PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

รัฐบาลเสียงข้างน้อย : กรณีศึกษารัฐบาลคึกฤทธิ์ : โดย ผศ.ดร.สมหมาย จันทร์เรือง

รัฐบาลเสียงข้างน้อย : กรณีศึกษารัฐบาลคึกฤทธิ์ : โดย ผศ.ดร.สมหมาย จันทร์เรือง



รัฐบาลเสียงข้างน้อย คือ รัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองเดียวที่ไม่มีเสียงข้างมากเด็ดขาด หรือไม่มีเสียงเกินครึ่งในสภาผู้แทนราษฎร ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการผ่านกฎหมายสำคัญ เฉพาะอย่างยิ่งร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ยังผลให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามนโยบายที่ให้สัญญาไว้กับประชาชน เพราะฝ่ายค้านมีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรมากกว่า เช่นเดียวกับรัฐบาลของประธานาธิบดีโอบามาหลังจากรัฐบาลแพ้การเลือกตั้งสูญเสียเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรทำให้ประสบความยากลำบากในการบริหารประเทศสหรัฐอเมริกามาระยะหนึ่ง

รัฐบาลเสียงข้างน้อยในการเมืองไทย

การเมืองไทยเคยมีรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่เป็นปัญหาการบริหารประเทศหลายสมัย ได้แก่ การเมืองไทยช่วงปี 2512-2518 กล่าวคือ

รัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร มีการจัดเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2512 ซึ่งมีพรรคใหญ่ 2 พรรค ได้แก่ พรรคสหประชาไทยที่มีจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นหัวหน้าพรรค กับพรรคประชาธิปัตย์ที่มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรค การเลือกตั้งครั้งนั้นแบ่งเขตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 219 คน โดยพรรคสหประชาไทยได้ 74 คน พรรคประชาธิปัตย์ได้ 55 คน พรรคอื่นๆ รวมกับสมัครอิสระ 90 คน พรรคสหประชาไทยต้องรวมกับพรรคอื่นเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย และให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน แต่บริหารประเทศได้เพียง 2 ปีกว่า
เหตุการณ์ต่อมาเกิดขึ้นเมื่อจอมพลถนอม กิตติขจร ทำรัฐประหารรัฐบาลตัวเอง และยกเลิกรัฐธรรมนูญ เกิดปัญหาต่อต้านรุนแรงในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เมื่อความขัดแย้งคลี่คลายลง มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งเป็นการต่อสู้กันระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่นำโดย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช (หม่อมพี่) กับพรรคกิจสังคมที่นำโดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช (หม่อมน้อง) การเลือกตั้งครั้งนี้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 269 คน พรรคประชาธิปัตย์ได้ 72 คน รวมกับพรรคอื่นๆ ได้เสียงสนับสนุน 103 คน จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เพราะคะแนนเสียงไม่ถึงครึ่งของสภาผู้แทนราษฎร (ไม่ถึง 135 คน) เมื่อแถลงนโยบายของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเสียงสนับสนุน 111 คน ไม่สนับสนุน 152 คน ทำให้ไม่ได้รับความไว้วางใจให้บริหารประเทศ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และคณะรัฐมนตรี จึงต้องลาออก และสละสิทธิการจัดตั้งรัฐบาล

กรณีศึกษารัฐบาลคึกฤทธิ์

รัฐบาลคึกฤทธิ์ คือ รัฐบาลที่มี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2518 และพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2519 การเป็นรัฐบาลครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลผสมของพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเสียงสนับสนุนในการแถลงนโยบายไม่ถึงครึ่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรดังได้กล่าวมาแล้ว สมาชิกพรรคการเมืองส่วนมากเห็นว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์เพียงพอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปได้ แม้จะมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียง 18 คน

การเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยจึงต้องอาศัยภูมิหลังที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยดำรงตำแหน่งสำคัญในทางการเมืองมาอย่างยาวนาน ประกอบกับมีความกล้าหาญ มีความเป็นผู้นำ และรอบรู้ศาสตร์ต่างๆ หลายแขนง ประการสำคัญคือ รู้จักการประสานประโยชน์อย่างเหมาะสม ทำให้ได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองต่างๆ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีด้วยเสียงสนับสนุน 141 คน จากสมาชิกทั้งหมด 269 คน ถือว่าเกินครึ่งแล้ว

อย่างไรก็ตาม การที่พรรคกิจสังคมที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียง 18 คน เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล คงหนีไม่พ้นการเป็นรัฐบาลผสมที่ต้องประนีประนอมกับพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค (อย่างน้อย 8 พรรค) เมื่อบริหารประเทศมาระยะหนึ่งจึงเกิดปัญหาเกี่ยวกับผลประโยชน์ภายในและปัญหาการเมืองจากภายนอก จึงประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2519 ได้จัดการเลือกตั้งใหม่ แต่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แพ้การเลือกตั้ง จึงไม่ได้เข้ามามีบทบาททางการเมืองโดยตรง ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกต่อไป

ประวัติศาสตร์การเมืองและกรณีศึกษานี้ แสดงให้เห็นว่าการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ต้องเป็นรัฐบาลผสมเพื่อให้ได้เสียงสนับสนุนเกินครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรนั้น ต้องผจญกับวิบากกรรมทางการเมืองมากมายหลายด้าน ซึ่งต้องอาศัยความอดทน อดกลั้น และการประสานประโยชน์อย่างเหมาะสม จึงจะสามารถประคับประคองคณะรัฐบาลให้ยืนยงต่อไปได้

ความส่งท้าย

รัฐบาล ไม่ว่าจะมาจากพรรคเดียวที่มีเสียงข้างน้อย หรือมีเสียงข้างมากจนถูกเรียกว่าเผด็จการทางรัฐสภาก็ตาม การจัดตั้งรัฐบาลและการบริหารประเทศต้องอยู่บนพื้นฐานสำคัญ คือ ผลงานที่สอดคล้องกับความต้องการส่วนใหญ่ของประชาชน ความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส ปราศจากทุจริตคอร์รัปชั่น การยึดหลักประชาธิปไตย ไม่ต่อต้านคัดค้านรัฐบาลนอกรูปแบบ
และเปิดโอกาสให้รัฐบาลได้บริหารประเทศตามวาระ โดยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินผลงานในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
ผศ.ดร.สมหมาย จันทร์เรือง

โผย้ายนายพลกลางปี 5เสือทบ.ขยับ'บิ๊กตู่เล็ก'นั่งรองปลัดกห. ดัน'บิ๊กลภ'ขึ้นแท่นส.ว

โผย้ายนายพลกลางปี 5เสือทบ.ขยับ'บิ๊กตู่เล็ก'นั่งรองปลัดกห. ดัน'บิ๊กลภ'ขึ้นแท่นส.ว

26 ก.พ.62- รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับความคืบหน้าการจัดทำบัญชีโยกย้ายนายทหารระดับชั้นนายพลช่วงกลางปี 2562 มีการโยกย้ายตำแหน่งสำคัญในส่วนของกองทัพบกหลายตำแหน่ง เพื่อรองรับตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่กำลังจะถูกคัดเลือกขึ้นโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 
มีตำแหน่งที่น่าสนใจ อาทิ พล.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา หรือบิ๊กตู่เล็ก ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (ผช.ผบ.ทบ.) ซึ่งเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 20 (ตท.20) ถูกขยับขึ้นเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม แทนพล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา หรือบิ๊กอั๋น รองปลัดกระทรวงกลาโหม (ตท.19) ที่จะไปเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แทนพล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เลขาธิการสมช. หรือบิ๊กลภ (ตท.18) ที่ถูกคัดเลือกให้เป็น1 ในส.ว. 
พร้อมกันนี้ยังขยับพล.ท.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ หรือบิ๊กบี้ แม่ทัพภาคที่ 1 (ตท.22) เป็นผช.ผบ.ทบ. เพื่อรอเป็นผบ.ทบ.คนต่อไปต่อจากที่พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.ที่จะเกษียณอายุราชการในปี 63 ขณะที่ตำแหน่งแม่ทัพภาคที่1 จะมีพล.ท.ธรรมนูญ วิถี หรือบิ๊กหนุ่ย แม่ทัพน้อยที่ 1 ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่1 ส่วนพล.ต.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ หรือบิ๊กติ่ง รองแม่ทัพภาคที่ 1 เป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 และโยกพล.ต.สนิธชนก สังขจันทร์ หรือบิ๊กหนุ่ม รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดง (นรด.) เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 อย่างไรก็ตามในส่วนของระดับ 5 เสือเหล่าทัพอื่นยังคงไม่มีการขยับแต่อย่างใด 
สำหรับความคืบหน้าการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาส.ว.นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มอบหมายให้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม ในฐานะรองหัวหน้าคสช. เป็นประธานคณะกรรมการสรรหาส.ว. ขณะที่รายชื่อคณะกรรมการสรรหาส.ว.นั้น คาดว่าจะมีพล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองหัวหน้าคสช. พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองหัวหน้าคสช. พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรองหัวหน้าคสช. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรงงาน และ รองหัวหน้าคสช. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และนายมีชัย ฤชุพันธ์ สมาชิกคสช. ร่วมเป็นคณะกรรมการฯด้วย
อย่างไรก็ตามพล.อ.ประวิตรได้นัดประชุมคณะกรรมการสรรหาส.ว.เพื่อวางกรอบแนวทางการทำงานในการคัดเลือกส.ว.ชุดแรก 50 คนจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)คัดสรรไว้200 คน ที่กระทรวงกลาโหม ในวันที่ 27 ก.พ. เวลา 09.00 น. 

