PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2562

อภินิหารทางกฎหมาย?

คำนูณ สิทธิสมาน : กฎหมายมหาชนกับกรณีหุ้นต้องห้ามของธนาธร

คำนูณ สิทธิสมาน : กฎหมายมหาชนกับกรณีหุ้นต้องห้ามของธนาธร

เขียนวันที่
วันศุกร์ ที่ 26 เมษายน 2562 เวลา 14:15 น.
เขียนโดย
isranews
หมวดหมู่
"...กฎหมายมหาชนมุ่งคุ้มครองมหาชนที่ประกอบด้วยบุคคลมีระดับความรู้ความสามารถและสถานะแตกต่างกัน รัฐจำเป็นต้องให้ความคุ้มครองบุคคลส่วนใหญ่ที่ด้อยโอกาสกว่า ซึ่งแตกต่างโดยพื้นฐานกับกฎหมายเอกชนที่รัฐเพียงวางกฎเกณฑ์สำหรับการทำมาหากิจของบุคคลที่ได้รับการสันนิษฐานว่าเท่าเทียมกัน รัฐไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายมากเกินความจำเป็น...."
pictananannaa26 4 19
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org : นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีตคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ชุดที่มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานฯ และอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว
-------------------
ในกฎหมายมหาชนจะยึดถือเกณฑ์ตามกฎหมายเอกชนเพียงใด - ประเด็นสำคัญกรณีหุ้นต้องห้ามของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
---------------
ได้คิดใคร่ครวญประกอบการติดตามข่าวมาต่อเนื่อง ประเด็นข้อกฎหมายหลักที่ต้องพิจารณาในกรณีหุ้นบริษัทวี-ลัคมีเดียของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจคือ
กกต.จะยึดถือวันใดเป็นวันโอนหุ้นจริง
1. ยึดวันที่บริษัทฯส่งแบบ 'บอจ. 5' ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ คือ วันที่ 21 มีนาคม 2562 อันเป็นวันหลังวันสมัครรับเลือกตั้ง
หรือ...
2. ยึดถือวันที่มีการโอนกันจริงตามที่ฝ่ายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจกล่าวอ้าง คือ วันที่ 8 มกราคม 2562 อันเป็นวันก่อนวันสมัครรับเลือกตั้ง
นอกเหนือจากรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 98 (3) และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง 2561 มาตรา 42 (3) แล้ว มีข้อกฎหมายสำคัญที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับกรณีนี้คือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1129
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรา 1129 วรรคสาม
"มาตรา 1129 อันว่าหุ้นนั้นย่อมโอนกันได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมของบริษัท เว้นแต่เมื่อเป็นหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นซึ่งมีข้อบังคับของบริษัทกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น
"การโอนหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นนั้น ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอนมีพยานคนหนึ่งเป็นอย่างน้อยลงชื่อรับรองลายมือนั้น ๆ ด้วยแล้ว ท่านว่าเป็นโมฆะ อนึ่งตราสารอันนั้นต้องแถลงเลขหมายของหุ้นซึ่งโอนกันนั้นด้วย
"การโอนเช่นนี้จะนํามาใช้แก่บริษัทหรือบุคคลภายนอกไม่ได้จนกว่าจะได้จดแจ้งการโอนทั้งชื่อและสำนักของผู้รับโอนนั้นลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น"
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และฝ่ายสนับสนุน ยึดถือเวลาตามข้อ 2 โดยมีประมวลแพ่งมาตรา 1129 วรรคสามนี้เป็นฐานสำคัญ
ความหมายตามมาตรา 1129 วรรคสามนี้คือเมื่อมีการจดแจ้งลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัท ก็ถือว่ามีผลสมบูรณ์แล้ว ไม่ถึงขนาดต้องส่งแบบ บอจ. 5 แจ้งต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทฯทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะโดยปกติจะแจ้งปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
แต่การที่สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นอยู่ที่บริษัทนี่แหละคือปมปัญหาเมื่อนำมาใช้กับกรณีนี้
เพราะโดยทั่วไปแล้วบุคคลภายนอกย่อมยากจะรู้ได้ว่าในระหว่างปีมีการโอนหุ้นกันกี่ครั้ง และเอกสารการโอนหุ้นในแต่ละครั้งก็ยากที่จะรู้ได้แน่นอนว่าเป็นจริงตามวันที่ในเอกสารหรืออาจจะมีการทำขึ้นย้อนหลังหรือไม่
ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายโดยตรง
โดยเฉพาะกฎหมายแพ่ง
แต่มีหลักคิดผุดขึ้นมาว่ามาตรา 1129 วรรคสามคือเหตุผลของกฎหมายแพ่ง ซึ่งเป็น 'กฎหมายเอกชน' มีวัตถุประสงค์ในการวางกฎเกณฑ์ในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่อบุคคลที่ได้รับการสันนิษฐานว่ามีความเท่าเทียมกัน ทำมาค้าขายกัน ซึ่งจะต้องใช้ความระมัดระวังตนเองกันตามสมควร รัฐไม่ควรวางกฎเกณฑ์ที่อาจจะสร้างภาระให้แต่ละฝ่ายมากเกินไป
คำถามคือจะเอากฎเกณฑ์ตาม 'กฎหมายเอกชน' มาใช้กับ 'กฎหมายมหาชน' ได้แค่ไหน เพียงใด
โดยเฉพาะ 'กฎหมายมหาชน' ในระดับรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่วางกฎเกณฑ์ 'ลักษณะต้องห้าม' ของบุคคลที่จะเข้าสู่อำนาจรัฐ
ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ว่ากฎเกณฑ์ 'กฎหมายเอกชน' นั้นไม่สามารถนำมาใช้เป็นกฎเกณฑ์ทาง 'กฎหมายมหาชน' ได้ทั้งหมด หากแต่สามารถนำมาใช้ได้เฉพาะบางประการที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อการทำหน้าที่ขององค์กรที่ทำหน้าที่ในทางมหาชนเท่านั้น
เพราะวัตถุประสงค์หลักของกฎหมายทั้ง 2 ลักษณะแตกต่างกัน
กฎหมายมหาชนมุ่งคุ้มครองมหาชนที่ประกอบด้วยบุคคลมีระดับความรู้ความสามารถและสถานะแตกต่างกัน รัฐจำเป็นต้องให้ความคุ้มครองบุคคลส่วนใหญ่ที่ด้อยโอกาสกว่า ซึ่งแตกต่างโดยพื้นฐานกับกฎหมายเอกชนที่รัฐเพียงวางกฎเกณฑ์สำหรับการทำมาหากิจของบุคคลที่ได้รับการสันนิษฐานว่าเท่าเทียมกัน รัฐไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายมากเกินความจำเป็น
กลับมาสู่กรณีธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ...
ในกรณีนี้ 'คนภายนอก' ตามประมวลแพ่งมาตรา 1129 วรรคสาม เป็นองค์กรอิสระนาม 'กกต.' ที่ทำหน้าที่สำคัญยิ่งตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญในการกลั่นกรองบุคคลที่มี 'ลักษณะต้องห้าม' ออกไปจากการเข้าสู่อำนาจรัฐ !
มิหนำซ้ำ 'ลักษณะต้องห้าม' นี้ยังมีโทษค่อนข้างแรง !!
ถามว่าถ้าจะยึดถือประมวลแพ่งมาตรา 1129 เป็นเกณฑ์อย่างเคร่งครัด กกต.จะรู้ได้อย่างไรว่าธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจยังคงถือหุ้นที่มี 'ลักษณะต้องห้าม' อยู่หรือไม่ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 อันเป็นวันสมัครรับเลือกตั้ง ในเมื่อเอกสารแบบ บอจ. 5 ที่ทางราชการรับทราบการโอนหุ้นของเขาเป็นครั้งแรกคือวันเวลาตามข้อ 1 วันที่ 21 มีนาคม 2562 หลังวันสมัครรับเลือกตั้งแล้ว กกต.จะไปรู้ถึงการโอนหุ้นตามข้อ 2 ที่มีการกล่าวอ้างว่าเกิดขึ้นในวันที่ 8 มกราคม 2562 ได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อเกิดการโต้แย้งแตกแขนงไปอีกหลายประเด็นว่าการโอนหุ้นในวันนั้นเกิดขึ้นจริงหรือไม่
กฎเกณฑ์ทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1129 วรรคสาม จึงไม่น่าจะนำมาหักล้างกับรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งมาตรา 42 (3) ได้ทั้งหมด
เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เชื่อว่ากกต.น่าจะต้องยึดถือระยะเวลาตามข้อ 1 ตามเอกสารที่ปรากฎต่อราชการเป็นหลัก
กล่าวคือยึดตามแบบ บอจ. 5 ที่ปรากฎเป็นครั้งแรกต่อทางราชการ
นั่นคือวันที่ 21 มีนาคม 2562 อันเป็นวันหลังวันสมัครรับเลือกตั้ง
-----------------------
ทั้งหมดนี้ พยายามพูดตามความเข้าใจด้วยภาษาชาวบ้่านที่พอเรียนพอรู้กฎหมายอยู่บ้างเท่านั้น ที่ลองตั้งประเด็นขึ้นมาเพราะเห็นว่าน่าสนใจในทางวิชาการ
ข้อยุติ จะอยู่ที่ผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรง
คือ กกต.ในเบื้องต้น
และศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งหรือศาลรัฐธรรมนูญแล้วแต่กรณีในท้ายที่สุด
58883071 2201490333228242 3343700866786918400 n
58460639 2201490356561573 7585835950467448832 o
58375562 2201490396561569 1534779590830981120 n
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/

