PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2560

'วิสัชนา ๒๕ สิงหากับข่าวลือ'

ศุกร์ ๒๕ สิงหา ๖๐..........
คือวันที่ "ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" นัด "โจทก์-จำเลย" ฟังคำตัดสิน
คดีใน "โครงการรับจำนำข้าว" วันเดียวกัน ๒ คดี!
คดีแรก เป็นคดี "ทุจริตโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี"
มีจำเลยทั้งหมด ๒๘ คน .......
เช่น นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์, นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ เป็นต้น
คดีที่สอง เป็นคดี "ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว"
มีจำเลยคนเดียว คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ
ยิ่งใกล้วัน ยิ่งพูดกันสับสน จะติดบ้าง จะหลุดบ้าง รั่วบ้าง จนดูหมิ่นเหม่ต่อการก้าวล่วงอำนาจศาล
ซึ่งในความเป็นจริง.........
ตราบที่ยังไม่มีคำพิพากษาออกมา จะไม่มีใครรู้เลย ว่าผลคดีจะเป็นอย่างไร
แม้กระทั่งองค์คณะผู้ตัดสินทั้ง ๙ ก็ไม่รู้ นอกจากของตัวเอง!
ผมพูด ไม่มีน้ำหนักให้เชื่อ ........
แต่ท่าน "ชูชาติ ศรีแสง" อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ซึ่งเคยเป็นองค์คณะตัดสินคดีในศาลฎีกาแผนกคคีอาญาฯ มาแล้ว พูด
ต้องเชื่อ และ ควรเชื่อ
ท่านโพสต์ fb ไว้วันก่อน ตอนหนึ่ง ว่า........
"......ในฐานะเคยทำหน้าที่เป็นองค์คณะผู้พิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีแรกของศาลมาก่อน
จึงรู้กระบวนการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลนี้ดี คือ
เมื่อสืบพยานโจทก์ จำเลย เสร็จและนัดฟังคำพิพากษาแล้ว องค์คณะผู้พิพากษาแต่ละท่าน ต่างก็พิจารณาวินิจฉัยว่าจะมีคำพิพากษาอย่างไร
และทำคำวินิจฉัยของตนเอง โดยไม่ได้ปรึกษาหารือกับองค์คณะท่านอื่นๆ
ในวันนัดฟังคำพิพากษา องค์คณะจะมีการประชุมกันในตอนเช้าก่อนเวลานัดฟังคำพิพากษา
และลงมติกันว่า จะมีคำพิพากษาว่าอย่างไร จำเลยมีความผิดหรือไม่ ลงโทษหรือยกฟ้อง
ถ้าลงโทษ เป็นโทษจำคุกหรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ โทษจำคุกกี่ปี โทษปรับเท่าใด โทษจำคุกจะรอการลงโทษหรือไม่
การลงมติให้ถือเสียงข้างมาก เมื่อลงมติกันอย่างไร ก็จะพิมพ์คำพิพากษา แล้วจึงอ่านให้คู่ความฟัง
ณ วันนี้ แม้แต่องค์คณะคดีนี้ แต่ละท่านก็ทราบเฉพาะตัวท่านเองเท่านั้น ว่าจะมีคำวินิจฉัยอย่างไร ไม่อาจทราบได้ว่า ท่านอื่นอีก ๘ ท่านจะมีคำวินิจฉัยอย่างไร
แต่ละท่านจึงยังไม่ทราบว่า องค์คณะผู้พิพากษาอีก ๘ ท่าน แต่ละท่านจะมีมติว่าอย่างไร และมติเสียงข้างมากจะมีว่าอย่างไร
ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ที่มีบุคคลใดบุคคลหนึ่งทราบว่า ศาลจะมีคำพิพากษาอย่างไร
