PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562

ปมหุ้นสื่อ “ธนาธร” บาน?





Top 30เม.ย.62 ปมหุ้นสื่อ “ธนาธร” บาน?

บทหนักอยู่ที่7กกต.



Top 29/4/62 เรื่อง บทหนักอยู่กับ 7 กกต.


‘ธนาธร’ เดือด กกต. ตอบไม่ได้ ‘ผมผิดตรงไหน’ เตือนวินิจฉัยผิดเจอคุก

‘ธนาธร’ เดือด กกต. ตอบไม่ได้ ‘ผมผิดตรงไหน’ เตือนวินิจฉัยผิดเจอคุก

เมื่อวันที่ 30 เม.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค ให้สัมภาษณ์ภายหลังนำหลักฐานเอกสารเข้าชี้แจงต่อ กกต. กรณีถูกตั้งข้อกล่าวหาถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด
นายธนาธร กล่าวว่า บรรยากาศในการประชุม มีบางช่วงเป็นไปอย่างตึงเครียดและผ่อนคลาย ตนรู้สึกว่าคดีนี้มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง เพราะแม้แต่คำถามพื้นฐานต่างๆ ว่า ตนผิดตรงไหน เอกสารที่ชี้แจงไปแล้วมีตรงไหนที่ กกต.ไม่เชื่อ ตรงไหนที่ กกต.เห็นว่าพวกเรากระทำผิด คำถามง่ายๆ แค่นี้ไม่สามารถตอบได้ ไม่สามารถชี้แจงได้ ทำให้เชื่อว่าคดีนี้มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง
ด้านนายปิยบุตร กล่าวว่า ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนไต่สวนของ กกต.หลังมีมติแจ้งข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 23 เม.ย. แต่เราตั้งประเด็นการสืบสวนสอบสวน วันนี้การตั้งข้อกล่าวหาของ กกต. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย สาเหตุเพราะมีมติตั้งข้อกล่าวหาในวันที่ 23 เม.ย. โดยไม่เคยเปิดโอกาสให้นายธนาธร หรือผู้เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจง
มีเพียงเอกสาร 1 ฉบับส่งไปที่บ้านของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะผู้รับโอนหุ้น เมื่อวันที่ 22 เม.ย. ประทับตราอีเอ็มเอส เวลา 13.45 น. แต่ให้มาชี้แจงเวลา 10.30 น. วันเดียวกัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ แล้ววันที่ 23 เม.ย. ตอนเช้าก็มีมติแจ้งข้อกล่าวหาทันที ซึ่งการตัดสินมีแต่เพียงคำร้องที่คัดลอกข่าวมาจากสำนักข่าวแห่งหนึ่งทั้งหมด อย่างนี้ไม่เป็นธรรมต่อผู้กล่าวหา
นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า กระบวนการตั้งข้อกล่าวหาขัดกับกระบวนการพิจารณาหลักการทางกฎหมาย ไม่เปิดโอกาสให้นายธนาธรชี้แจง ในบันทึกข้อกล่าวหาเขียนไว้เพียง 3-4 บรรทัด บอกว่าไปตรวจสอบจาก บอจ.5 มาแล้ว แต่ไม่บอกว่าวันที่เท่าไหร่ เมื่อตรวจสอบแล้วพบนายธนาธรถือหุ้นอยู่ เราก็ถามว่าคุณไปตรวจ บอจ.5 วันที่เท่าไหร่ ตรวจแล้วรู้ได้อย่างไร รู้ได้ทันทีเลยหรือว่านายธนาธรถือหุ้น เพราะบอจ.5 ไม่ได้เป็นเอกสารหลักฐานว่าหุ้นโอนแล้ว แต่เป็นเพียงรูปแบบขั้นตอนเท่านั้น
“ถ้าหาก กกต.เห็น บอจ. 5 ปุ๊บ รู้ปั๊บว่าคุณธนาธรถือหุ้น แสดงว่า กกต.เชื่อไปตามที่ผู้ร้องกล่าวทั้งหมด โดยยังไม่ได้ถามผู้ถูกร้อง ผิดหลักกฎหมายชัดเจน เร่งรีบอย่างเห็นได้ชัด คดีอื่นไม่รู้ว่าเร่งแบบนี้หรือไม่” นายปิยบุตร กล่าว