ธนาธรสบายใจมาก มั่นใจแจงได้-ไม่โดนใบส้ม

เมินพรรคการเมืองฟ้องกลับ ผู้ตรวจการฯนัดถกส่งตีความ

กกต.เดินหน้าเคาะ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ยึด ม.128 พ.ร.บ. เลือกตั้ง ส.ส. “แสวง” ย้ำพยายามหาสูตรไม่ขัดกฎหมาย ท้าใครเห็นว่าไม่ถูกไปร้องศาลได้ ยันมีอำนาจสอบคุณสมบัติได้ทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง “วิรัตน์” สอนเชิงต้องทำตามรัฐธรรมนูญ ม.91 เป็นหลักแนะรอผู้ตรวจการฯถกด่วนคำร้องส่งตีความ “สมชัย” ชี้ กกต.ฟัน“ธนาธร” เกินกรอบเวลา ขู่ระวังโดมิโน 7 อรหันต์ผิดเอง “ไพศาล” ซัดไม่เข้าข่ายทุจริต-ส.ส.เขตแจกใบส้ม หน.อนาคตใหม่ไม่ได้ ส่อผิดกฎหมาย “ศรีสุวรรณ” อ้างคำสั่งศาลฎีกาโดนโทษอาญาเพิ่มฐานแจ้งข้อมูลเท็จ พท.พึ่งศาลปกครองโต้แย้งใบส้ม “สุรพล” หน.อนาคตใหม่กลับถึงไทยสบายใจมาก มั่นใจไม่ได้ทำผิด ใบส้มใช้กับตนไม่ได้ ปลุกกองเชียร์ฮือสู้เพื่อประชาธิปไตย

หลังจากศาลรัฐธรรมนูญไม่รับวินิจฉัยคำร้องขอให้วินิจฉัย เกี่ยวกับปัญหาการคำนวณจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ เนื่องจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่ได้ทำหน้าที่ตามกฎหมาย ล่าสุด กกต.ยืนยันจะหาสูตรคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่ไม่ขัดกฎหมาย แต่หากผู้ใดเห็นว่าไม่ถูกต้องมีสิทธิไปร้องต่อศาลได้

กกต.ลุยคิด ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ตามสูตร

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 25 เม.ย. ที่สำนักงาน กกต.นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต.แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุม กกต.ได้รับทราบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ที่ไม่รับคำร้องของ กกต.เรื่องการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ กกต.จึงจะต้องดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจในการคำนวณจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อภายหลังการประกาศผลเลือกตั้ง ส.ส.แล้ว โดยจะคำนึงถึงวิธีการตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 128 ที่สำนักงาน กกต.เสนอให้ กกต.พิจารณา หรือวิธีการคำนวณอื่นๆ อย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้จำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อแบบครบถ้วน ตามที่กฎหมายกำหนด การคำนวณตามแบบของ กรธ.ถือเป็นทางเลือกหนึ่ง ที่ประชุม กกต.มอบหมายให้สำนักงานไปศึกษาวิธีคำนวณที่มีนักวิชาการ พรรคการเมืองเสนอ และระบุว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญว่าวิธีเหล่านั้นถูกต้องตามรัฐธรรมนูญจริงหรือไม่ แล้วเสนอให้ที่ประชุมรับทราบ บุคคลที่เสนอได้ส่งวิธีคำนวณให้ กกต.แล้ว ล้วนแต่อ้างว่าของตนเองถูกต้องตามมาตรา 128 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. แต่คิดคำนวณออกมาได้ต่างกัน


ใครเห็นว่าไม่ถูกต้องไปฟ้องศาลได้

นายแสวงกล่าวอีกว่า การดำเนินการเรื่องนี้คงต้องดำเนินการโดยเร็ว เพราะวันที่ 9 พ.ค. กกต. ต้องประกาศ ส.ส.ทั้งสองระบบไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ส่วนที่ก่อนหน้านี้ กกต.ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามาตรา 128 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ขัดกับมาตรา 91 ของรัฐ-ธรรมนูญหรือไม่ เมื่อศาลวินิจฉัยว่าเป็นอำนาจ กกต. เราจะพยายามหาสูตรที่ไม่ขัดกฎหมาย เมื่อ กกต. ประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว มีผู้ที่เห็นว่าการคำนวณจัดสรร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ไม่ถูกต้อง มีสิทธิไปร้องต่อศาลได้

ยันสอบคุณสมบัติได้ทั้งก่อน-หลัง

นายแสวงกล่าวอีกว่า ส่วนข้อสังเกตว่า กกต.มีอำนาจตรวจสอบคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามหลังวันเลือกตั้งได้หรือไม่ หรือทำไมไม่ตรวจสอบให้เสร็จสิ้นในวันรับสมัครเลือกตั้งในคราวเดียว ยืนยันว่า กกต.มีอำนาจตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ไม่ว่าจะเป็นก่อนหรือหลังเลือกตั้ง หรือวันประกาศผลการเลือกตั้ง ก่อนการสมัครเลือกตั้ง กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติ เพราะมีเอกสารรับรองหรืออ้างอิงทุกรายการ ส่วนลักษณะต้องห้าม กกต.จะตรวจสอบได้เพียงจากข้อมูลของหน่วย รัฐ 23 แห่ง แต่ถ้าเป็นข้อมูลอยู่ในความครอบครองของเอกชน กกต.ไม่สามารถตรวจสอบได้ จึงต้องให้ผู้สมัครรับรองตัวเอง หากภายหลังปรากฏว่าเป็นผู้มีลักษณะต้องห้าม เป็นเหตุฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้ง กกต.มีอำนาจตรวจสอบ กรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เป็นกรณีที่มีผู้ร้องว่าอาจมีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายและพรรคการเมือง จึงต้องดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจให้สิ้นกระแสความ

โต้ครหาไม่แจ้งข้อห้ามหาเสียง

นายแสวงกล่าวอีกว่า การที่มีข้อสังเกตว่า กกต.ไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์วิธีการหาเสียงให้แก่ผู้สมัครและพรรคการเมือง ทำให้ผู้สมัครหรือพรรค การเมืองไม่มีแนวทางในการปฏิบัติกับเรื่องดังกล่าวนั้น กกต.ได้ออกระเบียบ กกต.ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ออกตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 71 กรณีการให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่ผู้ใด ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันใด รวมถึงมาตรา 73 กำหนดไว้ว่าการช่วยเหลือเงิน หรือทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ แก่ผู้ใดตามประเพณีต่างๆกระทำมิได้ รวมถึง กกต. ได้มีหนังสือตอบข้อหารือของพรรค การเมืองที่ได้มีหนังสือหารือเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติตามข้อดังกล่าว และแจ้งให้พรรคการเมืองทราบ พร้อมทั้งเผยแพร่ในเว็บไซต์ของสำนักงานเป็นการทั่วไปก่อนการเลือกตั้งแล้วด้วย

“วิรัตน์” ชงผู้ตรวจฯส่งชี้ขาดอีกทาง

นายวิรัตน์ กัลยาศิริ อดีต ส.ส.สงขลา และอดีตหัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง กกต.ยื่นขอให้พิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับปัญหาการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อว่า ถือว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่หลงกล ต้องชื่นชมที่ยังเป็นหลักให้บ้านเมืองอยู่เสมอ เพราะทุกศาลไม่มีหน้าที่ให้คำปรึกษากับคู่ความ แต่จะตัดสินวินิจฉัยว่าที่คู่ความทำนั้นผิดหรือถูก โดยคู่ความต้องมีการกระทำหรือตัดสินใจตามหน้าที่และอำนาจของตนก่อน ไม่ใช่ยื่นเรื่องไปที่ศาลเพื่อให้ช่วยคิดแทนทำแทน ตัวเองจะได้ปลอดภัย หน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและอำนาจที่รัฐธรรมนูญมอบหมาย กกต.ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 เป็นหลัก เมื่อวินิจฉัยโดยใช้มาตรา 91 แล้วจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่ลงตัว

หรือเพราะเหตุใด เป็นเรื่องการยกร่างรัฐธรรมนูญไม่ใช่ความผิด กกต. แต่ถ้า กกต.ยังทำใจไม่ได้ที่จะตัดสินใจใดๆให้รอคำร้องที่ตนในนามส่วนตัว ได้ส่งตัวแทนไปยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินไว้เมื่อวันที่ 23 เม.ย. เรื่อง “บทบัญญัติของกฎหมายมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ” กรณี พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 สองมาตรานี้เกี่ยวกับการคิดคะแนนที่พึงมีของ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่กำลังถกเถียงขบเหลี่ยมกันอยู่

