PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

คสช.มองเกมนักศึกษาเคลื่อนไหว

คสช.มองเกม นปช.และ นักศึกษา

โฆษกคสช. ชี้แกนนำนปช. หวังชิงพื้นที่ข่าว ออกโรงหนุน นักศึกษา ชี้ เพราะคิดว่า คำว่า นศ.ทำให้สังคมสนใจเป็นพิเศษ และมองเป็น "พลังบริสุทธิ์" แต่ไม่ใช่ เพราะเชื่อมโยงการเมือง ชี้มีแค่กลุ่มเล็กๆ ที่เคลื่อนไหว แถมเป็นนศ.ที่ไม่สนใจเรื่องเรียน และมีนัยะแอบแฝง. ชี้มีพวกอ้างประชาธิปไตย และ ชอบโมเมอ้างเอาประชาชนบังหน้า ในการเคลื่อนไหว ชี้สังคมช่วยกันปฏิเสธนักการเมืองไม่ดี
          
พันเอกวินธัย สุวารีโฆษก คสช.กล่าวถึง  การที่แกนนำ นปช. ที่เริ่มหันมาสนับสนุนกลุ่ม นศ.นั้นว่า เพื่อต้องการสร้างพื้นที่ข่าว  และรักษาบทบาทของกลุ่มไว้นั้นก็เป็นไปได้    
ส่วนการแสดงความคิดเห็นที่ทางกลุ่มแกนนำฯ ได้แสดงออกมาช่วงนี้นั้น โฆษกคสช.มองว่า ส่วนใหญ่ก็เหมือนเดิมคือเห็นต่างทุกเรื่องภายใต้มุมมองและจินตนาการที่เป็นลบ  ซึ่งเชื่อว่าสังคมคุ้นชินและไม่ได้ให้น้ำหนักความสนใจมากนัก     
          
สำหรับกรณีกลุ่มที่เคลื่อนไหวใช้คำว่า นักศึกษา นั้น. สังคมทั่วไปเข้าใจว่าจะทำให้น่าสนใจเป็นพิเศษเหมือนเป็นการแสดงออกด้วยพลังบริสุทธิ์  แต่ปัจจุบัน หรือกรณีนี้คงไม่ใช่   เพราะสังคมพบเห็นความเชื่อมโยงในทางการเมืองอยู่บ่อยครั้ง 

 อีกทั้งเป็น นศ.กลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดิม ที่ชอบออกมาเคลื่อนไหวในลักษณะที่สุ่มเสี่ยงกฎหมาย  เหมือนมีนัยยะแอบแฝง ซึ่งบางคนก็ไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเล่าเรียนเพื่อที่จะให้จบ  

ในขณะที่ นศ. ส่วนใหญ่ในประเทศไทยจำนวนมากนับแสนคน ได้พยายามตั้งหน้าตั้งตาเล่าเรียนเพื่อที่จะจบมาแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำงาน"
          
สำหรับประเด็นเรื่องของประชามติและ ร่าง รธน.นั้น ทุกคนสามารถให้ความเห็นได้ภายใต้กรอบกฎหมาย  

ส่วนการรับฟังข่าวสารขอให้ใช้วิจารณญาณในการรับฟังอย่างเหมาะสม  เพราะที่ผ่านมาพบยังมีการแสดงความเห็นที่บิดเบือนหรือให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนในแต่ละประเด็น โดยเฉพาะบางข้อมูลมีลักษณะชอบยัดเยียดคำว่าว่าไม่เป็นประชาธิปไตยให้กับคนอื่น  หรือชอบโมเมอ้างเอาประชาชนบังหน้า ทั้งๆ ที่ไม่เคยถามหรือได้รับข้อมูลจากประชาชนส่วนใหญ่จริงๆ เลย ซึ่งเชื่อว่าสังคมส่วนใหญ่มองออกและไม่ได้คล้อยตาม   
           
"ขอให้เชื่อมั่นว่ารัฐบาล และ คสช. มีความตั้งใจจริงที่จะเดินหน้าสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงให้กับประเทศและคนไทย "   

พร้อมสนับสนุนเจตนารมณ์ของคนไทยส่วนใหญ่ที่จะปฏิเสธนักการเมืองที่ไม่ดีให้เข้ามามีอำนาจ  รวมถึงป้องกันการแอบอ้างเอาคำว่าประชาธิปไตย ไปแสวงหาอำนาจ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง

ประยุทธ์เชื่อมีคนให้ทุนทำร่างรธน.บิดเบือนแจก เตือนกำลังสอบสวนทุกเรื่อง


มีชัยระบุหากเป็นเรื่องเล็กน้อย กรธ. ก็พร้อมทำใจปล่อยวาง แต่หากประเด็นใดบิดเบือนเป็นเท็จก็รับไม่ได้ ก็จำเป็นต้องดำเนินคดี หวั่นคนอ่านไม่ครบเข้าใจผิดได้ ชี้อย่าว่าแต่ประชาชนแม้กระทั่งนักวิชาการยังเข้าใจกันคนละอย่าง
ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล
8 ก.ค.2559 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงกรณีที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ระบุว่ามีการแจกจ่ายร่างรัฐธรรมนูญที่บิดเบือนสาระสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือ ว่า ผู้ที่พบเห็นควรแจ้งข้อมูลมายังเจ้าหน้าที่ เพื่อจะได้สืบหาได้ง่ายขึ้น และหากพบว่าเป็นการนำเสนอข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง จะมีความผิดฐานการปลอมแปลงเอกสารราชการ เชื่อว่ามีกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังให้ทุนและสนับสนุนความเคลื่อนไหวดังกล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกำลังตรวจสอบทุกเรื่อง มั่นใจว่าจะดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้ ยืนยันว่ายังไม่ได้รับการประสานจาก มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ.เพื่อพูดคุยกรณีนี้ และคงไม่ต้องพูดคุย เพราะกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นไปแล้ว กำลังเดินหน้าเรื่องการทำประชามติ ซึ่งผลออกมาเป็นอย่างไร ต้องดำเนินการไปตามนั้น หากมีปัญหาต้องแก้ไข เชื่อมั่นการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ในการดูแลการออกเสียงประชามติ ขณะที่คสช.และกระทรวงมหาดไทยดูแลความเรียบร้อย
“มันต้องมีคนให้ทุน ประชาชนทำเองได้หรือ เดี๋ยวมันจะชัดเจนขึ้นทุกเรื่อง ผมบอกไว้ก่อนกำลังสอบสวนทุกเรื่อง ทุกคดี ผมมั่นใจเจ้าหน้าที่ของผม” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า ต้องจับตานักการเมืองที่จะเดินทางออกนอกประเทศ ในช่วงวันที่วันที่ 26 กรกฎาคมซึ่งตรงกับวันเกิดของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คงไม่ต้องจับตานักการเมืองเป็นพิเศษ เพราะการเดินทางออกนอกประเทศของนักการเมืองได้อนุญาตไปแล้ว และการพิจารณาจะให้เดินทางหรือไม่เป็นอำนาจศาล ทุกอย่างมีกฎหมายดูแลอยู่
“ใครจะเกิดก็เกิดไปเถอะ เวลาผมเกิดผมยังไม่ให้ใครสนใจว่าเกิดเมื่อไหร่ จะไปสนใจทำไม ก็เรื่องของผม ครอบครัวผมไม่เกี่ยวกับคนอื่น เขาอนุญาตอยู่แล้วออกไปไหนก็ไป ถ้าผิดกฏหมายก็ไปสู้คดีในศาล ศาลเป็นคนพิจารณาเอง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

มีชัยระบุหากเป็นเรื่องเล็กน้อย กรธ. ก็พร้อมทำใจปล่อยวาง 


ขณะที่ มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. กล่าวถึงกรณีการเอาผิดกับผู้เผยแพร่เอกสารบิดเบือนเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญว่า แม้ กกต.  จะขอให้กรธ.ตัดสินใจว่าประเด็นใดเข้าข่ายผิดกฎหมาย แต่หน้าที่ดำเนินคดีเรื่องนี้ยังเป็นหน้าที่ของกกต.โดยตรงที่จะต้องดำเนินการ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเนื้อหาเอกสารสาระสำคัญร่างรัฐธรรมนูญปลอม พบว่าหลายเรื่องไม่มีเหตุผล ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด
“หากเป็นเรื่องเล็กน้อย กรธ. ก็พร้อมทำใจปล่อยวาง แต่หากประเด็นใดบิดเบือนเป็นเท็จก็รับไม่ได้ ก็จำเป็นต้องดำเนินคดี อย่างไรก็ตามจะให้ที่ประชุมกรธ.วันนี้ วิเคราะห์ว่าเนื้อหาส่วนใดผิดกฎหมายบ้าง ก่อนส่งให้กกต. ดำเนินการ โดยจะพิจารณาเป็นเรื่อง ๆ ไป คนอ่านไม่ครบ ก็เข้าใจผิดได้อย่าว่าแต่ประชาชนแม้กระทั่งนักวิชาการยังเข้าใจกันคนละอย่าง” มีชัย กล่าว

เรียบเรียงจาก สำนักข่าวไทย

เสื้อยืดเป็นปัญหา?

