองทัพบกตั้งแต่ผมอยู่มา ก็มีการตรวจสอบทุกเรื่อง มีการนำหลักฐานมาชี้แจง หากเขาไม่เข้าใจและไม่ให้เราทำ เราก็ไม่ทำ เราก็หยุดไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องซื้อยานพาหนะ ซื้อรถซื้อลา ต่างถูก กลั่นกรองและผ่านการตรวจสอบ ซื้ออะไรไม่ได้หรอกถ้า ป.ป.ช. ส.ต.ง.ค้าน หากจะย้อนกลับไปกลับมา คงต้องย้อนทุกเรื่อง ทุกกระทรวง ส่วนซื้อมาแล้วใช้ได้หรือไม่ เราคงไม่รู้ เพราะบางครั้งสเปกของไทยต่อต่างประเทศไม่เหมือนกัน ทุกเรื่องก็ต่างมีปัญหาหมด ถ้าจะเป็นรื้อเรื่องเก่าๆ ผมว่าไม่เป็นธรรมเท่าไหร่”

นายกฯขอบคุณโหรวารินทร์ทายอยู่ยาว

นายกฯ  ขอบคุณ "โหรวารินทร์" เชียร์ อยู่ยาวส่วน ทำนายปรับ ครม. ปี59 ระบุยังไม่คิดปรับครม. ให้ รมต.ไปพักผ่อนปีใหม่ก่อน ไม่เคยพูดจะปรับเมื้อไหร่

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการที่ โหรวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ ที่ทำนายว่าจะอยู่ถึง 10 ปี พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า “ก็ต้องขอบคุณ” ท่าน พลเอกประวิตร ตอบไปแล้วนี่

ส่วนที่ทำนายฯว่า จะปรับครม. นั้น นายกฯ กล่าว “ผมไม่ได้บอกว่าจะเปลี่ยนหรือจะปรับ ครม.ยังอยู่ครบ ปีใหม่ก็ให้เขาพักผ่อน ไม่เคยพูดว่าจะปรับ” 

เมื่อถามต่อว่าผลสอบอุทยานราชภักดิ์จะมีส่วนในการตัดสินใจปรับหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะมีการแถลงก็รอฟังสิ ถ้ายังไม่จบแค่นั้นก็ไป ป.ป.ช. ส.ต.ง.

            
เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่าหมอดูอีทีทำนายแล้วว่าใครจะเป็นนายกฯ คนต่อไป นายกฯ กล่าวว่า “ผมเอามาจากสื่อนี่แหละ สื่อไม่เห็นกันหรือ”

นายกปีใหม่ไม่ได้ไปไหน

บิ๊กตู่” เผย ปีใหม่ ไม่ไปไหน เพราะ รปภ.ตัองตามไปเป็นร้อย ระบุ ที่ผ่านมาไม่เคยเที่ยวนานแล้ว ตามเสด็จฯตลอด แนะไปไหน ถ่ายภาพคนน่าสงสัย ไว้ด้วย เป็นหูเป็นตา ไม่ใช่ ถ่ายแต่ผม  ผมไม่ใช่ดารา ขอทุกฝ่ายเริ่มปีใหม่ คิดใหม่ทำใหม่ ช่วยกันปฏิรูปประเทศ  อย่าให้ผมเป็นคนตัดสินประเทศ

            
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ให้สัมภาษณ์ถึงของขวัญปีใหม่ที่มอบให้กับประชาชนว่า เรื่องของขวัญปีใหม่ที่มอบให้ไปทุกคนจะได้เหมือนกันหรือได้เท่ากันไม่ได้ เป็นการแบ่งกันแต่ละส่วน 

ในส่วนของคนรายได้น้อยได้ให้มาตรการช่วยเหลือไปแล้ว ก็ต้องมาดูในส่วนของคนที่มีรายได้อีกส่วนหนึ่ง จะสามารถซื้อของในราคาถูกได้หรือไม่ ซึ่งรัฐก็ต้องสูญเสียรายได้ตรงส่วนนี้ไป แต่ถ้าบอกว่ารัฐทำแล้วเสียหาย แล้วที่ต้องช่วยไปหมดไปเยอะๆเพื่อช่วยสร้างความเข้มแข็ง เหล่านี้มันไม่เสียหรือ แต่เป็นการเสียเพื่อความเข้มแข็ง แต่ส่วนนี้เป็นการเสียเพื่อให้เกิดวงจรการผลิตมากขึ้น ถ้าไม่มีคนซื้อโรงงานก็เจ้งหมด นี่คือเหตุผลหลัก ประชาชนก็มีความสุขที่ได้ออกไปจับจ่ายใช้สอย บางคนไม่เคยออกจากบ้านเลยก็ได้ออกไป และตนไม่ได้ไปเอื้อประโยชน์ให้กับห้าง

 นายกฯ ถามสื่อว่า “ปีใหม่ไปเที่ยวไหนกันบ้าง ให้ระวังและวางตัว ช่วยกันดูแลด้วย ไม่ใช่ไปเที่ยวอย่างเดียว ติดกล้องไปด้วยเผื่อพบใครที่หน้าสงสัยจะได้ช่วยกันบันทึกภาพ 

"ไม่ใช่ถ่ายแต่หน้าผมทั้งวัน ผมไม่ใช่ดารา”

 ผู้สื่อข่าวถามว่าช่วงปีใหม่นายกฯไปเคาท์ดาวน์ที่ไหน นายกฯ กล่าวว่า ที่บ้าน 

เมื่อถามอีกว่าไม่ไปดูไฟหรืออย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ไม่เคยเห็นหรือไฟ ถ้าตนไป มีรปภ.สักร้อยคนจะไหวไหม ทีวีก็มี 

"ผมไม่เคยไปไหน จำได้ว่าตลอดชีวิตตั้งแต่เด็กๆ จนเป็นร้อยตรีร้อยโทก็ตามประสาหนุ่ม แต่งงานแล้วก็เที่ยวน้อยลง มีความรับผิดชอบ อิสระจนเคย ถ้าเราไม่มีสติยับยั้งตนเองมันอยู่ไม่ถึงวันนี้หรอก พอเริ่มโตมาก็ได้ไปถวายงาน ทุกปีใหม่ก็ได้อยู่กับพระองค์ท่าน ผมไม่เคยไปไหน"
            
“ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ผมอยากให้ทุกคนคิดใหม่ทำใหม่ ช่วยกันปฏิรูปประเทศชาติ ในเวลาอีกปีครึ่งของผม เพื่อให้ส่งต่อรัฐบาลหน้าให้ได้ มีการเลือกตั้งให้ได้ 

ให้มีรัฐธรรมนูญที่ผ่านการทำประชามติ อย่าให้ผมต้องมาตัดสินใจอีกเลย อยู่ที่ประชาชนตัดสินใจ จะเลือกประเทศหรือเลือกอิสระเสรี ร้อยเปอร์เซ็นต์อะไรก็ว่ามา เลือกแบบนั้นผมก็จนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไร”นายกฯกล่าว

ประยุทธ์มีรธน.ในหัวแล้ว

"บิ๊กตู่" เตรียมร่างรธน.ไว้ในหัวแล้ว...พร้อม หากร่างรธน.ไม่ผ่านประชามติ

นายกฯถาม จะเลือกประเทศ หรืออิสรเสรี ขอให้ประชาชนตัดสิน อย่าให้ผมตัดสินเลย เผยเตรียมร่างรธน.ไว้ในหัวแล้ว ถ้าไม่ผ่านประชามติ  ยันรับผิดชอบแน่ ถ้ารธน.ไม่ผ่านประชามติเ้พื่อให้เลือกตั้ง ได้ แต่ขอถามว่า รธน.ต้องแตกต่างจากเดิมมั้ย ต้องปฏิรูป ลั่นอยากให้ร่างรธน.ผ่านประชามติ เผยมีทางออกรับอุบัติเหตุหากถูกคว่ำ แค่ขออุบ หวั่นเผยก่อนมีเรื่องก่อน ชี้ผ่าน-ไม่ผ่าน แต่ต้องมีเลือกตั้ง มุบมิบไม่ตอบเลือกตั้งปี 60 หรือไม่ หากรธน.ไม่ผ่าน

 
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงการร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ว่า วันนี้ได้มีการทบทวนเรื่องกฎหมายกระบวนการปฏิรูปประเทศ และการร่างรัฐธรรมนูญ 

"รัฐบาลยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าเราพยายามทำทุกอย่างให้มีการเลือกตั้งให้ได้ ให้มีการทำประชามติ ส่วนจะผ่านหรือไม่ผ่าน ผมไม่ใช่ผู้รับผิดชอบ ผมรับผิดชอบในการบริหารประเทศให้มันเดินหน้าไปได้ ถ้าประชามติไม่ผ่านทำอย่างไร ให้มีการเลือกตั้งให้ได้ ซึ่งขณะนี้มีวิธีแล้วแต่ไม่บอก ดังนั้นอย่ามากดดันผมตรงนี้ อย่ามาโยนความรับผิดชอบให้ผมเพราะมี กรธ.อยู่แล้ว เขาก็ตั้งใจอยู่แล้ว "

สิ่งที่สื่อจะช่วยได้คือ เอาหลักการและเหตุผล ความจำเป็นมาดู ทำไมต้องมีการปฏิรูป ต้องทำให้ประชาชนรับรู้ก่อน มีโรดแม็พต่อไปเสร็จแล้วมีกฎหมายตามมา ถ้าท่านพูดคำว่าสิทธิเสรีภาพ มันก็จบที่เดิมรัฐธรรมนูญยังก็มาเหมือนเดิม ประเภทที่ว่าผิดจากตรงนั้นก็ไม่ผ่านหมด เพราะฉนั้นเป็นเรื่องของประชาชนทั้งประเทศ เลือกเอาว่าเมื่อเลือกตั้งแล้วจะอย่างไรก็ได้ ก็อย่าหวังว่าจะปฏิรูปได้ ถ้าทุกคนไม่หวังตรงนั้น ตนอะไรก็ได้ก็ไปว่ากันมา 
 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า จะให้ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการ กรธ.โดนตำหนิทุกวันอย่างนี้มันไม่ได้ เขาก็ตั้งใจที่จะทำให้ประเทศชาติปลอดภัย ถ้าทุกคนมองว่าไม่เป็นประชาธิปไตย อย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้น จะให้เป็นที่พอใจของทุกคนไม่ได้ เขียนให้ทุกคนพอใจนั้นไม่มี แต่เขียนให้ประเทศไปได้ ให้ประเทศมันปฏิรูป มันมีหนทาง มันต้องสร้างความเข้าใจกันแบบนี้ ไม่ใช่เขียนว่ารัฐธรรมนูญจะผ่านไม่ผ่าน นายกฯต้องรับผิดชอบ ผมว่ามันไม่ใช่ 

"วันนี้ ผมรับผิดชอบอยู่แล้ว ไม่ต้องถึงรัฐธรรมนูญ รับผิดชอบทั้งหมดอยู่แล้ว เพราะผมยืนอยู่ตรงนี้  แต่การจะให้ผมรับผิดชอบเมื่อรัฐธรรมนูญไม่ผ่านจะทำอย่างไร "

ส่วนจะรับผิดชอบอย่างไรก็เป็นเรื่องของผม จะให้มีเลือกตั้งหรือไม่มีเลยมันก็เรื่องของผม รับธรรมนูญไม่ผ่านแล้วผมจะทำอย่างไรก็เรื่องของผม เข้าใจหรือไม่ ถ้าท่านหาข้อตกลงตรงนั้นไม่ได้ เดี๋ยวผมจัดการเอง ความรับผิดชอบของผมเป็นแบบนั้น ถ้าไม่ผ่านแล้วจะเอาผมไปขึ้นตะแลงแกงหรืออย่างไร

 ผมไม่ได้นึกถึงเรื่องของอำนาจอย่าไปเถียงกันมาก ทุกเล่มทุกฉบับเขียนกันอยู่อย่างนั้นแหละ สร้างเครือข่ายรักคนนั้นคนนี้มากกว่าไม่มีหรอครับผมไม่มีอย่างนั้น 
 
เมื่อถามว่า ที่นายกฯระบุว่า หากร่างรัฐธรรมนูญผ่านหรือไม่ผ่านประชามติก็จะนำไปสู่การเลือกตั้งนั้น ถ้าไม่ผ่าน การเลือกตั้งจะยังเป็นปี 60 เช่นเดิมหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ทำไมใจร้อน ผมไม่ได้สนใจ เดี๋ยวคนก็รู้เองอย่ามาถามผมตอนนี้ ถ้ามาถามตอนนี้ก็ตีกันตอนนี้ ผมไม่อยากให้ตรงนั้น 

"ท่านจะเลือกประเทศ หรืออิสรเสรี ขอให้ประชาชนตัดสิน อย่าให้ผมตัดสินเลย" นายกฯ กล่าว

เมื่อถามว่า แสดงว่า นายกฯ เตรียมร่าง รธน.ไว้แล้ว ใช่หรือไม่  พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า ทุกอย่างอยู่ในหัวผมหมดแล้ว ผมอยากให้รัฐธรรมนูญผ่าน แล้วอย่าไปเขียนว่าผมต้องรับผิดชอบนั้น รับผิดชอบนี้ ถ้าไม่ผ่านผมก็ต้องหาวิธีแก้ปัญหา ไม่ใช่ต้องรับผิดชอบถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่าน แค่ท่านตอนผมว่าประเทศต้องการปฏิรูปหรือไม่ รัฐธรรมนูญต้องมีความแตกต่างหรือไม่ ต้องไม่ไปละเมิดสิทธิมนุษยชนใช่มั้ย

" ผมต้องรับผิดชอบอยู่แล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมคงไม่ปล่อยประเทศย่อยสลายไปต่อหน้าผม ผมไม่ยอม ผมคิดว่าคนไทยอีกเยอะ เดี๋ยวถามไปเลยได้ไหมว่าใครที่พร้อมจะอยู่กับผมบ้าง ถามไหมล่ะ”

(ข่าวข้อมูล)๓เดือน เจาะไอร้อง๔๗ ไฟใต้โหมลามประเทศ?.!!!