กกต.ยื่นคำชี้แจงศาลรธน. ยันใช้หลักฐานอันควรเชื่อตามม. 92 พ.ร.ป.พรรคการเมืองยุบพรรคทษช.


กกต.ยื่นคำชี้แจงศาลรธน. ยันใช้หลักฐานอันควรเชื่อตามม. 92 พ.ร.ป.พรรคการเมืองยุบพรรคทษช.


26 ก.พ.62- ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)​ได้มีการพิจารณาจัดทำคำคัดค้าน คำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของพรรคไทยรักษาชาติ(ทษช.)​ กรณีก่อนหน้านี้กกต.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคทษช. เนื่องจากการเสนอชื่อแคนดิเนตนายกรัฐมนตรีเข้าข่ายกระทำการเป็นปฎิปักษ์ต่อการปกครอง ในระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเข้าข่ายผิดมาตรา92พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง
โดยการจัดทำคำคัดค้านและคำชี้แจงของกกต.ดังกล่าวเนื่องจากหลังพรรคทษช.ได้ยื่นคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 20 ก.พ. และทางศาลรัฐธรรมนูญได้จัดส่งคำชี้แจงของพรรคทษช.มาให้กกต.เพื่อพิจารณาแก้ข้อกล่าวหา ซึ่งกกต. ก็ได้จัดทำคำคัดค้าน คำชี้แจงยืนยันว่าการมีมติกกต.ยื่นคำร้องยุบพรรคทษช.เป็นกรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ตามที่มาตรา 92 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนด กกต.จึงไม่ต้องมีการต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาไต่สวน โดยได้ส่งคำคัดค้านและคำชี้แจงดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญแล้วในวันเดียวกันนี้ เนื่องจากศาลฯนัดพิจารณาคดีในวันพรุ่งนี้(27ก.พ.)เวลา13.30น.
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ในส่วนพรรคทษช.หลังยื่นคำชี้แจงไปเมื่อวันที่ 20 ก.พ. แล้ว พรรค ยังไม่ได้รับหนังสือแจ้งจากศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะให้พยานคนใดที่พรรคขอให้ศาลนำสืบ เข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ดังนั้นในการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญวันพรุ่งนี้จะไม่มีกรรมการบริหารพรรค หรือสมาชิกรายใด เดินทางไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการพิจารณาคดีดังกล่าวของที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในวันพรุ่งนี้ (27 ก.พ.62)​ จะเป็นการพิจารณาในรายละเอียดของคำร้องของกกต. คำชี้แจงพยานหลักฐานต่างๆ ที่พรรคทษช.ได้ยื่น คำคัดค้านแก้ข้อกล่าวหาพรรคทษช.ของกกต. จากนั้นศาลจึงจะมีมติว่าจะดำเนินขั้นตอนการพิจารณาอย่างไร. 

แสงสว่างจากสุภาพบุรุษชาติทหาร

แสงสว่าง จาก ‘สุภาพบุรุษชาติทหาร’!!!

“เป็นการตัดสินใจยากท่ีสุดในชีวิต .... ผมใช้เวลากว่า 6 เดือน ครุ่นคิดก่อนตัดสินใจ ...ไม่ใช่ว่าคิดไว้ล่วงหน้าแล้ว 
ผมไม่สามารถปล่อยให้บ้านเมืองเสียหายไปมากกว่าน้ี....
เพราะขณะท่ี ผมตัดสินใจยึดอำนาจ มีผู้เสียชีวิตมากเกินไปแล้ว ผมพยายามทำอย่างสุดความสามารถ ที่จะแก้ปัญหา” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  กล่าวถึงการรัฐประหาร 22 พค.2557

การเข้ามาของ “สุภาพบุรุษชาติทหาร” จึงไม่ต่างอะไรกับ แสงสว่าง ที่พาทุกคนเดินหน้าได้อีกครั้ง 

เพราะที่สุดแล้ว ทางตันทั้งหลาย ก็ถูกทลายลงด้วยความสุขุม เด็ดขาดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

“เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร”

จุดที่สถานการณ์บ้านเมืองดำรงอยู่ด้วยความสงบสุข เรียบร้อยมากว่า 4 ปี
นับเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง บานปลายสู่ความรุนแรง ไร้ทางออก 

แต่เราก็มาถึงจุดที่ พล.อ.ประยุทธ์ จนั เสียสละ ตำแหนง่ ผู้บัญชาการทหารบกเข้ามาเป็นผู้นำ กอบกู้สถานการณ์ วิกฤติของประเทศ ทำให้ประเทศไทยเดินหน้าได้อีกครั้ง

เงื่อนปมความวุ่นวายทางการเมืองผูกโยงใยหลายปัญหา ทั้งความไมมั่นคง ภาวะเศรษฐกิจ สังคม ความไม่เชื่อมั่นต่างประเทศ ฯลฯ 

ไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับผู้เข้ามาคลี่คลาย ในช่วงเวลาอันจำกัด

“เขาสอนจบให้มาเป็นทหาร  ไม่ได้สอนให้เป็นนายกฯ  แต่ที่ต้องเป็น เพราะบ้านเมืองเป็นแบบนี้” พลเอกประยุทธ์ ระบุ

——-
ส่วนหนึ่งจากหนังสือ “ประชารัฐ สร้างชาติ”ของพรรคพลังประชารัฐ

ประหนึ่ง เป็น หนังสือรวมผลงาน พลเอกประยุทธ์ ที่พรรคพลังประชารัฐ นำมาใช้ในการหาเสียง

เสี่ยงคลุกวงในทำไม

“บุรุษแกร่งสุดในปฐพี” สร้างภาพโชว์เชิงบริหารเศรษฐกิจเก่งขั้นเทพ

แต่ยังไงก็ “เบบี๋ทางการเมือง” อยู่ดี

ตามฟอร์มแบบที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แคนดิเดตบัญชีนายกฯพรรคเพื่อไทย ยอมรับเต็มปากเต็มคำ ถ้าได้เป็นนายกรัฐมนตรีจะไม่รื้อฟื้นโครงการ “จำนำข้าว” มาทำต่อ

ส่อให้เห็นอาการ “ถอยกรูด” แหยงเผือกร้อนอดีตรัฐบาลเพื่อไทย

แถมในทางตรงกันข้าม นายชัชชาติยังพูดเต็มปากเต็มคำ พร้อมเดินหน้าสานต่อโครงการดีๆ

ที่ปัจจุบันมีอยู่แล้วคือ พื้นที่พิเศษโครงการระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (อีอีซี) และยืนยันจะไม่ยกเลิกโครงการสวัสดิการประชารัฐหรือ “บัตรคนจน” ของรัฐบาล “นายกฯลุงตู่”

ตัดแต้มฝั่งเดียวกัน เพิ่มเครดิตคู่ต่อสู้

“นายใหญ่” ทีมดูไบไม่ปลื้มแน่นอน

เรื่องของเรื่อง มันสะท้อนแง่มุมความจริง สิ่งที่ทีม “ทักษิณ” ล็อกเป้าประจานผลงานด้านเศรษฐกิจ เจาะยางการบริหารงานของรัฐบาล “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ เป็นหัวเรือใหญ่

เล่นเกมวาทกรรม ปลุกอุปาทานหมู่บลัฟรัฐบาลท็อปบูตตามสูตร

แต่ถึงจุดที่ปฏิเสธความจริงไม่ได้ การที่ “ชัชชาติ” เคลม “โครงการดีๆ” ทั้งอีอีซี ทั้งบัตรคนจน มันเป็นอะไรที่ตอกย้ำ “การันตี” ยุทธศาสตร์การพัฒนาการทางเศรษฐกิจระยะยาวของรัฐบาล “ลุงตู่” เดินมาถูกทาง

การตั้งรับโลกอนาคตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและแข่งขันอย่างรุนแรง

ต่อให้เป็นยี่ห้อ “ทักษิณ” ก็ต้องทำแบบนี้

อย่างที่นายสมคิดเร่งเครื่องเมกะโปรเจกต์ดึงดูดการลงทุน กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ประคองตัวในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจโลก ปั๊มตัวเลขจีดีพี พร้อมๆกับอัดฉีดมาตรการลดแลกแจกแถมช่วยคนจน กระตุกสภาพคล่องเศรษฐกิจฐานราก ประคองปัญหาปากท้องประชาชนผู้มีรายได้น้อย

มันไม่หนีตำราเศรษฐศาสตร์เล่มเดียวกัน

และจุดสำคัญ มันคาบเกี่ยวกับมือยุทธศาสตร์เศรษฐกิจชื่อเดียวกัน คนเดียวกัน

อดีตรัฐบาลไทยรักไทย “สมคิด” คิด “ทักษิณ” ทำ

วันนี้รัฐบาล คสช. “สมคิด” คิด “ลุงตู่” ทำ

แต่จุดที่แตกต่างกันคือรัฐบาล “ลุงตู่” ทำแบบไม่มีทุจริตเชิงนโยบาย ไม่มีรายการชักหัวคิวร้อยละ 30