ที่มีการปล่อยข่าวว่าศาลจะพิพากษายกฟ้อง จึงเป็นการกล่าวเท็จอย่างแน่นอน"
ครับ...ก็ชัดเจน ..........
ใครมาเป่าหูว่า รู้แล้ว..รู้แล้ว วันที่ ๒๕ สิงหาศาลตัดสินอย่างนั้น-อย่างนี้ อย่าไปสนใจหรือไขว้เขวตาม
อีกประเด็น...........
ที่พูดกันว่า "๒๕ สิงหาอาจเลื่อนตัดสิน"!
โดยให้เหตุผลว่า จำเลยมีจำนวนมาก ถ้ามากันไม่ครบ ศาลอาจเลื่อน
เพราะ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.๒๕๔๒
มาตรา ๓๒ วรรคสอง บอกว่า.........
"..........ในกรณีที่ศาลนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งตามวรรคหนึ่ง แต่จำเลยไม่อยู่หรือไม่มาฟังคำพิพากษา
ให้ศาลเลื่อนการอ่านไป และออกหมายจับจำเลยมาฟังคำพิพากษา
เมื่อได้ออกหมายจับแล้ว ไม่ได้ตัวจำเลยมาภายในหนึ่งเดือน นับแต่วันออกหมายจับ
ให้ศาลอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งลับหลังจำเลยได้ และให้ถือว่า จำเลยได้ฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นแล้ว"
ตรงนี้ ก็อย่าสับสน........
วันที่ ๒๕ สิงหา "ตัดสิน ๒ คดี" อย่างที่บอกตอนต้น คดีจีทูจี ฟ้องศาลก่อน มีจำเลยรวม ๒๘ คน
มีท่าน "ธนฤกษ์ นิติเศรณี" รองประธานศาลฎีกา เป็นตุลาการเจ้าของสำนวน
ส่วนคดี "ยิ่งลักษณ์" ปล่อยปละละเลย ฟ้องทีหลัง มียิ่งลักษณ์ตกเป็นจำเลยคนเดียว
ท่าน "ชีพ จุลมนต์" ว่าที่ประธานศาลฎีกาคนใหม่ เป็นตุลาการเจ้าของสำนวน
ก็แยกแยะกันให้ดี อย่าสับสนปนเป ต้องเข้าใจให้ชัดว่า คดีทั้ง ๒ เป็นคนละคดี คนละองค์คณะ และตัดสินคนละเวลา
ฉะนั้น ประเด็นเลื่อน-ไม่เลื่อน พูดเหมารวมไม่ได้
ดู "คดียิ่งลักษณ์" ก่อน.........
ยิ่งลักษณ์ เธอนั่งยัน-นอนยันมาตลอด ว่ามาฟังคำตัดสินแน่ แม้วินาทีนี้ ทนายก็ยังยืนยันว่า เจ้มาแน่!
คดียิ่งลักษณ์ มีจำเลยคนเดียว เมื่อจำเลยมาแน่ ประเด็น "เลื่อนคำตัดสิน" ก็ตัดทิ้งไปได้เลย
เว้นแต่ ที่ว่ามาแน่ เอาเข้าจริง "ไม่มาแน่" นั่นแหละ ต้องเลื่อน!
แต่ถ้ากฎหมายลูกฉบับใหม่ที่ "ให้ศาลอ่านคำพิพากษาคดีลับหลังจำเลยได้" ประกาศใช้ ตัดสินได้ทันทีเลย
มาดูคดีจีทูจีที่จะตัดสินก่อนบ้าง คดีนี้ จำเลยมีทั้งหมด ๒๘ คน
เป็นนักการเมืองและข้าราชการ ๖ คน คือ
นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ จำเลยที่ ๑, นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ที่ ๒, พ.ต.นพ.ดร.วีระวุฒิ หรือ "หมอโด่ง" วัจนะพุกกะ อดีตผู้ช่วยเลขานุการและอดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ ที่ ๓,
นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ที่ ๔, นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีต ผอ.สำนักการค้าข้าวต่างประเทศ และอดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ที่ ๕, นายอัครพงศ์ ช่วยเกลี้ยง หรือทีปวัชระ อดีตเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ และอดีต ผอ.สำนักการค้าข้าวต่างประเทศ ที่ ๖
จากรายชื่อตรงนี้ จะเห็นว่า พ.ต.นพ.ดร.วีระวุฒิ หรือ "หมอโด่ง" วัจนะพุกกะ จำเลยที่ ๓ หนีไปแต่ต้นแล้ว
ส่วนเอกชน-นิติบุคคล ๒๒ คน ประกอบด้วย
นายสมคิด เอื้อนสุภา ที่ ๗, นายรัฐนิธ โสจิระกุล ที่ ๘, นายลิตร พอใจ ที่ ๙, บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ที่ ๑๐, น.ส.รัตนา แซ่เฮ้ง ที่ ๑๑, น.ส.เรืองวัน เลิศศลารักษ์ ที่ ๑๒, น.ส.สุทธิดา หรือสุธิดา ผลดี หรือจันทะเอ ที่ ๑๓,
นายอภิชาติ หรือเสี่ยเปี๋ยง จันทร์สกุลพร ที่ ๑๔, นายนิมล หรือโจ รักดี ที่ ๑๕, นายสุธี เชื่อมไธสง ที่ ๑๖, นางสุนีย์ จันทร์สกุลพร ที่ ๑๗, นายกฤษณะ สุระมนต์ ที่ ๑๘, นายสมยศ คุณจักร ที่ ๑๙,
บริษัท กีธา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด หรือบริษัท สิราลัย จำกัด ที่ ๒๐, น.ส.ธันยพร จันทร์สกุลพร ที่ ๒๑, ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงสีกิจทวียโสธร ที่ ๒๒, นายทวี อาจสมรรถ หุ้นส่วนผู้จัดการ ที่ ๒๓,
บริษัท กิจทวียโสธรไรซ์ จำกัด นายทวี อาจสมรรถ กรรมการ ที่ ๒๔, บริษัท เค.เอ็ม.ซี. อินเตอร์ไรซ์ (2002) จำกัด ที่ 25, นายปกรณ์ ลีศิริกุล ที่ ๒๖
บริษัท เจียเม้ง จำกัด ที่ ๒๗, นางประพิศ มานะธัญญา ที่ ๒๘
ในจำนวนนี้ หลบหนีไปแล้ว ๑ คน คือ จำเลยที่ ๑๖ "นายสุธี เชื่อมไธสง"
ประเด็นมา "ครบ-ไม่ครบ" ก็อยู่ที่คดีนี้แหละ ที่เห็นๆ ตายไปแล้วก็มี ที่หนีก็มี อย่างน้อย ๒
แล้วจะยังไง?
ตามมาตรา ๓๒ วรรคสอง บอกว่า "จำเลยไม่อยู่หรือไม่มาฟังคำพิพากษาให้ศาลเลื่อนการอ่านไป และออกหมายจับจำเลยมาฟังคำพิพากษา"
ตามนี้ ก็หมดปัญหาเรื่องเลื่อน!
เพราะยังไงๆ วันที่ ๒๕ สิงหาต้องมีตัวจำเลยอย่างน้อย ๑ คน มาฟังคำพิพากษาแน่นอน คือ จำเลยที่ ๑๔
นายอภิชาติ หรือ "เสี่ยเปี๋ยง จันทร์สกุลพร"
ขณะนี้ เป็น "นักโทษ" อยู่ในคุกแล้ว ด้วยคดียักยอกข้าวรัฐ!
อีกทั้งคนอื่นๆ เช่นนายบุญทรง นายภูมิ ก็ยืนยันว่าไปฟังคำตัดสินแน่ ดังนั้น เงื่อนไขให้เลื่อน มองไม่เห็น
เพราะตามกฎหมายบอกว่า.........
"ต้องมีตัวจำเลยมา"
แต่ไม่ได้กำหนดว่า "ต้องมาครบ-ไม่ครบ"
ดังนั้น แค่มีจำเลยมา ๑ คน ก็ถือว่ามีตัวจำเลยมาฟังคำพิพากษาตามกฎหมายระบุแล้ว
ส่วนคนที่ไม่มา หรือหลบหนี ศาลท่านก็จะออกหมายจับ พร้อมปรับนายประกัน!
เนี่ย....ก็ยึดไว้ประกอบการฟังข่าวลือ-ข่าวปั่น-ข่าวปล่อย จะได้ไม่โยกเอนไปตามที่คนนั้นพูดที-คนนี้พูดที
นอนหลับกันให้สบายเถอะ..........
ส่วน "เอาอยู่-เอาไม่อยู่" ยกให้เป็นเรื่องของ "ทักษิณริ-ยิ่งลักษณ์ยำ" เขาเถอะ.