ขณะที่นายธนาธร กล่าวว่า ในฐานะผู้เสียหาย ขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินการตามกฎหมายต่อ กกต. ทั้งกฎหมายอาญา มาตรา 157  และพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ที่กำหนดโทษว่า ถ้า กกต.ใช้อำนาจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีโทษอาญา จำคุก โทษปรับ และถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เพราะมีปัญหาจริงๆ กับกระบวนการตั้งข้อกล่าวหา
นายธนาธร กล่าวอีกว่า รายละเอียดที่ชี้แจงส่วนใหญ่อ้างอิงตามเอกสาร เราพูดคุยในรายละเอียดน้อยมาก เพราะอยูในเอกสาร สิ่งที่ทำให้การประชุมตึงเครียด เพราะเป็นเรื่องหลักการที่ถูกต้อง ซึ่ง กกต.ไม่สามารถตอบคำถามพื้นฐานได้เลยว่า ตกลงตนผิดตรงไหน เอกสารตรงไหนผิด เพราะการโอนหุ้นครบถ้วนสมบูรณ์ตามกฎหมายหมายตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. ดังนั้น หลังจากประชุมเสร็จ ตนจึงเชื่อว่าคดีนี้มีมูลเหตุแรงจูงใจ ไม่ใช่เรื่องความเป็นธรรม ไม่ใช่เรื่องกฎหมาย แต่เป็นมูลเหตุแรงจูงใจทางกาเมือง
นายธนาธร กล่าวต่อว่า มีใครมีหลักฐานเป็นอื่น มีใครมีหลักฐานโต้แย้งไหม ปัญหาคือตอนนี้ไม่มีใครมีหลักฐานโต้แย้ง สิ่งที่ตนโต้แย้งไปได้ แปลว่าตนไม่ผิด จะเรียกร้องอะไรจากตนอีก วันนี้ไม่มีใครบอกว่าตนผิด มีแต่คนตั้งคำถามแล้วเอารายละเอียดเรื่องเล็กน้อยมาปั่นเป็นเรื่องใหญ๋โต ปั่นซ้ำปั่นซาก จนทำให้คนในสังคมเชื่อไปแล้วว่า ธนาธรผิดจริง ตนยังยืนว่าจะทำอะไร เอาหลักฐานมาพูดคุยกัน ตนเอาหลักฐานทั้งหมดวางไว้บนโต๊ะแล้ว ใครคิดว่าหลักฐานตรงไหนผิดก็มาโต้แย้งกัน
ที่บอกว่าธนาธรน่าสงสัย เพราะตอบคำถามหลายครั้ง แต่เพราะพวกคุณถามหลายครั้ง ตนก็ต้องตอบหลายครั้ง เพราะมีสื่อบางสำนักเอาเรื่องนี้มาปั่นทุกวัน จนทำให้เราอยู่เฉยไม่ได้ เพราะประชาชนจะหลงผิด พูดเรื่องเท็จไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นเรื่องจริง เราจึงต้องออกมาตอบโต้ ท่านควรจะต้องเอาไปถามคนที่ยังไม่เชื่อ ว่ามีหลักฐานอะไรที่จะเอามาหักล้างเอกสารของตนได้
ด้านนายปิยบุตร กล่าวว่า เรายื่นเอกสารไป 26 รายการ เป็นคำชี้แจงครบถ้วนทั้งหมด โดยมีประธานกรรมการไต่สวนชุดนี้ คือ พ.ต.ท.ปรีชา นาเมืองรักษ์ เราก็นั่งพูดคุยตั้งคำถามถึงการทำงานของ กกต.ว่าทำไมถึงมีมติตั้งข้อกล่าวหา โดยที่เราไม่ได้ไปชี้แจง ประธานกรรมการไต่สวนก็เล่าให้ฟังว่า กกต.ตรวจสอบได้แต่ บอจ.5 ในเมื่อ บอจ.5 มีชื่ออยู่ เขาก็สงสัยว่าเป็นผู้ถือหุ้น ตนก็ถามกลับไปว่าแล้วทำไม กกต.ไม่เปิดประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรค 2 วรรค 3 หรือแนวคำพิพากษาศาลฎีกา และศาลรัฐธรรมนูญ ทำไมไม่เปิดดู
