PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2562

'ธนาธร'คอพาดเขียง!'ศรีสุวรรณ'ยื่นหลักฐานเพิ่มต่อ'กกต.'-โต้แย้งทุกเม็ด'ปิยบุตร'แจงปมหุ้นสื่อ

23 เม.ย.62 - นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ในวันนี้ (23 เมษา 62) เวลา 13.00 น. สมาคมฯ จะเดินทางไปยื่นคำร้องเพิ่มเติมต่อ กกต. เพื่อให้เป็นข้อมูลในการพิจารณาวินิจฉัยของที่ประชุมคณะกรรมการฯ ในการชี้พิรุธคำแถลงของนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่ได้ออกมาแถลงแก้ต่างให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เกี่ยวกับปัญหาของการโอนหุ้นบริษัท วี-ลัคมีเดีย จำกัด

โดยก่อนหน้านี้นายธนาธร ยืนยันมาตลอดว่า โอนหุ้นให้กับแม่ คือนางสมพร ไปแล้วก่อนสมัครรับเลือกตั้งและขณะทำนิติกรรมการโอนนั้นตนอยู่ กทม. แต่ปรากฏข้อมูลจากสื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่าวันดังกล่าว นายธนาธรลงพื้นที่ช่วยผู้สมัคร ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ หาเสียงอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ โดยปรากฏภาพข่าวผ่านเว็บไซต์สำนักข่าวหลายๆแห่ง และเมื่อวันที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมานายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ได้ออกมาแถลงแก้เกี้ยวว่า "ในวันที่ 8 ม.ค.นั้นนายธนาธรได้หาเสียงที่ จ.บุรีรัมย์ ในช่วงเช้าและขึ้นเวทีในช่วงบ่าย ก่อนที่จะขึ้นรถตู้กลับมาจาก จ.บุรีรัมย์ ตั้งแต่ช่วงบ่ายเพื่อจะมาทำภารกิจในการโอนหุ้น โดยมีหลักฐานเป็นค่าใบเสร็จอีซี่พาสชัดเจนว่านายธนาธรได้มาถึงกรุงเทพประมาณ 4 โมงเย็น โดยข้อมูลในใบเสร็จอีซี่พาสระบุว่าเป็นช่วงเวลาประมาณบ่าย 3 โมง และในวันที่ 8 ม.ค.นายธนาธรก็ได้นอนค้างอยู่ที่บ้าน ก่อนที่วันที่ 9 ม.ค.นายธนาธรจะได้เดินทางด้วยเครื่องบินไปทำภารกิจที่ จ.นครศรีธรรมราช ในช่วงเช้า" 
         
จากการตรวจสอบข้อมูลในใบเสร็จอีซี่พาสที่ทางพรรคอนาคตใหม่ได้เผยแพร่ต่อสาธารณชนโดยสำนักข่าวอิศรานั้น พบว่า เมื่อวันที่ 8 ม.ค.ได้มีการใช้บัตรอีซี่ พาส ขาเข้าที่ด่านธัญบุรี ช่องทางที่ 14 โดยเวลาที่ผ่านด่านเก็บเงินที่ 14.57 น. ขณะที่รายชื่อของเจ้าของบัตรอีซี่พาสดังกล่าวนั้นแม้จะถูกปิดเอาไว้แต่ก็ปรากฏว่ามีไม้หันอากาศ และตัวการันต์เป็นส่วนประกอบของชื่อด้วย จึงไม่ใช่บัตรอีซี่พาสของนายธนาธร? นอกจากนั้นการเดินทางจาก อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ มายังด่านธัญบุรีต้องใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง 27 นาที เพราะมีระยะทางประมาณ 402 กิโลเมตร
          
ดังนั้นถ้าหากนำเวลา 14.57 น.ที่นายธนาธรได้เดินทางมาถึง ด่านธัญบุรีไปหักลบด้วยเวลาเดินทาง 5 ชั่วโมง 27 นาที ก็จะพบว่านายธนาธรนั้นน่าจะออกจาก อ.สตึกประมาณ 9.30 น. ถึงจะเดินทางมาถึงด่านธัญบุรี ในเวลา 14.57 น.ได้ โดยใช้เวลาขับรถประมาณ 73 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
           
