PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2560

"สุรินทร์ พิศสุวรรณ"มุมอ.ปริญญา

ผมเรียกคุณสุรินทร์ พิศสุวรรณ ว่า 'อาจารย์' ทุกครั้งที่ได้เจอกัน เพราะท่านเคยเป็นอาจารย์ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นคณะที่ท่านเคยศึกษาอยู่สองปีก่อนจะไปศึกษาที่สหรัฐอเมริกา

อาจารย์สุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็นคนธรรมศาสตร์ ที่ชาวธรรมศาสตร์ภาคภูมิใจเสมอมา ทั้งด้วยเกียรติคุณ ความสามารถ และคุณงามความดี ที่เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชน ทั้งในประเทศและนานาชาติ จนสภามหาวิทยาลัยได้มีมติแต่งตั้งอาจารย์สุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็น 'ธรรมศาสตราภิชาน' ในปี 2556 ซึ่งน้อยคนนักจะได้รับตำแหน่งนี้

สิ่งสำคัญที่ผมอยากจะกล่าวถึงคือ ทุกครั้งที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เชิญอาจารย์สุรินทร์ พิศสุวรรณ มาปาฐกถา หรือบรรยาย ถ้าอาจารย์ไม่ติดภารกิจสำคัญที่มีกำหนดนัดมาก่อนแล้ว อาจารย์ไม่เคยปฏิเสธเลยแม้แต่ครั้งเดียว และทั้งชาวธรรมศาสตร์ และสาธารณชนก็ได้ประโยชน์จากสติปัญญาอันลุ่มลึกและประสบการณ์ในระดับนานาชาติของอาจารย์ทุกครั้งไป

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา อาจารย์สุรินทร์มาปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 3 ครั้ง และผมมีโอกาสได้ไปต้อนรับและไปนั่งฟังอาจารย์จนจบทั้ง 3 ครั้ง อาจารย์สุรินทร์เป็นนักพูดชั้นเลิศที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ประเทศไทยเคยมี ลีลาการใช้ภาษา จังหวะการพูด โดยเฉพาะการพูดเรื่องยากๆ หรือวิจารณ์ผู้มีอำนาจอย่างสุภาพ นุ่มนวล เปี่ยมด้วยอารมณ์ขัน แต่เร้าใจ และทรงพลัง โดยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่มีใครจะสามารถเอาอย่างได้คือ การยิ้มขณะพูด ที่ไม่ใช่แค่ปาก หรือแววตา แต่คือการยิ้มทั้งใบหน้า ผมไม่เคยเห็นใครว่าคนด้วยเนื้อหาแบบหนักๆ แต่สุภาพ ด้วยรอยยิ้มทั้งใบหน้าเช่นนี้มาก่อน

ในการปาฐกถา 3 ครั้งสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้น ครั้งที่ประทับใจผมที่สุดคือในเดือนกันยายน 2559 ในงานมหกรรมจิตอาสา ซึ่งจัดที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

ท่ามกลางคนฟังกว่า 400 คนทั้งคนไทยและคนต่างประเทศ อาจารย์ปาฐกถาเป็นภาษาอังกฤษ ในเรื่องความหมายของจิตอาสา และการเป็นพลเมือง ที่สร้างความประทับใจที่สุดให้กับทุกคน โดยเรียกเสียงปรบมือได้เป็นระยะตั้งแต่ต้นจนจบ

ทำไมผมจึงประทับใจการปาฐกถาครั้งนั้นที่สุด? นี่คือถ้อยคำบางส่วนในช่วงที่สำคัญที่สุด ที่ผมขอถอดความจากภาษาอังกฤษจากความทรงจำครับ

".. พวกเราทั้งหลายคือพลเมืองผู้เป็นเจ้าของประเทศ ประเทศและโลกของเราต้องการพลเมืองดังเช่นท่านทั้งหลายในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยมือของพวกเรา" อาจารย์สุรินทร์กล่าวอย่างทรงพลัง ด้วยรอยยิ้มทั้งใบหน้าจนตาหยีอันเป็นเอกลักษณ์

"สำหรับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่เรากำลังพูดกันอยู่นี้ เรามีประวัติศาสตร์ที่พลเมืองเคยมาร่วมกันเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองมาหลายต่อหลายครั้ง" อาจารย์สุรินทร์กล่าวต่อ

"ท่านผู้มีอำนาจในบ้านเมือง ผมเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องให้พลเมืองได้ปกครองตนเอง และแก้ปัญหากันเองอีกครั้ง .." อาจารย์พูดพร้อมกับผายมือไปด้านหลัง ซึ่งเป็นสนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

"อย่าให้พลเมืองเจ้าของประเทศต้องมาทวง! อย่าให้สนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ต้องแน่นไปด้วยผู้คนนับแสนๆ คนอีก!"

ผมไม่ทราบว่าในคราวนั้นการปาฐกถาของอาจารย์จะได้ยินไปถึงผู้มีอำนาจหรือไม่ ผมจึงขอแสดงความคารวะด้วยการนำสารนั้นมาลงในที่นี้ ด้วยหวังว่าเจตนา ความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองของอาจารย์ที่ไดัแสดงไว้เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว จะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองในขณะนึ้

ประเทศไทยได้สูญเสียนักการต่างประเทศ และนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ดีที่สุดคนหนึ่งไปแล้ว .. เราจะไม่ได้ฟังถ้อยคำฉลาดๆ จาก อาจารย์สุรินทร์ พิศสุวรรณ อีกต่อไป เราจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มทั้งใบหน้าของอาจารย์อีกแล้ว แต่อาจารย์จะเป็นแบบอย่าง และทุกสิ่งอย่างจะอยู่ในใจของพวกเราตลอดไป
ด้วยความคารวะและอาลัยอย่างสุดซึ้ง
ปริญญา เทวานฤมิตรกุล

พลั้งปาก เสียศีล ฤๅจะเป็น”ขาลง” ผู้นำทหาร-การเมือง

พลั้งปาก เสียศีล ฤๅจะเป็น”ขาลง” ผู้นำทหาร-การเมือง


ถามว่า “ขาลง” เกิดขึ้นเพราะอะไร

เพราะมีคน “จ้องทำลาย-จ้องจับผิด”

หรือเพราะความผิด พลาด พลั้ง เผลอของตัวเอง

ไม่ว่าจะโดยความจงใจ

ไม่ว่าจะโดยการขาด “บรีฟวิ่ง” ที่ดี

ไม่ว่าจะโดยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในขณะนั้นก็ดี

สุดท้ายเมื่อผลลัพธ์ออกมาว่าเป็นลบมากกว่าบวก

ที่เคยแข็งกร้าว ที่เคยยืนกราน

ก็อ่อนยวบลง ก็ต้องเอ่ยปากขอโทษ-เสียใจ

ทั้งหมดเพื่อมิให้ “เสียการเมือง”

ทั้งหมดเพื่อมิให้ “อัตราเร่ง” ของภาวะขาลงเพิ่มขึ้น

เพิ่มขึ้นจนยากจะหยุดยั้ง

ลองพิจารณา

หลังครอบครัวของ นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1

ออกมาแถลงข่าวการเสียชีวิตที่มีเงื่อนงำ

และอวัยวะภายในของผู้ตายถูกควักล้วงออกไป

โดยมิได้มีการแจ้งให้ครอบครัวทราบ

ในชั้นต้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ตอบข้อถามในเรื่องดังกล่าวว่า

“ผมยืนยันว่าเด็กเสียชีวิต เนื่องจากสุขภาพของเขาเอง ไม่มีการซ่อมอะไรทั้งสิ้น เขาป่วย

และเชื่อว่าทาง ร.ร.ไม่ได้ปิดบังข้อมูล”