ก.ม.ลูกขัด รธน.ม.91 สนช.ต้องแก้ไข

นายวิรัตน์กล่าวอีกว่า ถ้าเป็นช่องทางนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยได้ เพื่อปลดล็อกปัญหาหนักอกของ กกต.ที่ยังหาทางออกไม่ได้ ตามหลักการมาตรา 91 ของรัฐธรรมนูญมีศักดิ์และศรีเหนือกว่ามาตรา 128 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.แน่นอน วงเล็บท้ายของมาตรา 128 เกินกรอบจากรัฐธรรมนูญไปมาก กล่าวคือรัฐธรรมนูญมาตรา 91 เขียนเฉพาะเรื่อง ส.ส.ที่พึงมี แต่กฎหมายลูกเลือกตั้ง ส.ส.ไปเขียนรายละเอียดมากมายเกินไป จนมีโอกาสจะถือว่าขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ เป็นอำนาจโดยแท้ของศาลรัฐธรรมนูญ หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่ามาตรา 128 ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 91 กกต.จะได้คิดคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่ออย่างสบายใจ ไม่ต้องกลัวถูกฟ้อง แต่ถ้าศาลวินิจฉัยว่าขัด เป็นเรื่องของ สนช.ต้องแก้ไขตามอำนาจหน้าที่ เรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ที่ผู้ตรวจการแผ่นดินสมควรส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพื่อให้รอบคอบ ชัดเจน โปร่งใส ยุติข้อสงสัย ข้อถกเถียงข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นและนำพาบ้านเมืองไปสู่ความขัดแย้ง เพื่อให้บทบัญญัติของกฎหมายทั้งปวงสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญต่อไป


ผู้ตรวจการฯถกพิเศษคำร้อง ลต.โมฆะ

ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายรักษชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงความคืบหน้าการชี้แจงคำร้องการเลือกตั้งโมฆะของ กกต.ว่า กกต.ได้ส่งคำชี้แจงมาแล้วตั้งแต่วันที่ 23 เม.ย.เจ้าหน้าที่จะนำคำชี้แจ้งมาเทียบเคียงคำร้อง ขณะนี้มีหลายคำร้องที่คล้ายคลึงกัน ล่าสุดนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ผู้สมัคร ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ได้ส่งคำร้องมาในประเด็นคล้ายคลึงกับนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักษาชาติ ที่ให้พิจารณาว่ามาตรา 128 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มีความชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 91 หรือไม่ รวมทั้งคำร้องการเลือกตั้งโมฆะ ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังประมวลข้อมูล วันที่ 26 เม.ย. เวลา 09.30 น. ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ประชุมวาระพิเศษพิจารณาคำร้อง พยานหลักฐานเชื่อว่าน่าจะเพียงพอ

“สมชัย” ติง กกต.ฟัน “ธนาธร” เกินเวลา

เมื่อเวลา 09.50 น. นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.โพตส์เฟซบุ๊กถึงกรณีนายธนาธรว่าเป็นเรื่อง “คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม” หรือเป็นเรื่อง “การเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม” ว่า มาตรา 42 (3) กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.กำหนดลักษณะต้องห้ามผู้สมัคร ส.ส. ต้องไม่เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ คือจุดเริ่มของการมีมติเบื้องต้นของ กกต.แจ้งข้อกล่าวหาต่อนายธนาธร คำถามคือ กกต.จะใช้เรื่องคุณสมบัติหรือการกระทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม มาเป็นประเด็นข้อกฎหมายจัดการปัญหานี้ หากใช้คุณสมบัติอย่างเดียวไม่น่าเดินต่อได้ เพราะคุณสมบัติต้องเป็นการร้องโดยบุคคลที่เห็นว่าขาดคุณสมบัติ และต้องดำเนินการร้องใน 7 วันนับแต่วันที่ประกาศรายชื่อผู้สมัคร ตามมาตรา 51 สำหรับ ส.ส.เขตและมาตรา 60 สำหรับ ส.ส.บัญชีรายชื่อ กกต.ประกาศชื่อเมื่อวันที่ 15 ก.พ.62 การยื่นร้องคัดค้านคุณสมบัติจึงทำได้เพียงถึงวันที่ 22 ก.พ.62 เท่านั้น ดังนั้นเรื่องคุณสมบัติจึงเป็นเพียงปฐมเหตุที่นำไปสู่การใช้มาตรา 132 ที่ระบุว่า “ผู้ใดกระทำการอันเป็นเหตุให้การเลือกตั้งไม่ได้เป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม” แปลง่ายๆว่านายธนาธรไม่มีสิทธิสมัครด้วยคุณสมบัติแต่ยังลง และความนิยมที่มีต่อนายธนาธร (ที่มีคุณสมบัติต้องห้าม) นำไปสู่การเลือกตั้งที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม

ขู่ “โดมิโน” กกต.ผิดเองด้วยหรือไม่

“แม้จะพยายามโยงการให้ “ใบส้ม” แก่ธนาธร จึงเป็นสืบเนื่องจากมาตรา 132 นี้ เพียงแค่ใช้มาตรา 42 (3) เป็นปฐมบทคิดไกลต่อไป หากธนาธรไม่มีสิทธิลง และคะแนนของอนาคตใหม่ทั้งหมดมาจากความนิยมต่อธนาธร หมายความถึงสึนามิลูกใหญ่กำลังมาถึงพรรคอนาคตใหม่ เพราะจะมีประเด็นต่อว่าทุกคะแนนของอนาคตใหม่ได้มาด้วยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม สึนามิลูกนี้อาจโทษธนาธรฝ่ายเดียวไม่ได้ เนื่องจาก กกต.เองมีกลไกตรวจสอบคุณสมบัติ และใช้เวลาตรวจสอบคุณสมบัติเป็นสัปดาห์ มีการประกาศรายชื่อ ให้เวลาทักท้วง มีการเลือกตั้งและผ่านการเลือกตั้งไปเป็นเดือนแล้ว จึงหยิบยกเรื่องราวมาตรวจสอบ จึงเป็นคำถามใหญ่ที่ถามกลับไปยัง กกต.ได้ว่า ท่านมีความผิดในเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ โดมิโนทางการเมืองกำลังเริ่มทำงาน และให้ระวังคนที่เริ่มเล่นด้วยว่าโดมิโนตัวสุดท้ายจะกลับมาล้มทับตัวเองหรือไม่” นายสมชัยระบุ


“ไพศาล” ซัดหลงผิด ก.ม.แจกใบส้มไม่ได้

ขณะที่นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม) โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับกรณี กกต.พิจารณาคุณสมบัตินายธนาธรว่า กระแสกดดันให้ กกต.แจกใบส้มแก่นายธนาธร จนประธานไต่สวนต้องลาออก และคณะกรรมการไต่สวนที่เหลือลงมติแค่รับเรื่องกล่าวหาว่ามีมูล ให้แจ้งข้อกล่าวหาแก่นายธนาธรนั้น สะท้อนให้เห็นว่าการดำเนินการในชั้นนี้เข้าที่เข้าทางตามที่กฎหมายบัญญัติแล้ว เพราะการแจกใบนั่นใบนี่ โดยที่ยังไม่ไต่สวนตามกระบวนการไม่ได้ ส่วนกระแสที่กดดันให้ กกต.แจกใบส้มแก่นายธนาธร เป็นแรงกดดันเพราะหลงผิดทางกฎหมาย เนื่องจากใบส้มใช้สำหรับ 2 กรณีเท่านั้นคือผู้สมัครรับเลือกตั้งกระทำการทุจริตในการเลือกตั้ง ไม่ใช่เรื่องกรณีขาดคุณสมบัติ และใช้กับกรณีผู้สมัคร ส.ส.เขต ที่ผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำเขตเป็นผู้ตั้งเรื่องกล่าวหา ไม่ใช่กรณีของผู้สมัครแบบปาร์ตี้ลิสต์ ไปอ่านดูกฎหมายกันให้ดี เพราะถ้ารุ่มร่ามตรงนี้ไม่เพียงแต่แจกใบส้มไม่ได้ แต่จะผิดกฎหมายด้วย

“ศรีสุวรรณ” แจงเพิ่มปมหุ้นสื่อ

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า วันที่ 26 เม.ย. เวลา 10.30 น. กกต.เชิญไปให้ถ้อยคำเพิ่มเติมกรณีร้องเรียนนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ถือครองหุ้นในกิจการสื่อสิ่งพิมพ์ บริษัท วี-ลัคมีเดีย จำกัด อันอาจเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ตาม มาตรา 98 (3) รัฐธรรมนูญ 2560 และมาตรา 42 (3) พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ที่มีบทบัญญัติห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เนื่องจากเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชน ก่อนหน้านี้ ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ กกต.และส่งข้อมูลไปให้แล้ว 3 ครั้ง เมื่อวันที่ 25 มี.ค.62 วันที่ 5 เม.ย. และวันที่ 23 เม.ย. เชื่อว่าหาก กกต.ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานและฟังข้อเท็จจริงครบถ้วนแล้ว และเชื่อได้ว่ามูลคำร้องมีน้ำหนักมากว่าจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาให้เพิกถอนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งของนายธนาธรต่อไป ศาลฎีกาเคยมีคำสั่งลักษณะที่ใกล้เคียงข้อพิพาทนี้ไว้แล้ว ตามคำสั่งศาลฎีกาที่ 111/2562 1144/2562 และ 1228/2562 และอาจมีโทษทางอาญาฐานแจ้งหรือให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญาต่อไปด้วย

อนค.เขต 2 กทม.ร้องนับใหม่ยกเขต

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงาน กกต. น.ส.พัสวี ภัทรพุทธา ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 กทม. พรรคอนาคตใหม่ และนายชัยธวัช ตุลาธน รองเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เข้ายื่นหลักฐานเพิ่มเติมจากที่ยื่นไปเมื่อวันที่ 26 มี.ค. ขอให้นับคะแนนใหม่ในเขต 2 ทั้งหมด โดยนายชัยธวัชกล่าวว่า ขณะนี้ผ่านมา 1 เดือน กกต.ยังไม่ดำเนินการใดๆ ที่ผ่านมา น.ส.พัสวีได้ไปขอผลคะแนนรายหน่วยทุกหน่วยของเขตมาเปรียบเทียบกับภาพถ่ายที่ประชาชนถ่ายใบรายงานผลที่ติดไว้หน้าหน่วยเลือกตั้ง พบว่าผิดปกติหลายหน่วย บางหน่วยไม่ตรงกับใบขีดคะแนน หรือ ส.ส.5/11 และใบ ส.ส.5/18 ที่ กกต.เขตมอบให้ ผู้สมัครภายหลังที่ไปขอคัดสำเนาพบว่ามีการขีดฆ่าแก้ไขไม่เซ็นชื่อรับรองโดยกรรมการนับคะแนน น่าสงสัยว่าบางจุดอาจเขียนเพิ่มเติมภายหลัง จึงขอให้นับคะแนนใหม่ทั้งเขต เพราะการเลือกตั้งผ่านไปเดือนกว่าแล้ว ยังมีหลายกรณีที่ประชาชนสงสัย ทำให้ถูกมองว่าไม่สุจริต

เด็ก ปชต.ใหม่ยื่นสอบ กก.บห.