เนื้องานเดินหน้าเต็มเม็ดเต็มหน่วย โครงการอีอีซีมีนักลงทุนต่างชาติ ญี่ปุ่น จีน ฯลฯ จองพื้นที่สร้างฐานการผลิตกันเป็นล่ำเป็นสัน รถไฟฟ้าหลากสี สารพัดสายปักหมุด ตอกเสาเข็ม รถไฟความเร็วสูงไทย–จีน คืบหน้าเป็นรูปเป็นร่าง สมน้ำสมเนื้อกับงบประมาณแผ่นดิน

ยุค “ลุงตู่” แตกต่างจากยุค “ทักษิณ” ก็ตรงนี้

มันเป็นอะไรที่เทียบเคียงกันได้ตามเนื้อผ้า หักล้างกับวาทกรรมได้

ยิ่งเป็นอะไรที่ “ผิดฟอร์ม” เลือกตั้งรอบนี้ยังไม่เห็นทีเด็ดพรรคเพื่อไทย รวมถึงเครือข่ายเปิดนโยบายออกมาชิงคะแนนนิยม มีแค่มอตโตลอยๆ จะไม่ปล่อยให้ล้าหลัง ล้มเหลว ถดถอย สิ้นหวัง

กับวาทกรรมประชาธิปไตยล้มล้างเผด็จการ ชูธงนักเลือกตั้งอาชีพล้มล้างทหาร

สถานการณ์มันก็ยิ่งสะท้อนอาการ “หมดมุก” ทีมเพื่อไทยไม่มีนโยบายอะไรใหม่ๆมาดีเบตกับทีมพลังประชารัฐที่ได้ต่อยอดเนื้องานปัจจุบัน เสริมมุมบวกของการตีตั๋วต่อของทีมหนุน “ลุงตู่”

ดูตามรูปเกม “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” นี่ต่างหาก ไพ่อีกใบที่ยังไม่ได้ตี

ถึงจุดหนึ่งถ้าทีมหนุน “ลุงตู่” จำเป็นต้องขึ้นเวทีประชัน “เขี้ยว” กับนักการเมืองอาชีพ

ตามรูปการณ์ที่ประเมินได้ ไม่มีทางที่ “ลุงตู่” จะหลงเหลี่ยมเกมยั่ว

โดนลากมา “รุมสกรัม” ในเวทีดีเบต

เพราะสังเกตจากอาการกระเหี้ยนกระหือรือ โดยเฉพาะคิวของ “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ “นักโต้วาที” มืออาชีพจากออกซ์ฟอร์ด มือกระบี่ “จอมเชือดเฉือน” อย่าง นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคไทยรักษาชาติ ไม่เว้นแม้แต่ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

จ้องลาก “ลุงตู่” มาเป็นบันไดลิง ชิงตีตื้นคะแนนทางลัด

เรื่องของเรื่อง “ลุงตู่” ไม่ต้องขึ้นเวทีดีเบตเอง ก็มีหัวหน้าและผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐไปประชันแทน และก็ไม่ได้ผิดกติกาแต่อย่างใด

ถ้าจะมีการตั้งเวทีโชว์กึ๋นของนายกฯเอง แล้วเปิดให้คนมาฟัง หรืออย่างล่าสุดพรรคพลังประชารัฐเปิดตัวหนังสือ “ประชารัฐสร้างชาติ” สะท้อนตัวตนของ “นายกฯลุงตู่”

บวกแต้มสะสมจากการเดินสายเล่นบทพระยาน้อยชมตลาด ในคิวตรวจราชการ ประชุม ครม.สัญจร

ถึงตอนนี้ทั้งนิด้าโพล กรุงเทพโพลล์ แต้ม “ลุงตู่” นำอย่างมีนัยสำคัญ

แค่ตีกรรเชียงแย็บทำคะแนน ไม่เห็นจำเป็นต้องคลุกวงในให้เสี่ยงโดนน็อก.

ทีมข่าวการเมือง

สะพัด "ปาร์ตี้ลิสต์" พรรคดัง ลำดับต้นจ่าย 15ล้าน จ่อดันพวกตัวเองเข้าวิน

พรรคดัง ฟากฝั่งประชาธิปไตย ปูดปมช่วยเหลือพวกพ้องคนสนิท นั่งเก้าอี้ลำดับต้นๆ ของพรรคเพื่อชาติ นอกจากนี้ยังมีการปล่อยข่าวว่า ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในพรรคบางคนต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้ลงปาร์ตี้ลิสต์ลำดับต้นๆ โดยเฉพาะเลขตัวเดียว ราคาอยู่ที่ 10-15 ล้านบาท

ข่าวที่กระจายออกมาหลายสำนัก บ่งบอกถึงการจัดอันดับ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคดังกล่าว เกิดปัญหาเรื่องของความไม่เหมาะสม เพราะแกนนำบางคนเลือกผู้ที่ใกล้ชิดอยู่ในลำดับต้นๆ แม้แต่ พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ซึ่งเป็นรองหัวหน้าพรรคคนที่ 1 ยังถูกจัดลำดับให้อยู่ในปาร์ตี้ลิสต์อันที่ 45 ซึ่งไม่มีโอกาสที่จะได้เป็น ส.ส.อย่างแน่นอน เนื่องจากในพรรคได้ประเมินกันแล้วว่าจะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ไม่เกิน 10 เก้าอี้เท่านั้น

ทั้งนี้ประเด็นที่ พ.ต.ท.สมชาย ยื่นต่อ กกต. มีสิ่งที่น่าสนใจคือประเด็นที่ว่าด้วยเรื่องของการพิจารณาเสนอชื่อบุคคลเป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ที่ระบุว่า ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาจทำให้ตัวเขาเองติดคุกได้ในอนาคต  "สมชาย" เปิดปมแตกหัก "พรรคไม่เป็นสากล" ใครบางคนมีอิทธิพล เล่นนอกเกม ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์ เปิดลำดับ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อชาติ อันดับที่ 1-150 ปรากฏว่า อันดับที่ 1 คือ นายสงคราม เลิศกิจไพโรจน์ เป็นหัวหน้าพรรคเพียงคนเดียว ส่วนคนสนิทของ นายสงคราม เลิศกิจไพโรจน์ ต้องไปอยู่ในลำดับที่ท้ายๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีโอกาสได้เป็น ส.ส. ตามที่พรรคได้คาดการณ์ไว้   

ส่วนรายชื่อลำดับต้นๆ ล้วนแล้วแต่เป็นที่รู้จักกันในแวดวงคนเสื้อแดง เนื่องจากมีบทบาทเป็นแกนนำ และอดีตส.ส. รวมไปถึงลูกหลานผู้ใหญ่ในพรรค โดยเฉพาะลำดับที่ 1-10 เมื่อเอ่ยชื่อขึ้นมา ถึงกับต้องร้องอ๋อ แต่สำหรับ พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ แม้ที่ผ่านมาจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเมืองตั้งแต่สมัยเก่าก่อน ปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค แต่กลับถูกจัดลำดับไปอยู่ที่ 45 จึงเป็นไปได้ทีเกิดความน้อยใจที่ตัวเองไม่ได้มีบทบาทในการตัดสินใจใดๆ ในพรรค จึงตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค ตามที่ข่าวได้เสนอออกไปแล้วก่อนหน้านี้.   