แล้วถ้าสงสัยว่าถือหุ้นจริงหรือไม่ ทำไมไม่เรียกไปถาม แต่กลับมีมติแจ้งข้อกล่าวหาทันที ซึ่งจะแจ้งข้อกล่าวหาลอยๆ ไม่ได้ การขึ้นศาลหรือตำรวจตั้งข้อกล่าวหา ต้องมีองค์ประกอบความผิดและมีหลักฐานพอสมควร แต่นี่มีแค่ 3 บรรทัด บอกว่าตรวจจาก บอจ.แล้ว พบว่านายธนาธรถือหุ้น ถามว่าตรวจจากอะไร ถ้าตรวจจาก บอจ.แล้วตีขลุมว่าถือหุ้น ท่านวินิจฉัยผิด
ถ้าจงใจวินิจฉัยผิดคือ ใช้อำนาจโดยไม่ชอบ หรือท่านไม่รู้กฎหมาย ไม่รู้ข้อเท็จจริง ทำไมไม่เรียกนายธนาธรไปถาม เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ถ้าเรื่องนี้บานปลายไปจนถึงแขวนชื่อนายธนาธร หรือออกใบส้ม ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้วเพราะไม่มีอำนาจ แต่ถ้าเอากันถึงอย่างนั้น การตั้งข้อกล่าวหาและดุลพินิจโดยไม่ชอบครั้งนี้ จะส่งผลเสียหายร้ายแรง
“กกต. ทั้ง 7 ท่าน รับผิดชอบไหวหรือไม่ ท่านยังต้องดำรงอยู่ต่อไปในฐานะองค์กรอิสระที่ต้องจัดการเลือกตั้งให้เป็นธรรม อย่ากลัวแรงกดดัน ถ้ายืนอยู่บนกฎหมายและความยุติธรม คสช.เดี๋ยวก็ไป ผู้มีอำนาจปัจจุบัน เดี๋ยวก็ลงจากอำนาจแล้ว แต่ กกต.ต้องอยู่อีกนาน เรามั่นใจว่าเอกสารหลักฐานครบ แต่ กกต.ไปเอาคำร้องที่ลอกมาจากสำนักข่างแห่งหนึ่งทั้งดุ้น ปัญหาอยู่ที่ไม่เรียกผู้ถูกกล่าวหาไปชี้แจงก่อนตั้งข้อกล่าวหา เวลามีคนเดินไปฟ้องศาลว่าใครทำผิดอาญา ศาลยังไต่สวนมูลฟ้อง หรือแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษใคร เขาไม่ได้ตั้งข้อหล่าวหาเลย ต้องเรียกมาตรวจสอบ แต่นี่ฟังจากผู้ร้องเสร็จก็ตั้งข้อกล่าวหาเลย ทำได้อย่างไร ขัดกระบวนการทางกฎหมาย ความยุติธรรมคืออะไร”
“อยากให้ท่านจำลองตัวท่านเองว่าท่านถูกกระทำอยู่ตอนนี้ ลองให้ กกต.ชุดนี้ 7 คน วันหน้าโดนกรรมการชุดอื่นไต่สวนบ้าง แล้วตั้งข้อกล่าวหาแบบนี้ โดยไม่เรียก กกต.ทั้ง 7 คนไปชี้แจง ถามว่าเป็นธรรมหรือไม่ วันไหนถ้าท่านโดนตั้งข้อกล่าวหาแบบนี้ เหมือนที่ตนกำลังจะไปแจ้ง 157 ถ้าป.ป.ช.ไม่เรียกท่านไปชี้แจง แล้วตั้งข้อกล่าวหาท่านเลย จะเป็นธรรมหรือไม่”

    นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า กกต.และเจ้าหน้าที่ทุกระดับ เงินเดือนที่ท่านได้มาจากงบประมาณภาษีประชาชน  ท่านไม่ได้รับเงินเดือนจากองค์กรของรัฐอื่น ถ้าดำเนินการด้วยความสุจริต กฎหมาย ความยุติธรรม จะเป็นเกราะคุ้มครองท่าน ท่านอย่ากังวลใจ ตัดสินใจด้วยความเป็นอิสระ ตามตัวบทกฎหมาย ถ้าเรื่องมันจบก็ต้องจบ อย่าดึงดันขึงขังลากกันไปให้ได้ ข้อกฎหมายไม่เข้า ข้อเท็จจริงก็ไม่เข้า อำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบก็ไม่มี ให้ระมัดระวังเรื่องนี้ด้วย
    รวมถึงสื่อมวลชน ควรเป็นสื่อที่ตรวจสอบนักการเมือง ทั้งจากการเลือกตั้งและนักการเมือบจากรัฐประหารอย่างเท่าเทีมกัน ถ้าไม่ผิดก็คือไม่ผิด อย่าดันทุรัง อย่างนี้ไม่ใช่สื่อในความหมายของการตรวจสอบ แต่เป็นเรื่องการเอาชนะกันให้ได้ ไม่ชนะไม่เลิก นี่ไม่ใช่หน้าที่ของสื่อ สื่อคือคนเอาข้อเท็จจริงออกมาให้ปรากฏ ไม่ใช่พูดข้อเท็จทุกวันจนกลายเป็นจริง

    กกต.กับเด็กขี้งอแง

        กกต.ครับ....