๓เดือน หลัง ปฏิบัติการเจาะไอร้อง๔๗ จากปาหี่ปล้นปืน เผาโรงเรียน สู่ มิคสัญญีใต้ ฆ่ารายวันพระ-ชาวบ้าน บานปลายสู่ปฏิบัติการอุ้ม ทนายเจไอ. สมชาย นีละไพจิตร หายตัวลึกลับ องค์กรลับจุดชนวนขัดแย้งศาสนา ถึงวันนี้ ไฟใต้ยังไม่ดับ จอมบงการ ยังไม่ถูกจับ แถมปล่อยข่าวเบี่ยงปม แบ่งแยกดินแดน ซัดทอด วาดะห์

ตัดภาพย้อนความ บทบันทึก การดำเนินไปของสถานการมิคสัญญีปักษ์ใต้ ที่ยังมิบรรเทาเบาบางลงแม้มีกระบวนการจัดทัพใหม่ไล่ลงไปตั้งแต่รัฐมนตรี จนถึง แม่ทัพนายกอง แม้กระทั่ง ผบ.ตร.หลังสถานการณ์คุโชนไฟใต้ในปรากฎการณ์ยืดเยื้อบานปลาย ที่ไม่เคยบังเกิดขึ้น ณ ดินแดนด้ามขวาน ถึงวันนี้เป็นอย่างไร คดีปล้นปืนอันคาราคาซัง ที่ยังไม่จบแค่การจับกุม กำนันโต๊ะเด็ง ซึ่งให้การซัดทอด ๑ สว.๒ ส.ส. ไปจนถึงการโยกย้ายสั่งสอบ๘นายทหารในพื้นที่ เปลี่ยนตัว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือ แม่ทัพภาคที่๔ ถึงวันนี้ สถานการณ์ในพื้นที่ภาคใต้ ยังคุกรุ่นเต็มไปด้วยปัจจัยแทรกซ้อนจากทั้งภายในและภายนอก ในขณะที่การคลี่คลายคดีที่เกิดขึ้นแม้จะยังไม่อาจบ่งชัดว่าบรรดาผู้ต้องหาปล้นปืนเผาโรงเรียน เป็น แพะ หรือไม่ แพะ อย่างไร เพราะขาดความครบซึ่ง หลักฐาน คือปืนที่ถูกปล้น แต่สิ่งหนึ่งที่ปรากฎให้เข้าใจคือ การแบ่งชัดของ ๒ ขั้วข้างความขัดแย้ง ที่อิงแอบการเมือง ผลประโยชน์ ในความมั่นคงของชาติ โดยซัดทอดไปยังฟากข้างที่สามที่เป็น ตัวแปร ในทุกปรากฎการณ์ปัญหาความมั่นคงภาคใต้มาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี อย่างกลุ่มที่มีแนวคิดอุดมการณ์ แบ่งแยกดินแดน

@@๓เดือนเจาะไอร้อง๔๗

หากนับถึงวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๔๗ นี้ ถือได้ว่า สถานการณ์ไฟใต้ นับแต่คืนแห่ง ปฏิบัติการเจาะไอร้อง๔๗ ปฏิบัติการปล้นปืน เผาโรงเรียน แบบยุทธการของกองกำลังติดอาวุธที่เชี่ยวยุทธการรบ ครบรอบ ๓ เดือนเต็ม แห่งความยืดเยื้อของสถานการณ์ภาคใต้ที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เคยเกิดเหตุการณ์ไฟใต้ในหลายยุคสมัยรัฐบาลในอดีต เป็น๓เดือน แห่งความเป็นไปที่ยังไม่คลี่คลายไปมากนักทางคดี(ภายใต้การดูแลของตำรวจที่ในที่สุดได้ตกเป็นจำเลยของสังคม จากการออกมาแฉของพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธแดง ที่พุ่งตรงไปยังอดีต ผบ.ตร.ซึ่งขัดขวางการลงไปตามปืนเพื่อทวงศักดิ์ศรีของทหาร) หรือแม้แต่สถานการณ์ และหลังจาก ปฏิบัติการ ปาหี่ปล้นปืน ค่ายกองพันทหารพัฒนา ตามที่ นสพ.ร่วมด้วยช่วยกัน (ฉบับที่๒๑๐ วันที่ ๒๓-๒๕ ก.พ.๔๗)นำเสนอในตอน เปิดแผนปล้นปืนใต้ แกะรอยเบื้องลึกเบื้องหลัง นาทีต่อนาที ปฏิบัติการปาหี่ ปล้นปืน กองพันทหารพัฒนาที่ ๔ จ.นราธิวาส กับปมใครสมคบลักลอบนำอาวุธส่งขายกลุ่มกบฎ อาเจะห์ และใครอยู่เบื้องหลังปล่อยข่าวหารือของนายกฯกับจุฬาราชมนตรี เพื่อเบนประเด็นทำเพื่อใคร ตัวละครที่ร่วมกันวางแผนปฏิบัติการ เจาะไอร้อง๔๗ ทั้ง๑๑คนเกี่ยวอะไรกับจอมบงการ ส.เสือ ที่มีเป้าหมายอันสอดรับองค์กร CIAที่ต้องการหยุดยั้งอำนาจรัฐ... นำเสนอไว้ และเกิดปรากฎการณ์ต่อยอดของสถานการณ์เรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นความพยายามเคลียร์ความชัดเจนในเหตุการณ์และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังคำว่า ปาหี่ ที่โยงใยไปสู่ครหาการทุจริตคอรัปชั่น

@@ปืนยังหายลังเลจัดฉาก

บทดำเนินที่ล่วงเลยของสถานการณ์อันยืดเยื้อซึ่งภาะความพลิกผันในรูปแบบความรุนแรงใน๓จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากปัจจัยแทรกซ้อนทั้งภายในและภายนอกประเทศ ไปจนถึงการสอบสวน ผู้เกี่ยวข้อง ทั้ง ทหารในหลายระดับ รวมไปถึงการจัดกระบวนทัพใหม่ ตั้งแต่การปรับ ครม.เปลี่ยนตัว มท.๑ รมว.กลาโหม รวมถึงการเปลี่ยนตัว ผบ.ตร.และโยกย้ายตำรวจระดับ พ.ต.อ.-พ.ต.ท.ในพื้นที่ภาคใต้ ล้วนแล้วแต่ดำเนินไปเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งที่ถูกสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งมาโดยตลอดระยะเวลาการดำเนินไปของ แผนเจาะไอร้อง๔๗ นับตั้งแต่การวางแผนการ ที่ สถาบันการศึกษาระดับประเทศ แห่งหนึ่ง ย่านถนนวิภาวดี-รังสิต โรงแรมดิเอมเมอรัล และ โรงแรมแห่งหนึ่งใน จ.สงขลา

ในขณะที่ระหว่างความเป็นไปดังกล่าวก็ยังคงเกิดสถานการณ์ร้ายที่ทวีความรุนแรงเข้มข้นขึ้นอย่างมีความเชื่อมโยงกัน ไม่ว่าจะเป็น กรณีการหายตัวไปอย่างลึกลับของ สมชาย นีละไพจิตร (๑๒มี.ค.๔๗)หรือเหตุระเบิดที่บาร์เบียร์ใน อ.สุไหงโกลก(๒๗มี.ค.) และ การสร้างสถานการณ์ปั่นป่วนวุ่นวายในหลายพื้นที่ ซึ่งมุ่งไปที่ประชาชน และเจ้าหน้าที่ (๒๙มี.ค.)ท่ามกลางข่าวมีการพบปืนที่ถูกขโมยและจะนำมาแถลงข่าวของตำรวจ(๒๘มี.ค.) หลังทำการจับกุม อนุพงษ์ พันธชยางกูร หรือ กำนันโต๊ะเด็ง ผู้ต้องหาคดีปล้นปืนกองพันพัฒนาที่ ๔ จ.นราธิวาส มาแถลงข่าวซัดทอด ๒ ส.ส.๑สว.ก่อนหน้านี้ โดยไม่มีหลักฐานปืนที่ปล้นไป

อย่างไรก็ตาม รายงานจาก หน่วยข่าวกรอง แจ้งว่า มีความเป็นไปได้ว่าปืนที่จะนำมาแถลงข่าวอาจถูกหินเจียรลบเลขทะเบียน ซึ่งหากมีการนำมาแถลงจะนำไปสู่การสาวติดตามตัว กลุ่มขบวนการเจาะไอร้อง ที่มีรายงานลับว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ของ กองกำลังอำนาจแฝง เข้าร่วมขบวนการด้วย

@@ มุสลิม ไม่ยอมเข้าทาง

อย่างไรก็ตาม ประเด็นถัดเนื่องจากเรื่องปืน คือปมประเด็นที่ละเอียดอ่อน สมชาย นีละไพจิตรที่มีการปล่อยข่าวหลายกระแสว่า ตายแล้ว บ้าง(พล.อ.ชวลิต) ยังมีชีวิตอยู่ บ้าง(พ.ต.ท.ทักษิณ) โดยอาจอยู่ที่ แม่ฮ่องสอน และรวมถึงข่าวที่ว่าอาจอยู่ที่ เกาะเต่า หรือ เกาะพงัน หรือบางกระแสระบุว่ามี สมชาย นีละไพจิตร ๒ คนบ้าง

ในประเด็นนี้ จากรายงาน หน่วยข่าวลับ ที่แจ้งผ่าน พล.อ.ชวลิต มีการระบุว่า มีความพยายามจาก ฝ่ายปฏิบัติการเจาะไอร้อง๔๗ ที่วางแผนการเคลื่อนไหวหลังจากที่มีคำสั่งโยกย้ายนายตำรวจในพื้นที่หลายสิบนาย(๒๔มี.ค.)โดยมีการประชุมลับกันที่ร้านอาหาร น. ในตัวเมืองหาดใหญ่ ถึง ๒ ครั้ง เพื่อเตรียมปฏิบัติการครั้งใหญ่ในช่วงสงกรานต์ และรวมถึงการเตรียมใช้สถานการณ์ความไม่พอใจของชาวมุสลิมที่มีการรวมตัวละหมาดฮายัตครั้งใหญ่ซึ่งเตรียมเคลื่อนไหวโดยวิธีรุนแรงกับเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะตำรวจ(๒๗มี.ค.)เป็น จุดประทุ การสร้างสถานการณ์ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จเพราะไม่มีการ ลุกฮือ อย่างที่กลุ่มขบวนการต้องการ

@@บึ้มโกลกเผายะลาCIA.?

ต่อเนื่องกัน นสพ.ร่วมด้วยช่วยกัน ยังได้รับรายงานด้วยว่า สถานการณ์ที่บานปลาย นำไปสู่การระเบิดทำร้ายประชาชนจำนวนมากในพื้นที่ อ.โกลก ซึ่งถือเป็นการปั่นป่วนการท่องเที่ยวนั้น หน่วยข่าวกรอง หลายฝ่าย วิเคราะห์ว่า กลุ่มผู้ก่อการมุ่งเป้าสร้างสถานการณ์ให้กระทบกับภาพพจน์ประเทศ เพื่อสะท้อนถึงความล้มเหลวของรัฐบาลในด้านความมั่นคง โดยเฉพาะหลายฝ่ายวิเคราะห์ไปถึงการ ส่งสัญญาน ของ ผู้นำสหรัฐ ต่อการ เข้ามาแทรกแซงในพื้นที่ปัญหาภาคใต้ของไทยผ่านการออกเสียงประชามติของพรรคลิพลับบิกัน ว่าเป็นการ ส่งสัญญาน ให้เกิดการปฏิบัติการขององค์กรลับCIAในประเทศไทย และเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การระเบิดครั้งนี้หรือไม่ และเกี่ยวข้องอย่างไรกับ ขบวนการเจาะไอร้อง๔๗ ที่เคลื่อนไหวสลับกองกำลังติดอาวุธของ ส. จากพื้นที่ภาคใต้ตอนบนเข้าไปในพื้นที่ใน ห้วง ๓ เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะมีการพบว่า เป้าหมาย ของคนเหล่านี้เชื่อมโยงกลุ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองด้วย

@@จับ๒เสือไม่ได้ใต้ยังป่วน

อย่างไรก็ตาม ท่าทีการออกมาแสดงความมั่นใจของ นายกรัฐมนตรี รวมถึง ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ที่ย้ำว่าใกล้ถึง มาสเตอร์มายด์ หรือ จอมบงการ ยิ่งทำให้สอดรับกับรายงานลับที่
นพส.ร่วมด้วย ได้รับก่อนหน้านี้ ว่า ขณะนี้ พ.ต.ททักษิณ โดยข้อมูลที่ตัดผ่านตรงจาก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.อ.ชวลิต ซึ่งได้รับข้อมูลผ่านจาก มวลชนมุสลิม ในพื้นที่ มี
การระบุถึง ๒เสือ ที่เป็น ตัวบงการใหญ่ ว่า หากจับ ๒ เสือดังกล่าวไม่ได้ ไฟใต้ก็ยังไม่ดับ โดย ๒ เสือดังกล่าว นั้นมีรายงานว่า กำลังถูก ปปง.กำลังติดตามเส้นทางการไหลเวียนของเงินที่นำมาวางแผนปฏิบัติการ เจาะไอร้อง ซึ่งครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงกับแสดงความมั่นใจว่าน่าจะสามารถสาวถึงตัวบงการได้ภายในเดือนเม.ย.นี้

@@เหตุ ทักษิณ งดไปนอก

กระนั้น บทดำเนินที่กำลังสาวไปถึง มาสเตอร์มายด์ ตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุ ก็ยังได้รับการตอบโต้อย่างรุนแรงเช่นกัน โดยเฉพาะ เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้นตามที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ระบุ(๓๐มี.ค.)ซึ่งสอดคล้องกับที่ นสพ.ร่วมด้วยฯ ได้รับรายงานว่า ในห้วงก่อนสงกรานต์ กลุ่มปฏิบัติการ เจาะไอร้อง๔๗ มีแผนที่จะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่โดยสร้างความเสียหายรุนแรงให้กับชีวิตประชาชนด้วย

จากรายงานที่ นสพ.ร่วมด้วยฯ ได้รับจาก หน่วยข่าวกรอง มีการระบุ ว่า ความรุนแรงของการตอบโต้ดิ้นรนของฝ่ายตรงข้ามที่กำลังถูกสาวถึงตัว บงการ ไม่ใช่เพียงแค่ การปั่นป่วนบ้านเมืองด้วยการ ก่อเหตุระเบิด ที่โกลกเท่านั้น ซึ่งทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องระงับการเดินทางไปต่างประเทศ เท่านั้น หากแต่มีรายงานว่า มีความพยายามก่อความรุนแรงกับ ผู้นำระดับสูง ด้วยทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า เมื่อเร็วๆนี้ได้มีพระเกจิชื่อดัง เตือนไปยังผู้บริหารระดับสูงรายหนึ่ง ให้ระมัดระวังการเดินทางก่อหน้านี้ด้วย

ทั้งหลายทั้งปวงคือปรากฎการณ์บทดำเนินของสถานการณ์ไฟใต้ ที่ดำเนินมาเป็นระยะเวลา ๓ เดือน และก่อกระแสบานปลายกลายเป็นความมั่นคงระดับชาติ ที่มีผู้ก่อการเป็นคณะบุคคล ซึ่งต้องการขยายผล นำไปสู่ประเด็นทางการเมืองอันมีผลประโยชน์มหาศาลแอบอิงของกลุ่มอำนาจ ซึ่งยังไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าสถานการณ์จะแทรกซ้อนพลิกผันรุนแรงไปอีกเพียงใด ข้อเสนอ ๖ ประการ ดับไฟใต้โดยชุดของนายจาตุรนต์ ฉายแสง รองนายกรัฐมนตรี

๑.ต้องให้ความสำคัญกับการคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ โดยให้ดูแลความปลอดภัยกันเองเป็นสำคัญ ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐคอยให้ความช่วยเหลือเท่านั้น จะต้องยุติการปราบปรามและการอุ้มประชาชนในทันที

๒.ต้องย้าย หรือลดกำลังทหาร ตำรวจ ที่ส่งไปจากส่วนกลางไปปฏิบัติภารกิจเฉพาะออกจากพื้นที่ทันที เพราะชาวบ้านให้การตรงกันว่า ตำรวจที่ถูกส่งจากส่วนกลางเป็นผู้ไปสร้างปัญหาให้เกิดขึ้น สำหรับทหาร ให้นำทหารพัฒนาลงพื้นที่เพื่อพัฒนาร่วมกับประชาชน

๓.ต้องยกเลิกกฎอัยการศึกที่ประกาศ นับตั้งแต่วันที่ ๕ ม.ค. ๔๗ ทั้งหมด เพราะกฎอัยการศึกเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างในการตรวจจับประชาชน