เมื่อถามว่าหากเด็กสุขภาพไม่ดี ทำไมถึงเข้าเรียน ร.ร.เตรียมทหารได้

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ตนอยากทราบเช่นกัน ตอนรับสมัครก็มีแพทย์ตรวจคัดกรองแล้ว แต่อาจมาเป็นช่วงตอนเข้าเรียน

ซึ่งเด็กเป็นโรคฮีตสโตรก

“ส่วนที่เปิดบันทึกประจำวันของเด็กที่ระบุว่าเขาโดนซ่อมนั้น ผมคิดว่าก็โดนซ่อมกันทุกคน

ผมก็เคยโดนมาเหมือนกัน เช่น วิดพื้น วิ่ง สก๊อตจัมพ์ ไม่ต้องถูกตัวกัน

ที่เด็กเคยโดนซ่อมจนหยุดหายใจไปครั้งหนึ่งนั้น เพราะเขาเป็นโรคฮีตสโตรก

ใครจะไปรู้ว่าลูกเขามีภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน

การซ่อมไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน”

เมื่อถามต่อว่า หากการซ่อมเกินกำลังคนจะรับได้ จะทำอย่างไร

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า

“ผมก็เคยโดนซ่อมจนสลบไปเหมือนกัน แต่ผมไม่ตาย”

เมื่อถามอีกว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ก็ไม่ต้องเข้ามาเรียน ไม่ต้องมาเป็นทหาร


เราเอาคนที่เต็มใจ

คําสัมภาษณ์ “เรียกแขก” ชิ้นนี้

มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงส่งยิ่ง

เพราะคำวิจารณ์ทางลบ

ไม่ว่าจะเป็นจากฝ่ายใด

จนทำให้ พล.อ.ประวิตรต้องออกมาเอ่ยปาก “ขอโทษ” ต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตในอีก 2 วันต่อมา
คล้ายคลึงกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อเดินทางลงไปประชุม ครม.สัญจร ที่ภาคใต้

และเกิด “ปะทุอารมณ์” ขึ้นเสียงใส่ นายภรัณยู เจริญ

ชาวประมงจากจังหวัดปัตตานี ที่มาร้องเรียนปัญหาการทำกิน

ว่า “อย่ามาส่งเสียงกับผม เข้าใจหรือเปล่า ผมฟังคุณอยู่ พูดดีๆ ก็ได้”

เป็นปะทุอารมณ์ที่สำนักข่าว-หนังสือพิมพ์พร้อมเพรียงกันใช้คำว่า

ตะคอก-ตวาด

เช่นเดียวกับปฏิกิริยาจากโลกเสมือน

ที่พร้อมใจกันวิจารณ์การแสดงออกของนายกรัฐมนตรี

ชนิดเป็นลบมากกว่าเป็นบวก

จนกระทั่งทีมงานของ พล.อ.ประยุทธ์ต้องโพสต์เฟซบุ๊กในวันถัดมา

ว่านายกรัฐมนตรี “เสียใจ” ต่อเรื่องที่เกิดขึ้น

เพื่อทุเลากระแสลง

แต่กระแสจะทุเลาได้หรือไม่ยังสงสัย

เพราะในช่วงเวลาเดียวกัน ที่มีการจับกุมแกนนำชุมนุมประท้วงต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จำนวน 16 คน

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล ก็สาดน้ำมันเข้ากองเพลิง

ด้วยการระบุว่า

หนึ่งในแกนนำที่ตกเป็นข่าวว่าถูกจับกุมนั้น

ไม่ได้ถูกฝ่ายทหารควบคุมตัวไว้

แต่อาจจะ “หนีไปเที่ยวกับผู้หญิง”

เป็นคำสัมภาษณ์ที่ “เรียกแขก” ได้ไม่แพ้รุ่นพี่ที่เป็นผู้บังคับบัญชา

เพราะปฏิกิริยาที่สะท้อนกลับ เป็นไปในทางลบต่อผู้พูดทั้งสิ้น

คำถามก็คือ

ในสถานการณ์ที่งานก็ “งอม” ถึงขั้นต้องมีการปรับปรุงคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่

การขยันปั่นเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่

ด้วยทัศนคติ ท่าที และวาจา อันไม่เป็นคุณต่อรัฐบาลเอง

จะส่งผลให้เกิดอะไรขึ้นต่อไป

และจะสั่งสมไปจนถึงจุดอิ่มตัวเมื่อไหร่

บิ๊กป้อม"เผยตั้ง"บิ๊กช้าง" เป็น"รองหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษรัฐบาล" ช่วยงาน"บิ๊กน้อย"

"บิ๊กป้อม"เผยตั้ง"บิ๊กช้าง" เป็น"รองหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษรัฐบาล" ช่วยงาน"บิ๊กน้อย" แก้ปัญหาภาคใต้/พร้อมสานงานปรองดองต่อ ยันเดินหน้าพร้อม"น้องเกี่ยวก้อย"
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกฯรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงการแบ่งงานให้พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห.คนใหม่ ว่า เป็นการแบ่งงานเหมือนเดิมเหมือนที่เคยแบ่งงานให้กับพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร อดีตรมช.กลาโหม
แต่จะมีการเพิ่มเติมเรื่องงานปรองดอง ที่รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ยังคงเดินหน้าอยู่
ซึ่งล่าสุดก็มีการเปิดตัว"น้องเกี่ยวก้อย"ที่เป็นตุ๊กตามาสคอต สัญลักษณ์ของความปรองดอง
รวมถึง การให้พลเอกชัยชาญ ทำงานแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย โดยจะต้องประสานการทำงานร่วมกับพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ ที่เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาลคนใหม่

ดำเนินคดี "พลเรือตรี"พ่อ นร.Recon บุกหน่วย ทำลายทรัพย์สินราชการ

"ก็ดูทำตัวสิ"
#บททดสอบนักรบRecon
"บิ๊กป้อม" ไฟเขียว กองทัพเรือ-ตำรวจ ดำเนินคดี "พลเรือตรี"พ่อ นร.Recon บุกหน่วย ทำลายทรัพย์สินราชการ กักตัวผบ.ศูนย์ฝึกฯนย.-ยิงปืนในรพ. ชี้กองทัพเรือได้แจ้งความไปแล้ว ทำๆๆๆ ตร.ต้องดำเนินการตามกม.อยู่แล้ว ยันไม่มีการถอนแจ้งความ ระบุ เป็นหน้าที่ของตำรวจ ที่จะดำเนินคดี ยันยึดตามกม. ไม่ต้องเกรงใจ ว่าเป็นนายพล ทหาร ชี้ผมคุมตำรวจอยู่ ยันตำรวจดำเนินการตามกม.แน่ ยัน ผบทร.ไม่ปกป้อง แม้เป็น เพื้อน ตท.16 เพราะก็ยังบอกว่าให้ฟ้องร้องดำเนินคดีได้ ยันห้ามมีทหาร ไปเดินตามเป็นบอดี้การ์ด แขวะ ดูทำตัวสิ
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่
"พลเรือตรี"นอกราชการ พ่อ นร.Recon ที่บาดเจ็บ จนต้องออกจากการฝึก ไม่พอใจบุกหน่วย ทำลายทรัพย์สินราชการ กักตัวผบ.ศูนย์ฝึกฯนย.-ยิงปืนในรพ. ว่า กองทัพเรือได้แจ้งความไปแล้ว
ส่วนตำรวจอาจจะเกรงใจเพราะเป็นนายพลเรือนั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ทำๆๆๆ ตร.ต้องดำเนินการตามกม.อยู่แล้ว ยันไม่มีการถอนแจ้งความ. ถือเป็นหน้าที่ของตำรวจ ที่จะดำเนินคดี ยันยึดตามกม. ไม่ต้องเกรงใจ ว่าเป็นนายพล ทหาร ชผมคุมตำรวจอยู่ ยันตำรวจดำเนินการตามกม.แน่
ยัน ผบทร.ไม่ปกป้อง แม้เป็น เพื้อน ตท.16 เพราะก็ยังบอกว่าให้ฟ้องร้องดำเนินคดีได้ ยันห้ามมีทหาร ไปเดินตามเป็นบอดี้การ์ด แขวะ ดูทำตัวสิ
ส่วนที่ข่าวว่ามี ทหารไปติดตามเป็น บอดี้การ์ด ให้ พลเรือตรี นอกราชการ นั้น มีเหรอ ไม่มี ไปตามไม่ได้
เมื่อถามต่อว่า พล.ร.ต. ยังสามารถสวมชุดลายพรางฝึกอยู่ได้หรือไม่ เพราะออกจากราชการไปแล้ว พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ก็ดูทำตัวสิ"

ใคร ขาลง"??? ฮ้าาา!!