แต่เมื่อนำไปเทียบเคียงกับคำชี้แจงของ นายปิยบุตร ที่ระบุว่า "ในวันที่ 8 ม.ค.นั้นนายธนาธรได้หาเสียงที่ จ.บุรีรัมย์ในช่วงเช้าและขึ้นเวทีในช่วงบ่าย ก่อนที่จะขึ้นรถตู้กลับมาจาก จ.บุรีรัมย์ ตั้งแต่ช่วงบ่ายเพื่อจะมาทำภารกิจในการโอนหุ้น" 
           
จะพบว่า ค่อนข้างจะเป็นไปได้ยาก นายธนาธรจะเดินทางออกจากบุรีรัมย์ในช่วงบ่าย และมาถึงด่านธัญบุรี ช่องทางที่ 14 ในช่วงเวลา 14.57 น. ระยะเวลาห่างกันแค่ไม่ถึงสองชั่วโมง ตามที่นายปิยบุตร กล่าวอ้าง และมาถึงที่ด่านทับช้าง ในเวลา 15.14 น.ได้อย่างไร ยกเว้นจะใช้รถแข่ง F1 ซิ่งมาเท่านั้น
         
นอกจากนั้น ในคำแถลงของนายปิยบุตรแทนนายธนาธรนั้น สิ่งที่ไม่พูดถึงเลย คือ หลักฐานการโอนเงินค่าซื้อขายหุ้นเข้าบัญชี คือไม่มีสเตตเมนท์ธนาคาร เพราะหลักฐานอื่นๆ สามารถทำปลอมได้ทั้งหมด
          
นอกจากนั้น การโอนไปโอนมาระหว่างภรรยาของนายธนาธรให้กับนางสมพร แม่ของธนาธร และจากนางสมพรไปให้หลานอีก 2 คนนั้น ไม่ปรากฏว่ามีเช็คหรือมีหลักฐานตราสาร รวมทั้งสเตตเมนท์ของธนาคารมาแสดงให้ดูให้ครบทั้งหมดแต่อย่างใด

หลักฐานอีกประการที่ไม่มีการนำมาโชว์คือ หลักฐานการเป็นหนี้ที่นายปิยบุตรแถลงว่าเป็นหนี้สูญ 10 ล้านบาทนั้น เป็นหนี้จริงหรือไม่ มีเอกสารทางบัญชี กำไร-ขาดทุนโดยผู้ตรวจสอบบัญชีมารับรองหรือไม่ มีการฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายแล้วหรือไม่ เพื่อให้เป็นหนี้สูญโดยชอบด้วยกฎหมาย
           
ประเด็นที่นายปิยบุตรอ้างว่านางสมพรแม่ของนายธนาธรโอนหุ้นให้ หลาน 2 คน เพราะบริษัทยังมีหนี้อยู่ 10 ล้านบาท ต้องการทวงหนี้ และอยากให้หลาน 2 คนเรียนรู้นั้น เป็นเรื่องที่เลื่อนลอย ไม่ใช่การปฏิบัติทางธุรกิจตามปกติทั่วไป เพราะการทวงหนี้เพียงให้พนักงานบริษัทธรรมดาๆไปทวง ทำหนังสือเรียกให้ชำระหนี้ หรือให้ทนายความยื่นโนติสก็สามารถทำได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ถือหุ้นเป็นคนทวง ข้ออ้างของนายปิยบุตรเช่นนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผล หากหลาน 2 คนอยากเรียนรู้การทวงหนี้ ก็แค่ทำหนังสือมอบอำนาจจากบริษัทรับงานทวงหนี้ไปทำได้เลย
           