        กรุณาหายใจลึกๆ พูดเท่าที่ต้องพูด แต่ต้องต่อยให้หนัก ข้อมูลต้องเป๊ะ
        หาไม่แล้ว...จะเละ
        สูตรคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์นั่นเรื่องหนึ่ง  
        ถ้าเอาตามความเท่ของนักวิชาการ เอาตามกิเลสนักการเมือง โดยไม่ยึดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ระวังบั้นปลายชีวิตจะไม่สวย 
        เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญอยู่ตรงไหน?
        ก็ที่คุยกับ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ คนที่เขียนกฎหมายเลือกตั้งเขาว่าไง....ก็ตามนั้น 
        อีกเรื่องคือนับคะแนนใหม่ เขต ๑ นครปฐม 
        เรื่องง่ายๆ แต่กลับทำให้ยาก
        วันอาทิตย์ที่ผ่านมา กกต.นครปฐม ดูจะลนลานไปหน่อย แทนที่จะตรวจสอบให้นิ่ง ตรวจทานให้เรียบร้อย ว่าที่นับใหม่ใครได้เท่าไหร่ 
        กลับประกาศว่า ผู้สมัครจากพรรคอนาคตใหม่ ได้ ๓๕,๗๐๗ คะแนน พรรคประชาธิปัตย์ ได้ ๓๕,๖๔๕ คะแนน
        เฉือนกันไป ๖๒ คะแนน!
        แล้วปล่อยข้ามคืน กองเชียร์เขาฉลองกันยกใหญ่ ในโซเชียลไชโยโห่ร้อง ว่าเป็นความสำเร็จของคนรุ่นใหม่ 
        ทั้งๆ ที่คนของพรรคประชาธิปัตย์ เขาตามนับทุกกระดาน ผลคือชนะ ๔ คะแนน 
        มันวุ่น! 
        พรรคอนาคตใหม่ก็ทำเป็นเด็กเล่นขายของ นับครั้งแรกแพ้ ขอนับใหม่ นับใหม่ยังแพ้ ขอเลือกตั้งใหม่ มันจะเยอะไปมั้ย
        เลือกตั้งใหม่ทั้งประเทศเลยดีมั้ย! ให้รัฐบาล คสช.อยู่ต่ออีกสักปี 
        ความน่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญ 
        ฉะนั้นไม่ว่าเขตเลือกตั้งไหน ไม่ควรเกิดเรื่องทำนองนี้อีก
        ก็เตือนไว้....เพราะคนที่พร้อมกะซวก กกต.มันมีเยอะ 
        เห็นแล้วเหนื่อยแทน กกต.ชุดนี้จริงๆ  
        ตั้งรับอย่างเดียว 
        ไม่ถนัดงานเชิงรุก
        แต่คงเพราะยังใหม่อยู่ 
        บวกกับต้องรับแรงกระแทกจากกลุ่มต่อต้านรัฐบาล คสช. ทำให้จับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก แก้ไขสถานการณ์ไม่ค่อยทัน
        ถึงกระนั้นช่วงหลังดีขึ้น 
        โดนด่าก็มีสวนกลับบ้าง
        บางเรื่องถูกด่าเมื่อเดือนที่แล้ว เพิ่งจะมาแก้ข่าวเอาวันนี้ 
        แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
        ประเด็นที่ถูกนำไปขยายผลมากสุด คงหนีไม่พ้นเรื่อง เลือกตั้งมาเดือนกว่า ยังไม่รู้ผล 
        มีการเอาการเลือกตั้ง อินเดีย อินโดนีเซีย มาเปรียบเทียบ ประเทศที่มีคนไปใช้สิทธิ์เป็นร้อยล้าน ยังนับคะแนนเสร็จแค่ข้ามคืน แต่ของไทยข้ามเดือนแล้ว
        วานนี้ กกต.ทำหนังสือชี้แจงว่า
        .....ด้วยปรากฏเป็นข่าวตลอดมาว่า ทำไมคณะกรรมการการเลือกตั้งไม่ประกาศผลการเลือกตั้ง
        สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งที่การเลือกตั้งได้ผ่านมากว่า ๑ เดือนแล้ว
        ขอเรียนว่าตามมาตรา ๑๒๗ ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิก
    สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.๒๕๖๑ ได้กำหนดว่าในการเลือกตั้งทั่วไปให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งได้ “ก็ต่อเมื่อ” ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วมีเหตุอันควรเชื่อว่า ผลการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม “และ” มีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละเก้าสิบห้าของเขตเลือกตั้งทั้งหมด
        เมื่อพิจารณาข้อกฎหมายดังกล่าวข้างต้นพบว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งจะประกาศผลการเลือกตั้งได้ “ก็ต่อเมื่อ” ได้ดำเนินการครบตามเงื่อนไของค์ประกอบที่กฎหมายกำหนด คือ
        ๑.ได้มีการตรวจสอบเบื้องต้นว่า การเลือกตั้งต้องเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม 
        “และ” ๒.จำนวนที่ประกาศผลต้องไม่น้อยกว่าร้อยละเก้าสิบห้าของเขตเลือกตั้งทั้งหมด
        ด้วยบทบัญญัติดังกล่าว คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงไม่อาจทยอยประกาศผลการเลือกตั้ง
    สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากต้องประกาศผลโดยมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละเก้าสิบห้าของเขตเลือกตั้งทั้งหมด....
        ก็โปรดรับทราบว่าที่ยังไม่ประกาศผลอย่างเป็นทางการนั้นเป็นเพราะอะไร 
        แต่...กกต.น่าจะอธิบายให้หมด เพราะจะได้เข้าใจง่ายกว่านี้ 
        นี่คือการเลือกตั้งครั้งแรกของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ 
        ระบบเลือกตั้งก็ใช้ระบบใหม่
        การประกาศผลอย่างเป็นทางการทำไม่ได้ หากยังมีการนับคะแนนใหม่ เลือกตั้งใหม่ในบางเขต 
        เพราะมันจะทำให้คะแนนป๊อปปูลาร์โหวตเปลี่ยน  
        การคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ก็จะเปลี่ยนไปด้วย 
        ผิดกับการเลือกตั้งครั้งก่อนๆ ที่ใช้บัตรเลือกตั้ง ๒ ใบ
        ใบแรกเลือก ส.ส.เขต
        ใบที่สองเลือกพรรค ซึ่งก็คือ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ คะแนนไม่ยึดโยงกัน ฉะนั้นการเลือกตั้งก่อนนี้ ปิดหีบไม่นาน ประกาศผลอย่างเป็นทางการได้ทันที
        ครั้งนี้ลองสอยว่าที่ ส.ส.สัก ๑๐ เขต เป็นเรื่อง! 
        ยิ่งแต่ละขั้วเสียงปริ่มน้ำแบบนี้ ตั้งรัฐบาลไปแล้วสุดท้ายถูกสอยเลือกตั้งใหม่ กลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย 
        มันจะวุ่นไปกันใหญ่
        ที่จริงนักการเมือง ต่างรู้ดีว่าทำไม กกต.ถึงต้องประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ ๙ พฤษภาคม 
        เพราะในวันนั้น ตัวเลขเริ่มจะนิ่งพอสมควรแล้ว  
        ฉะนั้นรอดูว่าก่อนวันที่ ๙ พฤษภาคม กกต.จะสอยว่าที่ ส.ส.อีกกี่เขต 
        ซึ่งมีแน่นอน!
        วกกลับมาประเด็นหุ้นสื่ออีกที 
        หากสังเกตดีๆ พรรคการเมืองอื่นมีปัญหาเรื่องนี้กันน้อย 
        เพราะอะไร? 