ใคร ขาลง"??? ฮ้าาา!!
"บิ๊กป้อม" ถาม "ใคร ขาลง"ยันรัฐบาล ทำงานดีขึ้นทุกวัน ปัดจัดฉาก /ปูด พวกจ้องป่วน เริ่มแล้วนี่ หลังพบ อาวุธ-กระสุน ล้อทเดียวกับของ"โกตี๋"
จากกรณีที่พบอาวุธ กระสุน ระเบิด จำนวนมาก ที่พบที่ฉะเชิงเทรา นั้น มีการตั้งข้อสังเกตุว่า อาจเป็นการจัดฉาก เบี่ยงเบนความสนใจ ช่วงรัฐบาลขาลง และเป็นช่วงที่นายกฯและพลเอกประวิตรถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง นั้น
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว กลาโหม กล่าวย้อนถามนักข่าวว่า
"ใคร ขาลง" ก็วิจารณ์ไปเองน่ะดิ มีแต่ เรา ทำงานได้ดีขึ้นทุกวัน ไม่เห็นมีอะไรเลย
"แต่ถ้าพวกเรา อยากให้ลง ก็ลง ใช่มั้ย ใช่ปะ" บิ๊กป้อม เปรย
ส่วนผลของ 4คำถามนายกฯ ที่ปชช.ต้องการให้รัฐบาล ทำงานต่อนั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ก็นี่ไง แล้วยังงี้ นี่ขาลงเหรอ แต่ไม่ดีใจหรอก ปชช. ก็โอเค มีแต่สื่อที่มาบอกว่า ขาลง
พลเอกประวิตร กล่าวว่า จากข้อมูลตรวจสอบเบิ้องต้น เป็นเลขล้อทเดียวกับของ "โกตี๋" หริอยาย วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ อดีตแกนนำเสื้อแดง แต่เพิ่งนำมาทิ้งใหม่ แต่ถ้า 3 ปีแล้ว ก็ไม่มั่นใจว่า จะใช้ได้หรือไม่.
แต่ยังไม่รู้ว่า มีแผนจะใช้ทำอะไร หรือก่อเหตุอะไรหรือไม่ ต้องรอผลการสืบสวน ของตำรวจ ก่อน
เมื่อถามว่า การข่าว มีรายงานว่า ใครจะก่อเหตุอะไรในช่วงจากนี้หรือไม่ นั้น. พลเอกประวิตร กล่าวว่า การข่าวก็บอกว่า มันเริ่มแล้วนี่
เมื่อถามว่า จะส่งผลต่อการ ปลดล้อคพรรคการเมือง หรือไม่ ถ้ายังจะป่วน นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า แล้วมันจะปลดได้มั้ย ถ้าจะปลดล้อค ก็ต้องช่วงใกล้ๆ

อาวุธ กระสุน ระเบิด ที่พบที่ฉะเชิงเทรา เป็นเลขล้อทเดียวกับของ "โกตี๋"

มันเริ่มแล้วนี่!!
"บิ๊กป้อม" เผย อาวุธ กระสุน ระเบิด ที่พบที่ฉะเชิงเทรา เป็นเลขล้อทเดียวกับของ "โกตี๋" ชี้ การข่าวแจ้งว่า "มันเริ่มแล้วนี่" จ้องปวน เปรย อาจกระทบ"ปลดล็อค" ยื้อไปช่วงใกล้ๆ/ ปัดจัดฉาก กลบข่าว รัฐบาล"ขาลง" ถาม "ใคร ขาลง"ยันรัฐบาล ทำงานดีขึ้นทุกวัน
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว กลาโหม กล่าวถึงอาวุธ กระสุน ระเบิด จำนวนมาก ที่พบที่ฉะเชิงเทรา ว่า เป็นเลขล้อทเดียวกับของ "โกตี๋" อดีตแกนนำเสื้อแดง แต่เพิ่งนำมาทิ้งใหม่ แต่ถ้า 3 ปีแล้ว ก็ไม่มั่นใจว่า จะใช้ได้หรือไม่.
แต่ยังไม่รู้ว่า มีแผนจะใช้ทำอะไร หรือก่อเหตุอะไรหรือไม่ ต้องรอผลการสืบสวน ของตำรวจ ก่อน
เมื่อถามว่า การข่าว มีรายงานว่า ใครจะก่อเหตุอะไรในช่วงจากนี้หรือไม่ นั้น. พลเอกประวิตร กล่าวว่า การข่าวก็บอกว่า มันเริ่มแล้วนี่
เมื่อถามว่า จะส่งผลต่อการ ปลดล้อคพรรคการเมือง หรือไม่นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า แล้วมันจะปลดได้มั้ย ถ้าจะปลดล้อค ก็ต้องช่วงใกล้ๆ
ส่วนมีการตั้งข้อสังเกตุว่า อาจเป็นการจัดฉาก เบี่ยงเบนความสนใจ ช่วงรัฐบาลขาลง นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า "ใคร ขาลง" ก็วิจารณ์ไปเองดิ เรา ทำงานได้ดีขึ้นทุกวัน ไม่เห็นมีอะไรเลย
"แต่ถ้าพวกเรา อยากให้ลง ก็ลง ใช่มั้ย ใช่ปะ"
ส่วนผลของ 4คำถามนายกฯ ที่ปชช.ต้องการให้รัฐบาล ทำงานต่อนั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า แล้ว
นี่ขาลงเหรอ แต่ไม่ดีใจหรอก ปชช. ก็โอเค มีแต่สื่อที่มาบอกว่า ขาลง