ต่อมาเวลา 13.15 น. นายพรวิชัย มิ่งวงษ์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 อุบลราชธานี พรรคประชาธิปไตย–ใหม่ นายพยุงศักดิ์ ชอบชื่น ผู้สมัครเขต 2 แพร่ นายส่ง ใจเครือ ผู้สมัครเขต 3 ศรีสะเกษ และนายอนุรักษ์ อยู่สายชล ผู้สมัครเขต 1 สุพรรณบุรี ยื่น ร้องต่อ กกต.ขอให้ตรวจสอบกรรมการบริหารพรรคประชาธิปไตยใหม่กับการใช้จ่ายเงินของนางแพงศรี พิจารณ์ เหรัญญิกพรรค และภรรยาของนายสุรทิน พิจารณ์ หัวหน้าพรรค โดยนายพรวิชัยกล่าวว่า ใน การประชุมสามัญเมื่อวันที่ 20 เม.ย. มีสมาชิกทวง ถามเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ลงสมัคร ส.ส.เขต 204 คน นายสุรทิน หัวหน้าพรรคไม่ตอบและเลิกประชุมทันที ทั้งที่ยังมี 2-5 วาระไม่ได้ดำเนินการ ต่อมามีคำสั่งพรรคให้พวกตนทั้ง 4 คนพ้นสมาชิกภาพ ถือว่าการประชุมสามัญของพรรคไม่เป็นไปตามระเบียบวาระการประชุม นอกจากนี้ นางแพงศรี เหรัญญิกพรรค ได้แจกเงินใส่ซองขาวให้ผู้ประชุม 300-400 บาท โดยไม่ได้รับทุกคน จึงขอให้ กกต.ตรวจสอบ

“ตรีรัตน์” แย้งอีกผู้มีสิทธิไม่ตรงกัน

ต่อมาเวลา 13.30 น. นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส ผู้สมัคร ส.ส.เขต 13 กทม. พรรคเพื่อไทย ยื่นเอกสารหลักฐานต่อ กกต.เพิ่มเติม กรณีก่อนหน้านี้ ที่ได้ร้องว่าบัตรเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งที่ 13 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ เขตเลือกตั้งที่ 13 กทม.หายไป 180 ใบ แล้วได้รับการชี้แจงจากสำนักงาน กกต. เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ที่มีเอกสารรายงานผลการเลือกตั้ง ส.ส.5/18 ระบุว่าหน่วยดังกล่าวมีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 968 คน นายตรีรัตน์กล่าวว่า จากการ ตรวจสอบเอกสารการเลือกตั้งหน้าหน่วย (ส.ส.5/5) พบว่าในเอกสารระบุผู้มีสิทธิเลือกตั้งในหน่วยดังกล่าว 841 คน แตกต่างจากเอกสารรายงานผลการเลือกตั้งของ กกต. (ส.ส.5/18) ที่ระบุว่ามี 968 คนไม่ตรงกับที่ระบุไว้หน้าหน่วย หน่วยเดียวกันจำนวนผู้มีสิทธิ กลับไม่เท่ากัน รวมถึงลายเซ็นและชื่อของประธานกรรมการประจำหน่วยก็ไม่ตรงกันในเอกสารทั้งสอง ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะมีประธาน 2 คน แล้วจะให้ยึด ตามเอกสารใด

ภาค ปชช.ชงระงับรับรอง อนค.

ขณะที่นายสุรวัชร สังขฤกษ์ กลุ่มการเมืองภาคประชาชน ยื่นหนังสือถึงประธาน กกต. เพื่อขอให้ กกต.ระงับการรับรองผลการเลือกตั้งว่าที่ ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ ที่จะเข้าข่ายเป็นโมฆะ เนื่องจาก กกต.มีมติแจ้งข้อกล่าวหานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กรณีถือหุ้นเข้าลักษณะต้องห้ามเป็นผู้สมัคร ส.ส. มีความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 วรรคสาม ถือว่าการเลือกตั้งของพรรคอนาคตใหม่ทั้งหมดโมฆะ เพราะนายธนาธรเป็นผู้ออกหนังสือรับรองในนามหัวหน้าให้ผู้สมัครของพรรค มีความผิดทั้งในนามหัวหน้าพรรคและนิติบุคคล ถือเป็นเอกสารเท็จ เพราะนายธนาธรขาดคุณสมบัติ และขอให้ กกต.ตรวจสอบและส่งคำร้องยุบพรรคอนาคตใหม่ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมส่งคำร้องไปยังศาลฎีกาให้ดำเนินคดีอาญากับหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ รวมถึงกรรมการบริหารพรรคและเลขาธิการพรรค

“สุรวัชร” ให้ถ้อยคำฟัน “เสรีพิศุทธ์”

นายสุรวัช ยังเปิดเผยด้วยว่า กกต.ได้ทำหนังสือ เชิญเข้าให้ถ้อยคำประกอบคำร้องกรณีที่ได้กล่าวหา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย มีลักษณะต้องห้ามการเป็นผู้สมัคร ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (8) เนื่องจากสำนักนายกฯ มีคำสั่งที่ 73/ 2551 สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ในเวลา 10.00 น. วันที่ 27 เม.ย.

ผู้ถูกร้องตอกกลับระวังติดคุก

วันเดียวกัน ที่สำงานเขตบางกอกน้อย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย นำคณะกรรมการบริหารพรรคและผู้สมัคร ส.ส. พรรคเสรีรวมไทย เดินทางลงทะเบียนเป็นอาสาสมัครเฉพาะกิจในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ปี 2562 โดย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า กรณีการจะยื่น ป.ป.ช. ตรวจสอบ พล.อ.ประวิตร วงษ์วุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม เรื่องการมีชื่อติดอันดับร่ำรวยระดับเศรษฐีของเอเชียนั้น ขณะนี้ให้ทีมงานที่ เชี่ยวชาญด้านภาษาตรวจสอบความถูกต้องของแหล่งข้อมูลอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากการจะฟ้องร้องใครเรื่องใดข้อมูลหลักฐานต้องถูกต้องชัดเจน ส่วนสถานการณ์การเมืองขณะนี้ กกต.ต้องทำความชัดเจนเรื่อง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญตีกลับคำร้อง รัฐบาลนี้จ้องจะทำลายฝ่ายตรงข้าม จึงต้องดูกันดีๆ ส่วนเรื่องที่ตนถูกยื่นฟ้องกรณีถูกให้ออกจากราชการ มือปืนรับจ้างที่รับงานนี้ ระวังจะติดคุก

พท.ย้ำสูตรเอื้อพรรคเล็กขัด รธน.

นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญชัดเจนว่าเรื่องการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นของ กกต. พรรคเรียกร้องให้ กกต.ทำหน้าที่โดยยึดสูตรคำนวณตามรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ที่กำหนดให้การคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคต้องไม่เกินจำนวนที่พึงมี เพื่อไม่ให้สังคมครหาตั้งคำถามการปฏิบัติหน้าที่ หาก กกต.ปฏิบัติตาม กฎหมายจะไม่สับสนคลุมเครือ และจะไม่มีคำท้วงติง และไม่ว่าจะสูตรใดยืนยันว่าการคำนวณเพื่อเติมเต็มให้พรรคขนาดเล็ก ที่ได้คะแนนไม่ถึงเกณฑ์พึงมีได้ ส.ส.1 ที่นั่ง เป็นการคำนวณที่ไม่สามารถนำมาใช้ได้ ขัดรัฐธรรมนูญ กกต.ต้องรับผิดชอบ การที่ธนาคารโลกปรับลดประมาณการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2562 เหลือร้อยละ 3.8 พร้อมแนะเร่งจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ถือเป็นคำเตือนที่ผู้มีอำนาจต้องรับฟังและเร่งแก้ไขปัญหาโดยเร็ว เพราะเป็นมุมมองและคำแนะนำจากสถาบันการเงินชั้นนำของโลกที่เป็นกลาง ไม่มีใครไปชักจูงหรือชี้นำได้ หากผู้มีอำนาจไม่ยอมเข้าใจว่าโลกเปลี่ยนแปลง ประชาชนต้องมีบทบาทกำหนดทิศทางบ้านเมืองมากขึ้น และกฎกติกาจะต้องตอบสนองอย่างเป็นธรรม สิ่งที่จะตามมาคือทางตันของประเทศทั้งเศรษฐกิจการเมืองและสังคม