        ก็เพราะรัฐธรรมนูญ และกฎหมายเลือกตั้ง บัญญัติเอาไว้ชัดเจนว่า คุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส. มีหนึ่ง  สอง สาม สี่ 
        ที่พรรคการเมืองอื่นพลาดน้อยเพราะเขารอบคอบ
        พรรคเขาสื่อสารไปถึงผู้สมัครชัดเจนว่า ใครถือหุ้นสื่อ มีบริษัทจดวัตถุประสงค์ทำสื่อ ให้ลาออก หรือทิ้งหุ้นให้เรียบร้อย 
        แล้วอนาคตใหม่ทำเช่นนั้นหรือเปล่า?
        นั่นคือคำถาม 
        ก่อนที่จะเอาแต่งอแง กล่าวหาว่าถูกแกล้ง ถูกขัดขา ได้ก้มลงดูขาตัวเองก่อนหรือเปล่าว่า พร้อมที่จะเดินหรือยัง มีแผลอยู่หรือเปล่า
        ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม เพิกถอนการรับสมัครเลือกตั้ง ภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ เขต ๒ จ.สกลนคร อันเนื่องมาจากการถือหุ้นสื่อมวลชน ห้างหุ้นส่วนจำกัด มาร์ส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส 
        นั่นคือบรรทัดฐานที่ใช้กับคดีอื่นๆ 
        ตามที่นักร้องเบอร์ ๑ "ศรีสุวรรณ จรรยา" ยื่นคำร้องต่อ กกต. ล่าสุด ให้ตรวจสอบ ๑๑ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ มี
        ๑.นายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ ๙ เป็นกรรมการบริษัท แอมฟายน์ โปรดักชั่น จำกัด และกรรมการบริษัท เฮด อัพ โปรดักชั่น จำกัด 
        ๒.นายวินท์ สุธีรชัย ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ ๑๙ เป็นกรรมการบริษัท ดับบลิวซีดี วิชั่น จำกัด 
        ๓.นายคารม พลพรกลาง ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ ๒๖ เป็นกรรมการบริษัท สำนักพิมพ์สามพอ จำกัด
        ๔.นายวรภพ วิริยะโรจน์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ ๓๘ เป็นกรรมการบริษัท โปรโมชั่นแม็กกาซีน จำกัด 
        ๕.นายวรกร ฤทัยวาณิชกุล ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ ๗๑ เป็นกรรมการบริษัท เฮลโลฟิล์มเมคเกอร์ จำกัด
        ๖.นายฐิติกันต์ ฐิติพฤฒิกุล ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ ๙๔ เป็นกรรมการบริษัท ดิ เอ็กซ์คลูซีฟ จำกัด
        ๗.นายหรินทร์ ยุวรัตนาพร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ ๑๑๑ เป็นกรรมการบริษัท อินเซน ออดิโอเวิร์ค แอนด์ สตูดิโอ จำกัด
        ๘.น.ส.นรีรัตน์ สุขวรรณรัตน์ ผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต ๒ จังหวัดสระบุรี เป็นกรรมการบริษัท บอส แอนด์ ธอส โปรเจคท์ จำกัด 
        ๙.นายวีระชน นามประกาย ผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต ๔ จังหวัดสกลนคร เป็นกรรมการห้างหุ้นส่วนจำกัด วชิรวิชญ์ เคเบิ้ลทีวี และยังเป็นกรรมการห้างหุ้นส่วนจำกัดนครพนม ทีวี แอนด์ เน็ทเวิร์ค
          ๑๐.นายปิยเมษฐ ปราณีตพลกรัง ผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต ๑๔ จังหวัดนครราชสีมา เป็นกรรมการห้างหุ้นส่วนจำกัด พีเอสบี คอมมูนิเคชั่น 
        และ ๑๑.น.ส.กัลยารัตน์ กิตติกัลยานนท์ ผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต เขต ๑๐ จังหวัดขอนแก่น เป็นกรรมการห้างหุ้นส่วนจำกัด หวานชุมโปรโมชั่น
        ลืมผู้สมัครบัญชีรายชื่อไปก่อน โฟกัสที่ว่าที่ ส.ส.เขต ๔ เขต เพราะหากมีเหตุต้องเลือกตั้งใหม่ ไม่มีใครรู้ได้ว่าคะแนนจะเปลี่ยนเท่าไหร่ 
         ๙ พฤษภาคมนี้ กกต.จะประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ๙๕% แต่ประกาศไปแล้วตัวเลขใช่ว่าจะนิ่ง 
        ฉะนั้นพรรคไหนจะจับขั้วตั้งรัฐบาลกับใครดูดีๆ. 
                                        ผักกาดหอม