อีกประการหนึ่ง นายปิยบุตรอ้างว่า เมื่อโอนหุ้นให้หลาน 2 คนไปแล้ว ไปทวงหนี้พบว่าหนี้เป็น NPL ไม่สามารถชำระหนี้ได้ หลานจึงโอนหุ้นกลับให้นางสมพรเพื่อปิดบริษัท นี่ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลทางธุรกิจอีกเช่นกัน เพราะบรรดาผู้ถือหุ้นที่เหลืออยู่ก็สามารถปิดบริษัทเองได้ และจะสะดวกกว่าเพราะแม่ของธนาธรอายุมากแล้ว และประเด็นทางกฎหมายข้างต้น คือ การจะแทงหนี้สูญ หากเป็นหนี้ก้อนโตจะจำหน่ายหนี้สูญให้ถูกกฎหมายและมาตรฐานทางบัญชี จะต้องฟ้องดำเนินคดีตามมาตรา 65 ทวิ (9) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกฎกระทรวงฉบับที่ 186 (พ.ศ.2534) มิใช่ว่าพอลูกหนี้ผิดชำระหนี้ก็จำหน่ายเป็นหนี้สูญได้ เพราะสรรพากรไม่มีทางเชื่อแน่ หรืออาจเข้าข่ายความผิดทางอาญาฐานฟอกเงินได้.