ง่ายๆแค่ทรงตัวให้นิ่ง

ง่ายๆแค่ทรงตัวให้นิ่ง

เป็นอันว่าเรียลลิตี้ “1 ช่อง 1 รัฐมนตรี” ต้องฟาวล์ไป

แบบที่เห็นๆไฮไลต์ก็ยังอยู่กับ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.ในฐานะพระเอกตามท้องเรื่องที่ครองบทเด่นอยู่คนเดียว

ในฉากการประชุม ครม.สัญจร 2 วัน 1 คืน ที่จังหวัดนครราชสีมา

เหมาพื้นที่ข่าวเอาไว้คนเดียว ทำอะไรก็เป็นเรื่องเป็นประเด็น

แม้กระทั่งช็อตปล่อยมุกฮา คุยกับกบ อยากเป็นเจ้าชายกบ

และดูเหมือนเจ้าตัวเองก็ครึ้มอกครึ้มใจกับสถานะของจุดไฮไลต์ ประเมินจากอารมณ์ทำมือเป็นสัญลักษณ์ทักทายนักข่าวก่อนประชุม ครม. บอก “เลิฟยูนะ”

แม้จะยังคงค้างคาใจ ไม่วายแขวะสื่อบอก “มาทำประโยชน์ให้สาธารณะ”

นัยว่าย้อนศรที่สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์เพื่อแสดงจุดยืนว่า หน้าที่ของสื่อมวลชนทำเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ ไม่ได้มีหน้าที่ประชาสัมพันธ์ผลงานให้รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่ง

ปมที่ทำให้ผู้นำรัฐบาลทหารบึ้งตึงกับนักข่าว งอนสื่อที่ไม่รับมุก

เรื่องของเรื่องมันก็พิสูจน์ด้วยปรากฏการณ์จริง แค่ปล่อยทุกอย่างไปตามธรรมชาติ “นายกฯลุงตู่” ก็ตีกินกระแสแบบนิ่มๆ ในสถานการณ์อำนาจพิเศษที่ไม่มีตัวเปรียบเทียบเป็นคู่แข่ง

ไม่เห็นต้องเอาสไตล์ทหารมาจัดการบริหารมุมการเมือง

เปลืองต้นทุน “ความน่ารักสไตล์ลุงตู่” เรียกแขกโดยไม่จำเป็น

ทั้งๆที่ดูท่าของ พล.อ.ประยุทธ์เองก็เหมือนจะเข้าใจในอารมณ์ธรรมชาติของกระแส

แบบที่ออกตัวเป็นเชิงพูดทีเล่นทีจริงกับคนโคราชให้ได้ยินกันทั่วประเทศว่า เข้าใจคนไทยขี้เบื่อ แต่อย่าเพิ่งไล่รัฐบาล เพราะถ้ายิ่งไล่ก็จะไม่ไปง่ายๆ

นั่นหมายถึงผู้นำ คสช.ก็ประเมินกระแสตลอดเวลา

โดยเฉพาะในเงื่อนไขสถานการณ์ห้วงท้ายโรดแม็ป ปลายเทอมรัฐบาล สถานการณ์ก็ไม่ต่างจากรัฐบาลจากการเลือกตั้งทั่วไป ที่กระแสการเมืองจะข้ามช็อตไปถึงการเลือกตั้ง

ประชาชนจะรอความหวังหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

ตามท้องเรื่องที่โพลรัฐบาล คสช.คะแนนลดจึงเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้น่าตกใจ

ที่สำคัญด้วยสถานะแท้จริงของรัฐบาล คสช.ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ก็แสดงจุดยืนมาตลอดว่า ไม่ได้มีธงหรือหวังผลทางการเมือง

เรื่องของการชิงกระแสจึงมีความสำคัญระดับรองลงไป

สถานการณ์ ณ เบื้องนี้ที่ถูกที่ควร “นายกฯลุงตู่” น่าจะมุ่งไปที่การปั่นเนื้องาน ทำให้ชาวบ้านสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในห้วงอำนาจพิเศษที่แตกต่างไปจากรัฐบาลจากการเลือกตั้ง

แม้จะไม่เห็นผลในห้วงเวลาสั้น โดนด่า โดนบลัฟ โดนเหน็บบ้างก็ธรรมดา

แต่จุดสำคัญมันอยู่ตรงความตั้งใจดี สิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่รับรู้และให้โอกาสรัฐบาล คสช.มาตั้งแต่ต้นของการยึดอำนาจจากนักการเมือง

เดิมพันของ “ลุงตู่” จึงอยู่ที่สถานการณ์ในทางยาวๆของการปฏิรูปมากกว่า

และก็เป็นอะไรที่เริ่มเห็นผลแล้ว จากการแน่วแน่ตามยุทธศาสตร์

ล่าสุดคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 ของปี 2560 ขยายตัว 3.7 เปอร์เซ็นต์

เป็นการขยายตัวที่สูงเกินคาดและขยายตัวสูงสุดในรอบ 17 ไตรมาส

โดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล พูดชัดเลยว่า ตัวเลขดังกล่าวถือว่าน่าพอใจ เป็นการแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยได้ฟื้นตัวโดยลำดับและต้องการรักษาโมเมนตัมนี้ไว้ให้ดี เพราะจะได้เอื้อต่อการปฏิรูปประเทศในระยะต่อไป

นี่ต่างหากที่เป็นแนวทางที่ถูกต้องในการมุ่งธงเป้าหมายของรัฐบาล คสช.