หรือจะโดนหลอกอีกคน


    ยังไม่แวะไปวัดสิงห์
    มาดูเรื่องดีเบตกันต่อ 
    ยิ่งพรรคตระกูลเพื่อกระหายลาก "ลุงตู่" ไปเชือดมากเท่าไหร่ 
    ก็ยิ่งเห็นสันดานกะล่อนปลิ้นปล้อนมากเท่านั้น 
    ก่อนรัฐประหารปี ๒๕๔๙ มีความพยายามให้ "ทักษิณ ชินวัตร-สนธิ ลิ้มทองกุล-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ขึ้นเวทีดีเบตด้วยกัน 
    แต่เหลว 
    ขนาดตัวพ่อยังชิ่ง 
    เท่านั้นไม่พอ ปลายปี ๒๕๕๐ เป็นอีกครั้งกับความพยายามให้ "สมัคร สุนทรเวช" ผู้ล่วงลับ ขึ้นเวทีดีเบตกับ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" 
    เสียงตอบกลับ...สะอึก!           
    สมัคร สุนทรเวช ขณะนั้นเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน พูดถึงการดีเบต เอาไว้แบบนี้
    ...เรารณรงค์หาเสียงเลือกตั้งก็ควรจะพูดเรื่องเศรษฐกิจหรือขนส่งมวลชน อะไรพูดได้ ผมก็จะพูด เรื่องอย่างนี้มีคนมาท้าผมเหยงๆ ไปวงเวียนใหญ่กวักมือเรียกให้ไปดีเบต 
    ทำไมไม่ย้อนไปดูตัวเอง ทำไมต้องดีเบต คนมาชวนผมเป็นอะไร แค่เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ มา ๑ สมัย แต่คนที่ถูกชวนขอให้ดูซะหน่อยว่าเป็นรัฐมนตรีมาแล้ว ๕ หน เป็นรองนายกรัฐมนตรีมา ๓ หน เป็นผู้ว่าฯ กทม.มาอีก ๔ ปี คนอย่างผมไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกมาจากไหน... 
    ...มีรัฐธรรมนูญมาตราไหนกำหนดเอาไว้ มันเป็นสิทธิพึงมีของบุคคลตามระบอบประชาธิปไตยว่าจะไปหรือไม่... 
    แล้วทำไมพรรคตระกูลเพื่อถึงกระเหี้ยนกระหือรือจะขึ้นเวทีดีเบตเอาในเวลานี้ 
    กรณี "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นอกจากหลบเลี่ยงไม่ยอมดีเบตแล้ว จะพบว่าหลังได้เป็นนายกรัฐมนตรี ยังพยายามหลบเลี่ยงที่จะตอบข้อซักถามต่างๆ ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
    ทุกข้อสงสัยในการบริหารราชการแผ่นดิน คนที่ตอบคือ 
    "รัฐมนตรี"
    ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี 
    ขนาดฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี คนที่ชี้แจงก็ยังเป็นรัฐมนตรี
    แต่ก็พอมองเห็นว่า "ยิ่งลักษณ์" ลุกขึ้นพูดกับสภาบ้างเหมือนกัน ในประเด็นที่รัฐมนตรีคนอื่นให้คำตอบแทนไม่ได้ 
    นั่นคือเรื่อง "โง่" 
    ...ข้อกล่าวหาที่ระบุว่าดิชั้นนั้น "โง่" คิดว่าเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบาย 
    เนื่องจากเราไม่เคยได้ร่วมทำงานกัน 
    แต่คนที่ทำงานกับดิชั้นจะรู้ดีว่าดิชั้นมีความรู้ความสามารถเพียงใด....
    นั่นคือคำตอบ 
    มาวันนี้พรรคตระกูลเพื่อเห็นจุดอ่อนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือพูดไม่เก่ง โมโหง่าย จึงพยายามลากไปเชือดบนเวทีดีเบต
    เรื่องมีอยู่แค่นั้น 
    แต่...เพื่อไทยแน่ใจนะว่าคนของตัวเองที่จะส่งขึ้นเวทีดีเบตนั้นคือแคนดิเดตนายกฯ ตัวเอง 
    ช่วงหลังเห็น "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" พูดเรื่องไม่เอาจำนำข้าว ไม่เอานิรโทษกรรม พร้อมทำงานกับทุกคนแล้ว ชักเป็นห่วงเจ๊จริงๆ
    หรือจะโดนหลอกอีกคน!.

ปปช.ชะลอคดีการเมืองช่วงเลือกตั้ง

ประธาน ป.ป.ช.ตัดพ้อ ปราบโกงเป็นวาระระดับชาติแต่ให้งบแค่ 3 พันล้าน คิดเป็น 0.1%  ของ พ.ร.บ.งบประมาณ เผยชะลอคดีการเมืองก่อนเลือกตั้ง หวั่นอาจเกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกัน  ยันหลังเลือกตั้งทำแน่ที่ผ่านมาใกล้เสร็จแล้ว  
    เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นประธานเปิดงานสัมมนาระหว่างคณะกรรมการ ป.ป.ช.และผู้บริหารหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เพื่อยกระดับธรรมาภิบาลในการบริหารรัฐวิสาหกิจ โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ปัจจุบันมีผู้ประกาศตัวเสนอเป็นตัวแทนประชาชนในการทำงานนิติบัญญัติและบริหารประเทศ ดังนั้นต้องแสดงเจตจำนงทางการเมืองเรื่องการป้องกันการทุจริต ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ย่อยที่ 2 ของยุทธศาสตร์ป้องกันและปราบปรามการทุจริตระยะที่ 3
    พล.ต.อ.วัชรพลกล่าวว่า ปัจจุบันคณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการกำกับติดตามมาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับ อย่างไรก็ดีงบประมาณที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาการทุจริตต้องมีการปรับปรุงพัฒนา ยกตัวอย่างรัฐวิสาหกิจทั้งหมดมีทรัพย์สินมากกว่า 12 ล้านล้านบาท 
    "ขณะที่ พ.ร.บ.งบประมาณ 2562 มีงบ 3 ล้านล้านบาท แต่งบที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาการทุจริตตกปีละ 3 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 0.1% ของ พ.ร.บ.งบประมาณเพื่อนำมาแก้ไขปัญหาการทุจริต ทั้งที่บอกว่าเป็นวาระแห่งชาติ เงิน 3 พันล้านบาทเป็นเงินเดือนของหน่วยงานสำคัญในการปราบปรามการทุจริต เช่น ป.ป.ช., สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ดังนั้นต้องอาศัยเครือข่ายประชาชนที่อยู่ในภาคเอกชนให้ความร่วมมือด้วย" ประธาน ป.ป.ช.กล่าว
    พล.ต.อ.วัชรพลให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช.ทำหนังสือเสนอหลักเกณฑ์ป้องกันการทุจริตเชิงนโยบายให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไปดำเนินการตรวจสอบนโยบายของแต่ละพรรคการเมืองว่า หลังจากนี้ กกต.ต้องไปดูหลักเกณฑ์ดังกล่าว รวมทั้งส่งหลักเกณฑ์ให้พรรคการเมืองต่างๆ นำไปเปรียบเทียบกับนโยบายที่พรรคนำเสนอ โดย ป.ป.ช.จะมีการเฝ้าระวังและวิเคราะห์ข้อมูลจากนโยบายพรรคการเมือง หากพบว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือมีความผิดทางอาญาจะมีการไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไป ถือว่าเป็นการทำงานเชิงรุกของ ป.ป.ช. โดยวิเคราะห์นโยบายไว้ก่อนว่าเป็นอย่างไร ไม่ต้องให้คนมาร้องเรียนหลังจากที่มีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว
    "ในช่วงนี้อยู่ระหว่างเลือกตั้ง ป.ป.ช.ได้หารือกัน และกรรมการทุกคนรับทราบแล้วว่าจะยังไม่มีการสรุปคดีที่เกี่ยวกับแคนดิเดตนักการเมืองในช่วงก่อนเลือกตั้ง เพราะอาจเกิดปัญหาความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง โดยหลังเลือกตั้ง ป.ป.ช.จะมีการดำเนินการสรุปคดีที่เกี่ยวกับนักการเมืองหลายคดี  ที่ผ่านมาดำเนินการใกล้เสร็จแล้ว" พล.ต.อ.วัชรพลกล่าว
    ส่วนกรณีช่วงเดือน ต.ค.62 ที่ ป.ป.ช.จะเป็นประธานการประชุมประจำปีของหน่วยงานต่อต้านการทุจริตในภูมิภาคอาเซียน (SEA-PAC) โดยหยิบยกคดีสินบนโรงไฟฟ้าขนอม และคดีปลูกปาล์มน้ำมันที่อินโดนีเซียมาหารือ และจะแล้วเสร็จในปี 2562 นั้น พล.ต.อ.วัชรพลกล่าวว่า ปัจจุบันทั้ง 2 คดีมีความคืบหน้าไปมาก ได้สอบปากคำผู้ถูกกล่าวหาและผู้ที่เกี่ยวข้อง มีการเพิ่มชื่อผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 2 คดี แต่ไม่ขอระบุในรายละเอียด เชื่อว่าทั้ง 2 คดีนี้อาจเสร็จสิ้นภายในกลางปีนี้ หรืออย่างช้าที่สุดคือภายในปี 2562.

ติวเข้มทำบัญชีค่าใช้จ่าย ปิยบุตรทวงบุญคุณ'พี่ศรี'