รถเหาะเจาะเวลาปิยะบุตร

    เรื่อง "ธนาธร" กับการ "ถือหุ้นสื่อ" ลุ้นกันจัง!
    แต่ก็น่าลุ้น.......
    เพราะใครที่เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ
    ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา ๙๘(๓) ประกอบ พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.มาตรา ๔๒(๓)
    ถือเป็น "บุคคลต้องห้าม" คือ สมัคร ส.ส.ไม่ได้!
    ถ้าจะสมัคร..........
    ต้องขายหรือโอนหุ้นในกิจการนั้นออกไปให้หมดก่อน จึงจะลงสมัครรับเลือกตั้งได้
    ไม่งั้น จะเข้าลักษณะต้องห้าม ถ้าถูกจับได้ภายหลัง นอกจากอดเป็น ส.ส.แล้ว
    ตามกฎหมายใหม่ ยังจะติดคุกด้วยซ้ำ!
    กรณีธนาธร......
    นายศรีสุวรรณ จรรยา ไปร้อง กกต.ว่าธนาธร "ขาดคุณสมบัติ" เพราะยังถือครองหุ้นสื่อ "บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด" อยู่ ตอนลงสมัครรับเลือกตั้ง 
    นายธนาธรอ้าง......
    โอนหรือขายให้แม่ไปหมดแล้ว ตั้งแต่ ๘ มกรา ๖๒ คือโอนออกไป ก่อนที่จะไปยื่นสมัคร ส.ส.
    แต่ "สำนักข่าวอิศรา" ที่ทราบกันดีว่า ชำนาญตรวจสอบเชิงลึกด้านข้อมูลข่าวสาร 
    เขานำเอกสารมาเปิดเผย พบประเด็นที่เกิดเป็นคำถามตามมา ว่า
    โอนก่อนสมัคร หรือสมัครแล้ว จึงโอนกันภายหลัง เมื่อ ๒๑ มีนา ๖๒?
    นี่....สรุปประเด็นหลักอยู่ตรงนี้ 
    เมื่อมีคนร้อง ทาง กกต.ก็ต้องสอบสวนชี้ขาด มุ่งหวังกันว่า จะจบก่อน ๙ พ.ค.ที่ กกต.จะประกาศรับรองผลเลือกตั้ง ๙๕%
    เมื่อวาน (๒๒ เม.ย.) ลุ้นผลคืบหน้า ว่า กกต.จะสรุปผลการไต่สวนหุ้นธนาธร
    แต่...ลุ้นค้าง!
    นายศรีสุวรรณ บอก เมื่อวาน ไปให้ปากคำ กกต.ในฐานะผู้ร้องไม่ได้ เพราะติด ต้องไปขึ้นศาลปกครอง
    ต้องรอ กกต.นัดวันใหม่ 
    แต่ไม่รอแห้งซะทีเดียว นายศรีสุวรรณบอกว่า กกต.จะตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน "ชุดใหญ่"
    รวบรวมคำร้องทั้งหมด มารวมพิจารณาเป็นเรื่องเดียวเลย!
    เพราะกรณี "พรรคอนาคตใหม่" 
    ไม่ได้มีธนาธรรายเดียว ตรวจสอบเอกสารที่ "กรมทะเบียนธุรกิจการค้า" แล้ว
    ยังมี "ว่าที่ ส.ส." อีก ๖-๗ คน จะถูกตรวจสอบประเด็น "ถือครองหุ้นสื่อ" ด้วย
    สรุป คือ ใจเย็นๆ จะได้ไม่ฮีตสโตรก
    สมมุติ ๙ พฤษภา กกต.ไม่มีคำชี้ขาดออกมาทางใด-ทางหนึ่ง ก็มี ๒ ทางปฏิบัติ คือ
    ในทางชี้ขาดว่า "ขาดคุณสมบัติ" ก่อน ๙ พ.ค.
    กกต.จะแจก "ใบส้ม" ให้นายธนาธร คือไม่มีการประกาศชื่อนายธนาธรเป็นผู้ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. 
    พร้อมระงับสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไว้ชั่วคราว เป็นเวลา ๑ ปี
    แต่ถ้า กกต.ยังตรวจสอบไม่เสร็จก่อน ๙ พ.ค. ก็จะรับรองผลเลือกตั้งให้นายธนาธรเป็น ส.ส.ไปก่อน 
    แต่ภายหลังพบว่า "ขาดคุณสมบัติ" กกต.ก็จะยื่นคำร้องต่อ "ศาลรัฐธรรมนูญ"
    วินิจฉัยให้ความเป็น ส.ส.ของนายธนาธรสิ้นสุดลง
    เข้าใจกันคร่าวๆ ตามนี้นะ!
    ทีนี้ มาดู "หลากลีลา" ของตัวละครในเรื่องนี้บ้าง ดูขำๆ เพราะเป็นเรื่องขำ ไม่ใช่เรื่องเครียด
    ตามกระบวนการไต่สวนเรื่องราว "ผู้ร้อง" กับ "ผู้ถูกร้อง" จะต้องออกฉากก่อน เรื่องราวถึงจะเดินไปได้
    นั่นคือ ขั้นแรก "นายศรีสุวรรณ" กับ "นายธนาธร" จะต้องเข้าให้ปากคำต่อ กกต.
    แต่ถึงขณะนี้ นายศรีสุวรรณก็บอกเองว่า ที่นัดเมื่อวาน เขาไม่ว่าง ต้องรอ กกต.นัดวันใหม่