๔.ต้องทบทวนความคิดในการจัดระเบียบโรงเรียนปอเนาะใหม่ทั้งหมด เพราะเป็นความไม่พอใจของคนในพื้นที่เป็นอันดับ ๒ รองจากการอุ้มฆ่า แต่ต้องยึดถือแนวทางในการเคารพความแตกต่าง
ในด้านวัฒนธรรม

๕.แนวทางการพัฒนาต้องเริ่มจากความต้องการของชาวบ้านก่อนว่าต้องการอะไร

๖.ย้ายข้าราชการออกจากพื้นที่ครั้งใหญ่ที่สุด โดยเฉพาะข้าราชการที่สร้างปัญหา ซึ่งเป็นแนวคิดของนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว แต่ต้องทำทันที โดยไม่ต้องวิตกเรื่องการเปลี่ยนแม่ทัพกลางศึก
//////////
๓ ด. เจาะไอร้อง ไฟใต้ไม่สิ้นเชื้อ

ต่อไปนี้เป็นประมวลเหตุการณ์สำคัญในห้วง ๓ เดือน นับแต่วันที่ ๔ ม.ค. ๔๗ เป็นต้นมา ซึ่งเป็นที่ยอมรับแล้วว่าสถานการณ์นับเนื่องจากวันที่ ๔ ม.ค. ๔๗ ปฏิบัติการเจาะไอร้อง ๔๗ ที่มี จอมบงการใหญ่ อยู่เบื้องหลัง มีการวางแผนอย่างมีระบบการจัดการ โดยอาศัย กองกำลังอำนาจแฝงของรัฐ ที่เป็นข้าราชการส่วนหนึ่ง ผนวกเข้ากับ องค์กรลับนอกประเทศ และสถานการณ์ต่างๆ อันเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของ มวลชน ผสมผสานการปล่อยข่าวลือมากมาย ที่ส่งผลโดยตรงกับภาพรวมของประเทศทั้งเศรษฐกิจ-สังคม-ความมั่นคง ซึ่งโฟกัสพุ่งตรงไปยังประสิทธิภาพรัฐบาล ๔ ม.ค. ๔๗ ;

ปฏิบัติการ เจาะไอร้อง ๔๗ เริ่มขึ้นโดยกองกำลังไม่ต่ำกว่า ๑๐ ชุด ปฏิบัติการ ปล้นปืน กองพันทหารพัฒนาที่ ๔ จ.นราธิวาส และเผาโรงเรียน ๑๘ แห่ง ในเวลาไล่เลี่ยกันได้ลอบวางระเบิด ๒ แห่งในปัตตานี บริเวณสวนสมเด็จและหน้าบริษัทพิธาน ที่เกิดเหตุระเบิดทำให้เจ้าหน้าที่เก็บกู้ ๒ รายเสียชีวิต ต่อหน้าต่อตา ไทยมุง และประชาชนทั่วประเทศผ่านจอทีวี ม.ค.-ก.พ.๔๗ -

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาได้เกิดสถานการณ์ร้ายทุกวันในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการทำร้ายเจ้าหน้าที่ ประชาชน ใช้มีดฟันพระสงฆ์ กระทั่งต้องมีการออกกฎอัยการศึกใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังจากนั้นยังมีการปล่อยข่าวทางจิตวิทยาจะทำร้ายครู นักเรียน แพทย์ พยาบาล นักข่าว โรงเรียนนับร้อยแห่งในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องประกาศหยุดเรียน ประชาชนไม่กล้าออกไปไหนช่วงค่ำคืนและตอนเช้า จนทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลง และต้องพึ่งโรงพยาบาลบำบัดจิต ขณะที่บางส่วนมีการอพยพออกจากพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีการ ปฏิบัติการใบไม้ร่วง ลอบฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ วางระเบิด และใช้มีดไล่ฆ่าผู้คน

มี.ค.๔๗ : สถานการณ์ไฟใต้ยังคงคุโชนคู่ไปกับสถานการณ์ ม็อบ กฟผ. การเคลื่อนตัวของ CIA ในพื้นที่ภาคใต้ชัดเจนมากขึ้น มีการปล่อยข่าวลือ สร้างสถานการณ์ ยุยงชาวไทยพุทธกับชาวไทยมุสลิมให้เกลียดชังกัน ขณะที่ประเด็นความขัดแย้งของแกนนำพรรคไทยรักไทย กลุ่มวาดะห์ เป็นอีกสาเหตุของสถานการณ์ไฟใต้ เริ่มถูกพูดถึงมากขึ้น

๘ มี.ค.๔๗ : มีการปรับ ครม.ทักษิณ ๘ เปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีที่ดูแลปัญหาภาคใต้ อย่าง รมว.มหาดไทย และ รมว.กลาโหม จาก นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา และ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา เป็น นายโภคิน พลกุล และ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร

๑๒ มี.ค.๔๗ :เหตุการณ์ช็อกความรู้สึกชาวมุสลิมทั่วประเทศ สมชาย นีละไพจิตร ทนายความเจไอ ขวัญใจชาวมุสลิม ถูกกองกำลังลึกลับ อุ้ม หายตัวไปอย่างลึกลับกลางกรุงย่านถนนรามคำแหง กระแสสังคมพุ่งเป้าไปที่ปมขัดแย้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่โยงใยเกี่ยวข้องกับปัญหาภาคใต้

๑๕ มี.ค.๔๗ : มีการประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.ปัตตานี โดยไม่ได้รับการตอบรับร่วมมือ จาก มวลชน ในพื้นที่ที่กำลัง ช็อก และกังขารัฐกรณี สมชาย แม้ ครม.จะมีมติอนุมัติงบประมาณนับหมื่นล้านลงไปในพื้นที่ท่ามกลางเสียงวิจารณ์การถูก สะบั้นมวลชน และความหวาดผวากับความบานปลายจากการลุกฮือของชาวมุสลิมทั่วประเทศ

๑๗-๑๘ มี.ค.: เกิดความวุ่นวายปั่นป่วนทั่วพื้นที่ภาคใต้ ทั้งยิงตำรวจ เผาสถานที่ราชการ สถานีอนามัย ๒๙ จุด ใน ๓ จังหวัด สงขลา ปัตตานี ยะลา

๑๙ มี.ค. ๔๗ :.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีลงนามคำสั่งโยกย้ายข้าราชการ ๒ นายที่รับผิดชอบปัญหาภาคใต้ คือ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ผบ.ตร. และ พล.ท.พงษ์ศักดิ์ เอกบรรณสิงห์ แม่
ทัพภาคที่ ๔ หลังจากที่ในวันเดียวกันชาวไทยมุสลิมรวมตัวกันแสดงพลังเคลื่อนไหวโดยการละหมาดฮายัตให้ สมชาย

๒๑ มี.ค. ๔๗ : ตำรวจนำตัว อนุพงศ์ พันธชยางกูร กำนันโต๊ะเด็ง ผู้ต้องหาคดีปล้นปืน ซึ่งรับสารภาพว่าร่วมกันปล้นปืนค่ายทหารมาแถลงข่าวให้การซัดทอด เด่น โต๊ะมีนา อารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ และ นัจมุดดีน อูมา ๑ ส.ว.๒ ส.ส. หลังจากที่นายกรัฐมนตรีระบุถึง มาสเตอร์มายด์ หรือ จอมบงการ ในรายการนายกฯ ทักษิณคุยกับประชาชน (๒๐ มี.ค.) ท่ามกลางความตะลึงของหลายฝ่าย

๒๕ มี.ค. ๔๗ : ศาลได้มีการอนุมัติหมายจับ นัจมุดดีน อูมา ส.ส.นราธิวาส พรรคไทยรักไทย พร้อมพวกรวม ๘ คน ท่ามกลางกระแสข่าวความไม่พอใจของ มวลชน ในพื้นที่ภาคใต้ จนอาจนำไปสู่การก่อการจราจล โดยมีการนัดละหมาดกำหนดท่าทีในวันที่ ๒๗ มี.ค. ๔๗ ขณะที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ออกมาปูดข่าว สมชาย เสียชีวิตแล้ว และก่อนหน้าการถูก อุ้ม ได้พบ บิ๊ก คนหนึ่ง

๒๗ มี.ค. ๔๗ : ชาวไทยมุสลิม ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมกับ สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย ชมรมนักกฎหมายมุสลิมภาคใต้ สมาคมอิสลามจังหวัดนราธิวาส-ปัตตานี มูลนิธิวัฒนธรรมอิส
ลามภาคใต้ ชมรมอูรามาปัตตานี และสมาพันธ์องค์กรมุสลิม เป็นต้น ร่วมกันประกอบพิธีละหมาดฮายัตครั้งใหญ่ ที่มัสยิดกลางปัตตานีให้กับ สมชาย

- นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ จาตุรนต์ ฉายแสง รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปร่วมประชุมแก้ไขปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้กับทุกภาคส่วนสังคม และลงพื้นที่เพื่อพบปะกับประชาชนและแกนนำศาสนาเพื่อรวบรวมแนวทางการแก้ไขปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีการกำหนด ๖ แนวทางแก้ปัญหาทางสันติ ขณะที่ โภคิน พลกุล มท.๑ สัมมนากำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในพื้นที่ จ.นราธิวาส และยะลา

๑๙.๓๐ น. วันเดียวกัน เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด บาร์เบียร์ข้างโรงแรมมารีน่า ใจกลางเมือง อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ กว่า ๓๐ คน อาคารรอบข้างพังยับเยิน

๒๙ มี.ค. ๔๗ : กลุ่มแนวร่วมขบวนการ ออกก่อกวนในหลายพื้นที่ของ อ.บันนังสตา จ.ยะลา โดยการลอบเผายางรถยนต์ในหลายท้องที่บนถนน และลอบยิงบ้านพักคนงานโรงงานไม้ยางพารา เป็นเหตุให้ นายเล็ก สินละไม คนงานได้รับบาดเจ็บสาหัส และคนร้ายได้โรยตะปูซุ่มยิงรถเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ออกไปตรวจสอบที่เกิดเหตุจนเกิดการปะทะกัน

๓๐ มี.ค. ๔๗ : ๐๓.๐๐น. เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบกลุ่ม ลอบเผาสถานที่ราชการ ในเขต อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เมื่อช่วงตี ๓ ที่ผ่านมา รวม ๔ จุด...