    กกต.ติวเข้ม 78 พรรคการเมืองทำบัญชีใช้จ่ายเลือกตั้ง เตือน กม.ใหม่ซับซ้อนผิดพลาดมีโทษ รับระเบียบหยุมหยิมปฏิบัติยาก เล็งเสนอแก้ไขในอนาคต "ศรีสุวรรณ" ยื่นยุบพรรคอนาคตใหม่ เหตุอุปโลกน์ประวัติ-หาเสียงดูหมิ่นคนอีสาน "ธนาธร" ล่องใต้หาเสียงเมินโดนร้องบอกเรื่องเล็ก "ปิยบุตร" ลั่นพร้อมถูกตรวจสอบแต่ขออย่าใช้เป็นเครื่องมือการเมือง แจงลงประวัติหัวหน้าผิดแค่พลาดทางเทคนิค พร้อมทวงบุญคุณเคยโอนเงินช่วยสมัยถูกศาลปรับ
    ที่โรงแรมทีเค พาเลซ วันที่ 25 ก.พ. นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงแนวทางการจัดทำบัญชีแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.และพรรคการเมือง โดยมีผู้แทนจากพรรคการเมือง 78 พรรค ผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำจังหวัด และเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติของสำนักงาน กกต.รวม 432 คนเข้าร่วมการประชุม
    นายอิทธิพรกล่าวว่า การจัดทำบัญชีรับ-จ่ายของพรรคการเมืองเป็นเรื่องสำคัญมาก อย่างน้อยต้องประกอบด้วยค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมถึงรายจ่ายค้างชำระ โดยเอกสารจะต้องถูกต้องครบถ้วนเป็นไปตามความเป็นจริง  
    "กกต.ได้ออกระเบียบและวิธีการจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ตลอดจนวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียง จึงขอให้พรรคการเมืองศึกษาและทำความเข้าใจเพื่อปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน นอกจากนี้ กกต.ได้จัดบรรยายถึงวิธีการจัดทำบัญชีรายรับและรายจ่ายในการเลือกตั้ง ซึ่งมีทีมวิทยากรจากกรมบัญชีกลางและสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมาบรรยายทำความเข้าใจอย่างละเอียด" นายอิทธิพรกล่าว
    นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต.กล่าวว่า กฎหมายเรื่องค่าใช้จ่ายในการหาเสียงเปลี่ยนแปลงไปมากเหมือนเริ่มนับหนึ่งใหม่ ซึ่งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ให้ความสำคัญกับค่าใช้จ่าย การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต้องใช้ทุน แต่ทุนต้องโปร่งใสตรวจสอบได้ จึงออกกฎหมายให้ กกต.เน้นตรวจสอบการใช้เงินระหว่างการเลือกตั้ง โดย กกต.สามารถร้องขอให้กรมบัญชีกลางหรือสำนักงานตรวจสอบบัญชีเข้าไปตรวจสอบบัญชีพรรคการเมืองระหว่างการเลือกตั้งได้ 
    "กฎหมายกำหนดให้พรรคการเมืองชี้แจงที่มาของเงิน วิธีการใช้จ่ายเงิน และการรายงานงบการเงินประจำปี โดยการบันทึกค่าใช้จ่ายผู้สมัครและพรรคการเมืองต้องมีความรู้พื้นฐานจากวิธีหาเสียงและลักษณะต้องห้าม เป็นฐานคิดค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง โดยค่าใช้จ่ายถูกกำหนดไว้ที่ 1.5 ล้านบาท เขตใหญ่ขึ้นแต่เงินเท่าเดิม ในส่วนของพรรค 35 ล้านบาท ถ้าค่าใช้จ่ายเกินจะมีปัญหา กรณีนำพ่อแม่ลูกเมีย ญาติพี่น้องมาเป็นผู้ช่วยหาเสียง หรือกรณีป้ายหาเสียงถูกทำลายแล้วทำป้ายใหม่ไปติดทดแทน ต้องนำไปคิดรวมเป็นค่าใช้จ่ายหรือไม่ ผู้สมัครและพรรคการเมืองต้องศึกษาให้ดี เพราะหากทำไม่ถูกต้องมีโทษ" นายแสวงกล่าว
    รองเลขาฯ กกต.กล่าวว่า กฎหมายกำหนดค่าใช้จ่ายเป็น 3 ประเภท คือ 1.ค่าใช้จ่ายของผู้สมัคร  1.5 ล้านบาท เริ่มนับตั้งแต่วันที่มี พ.ร.ฎ.ให้มีการเลือกตั้งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.ค่าใช้จ่ายตามประเพณี เงินทำบุญ เกิน 3,000 บาทต้องบันทึกเป็นค่าใช้จ่าย รวมเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งครั้งต่อไป เริ่มนับหลังการเลือกตั้งหรือตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค.ไปจนครบวาระ ซึ่งเป็นภาระของผู้สมัคร สมมุติดำรงตำแหน่งวาระ 3  ปี ใช้จ่ายไป 1 ล้านบาท การหาเสียงเลือกตั้งครั้งต่อไปจะเหลือแค่ 5 แสนบาท ส่วนกรณีเป็นการทำบุญนอกเขตเลือกตั้งจะนับเป็นค่าใช้จ่ายของพรรค เช่น การมอบรางวัลในงานต่อยมวย ใครไปบริจาคอะไรไว้ต้องลงบันทึก ถ้าตกหล่นแล้วสำนักงาน กกต.เห็นเองจะบันทึกให้ หากค่าใช้จ่ายเกิน 1.5 ล้านบาท  ครั้งหน้าจะไม่ได้เป็น ส.ส. และ 3.เป็นเงินที่พรรคสามารถบริจาคให้ผู้สมัคร คล้ายเงินสนับสนุนผู้สมัคร  ซึ่งเริ่มนับแต่วันที่มี พ.ร.ฎ.จนถึงวันเลือกตั้ง
รับ กม.หาเสียงหยุมหยิม
    "กฎหมายสลับซับซ้อนดังกล่าวเป็นปัญหาทางธุรการของพรรคและสำนักงาน กกต. ซึ่งต้องยอมรับว่าระเบียบหยุมหยิมปฏิบัติยาก กกต.ไม่อยากทำแต่กฎหมายเขียนให้ทำ ทั้งจำนวนป้าย ขนาดป้าย และสถานที่ปิดประกาศ หลังจากนี้ กกต.จะประมวลผลว่าระเบียบต่างๆ สร้างภาระให้พรรคการเมืองและสำนักงาน กกต.อย่างไร สิ่งที่ได้มาตรงตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่ต้องการให้การหาเสียงเลือกตั้งเป็นไปอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่ ในอนาคตอาจต้องเสนอแก้ไขกฎหมาย แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ต้องใช้ระเบียบนี้ไปก่อน" รองเลขาฯ กกต.กล่าว
    ต่อมานายอิทธิพรกล่าวถึงกรณี พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาฯ กกต.ระบุว่าจะแจกใบส้มให้ผู้สมัคร ส.ส.ที่ถูกร้องเรียนและตรวจพบความผิดเองว่า ไม่มี เข้าใจว่าที่เลขาฯ พูดเป็นไปตามหลักการเท่านั้น  การพิจารณาจะให้ใบส้มหรือใบแดงแก่ผู้สมัคร ส.ส.ที่ถูกร้องเรียนต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและหลักการมากกว่า ซึ่งตามจริงแล้ว กกต.ก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในระหว่างที่จะมีการเลือกตั้ง
    "อยากให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเสรี ทุกคนมีส่วนร่วมได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ในช่วงนี้แม้จะใกล้วันเลือกตั้งแล้วแต่เราก็ไม่มีความกังวลอะไร ซึ่งสิ่งที่ต้องทำคือการติดตามเรื่องที่ต้องติดตาม เช่น การพิมพ์บัตรเลือกตั้ง การเตรียมการของเจ้าหน้าที่ การเตรียมการเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตและนอกราชอาณาจักร ซึ่งขณะนี้ยืนยันว่าเรื่องพิมพ์บัตรไม่มีปัญหา" ประธาน กกต.กล่าว
    ขณะที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เดินทางไปยื่นคำร้องต่อประธาน กกต.ขอให้ตรวจสอบกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค กระทำการต้องห้ามตามมาตรา 73 (5) ประกอบมาตรา 132 และมาตรา 159 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2560 