ขณะที่เจ้าหน้าที่สงสัยว่าเป็นเสื้อพิมพ์ข้อความสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน เจ้าของเสื้อกลับบอกว่าทำขาย เผยแพร่งานและหาทุน

นี่เป็นภาพของเสื้อยืดที่ขายกันในภาคใต้ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงสงสัยว่าส่อเจตนาต้องการแบ่งแยกดินแดน ในขณะที่ผู้ผลิตเสื้อยืดบอกว่า เป็นแค่เสื้อทำขายที่ต้องการเผยแพร่ให้คนรู้จักภาษามลายูและหาทุนประกอบการทำงาน ข้อสงสัยของเจ้าหน้าที่ทำให้เกิดการซักถามไปทั่วทั้งในหมู่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียและคนทำงานภาคประชาสังคม ทั้งกลุ่มบุหงารายาผู้ผลิตเสื้อยืดและประธานชมรมโรงเรียนตาดีกา 5 จังหวัดเผยจะเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมการอิสลามปัตตานีเย็นวันนี้ถึงที่มาของเสื้อยืดดังกล่าว

ก่อนหน้านี้สื่อหลายรายลงภาพนักกิจกรรมห้าคนในชุดโสร่งและเสื้อยืดสีขาวพิมพ์ภาพแผนที่บนหน้าอกพร้อมภาษามลายูมีทั้งที่เขียนด้วยอักษรอาราบิกและอักขระยาวี หลายภาพที่สื่อลงมีการเบลอส่วนของใบหน้าชายหนุ่มทั้งห้า บีบีซีไทยได้รับภาพเดียวกันจากเจ้าของภาพที่ยินดีให้ลงโดยเปิดเผยใบหน้าได้ พร้อมบอกว่าพวกเขาเป็นเพียงคนทำกิจกรรมในพื้นที่ที่เป็นลูกค้าซื้อเสื้อยืดเพื่อสนับสนุนเพื่อนนักกิจกรรมด้วยกันโดยไม่ได้คิดว่าจะมีเรื่องของการแบ่งแยกดินแดนมาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด

ฮาซัน ยามาดีบุ ประธานกลุ่มบุหงารายาบอกว่า กลุ่มเป็นผู้ผลิตเสื้อตัวนี้เอง เพื่อเผยแพร่การใช้ภาษามลายูอักขระยาวี เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายที่ทำงานในเรื่องส่งเสริมการศึกษาในโรงเรียนตาดีกาหรือโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามสำหรับเด็กเล็ก และเพื่อหาทุนทำกิจกรรมของกลุ่มต่อไป ข้อความบนเสื้อยืดที่เขียนด้วยอักษรอาราบิกว่า TANAH PERKASA MELAYU UTARA แปลได้ว่า พื้นที่ของศูนย์ประสานงานโรงเรียนตาดีกาชายแดนใต้มลายูตอนเหนือ ส่วนสีแดงเป็นสีประจำของความเป็นมลายู “แผนที่และรูปภาพนี้เราใช้ผลิตเสื้อยืดและใช้ประจำสำนักงานมานานหลายปีแล้ว ทุกๆปีทำเสื้อยืดออกขายก็ใช้ภาพนี้ ไม่เคยมีปัญหาเลยครับ” เขาว่า

ผู้รู้ในเรื่องภาษาอธิบายเพิ่มเติมถึงคำที่พิมพ์บนเสื้อยืดที่อาจทำให้เจ้าหน้าที่ตีความไปได้นั้น คำแรก TANAH หมายถึงพื้นที่หรือดิน คำว่า PERKASA เป็นตัวย่อมาจาก Persatuan pusat penyelarasan tadika 5 wilayah sempadan selatan หรือศูนย์ประสานงานตาดีกาห้าจังหวัด ส่วนคำที่สามคือคำว่ามลายู และคำสุดท้ายแปลว่าเหนือ อย่างไรก็ตาม แต่ละคำอาจตีความต่างไปบ้างได้ เช่น คำว่า TANAH เจ้าหน้าที่อาจแปลว่าดินแดน คำว่า PERKASA แปลได้ว่าความยิ่งใหญ่ ทำให้การแปลความทั้งหมดออกไปสู่ท่วงทำนองของการแบ่งแยกดินแดน

ส่วนที่เป็นอักขระยาวีนั้น ล้วนเป็นชื่อจังหวัดในภาษามลายู ยะลา Pertiwi หรือเปอตีวี สงขลาส่วนของ 5 อำเภอที่มีตาดีกาคือคำว่า Putra หรือปุตรา สตูล Pantas หรือปานตาส นรา Pusaka หรือปูซากอ

ฮาซันแห่งกลุ่มบุหงารายาชี้ว่า การใช้ศัพท์พวกนี้เพราะกลุ่มสนับสนุนให้คนใช้มลายูอักขระยาวี แต่แรงสะท้อนจากงานนี้เหนือความคาดหมาย “ผมเองตกใจ และสงสัยมากว่าถ้าเจ้าหน้าที่ไม่เข้าใจทำไมเขาไม่มาถามผมที่เป็นคนผลิตเสื้อ แต่ไปถามคนที่ใส่เสื้อโพสต์ คือพอดีผมเห็นพวกเขามีคนรู้จัก ก็เลยขอให้เขาใส่ ถ่ายและโพสต์ ไม่นึกว่าจะมาเป็นแบบนี้” ฮาซันกล่าว “แล้วยิ่งไปอ่านในเฟสยิ่งไปกันใหญ่ มีการเอาไปโยงกันมากมายหลายอย่าง บ้างว่าแบ่งแยกดินแดน บ้างว่าเชื่อมโยงกลุ่มไอเอส (รัฐอิสลาม) บ้างโยงไปเรื่องป้ายเรื่องอะไรอีกมากมาย ผมว่าถ้าคนที่เข้าใจแบบนี้เป็นคนทั่วๆไปไม่มีวิจารณญานก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เจ้าหน้าที่มาออกข่าวแบบนี้โดยที่ไม่มาถามเรา ผมท้อมากเลย”

ด้านนายอับดุลมุไฮมิน สาและ แห่งกลุ่มเปอร์กาซา หรือชมรมโรงเรียนตาดีกา 5 จังหวัดบอกว่า ผู้ที่ผลิตเสื้อยืดตัวนี้คือกลุ่มบุหงารายา แต่ภาพที่ปรากฏบนเสื้อนั้นเป็นภาพของพื้นที่ทำงานของบุหงารายากับชมรมในพื้นที่ 5 จังหวัดภาคใต้ คือปัตตานี ยะลา นรานิวาส สตูลและสงขลา การร่วมมือของสองกลุ่มเป็นความพยายามสนับสนุนการศึกษาในระดับตาดีกา มีทั้งเรื่องของการสอนภาษามลายูและสันติภาพรวมอยู่ด้วย โดยทั้งสองกลุ่มทำงานร่วมกันมาสามปีแล้ว โรงเรียนในโครงการมีทั้งหมด 20 แห่งด้วยกัน เขาบอกว่าแปลกใจที่เรื่องนี้เป็นปัญหาขึ้นมา พร้อมทั้งยืนยันว่า ข้อความและรูปภาพไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องของการแบ่งแยกดินแดน แต่เมื่อเรื่องนี้เป็นกระแสและมีการสอบถามกันมากมาย ก็ทำให้จะต้องไปชี้แจงกับคณะกรรมการอิสลามประจำปัตตานีเย็นวันนี้

ขณะที่นักกิจกรรมในพื้นที่ห้าคนที่สวมเสื้อยืดดังกล่าวถ่ายรูปโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อหลายวันที่ผ่านมา ต่างถูกเจ้าหน้าที่สอบถามทุกคน หลายคนมีเจ้าหน้าที่ไปเยี่ยมถึงบ้าน หนึ่งในนักกิจกรรมที่ใส่เสื้อยืดดังกล่าว นายทวีศักดิ์ ปิ บอกว่าเขาถูกตัวแทนของทางการในระดับพื้นที่เรียกไปพูดคุยสอบถามถึงความเกี่ยวข้องกับเสื้อยืดราคา 180 บาทตัวนี้ ทำให้ต้องชี้แจงตั้งแต่เมื่อหลายวันที่ผ่านมาหลังจากที่ได้โพสต์ภาพกับเพื่อนๆรวมห้าคนใส่เสื้อยืดของ Perkasa ลงในเฟซบุ๊ก และมีคำถามมากมายข้องใจถึงเรื่องภาพที่โพสต์ว่าโพสต์ในต่างประเทศ ทั้งคนใส่ยังใส่โสร่ง “ความจริงไม่มีอะไร พวกเราไปละหมาดวันศุกร์มา ปกติเราก็ใส่โสร่งละหมาดกันอยู่แล้ว พอดีมีเพื่อนบอกว่าเสื้อที่ทำเสร็จแล้ว เขาจะขายเพื่อหาทุน เราก็ชักชวนกันไปดูแล้วก็ซื้อคนละตัว ช่วยเพื่อน ซื้อเสร็จก็ใส่แล้วโพสต์กัน ไม่ได้คิดอะไร” ส่วนสถานที่ถ่ายภาพ คือหน้าสำนักงานของกลุ่มกิจกรรมในปัตตานีนั่นเอง