ย้อนรอย ‘สมชาย นีละไพจิตร’ ผู้ถูกทำให้หายไป


ย้อนรอย ‘สมชาย นีละไพจิตร’ ผู้ถูกทำให้หายไป

ย้อนรอย
สมชาย นีละไพจิตร 
ผู้ถูกทำให้หายไป
……………………..
กรุงเทพฯ, 12 มีนาคม 2547
ฮอนด้า ซีวิค สีเขียวคันหนึ่งวิ่งอยู่บนถนนย่านรามคำแหงมุ่งหน้าสู่ลำสาลี สักพักรถของเขาก็จอดลง พร้อมๆ กับรถเก๋งสีดำอีกคันหนึ่งที่มาจอดต่อท้าย เขาลงจากรถฮอนด้าสีเขียวมาพูดคุยกับเจ้าของรถคันข้างหลัง จากนั้นก็ถูกดึงตัวขึ้นรถไป
เขาขึ้นรถคันนั้นไป แล้วเขาก็ไม่กลับมาอีกเลย
……………………..
เขามีชื่อว่า สมชาย นีละไพจิตร เป็นประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม เป็นรองประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน และเป็นคณะกรรมการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย สภาทนายความ
ใครที่รู้จักสมชาย นีละไพจิตร ต่างก็รู้ว่าทนายสมชายเป็นคนทำงานจริงจัง รักความเป็นธรรม มีภรรยา อังคณา นีละไพจิตร และลูกๆ อีก 5 คน คือ สุดปรารถนา ประทับจิต กอปร์กุศล ครองธรรม และกอร์ปธรรม เป็นครอบครัวที่อยู่เบื้องหลังการทำงานอย่างเสียสละของสมชาย
สมชาย นีละไพจิตร เป็นทนายความมาตลอดชีวิต แม้ชื่อของเขาอาจไม่เป็นที่คุ้นหูคนส่วนใหญ่ แต่เขาคือเบื้องหลังของคดีสำคัญหลายคดี โดยเฉพาะคดีทางภาคใต้ที่ประชาชนถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับ “การก่อการร้าย” ทนายสมชายสามารถทำความจริงให้ปรากฏจนจำเลยพ้นจากข้อหาได้เกือบทุกคดี เช่น คดีกูเฮงเผาโรงเรียนเมื่อปี ๒๕๓๗ คดีหมอแวพัวพันกลุ่มก่อการร้ายเจไอ
นอกจากคดีทางภาคใต้ที่ทนายสมชายเข้าไปทำงานในฐานะชมรมนักกฎหมายมุสลิมแล้ว ยังมีคดีด้านสิทธิมนุษยชนอื่นๆ ที่นายสมชายรับผิดชอบ อาทิ คดียัดยาบ้า 1 เม็ดนิสิตจุฬาฯ ฯลฯ เกือบทุกคดี ทนายสมชายต้องเป็นทนายที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลายคดีสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นคดีช็อตไข่นายเอกวัต ศรีมันตะ หรือคดีวิสามัญฆาตกรรมโจด่านช้าง
การทำงานของทนายสมชายหลายคดี เปิดโปงพฤติกรรมของตำรวจ หลายฝ่ายเชื่อกันว่าผลงานในอดีตของเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถูกทำให้หายไป และฟางเส้นสุดท้าย คือการออกมาเปิดโปงเจ้าพนักงานทรมานผู้ต้องหาปล้นปืน-เผาโรงเรียน 5 นายเพื่อให้รับสารภาพ
ตัวอย่างคดีที่ทนายสมชายรับผิดชอบ
ส่วนใหญ่เป็นคดีที่เข้าไปเปิดโปงพฤติกรรมของตำรวจ และเป็นคดีด้านสิทธิมนุษยชนซึ่งประชาชนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจละเมิด
คดีหนึ่งคือ คดีช็อตไข่ เอกวัต ศรีมันตะ ซึ่งถูกตำรวจสภอ.พระนครศรีอยุธยา ใช้ไฟฟ้าช็อตอวัยวะเพศ เพื่อให้รับสารภาพในคดีชิงทรัพย์ เป็นคดีที่มีความโด่งดังเป็นที่สนใจของสังคมอย่างมาก ทั้งยังเป็นกรณีที่ถูกหยิบยกเข้าไปในที่ประชุมของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน แห่งองค์การสหประชาชาติ เมืองเจนีวา เมื่อเดือนมีนาคม 2548
คดีนี้ทนายสมชายเป็นทนายให้ แต่สุดท้ายนายเอกวัตถอนฟ้องด้วยสาเหตุว่า “เข้าใจผิด”
อีกคดีหนึ่งคือ คดีวิสามัญฆาตกรรม โจด่านช้าง เจ้าหน้าที่ตำรวจจับคดียาเสพติดที่จังหวัดสุพรรณบุรี มีการจับตัวเอาผู้ต้องหาใส่กุญแจมือเดินออกมาจากบ้าน แต่ตำรวจบอกให้ผู้ต้องหาทั้งหมดเดินกลับเข้าไปใหม่เพื่อทำแผน ไม่กี่นาทีจากนั้น เสียงปืนก็ดังลั่น มีควันตลบบ้าน ปรากฏว่าผู้ต้องหาทั้งหมดเสียชีวิต ทุกคนเสียชีวิตทั้งที่มือยังใส่กุญแจมือ เจ้าหน้าที่บอกว่าผู้ต้องหาพยายามต่อสู้ ก็เลยเป็นการ “วิสามัญฆาตกรรม”
นางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาทนายสมชาย เล่าว่า คดีนั้นทนายสมชายเข้าไปเป็นทนายให้ แล้วก็พบว่า บ้านที่เกิดเหตุ…หลังเกิดเหตุ 2-3 วันถูกรื้อไปหมด ไปทำศาลาวัด คุณสมชายต้องไปรื้อศาลาวัดเพื่อมาตรวจวิถีกระสุนและหาหลักฐาน แล้ววันหนึ่งคุณสมชายนั่งดูโทรทัศน์อยู่ มีข่าวว่าญาติผู้เสียหายไปถอนแจ้งความ
คดีนี้เป็นคดียาเสพติด ซึ่งถ้าได้ตัวผู้ต้องหามาน่าจะมีการสอบ มีการขยายผล เพื่อให้ได้เบาะแสมากขึ้น แต่ทุกคนเสียชีวิตหมด เมื่อญาติมาร้องที่สภาทนายความ คุณสมชายก็ไปเป็นทนายให้ แต่เรื่องก็จบลงเมื่อญาติไปถอนฟ้องหมด พอเขาถอนฟ้อง ทุกอย่างจึงต้องยุติ เพราะทนายไม่ใช่ผู้เสียหาย
“แต่เราก็ไม่ไปโทษเขา เพราะวันนี้เราอยู่ตรงนี้เราก็รู้ว่ามีความกดดันมากขนาดไหนในการที่จะออกมาต่อสู้กับอำนาจ คุณเอกวัตฟ้องตำรวจ มีความสุขไหม ก็คงไม่มีความสุข ถูกคุกคามไม่เว้นแต่ละวัน แต่ถ้าคุณเอกวัตรับความช่วยเหลือก็อาจมีชีวิตที่ดีขึ้น” นางอังคณากล่าว
ในปี 2547 เป็นปีที่เกิดความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ขึ้นหลายเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นคดีปล้นปืน เผาโรงเรียน ลอบวางระเบิด โดยเฉพาะเหตุการณ์ในวันที่ 4 มกราคม 2547 ที่มีคนลอบวางระเบิดโรงเรียนกว่า 20 แห่ง และในเวลาเดียวกันก็มีการบุกล้อมกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จ.นราธิวาส ปล้นปืนไปมากกว่า 400 กระบอก
จากคดีดังกล่าว ในเวลาต่อมาได้ตัวผู้ต้องหา 5 นาย โดยทนายสมชายเข้าไปเป็นทนายให้ แต่เมื่อทนายสมชายไปพบผู้ต้องหาทั้ง 5 ที่กองปราบปรามและสถานที่ควบคุมที่ตัวโรงเรียนตำรวจนครบาล จึงพบว่าผู้ต้องหาถูกตำรวจทำร้ายร่างกายอย่างน่าสังเวช ทั้งยังถูกขู่บังคับให้รับสารภาพ
ในฐานะของทนายที่ติดตามคดีทางภาคใต้ และได้เห็นการกระทำที่เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติต่อประชาชน สมชาย นีละไพจิตร จึงออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกกฎอัยการศึก ทั้งยังล่า 50,000 รายชื่อ เพื่อขอแก้ไขกฎหมายนี้ และออกมาเปิดโปงการทรมานผู้ต้องหาในคดีปล้นปืนเผาโรงเรียน ทั้งเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีส่งคณะแพทย์เข้าไปดูอาการของผู้ต้องหา
เขายังขอให้มีการย้ายผู้ต้องหาทั้ง 5 ให้พ้นจากการควบคุมของตำรวจที่ต้องการขยายระยะเวลาการควบคุมออกไป ให้เข้าไปในเรือนจำแทน ซึ่งศาลอาญาเห็นด้วยคำคัดค้านของคณะทนายความ และมีคำสั่งให้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปควบคุมไว้ในเรือนจำ ยังผลให้เจ้าพนักงานสอบสวนคดีนี้และผู้เกี่ยวข้องบางคน แสดงความไม่พอใจ เพราะถือว่าเป็นการเสียหน้า เนื่องจากถูกหักหน้ากลางศาลต่อหน้าสาธารณชน
ระหว่างการออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ลูกความผู้บริสุทธิ์ซึ่งถูกบังคับให้สารภาพนั้น ทนายสมชายและครอบครัวต้องเผชิญกับภาวะที่ถูกข่มขู่ ทนายสมชายเองยังออกปากเตือนเพื่อนทนายความด้วยกัน ให้ระวังตัวว่าจะถูกเจ้าหน้าที่อุ้ม
ข้อความต่อไปนี้ เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือที่ทนายสมชายเขียนขึ้นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2547 เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมจากหน่วยงานต่างๆ ให้แก่ผู้ต้องหาทั้ง 5 คน โดยได้อธิบายสภาพผู้ต้องหาเอาไว้ว่า
“ ผู้ต้องหาที่ 1 ถูกใช้ผ้าผูกตาทั้งสองข้าง และถูกเตะบริเวณปากและใบหน้า ผลักให้ผู้ต้องหาที่ 1 ล้มลงและใช้เท้าเหยียบหน้า และมีคนปัสสาวะใส่หน้าและปาก ใช้ไฟฟ้าช็อตบริเวณลำตัวและบริเวณอวัยวะเพศถึง 3 ครั้ง
ผู้ต้องหาที่ 2 ถูกใช้ผ้าปิดตาทั้งสองข้าง และเตะบริเวณลำตัว ใช้รองเท้าตบหน้าและบังคับให้นอนแล้วให้คนปัสสาวะรดหน้า
ผู้ต้องหาที่ 3 ถูกใช้ผ้าปิดตาทั้งสองข้าง ถูกเตะบริเวณลำตัวหลายแห่ง ใช้มือตบบริเวณกกหูทั้งสองข้าง ใส่กุญแจมือไพล่หลัง ใช้เชือกมัดข้อเท้าทั้งสองข้าง และใช้ไฟฟ้าช็อตตามลำตัวและหลัง
ผู้ต้องหาที่ 4 ถูกใช้ผ้าปิดตาทั้งสองข้าง บีบคอ ใส่กุญแจมือไพล่หลัง และใช้ไม้ตีด้านหลังจนศีรษะแตก ได้ใช้เชือกแขวนคอกับประตูห้องขัง ใช้มือทุบบริเวณลำตัวและได้ใช้ไฟฟ้าช็อตด้านหลัง
ผู้ต้องหาที่ 5 ถูกใช้ผ้าปิดตาทั้งสองข้าง และถูกตบด้วยเท้าบริเวณหน้าและปาก ตบบริเวณกกหู ต่อยท้อง และใช้ไฟฟ้าช็อตหลายครั้ง”
จากนั้น วันที่ 12 มีนาคม ทนายสมชายเดินทางไปทำธุระที่ศาลล้มละลายกลางและศาลแพ่งกรุงเทพฯ ใต้ ในเวลากลางวัน และเข้าไปทำงานที่สำนักงานย่านรัชดาในเวลาเย็น จากนั้นทนายสมชายได้นัดเพื่อนทนายที่ร้านอาหารย่านรามคำแหงในช่วงค่ำ ก่อนจะแยกย้ายกันในเวลาประมาณ 2 ทุ่ม โดยทนายสมชายขับรถจากถนนรามคำแหงมุ่งไปทางลำสาลี
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้ติดต่อกับทนายสมชายอีก ในวันที่ 13 มีนาคม 2547 ทนายสมชายไม่ได้ร่วมประชุมชมรมนักกฎหมายมุสลิม และในวันที่ 14 ทนายสมชายขาดนัดว่าความให้จำเลยที่ศาลจังหวัดนราธิวาส ซึ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น ผิดกับนิสัยของทนายสมชายซึ่งรับผิดชอบและเอาจริงเอาจังกับเรื่องงาน
“เข้าใจว่านายสมชายยังไม่หายไปและอยู่ในกทม. เพราะนายสมชายทะเลาะกับครอบครัว และหนีมาโดยไม่บอกใคร” (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, ไทยโพสต์ 17 มี.ค.47)
“จากการสืบสวนและหาข่าวเบื้องต้น รับรองว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง ต้องขอสื่อมวลชนว่า ต้องให้ความเป็นธรรมกับภาพพจน์ประเทศ อย่าด่วนสรุป เพราะเท่าที่สืบสวนเบื้องต้นมันยังไม่ปรากฏชัดเลยว่ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้อง อย่าลืมว่ามีเจ้าหน้าที่ถูกฆ่า ประชาชนบริสุทธิ์ถูกฆ่าเยอะแยะไปหมด เรายังไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับคนเหล่านั้นเลย เป็นเพราะคนเหล่านั้นไม่เท่หรืออย่างไร” (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, ไทยรัฐ 19 มี.ค.47)
“เรื่องนี้เท่าที่ทราบนายสมชายถูกอุ้มแน่ แต่ไม่รู้ว่าใครอุ้ม และนำไปไหน มีชีวิตอยู่หรือไม่ ยังไม่ทราบ ไม่กล้ายืนยัน เจ้าหน้าที่กำลังสืบสวน ขอเวลาหน่อย ที่ว่าเหมือนกับการจัดฉากนั้นมองได้หลายทาง อย่าเพิ่งสรุป เพราะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญและทราบเพียงรายงานเบื้องต้น ได้ให้เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างเต็มที่ ตรงไปตรงมา ไม่ต้องปิดบังอะไรทั้งหมด สิ่งใดคือความจริงให้นำออกมา” (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, ไทยโพสต์ 27 มี.ค.47)
“เท่าที่ได้รับทราบข่าวในทางลับว่า มีเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งนำตัวนายสมชายไปดำเนินการบางอย่างที่ จ.แม่ฮ่องสอน แล้วเงียบหายไป” (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, ไทยรัฐ 29 มี.ค.47)
“ยอมรับว่านายสมชาย มีชายฉกรรจ์ อุ้มตัวหายไปจริง ส่วนจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือไม่นั้นยังไม่สามารถบอกได้ ถ้าหากพูดว่าใครจะกลายเป็นการปรักปรำ ส่วนมีกรณีที่มีข่าวลือว่านายสมชายหายตัวไปอยู่กับเจ้ายอดศึกประเทศพม่านั้น ไม่เป็นความจริง เป็นการลือกันไปเรื่อยเปื่อย” (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น 30 มี.ค.47)
“ในขั้นนี้พิสูจน์ได้ว่ามีบุคคลพานายสมชายหายไป ขณะนี้พูดได้แค่นี้ เป็นชายฉกรรจ์อุ้มนายสมชายไป ไม่ใช่ผู้หญิงแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร พูดไม่ได้ ถ้าพูดมากกว่านี้จะปรักปรำคนอื่น อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่พูดยากมากว่านายสมชายยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เพราะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นอย่างไร” (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, กรุงเทพธุรกิจ 31 มี.ค.47)
“ก็ฟ้องซิ ฟ้องให้องค์การต่างประเทศมาช่วยกันจับหน่อย มาหน่อยเร็ว ใครเป็นคนอุ้ม ผมกำลังหาตัวอยู่ว่าใครเป็นคนอุ้ม มาช่วยผมสืบหน่อย กำลังทำงานอยู่ มาช่วยกันสืบหน่อย อย่าเท่คนเดียว” (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, กรุงเทพธุรกิจ 31 มี.ค.47)
“ได้พบกับตำรวจ เขายืนยันว่าน่าจะจบเร็วๆ นี้ ซึ่งมีการพาดพิงถึงตำรวจด้วย ขณะนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษกำลังสอบสวน แต่อย่าเพิ่งไปสรุปว่ามีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เข้าไปเกี่ยวข้อง วันนี้ข้อมูลค่อนข้างจะตรงกัน ซึ่งอาจจะต้องนำไปสู่การออกหมายจับ เพราะข้อมูลเบื้องต้นจากที่ได้รับรายงานก็น่าเชื่อถือ ทราบว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอ แต่ผมไม่ได้ถามรายละเอียดว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไหนอย่างไรเกี่ยวข้อง แต่คิดว่าน่าจะเป็นจากส่วนกลาง” (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, แนวหน้า 8 เม.ย.47)
“ใจเย็นๆ จำได้หรือไม่ เวลาคดีฆ่าคนตายเขาต้องจับมือปืนก่อนถึงจะจับผู้จ้างวาน หากพยานหลักฐานถึงแค่ไหน ก็แค่นั้น ถ้าไม่ถึงก็ไม่รู้จะทำอย่างไร วันนี้ต้องใจเย็นๆ” (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, ไทยโพสต์ 9 เม.ย. 47)
“ตากใบวันนี้กลับทิ่มแทงหัวใจ ทุกวันมีแต่พูดเรื่องกรือเซะ เรื่องตากใบ เรื่องทนายความสมชาย (นีละไพจิตร) เรื่องดีๆ ไม่พูด คนที่ผิดก็ว่าไปตามกฎหมาย คนหลงผิดก็ช่วยกันตักเตือน” (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, ไทยโพสต์ 15 ส.ค. 48)
จากเหตุการณ์ในวันที่ 12 มีนาคม 2547 มีประจักษ์พยานเห็นเหตุการณ์ในช่วงเวลาสองทุ่มครึ่ง บริเวณถนนรามคำแหง 65 หน้าร้านแม่ลาปลาเผาว่า เห็นรถของทนายสมชาย นีละไพจิตรมาจอด และมีรถเก๋งสีดำอีกคันมาจอดต่อท้าย ทนายสมชาย นีละไพจิตร เดินลงจากรถมาพูดคุยกับ พ.ต.ต.เงิน ทองสุก และพรรคพวกอีกรวม 3 – 5 คน และพยานเห็นพ.ต.ต.เงิน ทองสุก ผลักนายสมชายขึ้นรถแล้วขับออกไป ส่วนรถที่ทนายสมชายขับมานั้น ถูกพรรคพวกของ พ.ต.ต.เงิน ทองสุก อีกคนหนึ่งขับออกไปจอดทิ้งไว้บริเวณใกล้สถานีขนส่งหมอชิต
ในกระบวนการสืบสวนคดีนี้ มีเพียงประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์ และบันทึกการโทรศัพท์เข้าออกของพ.ต.ต. เงิน และพรรคพวกในคืนเกิดเหตุ จนได้ตัวพ.ต.ต.เงินและพรรคพวกรวม 5 นาย มาเป็นจำเลย แต่การสืบสวนคดีดังกล่าวก็พบอุปสรรคไม่น้อย
ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2549 ศาลอาญาพิพากษาตัดสินจำคุก พ.ต.ต.เงิน ทองสุก สารวัตรทำหน้าที่นายตำรวจปฏิบัติการพิเศษ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน สำนักการกำลังพล สว.(ทนท.นรพ.กอ.รมน.) สกพ. ช่วยราชการกองปราบปราม ให้จำคุก 3 ปี ในข้อหาข่มขืนใจให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใด
“ทราบว่าเสียชีวิตแล้ว เพราะพบร่องรอยหลักฐาน แต่ยังพูดอะไรไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องทางคดีให้ดีเอสไอ เขาสรุปสำนวนเพื่อดำเนินการเสียก่อน” (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, ผู้จัดการ 13 ม.ค. 49 – – 1 ปี 10 เดือน หลังจากทนายสมชายหายตัวไป และ 1 วันหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย)
แม้สมชาย นีละไพจิตร จะเป็นทนายความเล็กๆ มีวิถีชีวิตเรียบง่าย สมถะ มิได้มีตำแหน่งใหญ่โต แต่ความมุ่งมั่น มานะ และซื่อสัตย์ ในวิชาชีพของเขา มีความหมายยิ่งต่อคนเล็กๆ มากมาย ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม และยังถือเป็นประวัติศาสตร์ด้านสิทธิมนุษยชนอีกหน้าหนึ่งของประเทศไทยด้วย
ที่มา : จากหนังสือ “สมชาย นีละไพจิตร ผู้เชื่อมั่นในระบบยุติธรรม” เนื่องในโอกาสครบรอบสองปีที่ถูกทำให้หายตัว

ลึกปมอุ้มทนายนักสู้ สมชาย นีละไพจิตร

ลึกปมอุ้มทนายนักสู้ สมชาย นีละไพจิตร
http://www.prachathai.com/jservlet/servlet/newsdetail?script_code=w4703-01795
 เนื้อหา

ลึกปมอุ้มทนายนักสู้ สมชาย นีละไพจิตร ก่อนลามประเด็น สะบั้นมวลชน จุดติดไฟแผ่นดินจาก มิคสัญญี ด้ามขวาน พ.ต.ท.ก. หัวหน้าชุด๔นักอุ้มรับแผน พล.ต.อ.ส. ปฏิบัติการ ตัดตอน ก่อนสาวถึงจอมบงการ ปฏิบัติการเจาะไอร้อง๔๗ กับดักสมรภูมิรบอำพราง การเมือง๒ขั้ว บทดำเนินแผนสัปยุทธพลิกระบบ ก่อนปลด ผบ.ตร. แม่ทัพภาพที่๔สังเวย .