    นายศรีสุวรรณกล่าวว่า การที่เว็บไซต์ของพรรคอนาคตใหม่เผยแพร่ประวัติของนายธนาธรว่าเคยเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 2 สมัย ทั้งที่ไม่เคยดำรงตำแหน่งดังกล่าว ถือเป็นการอุปโลกน์ข้อมูลดังกล่าวขึ้น การที่พรรคนำเสนอว่าหัวหน้าพรรคเคยดำรงตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตั้งแต่ปี 2551-2555 จึงเป็นการหลอกลวงประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งให้เข้าใจผิดในข้อมูลข้อเท็จจริง มีโทษตามมาตรา 159 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. จำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 2 หมื่นถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งผู้นั้นมีกำหนด  20 ปี
    "การจะอ้างว่าไม่เจตนาต้องดูองค์ประกอบปัจจัยแวดล้อมหลายด้าน พรรคได้รับการรับรองจากนายทะเบียนพรรคการเมืองตั้งแต่ 3 ต.ค.61 และเว็บไซต์ของพรรคก็นำเสนอข้อมูลดังกล่าวตั้งแต่นั้น จนกระทั่งมีผู้ไปค้นพบว่าข้อมูลที่นำเสนอไม่ใช่ข้อเท็จจริง แล้วจึงค่อยมีการแก้ไขเมื่อ 20 ก.พ.62 ระยะเวลากว่า 5 เดือนที่ปรากฏข้อมูลอยู่ในเว็บไซต์ของพรรค จึงเป็นการชี้ชัดว่ามีเจตนาต้องการที่จะสื่อข้อมูลเหล่านั้นให้ผู้บริโภค ดังนั้นการจะอ้างว่าไม่มีเจตนาที่จะนำเสนอข้อมูลเหล่านั้นจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอ" นายศรีสุวรรณกล่าว
    นอกจากนี้ ได้ขอให้ตรวจสอบกรณีนายปิยบุตรไปปราศรัยที่ จ.สกลนคร เมื่อวันที่ 16 ก.พ. และวันที่ 18 ก.พ.ได้มีการนำข้อความมาโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวในลักษณะว่า หน่วยงานรัฐส่วนกลางและสื่อมวลชนบางกลุ่มร่วมมือกันในการที่จะทำให้คนอีสานเป็นตัวตลกและไม่มีความรู้ คำพูดในลักษณะนี้เป็นการสื่อความหมายดูหมิ่นดูแคลน ใส่ไคล้คนอีสาน หน่วยงานรัฐส่วนกลางและสื่อมวลชนบางกลุ่มซึ่งไม่เป็นข้อเท็จจริง จึงเข้าข่ายเป็นการใส่ร้ายด้วยความเท็จ เข้าข่ายผิดตามมาตรา 73 (5) เช่นเดียวกัน
ธนาธรเมินศรีสุวรรณร้อง
    "การกระทำของบุคคลทั้ง 2 ที่เป็นหัวหน้าและเลขาธิการพรรค ยังอาจมีผลให้การเลือกตั้งไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งตามกฎหมายเลือกตั้งมาตรา 132 กำหนดว่า กรณีปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าหัวหน้าและคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองกระทำ มีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลยให้ผู้สมัครของพรรคกระทำการอันอาจทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริต เที่ยงธรรม สามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นได้ จึงขอให้ กกต.พิจารณาในประเด็นดังกล่าวด้วย" นายศรีสุวรรณกล่าว
    ด้านนายธนาธรซึ่งลงพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ช่วยผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่หาเสียง กล่าวถึงกรณีนายศรีสุวรรณยื่นร้องเรียน กกต.ว่า เป็นเรื่องเล็ก ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โต พรรคเราไม่ได้ให้ความใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และจะเดินหน้ารณรงค์เผยแพร่อุดมการณ์ของพรรคอย่างต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้ต่อไป
    เช่นเดียวกับนายปิยบุตรที่ได้กล่าวว่า เมื่อนายศรีสุวรรณต้องการตรวจสอบคุณธนาธรและตน รวมทั้งพรรคอนาคตใหม่ พวกตนในฐานะคนที่อยู่ในวงการเมือง เป็นบุคคลสาธารณะ ก็พร้อมในการถูกตรวจสอบและยินดีที่จะชี้แจงให้กระจ่างชัด
    นายปิยบุตรกล่าวว่า กรณีการลงประวัติของนายธนาธรในเว็บไซต์ หัวหน้าพรรค โฆษกพรรค และตนได้ชี้แจงหลายครั้งแล้ว เป็นความผิดหลงเล็กน้อยที่ลงประวัติผิดพลาดไป นายธนาธรและแกนนำพรรคไม่ทราบว่ามีข้อความผิดพลาดนี้เลย จนกระทั่งปรากฏให้เห็นในโลกโซเชียลมีเดีย พรรคก็รีบแก้ไขทันที และตั้งแต่ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ก็ไม่เคยเห็นหรือได้ยินนายธนาธรหรือพรรคอ้างว่านายธนาธรเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมทั้งไม่เคยใช้ในการรณรงค์หาเสียง คะแนนนิยมและความชื่นชอบที่นายธนาธรได้รับทุกวันนี้มาจากจุดยืนที่มั่นคง อุดมการณ์ที่แน่วแน่ ความจริงจังจริงใจในการเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้น
    เลขาฯ พรรคอนาคตใหม่กล่าวว่า กรณีเรื่องอีสานการปราศรัยที่สกลนคร ตนพูดนโยบายยุติราชการรวมศูนย์และทวงคืนอำนาจให้ท้องถิ่น โดยย้อนกลับไปพูดถึงปัญหาการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินไทย ในยุคสมัยหนึ่งที่รวมอำนาจเข้าส่วนกลางและเมืองหลวง แล้วส่งคนไปปกครองตาม พูดถึงความเหลื่อมล้ำทางโครงสร้างระหว่างภาคอีสานกับส่วนกลาง ภาคอีสานมีทรัพยากร อีสานมีศักยภาพ แต่กลับถูกโครงสร้างที่เหลื่อมล้ำกดทับเอาไว้ 
    "ผมพูดถึงการสร้างวาทกรรมในอดีตที่ทำให้คนอีสานถูกกดทับ พูดถึงคนอีสานที่เป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เสรีภาพ ความเสมอภาค คนอีสานผู้ไม่ยอมจำนนกับเผด็จการและการกดขี่ ผมยกย่องวีรกรรมอาจหาญของครูเตียง ศิริขันธ์, ครูครอง จันดาวงศ์ และรำลึกประวัติศาสตร์การสังหารจิตร ภูมิศักดิ์ ปัญญาชนสยามหัวก้าวหน้า ที่บ้านหนองกุง วิญญูชนผู้มีจิตใจเป็นธรรม ไม่หลงเชื่อการสร้างข่าวเท็จของไอโอ คงตัดสินได้ว่าไม่มีข้อความใดเลยที่ผมดูถูกคนอีสาน หากคุณศรีสุวรรณหรือใครอยากพิสูจน์ ผมอยากเชิญชวนให้ฟังคลิปการปราศรัยตัวเต็ม" เลขาฯ พรรคอนาคตใหม่กล่าว
    นายปิยบุตรกล่าวว่า ชื่นชมบทบาทของนายศรีสุวรรณที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในการฟ้องร้องคดีต่อศาล และใช้บทบาทของความเป็นพลเมืองที่ขยันขันแข็งในการตรวจสอบอำนาจรัฐ ยังจำได้ว่าเมื่อคราวที่ถูกศาลปกครองสูงสุดสั่งลงโทษจำคุก 14 เดือน และปรับ 7 แสนบาท แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ก่อน ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลนั้น นายศรีสุวรรณได้รณรงค์ระดมเงินสนับสนุนเพื่อนำไปจ่ายค่าปรับ ตนได้ร่วมโอนเงินระดมทุนและชักชวนคนอื่นๆ ให้ร่วมระดมทุนให้ด้วย 
    "ผมสนับสนุนการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและบุคคลสาธารณะ แต่การตรวจสอบต้องทำโดยสุจริต เพื่อประโยชน์สาธารณะ มิใช่ตรวจสอบเพื่อเปิดช่องทางให้มีการนำกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อกำจัดนักการเมืองพรรคการเมืองที่ตนเองไม่ชอบ เกลียดกลัว" นายปิยบุตรกล่าว.