พึ่งศาลปกครองสู้ใบส้ม “สุรพล”

นายชุมสาย ศรียาภัย รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีใบส้มของนายสุรพล เกียรติไชยากร ว่าที่ ส.ส.เขต 8 เชียงใหม่ว่า วันที่ 26 เม.ย. นายสุรพลหารือกับฝ่ายกฎหมายหาช่องทางใช้สิทธิโต้แย้ง กกต.ผ่านศาลปกครอง กระบวนการตัดสินของ กกต.เร่งรัดเกินไปหรือไม่ แจ้งข้อกล่าวหาวันที่ 18 เม.ย. นายสุรพลชี้แจงวันที่ 19 เม.ย. ภายใน 5 วันคือ 23 เม.ย. กกต.ชี้มูล เชื่อว่าจะไม่ถึงขั้นยุบพรรค หัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคไม่ทราบเรื่อง มารู้ภายหลังจาก กกต.ให้ใบส้มไปแล้ว จากที่นายสุรพลชี้แจงนำเงินใส่ซองทำบุญกับพระภิกษุไม่ได้เจตนาซื้อเสียง หรือจูงใจให้ผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้ เพราะพระถือเป็นลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่จะใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่ยอมรับว่าที่ ส.ส.ถูกใบส้มมีผลต่อการจัดตั้งรัฐบาลของพรรค


พปชร.จี้ กกต.แจงสูตรให้กระจ่าง

ที่สำนักงานเขตพระนคร กทม.นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นำกรรมการ บริหารพรรคและสมาชิกพรรค ลงทะเบียนสมัครจิตอาสาเฉพาะกิจงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก นายอุตตม กล่าวถึงการที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับวินิจฉัยสูตรคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อนั้น เชื่อว่า กกต.คงหารือและดำเนินการตามที่เห็นสมควร จะใช้สูตรกระจายคะแนนให้พรรคเล็กหรือใช้สูตรใดเป็นเรื่องที่ กกต.จะพิจารณา พรรคพลังประชารัฐพร้อมเดินหน้าตามกฎหมาย ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล พลังประชารัฐพูดมาตลอดว่า อยากเห็น กกต.สร้างความกระจ่างในเรื่องนี้ให้สาธารณชนรับทราบโดยเร็ว

ไม่เชื่อรัฐบาลใหม่อายุสั้น

นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า หลังวันที่ 9 พ.ค. มั่นใจว่าพรรคพลังประชารัฐจะรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลได้แน่นอน พรรคเตรียมขับเคลื่อนนโยบายต่างๆที่หาเสียงไว้ จะทำทันทีโดยดูความจำเป็นเร่งด่วน ที่พรรคเพื่อไทยคาดการณ์ว่ารัฐบาลจะอายุสั้นและให้ ส.ส.เร่งลงพื้นที่ รัฐบาลจะอยู่นานก็ได้ จากภาวะผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ที่กล้าตัดสินใจเด็ดขาด มีทีมรัฐมนตรีเป็นนักบริหารมืออาชีพ ทำให้ชาวบ้าน อยู่ดีกินดี รัฐบาลจะอยู่ยาวได้ ส.ส.ทุกคนมีวุฒิภาวะไม่มีใครอยากเป็น ส.ส.แค่พักเดียว หากทุกอย่างเดินไปในทิศทางที่ประชาชนคาดหวังบางครั้งเสียงปริ่มๆแต่อาจอยู่ยาวได้

“พีระพันธุ์” แทงกั๊กชิง หน.ปชป.

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ว่าที่ ส.ส.บัญชี รายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่าถอนตัวจากการเสนอชื่อชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กับผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ว่า ขอปฏิเสธกระแสดังกล่าว ที่ผ่านมายังไม่เคยแสดงท่าทีหรือประกาศว่าต้องการจะลงแข่งขันชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค มีแต่สื่อนำชื่อตนไปเอ่ยถึงในรายงานข่าว ยอมรับว่ามีคนมาทาบทามจริง อยากให้มาช่วยกันทำงานให้พรรค ตนรับฟังเท่านั้น ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธไป ยังมองไม่เห็นเหตุผลว่าจะเป็นหัวหน้าพรรคทำไม อยู่อย่างนี้ทำงานได้อยู่แล้ว แต่จะให้บอกว่า ขอถอนตัวมันไม่ใช่ เพราะไม่เคยบอกว่าจะลงชิงตำแหน่งอะไร เมื่อถามว่าวันที่ 15 พ.ค. วันคัดเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ ถ้ามีคนเสนอชื่อเข้าชิงหัวหน้าพรรคจะมีท่าทีอย่างไร นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ ขอดูท่าทีจากหลายอย่างก่อน จึงจะตัดสินใจอีกครั้ง

“อุตตม” ทรัพย์สินงอก 13 ล้าน

อีกเรื่องเมื่อเวลา 09.00 น. ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของอดีต 4 รัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 4 คน กรณีการพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 30 ม.ค.2562 ประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน อดีต รมว.อุตสาห-กรรม และคู่สมรสมีทรัพย์สิน 220,870,167 บาท ส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนและที่ดิน โรงเรือนและสิ่งปลูก สร้าง เมื่อเทียบกับกรณีเข้ารับตำแหน่ง รมว.อุตสาห-กรรม วันที่ 19 ธ.ค.2562 ที่มีทรัพย์สิน 207,495,698 บาท มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 13,374,469 บาท

“สนธิรัตน์” อู้ฟู่ขึ้น 31 ล้าน

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีต รมว.พาณิชย์ มีทรัพย์สิน 144,401,978 บาท ทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ มูลค่า 80 ล้านบาท และทรัพย์สินมีค่าจำพวกเครื่องเพชร 34 รายการ มูลค่ารวม 30 ล้านบาท และพระเครื่อง 32 รายการ มูลค่ารวม 30 ล้านบาท โดยมีพระเครื่องที่น่าสนใจอาทิ พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ มูลค่า 3 ล้านบาท พระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ มูลค่า 3 ล้านบาท พระนางพญา พิมพ์เข่าโค้ง สมเด็จวัดระฆัง ทรงเจดีย์ พระท่ากระดาน กาญจนบุรี ราคา องค์ละ 2 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกรณีเข้ารับตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ เมื่อเดือน พ.ย.2560 ที่แจ้งว่ามีทรัพย์สิน 113,227,926 บาท พบว่านายสนธิรัตน์มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 31,174,052 บาท

“สุวิทย์” เก็บกรุวัตถุโบราณ 30 ล้าน

นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีต รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีทรัพย์สิน 86,770,000 บาท โดยทรัพย์สินที่น่าสนใจคือ วัตถุโบราณจำพวกเทวรูปเขมร รูปปั้นโบราณ พระพุทธรูปโบราณ เครื่องปั้นดินเผาสมัยสุโขทัย 129 รายการ มูลค่ารวม 22,978,000 บาท เทียบกับตอนเข้ารับตำแหน่ง รมว.วิทยาศาสตร์ฯ เดือน พ.ย.2560 ที่มีทรัพย์สิน 90,836,749 บาท พบว่านายสุวิทย์มีทรัพย์สินลดลงประมาณ 4 ล้านบาท และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สิน 20,009,236 บาท เทียบกับตอนเข้ารับตำแหน่ง รมต.ประจำสำนักนายกฯ เมื่อเดือน พ.ย.2560 ที่มีทรัพย์สิน 23,005,078 บาท มีทรัพย์สินลดลงประมาณ 3 ล้านบาท

ยกเลิกมูลนิธิ “พล.อ.เปรม”

วันเดียวกัน เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ ประกาศนายทะเบียนสมาคมประจำ จ.สงขลา เรื่อง การยกเลิกสมาคม มีเนื้อหาว่านายชัยรัตน์ เสถียร แจ้งการเลิกสมาคมมูลนิธิ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการสมาคมฯ เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2561 โดยนายทะเบียนสมาคมประจำ จ.สงขลา ได้อนุมัติรายงานการชำระบัญชี และจำหน่ายชื่อสมาคมออกจากทะเบียนแล้วเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2561

ไม่เกี่ยวกับมูลนิธิรัฐบุรุษ

พล.อ.พิศณุ พุทธวงศ์ นายทหารคนสนิท พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กล่าวถึงกรณีราชกิจจานุเบกษาลงประกาศยกเลิกสมาคมมูลนิธิ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ว่า ไม่มีอะไรเป็นเรื่องปกติ เมื่อสมาคมไม่ได้ดำเนินการแล้วต้องแจ้งยกเลิกและประกาศในราชกิจจานุเบกษาตามกฎหมาย เนื่องจากห้วงที่ผ่านมา จ.สงขลา มีการขออนุญาต พล.อ.เปรม ตั้งมูลนิธิ พล.อ.เปรม ติณ-สูลานนท์ ของโรงเรียนและองค์กรต่างๆประมาณ 30 มูลนิธิเพื่อประโยชน์ด้านการศึกษา พล.อ.เปรมจึงอนุญาต นายบัญญัติ จันทน์เสนะ ผวจ.สงขลาขณะนั้นเห็นว่ามีมูลนิธิฯมากถึง 30 มูลนิธิควรจะมีสมาคมประสานงานดูแล จึงตั้งสมาคมมูลนิธิ พล.อ.เปรมขึ้น ต่อมามูลนิธิต่างๆบริหารจัดการได้เองอย่างมีประสิทธิภาพจึงยกเลิกสมาคมฯนี้ เป็นขั้นตอนปกติไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับ พล.อ.เปรมหรือมูลนิธิรัฐบุรุษฯ ช่วงนี้ พล.อ.เปรมพักอยู่ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ไม่ได้ไปไหน เตรียมตัวร่วมงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสัปดาห์หน้า