การหายตัวไปอย่างลึกลับของ สมชาย นีละไพจิตร (๒๐.๐๐น.:๑๒มี.ค.๔๗) อย่างที่ นสพ.ร่วมด้วยช่วยกัน ทิ้งปมไว้ในฉบับที่แล้ว (ฉบับ ๒๑๗ :วันที่ ๑๘-๒๑ มี.ค.๒๕๔๗) ว่า ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ที่ใครต่อใครในรัฐบาลจะมองข้ามผ่านการจัดการ และถือเป็นปะทุเชื้อไฟที่นำไปสู่ความรุนแรง วงกว้างทางสังคม มากไปกว่า ไฟใต้ ที่ถูกจุดปะทุโดยกลุ่มปฏิบัติการ เจาะไอร้อง๔๗ (ม.ค.๒๕๔๗)

แน่นอน เฉพาะยิ่งแค่ผลเบื้องแรก มวลชนชาวมุสลิม ไม่เฉพาะแต่ในพื้นที่ภาคใต้ หากแต่หมายรวมถึงมุสลิมทั่วประเทศ ต่างรู้สึก ไม่สบายใจ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และมีการแสดงท่าทีชัดเจนกับรัฐในรูปแบบที่คล้ายบ่งบอกว่าความสัมพันธ์ในระดับที่หมิ่นเหม่อยู่แล้วได้ถูกตัดสะบั้นลงไปอย่างสิ้นเชิงจากการครั้งนี้

ภารกิจที่รัฐบาลฝ่ายเกี่ยวข้องและสื่ออย่าง นสพ.ร่วมด้วยฯ จะช่วยกันนาทีนี้คือการร่วมด้วยช่วยกันคลี่คลายภาพการหายตัวไปของ สมชาย และลากไส้ ตัวละคร ที่ปฏิบัติการ และอยู่เบื้องหลังออกมาดำเนินการ ซึ่งนาทีนี้ถนนทุกสายทั้งองค์กรสิทธิมนุษยชน นักกฎหมาย ทนายความ นายทหาร ส.ส. ส.รวมถึง ผู้ใหญ่ ในรัฐบาล ฯลฯ มีทิศทางสอดรับกัน โดยพุ่งเป้าไปที่ เจ้าหน้าที่รัฐ อย่าง ตำรวจ

ส่วนจะใช่หรือไม่ อย่างไร ลองติดตามพิเคราะห์ ข้อมูล ที่จะนำเสนอต่อไปนี้

@@ใครอุ้ม สมชาย หายตัว

คำถามที่ทุกคนก็อยากจะหาคำตอบให้ได้โดยเร็ว ในท่ามกลางความสับสนและตั้งใจให้สับสน นับแต่นาที ข่าวการหายตัวไปอย่างลึกลับของ สมชาย นีละไพจิตร ที่แทรกอยู่ในคำถามพื้นฐานของทุกฝ่าย แม้ถึงนาทีนี้ ก็คือ สมชาย หายไปไหน? ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่? แล้วถ้าหายไปอย่างไม่ปกติโดยมีขบวนการ อุ้ม จริงๆ ใคร คือคนอุ้ม และใครอยู่เบื้องหลัง เพื่ออะไร ทำไม ใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ ฯลฯ แน่นอนว่า ข้อเท็จจริง หรือ สมมุติฐาน ที่ปรากฏทางคดีการตรวจสอบ ที่ว่าด้วย จุดเกิดเหตุ เส้นทาง สภาพของพยานวัตถุ บุคคล ย่อมดำเนินไปตามกระบวนการสอบสวนของ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังอาการแบ่งรับแบ่งสู้ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี (๑๘มี.ค.๔๗) ที่ว่า ขอยืนยันทั้งที่ไม่แน่ใจอย่างเต็มที่ว่า ไม่น่าจะเกิดจาก ตำรวจ แต่ก็จะขอดูต่อไปและเอาจริงเอาจังให้ได้ เพราะเท่าที่ฟังเสียงวันนี้ค่อนข้างชี้ไปที่ ตำรวจ

ซึ่งก็สอดคล้องกับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกที่ออกมาฟันธงแบบไม่เกรงใจใคร (๑๙ มี.ค.๔๗) ว่า มันก็ออกข่าวว่าเกิดมาจากการที่ทหารไม่พอใจในเรื่องการล่า ๕๐,๐๐๐ รายชื่อให้ยกเลิกประกาศกฎอัยการศึก ผมว่ามันนั่นแหละอุ้ม เพราะไปกระทืบจำเลยเขาเพื่อให้รับสารภาพเขาก็โวยสิ พอเขาโวยก็ไปอุ้มเขา อย่างกรณีตัวอย่างทนายของผู้พันตึ๋ง ทนายความ เสธ.แดงที่ถูกอุ้ม และชูวิทย์ที่ถูกอุ้ม แม้กระทั่ง เสธ.แดงที่เป็นนายพลมันยังกล้าอุ้ม กับทนายความแบบนี้ทำไมมันจะไม่กล้าอุ้ม มันขัดใจกันอยู่และนี่เป็นนโยบายระดับชาติด้วยมันไม่เอาตายเลยเหรอ

หากแต่ในเชิงลึก ทางการข่าวของ หน่วยข่าวลับ ด้านความมั่นคงของรัฐที่โดดลงมาร่วมคลี่คลายคดีนี้ แบบถือเอาเรื่องนี้เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ ความมั่นคง มาตั้งแต่ต้นนั้น คำตอบ ใน คำถาม ชุดเดียวกัน ดูเหมือนพอจะได้เค้ารางแล้วว่า ใคร คือชุดปฏิบัติการ อุ้ม ใคร อยู่เบื้องหลังและเกี่ยวอะไรอย่างยิ่งยวดหรือไม่กับใครต่อใครที่อยู่เบื้องหลังการบงการกองกำลัง ปฏิบัติการเจาะไอร้อง๔๗ ซึ่งมีองค์ประกอบตั้งแต่นักการเมืองระดับชาติ ระดับท้องถิ่น นายตำรวจระดับสูง ฯลฯ

@@พ.ต.ท. ก หน.๔ ชุดอุ้ม

อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวเชิงลึกของ หน่วยข่าว ที่ถูกส่งผ่านมาจากหน่วยงานข่าวด้านความมั่นคงของรัฐบาลเป็นระลอกนับแต่การหายตัวไปของ สมชาย มีรายงานข่าวลับชุดหนึ่งที่น่าสนใจซึ่งถูกส่งผ่าน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อช่วงค่ำของวันพฤหัสที่ ๑๘ มี.ค.๔๗ ที่ผ่านมา ว่า หน่วยข่าวได้รับเบาะแสว่า ปฏิบัติการ อุ้ม ครั้งนี้ มีบุคคล ๔ คน ที่มีนายตำรวจในราชการสังกัดหน่วยงานราชการ ส่วนกลาง ยศ พ.ต.ท. ชื่อ ก. เป็นชุดปฏิบัติการ

โดยรายงานชุดนี้ยังแยกเป็น ๒ สาย สายหนึ่งระบุว่า มีการอุ้ม สมชาย จากระหว่างเส้นทางการเดินทางออกจากโรงแรมชาลีน่า ออกไปทางถนนรามคำแหงมุ่งหน้าหมู่บ้านสวนสน และมีการอำพรางด้วยการขับรถไปจอดทิ้งไว้ที่สถานีขนส่งหมอชิต โดยหน่วยข่าวสายนี้ระบุว่า นายสมชาย ถูก จัดการ เสียชีวิตแล้วหลังจากที่มีการนำตัวไปในที่แห่งหนึ่ง ขณะที่อีกสายข่าว กลับระบุว่าขณะนี้ สมชาย ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อการต่อรองบางอย่างของผู้มีอำนาจกับฝ่ายอำนาจรัฐ

@@๒พล.ต.อ. ส. สั่งปฏิบัติการ

รายงานชิ้นเดียวกันนั้นได้มีการขยายผลไปในรายละเอียดเชื่อมต่อกับรายงานข้อมูลอีกชุดที่ถูกส่งผ่าน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งภายหลัง มีการเปิดรับข้อมูลผ่าน สายข่าว ชาวมุสลิมสายหนึ่ง เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีการระบุถึงนายตำรวจยศพลตำรวจเอกชื่อ ส.เสือ ๒ คน ว่าอยู่เบื้องหลังการสั่งการครั้งนี้ ผ่าน พ.ต.อ. ก.ไก่ นายตำรวจพื้นที่นครบาล อีกคนหนึ่งที่อยู่ในบัญชีโยกย้ายตำรวจล่าสุด โดยตามประวัติของ พล.ต.อ.ส. นั้นมักใช้วิธีการดังกล่าวจัดการกับ ฝ่ายตรงข้าม ในลักษณะการ อุ้มฆ่า โดยในรายงานชิ้นนี้ ระบุว่า กลุ่มของ พล.ต.อ.ส. นอกจากจะมีอยู่ในส่วนกลาง ยังมีอยู่ในพื้นที่ภาคใต้เป็นหลักทั้งตอนบนและตอนล่าง โดยทั้งหมดขึ้นกับนักการเมือง ส. ซึ่งกองกำลัง อำนาจรัฐแฝง จะประกอบไปด้วยกองกำลังของ พล.ต.ต.ค. หรือ ผู้การ ต. และ พล.ต.ต.ส. ที่เชื่อมต่อกับ พ.อ.ณ ที่เชื่อมโยงตรงกับกับ พล.อ.ส. และ นาย พ. โดยกองกำลังเหล่านี้ยังแยกย่อยออกไปอีก เป็นกองกำลังของ พ.ต.ท. ส. พ.ต.ท. จ. และ พ.ต.ท. ช.

@@เชื่อมกลุ่ม เจาะไอร้อง๔๗

นสพ.ร่วมด้วยช่วยกัน ฉบับที่ผ่านมาซึ่งเกาะติดสถานการณ์ไฟใต้ เคยขยายภาพกองกำลังที่มีเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะ เจ้าหน้าที่รัฐ ส่วนหนึ่งเข้าไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ โดยมีความพยายามเชื่อมต่อกับองค์กรนอกประเทศ CIA. ผ่านนักการเมือง ส. และนักวิชาการ อ. โดยยังพบว่าขบวนการดังกล่าวขยายตัวเข้ามายัง ศูนย์กลางอำนาจรัฐ ทั้งยังแทรกซึมเข้าไปในหน่วยงานราชการด้านความมั่นคง ผ่านองค์กรการเมือง ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ที่เริ่มดำเนินการตามแผนการนี้มาตั้งแต่ปี ๒๕๔๕ แล้ว

โดย ปฏิบัติการเจาะไอร้อง๔๗ ในพื้นที่ ๓จังหวัดชายแดนภาคใต้ นั้นเป็นเพียง กับดักอำพราง ให้ฝ่ายรัฐทำการจัดส่งกำลังทั้งทหาร ตำรวจ ลงไปในพื้นที่จำนวนมาก เพื่อก่อให้เกิดเงื่อนไขความขัดแย้งกับ มวลชน ในพื้นที่ จากทั้งปฏิบัติการของทหารเองบ้าง (นำมาสู่การเรียกร้องให้ยกเลิกการประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่) และจากทั้งการ สวมรอย ปฏิบัติการจิตวิทยาของ กองกำลังอำนาจรัฐแฝง ในรูปแบบ ฆ่ารายวัน ปล่อยข่าวทำลายขวัญราษฎรทั้งชาวไทยพุทธ มุสลิม บ้าง โดยฝ่ายผู้อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการ เจาะไอร้อง๔๗ พยายามลากดึงให้สถานการณ์ภาคใต้ยืดเยื้อถึง ๕-๖ เดือน เพื่อขยายลุกลามสู่ เป้าหมาย สถานการณ์ระดับชาติ

@@ สมชาย จุดติดไฟประเทศ

เหตุการณ์การหายตัวไปของ สมชาย นอกจากจะทำให้เห็นภาพการความเพลี่ยงพล้ำของรัฐบาลด้วยเหตุการ สะบั้นขาด จาก มวลชน ในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ วันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ นำ ครม.สัญจร จ.ปัตตานี รวมไปถึงความเชื่อมั่นในความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินโดยรวมของประเทศ โดยเฉพาะในปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เคลื่อนขับผ่านองค์กรสิทธิมนุษยชนแล้ว

ภาพที่ปรากฎชัดถัดต่อมาคือ การปรากฏซึ่งภาพการ สันดาบทางความคิด ของแต่ละกลุ่มขัดแย้งทางสังคมวงกว้าง ไม่เฉพาะแต่พื้นที่ภาคใต้ ที่ถูกพิสูจน์แยกแยะออกมาอย่างชัดเจนมากขึ้น หากแต่ ภาพรวม การปฏิรูปประเทศได้ถูกแยก คู่ความขัดแย้ง ออกมาอย่าง เด่นชัดมากขึ้นเช่นกัน เฉพาะยิ่งเมื่อภาพเหล่านี้ถูกขยายผ่านนักการเมืองฝ่ายค้าน ที่พยายามฉายภาพ ปฏิบัติการอุ้ม ในพื้นที่ภาคใต้ให้ปรากฏสอดรับกับกรณี สมชาย โดยมีการอ้างอิงข้อมูลของนักวิชาการมหาวิทยาลัยที่ระบุชัดเจนว่า ขณะนี้ผู้ถูกอุ้มตัวไป ๑๐๓ คน โดยมีความพยายามกดดันจากทุกฝ่ายให้รัฐบาลสรุปออกมาให้ชัดเจนว่าผู้อุ้ม คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือ เจ้าหน้าที่หน่วยงานไหนของรัฐบาล