สถานะ'บิ๊กตู่'สุดพิเศษ วิษณุยํ้าต้องเป็นกลางพูดดีเบตเสี่ยงชี้นำ

    “อุตตม” เผยยังหารือถึงหนังสือสอบถาม กกต.เรื่องดีเบตของ “บิ๊กตู่” เจ้าหน้าที่ พปชร.หอบซองปริศนาไปยื่นในช่วงบ่าย อ้างแค่ซีดีหาเสียง “อิทธิพร” บอกยังไม่ได้รับหนังสือ ท่องสูตร “หัวหน้า-สมาชิก-แคนดิเดต” ประชันวิสัยทัศน์ได้ แต่กั๊กตอบกรณี “ประยุทธ์” วิษณุชี้เป็นเรื่องดีที่สอบถาม เพราะ 7 กกต.จะเป็นที่พิงหลังเหมือนกรณีให้ขึ้นรูปคู่ สถานะ “ลุงตู่” พิเศษไม่เหมือนใคร ทั้งยังสุ่มเสี่ยงหากพูดไม่เป็น “พรรคการเมือง” แห่กระทุ้งให้ขึ้นเวที “พปชร.” ลงทุน 1 ล้านบาทคลอดหนังสือโปรโมตเส้นทาง “พล.อ.ประยุทธ์”
    เมื่อวันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงการทำหนังสือสอบถามคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แคนดิเดตนายกฯ ในบัญชีของพรรคขึ้นแสดงวิสัยทัศน์ (ดีเบต) หรือช่วยผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคหาเสียงได้หรือไม่ว่า กำลังหารือกันเป็นการภายในพรรคอยู่ ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรทั้งนั้น และจะส่งเอกสารไปถาม กกต.เมื่อไรนั้น ต้องรอให้เราเห็นสมควรก่อนว่าจะถามในประเด็นใด เรายังไม่ได้กำหนดยังอยู่ระหว่างหารือกัน
    ต่อมาในเวลา 15.30 น. เจ้าหน้าที่ของพรรค พปชร.ได้นำหนังสือที่ลงนามโดยนายอุตตมมายื่นต่อนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. ซึ่งคาดว่าเป็นหนังสือเพื่อสอบถามแนวปฏิบัติว่า พล.อ.ประยุทธ์จะสามารถขึ้นเวทีหาเสียงช่วยผู้สมัคร รวมถึงร่วมเวทีดีเบตได้หรือไม่อย่างไร มีขอบเขตข้อจำกัดมากน้อยเพียงใด แต่เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวปฏิเสธว่าเป็นซีดีหาเสียงเพื่อนำไปเผยแพร่ตามที่พรรค  พปชร.ได้รับการจัดสรรเวลาในการออกอากาศทางสถานีวิทยุและสถานีโทรทัศน์เท่านั้น แต่ก็มีซองเอกสารอีกฉบับหนึ่งที่นำมายื่นด้วยซึ่งไม่ทราบว่าเป็นเอกสารอะไร
    ด้านนายอิทธิพรกล่าวเรื่องนี้ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับหนังสือ แต่จากการตรวจสอบจากผู้บริหาร กกต. ทราบว่าหนังสืออาจยังมาไม่ถึง ถ้าหากได้รับหนังสือแล้ว กกต.ก็จะพิจารณาตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ซึ่งหลักการหากยึดตามระเบียบว่าด้วยการหาเสียง ผู้ใดที่เป็นหัวหน้าพรรค สมาชิกพรรค และบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกฯ สามารถเข้าร่วมดีเบตที่ กกต.จัดขึ้นได้ ส่วนการลงพื้นที่พบปะประชาชนในเวทีอื่นๆ ของ พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะแคนดิเดตของพรรคนั้น ขอไม่พูดในประเด็นนี้ ขอให้เป็นมติของที่ประชุม กกต.ก่อน
    เมื่อถามว่าอีกมุม พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ และมีตำแหน่งหัวหน้า คสช.ด้วย นายอิทธิพรกล่าวว่า   ประเด็นอื่นๆ เมื่อได้รับหนังสือหรือคำขอจากพรรค พปชร.ก็จะนำสู่ที่ประชุม กกต. ส่วนผลการหารือจะเป็นอย่างไรในแง่มุมใดบ้างขึ้นอยู่กับประเด็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ส่วนความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีจัดโต๊ะจีนระดมทุนของพรรค พปชร.และตำแหน่งที่ทับซ้อนของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น เรื่องดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงาน กกต.
    ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวเรื่องนี้ว่า การที่พรรค พปชร.จะสอบถามไปยัง กกต.ถือเป็นการดี เพราะมีความไม่ชัดเจนอยู่ เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ต่างจากแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคอื่นที่เป็นผู้สมัคร ตรงนั้นไม่มีปัญหา แต่คนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ไม่ได้เป็นผู้สมัครอาจมีความหมิ่นเหม่อยู่ แต่ขณะนี้ไม่ทราบว่า พปชร.ถามไปหรือยัง และได้คำตอบแล้วหรือยัง ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าแคนดิเดตนายกฯ ควรร่วมดีเบตนั้นไม่มีใครสงสัย เพราะใครๆ ก็อยากดูอยากฟัง ตนเองก็อยากด้วย  แต่ปัญหาคือมีข้อจำกัดสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์หรือไม่ 
สถานะ 'บิ๊กตู่' สุดพิเศษ
    “การที่ พปชร.นำรูป พล.อ.ประยุทธ์ไปขึ้นป้ายตามเวทีปราศรัยเพราะ กกต.บอกว่าทำได้ หากไม่บอกมาเช่นนี้ก็ไม่เชื่อว่าจะมีใครกล้า เช่นเดียวกับเรื่องดีเบต ถ้า กกต.บอกว่าได้จะได้สบายใจ หากมีการฟ้องร้องตรงนี้จะช่วยได้เยอะ ทั้งนี้หาก กกต.ตอบว่าได้แล้ว การจะไปหรือไม่อยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์” นายวิษณุกล่าว
    นายวิษณุกล่าวอีกว่า ที่กฎหมายระบุให้ข้าราชการต้องวางตัวเป็นกลาง คำว่าเป็นกลางมีความหมายไม่ไปโน้มเอียงกับฝ่ายใด ถ้าดีเบตแล้วพูดนโยบายของตัวก็ถือว่าเป็นกลาง ซึ่งอาจคล้ายกับนโยบายพรรคอื่น เพียงแต่อย่าไปขานรับนโยบายพรรคไหนก็แล้วกัน จึงยากนิดนึงสำหรับคนที่เป็นนายกฯ อย่าง พล.อ.ประยุทธ์หากจะรับไปดีเบต แต่แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคอื่นไม่ยุ่งยากในเรื่องนี้ เพราะไม่มีสถานะเป็นข้าราชการ แต่ พล.อ.ประยุทธ์มีความจำเป็นตรงเป็นกลาง ดีเบตได้ เราก็อยากดู  แล้วดีเบตอย่างไรให้เป็นกลาง ถ้าทำได้ก็โอเค ถ้าทำไม่ได้ก็เสี่ยง และถ้าไปพูดถึงนโยบายพรรคก็ถือว่าเอนเอียง แต่ถ้าตอบให้เป็นนโยบายตัวเอง ถ้าตอบเป็นมันทำได้
    เมื่อถามว่า หากสิ่งที่พูดไปสอดคล้องกับนโยบาย พปชร. นายวิษณุสวนว่า ทำไมไม่คิดว่านโยบายพรรค พปชร.มาสอดคล้องกับรัฐบาล หากพูดเป็นมันไม่ขัดความเป็นกลางของข้าราชการ หากพูดไม่เป็นอันตราย และการดีเบตคือการตั้งคำถามเดียวกันให้ทุกคนตอบ บางคำถามเป็นคุณเป็นโทษ บางคำถามคนอื่น แต่บางคำถาม พล.อ.ประยุทธ์ตอบอย่างไรก็เสียเปรียบ ไม่ใช่ตอบไม่ได้ แต่จะถลำไปในสิ่งที่ท่านไม่ควรพูด ส่วนจะพูดคำว่าประชารัฐนั้น พล.อ.ประยุทธ์พูดได้ แต่ถ้าจะพูดว่าพลังประชารัฐนั้นอันตราย
    เมื่อถามว่า พล.อ.ประยุทธ์มีสถานะเป็นคนนอกพรรค พปชร. การไปร่วมดีเบตเข้าข่ายชี้นำพรรคหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่าก็มีโอกาสที่จะเป็นอย่างนั้น จึงเป็นห่วงว่าตอบเป็นหรือเปล่า เพราะสถานะของผู้สมัคร ส.ส.กับแคนดิเดตนายกฯ เทียบเท่ากันไม่ได้ มีความแตกต่างกันมาก 
ถามต่อว่า ความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐของ พล.อ.ประยุทธ์ไม่สามารถอ้างความเป็นแคนดิเดตนายกฯ ในการร่วมดีเบตใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ถ้า กกต.บอกว่าได้จะได้หมดเรื่อง แต่การไปร่วมวงดีเบตยังนึกไม่ออกจะพูดนโยบายของตัว ของ พล.อ.ประยุทธ์ หรือนโยบายของพรรค และโดยนิตินัย พฤตินัย  หรืออะไรก็ตาม วันนี้เราพยายามไม่ให้สองอย่างเชื่อมโยงกัน ฉะนั้นเวลาพูดท่านอาจตอบในนโยบายของท่านเอง อยู่ที่เทคนิคของผู้ร่วมวงดีเบตที่จะทำให้เห็นว่าสิ่งที่พูดเป็นนโยบายตัวเอง นโยบายพรรค  หรือนโยบายของหลายพรรค
    เมื่อถามถึงคุณสมบัติ พล.อ.ประยุทธ์ซึ่งเป็นหัวหน้า คสช.จะถือว่าขัดต่อการเป็นแคนดิเดตนายกฯ  รัฐธรรมนูญ มาตรา 98 หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า หัวหน้า คสช.ไม่ถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามนิยามมาตรา 98 ของรัฐธรรมนูญ เพราะผู้ที่รับเงินเดือนของรัฐไม่ใช่ทุกคนเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตราดังกล่าว และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เคยมีคำวินิจฉัยเมื่อปี  2557 ว่า คสช.ไม่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน เนื่องจากไม่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีสถานะเป็นองค์กรหนึ่งที่ตั้งขึ้นชั่วคราวตามรัฐธรรมนูญ
บิ๊กป้อมท่องคาถา 'ไม่' ลูกเดียว
    ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีพรรคการเมืองเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์เข้าร่วมดีเบตกับแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมืองต่างๆ นั้นว่า ไม่รู้และยังไม่ได้คุยเรื่องการเมืองกับ พล.อ.ประยุทธ์ในช่วงนี้ เมื่อถามต่อว่าเป็นห่วงหรือไม่หาก พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเวทีดีเบต พล.อ.ประวิตรกล่าวว่าไม่เป็นห่วง และเมื่อถามต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้ทาบทามให้ พล.อ.ประวิตรไปช่วยงานต่อหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่รู้ๆ 
    ถามต่อว่าหนักใจหรือไม่ที่มีพรรคการเมืองยื่นเรื่องให้ กกต.พิจารณาคุณสมบัติของ พล.อ.ประยุทธ์ว่าขัดคุณสมบัติการเป็นแคนดิเดตนายกฯ พล.อ.ประวิตรตอบว่าไม่หนักใจ ถึงแม้ว่าพรรคการเมืองจะเร่งรัดให้ กกต.เร่งดำเนินการพิจารณาเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว ก็ให้ กกต.ดำเนินการตามวิธีไป