นายกฯไปปักกิ่งหารือ ศก.สายไหม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 00.30 น. วันที่ 26 เม.ย. ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.พร้อมคณะ เดินทางเข้าร่วมการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation-BRF) ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 26-27 เม.ย. ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีนร่วมกับผู้นำ 38 ประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นความร่วมมือกับประเทศในเส้นทางสายไหมในทุกมิติ นอกจากนี้นายกฯ จะพบหารือกับผู้นำของจีน ได้แก่ นายสี จิ้น ผิง ประธานาธิบดี นายหลี่ เค่อ เฉียง นายกฯ และนายหาน เจิ้ง รองนายกฯ


กองเชียร์แน่นรับ “ธนาธร”

คํ่าวันเดียวกัน เมื่อเวลา 20.00 น. ที่หน้าประตู 7 อาคารผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ สนามบินสุวรรณภูมิ นายธนาธรได้เดินทางกลับจากประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยมีบรรดากองเชียร์และผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่แห่ไปต้อนรับกันเป็นจำนวนมาก ทันทีที่นายธนาธรเดินออกมาถึง กองเชียร์พากันเข้ามอบดอกกุหลาบแดงเป็นกำลังใจ พร้อมตะโกนส่งเสียงเชียร์ “ธนาธรสู้ๆ” เสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ

นายธนาธรให้สัมภาษณ์ว่า ต้องขอขอบคุณประชาชนและชาวอนาคตใหม่ทุกคนที่มาต้อนรับ ขวัญกำลังใจของตนและพวกเราแกนนำพรรคยังดี ไม่มีอะไรต้องกังวล การต่อสู้คดีตามที่ กกต.แจ้งข้อกล่าวหาต้องขอดูเอกสารจาก กกต.ที่ให้เวลา 7 วัน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดจะติดต่อไปชี้แจงต่อไป ก่อนหน้านี้ ตนไม่ได้รับเชิญให้ไปชี้แจง ครั้งแรกที่มีหนังสือเชิญมาถึงคุณแม่ของตน ทนายความจึงได้ไปชี้แจงข้อเท็จจริง แต่ในส่วนของตนยังไม่ได้เคยไปชี้แจงเลย อย่างไรก็ตาม ไม่มีข้อกังวล เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด กระบวนการโอนหุ้นนั้นได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายไปตั้งแต่เดือน ม.ค.

มั่นใจสู้ได้ ไม่ได้ทำอะไรผิด

เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรที่ กกต.ต้องทำงานโดยมีแรงกดดันให้ต้องแจ้งข้อกล่าวหา จะทำให้ขาดคุณสมบัติและจะนำไปสู่การแจกใบส้ม นายธนาธร กล่าวว่า พวกเราทุกคนต้องให้กำลังใจ กกต. มีเจ้าหน้าที่ กกต.เยอะแยะไปหมดที่ปรารถนาดีต้องการทำงานอย่างตรงไปตรงมา เพื่อจะให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไป หวังว่า กกต.จะมองเห็นว่าการทำงานที่บริสุทธิ์ยุติธรรม จะนำไปสู่การเดินหน้าของประเทศ ชาติได้ ผู้สื่อข่าวถามว่า มองอย่างไรที่มีการแจกใบส้มให้กับพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในขณะนี้ นายธนาธรตอบว่า กรณีใบส้มที่ให้อำนาจชี้ขาดเป็นของ กกต. ในส่วนของตนมั่นใจว่าใบส้มบังคับใช้กับกรณีของตนไม่ได้ ยืนยันมานานแล้วว่าทำทุกอย่างถูกต้อง ส่วนที่มีข้อสังเกตว่าวันโอนหุ้นวันที่ 8 ม.ค. ตนยังอยู่หาเสียงที่ จ.บุรีรัมย์ ไม่มีใครมีหลักฐานเลยว่า ตอนบ่ายวันนั้นตนอยู่ที่ไหน ถ้ายังเดินหาเสียงอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ ต้องมีภาพหรือวิดีโอออกมาแล้ว ทั้งนี้ มั่นใจว่าสามารถชี้แจงได้สบายใจมาก ตอบชี้แจงได้ มั่นใจว่าไม่มีอะไรมาเอาผิดเราได้ แต่การที่ กกต.พยายาม เอาผิดอาจมีแรงกดดันเข้ามายัง กกต. เห็นได้จากประธาน อนุกรรมการไต่สวนต้องลาออก ตนไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของธนาธร แต่ให้กำลังใจธนาธร

ปลุกสู้เพื่อ ปชต.-ความเป็นธรรม

เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวว่านายธนาธรจะถูกตั้งข้อกล่าวหาลงนามเอกสารรับรองผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคที่ขาดคุณสมบัติ นายธนาธรกล่าวว่า ผู้สมัครมี 500 คน คงไม่สามารถทราบว่ามีที่มาอย่างไรบ้าง เชื่อว่าหัวหน้าพรรคคนอื่นก็จะเป็นเช่นเดียวกัน ส่วนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับตีความการคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ อยากฝากให้ กกต.รับทราบถึงความต้องการของประชาชนที่พยายามติดตามประเด็นนี้มาต่อเนื่อง การเลือกวิธีคำนวณ อาจกระทบต่อการพัฒนาประเทศ ขอให้เลือกไปตามหลักการที่ถูกต้องจะปกป้องตัวท่านเอง

จากนั้นนายธนาธรได้กล่าวย้ำกับกองเชียร์ว่า อย่าให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของธนาธร ให้เป็นเรื่องของความเป็นธรรม ความเป็นประชาธิปไตย เรามาที่นี่เพื่อปกป้องประชาธิปไตย ต้องให้ประชาธิปไตยเกิดขึ้นในประเทศไทย

รอดไม่รอดใบส้ม

ธนาธรรอดไม่รอดใบส้ม’ : ประเดิมแจก “ใบส้ม แล้ว คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มีมติสั่งเพิกถอนสิทธิ์สมัคร นายสุรพล เกียรติไชยากร ว่าที่ส..เขต 8 เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ไว้เป็นการชั่วคราว 1 ปี

หลังพิจารณาสำนวนสืบสวนเห็นว่า นายสุรพลเข้าข่าย ผิดพ...ว่าด้วยการเลือกตั้งส.มาตรา 73(2) ถวายเงินให้พระภิกษุ

พอมีมติแจกใบส้ม กกตต้องสั่งเลือกตั้งใหม่ เพราะนายสุรพลได้คะแนนเลือกตั้งลำดับที่ด้วยคะแนน 52,165 คะแนน

แต่การเลือกตั้งใหม่หนนี้ นายสุรพลไม่สามารถลงแข่งขันได้

กรณีของนายสุรพลถือว่าเป็นคนแรกที่ได้รับใบส้มจาก กกต.

แต่ที่กำลังเป็นกระแสยิ่งกว่าก็คือ กรณี กกตมีมติแจ้งข้อกล่าวหานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถือหุ้นบริษัทสื่อ (วีลัคโดยให้นายธนาธรมาชี้แจงข้อกล่าวหาภายใน 7 วัน

จากนั้น กกตก็จะพิจารณาว่ามีความผิดจริงหรือไม่

ถ้าชี้แจงฟังขึ้นก็จบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าฟังไม่ขึ้น ก็จะมีความผิดตามข้อกล่าวหา

สรุปคือโดน “ใบส้ม” เพิกถอนสิทธิ์ 1 ปี แถมต้องถูกส่งฟ้องศาล เพื่อดำเนินคดีอาญา ซึ่งจะมีโทษถูกตัดสิทธิ 20 ปี

ความจริงนายธนาธรชี้แจงมาตลอด ว่า โอนหุ้นวันที่ 8 ..2562 (ก่อนลงสมัครเลือกตั้งแต่มีบางสื่อจุดประเด็นว่านายธนาธรโอนหุ้นวันที่ 21 มี..2562 ซึ่งความจริงคือวันที่บริษัทวีลัคแจ้งรายชื่อผู้ถือหุ้นต่อกระทรวงพาณิชย์

ตามหลักแล้วก็จะยึดตาม “วันที่โอน” เพราะถือว่ามีผลทางกฎหมาย

แต่เคสนี้ กกต.กลับแจ้งข้อกล่าวหานายธนาธร

ที่สำคัญก่อนหน้ากกต.มีมติแจ้งข้อหาแค่วันเดียว ประธานอนุกรรมการสอบสวนกรณีนายธนาธรก็ได้ประกาศลาออก!!