"เอ็นจีโอ-รัฐบาล"ในเหตุการณ์ใต้

ยุคนี้ เป็นยุคไอที.......!
ฉะนั้น
ในการสัประยุทธ์กัน แต่ละฝ่าย ซึ่งต่างมี "อาวุธมหาประลัย" เพื่อการแพ้-ชนะอยู่ในกำมือ พอฟัด-พอเหวี่ยงกัน
ใครจะแพ้-จะชนะ จึงขึ้นอยู่กับว่า
ฝ่ายไหนจะออกอาวุธ "ชิงความเชื่อ" จากประชาชนไปได้มากกว่ากัน
อาวุธมหาประลัยที่ว่านั้น คือ เรื่องราว-ข่าว-ภาพ
ผ่านช่องทางสื่อสารต่างๆ ไม่ว่าเฟซบุ๊ก ไลน์ โทรทัศน์ดิจิทัล หนังสือพิมพ์ โซเชียลมีเดีย
อย่าง ๓-๔ วันมานี้ เกิด "สงครามประกอบฉาก" ขึ้นที่สงขลา ในช่วง "นายกฯ ประยุทธ์" ยก ครม.สัญจรใต้
คู่ศึก ก็ระหว่าง "เอ็นจีโอ" กับ "ตำรวจ-ทหาร"
เอ็นจีโอ คือกลุ่มต่อต้านสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จังหวัดสงขลา
กลุ่มนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิด หากแต่เกิดพร้อมโครงการเกิดนั่นแหละ!
เขาทราบว่า นายกฯ ลงมาสงขลา
พวกเขาก็จะไปยื่นหนังสือคัดค้านโครงการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพากับนายกฯ!
การจะเอาหนังสือไปยื่นซื่อๆ เหมือนอย่างชาวบ้านทั่วไปเขายื่น ดูจะด้อยมูลค่าทางข่าว
คือมันไม่กระแทกหู-กระแทกตาชาวบ้านน่ะ
ผิดทั้งวิสัย ผิดทั้งยุทธศาสตร์-ยุทธวิธีทางมวลชนเพื่อเอาชนะรัฐ ของชนชั้นเอ็นจีโอเขา
ดังนั้น จึงมีรูปแบบแห่งพิธีกรรม แบกธง-แบกป้าย เดินเท้าตากแดด-ตาก ฝนข้ามวัน-ข้ามคืน ดรามาประกอบฉากข่าวไปเรื่อยๆ
กะให้พอดี.......
นายกฯ ลงไปถึงสงขลา ขบวนดรามาขาประจำ ก็ไปถึง!
การยื่นหนังสือนายกฯ นั้น ที่ไหน-เมื่อไหร่ก็ยื่นได้ และใช่ว่า ที่ผ่านมาในแต่ละรัฐบาลไม่มีการยื่นคัดค้าน
แต่ที่อุตส่าห์เดินย่ำเท้าเข้าฉากกันมาเป็นวันๆ ในหนนี้ เพราะเจตนาพิเศษมันมีอยู่ ในความเห็นผม
๑.ศรศิลป์มันไม่กินกับรัฐบาลทหารอยู่แล้ว และ
๒.รัฐบาลนี้ ถือดีในอำนาจ ยั่วให้ปะทะได้ง่าย จะได้ใช้เป็นเงื่อนไขเรียกแขกด้านสิทธิมนุษยชน
ก็ไม่ผิดจากที่เขาประเมิน...........
เมื่อตำรวจ-ทหารเข้าขัดขวาง ก็ "เข้าทาง" เอ็นจีโอเป๊ะเลย!
เขาต้องการภาพชุลมุนเชิงปะทะจากกำลังรัฐอยู่แล้ว
ต้องการให้เกิดประเด็นละเมิดสิทธิมนุษยชน เพื่อให้เรื่องถึงยูเอ็นอยู่แล้ว
ต้องการให้เกิดภาพ-ทัศนคติ "ลบในลบ" กับรัฐบาลประยุทธ์อยู่แล้ว
และต้องการให้เกิดประเด็นขัดแย้งทางศาสนาผ่านตัวบุคคลผสมอยู่ด้วย
ดังนั้น .......
ภาพชุลมุนเชิงปะทะก็ดี การจับกุมตัวผู้ชุมนุมใส่กุญแจมือก็ดี การเคลื่อนย้ายผู้ถูกจับกุมไปควบคุมตัวไว้ก็ดี
กระทั่งภาพ
"ทหารชี้หน้า" ที่นำมาเบี่ยงเป็นทางขยี้ประเด็นกันจนแตกมันขณะนี้ก็ดี
แต่ละเหตุการณ์ แต่ละช็อต-ละฉาก...........
"ตำรวจ-ทหาร" กลายเป็น "ผู้ร้าย" ใช้อำนาจ-ใช้อาวุธ-ใช้กุญแจมือ กับกลุ่มเอ็นจีโอที่ต่อต้านโรงไฟฟ้าไปโดยไม่รู้ตัว
ที่ผมสรุปเล่ามาตั้งแต่ต้นนั้น ก็เพื่อจะบอกว่า
การสู้รบทางการบ้าน-การเมืองทุกวันนี้ เปลี่ยนรูปแบบอาวุธที่ใช้ห้ำหั่นกันในขั้นแพ้-ชนะ
จากอาวุธปืนผาหน้าไม้ มาเป็นใช้เรื่องราว-ข่าว-ภาพ ซัดสาดใส่กันผ่านทางสื่อ
โดยเฉพาะสื่อ "อินเทอร์เน็ต"!
ในกรณีนี้ เป็นตัวอย่างชัดมาก ติดตามนั่งดู-นอนดูมา ๒-๓ วัน ดูการสัประยุทธ์ ด้วยการ "ออกอาวุธ" แก้ทางกัน
ระหว่างฝ่ายเอ็นจีโอกับฝ่ายรัฐบาล เรียกว่า....
......มันมาก!
รัฐบาล โดยตำรวจ-ทหาร เป็นฝ่าย "เข้าร่องแข้ง" เอ็นจีโอเอง คือรู้ทั้งรู้ว่า แผนของขบวนการนี้ ต้องการต่อยอดไปสู่อะไร
หลังจาก "มุกแป้ก" มาเป็นปีๆ!
แต่ฝ่ายตำรวจ-ทหาร กลับไปต่อแข้ง-ต่อขาในสถานการณ์ให้เอ็นจีโอดูมีราคาขึ้นมาเอง
ก็เพิ่งเห็นที่ครั้งนี้แหละ ........
คนถูกจับดีอก-ดีใจ เซลฟีกันยกใหญ่ เมื่อได้เป็นคู่กรณีกับรัฐในฐานะ "ผู้ถูกกระทำ"
ชูมือ-ชูแขน ที่ถูกใส่กุญแจมือให้ช่างภาพ-ช่างกล้องถ่ายรูป ด้วยหน้าเบิกบาน สายตาสมหวัง
เพราะทั้งหมด ก็เพื่อสิ่งนี้แหละ..........
เพื่อได้ตะโกนว่า รัฐบาลเผด็จการปราบปรามประชาชน ไม่ฟังเสียงประชาชน ย่ำยีสิทธิมนุษยชน ใช้อำนาจกับประชาชน
และ.....
"ชี้หน้าประชาชน"!
เหล่านี้ คืออาวุธที่ฝ่ายเอ็นจีโอยิงถล่มใส่รัฐบาลเผด็จการให้ปรากฏผ่านโซเชียลมีเดีย ผ่านโทรทัศน์ ผ่านหน้าหนังสือพิมพ์
พวกเอ็นจีโอ "รู้ทาง" ดี ว่ายั่วให้ถูกจับ "คุ้มเกินคุ้ม" ทางด้านจิตวิทยามวลชน สุดท้าย ฝ่ายรัฐก็ต้องปล่อย ต้องให้ประกัน
ก็เล่นเอารัฐบาล คสช.เอียงวูบวาบไปเหมือนกัน
ถึงขั้นพูดกันว่า.........
นายกฯ ประยุทธ์ลงใต้เที่ยวนี้ คะแนนนิยมตกหกหายไปเกือบเกลี้ยง
เนื่องจาก ดรามา "เอ็นจีโอถูกกระทำ" เรียกน้ำตาและความเห็นใจจากแฟนๆ ที่ซื่อ-ใส ได้พอสมควร
รวมทั้งเรื่องนายกฯ "ตะคอกใส่คน" ชาวบ้าน-ชาวเมือง พูดกันด้วยความอิดหนาระอาใจ กับ "นายกฯ เจ้าอารมณ์" ว่า
"ชักเยอะ" ไปหน่อยแล้วนะ...ท่าน!
นี่เป็นกระบวนการรบทางฝ่ายเอ็นจีโอ ผู้ต่อต้านสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา
มาดูกระบวนยุทธ์ "ยุทธการทางสื่อ" ของทีมงานฝ่ายรัฐบาลในการตีโต้สถานการณ์บ้าง
ผมว่า เดี๋ยวนี้ "ยุทธการทางสื่อ" ของทีมงานรัฐ ทำงาน "ทันลูก-ทันเล่ห์" ฝ่ายตรงข้ามได้ชนิด "ดอกต่อดอก" เข้าขั้นเอาการอยู่
เรียกว่า "ภาพไหน" ที่อีกฝ่าย...........
เลือกนำเผยแพร่ ด้วยการตัดต่อบ้าง เลือกมุมกล้องในทางเบี่ยงเบนความเป็นจริง หวังใช้ ๑ ภาพ แทน ๑๐๐คำพูด "ฟ้องการกระทำจากรัฐ" บ้าง
ทีมงานรัฐ ที่ตามประกบ "เก็บภาพ-เก็บเรื่อง" เช่นเดียวกับอีกฝ่าย
ก็จะนำภาพ "เหตุการณ์เดียวกัน" จากมุมกล้องครบด้านออกเผยแพร่ เพื่อให้เห็น "ความเป็นจริง" ในเหตุการณ์นั้น เป็นการหักล้างจากอีกฝ่าย
เช่นภาพชุลมุนให้คนดูเข้าใจว่า ตำรวจ-ทหาร ทำรุนแรง ไล่ทุบตีเพื่อจับกุม
ทีมงานฝ่ายรัฐ ก็นำภาพในทุกด้านออกเผยแพร่หักล้าง ให้เห็นว่า
มีการจัดฉาก ผลักดันพวกันเข้าใส่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ให้ล้มลุก-คลุกคลานเป็นภาพปล้ำจับกันประมาณนั้น
หรืออย่างภาพ นายทหารชี้หน้าใส่กลุ่มคนเผชิญหน้า ที่นำออกมาดรามากันขนานใหญ่
คนอยู่ในสถานที่เกิดเหตุ ทนเห็นบิดเบือนไม่ไหว นำวิดีโอที่ถ่ายครบด้านออกเผยแพร่
กลายเป็นว่า นายทหารท่านนั้น พูดจาน่ารักกับชาวบ้านไทยมุสลิม ระหว่างพูดกัน ท่านชี้มือไปที่ธงข้างหลัง
ด้วยความจงใจของอีกฝ่ายนั่นแหละ.......
คัดเอาภาพจาก "มุมกล้อง" ที่มองแล้วเหมือนชี้หน้าผู้ชุมนุมเผยแพร่
กะใช้ภาพนี้เป็นคมแฝก "ตีแสกหน้า" โป้งเดียวรัฐบาลชักแหง็กๆ!
เหล่านี้ คือสงครามใน "ยุทธภูมิสื่อสารไอที" วันนี้
เอ็นจีโอ "ละเลงภาพ ๔ สี" ใดออกมา
ถูกทีมงานรัฐบาลโต้กลับด้วย "ยุทธการย้อนเกล็ด" เป็นการจับเท็จ "ตามประกบ"
ชนิด "ภาพต่อภาพ-เรื่องต่อเรื่อง"!
จะเห็นว่า ทุกวันนี้ ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อจากเอ็นจีโอแทบไม่เหลือเท่าไหร่ในสายตาชาวบ้าน
ยิ่งบางเอ็นจีโอไปผูกติดกับระบอบแดงทั้งแผ่นดิน เลยยิ่งม้วยมรณังไปด้วยกัน
ไม่เพียงที่เมืองไทย ในหลายประเทศ เอ็นจีโอ กลายเป็นตัวเสนียด อยู่ไหนสร้างความจัญไรให้ที่นั่น!
ดูการบ้าน-การเมืองยุคนี้ ดูจากพื้นราบไม่ได้
ต้องใช้โดรนเก็บภาพชนิดพาโนรามา ดูทุกซอก-ทุกมุม จึงจะเห็น "ความจริง-ที่เป็นจริง"
จากกรณีนี้ ดูแล้ว "ขิงก็รา-ข่าก็แรง"
เอ็นจีโอสายแดงกับรัฐบาล คสช.ใครจะเป็นฝ่ายเก็บใครในสงครามสื่อ..........
ก็อยู่ที่ฝ่ายไหน "ให้ความจริง" กับประชาชนได้ก่อนและได้ชัดเจน.