    ส่วนผู้ถูกร้อง "นายธนาธร"...........
    โน่น เมื่อวาน โพสต์มาจากแถวยุหลบว่า...
    "...........มายุโรปเที่ยวนี้ ภารกิจหลักของผมคือการไปพบ UN และองค์กรระหว่างประเทศด้านส่งเสริมสิทธิมนุษยชน 2-3 องค์กร 
    แต่เพื่อไม่ให้เสียเที่ยว ผมเลยถือโอกาสมาดูการพัฒนาเมืองของหลายเมืองสำคัญในยุโรป 
    และยังได้มีโอกาสร่วมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ด้านการพัฒนาเมืองกับนักศึกษาไทยในยุโรป ที่ TU  Delft ซึ่งถูกเปรียบว่าเป็น MIT ของเนเธอร์แลนด์ 
    นักศึกษาที่นี่เชิญผมไปพูดเรื่องการมีส่วนร่วมในนโยบายพัฒนาประเทศของคนรุ่นใหม่ 
    ...................
    คนที่มาทำงาน มีครอบครัวที่นี่ เป็นเพราะหมดหวังกับประเทศไทยแล้ว ทั้งที่พวกเขาส่วนใหญ่มีความตั้งใจที่จะพัฒนาประเทศ......."     
    แล้วแบบนี้ ชาติไหนล่ะ คดีถึงจะเดิน ในเมื่อ ฯพณฯ ธนาธร ยังเดินสายเล่นยี่เก เอ็นยู-เอ็นไอ อยู่โน่น?
    ก็ดึงไป ให้ต้องประกาศรับรองไปก่อนแบบนั้นแหละ 
    ส่วนเรื่อง "สอย-ไม่สอย" ค่อยไปว่ากันทีหลัง 
    ฝ่ายยุทธการพรรค จะได้มีเวลากำหนดแผน ปลุกมวลชนสู้ ภาค ๒!
    เมื่อวาน จึงเห็น "ผู้ช่วยพระเอก" ออกขัดฉาก
    คนแรก "นายปิยบุตร"
    ปิยบุตรนี่แปลก ชอบเอาเรื่องคนอื่นเป็นเรื่องของตนเป็นพิเศษ อย่างกรณีพรรค "ไทยรักษาชาติ" ถูกยุบพรรค
    แทนที่คนพรรคไทยรักษาชาติเขาจะแสดงบทบาทเพื่อพรรคเขาเอง กลับเป็นนายปิยบุตร "คนต่างพรรค" ที่กำลังลงแข่งกันในสนามเลือกตั้ง 
    "เป็นเดือด-เป็นร้อน" แทน..........
    ถึงขั้นออกแถลงการณ์ด้วยถ้อยคำรุนแรง อันอาจเข้าข่ายละเมิดหมิ่นอำนาจศาล
    เมื่อวาน นายธนาธร แทนที่จะมาให้ปากคำ กกต.เอง กลับไปขลุกอยู่กับคุณพ่อยูเอ็นอย่างที่บอก
    "นายปิยบุตร" ซึ่งไม่เกี่ยวคดีเลย มาแอกชั่นแทน "พรรคกังวลใจ การพิจารณาของ กกต.อาจขัดกฎหมายที่การพิจารณาจะต้องรับฟังทุกฝ่าย ไม่ใช่การพิจารณาเพียงเอกสารคำร้องที่สื่อรายงานเพียงอย่างเดียว คงไม่เกิดความเป็นธรรม 
    นอกจากนี้ ก่อนนายธนาธรจะเดินทางไปยุโรปได้เตรียมเอกสารและได้มอบอำนาจให้ตัวแทนทีมกฎหมายของพรรคไปยื่นเอกสารที่ กกต.และขอโอกาสเข้าไปชี้แจงแล้ว 
    แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับการประสานจาก กกต."
    .....................
    ".....การโอนหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ของนายธนาธร และนางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ภรรยา  ให้นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาของนายธนาธรเสร็จสิ้นเสร็จตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.2562     
    ซึ่งมีเอกสาร เช็คขีดคร่อมการชำระค่าหุ้น ใบหุ้น และตราสารโอนหุ้น ที่แสดงว่ามีการโอนหุ้นจริง ........."
    "..........กรณีสื่อบางสำนักยังพยายามขุดคุ้ยและระบุว่า ในวันที่ 8 ม.ค. นายธนาธรไม่ได้ร่วมประชุมผู้ถือหุ้นนั้น 
    ข้อเท็จจริงคือ.......
    ในช่วงเช้านายธนาธรยังคงลงพื้นที่ในจังหวัดบุรีรัมย์ และเดินทางกลับมากรุงเทพฯ ด้วยรถตู้ในช่วงบ่าย 
    มีหลักฐานใบเสร็จ easy pass ในการเดินทางในช่วงเวลา 15.00 น. 
    และนายธนาธรมีภารกิจเดินทางสนามบินดอนเมืองต่อไปยังนครศรีธรรมราช ในวันที่ 9 มกราคม 