“ผมบอกว่า ถ้ารู้ว่าเป็นเรื่องแบ่งแยกดินแดน ใครมันจะกล้าใส่แล้วโพสต์รูปละครับ ผมรู้ผมก็ไม่กล้าหรอก ผมก็ถามเขาแล้ว นี่มันเป็นภาพพื้นที่การศึกษา มีรูปดอกชบาด้วย อะไรด้วย มันเหมือนกับว่า เราทำอะไรที่ไม่ใช่เรื่องเลย แต่เจ้าหน้าที่มองเป็นเรื่องใหญ่โต”

ก่อนหน้านี้พันเอกปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกอ.รมน.ภาคสี่ส่วนหน้าได้ให้สัมภาษณ์กับทั้งสำนักข่าวอิศราและสปริงนิวส์ว่า ทางเจ้าหน้าที่เตรียมเชิญบุคคลที่ใส่เสื้อยืดทั้งห้าคนไปพบเพื่อพูดคุย เพราะถือว่าเป็นการกระทำที่สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย สื่อบางรายระบุว่า ภาพชายหนุ่มห้าคนใส่เสื้อยืดดังกล่าวสร้างกระแสความตกใจให้กับคนในพื้นที่บางส่วนที่มองว่าเป็นความจงใจประกาศเขตพื้นที่รัฐปาตานี แต่เลี่ยงไปใช้คำว่ามลายูแทนคำว่า ปาตานี

ในภาพ ฮาซันกับเสื้อยืดที่กลุ่มของเขาผลิตออกขาย ภาพที่สอง กลุ่มลูกค้าที่ซื้อเสื้อยืด เสร็จแล้วถ่ายภาพโพสต์จนเป็นที่มาของปัญหา

‘สุรชาติ’ เตือน ‘Lone Wolf’ ภัยก่อการร้ายยุคใหม่ โลกทั้งโลกคือสนามรบ


‘สุรชาติ’ ระบุปัญหาความมั่นคงและก่อการร้ายหลังยุคสงครามเย็นเปลี่ยน อินเตอร์เน็ตเป็นตัวเผยแพร่อุดมการณ์ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ลงมือเป็น 'Lone Wolf' หรือหมาป่าเดียวดาย ทำเองคนเดียว ไม่ขึ้นกับองค์กรใหญ่ พุ่งเป้าหมายอ่อนที่ป้องกันตัวเองไม่ได้ เตือนรัฐไทยจะป้องกันได้ต้องเริ่มจากการตระหนักรู้
สุรชาติ บำรุงสุข (แฟ้มภาพ)
8 กรกฎาคม 2559 วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดการประชุมวิชาการระดับชาติ ‘สหวิชาการ 2559’ ขึ้น โดยในช่วงเช้ามีการเสวนาเรื่อง ‘การก่อการร้ายในศตวรรษที่ 21: ภัยคุกคามไร้พรมแดน’ ที่แสดงให้เห็นว่า การก่อการร้ายและปัญหาความมั่นคงในศตวรรษที่ 21 เปลี่ยนโฉมไปมากนับตั้งแต่สิ้นสุดยุคสงครามเย็น นับเป็นความท้าทายที่โลกต้องเผชิญร่วมกัน
โดย สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในยุคก่อนสงครามเย็น ปัญหาด้านความมั่นคงมีเพียงโจทย์เดียวคือปัญหาคอมมิวนิสต์ แต่ภายหลังสงครามเย็นยุติและกำแพงเบอร์ลินหักพังลง คอมมิวนิสต์ไม่ใช่ปัญหาความมั่นคงของโลกอีกต่อไป ความมั่นคงเริ่มมีมิติหลากหลายขึ้น ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม ความมั่นคงมนุษย์ จนถึงการก่อการร้าย
สุรชาติขยายความว่า หลังเหตุการณ์ 9/11 เมื่อปี 2544 ภัยก่อการร้ายมีความชัดเจนมากขึ้น ที่สำคัญเป็นการก่อการร้ายในบริบทใหม่ที่มีลักษณะข้ามพรมแดน โดยอาศัยอินเตอร์เน็ตเป็นตัวเผยแพร่แนวคิดอุดมการณ์ สุรชาติอธิบายย้อนกลับไปยังกลุ่มก่อร้ายอัลกออิดะห์ว่า
“การก่อตัวขององค์กรติดอาวุธชุดนี้เกิดบนบริบทที่การสื่อสารเป็นสมาร์ทหมายความว่าการสื่อสารไม่จำเป็นต้องทำในวิธีเก่าในทางทหาร แต่เราจะเริ่มเห็นคนที่เริ่มออกมาปฏิบัติการอย่างกรณีขับเครื่องบินพุ่งชนตึก วันนี้อาวุธไม่ใช่เครื่องบินทิ้งระเบิด เครื่องบินโดยสารพลเรือนกลายเป็นอาวุธที่น่ากลัวที่สุด ในบริบทแบบนี้โจทย์ก่อการร้ายเริ่มเปลี่ยน”
แต่การเคลื่อนไหวของอัลกออิดะห์เริ่มแผ่วลงหลังจากสหรัฐฯ เข้าไปล้มรัฐบาลตาลีบันในแอฟกานิสถานและอิรัก แต่ปัญหาไม่จบ ทั้งยังนำพาอัลกออิดะห์ในอิรักให้ตัดสินใจขับเคลื่อนเอง ประกาศตัวเป็นรัฐอิสลามไม่ได้อยู่ภายใต้โครงสร้างอัลกออิดะห์แบบเดิม สิ่งที่โลกกำลังเห็นคือการกำเนิดของขบวนชุดใหม่ ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างไปคือ การไม่รู้ว่าคนที่ปฏิบัติการเป็นไอเอสหรือไม่
หลังเหตุการณ์การก่อการร้ายหลายจุดในปารีสในปี 2557 ลักษณะการก่อการร้ายเริ่มมีลักษณะเป็น Lone Wolf หรือหมาป่าตัวเดียว หมายความว่ามีคนที่เปิดรับอุดมการณ์ผ่านอินเตอร์เน็ต กล่าวคืออินเตอร์เน็ตกลายเป็นเครื่องมือการจัดตั้งที่ใหญ่ที่สุดในภาษาซ้ายเก่า เกิดการปฏิบัติการแบบบุกเดียวหลายเหตุการณ์
“เราเริ่มเห็นปฏิบัติการของคนคนเดียว แล้วเป็นหมาป่าตัวเดียวที่ไม่ได้อยู่ในเครือข่ายหรือโครงสร้างขององค์กรขนาดใหญ่ ยุคหลัง 11 กันยา เป็นการปฏิบัติการที่อยู่ภายใต้เครือข่ายของอัลกออิดะห์ แต่โลกปัจจุบันเริ่มไม่ใช่ วันนี้ ผมกำลังสงสัยว่าเราอยู่ในยุค Post Paris Attack และการก่อการร้ายไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ฮาร์ด ทาร์เก็ต แต่เป็นซอฟต์ ทาร์เก็ตที่เป็นเป้าหมายเปิดหรือโจมตีในที่สาธารณะโดยไม่เลือกที่ เช่นกรณีมุมไบปี 2551 และก่อเหตุพร้อมกันหลายจุด”
สุรชาติกล่าวว่า ในบริบทเช่นนี้ คำถามจึงไม่ใช่ว่าจะเกิดเหตุการณ์หรือไม่ หรือจะเกิดเมื่อไหร่ เพราะคำตอบคือเกิดได้ทุกเวลา
“เราเริ่มเห็นการขยายความคิดของไอเอสเข้ามาในอาเซียนอย่างในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย โจทย์ชุดนี้เป็นโจทย์ที่ใหม่ที่สุดในมิติความมั่นคง แต่ก็มีการถกเถียงว่าคนคนเดียวปฏิบัติการไม่ได้ ถูกต้องครับ แต่นั่นหมายความว่าเรากำลังเจอหมาป่าคอกเดียว อย่างกรณีระเบิดรถไฟในกรุงมาดริด สเปน ที่ตอนแรกเชื่อว่าอัลกออิดะห์เป็นคนทำ แต่โดยข้อมูลระยะหลังเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นหมาป่าคอกเดียว คือรับอุดมการณ์แล้วตัดสินใจทำเองเป็นทีม ทีมพวกนี้ไม่อยู่ในเครือข่ายโครงสร้างองค์กรขนาดใหญ่
“กระบวนทัศน์สงครามขนาดใหญ่เปลี่ยนไปแล้ว โอกาสที่รัฐกับรัฐจะสู้รบกันก็เปลี่ยน แต่ความรุนแรงจะมาจากตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐที่สามารถทำสงครามกับรัฐได้ และกระบวนทัศน์นี้กำลังเปลี่ยนชีวิตของพวกเรา โลกทั้งโลกคือสนามรบ และสงครามในศตวรรษที่ 21 พื้นที่ในการรบอยู่ในเมือง”
ขณะเดียวกัน ผู้ปฏิบัติการก็มีอายุน้อยลง มีความรู้ และเป็นชนชั้นกลาง กลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการปฏิบัติ แตกต่างจากทฤษฎีเดิมที่ว่าคนจนเข้าร่วมสงครามปฏิวัติ และเงื่อนไขการก่อการร้ายผูกโยงกับศาสนา ชุมชน ชาตินิยม ที่ผสมผสานเป็นเรื่องเดียว ไม่ได้แยกขาดจากกันอีกต่อไป บริบทเช่นนี้ทำให้การก่อการร้ายกลายเป็นสัญลักษณ์เชิงอัตลักษณ์ของคนที่ตัดสินใจแสดงออก
เมื่อกล่าวถึงความพร้อมของไทยในการรับมือกับภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่นี้ สุรชาติ อธิบายว่า
“ถ้าเราเห็นตัวแบบการทำงานด้านความมั่นคง พอสถานีรถไฟในอังกฤษถูกระเบิด ตำรวจสก็อตแลนด์ยาร์ดเอาผ้าขาวขึงปิดพื้นที่ทั้งหมด ไม่มีใครเห็นอะไรเลย แต่ของเราระเบิดราชประสงค์ วันรุ่งขึ้นฉีดน้ำทิ้งหมดเลย พร้อมไม่พร้อมท่านตอบเอง โจทย์พวกนี้ไม่ใช่เพียงความซับซ้อนเท่านั้น โจทย์แบบนี้ ความพร้อมในเครื่องหมายคำถามที่ใหญ่ที่สุด ถามว่าพร้อมแค่ไหน ยังไม่ใช่คำถามสำคัญเท่ากับตระหนักรู้หรือไม่”