ระบอบ การเมือง หลัง รัฐประหาร 2557 กับ ชาว ภาคใต้

ระบอบ การเมือง หลัง รัฐประหาร 2557 กับ ชาว ภาคใต้


หากตัดเอาสถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ออกไป อาจถือได้ว่าภาคใต้เป็นพื้นที่ที่มี ความอ่อนไหวทางการเมืองน้อยที่สุด

หากเทียบกับ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

เพราะว่าความสัมพันธ์ระหว่าง คสช.และรัฐบาลกับ 1 พรรคประชาธิปัตย์ และ 1 แกนนำ กปปส.เป็นไปอย่างมีสันถวมิตรอันสนิทสนม

ถึงกับเคยมี “คำชี้แนะ” ออกมา “ปราม”

การเคลื่อนไหวของเกษตรกรชาวสวนยางจำนวนหนึ่งที่เคยคิดจะเคลื่อนไหวตั้งแต่แรกที่ราคายางพาราทรุดเสื่อมตกต่ำในปี 2558

ว่าไม่ควรทำ เพราะนี่คือ “รัฐบาลของเรา”

ปรากฏการณ์อันเนื่องจากเสียงตวาดดังขึ้น ณ ตลาดปลา ปัตตานี เมื่อประสานเข้ากับการสลายการชุมนุมของชาวเทพา-ปัตตานี ที่สี่แยกสำโรง สงขลา

จึงถือว่าไม่น่าเกิดขึ้น ไม่น่าเป็นไปได้

กระนั้น เมื่อจับท่าทีของ คสช.และรัฐบาลหลังจากสถานการณ์ ณ ปัตตานี และสถานการณ์ ณ สงขลา บังเกิดขึ้นอย่างครึกโครม

ก็พอจะเข้าใจ

อาจเป็นเพราะ คสช.และรัฐบาลยังมีอารมณ์ “ค้าง” มาจากกรณีการเสียชีวิตของ “น้องเมย” และรวมถึงทิศทางและความสับสนจากการปรับ ครม. “ประยุทธ์ 5”

เมื่อมองเห็น “ผู้ชุนนุม” ที่สงขลา จึงเกิดความระแวง

เป็นความระแวงจากภาพและองค์ประกอบซึ่งมีจุดเริ่มจากเทพา และเมื่อประสานเข้ากับปัตตานีจึงต่อหัวต่อหางไปไกล

เพราะเทพา ปัตตานี ก็เป็นส่วนหนึ่งใต้กฎหมาย “ความมั่นคง”

จึงมิได้มองปรากฏการณ์ของชาวประมง และของชาวบ้านว่าดำเนินไปตามวิถีของคนรักบ้านเกิดคนรักชุมชน

ยิ่งยุ่งยิ่งดี

ยิ่งยุ่งยิ่งดี


เป็นอันว่านายมีชัย ฤชุพันธุ์ และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 21 คน ได้ใช้เวลา 2 ปีกับ 1 เดือน ปฏิบัติภารกิจสำคัญที่ได้รับมอบหมายจาก คสช.เสร็จสิ้นลงอย่างสมบูรณ์

1. จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งผ่านประชามติแล้ว และประกาศใช้แล้วตั้งแต่ 8 เดือนที่ผ่านมา
2. จัดทำร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ หรือ ก.ม.ลูก 10 ฉบับ เสร็จทันก่อนเส้นตาย 240 วัน

ล่าสุดได้จัดทำร่าง ก.ม.ลูก 2 ฉบับสุดท้าย ได้แก่ “ร่าง พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.” และ “ร่าง พ.ร.บ.ลากตั้ง ส.ว.” ส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้เป๊ะพอดี

เมื่อ ก.ม.ลูก 2 ฉบับสุดท้ายประกาศใช้ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 21 คน จะถูกยุบเลิกไปตามกติกา
ยกเว้น...ผู้เฒ่ามีชัยคนเดียว ที่ควบเก้าอี้กรรมการ คสช.ยังมีบทบาทหลังฉากต่อไปจนกว่า คสช.จะสิ้นสุดอายุการทำงาน

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าผลงานทิ้งทวนของ “อจ.มีชัย” ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และ ก.ม.ลูกอีก 10 ฉบับที่ผ่านมา สามารถตอบโจทย์ คสช.ได้อย่างยอดเยี่ยมกระเทียมโทน