ตรงนี้ ทำให้สังคมกังขาเข้าไปใหญ่ว่าเกิด “การกดดัน” อะไรหรือไม่จนถึงขั้นต้องลาออก

ทั้งนี้ ต้องรอดูว่าหลังจากนายธนาธรเข้าชี้แจงแล้ว กกต.ยังยืนกรานแจก “ใบส้ม” อีกหรือไม่

ต้องจับตากันอย่ากะพริบเลย ทีเดียว


ธนาธร” ถึงไทย แฟนคลับแห่รับแน่น​สุวรรณภูมิ

ธนาธร” ถึงไทย แฟนคลับแห่รับแน่น​สุวรรณภูมิ เจ้าตัวไร้กังวล ยันใบส้มไม่เกี่ยวปมหุ้น วอนกกต.ยุติธรรม หวั่นทำสังคมกังขา จี้ ยึดสูตรปาร์ตี้ลิสต์ตามหลักการ ปลุกกองเชียร์ป้องประชาธิปไตย

เมื่อเวลา​ 20.05 น.​ วันที่​ 25​ เมษายน​ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ​ นายธนาธร​ จึง​รุ่งเรือง​กิจ​ หัวหน้าพรรค​อนาคต​ใหม่​(อนค.)​ เดินทางถึงประเทศ​ไทย​ ภายหลังต้องจบภารกิจการเยือนประเทศในทวีปยุโรป​อย่างกะทันหัน​ เพื่อกลับมารับทราบและชี้แจงข้อกล่าวหา​ กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง​(กกต.)​มีมติแจ้งข้อกล่าวหานายธนาธร​ กรณี​ถือครองหุ้นบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด เข้าข่ายเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามรับสมัคร ส.ส. ทั้งนี้​ บรรยากาศการต้อนรับเป็นไปอย่างคึกคัก​ มีแกนนำพรรค​ สมาชิกพรรค​ และผู้สนับสนุนมารอต้อนรับประมาณ​ 100 คน​ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยทันทีที่นายธนาธรมาถึงจุดนัดพบ​ บริเวณประตู 7​ อาคารขาเข้าระหว่างประเทศ​ ผู้สนับสนุน​พรรคต่างโห่ร้องแสดงความยินดี​ ตะโกน​ “ธนาธรสู้ๆ” พร้อมชูสามนิ้ว และมอบดอกไม้ให้กำลังใจ​ รวมถึงชูป้ายที่มีสัญลักษณ์​พรรคอนาคตใหม่และข้อความว่า​ “Stand with Thanathorn” ซึ่งมีความหมายว่า​ “อยู่ข้างธนาธร”

นายธนาธรกล่าวว่า ขอบคุณทุกคนที่มาต้อนรับวันนี้กำลังใจของพรรคอนาคตใหม่ยังดีอยู่ ตนเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์​ ไม่มีอะไรต้องกังวล โดยจากนี้จะต้องขอดูเอกสารจากกกต.ก่อน เนื่องจากกกต.ให้เวลา 7 วันในการชี้แจงข้อกล่าวหา ยืนยันว่าก่อนหน้านี้ตนยังไม่ได้ถูกกกต.เชิญให้เข้าไปชี้แจง แต่เป็นการส่งทนายความเข้าไป​ ซึ่งหนังสือที่ส่งมาเชิญให้ไปชี้แจงครั้งนั้น ส่งมายังมารดาของตน ซึ่งทนายความได้เข้าไปชี้แจงในนามของมารดา แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ตนได้เข้าไปชี้แจงกับกกต.ด้วยตนเอง ยืนยันว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิด กระบวนการโอนหุ้นทุกอย่าง ถูกต้องตามกฎหมายและเรียบร้อยไปตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม​ที่ผ่านมาแล้ว

“ต้องให้กำลังใจกกต.​ มีเจ้าหน้าที่กกต.จำนวนมากที่หวังดีต่อประเทศ และต้องการเห็นประเทศเดินไปข้างหน้า และตระหนักดีถึงการทำหน้าที่อย่างเที่ยงธรรม หวังว่ากกต.จะมองเห็นว่าการทำงานที่บริสุทธิ์จะนำประเทศไปสู่ทางออกได้ แต่ถ้ากกต.ทำงานอย่างไม่บริสุทธิ์ และไม่ยุติธรรม สร้างข้อกังขาให้กับประชาชน​ จะนำไปสู่ความวุ่นวาย​ เพราะประชาชนตั้งความหวังกับการเลือกตั้งครั้งนี้ไว้มาก” นายธนาธรกล่าว

นายธนาธรกล่าวว่า ขอบคุณทุกคนที่มาต้อนรับวันนี้กำลังใจของพรรคอนาคตใหม่ยังดีอยู่ ตนเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์​ ไม่มีอะไรต้องกังวล โดยจากนี้จะต้องขอดูเอกสารจากกกต.ก่อน เนื่องจากกกต.ให้เวลา 7 วันในการชี้แจงข้อกล่าวหา ยืนยันว่าก่อนหน้านี้ตนยังไม่ได้ถูกกกต.เชิญให้เข้าไปชี้แจง แต่เป็นการส่งทนายความเข้าไป​ ซึ่งหนังสือที่ส่งมาเชิญให้ไปชี้แจงครั้งนั้น ส่งมายังมารดาของตน ซึ่งทนายความได้เข้าไปชี้แจงในนามของมารดา แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ตนได้เข้าไปชี้แจงกับกกต.ด้วยตนเอง ยืนยันว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิด กระบวนการโอนหุ้นทุกอย่าง ถูกต้องตามกฎหมายและเรียบร้อยไปตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม​ที่ผ่านมาแล้ว

“ต้องให้กำลังใจกกต.​ มีเจ้าหน้าที่กกต.จำนวนมากที่หวังดีต่อประเทศ และต้องการเห็นประเทศเดินไปข้างหน้า และตระหนักดีถึงการทำหน้าที่อย่างเที่ยงธรรม หวังว่ากกต.จะมองเห็นว่าการทำงานที่บริสุทธิ์จะนำประเทศไปสู่ทางออกได้ แต่ถ้ากกต.ทำงานอย่างไม่บริสุทธิ์ และไม่ยุติธรรม สร้างข้อกังขาให้กับประชาชน​ จะนำไปสู่ความวุ่นวาย​ เพราะประชาชนตั้งความหวังกับการเลือกตั้งครั้งนี้ไว้มาก” นายธนาธรกล่าว


นายธนาธร กล่าวต่อว่า ในกรณีของการแจกใบส้มนั้น ให้อำนาจชี้ขาดสุดท้ายอยู่ที่กกต. ซึ่งตนมั่นใจว่าใบส้มบังคับใช้กับกรณีของตนไม่ได้ ส่วนกรณีที่บอกว่าตนเดินทางกลับจากจ.บุรีรัมย์มาโอนหุ้นที่กรุงเทพฯไม่ทันเวลานั้น เรื่องดังกล่าวไม่มีใครมีหลักฐานอะไรเลย ว่าในช่วงบ่ายวันนั้นตนอยู่ที่ไหน ถ้ามีหลักฐานว่าตนยังอยู่ที่จ.บุรีรัมย์ในช่วงบ่าย ต้องมีรูปภาพหลุดออกมาบ้างแล้ว อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่ตนชี้แจง ขณะที่เรื่องที่จะเอาผิดตนกรณีลงนามรับรองส.ส.ที่ขาดคุณสมบัตินั้น ผู้สมัครส.ส.ของพรรคเกือบ 500 คน เราไม่สามารถรู้ได้ว่าคนไหนมีประวัติอะไรมาบ้าง​ ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ได้กังวลใจ เชื่อว่าหัวหน้าพรรคการเมืองอื่นก็เป็นเหมือนกัน เชื่อมั่นว่าคำวินิจฉัยจะไม่ออกมาทางลบ เพราะตนไม่มีความผิด ไม่มีข้อหาอะไรที่จะมาเอาผิดได้

“เชื่อว่ามีแรงกดดันเข้ามาที่กกกต.​ จะเห็นได้ว่าประธานอนุกรรมการที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสอบสวนเรื่องของผมได้ลาออกไปแล้ว ส่วนตัวผมไม่อยากทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องของธนาธร​ และเชื่อว่าคนที่มาต้อนรับผมในวันนี้​ ไม่ได้ให้กำลังใจธนาธรเพราะเป็นธนาธร แต่ให้กำลังใจประชาธิปไตย ต้องการให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้นในประเทศไทย​ นี่คือหลักการที่เราเห็นร่วมกัน” นายธนาธร กล่าว

นายธนาธร ยังกล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องที่กกต.ยื่นตีความการคำนวณบัญชีรายชื่อส.ส.ว่า ฝากกกต.ให้รับทราบถึงความต้องการของประชาชน​ การจะเลือกวิธีการคำนวณแบบใดแบบหนึ่งก็แล้วแต่ อาจส่งผลถึงอนาคตของประเทศ ขอให้การตัดสินใจของกกต.ตั้งอยู่บนหลักของกฏหมาย​ หลักการที่ถูกต้องจะเป็นการปกป้องตัวท่านเอง


ทางวิบาก

มีเสียงเตือนมานานว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561

วางมาตรการเข้มในการกลั่นกรองบุคคลเข้าสู่วงจรอำนาจผ่านการเลือกตั้ง บทบัญญัติแต่ละมาตรามีความสำคัญ โดยเฉพาะคุณสมบัติของบุคคลที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ส.ส. ส.ว. นายกรัฐมนตรี และ ครม.