มีชัยซัด7ข้อแย้งของปชต.ใหม่ ไม่ตรงความจริง ขู่เจอบิดเบือนแจ้งกกต.สอยแน่

“มีชัย” ชี้ 7 ข้อไม่รับร่าง รธน.ของกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ ไม่ตรงความจริง ลั่นหากพบบิดเบือนพร้อมแจ้ง กกต.สอย
เมื่อเวลา 13.50 น. วันที่ 8 กรกฎาคม ที่รัฐสภา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะให้ กรธ.ช่วยพิจารณาหากพบกลุ่มบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญว่า ถ้ามอบให้เราทำก็จะทำ แต่ กกต.ต้องช่วยดูในเรื่องของกฎหมายเพราะเป็นหน้าที่โดยตรงของ กกต. ซึ่งหากประเด็นไหนที่ กกต.ไม่แน่ใจก็ถามเรามาได้ จะช่วยดู ส่วนเรื่องที่กลุ่มประชาธิปไตยใหม่เคยให้ 7 เหตุผลที่ไม่ควรรับร่างรัฐธรรมนูญนั้น ตอนนี้ กรธ.กำลังพิจารณาเรื่องนี้ แต่บางทีก็ฟังเหมือนไม่มีเหตุผล โดยไม่ใช้ข้อมูลแต่เป็นการมุ่งมั่นพูดให้ไม่ตรงกับความจริงที่จะเป็น ฟังดูเหมือนบิดเบือนเหตุผลชอบกล
เมื่อถามว่า ถ้าตรวจสอบพบว่ามีการบิดเบือน หรือเป็นเท็จจะดำเนินคดีหรือไม่ นายมีชัยกล่าวว่า ต้องดูเป็นเรื่องๆ ถ้าเรื่องไหนไม่บิดเบือนก็ปล่อยไป ถือว่าเป็นการใช้สิทธิแสดงความคิดเห็น แต่ถ้าหากพบว่าบิดเบือนความจริงให้เป็นเท็จ อย่างนั้นจะต้องดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย เพราะกังวลว่าจะทำให้ประชาชนเข้าใจผิด เราต้องพยายามพูดความจริง ถ้าเห็นว่าอะไรที่มีการโน้มน้าวใจ เข้าข่ายผิดกฎหมายก็จะบอกไปยัง กกต. ทั้งนี้ กรธ.จะพยายามชี้แจง ถ้าพบว่าประชาชนไม่เข้าใจก็จะพยายามชี้แจงอธิบายให้ครบถ้วน ขณะนี้ความไม่เข้าใจไม่ได้เกิดแค่กับประชาชน แต่นักวิชาการหลายคนก็ให้ความเห็นในลักษณะที่ไม่เข้าใจ ตนก็ไม่ว่าอะไร
เมื่อถามว่า จะทำเอกสารชี้แจงให้ประชาชนหรือไม่ นายมีชัยกล่าวว่า ก็ต้องปรึกษาดูว่าจะทำอย่างไร แบบไหน ตอนนี้เราไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้มากกว่านี้ นอกจากนี้ยังได้ประสานไปยังสถาบันการศึกษา หากที่ไหนพร้อมเราก็พร้อมที่จะไปชี้แจง ตอนนี้ กรธ.วุ่นไปหมด เนื่องจากหน่วยงานต่างๆ มีความกระตือรือร้น ติดต่อเข้ามาขอให้ กรธ.ไปชี้แจงเป็นจำนวนมาก เราทุกคนก็แบ่งหน้าที่กันไป ส่วนจะมีการเปิดเวทีใหญ่ของ กรธ.ก่อนวันประชามติหรือไม่นั้น คิดว่าคงทำได้เฉพาะจุด และหวังว่ารายการโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจของ กกต.จะช่วยได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามไม่ได้กังวลผลตอบรับ แต่กังวลการทำหน้าที่ของ กรธ.ว่าจะทำอย่างไรให้ครบถ้วน แต่ถ้าเราทำสุดความสามารถทุกอย่างก็ถือว่าเต็มที่แล้ว