และสำหรับนายสมคิดถือว่า “เบาตัว” แล้ว

โดยสถานการณ์เศรษฐกิจที่โหดและหินจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ แต่ยังสามารถประคองเอาตัวรอดมาได้ แถมตัวเลขจีดีพียังเหนือการคาดหมาย แนวโน้มทะลุถึงร้อยละ 4

นั่นมาจากที่ “สมคิด” เลือกที่จะนิ่ง ไม่ว่อกแว่กกับแรงเสียดทาน

มั่นใจในคำตอบสุดท้าย พาเศรษฐกิจมาถูกทาง.

ทีมข่าวการเมือง

มาให้กำลังใจได้ แต่ อย่ามาป่วน

"มาให้กำลังใจได้ แต่ อย่ามาป่วน"
บิ๊กป้อม เตือน มวลชนให้กำลังใจ "ยิ่งลักษณ์"25 สค. มาได้ แต่อย่ามาป่วน ยันใช้แผนกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยตามเดิม เชื่อมวลชน กลับทันที หลับมีคำพิพากษา
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวว่า ไม่กังวล มวลชนให้กำลังใจ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันอ่านคำพิพากษา คดีรับจำนำข้าว 25 สค.นี้
"ขอให้มาให้กำลังใจ แต่อย่ามาป่วน"
ทั้งนี้ ฝ่ายความมั่นคง ไม่ได้เพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัย ก็จะทำแบบเดิม ซึ่งขณะนี้ ด้านการข่าว ยังไม่พบกลุ่มมือที่สาม สร้างสถานการณ์
ส่วนการดูแลรถตู้ รถไฟฟรี และขนส่งสาธารณะ ที่มวลชนจะใช้เดินทางมาให้กำลังใจนั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่ขอตอบในเรื่องนี้ สื่อถามทุกวัน เชื่อมั่นไม่มีเหตุอะไร
และเมื่อภายหลังศาล อ่านคำพิพากษาแล้ว เชื่อว่ามวลชนก็จะทะยอยเดินทางกลับภูมิลำเนา
พลเอกประวิตร ปฏิเสธที่จะพูดถึง การเคลื่อนไหวของแกนนำกลุ่มการเมืองที่นิยมความรุนแรง

"ลุงตู่”'รมณ์เสีย "หมวดป้อง" ลาออก เกี่ยวอะไรกับผม เป็นหลาน ไม่ใช่ลูก

"ลุงตู่”'รมณ์เสีย "หมวดป้อง" ลาออก เกี่ยวอะไรกับผม เป็นหลาน ไม่ใช่ลูก ไม่ได้เลี้ยงมา เป็นเรื่องของครอบครัวเขา อย่าเอามาโยง เพราะกดดัน เป็น"หลานนายกฯ"
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. กล่าวถึง หมวดป้องร.ต.ปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา หรือ ลูกชายบิ๊กติ๊ก พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกลาโหม ซึ่งเป็นน้องชาย ลาออกจากราชการทหาร โดยระบุสาเหตุว่าเพราะถูกหลายฝ่ายจับตามอง จนทำให้รู้สึกกดดันเนื่องจากเป็นหลานชายของนายกฯ
นายกฯ กล่าวยังมีอารมณ์ ว่า “ เขาเป็นลูกชายของ พล.อ.ปรีชา เขาเป็นใครล่ะ เป็นหลานของผม ก็เป็นลูกของ พล.อ.ปรีชา แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม
ผมเป็นญาติก็คือญาติ ส่วนเขาจะออกจะลา เขาจะไป เขาจะมา หรือจะไปไหน ก็ไปเถอะ ไม่ใช่เรื่องของผม เป็นเรื่องของครอบครัวเขา สื่อเอามาพันกันอยู่ได้
ผมไม่ได้เลี้ยงเขา พ่อแม่เขามี ก็เป็นเรื่องของเขา ผมไม่ได้เลี้ยงดูอะไร เขาเลย เอามาพันกันไปกันมา วุ่นกันตาย”