    ดังนั้น หลักฐานทั้งหมดนี้ แสดงว่า ช่วงเช้าปราศรัยและช่วงบ่ายเดินทางกลับมาร่วมประชุม 
    ข้อเท็จจริงนี้ หวังว่าสื่อคงมีใจที่เป็นธรรมและกระจ่างชัด ไม่ควรที่จะตั้งข้อสงสัยอีก
    เรื่องนี้ควรจบตั้งแต่ 8 มกราคม ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณธนาธรอีกแล้ว  
    แต่ในเมื่อยังสืบสาวราวเรื่อง พรรคก็ต้องชี้แจงต่อ และในการตามสืบเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของเอกชนไปได้ แต่ในเมื่ออยากจะตรวจสอบก็เอาไปดูกัน พยานหลักฐานก็ชัดเจนทั้งหมด 
    มีข้อสงสัยของสื่อบางสำนักและผู้สนใจ ว่าโอนหุ้นเสร็จในวันที่ 8 มกราคม แต่ไปยื่นวันที่ 21  มีนาคม ซึ่งสมัคร ส.ส.ไปแล้ว 
    ขอบอกว่า การโอนหุ้นมีผลทางกฎหมายไปหมดแล้ว เป็นเพียงขั้นตอนการแจ้ง ไม่เกี่ยวกับการถือหุ้นของนายธนาธรเลย ประเด็นปัญหาเรื่องนี้ไม่ควรจะบานปลายขนาดนี้" 
    นี่ผมยกจากคำให้สัมภาษณ์ของนายปิยบุตรบางตอนมาให้ดู เพื่อขอพูดคำเดียว
    ยิ่งดิ้น-ยิ่งตกเตียง!
    โวหารวัวพันหลักเหล่านี้ เก็บไปพูดกับนักศึกษาในห้องเรียนที่สอนโน่นเถอะ
    ถ้าอยากจะแก้ต่าง.....
    ให้นายธนาธรเขามาแก้เองกับ กกต. ไม่ใช่ให้นักสอนกฎหมายหน้าหอ มาเลกเชอร์หน้าไมค์
    ประเด็นที่เป็นปัญหาและสังคมอยากรู้ 
    โอน ๘ มกรา ตามที่ธนาธรอ้าง หรือโอนหลังจากนั้นตามเอกสารที่อิศรานำมาเปิดเผย?
    เพราะพิรุธตรงนี้เยอะเกิน ทั้งธนาธรก็ลิ้นพันกัน!
    ปิยบุตรก็จะตายน้ำตื้นอีกคน
    แก้ต่างให้ธนาธรเมื่อวานว่า "ข้อเท็จจริงคือ ในช่วงเช้านายธนาธรยังคงลงพื้นที่ในจังหวัดบุรีรัมย์  เดินทางกลับมากรุงเทพฯ ด้วยรถตู้ในช่วงบ่าย 
    มีหลักฐานใบเสร็จ easy pass ในการเดินทางในช่วงเวลา 15.00 น. 
    และนายธนาธรมีภารกิจเดินทางสนามบินดอนเมืองต่อไปยังนครศรีธรรมราช ในวันที่ 9 มกราคม" 
    ถามอีกคำนะ คุณปิยบุตร........
    ทราบมั้ย บุรีรัมย์ถึงกรุงเทพฯ ระยะทางกี่กิโลเมตร?
    กว่า ๔๐๐ กิโลเมตร ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ ๕-๖ ชั่วโมง
    แต่บอกนั่งรถตู้ บ่ายจากบุรีรัมย์ ถึงกรุงเทพฯ ๑๕.๐๐ น. มี easy  pass ยืนยัน
    รถเหาะกระมัง?
    อีกอย่าง อีซีพาส ยืนยันตัวตนนายธนาธรได้ตรงไหน หรือมีในกฎหมายฉบับปิยบุตร?
    แค่ข้ออ้างตรงนี้ ทำให้คำพูดอื่นทั้งหมดของปิยบุตรไม่ต่าง "เด็กเลี้ยงแกะ"
    พรุ่งนี้ "ตามรอย" ๘ มกราดูอีกทีก็ได้.


'พ่อของฟ้า'ระทึก!กกต.นัดพรุ่งนี้ลงมติชี้ขาดปมถือหุ้นสื่อ



22 เม.ย.62  - มีรายงานว่า ช่วงบ่ายวันนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ให้คณะอนุกรรมการฯ ที่พิจารณาคำร้องของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจสื่อ  เข้าชี้แจงต่อที่ประชุม หลังจากนั้นคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประชุมลับ
นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า การพิจารณาคำร้องที่ให้ตรวจสอบคุณสมบัติของนายธนาธร  ผู้ถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจสื่อ หลังสมัครเข้ารับการเลือกตั้ง เข้าลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98( 3) หรือไม่นั้น ใกล้เสร็จสิ้นแล้ว และคิดว่าไม่จำเป็นต้องสอบหรือขอข้อมูลเพิ่มเติมจากนายศรีสุวรรณ จรรยา ซึ่งเป็นผู้ร้องอีกคนหนึ่งอีก และหากไม่มีข้อผิดพลาดกกต.จะลงมติชี้ขาดในวันพรุ่งนี้ (23 เม.ย.)