ลั่นกลองรบ! สนช.ฝ่าย'ประวิตร'VS'บิ๊กตู่'สงครามเลือกผู้ตรวจฯเปิดฉากแล้ว

ลั่นกลองรบ! ล้วงกลยุทธปม กก.สรรหาฯชง ‘เรวัต’ นั่งเก้าอี้ผู้ตรวจฯ เปิดฉากสงคราม สนช.สาย 'บิ๊กป้อม' vs 'บิ๊กตู่' ฝ่ายค้านงัดไม้เด็ดให้เขียนโหวตในกระดาษแทนกดบัตรป้องกันถูกกาหัว
PIC sntchdd 8 7 59 1
กลายเป็นประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันร้อนแรงที่สุดในห้วงเวลานี้ในหมู่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
สำหรับกรณีคณะกรรมการสรรหาผู้ตรวจการแผ่นดิน เสนอชื่อ ‘หมอเรวัต วิศรุตเวช’ อดีตอธิบดีกรมการแพทย์ เข้ามานั่งเก้าอี้ผู้ตรวจการแผ่นดินซ้ำสอง !
เนื่องจากก่อนหน้านี้คณะกรรมการสรรหาฯชุดดังกล่าวเคยเสนอชื่อ นพ.เรวัต ไปแล้ว แต่ปรากฏว่าไม่ได้รับเสียงข้างมาก คือ เห็นชอบ 66 ไม่เห็นชอบ 66 และงดออกเสียง 24 จากผู้เข้าร่วมประชุม 156 คน (แต่ สนช. มีทั้งหมด 218 คน) ทำให้ไม่ได้รับเลือกเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน
แต่ ‘หมอเรวัต’ ไม่ยอมแพ้ กลับเข้ามาสมัครอีกครั้ง และคณะกรรมการสรรหาฯชุดเดิม ก็เลือกให้นั่งเก้าอี้ตัวนี้อีกหน !
ท่ามกลางข้อครหา-กังขาจากบรรดา สนช. หลายคนว่า ทำไมจึงมีการเสนอชื่อบุคคลที่ สนช. มีมติเห็นชอบไปแล้วกลับมาได้อีก ซึ่งในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาแทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 
ขณะที่มีเสียงซุบซิบกันสนั่นสภาว่า ‘หมอเรวัต’ มี ‘แบ็คใหญ่’ ระดับ ‘บิ๊กในสภา-บิ๊กทหาร’ คอยหนุนหลังอยู่ ?
นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องที่เคยเป็น ‘เด็กฝาก’ ของ ‘อดีตนักการเมืองหญิงชื่อดัง’ รายหนึ่งที่ปัจจุบันปรากฏบนหน้าสื่ออยู่เนือง ๆ ซึ่งว่ากันว่า อดีตนักการเมืองหญิงรายนี้เป็นคนฝากชื่อ ‘หมอเรวัต’ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของ ‘บิ๊ก คสช.’ รายหนึ่ง ซึ่งทั้งคู่เคยมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่สมัยอดีตนักการเมืองหญิงรายนี้ยังรุ่งเรืองอยู่
และด้วยเหตุผลนี้เองจึงทำให้ 'บิ๊ก คสช.' ถอยไม่ได้ ?
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า มีความพยายามจาก ‘บิ๊ก คสช.’ ที่ต้องการผลักดันให้ พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ (เรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 รุ่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์) เข้ามา ‘คุมหัวโต๊ะ’ กมธ.ตรวจสอบประวัติฯ ‘เคลียร์ทาง’ ให้ ‘หมอเรวัต’ โดยสาเหตุสำคัญที่ใช้ พล.อ.ยอดยุทธ เพื่อเป็นการ 'อ้าง' ต่อ กมธ. ในทำนองว่าเป็น 'สายตรง' จาก 'บิ๊กตู่' ?
ทว่าท้ายสุดเจอเพื่อน ๆ ก๊วนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 เช่นกัน ได้เรียกไปพบและตักเตือน พล.อ.ยอดยุทธ จึงต้องยอมหลบฉากถอยออกมาในที่สุด
นอกจากนี้ กมธ.ตรวจสอบประวัติฯ บางคนก็ ‘ขัดขืน’ ไม่ยอมเดินตามเกมดังกล่าว โดยมี สนช. อย่างน้อยตอนนี้ 2 รายแล้ว ที่ขอลาออกจากการเป็น กมธ.ตรวจสอบประวัติฯ ได้แก่ นายศักดิ์ชัย ธนบุญชัย และนางนิพัทธา อมรรัตนเมธา โดยมี พล.อ.เลิศฤทธิ์ เวชสวรรค์ และนายปรีชา วัชราภัย เข้าไปเป็น กมธ. แทน
แหล่งข่าวจาก สนช. เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงกรณีนี้ว่า ในการโหวตเลือกผู้ตรวจการแผ่นดินครั้งนี้ แบ่ง สนช. ออกเป็น 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายสนับสนุน ฝ่ายคัดค้าน และฝ่ายพลังเงียบ
โดยฝ่ายสนับสนุน ส่วนใหญ่คือ สนช. สายทหารที่อาจเรียกได้ว่ามีความสัมพันธ์หรือสนิทสนมระดับหนึ่งกับ ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พี่ใหญ่ 'บูรพาพยัคฆ์' รวมไปถึงบรรดา ’28 สนช.เกรียน’ บางคน ที่เคยยื่นเรื่องฟ้องศาลปกครอง ขอให้ สนช. ไม่ได้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน ทว่ากลับถูกศาลฯ ‘สอนหน้าที่’ กลับมา จนท้ายสุดต้องปฏิบัติตามมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินจนได้
สำหรับรายชื่อ 28 สนช. ดังกล่าว ได้แก่ 1.พล.อ.นพดล อินทปัญญา อดีตเลขานุการ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สมัยดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม 2.พ.ต.ท.พงษ์ชัย วราชิต 3.นายสุธรรม พันธุศักดิ์ 4.นายสรณ บุญใบชัยพฤกษ์ 5.นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน 6.พล.อ.ไพโรจน์ พานิชสมัย อดีตนายทหารคนสนิท (ทส.) พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ 7.นายชัชวาล อภิบาลศรี อดีต ส.ว.สรรหา 8.พล.ต.อ.พิชิต ควรเตชะคุปต์ อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) สมัย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็น ผบ.ตร. 9.นายประมุท สูตะบุตร อดีตผู้อำนวยการ อสทม คนแรก สายสัมพันธ์เครือญาติคู่สมรสนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 10.พล.อ.จิรพงศ์ วรรณรัตน์ อดีตประธานที่ปรึกษากองทัพบก
11.พล.อ.ไตรรัตน์ รังคะรัตน ผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้า เตรียมทหารรุ่นที่ 10 (รุ่นเดียวกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ. และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) 12.นายธำรง ทัศนาญชลี อดีต ส.ว.สรรหา 13.นางสุวิมล ภูมิสิงหราช อดีตเลขาธิการวุฒิสภา 14.พล.อ.ชยุติ สุวรรณมาศ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองบัญการกองทัพไทย 15.นายศรีศักดิ์ ว่องส่งสาร 16.พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อดีตประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก สนิทสนมกับ พล.อ.ประวิตร 17.นายอนุวัฒน์ เมธีวิบูลวุฒิ อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย 18.พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) 19.พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. น้องชาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ 
20.พล.อ.เลิศฤทธิ์ เวชสวรรค์ อดีต ส.ว.สรรหา 22.พล.อ.โสภณ ศีลพิพัฒน์ อดีตเสนาธิการทหารบก 22.พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพานิชย์ นายตำรวจคนสนิท ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ จบเตรียมนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 25 (รุ่นเดียวกับ พล.ต.อ.พัชรวาท) 23.พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) 24.พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ อดีต ผบ.หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก (นปอ.) เตรียมทหารรุ่นที่ 12 (รุ่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี) 25.พล.อ.ยุวนัฏ สริยกุล ณ อยุธยา อดีต ผบ.กองอัยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เตรียมทหารรุ่นที่ 12 (รุ่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์) 26.นายธานี อ่อนละเอียด อดีต ส.ว.สรรหา 27.พล.อ.คณิต สาพิทักษ์ อดีตประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม อดีตแม่ทัพภาคที่ 1 28.พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.)
สำหรับฝ่ายคัดค้านส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มอธิการบดี-นักวิชาการ กลุ่มพลเรือน บางส่วนของกลุ่ม ’40 ส.ว.’ และบรรดาทหารที่เรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 หลายคน (รุ่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ และหลายคนมีสัมพันธ์ใกล้ชิด หรือสนิทสนมกับ 'บิ๊กตู่') 
ส่วนที่เหลือเป็นฝ่ายพลังเงียบ คือกลุ่มนักวิชาการ-กลุ่มอดีตข้าราชการ ที่ยังไม่ตัดสินใจ หรือบางคนเลือกแล้วแต่ไม่กล้า ‘เปิดหน้าสู้’ เป็นต้น
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ กรณีนี้ทาง สนช. จะไม่มีการหารือถกกันเหมือนกับกรณีการลงมติในเรื่องอื่น ๆ เพราะมีปัญหาเยอะ จึงปล่อยให้แต่ละคนโหวตกันอย่างอิสระ ตัดสินใจกันเอาเอง ซึ่งคล้าย ๆ กับกรณีลงมติไม่ถอดถอนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา ที่มีคะแนนเสียงออกมาก้ำกึ่งกันแต่ห่างกันไม่มากนัก
แต่บรรดา สนช. ฝ่ายคัดค้าน ‘หมอเรวัต’ มี ‘ไม้เด็ด’ อยู่คือ เตรียมจะเสนอต่อที่ประชุม สนช. เพื่อขอให้การโหวตดังกล่าวใช้การเขียนชื่อลงในกระดาษ แทนที่จะใช้บัตรเสียบโหวตเหมือนกรณีอื่น ๆ 
ซึ่งตรงนี้จะส่งผลดีคือบรรดา ‘ฝ่ายพลังเงียบ’ กล้าตัดสินใจ เนื่องจากการเขียนลงในกระดาษ ไม่ได้ทิ้งร่องรอยหรือหลักฐานอะไรไว้ว่าใครเป็นเขียน ซึ่งแตกต่างจากกรณีการเสียบบัตรลงมติ แม้จะเป็นการลงมติลับก็ตาม แต่ก็ยังปรากฏชื่ออยู่ในระบบว่าใครเป็นคนโหวตแบบไหนบ้าง
นัยว่าเป็นการป้องกันถูก ‘กาหัว’ จาก ‘บิ๊ก คสช.’ ที่อาจไม่พอใจ หากโหวตสวนทางกับธงที่ตั้งไว้ได้ ?
ไม่ว่าข้อเท็จจริงทั้งหมดจะเป็นเช่นไร แต่อาจเรียกได้ว่า สงครามระหว่าง สนช. ฝ่าย 'บิ๊กป้อม' VS สนช. ฝ่าย 'บิ๊กตู่' ได้เปิดฉาก-ลั่นกลองรบขึ้นแล้ว ! 
และหากยังบานปลายหาบทสรุปไม่ได้ ก็อาจเป็นชนวนนำไปสู่การล่มสลายของ สนช. ทั้งหมดได้ ไม่ช้าก็เร็ว ?

รุ่นพี่นักกิจกรรมพฤษภา 35 จับมือร่วมงานบายศรีสู่ขวัญ 7 นักรณรงค์ประชามติ

รุ่นพี่นักกิจกรรมพฤษภา 35 จับมือร่วมงานบายศรีสู่ขวัญ 7 นักรณรงค์ประชามติ ตัวแทนคนเดือนพฤษภาชี้ น้องๆ กำลังสะสางบาดแผลแทนพวกเรา
8 ก.ค. 2559 เวลา 14.30 น. ที่อาคารองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ภาคีนักกิจกรรมมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้จัดงาน บายศรีสู่ขวัญ วันรับเพื่อนเรา เพื่อเป็นการต้อนรับ 7 นักรณรงค์ประชามติที่ถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ หลังจาก ถูกจับกุมคุมขัง เนื่องจากแจกใบปลิวรณรงค์ประชามติ และเอกสารความเห็นแย้งต่อร่างรัฐธรรมนูญ โดยงานวันนี้มีเครือข่ายนักกิจกรรมพฤษภา 35 เข้าร่วมพิธีบายศรีด้วย
"หลายคนสงสัยว่าทำไมเราถึงไม่ประกันตัว พวกเราต้องการอิสรภาพแต่เราต้องการความยุติธรรมด้วย"
รังสิมันต์ โรม กล่าวหลังจากระบุว่า ระหว่างที่ตนเองอยู่ในเรือนจำนั้นได้มีโอกาสคุยกับนักโทษคนอื่นหลายคน ต้องการประกันตัวออกไปแล้วหลายคนต้องการการอภัยโทษซึ่งนั่นทำให้คนข้างในแปลกใจที่พวกตนทั้ง 7 คนเลือกที่จะไม่ประกันตัว
ด้าน นันท์พงษ์ ปานมาศ ระบุว่ารู้สึกยินดีที่คนรุ่นพฤษภา 35 มาร่วมงานในวันนี้ เนื่องจากสิ่งที่คนรุ่นหนังต่อสู้ก็ไม่ต่างจากสิ่งที่คนรุ่นนี้กำลังต่อสู้อยู่
ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข ตัวแทนเครือข่ายนักกิจกรรมพฤษภา 35 กล่าวด้วยว่า บาดแผล ของคนรุ่นพฤษภา 35 ยังเป็นปัญหาที่สะสางไม่เสร็จและได้ส่งต่อมาที่น้องๆ แก้ปัญหาต่อไป ตนรู้สึกว่า คนรุ่นเรายังทำอะไรกันน้อยไป เพราะหากมองถึงบริบททางการเมืองในช่วงพฤษภา 35 กับสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันมีความคล้ายคลึงกันมาก แต่สิ่งที่คนร่วมพฤษภา 35 ทำในตอนนี้ถือว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับน้องน้องทั้ง 7 คน
"รามคำแหงเป็นที่มั่นสุดท้ายของการเรียกร้องประชาธิปไตยปี 35 ผมอยากฝากถึงพี่น้องรามคำแหง หากเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน การทำให้มันถูกต้องคือ ภารกิจของทุกคน" ชูวัสกล่าว
ด้าน นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ รุ่นพี่นักกิจกรรมมหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวด้วยว่า สิ่งที่สำคัญสำหรับตอนนี้คือการมองข้ามการเมืองเรื่องสีเสื้อและต้องมองให้เห็นถึงปัญหาความอยุติธรรมที่จริง ซึ่งยุคสมัยนี้เป็นยุคที่ทุกสิ่งดูเงียบงัน แต่ยังเห็นน้องๆ 7 คน เอาออกมาสู้เพื่อความเป็นธรรม