โดย อจ.มีชัย ได้สอดใส่เงื่อนไขต่างๆเข้าไปในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และ ก.ม.ลูกทั้ง 10 ฉบับอย่างแนบเนียน

ซึ่งเมื่อนำทั้งหมดมาผสมรวมกันจะทำให้ประชาธิปไตยเต็มใบเหลือครึ่งใบ

ทำให้ไม่มีพรรคใดได้ที่นั่ง ส.ส.เกินครึ่งสภาฯ

เปิดประตูอ้าซ่าให้คนนอกที่ไม่ผ่านการเลือกตั้งของประชาชนนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี

โดยมี ส.ว.ลากตั้ง 250 คน เป็นเสียงชี้ขาดการตั้งรัฐบาล

ถ้าไม่ใช่เขี้ยวลากดินระดับเทพ ทำอย่างงี้ไม่ได้แน่นอน

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าในร่าง พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.ฉบับใหม่ ที่ อจ.มีชัย ประเคนให้ที่ประชุม สนช.ทำคลอด
ออกมาบังคับใช้ก็มีการเพิ่มเงื่อนไขพิสดารที่ทำให้ชาวบ้านพิศวงงงงวย

เช่น ให้ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว เลือก ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อแบบทูอินวัน

แต่ที่ไม่เข้าท่าคือ กำหนดให้ผู้สมัคร ส.ส.เขต พรรคเดียวกันต้องมีเบอร์แตกต่างกัน

และที่ไม่เข้าท่าอย่างยิ่งคือ กำหนด ให้พรรคการเมืองใดถ้าได้จำนวน ส.ส.เขตมากเกินไป

พรรคการเมืองนั้นจะถูกตัดสิทธิไม่ให้ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อแม้แต่คนเดียว

นี่คือการละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชนเต็มเปา

เพราะเท่ากับคะแนนเสียงประชาชน ที่ต้องการเลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรค การเมืองนั้น ถูกตัดทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง!!

อย่างไรก็ดี “แม่ลูกจันทร์” เห็นด้วยกับกติกาใหม่ ที่ อจ.มีชัย ใส่เพิ่มลงไปใน ร่าง พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.บางประเด็น

เช่น...การกำหนดเงื่อนไขให้ผู้สมัครเลือกตั้ง ส.ส.จะต้องแสดงบัญชีการเสียภาษีย้อนหลัง 3 ปี

เห็นด้วย เพราะการจ่ายภาษีเงินได้บำรุงประเทศเป็นหน้าที่สำคัญของพลเมืองไทย

แต่ปัญหาคือ คสช.ปฏิวัติยึดอำนาจรัฐมาแล้วกว่า 3 ปี

บรรดาอดีต ส.ส.ทั้งหลายก็ตกงานกันระนาว

เมื่อ ส.ส.ตกงาน จะเอาหลักฐานเสียภาษีย้อนหลัง 3 ปีมาแสดง เพื่อสมัครเลือกตั้ง ส.ส.ใหม่ได้อย่างไร??
ยุ่งตายชักน่ะซีโยม.

“แม่ลูกจันทร์”

ขืนสูตรล็อก ‘ของตาย’

ขืนสูตรล็อก ‘ของตาย’


ไม่แปลกใจที่พลุ “2 ขั้วการเมืองจับมือ” เซ็ตซีโร่ คสช. ล้างท็อปบูต ไม่ทำให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.หวั่นไหว “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ไม่ไหวหวั่น

และคงไม่ใช่แค่เหตุผลที่ “อำนาจคู่ คสช.” ประสานเสียง “ไม่สนใจเพราะ ไม่ใช่นักการเมือง”

แต่ที่มากกว่า น่าจะเป็นเพราะแผนต่างๆเริ่มลงล็อก บันไดสู่เก้าอี้ “ผู้นำคนนอก” กำลังคืบหน้า

ณ จุดจุดนี้ “คนคู่ คสช.” เลยไม่แหยงเกมสกัดกั้นใดๆ

แต่กับโปรแกรมเลือกตั้งที่อย่างน้อยก็ราวๆอีก 1 ปีจากนี้ จึงเป็นอย่างที่เห็น เวลานี้คนการเมืองก็อ่านทางออก “บิ๊กตู่” เล่นเกมยาว “ต่อตั๋ว” อำนาจพิเศษเฟส 2 แน่ๆ

แล้วจะให้นิ่งรับสภาพ ก็คงไม่ใช่พันธุ์พิเศษ “นักการเมือง”

แน่นอนกับพรรคเพื่อไทย มวยหมัดหนัก “เดอะอ๋อย” จาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคออกมายิงอาวุธ จุดพลุ 2 ขั้ว เพื่อไทยบวกประชาธิปัตย์จับมือสกัดแผน คสช.

“เดอะอ๋อย” น่าจะถอดรหัสสูตรคณิตศาสตร์การเมืองมาถี่ถ้วน ทางเดียวที่จะบล็อก “อำนาจท็อปบูต” ออกจากระบบ ต้อง 2 ป้อมค่ายใหญ่ที่ตามสถิติตัวเลขที่ผ่านมา รวมเสียงแล้วจะมีพลัง

สูตรนี้คลิก แรงเหวี่ยงเปลี่ยนทาง เกมพลิกกันได้

ขณะที่คนพรรคประชาธิปัตย์ วันนี้แยก 2 ทางเดิน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค ปชป. ออกมาเล่นลูกตามเพื่อไทย แน่นอนอาจเป็นมุมมองสังคม อุดมคติที่หลายคนก็คงอยากเห็น

ภาพ 2 ค่ายใหญ่ที่เป็นขั้วขัดแย้งจูนกันติด ร่วมไม้ร่วมมือทำงาน

ให้ ท.ทหารพลังสูงแค่ไหน ก็คงจะมายุ่มย่ามลำบาก

อีกด้านหนึ่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อาจมองคิวพิเศษ “2 ขั้วจับมือ” เสี่ยงสะเทือนแต้ม ฐานเสียงจะช็อกกับเกมเปลี่ยน ถึงได้ออกฤทธิ์ใส่รัฐบาล คสช.รายวัน

ถึงแม้ประเมินทิศทางอำนาจท็อปบูตชัด แต่หากจะยอมไหลตามรูปเกมโดยดี

นั่นก็ง่ายเกินไป ไม่ใช่สไตล์เขี้ยวๆคน ปชป.

โดยเฉพาะเมื่อประเมินตามสูตรตัวเลข แผน “นายกฯคนนอก” ลำพังแค่ขั้นตอนการโหวตเพื่อเดินไปสู่ช็อตในฝันของท็อปบูตก็คงไม่ยาก กับแต้ม 250 ส.ว. ตุนไว้แล้ว แต่ในการทำงานหลังจากนั้น

สำหรับ “รัฐบาลผสม” อย่างน้อยต้องมีเสียง ส.ส.หนุนเกินครึ่ง จาก 500 เสียง ต้องมี “250 บวกๆ” ในมือ
“อภิสิทธิ์” น่าจะอ่านขาด ถึงมีพรรคใหม่เกิดขึ้น เติมด้วยค่ายเล็กค่ายน้อยอีกกี่สำนักก็ตามที

ถ้าขาดขั้วใหญ่ประชาธิปัตย์ “รัฐบาลผสม” ก็บริหารงานยาก

โดยไม่ต้องพูดถึงอีกขั้วอย่างเพื่อไทย “นายใหญ่” ยังหาช่องเชื่อมต่อสัญญาณเหนื่อย

ในรูปการณ์นี้ ปชป.เลยได้ทีเล่นบทเฮี้ยวกันสนุก

เลี่ยงติดยี่ห้อ “พรรคของตาย”

ในความคิดที่ไม่แตกต่างกัน กับการออกแอ็กชั่นร้อนๆของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ดูจะมั่นใจเต็มพิกัด หลังยัน “ศึกเจ้าสัว” สกัดแผน “ยึดพรรค” สำเร็จ

ช่วงหลังเริ่มขยับขยายเครือข่าย สร้างคอนเน็กชั่น “ขั้วอำนาจเก่าแก่” ไว้เป็นแบ็ก

ถึงเวลาขับเคลื่อนภูมิใจไทย “เสี่ยหนู” เลยมาเต็ม กระตุกจังหวะของภาพ“แต้มชัวร์”

ขัดขืน ไม่ให้ถูกต้อนเป็น “นั่งร้าน” แต่โดยดี

เรียกว่าตามรูปเกมเวลานี้ ทั้ง ปชป.-ภูมิใจไทย จัดว่าเขี้ยวพอตัว

บางครั้งต้องใส่ลูกอิดออด โหวกเหวกเสียงดัง

เพิ่มดีกรีน้ำหนักต่อรองเหมือนกัน.