@@ มุสลิม ละหมาดทั่วประเทศ

ประเด็นนำไปสู่การจุดติดไฟครั้งใหญ่ ฉายภาพชัดผ่าน อาการการขับเคลื่อนของทั้งนักกฎหมายทนายความที่ใกล้ชิด สมชาย นักวิชาการด้านกฎหมาย นักสิทธิมนุษยชนทั้งในและนอกประเทศ รวม
ไปถึงศาสนิกมุสลิมทั้งในพื้นที่ภาคใต้และส่วนกลางดังที่ พล.อ.ชวลิต เองก็ยอมรับ (๑๙มี.ค.๔๗) ว่าเหตุการณ์ลอบวางเพลิง ๓๘ จุดในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้กลางดึก(๑๘ มี.ค.) ส่วนหนึ่ง
มาจากความไม่พอใจของคนในพื้นที่ต่อการหายตัวไป สมชาย ซึ่งเป็นที่รักของชาวบ้าน ซึ่งอาจเป็นการเตือนล่วงหน้า แต่อย่างไรก็ตามยังคงไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการก่อเหตุหลังจากนี้หรือไม่ ซึ่งก็สอดรับกับภาพชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศ รวมทั้ง สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย ชมรมทนายความมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ทำพิธีสวดละหมาดฮายัต ให้กับ นายสมชาย ในเวลา ๐๔.๐๐ น. (๑๙ มี.ค.๔๗)

@@เหตุ ตัดตอน สาวถึงผู้บงการ

สถานการณ์ที่ลุกลามจากประเด็นของ สมชาย นอกจากจะเกิดแรงปะทุจาก มวลชน ในพื้นที่ภาคใต้ และลามไปยังมุสลิมทั่วประเทศ ยังระบาดเข้าไปสู่สถาบันตำรวจ ทหาร โดยเฉพาะทหารที่ถูกตีขลุมมาโดยตลอดว่า มีส่วนเกี่ยวข้องสถานการณ์ภาคใต้ และรวมถึงกรณี นายสมชาย เช่นเดียวกับตำรวจ ภายใต้สถานะ เจ้าหน้าที่รัฐ โดยแนวโน้มที่ทุกฝ่ายมองล้วนมีความสอดคล้องกันโดยมองไปที่ตำรวจเป็นหลัก โดยเฉพาะกองกำลังอำนาจแฝงที่เป็นตำรวจในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งมักปรากฏพฤติกรรมตามที่ สมชาย ระบุว่ามีการบังคับให้ผู้ต้องหาแพะสารภาพด้วยวิธีการทรมานหลายรูปแบบ

โดยเฉพาะล่าสุดกับผู้ต้องหา ๕ คนที่ถูกฉี่กรอกปากและไฟฟ้าช็อตให้รับสารภาพว่ามีส่วนปล้นปืน ซึ่งในประเด็นนี้นายสมชายนอกจากจะออกมาแฉถึงการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำาวจ แล้วยังเตรียมที่จะนำข้อมูลที่ได้รับจากผู้ต้องหาทั้ง ๕ รวมถึงผู้เกี่ยวข้อง ขยายสาวไปถึงผู้บงการบางรายด้วย การดังกล่าวสอดรับกับการออกมาระบุของ สมชาย หอมละออ เลขาธิการสมาคมสิทธิเสรีภาพ (ส.ส.ส.)
ว่า คดีแบ่งแยกดินแดน มักไม่มีทนายความกล้าต่อสู้คดี นายสมชาย เป็นทนายความที่กล้าหาญต่อสู้ทำคดีนี้ เป็นไปได้ว่าจะเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่เกิดความไม่พอใจในการทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหา ทำให้ถูกลักพาตัว...ซึ่งการที่นายสมชายหายตัวไปเป็นเพราะมีเจ้าหน้าที่รัฐที่นายกฯ เป็นผู้ให้ท้ายแต่ต้น โดยเจ้าหน้าที่ที่ทำงานไม่ตรงไปตรงมา มาใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือ เช่น การฆ่าตัดตอนของรัฐบาลที่ทำให้เจ้าหน้าที่ได้ใจ

@@ ปลด ผบ.ตร.สังเวยใต้

อย่างไรก็ตาม ถึงที่สุดในขณะที่สถานการณ์ลามจากพื้นที่ภาคใต้ และขณะที่เกิดการการแสดงความไม่พอใจตอบรับกับข่าวการหายไปของ นายสมชาย (๑๘ มี.ค.) ด้วยการเผาสัญลักษณ์ของฝ่ายราชการหลายสิบแห่ง รุ่งขึ้นอีกวัน (๑๙ มี.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้ลงนามในคำสั่งโยกย้าย พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ผู้บัญชการตำรวจแห่งชาติ ไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้ พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขึ้นรักษาการแทนตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นอกจากนี้กระทรวงกลาโหมยังมีคำสั่งให้โยกย้าย พล.ท.พงษ์ศักดิ์ เอกบรรณสิงห์ แม่ทัพภาคที่ ๔ ไปช่วยราชการประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และให้ พลโทพิศาล วัฒนวงศ์คีรี ผู้ช่วยหัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการทหาร ผู้บัญชาการทหารบก ไปดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ ๔

ทั้งหลายทั้งปวงยังคงต้องติดตามผลแห่งความเป็นไปของประเด็น นายสมชาย ที่กำลังขยายไปในการเมืองระดับชาติแบบแบ่งฝ่ายแยกข้าง และรวมไปถึงการดำเนินไปของการเปลี่ยนแปลงปฏิรูประบบประเทศ ซึ่งมี ระบบราชการ เป็นตัวแปรสำคัญอันเป็นปฏิปักษ์กับอำนาจรัฐ . ตามรอย เสธ.แดง ลุยใต้-มาเลย์กู้ภาพทหาร

สะใจคำสั่งฟ้าผ่า ปลดสันต์ ฐานขวางทางปืน หลังจากเกิดเหตุ ปล้นปืน ในพื้น ๓ จังหวัดภาคใต้ติดต่อกันหลายครั้งในปี ๒๕๔๕-๒๕๔๖ แล้วมีการปะทะจนทำให้มีการสูญเสียชีวิตเกิดขึ้นนั้น มีอยู่ ๓-๔ เหตุการณ์ เริ่มตั้งแต่เหตุ ปล้นปืน ในเขตอุทยานแห่งชาติบางลาง ตามด้วย ปล้นปืน จากหน่วยทักษิณพัฒนาที่ ๑๒ อ.สุคิริน นราธิวาส ทหารตาย ๔ นาย แล้วก็ตามด้วย ปล้นปืน จากหน่วยทักษิณพัฒนาที่ ๕ อ.ธานโต ยะลา และที่รุนแรงที่สุดก็คือ ปล้นปืน ในคืนวันที่ ๓ ต่อเชื่อมเช้ามืดวันที่ ๔ ม.ค.๒๕๔๗ ณ หน่วยทักษิณพัฒนา ๔๔ อ.เจาะไอร้อง นราธิวาส แล้วยังตามด้วยการบุกป้อมตำรวจที่ ต.อัยเยอรีเวง อ.เบตง ยะลา พร้อมๆ กับเกิดเหตุการณ์บึ้มป้อมตำรวจใน ปัตตานี ตำรวจเสียชีวิตคาที่อีก ๒ นาย แล้วหลังจากวันที่ ๔ ม.ค.๒๕๔๗ เป็นต้นมา อาจกล่าวได้ว่าความรุนแรงใน ๓ จังหวัดภาคใต้ได้กลายเป็นปัญหาชาติที่ส่อเค้ายืดเยื้อ ส่งผลกระทบต่อไปถึง หน่วยงาน ที่เกิดขึ้นเกือบฝ่ายทุกสถาบัน ด้วยกลุ่มโจรก่อการร้ายยังมีการปฎิบัติการโหดสังหารชาวบ้าน เด็ก ครู ตำรวจ และทหาร อย่างต่อเนื่องมาถึงวันนี้

ขณะที่การปฏิบัติการ ไล่ล่า โจรใต้ปล้นปืนสังหารเจ้าหน้าที่รัฐ ชาวบ้าน ยังคงดำเนินไปอย่างเนิบช้าและไร้ผลความสำเร็จ เจ้าหน้าที่หลายฝ่ายจากส่วนกลาง ถูกส่งให้ไปปฏิบัติหน้า กอบกู้สถานการณ์ แต่แล้วความรุนแรงก็ยังเหมือนจะยังไม่ซางซาหายไปจากพื้นที่ กระทั่งรัฐบาลโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องประกาศใช้กฎอัยการศึก อีกด้านหนึ่ง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ได้ลงพื้นที่ปฏิบัติหน้าที่ไล่ล่าทวงปืน ทวงศักดิ์ศรีทหารใน ๓ จังหวัดภาคใต้และพื้นที่ใกล้เคียงตลอดจนพื้นที่ชายแดนและประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยเหตุการณ์ ปลื้นปีน ข้างต้นกระแสหนึ่งได้พาดพิงถึง ทหารกลุ่มหนึ่ง ว่ามีส่วนพัวพันอยู่ด้วย

การลงพื้นที่ของ เสธ.แดง อาจแบ่งภาพการติดตาม ปืน ที่หายไปทั้งหมดเกือบ ๔๐๐ กระบอกในครั้งนี้ ออกได้เป็น๓ ภาพ โดยภาพแรกฉายไปที่ช่วงเวลาแรกๆ ที่มีการปล้นปืนครั้งรุนแรงสุดหลังวันที่ ๔ และอีกภาพหนึ่งเป็นช่วงเวลาที่ เสธ.แดง ลงไปปฏิบัติการทำแผนนอกประเทศ และภาพที่ ๓ ก็เป็นภาพของการติดตาม ข้อมูลลับ กับกลุ่มผู้ที่คาดว่าจะเกี่ยวข้อง โดยกรณีนี้ เสธ.แดง กล่าวยอมรับว่า ส่วนหนึ่งตน ไปเอาจดหมายจาก ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ กับ สะมะแอ ท่าน้ำ เพื่อนำภรรยาและลูกของเขาไปพบกับกลุ่มของ พูโล ซึ่งการปฏิบัติการเช่นนี้ จะเพื่อวัตถุประสงค์ให้กลุ่มพูโลกับกลุ่มบีอาร์เอ็น ต้องตรวจสอบกันเองหรือไม่ เสธ.แดง ไม่ยืนยัน เพราะในการปล้นครั้งนี้มีกระแสะออกมาก่อนหน้านี้ว่ามีกลุ่ม เบอร์ซาตู เกี่ยงข้องด้วย ซึ่งหากจะย้อนกลับไปแล้ว กลุ่มเบอร์ซาตู ก็คือกลุ่มที่รวมกันระหว่างพูโล บีอาร์เอ็น และขบวนการใต้ดิน เราจึงได้ลงไปในพื้นที่ได้เข้าไปพบกับแม่ น้องชาย และลูกสาวของนายสะมะแอ ท่าน้ำ และได้พบกับนายหมัดปาริต ซึ่งเป็นหัวหน้าพูโลซึ่งอยู่ในมาเลเซียเรียบร้อย เอาแล้วทีนี้ยุ่งแหละมีวิทยุจาก พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ผบ.ตร. ส่งหนังสือและรูปของผมไปที่หนังสือพิมพ์ของมาเลเซีย กล่าวหาว่าผมปลอมตัวเป็นดาโต๊ะเพื่อจะใช้ยุทธการ ใบไม้ร่วง ของคนไทย เข้าไปเอาคนมาเลเซียมาฆ่า ๒๐ กว่าศพแล้วอันนี้อันที่หนึ่ง เสียงของ เสธ.แดง โอดครวญถึงการต้องเผชิญกับปราการด่านสำคัญในการติดตามไล่ล่าทวงปืนคืน

แผนการไล่ล่าทวงปืนคืนของ เสธ.แดง ที่ต้องการพิสูจน์เพื่อพิทักษ์ศักดิ์ศรีของทหารหลังจากถูกกระแสสังคมตั้งข้อสงสัยและแม้กระทั่ง นายกรัฐมนตรีเองก็เคยหลุดปากตั้งคำถามมาแล้ว ครั้งนี้ เหมือนจะยังไม่สามารถเดินไปได้ตามแผนที่วางไว้แต่ต้นได้ เพราะหลังจาก เสธ.แดง ต้องถอยทัพตามไล่ล่าปืนออกจากมาเลย์เซียกลุ่มเจ้าหน้าที่และบุคคลที่ให้การช่วยเหลือเชิงข่าวลับก็ถูกต้นสังกัด สั่งย้ายด่วน

กรณีนี้ เสธ.แดง ย้ำชัดว่า มีตำรวจน้ำที่ตากใบ ๒ นาย ซึ่งเป็นตำรวจน้ำที่จบจากโรงเรียนนายเรือ แล้วมาช่วย เสธ.แดง สำรวจเส้นทางโกลก คือ นายตำรวจ ต. กับ นายตำรวจ ท. โดยย้ายไปไว้ที่ ตชด.จังหวัดสุรินทร์ เป็นการย้ายออกจากพื้นที่โดยให้ตำรวจยศจ่ามาทำการแทนที่สถานีตำรวจตากใบ และไม่เพียงแค่นั้น เสธ.แดง ยังถูกทางการตำรวจไทย แจ้งความจับ ที่อำเภอจะนะ จ.ปัตตานี ข้อหา หนี เมื่อวันที่ ๑๘ มี.ค.๒๕๔๖ หลังจากที่ถอยทัพออกมาจากมาเลเซีย์อีกด้วย...ซึ่ง เสธ.แดง ยืนยันอีกว่า... เมื่อวันที่ ๑๘ ที่ผ่านมามีเรื่องราวใหญ่โต ผมเลยจะไปมอบตัวที่จะนะเขาก็ไม่รับมอบตัว เขาให้มามอบตัวที่หาดใหญ่คงเพราะเขากลัว ผมก็บอกว่าถ้ามอบตัวที่หาดใหญ่ไม่สะดวกมีคนเป็นร้อยเลย ผมก็เลยเสนอว่าขอมอบตัวที่ มทบ.๔๒ ก็ไม่ยอมมาที่ มทบ.๔๒ ผมก็เลยยังไม่มอบตัว ก็เลยแถลงข่าวว่าจะออกหมายจับผม

เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ เสธ.แดง ต้องเผชิญกับการทำงานที่อาจจะเรียกได้ว่า โดนขวาง จากคู่ปรับตลอดกาลอย่าง พล.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ผ่านเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ส่งคำสั่งสายปานไปครอบคุมกลุ่มสีกากีเกือบทั้งหมด ทั้งนี้มีการตั้งข้อสัญนิฐานษ์เบื้องต้นว่า หากว่า เสธ.แดง ตามปืนที่ปล้นไปเจอและมีการสาวโยงใยอาจจะชักใยถึงผู้ใหญ่บางคนในกลุ่มสีกากี ได้หรือไม่

ดังคำยืนยันประโยคหนึ่งของ เสธ.แดง ที่ว่า.... ไอ้ตังกุย ดาว กับตังกุย ไตกวง ซึ่งเป็น ผบ.กองกำลังแบ่งแยกดินแดนเขาก็เตรียมต้อนรับอยู่แล้ว โดยให้ผมขึ้นรถไปต้องออกจากปีนัง ไปเมืองยี่หรุ่น