จลาจลสงครามผิวสีในสหรัฐกำลังเดือด

จลาจลสงครามผิวสีในสหรัฐกำลังเดือดม็อบผิวสีเดินขบวนในหลายเมืองประท้วงตำรวจจ่อยิงคนดำไม่มีอาวุธ ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกยิงตาย 4 นายที่ดัลลาส รัฐเท็กซัส
--------------
- 6 ก.ค.59 เจ้าหน้าที่ตำรวจสหรัฐสองนายได้ทำการสังหารนาย Alton Sterling ชายผิวดำชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน จากการปลุกปล้ำกันบนถนนและตำรวจได้ใช้อาวุธปืนยิงนาย Alton Sterling เข้าที่หน้าอกสองนัด 2-4 นัด เจ้าหน้าที่บอกว่านาย Alton Sterling เสียชีวิตจากการถูกยิงบริเวณหน้าอกและจากด้านหลัง โดยตำรวจบอกว่าเขามีอาวุธปืน แต่จากคลิปที่พยานในที่เกิดเหตุถ่ายเอาไว้ได้ ไม่พบว่าผู้ต้องสงสัยมีอาวุธปืนแต่อย่างใด ได้มีการเผยแพร่คลิปดังกล่าวไปในโลกโซเชียลอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่ Triple S Food Mart ในเมือง Baton Rouge รัฐ Louisiana ประเทศสหรัฐอเมริกา

- 7 ก.ค.59 RT news รายงานอีกว่า เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจสหรัฐยิงชายผิวสีอีกหนึ่งคนชื่อ Philando Castile อายุ 32 ปี ที่เมือง Falcon Heights, Ramsey County รัฐ Minnesota ในขณะที่ Philando Castile กำลังขับรถไปกับแฟนสาวของเขาพร้อมด้วยลูกสาววัย 4 ขวบ ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกให้จอดรดเพื่อขอดูใบขับขี่ เขาก็กำลังจะล้วงกระเป๋าสตังค์เพื่อหยิบใบขับขี่ให้ตำรวจ แต่เขาก็แจ้งกับตำรวจว่าเขามีอาวุธปืนด้วย และก็มีใบอนุญาตให้พกอาวุธปืนได้ด้วย จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็แสดงอาการกังวลใจและยิงปืนใส่เขา 4 นัด ม่องเท่งคาที่ แฟนสาวของเหยื่อกล่าว

- 7 ก.ค.59 มีประชาชนชาวอเมริกันทั้งผิวขาวและผิวดำออกมาเดินขบวนประท้วงในจุดที่มีการสังหารนาย Philando Castile และไปรวมตัวกันที่หน้าบ้านพักของผู้ว่าการรัฐ Minnesota เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าสกัดกั้นฝูงชนด้วยแก๊สน้ำตาจนนำไปสู่ความอลวนวุ่นวาย ได้มีการอพยพผู้ว่าการรัฐออกจากที่พักของเขาเนื่องจากมีฝูงชนออกมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้ตาย

- 7 ก.ค.59 ประชาชนชาวอเมริกันหลายพันคนออกมารวมตัวกันเดินขบวนประท้วงในนครนิวยอร์กเนื่องจากตำรวจยิงนาย Sterling และนาย Castile จนเสียชีวิตทั้งสองคน มีการปิดการจราจร เนื่องจากประชาชนจำนวนมากเรียกร้องความยุติธรรมให้กับ Alton Sterling และ Philando Castile การประท้วงเริ่มต้นขึ้นที่ Union Square กลุ่มผู้ประท้วงกล่าวสโลแกน Black Lives Matter

- 7 ก.ค.59 RT news รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมกลุ่มผู้ประท้วงหลายสิบคนที่ลงไปเดินขบวนประท้วงในท้องถนน Big Apple ในนิวยอร์ก

- 8 ก.ค.59 RT news รายงานว่า การประท้วงที่ Dallas (เท็กซัส) ได้นำไปสู่ความรุนแรง มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นายถูกสังหารและได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก 2 นาย มีเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกยิงทั้งหมด 11 นาย กรรม!

- 8 ก.ค.59 Sputnik news รายงานว่า หนึ่งในสองสไนเปอร์ที่ลอบยิงตรวจ 11 นายและเสียชีวิต 1 นายที่ดัลลาสกล่าวว่า มีระเบิดระเบิดทั่วตัวเมือง ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นมือปืนซุ่มยิงอีกคนที่ตำรวจกำลังเจรจาอยู่ในขณะนี้ซ่อนตัวอยู่ในวิทยาลัย El Centro นักข่าวท้องถิ่นรายงานว่าได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นหนึ่งนัดจากโรงรถ คาดว่าน่าจะเป็นระเบิดแสง (flash bang grenade) ที่ใช้โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจในการพยายามบุกเข้าจับกุมผู้ต้องสงสัย มือสังหารถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้แล้วหนึ่งคน

ถ้าชัดจะไม่สับสน!!! ย้อนทวนจุดยืน"นายกฯตู่" กรณี"สมเด็จช่วง"

ถ้าชัดจะไม่สับสน!!! ย้อนทวนจุดยืน"นายกฯตู่" กรณี"สมเด็จช่วง"ถ้าไม่พ้นมลทินก็ทูลเกล้าเป็นสังฆราชไม่ได้??

2016-07-08 12:51:56

      หนึ่งประเด็นร้อนในวงการสงฆ์นับจากนี้อีกหนึ่งปมประเด็นก็คือการที่คณะกรรมการกฤษฎีกา  ยืนยันว่าได้พิจารณามาตรา 7 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535  ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน มีความเห็นและส่งหนังสือมายังรัฐบาล เพื่อสอบถามว่ามติที่ประชุมมหาเถรสมาคมที่เสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เป็นสมเด็จพระสังฆราชขัดกับ มาตรา 7 พ.ร.บ.คณะสงฆ์หรือไม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ???

      เพราะกรณีนี้ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรในมุมมองของคณะกรรมการกฤษฎีกาก็คือมิติของความขัดแย้งทั้งสิ้น  ทั้งกับกรณีที่ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นด้วยกับการแนวทางแต่งตั้งสมเด็จช่วงเป็นพระสังฆราชโดยยึดตามมติมส.หรือมีข้อสรุปว่าเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็จะมีอีกฝ่ายออกมาคัดค้าน  ???

      กับมุมมองดังกล่าว สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม  ผู้อำนวยการสนข.ทีนิวส์  ให้ความเห็นว่า  ถึงแม้   นายดิสทัต โหตระกิตย์  เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา     ยืนยันว่าเรื่องนี้มีการพิจารณากัน
เสร็จสิ้นแล้ว และจะส่งเรื่องไปให้ นายสุวพันธุ์ ตันยุวัฒนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้เปิดเผยรายละเอียดต่อไป   เพราะในฐานะของคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่สามารถเปิดเผยได้  แต่เชื่อว่าคำตอบนั้น น่าจะเป็นทางออกให้กับสังคม ...แท้จริงแล้วไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น !!!

     ในทางตรงข้ามโดยข้อเท็จจริงแล้วสิ่งที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกานำเสนอนั้นเป็นเรื่องที่อาจสร้างความเข้าใจผิดได้   ถ้าไม่มีคำอธิบายอย่างถูกต้องเข้าใจแก่ผู้รับสารอย่างครบถ้วน  เพราะกรณีนี้จุดหลักใจความไม่ได้อยู่แค่ใครจะมีอำนาจหน้าที่เสนอชื่อว่าที่สมเด็จพระสังฆราช ระหว่างมส.หรือนายกรัฐมนตรี  เพราะกรณีของสมเด็จช่วงวันนี้ประเด็นปัญหาอยู่ที่คดีความเบนซ์ฉาวซึ่งติดตัวสมเด็จช่วง     มาตั้งแต่ก่อนหน้าที่พล.อ.ประยุทธ์จะเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.