ต้องใส่เครื่องกรอง ร่อนตะแกรงกันหลายชั้น ด้วยความคาดหวังที่จะให้ได้คนดี เข้ามาทำงานให้ชาติบ้านเมือง

ป้องกันคนไม่ดี ที่มีประวัติด่างพร้อย มีคราบสกปรกพัวพันกับการทุจริตคอร์รัปชัน ไม่ให้เข้ามามีอำนาจ

ถึงขนาดมีการตั้งฉายายกย่องกันว่า เป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง

และแน่นอน เมื่อกฎกติกากำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะก้าวเข้ามาสู่อำนาจทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหารไว้เข้มงวดมากเท่าไหร่

ในทางกลับกันก็ย่อมเป็นอุปสรรคขวากหนามกับบุคคลที่จะโดดเข้ามาสู่วงจรอำนาจมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

ถ้าไม่ศึกษาข้อกฎหมายให้แตกฉาน ตีความไม่ละเอียด หรือรู้แต่จงใจหมกเม็ด รวมไปถึงเลินเล่อ สะเพร่า เฟอะฟะ ก็อาจทำให้ตกม้าตายได้ง่ายๆ ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นนักการเมือง

รุ่นเก๋าเขี้ยวลากดิน หรือนักการเมืองหน้าใหม่ไฟแรงขนาดไหนก็ตาม

เหมือนอย่างตอนนี้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 พรรคอนาคตใหม่ กำลังเผชิญการตรวจสอบครั้งสำคัญจาก คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

กรณีนักร้อง (เรียน) แห่งยุค ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นเรื่องขอให้ตรวจสอบ ธนาธร ขาดคุณสมบัติลงสมัคร ส.ส.หรือไม่ เนื่องจากถือครองหุ้นสื่อบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด

เข้าง่ามลักษณะต้องห้ามเป็นผู้สมัคร ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) คือ เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนใดๆ

ล่าสุด กกต. พิจารณาหลักฐานเบื้องต้นพบว่า ธนาธร เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) และกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 42 (3)

กรณีเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนใดๆ จำนวน 675,000 หุ้น

จึงมีมติแจ้งข้อกล่าวหาแก่ ธนาธร ให้มาชี้แจงแสดงหลักฐานแก้ข้อกล่าวหาภายใน 7 วัน!!!

ส่วน ธนาธร ที่อยู่ระหว่างทัวร์ยุโรป โพสต์เฟซบุ๊กบอกแฟนคลับ ได้รับแจ้งจากเมืองไทยให้รีบกลับมาเตรียมพร้อมรับสถานการณ์อันไม่คาดคิด ยืนยันยังมีกำลังใจที่แข็งแรง และเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ จะรีบกลับมาแก้ข้อกล่าวหาด่วนจี๋

ก่อนตบท้ายตามฟอร์มว่ากรณีนี้เป็นคดีที่มีความมุ่งหวังทำลายล้างทางการเมือง

งานนี้ “พ่อลูกอิน” เชื่อว่า ถ้า“ธนาธร” โอนหุ้นสื่อพ้นตัว ถูกต้องตรงตามกติกาเป๊ะๆ ไม่มีปัญหาหมกเม็ดใดๆ ก็คงไม่มีใครทำให้สะเทือนผิวได้แน่นอน

แต่ถ้าบังเอิญจงใจซิกแซ็ก ตุกติก ทำผิดจริง ก็มีสิทธิโดน กกต.แจกใบส้ม ชวดเก้าอี้ ส.ส. แถมต้องถูกตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งอีกต่างหาก

ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเนื้อผ้า เพราะไม่มีใครใหญ่เกินกฎหมาย!!!

“พ่อลูกอิน”

เกลี่ยที่ทางเพื่อไปต่อ

จากคิวที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้อง กกต. ปมคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ชี้เป็นอำนาจ กกต.ในการคำนวณตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 และกฎหมายเลือกตั้งปี 2561 มาตรา 128

สรุปความ การคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็น “หน้าที่ กกต.”

ตามสูตรคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ที่ตามจริงก็ระบุไว้ทั้งในรัฐธรรมนูญ และกฎหมายลูกให้ทำตาม ยังไม่มีอะไรขัดข้อง ยัง “ไม่เกิดเหตุ” การตีความก็ยังไม่จำเป็น

วันนี้เลี่ยงไม่ได้ที่ กกต.จะต้องทำหน้าที่ ต้องเดินต่อ “ไปต่อ”

แล้วก็น่าจะเห็นงานเข้มข้นขึ้น กับกระบวนการก่อนประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ตามที่ขีดเส้นตายไว้วันที่ 9 พ.ค.นี้ ระหว่างนี้จึงอยู่ในห้วงพิจารณาคำร้องเลือกตั้ง รอควักใบเหลือง ใบส้ม ใบแดง

โดยล่าสุด กกต.มีมติสั่งให้ยกเลิกการเลือกตั้ง ส.ส.เชียงใหม่ เขต 8 ที่นายสุรพล เกียรติไชยากร ผู้ได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนมาอันดับ 1 ของพรรคเพื่อไทย มีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏว่าให้ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดแก่ชุมชน เพื่อจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ตนเอง

โดย กกต.จะเสนอเลือกตั้งใหม่หลังวันที่ 9 พ.ค. โดยผู้สมัครชุดเดิม แต่ไม่มีคนของพรรคที่ถูกใบส้มลงแข่ง

“กรรมการกลาง” ถึงคิวใช้อำนาจ หั่นพรรคเพื่อไทยไปแล้ว 1 แต้ม

จากนี้สารพัดใบสีต่างๆที่จะตามมา อาจจะมี แต่คงไม่มาก ตามที่นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต.ระบุ คิวใบส้ม ที่เขต 8 เชียงใหม่ จัดไว้เป็นหนึ่งในร้อยละ 5 เพื่อให้เปิดประชุมสภาครั้งแรกที่ต้องรับรองผล ส.ส.ร้อยละ 95

จัดบัญชี “แขวน” ได้ 17 เขตเลือกตั้ง

กกต.เริ่มเร่งเครื่องเป็นชุดๆ รวมไปถึงกรณีที่มีมติแจ้งข้อกล่าวหานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กรณีถือหุ้นบริษัทวี-ลัค มีเดีย เข้าข่ายขาดคุณสมบัติลงสมัครรับเลือกตั้ง เริ่มวางคิวเรียกพยานมาให้ข้อมูล เพิ่มน้ำหนักคำร้องที่จะยื่นต่อศาล และระทึกต่อเนื่อง คิวยุบ-ไม่ยุบพรรคอนาคตใหม่

ในห้วง “ดาบอรหันต์ กกต.” ออกฤทธิ์แรง

ถึงแม้จะมีแรงกระตุกบ้าง ทั้งกรณีที่นายอุเทน ชาติภิญโญ อดีตหัวหน้าพรรคคนไทย ออกมาตั้งข้อสังเกต เหตุใด กกต.ถึงเลือกแจกใบส้มที่เขต 8 จ.เชียงใหม่ เพียงใบเดียว แทนที่จะมีเป็นชุดทีเดียว

ห่วงหลายปมโยง กระพือแรงต้าน กลายเป็นคิว “จุดไม้ขีด” ให้ไฟลาม

หรือในคิวพิจารณาคุณสมบัติของ “ธนาธร” ที่นายไพศาล พืชมงคล ผู้ช่วยรองนายกฯ โพสต์เฟซบุ๊ก เสนอคณะอนุกรรมการไต่สวนของ กกต. ให้ทำตามกฎหมาย จะแจกใบส้มตามแรงกดดันเรื่องคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.ไม่ได้

“ไปอ่านดูกฎหมายกันให้ดี ถ้ารุ่มร่ามจะผิดกฎหมายด้วย”

แม้จะเป็นหนังหน้าไฟ แต่ตามหน้าที่ กกต.ก็ต้องรับไป

แล้วก็ไม่เพียง กกต. แต่อ่านทางแล้ว ก็น่าจะเป็นสัญญาณ “ไปต่อ” ในเฟส 2 ของอำนาจพิเศษ หลังเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเร่งคิวอัดฉีด กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยสารพัดมาตรการ ลดแลกแจกแถม

คู่ขนานไปกับกระแสข่าวกันจัดโควตาเก้าอี้ ในขั้วพรรคพลังประชารัฐ ที่คาบเกี่ยวกับรัฐบาล คสช.

ทั้งโควตารัฐมนตรี สารพัดกลุ่มที่ต่างสร้างผลงานจากสนามเลือกตั้ง บิ๊กเนม “สมศักดิ์ เทพสุทิน-สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ-สันติ พร้อมพัฒน์-ธรรมนัส พรหมเผ่า-วิรัช รัตนเศรษฐ-สุชาติ ตันเจริญ” ฯลฯ รวมไปถึงขุนทัพเมืองหลวง เริ่มขยับ

หรือแม้แต่ 4 กุมาร ถึงแม้หน้าใหม่การเมือง 4 อดีตรัฐมนตรีโดดมาลุยงานพรรคพลังประชารัฐ สวนคำปรามาส ปั้นผลงานเข้าป้ายตามเป้า ก็ต้องมีบำเหน็จรางวัลจากการลงแรงออกแรง

รอเข้าสูตรการเมืองคณิตศาสตร์เต็มรูปแบบ

สัญญาณไปต่อ มาพร้อมสัญญาณวุ่นๆ ที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.จะต้องรับมือเกลี่ยตำแหน่งให้ลงล็อก

ถ้าเกมไม่พลิก ไม่มีสายฟ้าฟาดทำสัญญาณล่ม หรือมีแรงสั่นสะเทือนจากเงื่อน “ไขก๊อก” ของบิ๊กเนมพี่ๆร่วมขั้วจนซวนเซ ผู้นำก็ต้องเตรียมตัวสวมบท “ฤาษีตู่” เลี้ยงลิง บริหารจัดการแนวร่วมเครือข่าย “นั่งร้าน”

“ไปต่อ” บนเส้นทางหนัก ไม่แพ้คิวเลี้ยงดุล “ขั้วอำนาจ” ในบ้านเมือง.

ทีมข่าวการเมือง