ทีมข่าวการเมือง

เนื้อหา พรป.สส.

FB นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์


30พย.พรป.ฉบับสุดท้ายผ่านสภาในวาระรับหลักการแล้ว คือพรป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสส.สำคัญมากเพราะเป็นฉบับที่4ถัดจากพรป.กกต.พรป.พรรคการเมือง และพรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสว.เมื่อประกาศราชกิจจาฯแล้ว รัฐจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใน150วัน โดยบทเฉพาะกาลกำหนดให้ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายในเก้าสิบวัน และให้อำนาจกกต.กำหนดวันเลือกตั้ง

สาระมีสส.เลือกตั้งจากเขตพื้นที่350คน และจากบัญชีรายชื่อ150คน

เพิ่มประชาชนผู้มีสิทธิเป็น1,000คนต่อหน่วยเลือกตั้ง ไม่มีกกต.จว.แต่มีผู้ตรวจการเลือกตั้งตามพรป.กกต.แบ่งเขตเลือกตั้งใช้จำนวนปชช.ผู้มีสิทธิทั้งประเทศหารด้วย350 โดยมีผอ.การเลือกตั้งประจำเขตหนึ่งคน คกก.การเลือกตั้งประจำเขตไม่น้อยกว่าสามคน ทำหน้าที่แต่งตั้งคกก.ประจำหน่วยเลือกตั้งห้าคนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งและเจ้าหน้าที่รปภ.

หนึ่งคน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งอายุไม่ต่ำกว่า18ปี มีชื่อในทะเบียนบ้านไม่น้อยกว่า90วัน ส่วนผู้สมัครรับการเลือกตั้งต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองมาเป็นเวลาติดต่อกันไม่น่อยกว่า90วัน แต่ถ้าเลือกตั้งเพราะเหตุยุบสภาให้ลดลงเหลือ30วัน คุณสมบัติและข้อต้องห้ามเหมือนกม.เดิม มีเอกสารและหลักฐานที่ต้องยื่นเพิ่มเติมจากกม.เดิมคือหลักฐานแสดงการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาติดต่อกันสามปีเว้นแต่ผู้ไม่ได้เสียภาษีนี้ให้ทำหนังสือยืนยันพร้อมระบุสาเตุ โดยให้สำนักงานกกต.จัดทำข้อมูลหลักฐานเปิดเผยให้ปชช.ทราบเป็นการทั่วไป หมายเลขประจำตัวผู้สมัครไม่ได้เป็นเบอร์เดียวทั้งประเทศเหมือนเดิมแต่จะเรียงตามลำดับเลขที่ของการสมัคร กรณีตรวจพบภายหลังว่าผู้สมัครขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการใช้สิทธิสมัคร ให้เสนอเรื่องต่อกกต.เพื่อวินิจฉัย ถ้าประกาศผลเลือกตั้งแล้วให้กกต.ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ

สำหรับสส.แบบบัญชีรายชื่อ ในการจัดทำบัญชีต้องให้สมาชิกของพรรคการเมืองมีส่วนร่วมในการพิจารณา โดยต้องคำนึงถึงการกระจายตามภูมิภาคต่างๆและความเท่าเทียมระหว่างชายหญิง และต้องแสดงหลักฐานการเสียภาษีเงินได้ติดต่อกันสามปีเช่นเดียวกัน ให้กกต.ประกาศจำนวนเงินค่าใช้จ่ายของผู้สมัครแบบแบ่งเขตแต่ละคนและของพรรคการเมือง และทบทวนจำนวนเงินทุกสี่ปี และผู้สมัครและพรรคฯต้องยื่นบัญชีรายรับรายจ่ายต่อกกต.ภายใน90วันหลังเลือกตั้ง

การหาเสียงเลือกตั้งทางอีเล็กโทรนิกส์ให้ทำได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กกต.กำหนดซึ่งต้องหยุดภายในสามวันก่อนเลือกตั้ง

ผู้สมัครสามารถใช้ความรู้ความสามารถทางศิลปะของตนหาเสียงได้โดยไม่ใช้อุปกรณ์ในการแสดงมหรสพ ให้ผู้สมัคร พรรคการเมืองปิดประกาศหรือติดแผ่นป้ายได้เฉพาะในสถานที่ที่คกก.กำหนดและขนาดและจำนวนตามที่กำหนด

กกต.อาจกำหนดให้มีการออกเสียงลงคะแนนโดยวิธีอื่นก็ได้ แต่ต้องป้องกันการทุจริตได้ แต่ต้องสะดวกกว่า ค่าใช้จ่ายน่อยกว่าและเป็นการลงคะแนนโดยตรงและลับ(EVM) ขยายเวลาเลือกตั้งไปหนึ่งชม.จาก8.00-16.00น.มีการออกเสียงลงคะแนนล่วงหน้าและลงคะแนนเลือกตั้งสำหรับผู้มีสิทธิในต่างประเทศได้เหมือนเดิมแต่ยืดหยุ่นให้ปรับสถานที่และวิธีการไปตามความเหมาะสมของแต่ละประเทศ ในเขตเลือกตั้งใดถ้ามีโหวตโนมากกว่าคะแนนที่ได้ ให้จัดเลือกตั้งใหม่โดยตัดสิทธิผู้สมัครเดิม

การเลือกตั้งใช้บัตรใบเดียวเลือกคนและพรรค ในกรณีที่ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งและนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ ให้ผู้นั้นรับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งครั้งที่เป็นเหตุให้มีคำสั่ง โดยจำนวนเงินพิจารณาจากหลักฐานค่าใช้จ่าย

กมธ.ประชุมนัดแรกเสร็จแล้ว ได้พล อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการเป็นปธ.

ส่วนผมถูกเสนอให้เป็นรองปธ.คนที่สี่ครับ

"สุรินทร์ พิศสุวรรณ"ในมุมมอง"ปวิน"