     และถ้าจะให้ยิ่งชัดก็ต้องย้อนกลับไปดูท่าทีของพล.อ.ประยุทธ์  ซึ่งไม่เคยตั้งแง่จะเป็นผู้มีอำนาจเสนอชื่อพระสังฆราชให้เกิดข้อขัดแย้งใด ๆ หรือแม้แต่แสดงความเห็นในเชิงคัดค้านสาระสำคัญที่กำหนดไว้ในมาตรา 7  ว่าด้วยเนื้อสาระที่กำหนดไว้ดังนี้

       “   มาตรา 7  พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง   ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง  ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จ
พระราชาคณะ ผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯ  เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
     ในกรณีที่สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้  ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะรูปอื่นผู้มีอาวุโสโดย
สมณศักดิ์รองลงมาตามลำดับ  และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช”

     ในทางตรงข้ามหลักใหญ่ใจความที่ถือเป็นจุดยืนของพล.อ.ประยุทธ์ ก็คือ  สิ่งที่พูดมาตั้งแต่ต้น  “การเสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เป็นสมเด็จพระสังฆราช ผิดขั้นตอนว่า ผิดถูกอย่างไรตนไม่ทราบ เรื่องดังกล่าวเป็นการตีความด้านกฎหมายต้องศึกษาดูก่อน ตนยังไม่เห็นหนังสือจากผู้ตรวจฯ รวมทั้งยังไม่เห็นหนังสือเสนอชื่อสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่จาก มส.หรือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เพราะขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการตรวจสอบความถูกต้อง ต้องคำนึงถึงกฎหมายของประเทศ ไม่ใช่นำกฎหมายฉบับต่างๆมาตีกันไปมา คนในประเทศไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือพระสงฆ์ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย วันนี้ความขัดแย้งค่อนข้างสูง ซึ่งเมื่อใครส่งความเห็นมา เราก็พิจารณาแล้วส่งฝ่ายกฎหมายเข้าไปตรวจสอบ ทุกอย่างไม่
อยากให้มองว่าเป็นธรรมหรือไม่ แต่ต้องมองว่าทำถูกกฎหมายหรือไม่ ในเมื่อมีคนร้องเรียนต้องมีการตรวจสอบ ซึ่งต้องดูเป็นคดีๆไป อย่ากล่าวอ้างว่าทำคดีหนึ่งเพื่อให้คดีหนึ่งถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง
เพราะถือเป็นคนละเรื่อง”

      พล.อ.ประยุทธ์ ขยายความให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ  เมื่อถูกถามว่าการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ต้องรอให้คดีความต่างๆเรียบร้อยก่อนใช่หรือไม่ ??

       “ควรจะเป็นอย่างนั้นมั้ย ก็เหมือนกับการตั้งทหาร ตำรวจ ถ้าตั้งคนที่ไม่ได้รับความเห็นชอบร่วมกัน มีคดีความก็ตั้งไม่ได้ อย่างไรก็ตั้งไม่ได้ ไม่ใช่ว่าคนนี้จะถูกปลดอยู่แล้วเลยต้องตั้งตามนั้น ไม่ใช่ เพราะต้องตรวจสอบว่ามันใช่หรือไม่ใช่ วันนี้ทุกกระทรวงเสนอคนเข้ามาผมยังตรวจสอบเลย ถ้าผมเช็กแล้วคนนี้เป็นอย่างนี้ก็ส่งกลับไป มันตั้งให้ไม่ได้ เขาต้องไปเคลียร์ตัวเขามาสิ ผมยังไม่ได้ว่าใครผิดใครถูกทั้งสิ้น เป็นเรื่องของกฎหมาย กฎหมายเป็นกลไกการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ไม่ใช่ใช้ความรู้สึกตัดสินกันเอง ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง ฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ไปกันใหญ่ก็ไม่จบสักเรื่อง หลายคนบอกว่าบ้านเมืองสงบแล้ว แล้วสงบหรือยัง คิดว่าจะแก้กันเมื่อไหร่รัฐบาลหน้าทำได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะทุกวันนี้ทุกคนเอามาตีกันหมดทั้งการเมือง ประชามติ รัฐธรรมนูญ อนาคตปฏิรูปการศึกษา มันได้ไหมเล่า มันเกิดมากี่ปีแล้ว ปัญหาหลายปัญหา”

      โดยบริบทของคำตอบในคำถามนี้ แปลความก็คือข้อวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ใช่ประเด็นปัญหาในมุมมองของพล.อ.ประยุทธ์ แต่ข้อกล่าวหาต่อสมเด็จช่วงต่างหากที่พล.อ.ประยุทธ์
ยึดถือเป็นหลักการจะพิจารณาว่าสมควรจะทูลเกล้าชื่อพระเถระรูปใดเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่  ไม่ใช้กระบวนการตีความว่าใคร ผู้ใด คือผู้มีอำนาจเสนอชื่อว่าที่พระสังฆราชที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเชื่อว่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสม  แต่แท้จริงแล้วนั่นน่าจะกลายเป็นปมความขัดแย้งปมใหม่มากกว่าถ้าเร่งรีบ เร่งร้อนจนขาดความรอบคอบ ???

ที่มา : http://deeps.tnews.co.th/contents/195118/

สหรัฐป่วนม็อบประท้วง2ชายผิวสีถูกตร.ฆ่าบานปลายมือปืนซุ่มยิง11ตำรวจดับ5เจ็บ6

       สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าเกิดเหตุการณ์ประท้วงขึ้นที่ ย่านดาวน์ทาวน์ดัลลัส รัฐเทกซัส สหรัฐฯอเมริกา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าเกิดกลุ่มผู้ประท้วงไม่พอใจจากกรณี การเสียชีวิตของ 2 แอฟริกันอเมริกัน บาตัน โรก(Baton Rouge) ในรัฐลุยเซียนา และฟิแลนโด แคสทิล( Philando Castile) ในรัฐมิเนโซตา ที่เสียชีวิตด้วยฝีมือของตำรวจสหรัฐฯภายในสัปดาห์นี้
       โดยในระหว่างที่เกิดเหตุการณ์วุ่นวายอยู่นั้นได้มีการยิงประทะกันหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับกลุ่มมือปืนสไนเปอร์ซึ่งหลังจากเกิดการยิงปะทะพบตำรวจ 11นายถูกยิง มี 5 นายเสียชีวิต บาดเจ็บ 6 คน รายงานระบุว่า หัวหน้าตำรวจดัลลัส ได้แถลงว่า เชื่อว่ามีผู้ก่อเหตุ 4 คนโดยพบว่ามีมือปืนสไนเปอร์อย่างน้อย 2 คนซุ่มยิงตำรวจดัลลัส โดยมือปืนยิงลงมาจากตึกลานจอดรถย่าน เอล เซนโตร (El Centro)  ซึ่ง 1 ใน 5 ของนายตำรวจดัลลัสที่เสียชีวิตคือ เบรนต์ ธอมสัน(Brent Thompson) เป็นตำรวจประจำรถไฟเมโทรดัลลัส DART วัย 43 ปี และส่วนอีก 4 นายที่เสียชีวิตในขณะปฎิบัติหน้าที่ล้วนมาจากสถานีตำรวจดัลลัสทั้งสิ้น
       ด้านตำรวจเชื่อว่ากลุ่มปฎิบัติการมีอย่างน้อย 4 คน ซึ่ง 3 คนถูกควบคุมตัวไว้แล้ว และ 1 ที่เหลือยังเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ ซึ่งอยู่ในระหว่างการเจรจาบริเวณชั้น 2 ของตัวตึกลานจอดรถ โดยรอยเตอร์ระบุว่า เป็นมือสไนเปอร์รายที่ 2 ที่แยกซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ เบื้องต้นมีรายงานที่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่า เหตุการณ์ได้สงบลงแล้ว

//////
เมืองดัลลัสสหรัฐฯตึงเครียด ม็อบประท้วงตำรวจยิง 2 ชายผิวสีบานปลาย มือลึกลับใช้สไนเปอร์ซุ่มยิงตำรวจคุมฝูงชนดับ 4  เจ็บ 7 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานสถานการณ์การชุมนุมของ ในเมืองดัลลัส รัฐเทกซัส สหรัฐฯ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่  ชายอเมริกันผิวสี 2 คนซึ่งถูกตำรวจยิงและทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต ว่า การประท้วงทวีความรุนแรง เมื่อมีตำรวจควบคุมฝูงชนถูกยิงถึง 11 นาย ในจำนวนนี้ เสียชีวิตแล้ว 4 นาย ซึ่งทางสำนักงานตำรวจเมืองดัลลัส คาดว่า เป็นฝีมือของสไนเปอร์หรือนักแม่นปืน 2 คน ที่คอยแอบซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดย สำนักงานตำรวจในเมืองดัลลัส ได้ทวีตข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ภาพของชาย ซึ่งถูกต้องสงสัยว่าเป็นสไนเปอร์คนหนึ่งที่แอบส่องยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ และระบุว่า นี่คือหนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่ยิงตำรวจ