จากนั่นถึงจะข้ามไปอาเจะห์ เราเตรียมที่จะไปพบกับเขาอยู่แล้ว เขาทำจนเรากลายเป็นคนชั่วร้ายเป็นคนที่เป็นอันตรายต่อประเทศมาเลเซีย เดี๋ยวทางการมาเลย์ก็จับเราแขวนคอตายกันพอดี เราทำงานทางข่าวลับเราต้องปลอมตัวมาใส่ชุดแขก เราเป็นสายลับไม่ใช่งานโอเปอเรชั่นตามล่าแบบทหารพรานทหารหลักแน่นอน

ส่วนกรณีของ นายสมชาย นีละไพจิตร ประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิมที่ได้หายตัวไปนั้น จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกับใครอย่างหรือไม่ ยังไม่มีการสรุปแน่ชัดซึ่งในส่วนของ เสธ.แดง ได้กล่าวถึงกรณีของนายสมชาย ทำนองว่า... เขาก็ออกข่าวว่าเกิดมาจากการที่ทหารไม่พอใจในเรื่องการล่า ๕๐,๐๐๐ รายชื่อให้ยกเลิกประกาศกฎอัยการศึก ผมว่าเขานั่นแหละอุ้ม เพราะไปกระทืบจำเลยเขาเพื่อให้รับสารภาพเขาก็โวยสิ พอเขาโวยก็ไปอุ้มเขา อย่างกรณีตัวอย่างทนายของผู้พันตึ๋ง ทนายความ เสธ.แดง ที่ถูกอุ้ม และชูวิทย์ที่ถูกอุ้ม แม้กระทั่ง เสธ.แดง ที่เป็นนายพลเขายังกล้าอุ้ม กับทนายความแบบนี้ทำไมมันจะไม่กล้าอุ้ม เขาขัดใจกันอยู่และนี่เป็นนโยบายระดับชาติด้วยเขาไม่เอาตายเลยเหรอ ส่วนกรณีที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า กลุ่มปฏิบัติการอุ้ม อาจจะเกรงกลัวว่า ทนายสมชาย อาจจะแฉความลับอะไรบางอย่างหรือไม่ ที่เกี่ยวข้องกับ ผู้ใหญ่ บางคนในบ้านเมืองนั้น เสธ.แดง แสดงความเห็นว่า

...ตอนนี้ทนายสมชายออกมาไม่ได้แน่ เพราะคนปล่อยเขาก็ไม่กล้าปล่อยออกมา ถ้าปล่อยเขาก็แฉว่าใครจับมาอาจต้องฆ่าเพื่อจะได้หายไปเหมือนไม่มีเรื่องอะไร กับทนายของผมยังโดนอุ้มจับยัดเข้า
รถยนต์แต่ยัดไม่เข้าเพราะโชคดีตัวตั้งกว่า ๒๐๐ กิโลเลยยัดไม่เข้าโชคดีไป ที่ตำรวจพยายามไปจับเจไอมาก็เพื่อมาสอบแล้วให้รับสารภาพเพื่อเป็นผลงาน เขาไม่รับก็ไปกระทืบเขาพอไปกระทืบทางทนายสมชายก็ออกมาโวยนี่แหละคือสาเหตุ

อย่างไรก็ตามตอนท้ายสุด เสธ.แดง ได้กล่าวยืนยันที่จะปฎิบัติภาระกิจของนายพลทหารติดตามทวงปืนที่หายไปอย่างไม่ลดละต่อไป โดยย้ำในประโยคสุดท้ายอีกว่า... ตอนนี้เป้าหมายในการลงพื้นที่ก็คือ ตามปืนที่หายคืนมา เสียฟอร์ม และถือเป็นภารกิจชาติ ตอนนี้กำลังเตรียมที่จะไปอินโดนีเซียเพื่อตามปืนต่อไปและ เสธแดง ยังได้กล่าวถึงกระแสข่าวล่าสุดที่มีคำสั่ง ปลด พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ พ้นเก้าอี้ ผบ.ตร. เมื่อวันที่ ๑๙ มี.ค.ที่ผ่านมาอีกว่า ...ถือเป็นคำสั่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะพล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ เป็นมือปราบ เคยรับราชการ อยู่ภาคใต้มาก่อน จึงเข้าใจ ปัญหาพื้นที่ได้เป็นอย่างดี และเชื่อว่าการแต่งตั้ง พล.ต.สุนทรมารักษาการแทน จะช่วยลดสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่เอาได้ เสธ.แดง กล่าวด้วยว่า สาเหตุการย้าย พล.ต.อ.สันต์ ไปช่วยราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี ครั้งนี้ เชื่อว่า มาจากประเด็นการหายตัวไปของ นายสมชาย นีละไพจิตร ประธานชมรมนักกฏหมายมุสลิม เพราะขนาดตนเอง มีอาวุธประจำกายครบมือ ยังเคยถูกตำรวจอุ้ม ดังนั้น การหายตัวไปของนายสมชาย เชื่อว่า เป็นฝีมือ ของตำรวจด้วยเช่นกัน

สุดท้ายของสุดท้ายต้องเกาะติดภาระกิจชายชาติทหารของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ครั้งนี้ หลังจากถูกขวางทางปืนมาแล้ว ครั้งต่อไปจะบรรลุสู่ความสำเร็จหรือไม่ต้องติดตามกันต่อไป

*************************

 ดูตร.ชี้ปม สมชาย หายตัว ปมลึกกรณีการหายตัวไปอย่างลึกลับของทนายชื่อดัง สมชาย นีละไพจิตร ประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม ตั้งแต่วันที่ ๑๒ มี.ค. ๔๗ ที่ผ่านมา จนบัดนี้ยังไร้ร่องรอย พบเพียงพาหนะคู่กายรถยนต์ ฮอนด้า ซีวิค สีเขียว ทะเบียน ภง ๖๗๘๖ กรุงเทพมหานคร จอดทิ้งไว้ด้านหลังหมอชิต ๒ ซึ่งปรากฎว่ามีความสับสนว่าใครกันแน่ที่อยู่

เบื้องหลังปมอุ้มนายสมชาย นสพ.ร่วมด้วยฯ จึงประมวลความเห็นของแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องมานำเสนอ

พล.อ.หาญ ลีนานนท์ ส.ว.สตูล ประธานกรรมาธิการการทหาร วุฒิสภา ทหารเขาไม่ทำหรอก คงต้องถามตำรวจเพราะว่าคนที่ลงไปเป็นตำรวจทั้ง ๓ สาย ทั้งสันติบาล กองปราบ และสอบสวนกลาง ที่ลงไปนี่แม่ทัพภาคก็ไม่รู้เรื่องเขาทำตามสายของเขา รัฐบาลเขารู้เรื่องแต่ทหารไม่รู้ ที่บอกว่าอยากให้ถอนกฏอัยการศึกผมบอกว่าถอนได้เลยเลิกได้เลย เพราะว่าทหารไม่ได้ใช้เต็มที่ คิดเอาแต่ประโยชน์บริษัทยางขายยางไม่ได้ก็มาร้องว่ากฎอัยการศึกกลายเป็นข้ออ้าง เรื่องทนายสมชายต้องหาตัวให้ได้ ต้องหาตัวว่าใครเป็นคนอุ้มด้วย รัฐบาลต้องขึงขังเรื่องนี้ ถ้ามันเหมือนคดี หะยี สุหรง ก็คือว่าแรงมากประวัติศาสตร์ซ้ำรอย...นายกเชื่อตำรวจมากไปบ้านเมืองอาจถึงแย่ การสั่งให้ถอนทหารเมื่อปี ๔๕ คือข้อผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ โจรจึงเต็มเมืองไปหมดเลยนราธิวาส ทุกหัวบ้านทุกอำเภอมีโจรหมด สั่งให้ทหารออกแล้วให้ตำรวจเข้าไปอยู่แทน ตำรวจไม่เข้าป่าไม่ขึ้นเขาโจรสบายเลยทีนี้

ด้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งถูกรุมเร้าด้วยกระแสการว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังปฎิบัติการอุ้มทนายสมชายในครั้งนี้เช่นกัน แม้ก่อนหน้านี้จะมีนายตำรวจระดับบังคับบัญชาหลายนาย ออกมาโต้แย้งกระแสดังกล่าวว่า ตำรวจไม่ได้มีส่วนรู้เห็นการหายตัวไปของทนายชื่อดังในครั้งนี้ พล.ต.อ.ชาญชิต เพียรเลิศ รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า จากการตรวจสอบย้อนหลังในรอบ ๑๐ ปีที่ผ่านมา พบว่า นายสมชายทำคดีสำคัญจนชนะคดีแล้วกว่า ๓๐ คดีด้วยกัน โดยล่าสุดมีคดีทางแพ่งที่เกี่ยวข้องกับเงินมรดกมูลค่ามหาศาล ซึ่งเกี่ยวข้องกับมัสยิดแห่งหนึ่ง ย่านรังสิต คลองหนึ่ง โดยนายสมชายเป็นทนายว่าความจนชนะ ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าต้องสร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายตรงข้าม ฉะนั้นจุดนี้อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการหายตัวไปก็เป็นได้

พล.ต.ท.วงกต มณีรินทร์ ผบช.ก. หนึ่งในคณะทำงานการแก้ไขปัญหาภาคใต้ให้ความคิดเห็นในเรื่องนี้ว่า อย่าเชื่อข่าวที่ผู้ไม่หวังดีสร้างขึ้นมาเพื่อให้เข้าใจผิดเจ้าหน้าที่รัฐ รัฐบาลให้ความเป็นห่วงเรื่องนี้อย่างมาก ขณะนี้ยังไม่สามารถชี้ชัดลงไปว่านายสมชายตายแล้วหรือยัง แต่จากหลักฐานรถยนต์ส่วนตัวที่เจ้าหน้าที่พบจอดทิ้งไว้ บริเวณหน้าสถานีขนส่งหมอชิตมีร่องรอยการถูกชน จึงน่าจะบ่งบอกอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับนายสมชาย แต่ขอเวลาในการขยายผลการสอบสวนหาเบาะแสก่อน พล.ต.ท.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ผบช.น. กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเกิดจากอะไร

เนื่องจากการทำงานของตำรวจต้องสืบสวนทุกประเด็น ส่วนที่มีญาติอ้างความรู้สึกว่าการหายตัวไปของนายสมชายไม่เกี่ยวกับเรื่องครอบครัวนั้น ตำรวจจะไม่ใช้ความรู้สึกในการทำงาน เนื่องจากต้องรับผิดชอบในการติดตามค้นหา พร้อมทั้งหาสาเหตุด้วยว่าทำไมถึงหายไป และหายไปอย่างไร คดีนี้การสืบสวนยังไม่ลงลึกในเรื่องการเสียชีวิตหรือไม่เสียชีวิต และทั้งหมดก็ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล

พล.ต.ท.ปรุง บุญผดุง ผู้บัยชาการตำรวจภูธรภาค ๙ กล่าวว่า การติดตามตัวนายสมชาย ตำรวจยังให้ความสำคัญทั้ง ๒ ประเด็น คือการเป็นแกนนำในการล่ารายชื่อ ๕,๐๐๐ ชื่อ เพื่อยกเลิกกฎอัยการศึก
และว่าความให้ผู้ต้องหาในสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ ถึงแม้ว่าประเด็นในการล่ารายชื่อจะอ่อนไป แต่ยังไม่ตัดทิ้ง

ข้างต้นเป็นทรรศนะความคิดเห็นและข้อเท็จจริงของฝ่ายเกี่ยวข้อง ที่ให้ไว้เกี่ยวกับการการคาดการณ์ความน่าจะเป็นและเป็นไปจากสาเหตุการหายตัวไปของ นายสมชาย

 วันที่เผยแพร่ 22 มี.ค. 2547

"11 ปี 9 เดือน ย้อนรอยคดี "สมชาย นีละไพจิตร"

เรื่องโดย Nation TV | ภาพโดย Nation TV

29 ธันวาคม 2558 16:18 น.

ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ยกฟ้องคีดอุ้มทนายสมชาย นีละไพจิตร นักสิทธิมนุษยชน หลังจากต่อสู้มายาวนานร่วม 11 ปี 9 เดือน ขณะที่ 5 นายตำรวจที่ตกเป็นผู้ต้องหารอดตัว โดยไร้คนผิด

กรรมการสิทธิมนุษยชน อังคณา นีละไพจิตร ภรรยาคุณสมชาย นีละไพจิตร นักสิทธิมนุษยชน ที่หายตัวไป เดินทางมาฟังคำพิพากษา ในคดีที่อัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ต.เงิน ทองสุก อดีต สว.กอ.รมน. ช่วยราชการกองปราบปราม / พ.ต.ท.สินชัย นิ่มปุญญกำพงษ์ อดีตพนักงานสอบสวนกองกำกับการ 4 กองปราบปราม / จ.ส.ต.ชัยเวง พาด้วง อดีตผบ.หมู่งานสืบสวน แผนก 4 กองกำกับการ 2 ตำรวจท่องเที่ยว / จ.ต.อ.รันดร สิทธิเขต อดีตเจ้าหน้าที่ธุรการกองกำกับการ 4 กองปราบปราม และ พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน อดีตรองผกก.3 กองปราบปราม (ยศในขณะนั้น) ในฐานความผิดร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดและร่วมกันข่มขื่นใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใดโดยใช้กำลังประทุษร้าย จากกรณีการอุ้มหายตัวไปของคุณสมชาย เมื่อปี 2547

คดีนี้ชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุก 3 ปี พ.ต.ต.เงิน ทองสุก จำเลยที่ 1 เพียงคนเดียว

ขณะที่จำเลยคนอื่นศาลยกฟ้อง ส่วนศาลอุทธรณ์ มีคำสั่งยกฟ้องจำเลยทั้งหมด ขณะที่ พ.ต.ต.เงิน ทองสุก ถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลสาปสูญ

 ขณะที่ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลฎีกายกฟ้องจำเลยทั้งหมด ซึ่งถือเป็นกระบวนการสุดท้ายของคดีคุณอังคณา บอกว่า ต่อสู้มา 11 ปี 9 เดือน ถึงแม้ว่าคดีนี้จะไม่พบตัวคุณสมชาย ทำให้การต่อสู้ยากลำบาก เมื่อมีผลเป็นลบ จะศึกษารายละเอียดคำพิพากษาเพื่อเดินหน้าหาคนรับผิดชอบต่อไป

คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อ 12 มีนาคม 2547 ทนายสมชาย หายตัวไปอย่างลึกลับ / จากข้อเท็จจริงของพยาน ยืนยันว่า ครั้งสุดท้ายที่เห็นทนาย คือ เมื่อเวลา 20.30 น. ของวันที่ 12 มีนาคม 2547 ซึ่งทนายนายสมชายได้เดินทางไปยังโรงแรมในย่านลาดพร้าว เพื่อรอพบเพื่อน แต่เมื่อเพื่อนไม่มาตามเวลาที่กำหนด นายสมชายจึงตัดสินใจขับรถไปนอนพักค้างคืนที่บ้านเพื่อนอีกคน ที่นัดหมายล่วงหน้าไว้แล้ว แต่ทว่า ระหว่างทางได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวน 5-6 คน ขับรถยนต์สะกดรอยติดตามมาในระยะกระชั้นชิดก่อนเร่งเครื่องพุ่งชนท้ายรถทนายเต็มแรงทนายสมชาย ได้หยุดรถเพื่อลงมาพูดคุยกับคู่กรณี แต่กลุ่มชายฉกรรจ์กลับเข้าทำร้ายร่างกายโดยการชกท้อง และพยายามผลักตัวของคุณสมชายให้เข้าไปในรถยนต์ // ขณะที่หนึ่งในคนร้าย แยกตัวไปขับรถของคุณสมชายทันที / แม้จะมีเสียงตะโกนให้ปล่อยตัวจากทนายและดิ้นรนต่อสู้ แต่สุดท้ายเขาก็ถูกนำตัวเข้าไปในรถของคนร้าย/ นับจากนั้นมาก็ไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย

ทนายสมชาย เป็นผู้ทำคดีสำคัญทางภาคใต้ และเปิดโปงพฤติกรรมของตำรวจ โดยคดีดังคือการออกมาเปิดโปงเจ้าพนักงานที่ทรมานผู้ต้องหาปล้นปืน-เผาโรงเรียน โดยเฉพาะ 5 ผู้ต้องหา คดีปล้นปืนจากกองพันพัฒนาที่ 4 // ซึ่งทั้งหมดร้องเรียนว่า ถูกนายตำรวจชุดจับกุมซ้อมจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ด้วยวิธีทารุณต่างๆ 

จนกระทั่งต้องยอมรับหลังการหายตัวไปของประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิมผู้นี้ มีการตั้งคณะทำงานเพื่อสืบหาร่องรอยจากหลายส่วน ทั้งกองบัญชาการสอบสวนกลาง และชุดติดตามสืบสวนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล รวมถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ส่งทีมพิเศษหาหลักฐานมัดผู้อยู่เบื้องหลัง แต่ 11 ปี 9 เดือนที่ผ่านมากลับไม่สามารถหาตัวผู้บงการได้"

อ่านต่อที่: http://www.nationtv.tv/main/content/crime/378483257/
///////////////////
(ข้อมูล)

.คดีอุ้มฆ่าทนาย สมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม และอดีตรองประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน และเป็นคณะกรรมการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย สภาทนายความ ซึ่งเป็นทนายความให้แก่ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น คดีกูเฮงเผาโรงเรียนเมื่อปี 2537 คดีหมอแวพัวพันกลุ่มก่อการร้ายเจไอ (เจมาอิสลามียา) การทำงานของทนายสมชายหลายคดี เปิดโปงพฤติกรรมของตำรวจ หลายฝ่ายเชื่อกันว่า ผลงานในอดีตของเขาน่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถูกทำให้หายไป โดยเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2547 นายสมชายเดินทางออกจากบ้านในซอยอิสรภาพ 9 แขวงหิรัญรูจี เขตธนบุรี กทม.พื่อไปทำงานตามปกติ โดยขับรถยนต์ส่วนตัว ยี่ห้อฮอนด้าซีวิค สีเขียว ทะเบียน ภง 6786 กรุงเทพมหานคร โดยไม่ได้กลับบ้านเนื่องจากจะต้องไปนอนพักค้างคืนที่บ้านเพื่อนเพื่อเตรียมตัวไปว่าความในคดี เจ.ไอ. ที่ศาลจังหวัดนราธิวาส

12 มีนาคม 2547 เวลา 20.30 น. นายสมชาย เดินทางไปยังโรงแรมชาลีนาในซอยมหาดไทย ย่านลาดพร้าว เพื่อรอพบเพื่อนซึ่งได้นับพบกันไว้ หลังจากที่นั่งรอบริเวณล็อบบี้ของโรงแรมได้ระยะหนึ่ง
เพื่อนยังไม่มาตามกำหนดนัด นายสมชายจึงเดินทางกลับเนื่องจากง่วงนอน เพราะเป็นคนที่นอนแต่หัวค่ำ ระหว่างเดินทางออกจากโรงแรมชาลีน่า นายสมชาย ขับรถยนต์ส่วนตัวโดยใช้เส้นทางถนน
รามคำแหง เพื่อจะไปนอนพักค้างคืนที่บ้านเพื่อน ระหว่างที่เดินทางออกจากโรงแรมได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวน 5-6 คน ขับรถยนต์สะกดรอยติดตามในระยะกระชั้นชิด จนถึงบริเวณหน้าร้านแม่ลาปลาเผา เยื้องกับสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก จึงได้ขับชนท้าย เมื่อนายสมชาย หยุดรถเพื่อลงมาพูดคุย กลุ่มชายฉกรรจ์ได้ทำร้ายร่างกายโดยการชกท้องและผลักตัวของนายสมชาย ให้เข้าไปในรถยนต์ของกลุ่มชายฉกรรจ์ แล้วขับรถพาตัวของนายสมชาย หลบหนีไป

14 มีนาคม 2547 นางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาได้เข้าแจ้งความ ร้องทุกข์บุคคล สูญหาย ต่อพนักงานสอบสวน ของสถานีตำรวจนครบาลบางยี่เรือว่า นายสมชาย ออกจากบ้านพัก มาตั้งแต่วันที่ 11
มีนาคม 2547 แล้วขาดการติดต่อกับทางบ้าน เกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายขอให้ทางเจ้าหน้าที่ ตำรวจสอบสวนและติดตามตัวด้วย โดยข่าวการแจ้งความ นายสมชายหายตัวไปอย่างลึกลับ เป็นที่สนใจของ สื่อมวลชนทุกแขนง และประชาชนทั่วประเทศ เนื่องจากในขณะนั้นนายสมชาย กำลัง รวบรวมรายชื่อพี่น้องชาวมุสลิมจำนวน 50,000 รายชื่อเพื่อเสนอรัฐบาล(พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ให้ยกเลิกการ ประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ของจังหวัดชาย แดนภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดยะลา จังหวัด ปัตตานี จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดสงขลา บางส่วน

นอกจากนั้นยังให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย แก่กลุ่มผู้ต้องหา ที่ถูกจับกุมในคดีปล้นอาวุธปืน ของทหารกองพันพัฒนาที่ 4 จังหวัดนราธิวาส ซึ่งหลังจากที่นายสมชาย ได้ตรวจสอบ ข้อเท็จจริงจากผู้ต้องหาแล้ว ปรากฏว่าในระหว่าง การถูกควบคุมตัวอยู่ที่ จังหวัดนราธิวาสก่อน ที่จะส่งตัวมาที่กรุงเทพมหานคร ผู้ต้องหาถูกทำร้าย ร่างกายและทรมาณ เพื่อให้การ รับสารภาพ ซึ่งนายสมชาย ได้
ยื่นหนังสือ ร้องเรียนกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งยื่นคำร้องต่อศาลอาญาขอให้ส่งผู้ต้องหาทั้งหมดไปควบคุมตัวไว้ที่เรือนจำซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมราชทัณฑ์

17 มีนาคม 2547 สภาทนาย ความได้มีหนังสือที่ สท.783/2547 ทูลเกล้าถวาย ฎีกาขอพระราชทาน ความเป็นธรรม กรณีนาย สมชาย ถูกลักพาตัว และ สภาทนาย ความได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงาน
ติดตามกรณีนายสมชาย เพื่อดำเนินการตรวจสอบและรวบรวม ข้อเท็จจริงทั้งหมด กระทั่ง 7 เมษายน 2547 พนักงาน สอบสวนได้มีการขออนุมัติหมายจับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม จำนวน 5
นายต่อศาลอาญา เพื่อนำตัวมาสอบสวน โดยพนักงาน สอบสวนและพนักงานอัยการ มีความเห็นสั่งฟ้อง คดีผู้ต้องหาทั้ง 5 คน โดยอัยการได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญาเป็นคดีอาญาหมายเลข
ดำที่ 1952/2547 ระหว่าง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด (สำนักงาน อัยการพิเศษคดีอาญา 6 สำนักงาน คดีอาญา) โจทก์ โดย พ.ต.ต.เงิน ทองสุข ที่ 1, พ.ต.ท.สินชัย นิ่งปุญญกำพงษ์ ที่ 2,
จ.ส.ต.ชัยแวง พาด้วง ที่ 3, ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต ที่ 4 และ พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน ที่ 5 จำเลย ในข้อหาฐานความผิดร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ และข่มขืนใจผู้อื่น ซึ่งจำเลยทั้ง 5 คน ได้ให้การปฏิเสธต่อสู้คดี โดยศาลได้สั่งยกฟ้องจำเลยทั้งหมด

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2547 สภาทนายความจึงได้มีหนังสือถึงคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อขอให้พิจารณารับโอนสำนวนคดีที่ นายสมชาย ถูกประทุษร้าย และสูญหายเป็นคดีพิเศษ และมีหนังสือลงวันที่ 14 มีนาคม 2548 ถึง นายกรัฐมนตรี ขอให้แต่งตั้งคณะกรรมการรวบรวมข้อเท็จจริง กรณีการหายสาบสูญของนายสมชาย ซึ่ง พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิต รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้พิจารณาเห็นชอบให้ส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณา

อย่างไรก็ตาม การติดตามการสูญหายของนายสมชายนั้นยังคงเป็นปริศนามาจนบัดนี้...
/////////////
(ย้อนข่าวเก่า)

นัดอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์ คดีทนายสมชาย นีละไพจิตร 24 ก.ย.นี้

หมวดหมู่: ข่าว | รายงานโดย  เมื่อ 13 Oct 2010 - 17:36
วันที่ 24 ก.ย.2553 เวลา 9.30 น.ศาลอุทธรณ์ นัดอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์ คดีนายสมชาย นีละไพจิตร กรณีถูกลักพาตัวโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในคดีความผิดต่อเสรีภาพ และปล้นทรัพย์ ความเป็นมา นายสมชาย นีละไพจิตร ถูกบังคับให้สูญหาย เมื่อเวลาประมาณ 20.30 น.วันที่ 12 มีนาคม 2547 บนถนนรามคำแหง เยื้องกับสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก กรุงเทพมหานคร โดยเชื่อว่ามีมูลเหตุที่นายสมชายได้ร้องเรียนเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของ เจ้าหน้าที่ตำรวจในการซ้อมทรมานผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นประชาชนในจังหวัด นราธิวาสในคดีปล้นปืน เผาโรงเรียน 
ทั้งนี้ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาในคดีความผิดต่อเสรีภาพ และปล้นทรัพย์ โดยมีพนักงานอัยการเป็นโจทก์ พ.ต.ต.เงิน ทองสุก จำเลยที่ 1 กับพวก คดีหมายเลขดำที่ 1952 / 2547 คดีหมายเลขแดงที่ อ. 48 / 2549 เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2549 โดยมีความสรุปว่า “.. ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว โจทก์มีพยานเป็นพนักงานสอบสวน เบิกความสอดคล้องตรงกัน ทั้งเวลาและสถานที่ ทำให้เชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่านายสมชายหายตัวไปจริง ส่วนการที่โจทก์นำข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยทั้ง 5 ที่ติดต่อกันหลายครั้งในสถานที่ต่างๆ ในช่วงวันเวลาก่อนเกิดเหตุและในวันเกิดเหตุที่นายสมชายหายตัวไป ศาลเห็นว่ายังมีข้อสงสัยในเอกสารหลักฐานการใช้โทรศัพท์ เนื่องจากโจทก์ไม่ได้นำ ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) และ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบ.บชน.)ที่อ้างว่าเป็นผู้ประสานขอเอกสารดังกล่าว จากบริษัทโทรศัพท์เคลื่อนที่มาเบิกความยืนยันในชั้นศาล” “... ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยยุติและปราศจากข้อสงสัยว่า ตามวัน เวลา และสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 3-5 คนได้ร่วมกันจับตัวนายสมชาย นีละไพจิตร เข้าไปในรถที่จำเลยที่ 1 กับพวกเตรียมมา โดยที่นายสมชาย นีละไพจิตร ไม่ยินยอมแล้วขับออกไปจากที่เกิดเหตุ...” 
“ .. ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พ.ต.ต.เงินกระทำผิด ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรค 1 และร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น ให้กระทำการใด หรือไม่กระทำการใด โดยใช้กำลังประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรค 2 ให้ลงโทษในบทหนักสุด ฐานกักขังหน่วงเหนี่ยวเป็นเวลา 3 ปี ส่วนจำเลยที่ 2-5 ให้ยกฟ้อง เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐาน ในการกระทำผิดตามฟ้อง” 
ความไม่เต็มใจของรัฐในการอำนวยความยุติธรรม นายสมชาย นีละไพจิตร ถูกบังคับให้สูญหายในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้ดูเหมือนว่ารัฐบาลขณะนั้นพยายามคลี่คลายคดี โดยการตั้งข้อกล่าวหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ 5 นาย ข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว และปล้นทรัพย์ แต่เมื่อคดีถูกนำขึ้นสู่การพิจารณาของศาล กลับพบข้อเท็จจริงที่ปรากฎว่า พยานหลักฐานต่างๆในคดีถูกทำลายจนไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะสามารถนำมาใช้ เพื่อประกอบในการนำผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ อีกทั้งการที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับการประกันตัวระหว่างการ พิจารณาคดี เป็นสาเหตุที่ทำให้พยานเกิดความหวาดกลัวจากการถูกคุกคาม และพยานบางคนกลับคำให้การในชั้นศาล  
พบว่าที่ผ่านมารัฐบาลไม่มีความเต็มใจ ในการคลี่คลายคดีการสูญหายของนายสมชาย นีละไพจิตร อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงการแทรกแซงการสืบสวน สอบสวนจากฝ่ายการเมืองมาโดยตลอด 
แม้ปัจจุบันคดีการเสียชีวิตของนายสมชาย อยู่ในความรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ และตามพระราชบัญญัติกรมสอบสวนคดีพิเศษ จะให้อิสระและให้อำนาจแก่พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในการทำหน้าที่กรณีประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการปฏิบัติของเจ้า หน้าที่รัฐ และผู้มีอิทธิพล แต่ที่ผ่านมาจนปัจจุบันกรมสอบสวนคดีพิเศษก็ประสบความล้มเหลวในการคลี่คลาย คดีการฆาตกรรมนายสมชาย นีละไพจิตร และพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามที่สังคมคาดหวัง  ในส่วนการ พิจารณาของ ปปช.เป็นไปอย่างล่าช้าอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับคดีอื่นที่ ปปช. รับไว้พิจารณา ซึ่งบางคดีมีการตัดสินชี้มูลอย่างรวดเร็ว 
ความล่าช้าของ ปปช. จึงส่งผลกระทบอย่างสูงต่อความปลอดภัยของพยานทุกคนในคดี โดยเฉพาะการที่พยานสำคัญคนหนึ่งได้หายตัวไปภายใต้การคุ้มครองพยานของกรมสอบ สวนคดีพิเศษ ระหว่างรอการให้การในชั้นศาล เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2552 ระหว่างการกลับไปเยี่ยมบ้านที่จังหวัดนราธิวาส 
ในขณะที่พยานอีกคนหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงฟ้องร้องต่อศาลอาญา กรุงเทพฯ ในข้อหาให้การเท็จเรื่องการถูกซ้อมทรมานต่อ ปปช. 
นอกจากการสูญหายของพยานสำคัญในคดีแล้ว ยังปรากฏการสูญหายของจำเลยที่ 1 คือ พ.ต.ต.เงิน ทองสุก ดังปรากฏตามข่าวสารตามสื่อมวลชน ว่า พ.ต.ต.เงิน ได้พลัดตกน้ำหายไปเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2551