ก่อนอื่น ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวพิศสุวรรณ กับการจากไปของคุณสุรินทร์อย่างกระทันหัน ผมตื่นมาตอนตี 4 เช้านี้ เพราะนอนไม่หลับ ยังเจ็ทแล็คกับการเดินทาง ก็มาพบกับข่าวร้ายเกี่ยวกับการเสียชีวิตของคุณสุรินทร์ ผมอยากเขียนอะไรบางอย่างสะท้อนความรู้สึกผมต่อคุณสุรินทร์ครับ
…ผมได้รู้จักคุณสุรินทร์เป็นครั้งแรกในฐานะข้าราชการที่กระทรวงการต่างประเทศ ในปี 1997 คุณสุรินทร์ได้ดำรงตำแหน่ง รมว กต ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ผมเดินทางไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ แต่การรู้จักในวันนั้นมันแค่ผิวเผิน ผมก็แค่ข้าราชการตัวเล็กๆ คนนึง ส่วนคุณสุรินทร์เป็นถึงรัฐมนตรี ไม่มีอะไรลึกซึ้งไปกว่านั้น แต่โดยส่วนตัว ผมชื่มชมคุณสุรินทร์อย่างมาก เพราะเป็นคนเก่งในเรื่องการต่างประเทศจริงๆ
…หลังจากผมหายไปจากกระทรวงต่างประเทศหลายปี ผมได้กลับมาทำงานอีกครั้งหลังสำเร็จปริญญาเอก และในที่สุด ได้ถูกส่งไปประจำการที่สถานทูตของเราที่สิงคโปร์ นั่นเป็นที่มาที่ทำให้ผมได้รู้จักคุณสุรินทร์อย่างแท้จริง
…ปี 2007 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่ผมรับราชการที่สถานทูต เป็นปีเดียวกับที่คุณสุรินทร์สนใจที่จะเป็นตัวแทนประเทศไทยในการขึ้นสู่ตำแหน่งเลขาธิการของอาเซียน จึงเป็นการเตรียมตัวขอความเห็นชอบจากอาเซียนประเทศอื่นๆ คุณสุรินทร์เลือกสิงคโปร์เป็นฐานในการเดินทางไปประเทศอาเซียนที่เหลือ จึงทำให้ผมได้ใกล้ชิดคุณสุรินทร์มากขึ้น ในปี 2007 นั้น ผมได้รับการขอจาก กต ให้ช่วยเขียนบทความลง นสพ The Straits Times ของสิงคโปร์ เพื่อเชียร์ให้คุณสุรินทร์ได้ตำแหน่ง ในที่สุดผมก็เขียนบทความดังกล่าว และทูตสิงคโปร์ตอนนั้น (ทูตเฉลิมพล) ได้ขอให้ผมเป็นคนติดตาม/ดูแล คุณสุรินทร์ทุกครั้งที่เดินทางมาสิงคโปร์ ในปีนั้น ผมได้พบคุณสุรินทร์บ่อยครั้ง ความรู้จักแบบธรรมดา พาไปสู่ความรู้จักที่เป็นกันเองมากขึ้น ผมอยู่ในหลายเหตุการณ์ร่วมกับคุณสุรินทร์ ในการไปเป็นผู้จดบันทึกทุกครั้งที่คุณสุรินทร์หารือข้อราชการกับสิงคโปร์ ได้มีโอกาสทานอาหารร่วมกันแบบส่วนตัวหลายครั้ง นำพาให้ผมไปรู้จักกับภริยาของคุณสุรินทร์ คนที่ขอให้ผมเรียกเค้าว่า “พี่ษา” ซึ่งได้ให้ความเป็นกันเองกับผม
…คุณสุรินทร์เป็นคน bright และ impressive ในการเดินทางไปเกาหลีครั้งนั้นด้วยกันนั้น คุณสุรินทร์ได้รับเชิญให้กล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้านักวิชาการ/นักการเมือง/นักธุรกิจเกาหลีใต้ ในห้องที่เต็มไปด้วยผู้คน ทันทีที่คุณสุรินทร์กล่าวสุนทรพจน์ คุณสุรินทร์สามารถสะกดให้ทุกสายตาหันมาที่เค้าได้ ผมสังเกตผู้ที่เข้าฟังในวันนั้น ทุกคนมองไปที่คุณสุรินทร์ เหมือนถูกสะกดจริงๆ มีบางคนบอกกับผมในงานว่า นี่แหละที่ทำให้คุณสุรินทร์ต่างไปจากคุณสุรเกียรติ คือ ความสามารถพูด public speaking ที่น่าประทับใจกว่ามาก จนบางคนบอกว่า หากคุณสุรินทร์ชิงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติแทนคุณสุรเกียรติ ป่านนี้เราอาจมีตัวแทนของเราที่ยูเอ็น ก็เป็นไปได้
…สิงคโปร์รักคุณสุรินทร์ ผมเคยอยู่ในการสนทนาระหว่างคุณสุรินทร์กับลีกวนยู แม้แต่ลีกวนยูก็ยังชื่นชมคุณสุรินทร์ ในที่สุด เมื่อได้ตำแหน่งแล้ว คุณสุรินทร์ก็พยายามเปลี่ยนภาพลักษณ์อาเซียน และเมื่อไซโคลนนาร์กิสโจมตีพม่าในปี 2008 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่คุณสุรินทร์รับตำแหน่งเลขาอาเซียน คุณสุรินทร์เป็นบุคคลสำคัญที่สามารถเกลี้ยกล่อมให้พม่าเปิดประเทศ ยอมรับความช่วยเหลือจากต่างชาติ จากเหตุการณ์นั้น คุณสุรินทร์ติดต่อผมมา (ในปี 2008 ผมได้ออกไปอยู่กับสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาที่สิงคโปร์แล้ว) เพื่อขอให้ผมเดินทางไปพม่าด้วย และเขียนหนังสือเกี่ยวกับบทบาทของอาเซียนในการช่วยเหลือพม่า ซึ่งเป็นอีกโอกาสหนึ่งที่ผมได้ใช้เวลาร่วมกับคุณสุรินทร์ ในที่สุด หนังสือผมก็ออกมา เขียนร่วมกันนักวิชาการพม่า (Moe Thuzar) เรื่อง Myanmar: Life After Nargis (ISEAS, 2009) เป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงจริงๆ ครับ ผมได้ใช้เวลาหลายชั่วโมงสัมภาษณ์คุณสุรินทร์ทั้งที่กรุงเทพและย่างกุ้ง นับเป็นผลงานอีกชิ้นที่คุณสุรินทร์ฝากไว้
…มรดกตกทอดที่เหลือของคุณสุรินทร์ในระหว่างการเป็น รมว กต คือการช่วยผลักดันนโยบาย constructive engagement ในการช่วยพม่าเปิดประเทศ ดังนั้น ผลงานในการช่วยพม่าจากภัยนาร์กิสก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของมรดกตกทอดนั้น…
…ยังมีอีกหลายโมเม้นท์ที่ผมนึกถึง ใครที่สนิทกับผม ผมก็เคยเล่าเรื่องนี้แล้วบ้าง ในครั้งหนึ่ง เมื่อคุณสุรินทร์บินมาจากปารีส ผมไปรับที่สนามบินชางงี จากนั้นมีเวลาเหลือไม่มากก่อนที่คุณสุรินทร์จะต้องขึ้นพูดอีกครั้ง เมื่อผมไปส่งที่โรงแรม คุณสุรินทร์ขอให้ผมรีดเสื้อให้ เพื่อที่จะใส่ไปในงานดังกล่าว ผมนึกถึงมันก็ขำดี บอกกับตัวเองตอนนั้น แม้เป็นนักการทูต ก็ต้องหัดรีดเสื้อให้เป็นด้วย
…คุณสุรินทร์ในมุมส่วนตัว เป็นคนมีอัธยาศัยดี โกรธคนยาก รับฟังความเห็นของบุคคลอื่น แน่นอน เหมือนกับคนทั่วไป ก็อาจจะมีด้านลบบ้าง แต่ขอไม่พูดในโอกาสนี้ครับ เพียงแต่อยากจะบอกว่า การเมืองมันก็อาจทำลายจุดยืนของคนบางคน เมื่อการเมืองไทยกลายมาเป็นเรื่อง “สีเสื้อ” ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณสุรินทร์ก็จางไป ผมพบกับคุณสุรินทร์ครั้งสุดท้ายคือต้นปีก่อนรัฐประหาร เราเดินสวนกันที่สนามบินชางงี ผมกำลังบินกลับไทย คุณสุรินทร์เอ่ยทักผมเชิงขำๆ “อ้าว คุณปวิน ยังกลับเมืองไทยได้เหรอ” ผมได้แต่ยิ้มตอบกลับ แต่ไม่ได้พูดอะไร
…ขอให้คุณสุรินทร์ไปสู่สุขคติครับ ผมระลึกถึงเสมอ
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
30 พฤศจิกายน 2017 เมืองตูซอน อะริโซน่า สหรัฐอเมริกา