ชาวอเมริกันในหลายรัฐได้ลุกฮือออกมาประท้วงเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ นายสเตอร์ริง ชายผิวสี วัย 37 ปี ซึ่งถูกตำรวจ 2 นายยิงเสียชีวิตที่เมืองบาตัน รูจ รัฐลุยเซียนา เมื่อวันอังคารที่ 5 ก.ค. และนายคาสไทล์วัย 32 ปี ในเมืองเซนต์ ปอล รัฐมินเนสโซตา ที่ถูกตำรวจลากตัวเขาลงมาจากรถและทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส กระทั่งเสียชีวิตในที่สุดเมื่อคืนวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยผู้ชุมนุมถือป้ายเรียกร้องให้ตำรวจหยุดการ‘วิสามัญฆาตกรรม’

ขณะที่ ประธานาธิบดีบารัก โอบามา กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสหรัฐฯ จำเป็นจะตัองปฏิรูปตนเองโดยเร็ว ขณะเดียวกัน ผู้นำสหรัฐฯ ได้เสนอการไว้อาลัยต่อครอบครัวผู้ขับขี่รถยนต์ผิวดำที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐมินนิโซตาสังหารชีวิต และกล่าวว่า สหรัฐฯ ได้กลายเป็นประเทศที่เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้หลายครั้งแล้ว
///////////

มีรายงานว่า สหรัฐกำลังเกิดวิกฤตการเลือกปฏิบัติต่อคนเพราะสีผิวอย่างต่อเนื่องต่อไป Alton Sterling และ Philando Castile จากรัฐ Louisiana และ Minnesota เป็น “ผิวดำ” สองคนที่ถูกตำรวจยิงตายโดยไม่มีเหตุผลชัดเจนภายในเวลาสองวัน

อัลทอนเป็นพ่อค้าขายซีดี มีใบอนุญาต เขายืนขายหน้าร้านสะดวกซื้อของคุณ Abdullah Muflahi เป็นประจำ เช้าวันอังคาร จู่ ๆ ตำรวจบุกเข้ามาชาร์จ กระแทกเขากับกระโปรงรถ คร่อมที่ขาคน คร่อมส่วนบนคน ลั่นไก 4 หรือ 6 นัดจนเสียชีวิตคาที่ ตำรวจอ้างภายหลังว่าได้รับแจ้งว่า อัลทอนเอาปืนขู่ใครบางคน แต่เจ้าของร้านซึ่งเป็นมุสลิมด้วยบอกว่าไม่เห็นอัลทอนทะเลาะกับใครก่อนหน้านั้น เขารู้จักอัลทอนดีและอนุญาตให้ยืนขายซีดีหน้าร้านของเขาได้ อัลทอนมีปืนในกระเปา แต่ไม่ได้ชักออกมา ท่าทางตำรวจก็ไม่ทราบว่าเขามีปืนในกระเป๋า (ตามที่คุณอับดุลเลาะห์บอก)

ส่วนกรณีของคุณฟิแลนโด โดนตำรวจทางหลวงโบกจอด ระหว่างที่เขาล้วงมือเข้ากระเป๋าจะเอาใบขับขี่ให้ดู ตำรวจคิดว่าจะล้วงปืนยิงใส่ 5 นัดตามที่เมียเขาบอก เสียชีวิตในภายหลัง แต่ระหว่างนั้นตำรวจยังถือปืนขู่เมียเขา ซึ่งมีลูกสี่ขวบนั่งด้านหลัง เมียเขา facebook live เป็นหลักฐานให้ชาวโลกเห็น ตำรวจยังปฏิบัติต่อเมียเขาราวกับเป็นอาชญากรร้ายแรง ทั้ง ๆ ที่ลูกเขาก็นั่งอยู่หลังรถนั่นแหละ

ทั้งสองคนเป็นติ่งเล็ก ๆ ของประชาชนพันกว่าคนที่ถูกตำรวจอเมริกันยิงตายในแต่ละปี หนึ่งในสามเป็นผิวดำ 97% ของตำรวจเหล่านี้ไม่ถูกดำเนินคดี นี่เกิดในยุคที่คนอเมริกันมีปธน.เป็นผิวดำด้วย น่าเศร้าใจมาก โอบามาบอกว่า “This is not just a black issue, not just a Hispanic issue. This is an American issue.” มันเป็น “ปัญหาของคนอเมริกันโดยรวม”

http://www.bbc.com/news/world-us-canada-36732908

ว่างงานสูงสุดในรอบ 5 ปี ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคลดต่อเนื่องเดือนที่6 คาดส่งออกติดลบ 2-2.5%


7 ก.ค.2559 ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนมิถุนายน 2559 พบว่า ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 มาอยู่ที่ระดับ 71.6  ซึ่งอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 25 เดือนนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2557 เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับผลการลงประชามติของสหราชอาณาจักรสนับสนุนการออกจากสมาชิกสหภาพยุโรป หรือ BREXIT ที่อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่ยังฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะจะมีผลกระทบต่อการส่งออกให้หดตัวลง
ธนวรรธน์  พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า แม้ขณะนี้สถานการณ์ BREXIT ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีผลกระทบมากน้อยแค่ไหน เบื้องต้นจะทำให้เม็ดเงินหายไปจากระบบเศรษฐกิจประมาณ  50,000 ล้านบาท จากการส่งออกที่คาดว่าปีนี้จะติดลบร้อยละ 2-0  ภาคการท่องเที่ยวและยังสร้างความกังวลต่อภาคอุตสาหกรรมส่งออก รวมถึงภาคธุรกิจบริการ  ซึ่งสะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำในปัจจุบันก็ปรับตัวลงต่ำสุดในรอบ 53 เดือน มาอยู่ที่ระดับ 55.4
นอกจากนี้  ตัวเลขการว่างงานจากสำนักงานสถิติแห่งชาติเดือนพฤษภาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 สูงสุดในรอบ 5 ปี ถือเป็นเพียงการชะลอการจ้างงานใหม่และเป็นสัญญาณการปลดคนงาน แต่ยังต้องเฝ้าระวัง โดยภาครัฐจะต้องเร่งขับเคลื่อนเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจจากการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษและการขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิตอล นอกจากนี้ ยังต้องเดินหน้าใช้มาตรการลดต้นทุนช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงที่สถานการณ์ภัยแล้งเริ่มคลี่คลาย ราคาสินค้าเกษตรเริ่มปรับตัวดีขึ้น ตามระดับราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น เพื่อมาเป็นตัวพยุงเศรษฐกิจให้ขยายตัวในกรอบร้อยละ 2.7 – 3.2

คาดจีดีพีโตร้อยละ 3 ส่งออกติดลบร้อยละ 2-2.5

ขณะที่วานนี้ (6 ก.ค.59) เกียรติอนันท์ ล้วนแก้ว คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจากการก่อการร้ายที่เริ่มขยับมาใกล้ภูมิภาคเอเชียมากขึ้นและผลกระทบจาก Brexit  จะทำให้นักท่องเที่ยวจากยุโรปลดลง อย่างไรก็ตาม ปีนี้ภาพรวมนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาไทยไม่ต่ำกว่า 35 ล้านคน มากกว่าครึ่งจากเอเชียด้วยกัน  ขณะที่การลงทุนภาครัฐคาดว่าน่าจะเริ่มเห็นการเดินหน้าและทำให้มีการใช้จ่ายงบประมาณเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้นช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ปีนี้ขยายตัวในกรอบร้อยละ 3 ขณะที่การส่งออกทั้งปีอาจติดลบร้อยละ 2-2.5 เนื่องจากความเสี่ยงจากการฟื้นตัวของตลาดหลักที่ยังไม่ชัดเจน
ส่วนผลสำรวจจากผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี หัวข้อ “ครึ่งปีแรกผ่านไป เอสเอ็มอีไทยยิ้มได้หรือยัง”  จากกลุ่มตัวอย่าง 427 ราย ใน 14 จังหวัด พบว่า สถานการณ์เอสเอ็มอีปรับตัวดีขึ้น โดยรายได้ไตรมาส 2/2559 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกปีนี้คิดเป็นร้อยละ 10 โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว กลุ่มธุรกิจสุขภาพ และสินค้าเกษตรแปรรูป แต่ยังน่าห่วงโดยเฉพาะค้าปลีกขนาดเล็กและกลุ่มซื้อมาขายไปที่คาดว่าจะหายไปจากระบบปีนี้ประมาณร้อยละ 5 เนื่องจากยังคงดำเนินธุรกิจแบบเดิม ๆ ที่ยังไม่พัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่ม
ทั้งนี้  ธุรกิจเอสเอ็มอียังขาดสภาพคล่อง โดยมีสภาพคล่องเพียง 30 วันเท่านั้น ไม่สอดคล้องกับการทำธุรกิจ จากที่ควรมีสภาพคล่องเฉลี่ย 60 วัน ธุรกิจขนาดกลางมีเพียง 45 วัน และธุรกิจยังอยู่นอกระบบเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ได้รับความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ จากภาครัฐไม่เต็มที่ ส่งผลให้ครึ่งปีแรกธุรกิจเอสเอ็มอียังยิ้มได้ไม่เต็มที่