    ทั้งนี้ น่าสังเกตว่าการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประวิตร จะตอบเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับความมั่นคงและกองทัพเป็นหลัก ส่วนประเด็นการเมืองจะตอบสั้นว่า "ไม่-ไม่รู้-ไม่มี" เท่านั้น
    ด้านความคิดเห็นของซีกพรรคการเมืองนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  (ปชป.) กล่าวว่า ต้องการให้เวทีดีเบตของไทยเป็นมาตรฐานเหมือนอย่างในต่างประเทศ ที่มีการส่งเสริมให้คนที่อาสามาทำงานให้ประชาชนได้พูดคุยกันในรูปแบบที่สร้างสรรค์ ซึ่งดีใจที่พรรคเพื่อไทย (พท.)  เห็นด้วยว่าควรมีเวทีดีเบต
    "ผมมองว่าการที่นักการเมืองสื่อสารข้างเดียวนั้น ประชาชนจะไม่ได้รับทราบข้อมูลที่ครบถ้วนและไม่ได้ตอบคำถามหลายอย่าง ทำให้ประชาชนไม่มีการนำข้อมูลมาเปรียบเทียบหรือหักล้างกัน ยกตัวอย่างในอดีตในยุคของนายสมัคร สุนทรเวช และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ไม่ค่อยยอมไปดีเบต และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ไม่ค่อยได้เข้าร่วมประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงไม่ค่อยได้ตอบกระทู้อย่างที่ควรจะเป็น" นายอภิสิทธิ์กล่าว
    นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวอีกว่า ส่วนเวทีดีเบตที่ กกต.จัดอยู่ในขณะนี้เห็นว่ามีปัญหา ซึ่งเท่าที่รับทราบคือมีการจับคู่ดีเบตโดยไม่ได้เดินทางมาพร้อมกัน ซึ่งตนเองคู่กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ซึ่งควรพยายามผลักดันให้เป็นเวทีที่เป็นมาตรฐานสากล
    คุณหญิงสุดารัตน ์เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรค พท.กล่าวว่า อยากเชิญชวน พล.อ.ประยุทธ์มาร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในการดีเบตของเวทีพรรคการเมือง เพราะในระบอบประชาธิปไตยเป็นเรื่องน่ายินดี และประชาชนจะได้ประโยชน์จากการนำเสนอแนวคิดของผู้นำแต่ละพรรค
    นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรค พท.กล่าวเช่นกันว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีหาก พล.อ.ประยุทธ์ จะเข้าร่วมในวงดีเบตเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลเพิ่มขึ้น ก่อนตัดสินใจเลือกว่าจะให้ใครหรือพรรคไหนเข้ามาบริหารประเทศ การพูดคุยในเวทีดีเบตต่างจากการพูดประจำในคืนวันศุกร์ ที่เป็นการพูดในเรื่องที่รัฐบาลต้องการให้ประชาชนฟัง ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์จะเข้ามาตอบข้อสงสัยต่อสาธารณะทั้งในเรื่องคุณสมบัติ การควบบทบาทที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในขณะที่ท่านต้องลงแข่งขันทางการเมืองด้วย
    ขณะที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พท. โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “แน่จริงอย่าหนีดีเบต” ทุกพรรคอยากดีเบตกับ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ท่านก็พายเรือหนี แถมสมัครพรรคพวกก็ออกมาปกป้องราวกับกลัวไข่กระทบหิน จะกลัวอะไรทำงานมาตั้งเกือบ 5 ปี และท่านก็พูดเสมอว่ารู้ทุกเรื่อง
    “เพื่อต่อให้ท่าน ผมบอกโจทย์ให้ก่อนก็ได้ คนเขาอยากรู้ว่าทำไมท่านจึงอยากสืบทอดอำนาจ ไม่เบื่อเป็นนายกฯ บ้างหรือไง คนเขาอยากรู้ว่าเมื่อ ส.ว. 250 คนดันท่านขึ้นมา ท่านจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทน แล้วจะมีวิธีอยู่รอดได้อย่างไร ผู้คนเขาอยากรู้ว่าท่านจะแก้เศรษฐกิจที่ตกต่ำเพราะพวกท่านได้อย่างไร” นายปลอดประสพโพสต์
     นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้ง พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) กล่าวว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์มาดีเบตเช่นเดียวกับตัวแทนพรรคการเมืองคนอื่นๆ ก็เป็นเรื่องดี เพราะที่ผ่านมาพูดคนเดียวตลอด ทั้งไม่ฟังคำวิจารณ์จากผู้อื่น และเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นจะเป็นจุดอ่อนของ พล.อ.ประยุทธ์ โดยหาก พล.อ.ประยุทธ์มาร่วมเวทีดีเบต แล้วถูกคนอื่นวิจารณ์ถูกต้อนกลางเวทีหรือระหว่างการออกอากาศทางโทรทัศน์ ก็ขออย่าได้เอาผิด กลั่นแกล้งหรือใช้อำนาจเล่นงานนักการเมืองที่วิจารณ์หรือช่องรายการที่จัดเวทีดีเบต
     นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทษช.กล่าวว่า หาก กกต.ให้ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาดีเบตได้ ก็ควรพิจารณาว่าจะยังจัดรายการทุกคืนวันศุกร์ต่อไปได้อีกหรือไม่ด้วย เพราะถือเป็นการเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่นๆ 
อย่าดูถูก 250 ส.ว.
     ส่วนนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค พปชร.กล่าวถึงเสียงวิจารณ์ว่าพรรค พปชร.มี 250  ส.ว.เป็นทุนเดิมเลือกนายกฯ ว่า การสร้างวาทกรรมดังกล่าวเป็นการเริ่มต้นความขัดแย้งตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง ทั้งที่ตอนนี้เข้าสู่ประชาธิปไตยแล้ว พปชร.เป็นพรรคที่อาสาเข้าสภาตามกลไกรัฐธรรมนูญ อย่าเอาเรื่องสืบทอดและรัฐประหารมาโจมตีกัน ส่วนกรณี ส.ว. 250 คนเป็นเรื่องที่เกิดก่อนจะมีพรรค พปชร.  และเป็นกลไกตามรัฐธรรมนูญที่ผ่านการลงมติของประชาชน ที่สำคัญเป็นคำถามพ่วงที่แยกออกมาจากคำถามที่อยู่ในรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ซึ่งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) แยกออกมาชัดเจน ซึ่งประชาชนให้ความเห็นชอบ 13.9 ล้านเสียงที่จะให้มีกลไก ส.ว.ในการเลือกนายกฯ ในช่วงระหว่างเปลี่ยนผ่านประเทศ พปชร.เคารพกติกา เพราะคิดว่าถ้าไปวิพากษ์กติกาตั้งแต่เริ่มต้นจะนับหนึ่งไม่ได้ แต่ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับ ส.ว.เพราะเป็นกระบวนการที่อยู่นอกพรรค อีกทั้งยังอยู่ระหว่างกระบวนการสรรหา ยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นใคร คนเหล่านั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพรรค
    เมื่อถามว่าคนที่เลือก ส.ว.คือ พล.อ.ประยุทธ์ นายสนธิรัตน์กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ฝ่ายการเมืองตั้งประเด็นขึ้นมา ส่วนตัวเคารพในกลไกรัฐสภา เชื่อว่า ส.ว.เป็นคนมีคุณภาพ อย่าไปมองว่าคนเหล่านั้นไม่มีคุณภาพ ไม่เป็นธรรมต่อวุฒิสภาที่กำลังจะเกิดขึ้น ต้องให้ความไว้วางใจเพราะเขาก็มีดุลยพินิจของตัวเองเช่นกัน  
    วันเดียวกันที่พรรค พปชร. นายอุตตมพร้อมแกนนำพรรคได้ร่วมแถลงเปิดตัวหนังสือ “ประชารัฐ สร้างชาติ” โดยเนื้อหาพูดถึงมุมมอง เส้นทางชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก ความเป็นมา คู่ชีวิต เหตุผลในการตัดสินใจเข้าบริหารประเทศ และการเข้าสู่การเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ รวมถึงทิศทางนโยบายสำคัญ และผลงานการบริหารประเทศตลอด 4 ปี ซึ่งหนังสือดังกล่าวมีทั้งสิ้น 157 หน้า จัดพิมพ์ 10,000 เล่ม โดยจะแจกให้ผู้สมัคร ส.ส.และทีมงานเพื่อใช้ในการรณรงค์หาเสียง
      นายอุตตมกล่าวว่า หนังสือดังกล่าวจัดพิมพ์ขึ้นเพื่อให้ผู้สมัคร ส.ส.มีข้อมูลตัวตนของ พล.อ.ประยุทธ์ และสิ่งที่ทำมาตั้งแต่ก่อนมาเป็นนายกฯ ไม่ใช่จัดทำเพื่อนำนายกฯ มาหาเสียง เพราะไม่ได้แจกจ่ายทั่วไปหรือวางขาย โดยต้นทุนเล่มละ 100 บาท ซึ่งรวมอยู่ในค่าใช้จ่ายในการหาเสียงแล้ว  
    ทั้งนี้ มีรายงานว่าหนังสือดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ได้ตรวจเนื้อหาทั้งหมดด้วยตัวเอง ก่อนที่จะมีการเผยแพร่และตีพิมพ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ได้รับมอบหนังสือดังกล่าวจากพรรค พปชร.แล้ว
    นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กล่าวถึงหนังสือดังกล่าวว่า "ก็ดีนะ ดูสวยดี" เมื่อถามต่อว่า คิดว่าหนังสือเล่มนี้จะทำให้ประชาชนเข้าใจตัวตนของนายกฯ มากขึ้นหรือไม่ นายสมคิดกล่าวว่า ก็เชื่อว่าจะทำให้ประชาชนรู้จักตัวตนนายกฯ มากขึ้น
ดร.รยุศด์ บุญทัน รองโฆษกพรรคเพื่อชาติ (พ.พ.ช.) กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดีที่มีการออกหนังสือเปิดเผยเรื่องราว ประวัติ ตัวตน และเหตุผลที่ต้องเลือก พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ คนต่อไป แต่น่าเสียดายที่หนังสือไม่มีการจำหน่าย เพราะจะได้วัดความนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์จากยอดขายของหนังสือได้ แม้จะมีหลายวิธีที่จะเพิ่มยอดขาย เช่น การจัดตั้งคนมาเหมาซื้อหนังสือ เป็นต้น และจะรับรู้ถึงความนิยมที่แท้จริงที่ประชาชนมีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ว่าไม่ได้เหมือนโพลที่คะแนน พล.อ.ประยุทธ์นำอยู่เสมอ.