PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2562

ไม่ลาออก!!'บิ๊กตู่'ประกาศลั่นอยู่ในตำแหน่ง'นายกฯ-คสช.'จนได้รัฐบาลใหม่

“บิ๊กตู่” แย้มตอบรับพรรคการเมืองต้องอยู่ในบัญชีนายกฯ ระบุ 4-8 ก.พ.นี้ ชัด ลั่นไม่ลาออก  อ้างกม.ไม่ได้บังคับ เผยรอบคอบ สั่งฝ่ายกม.หารือกกต.ข้อควรระวังนับจากนี้ หวั่นโดนเช็กบิล ยอมรับกังวลหลังเลือกตั้ง ไฟเขียวทหารเกาะติดทุกพรรค
29 ม.ค.62 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงอนาคตทางการเมืองของตัวเองว่า เรื่องการตัดสินใจทางการเมือง ตนบอกแล้วว่าต้องรอให้เขามาเชิญก่อน เมื่อเชิญมาแล้วก็ต้องมีระยะเวลาที่ตนจะต้องนำนโยบายของเขามาศึกษา ว่ามีความเป็นไปได้อย่างไร ถ้าตนจะร่วมกับเขาในทางการเมือง  ต้องดูหลายๆ นโยบายตนรับได้หรือไม่ ในเมื่อตนทำมา 4-5 ปี ก็พอจะรู้บ้างว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ อะไรทำได้หรือไม่ได้ ขณะเดียวกัน ตนต้องศึกษากฎหมายทุกตัว ทั้งระเบียบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ การหารายได้ รายจ่ายรัฐบาลในช่วง 4ปีที่ทำงบประมาณติดต่อกัน รู้ว่าจะใช้เงินอย่างไร มีสัดส่วนอยู่ในพ.ร.บ.การเงินการคลังใหม่ออกมาอย่างไร ดังนั้นต้องระมัดระวัง หากจะทำอะไรนอกเหนือจากนี้ต้องระวังข้อกฎหมายปัจจุบัน ซึ่ง 4-5 ปี หลายอย่างเปลี่ยนแปลง หลายท่านที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้มาอาจจะไม่ทราบ ไม่สนใจ ไม่เข้าใจ เวลาไปสร้างการรับรู้ข้างนอกมา บางทีทำไม่ได้จริง แบบนี้จะทำอย่างไร ต้องระมัดระวังและศึกษา คนที่จะเข้ามาบริหารรการแผ่นดินต้องศึกษากฎหมายเหล่านี้ด้วย เพื่อทำนโยบายให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงกับประชาชนและประเทศชาติ
“เมื่อเขามาเชิญผมผมก็ต้องพิจารณาอย่างที่ว่า และขอเวลาสักนิดในการพิจารณา ว่าผมควรจะอยู่หรือไม่อยู่ ควรจะทำต่อหรือไม่ทำต่อ ถ้าทำต่อจะทำอะไร มากน้อยแค่ไหนอย่างไร มันมีเวลาให้ผมตัดสินใจ เพราะเขาบอกแล้วว่า ถ้าจะต้องมีการเสนอรายชื่อนายกฯ ในช่วง 4-8 ก.พ.นี้ ผมก็จะพิจารณาในช่วงนั้น ก็จะรู้กันตอนนั้นว่าอยู่หรือไม่อยู่ อย่าเพิ่งเร่งรัดอะไรผมมากนักเลย รวมถึงเรื่องบทบาทของผม ได้มอบหมายในที่ประชุมวันนี้ขอให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องช่วยไปหารือฝ่ายกฎหมายของเรา กฤษฎีกาและหารือกับกกต.ให้เกิดความชัดเจน ไม่ว่าจะการเยี่ยมประชาชน การประชุมครม.นอกสถานที่ แม้กระทั่งการพูดจาในวันศุกร์ ผมก็จะถามเขาหมด ว่าทำได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทางการเมืองต่อไปในการทำผิดกฎหมาย ผมต้องรอบคอบ การตัดสินใจของผม” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวอีกว่า เรื่องเฟสบุ๊คและอินสตราแกรมส่วนตัวของตนนั้น รวมถึงการจัดรายการคืนวันศุกร์คงต้องถามกกต.ว่าทำได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ตนระวังที่สุด ถ้าสมมติว่ายังอยู่ในตำแหน่งนายกฯ ยังไม่ได้เป็นอะไรเลย ก็ต้องระวังระดับหนึ่ง แต่ถ้าเกิดไปร่วมในรายชื่อของเขาขึ้นมา ตอบรับขึ้นมา ตนต้องระวังอีกขั้นหนึ่งหรือเปล่า อย่างไรก็ต้องหารือกันก็ช่วยกันมองแล้วกันว่าตนทำอะไรดีๆ บ้างหรือเปล่า
นายกฯ กล่าวอีกว่า ในช่วงการจัดงานพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก จะมีกิจกรรมตอดทั้งเดือนพ.ค.นี้ ขอให้เข้าใจด้วยว่าทำไมถึงต้องทำให้เดือนนี้เป็นเดือนแห่งความเรียบร้อย ช่วงนั้นการเมืองก็เดินหน้าไปสู่การเตรียมการจัดตั้งรัฐบาล เดินกันเข้าไป คงไม่วุ่นวายเท่าไหร่ ต้องขอความร่วมมือจากประชาชน ตนเป็นห่วงกังวลอย่างเดียวหลังการเลือกตั้ง แต่ระหว่างนี้คงไม่น่ามีอะไร เพราะทุกคนมีบทเรียนแล้ว ทั้งนักการเมือง พรรคการเมือง ประชาชน มีบทเรียนมาเยอะแยะแล้ว ขึ้นอยู่กับประชาชนจะตัดสินใจอย่างไร ตนไปเกี่ยวข้องไม่ได้แต่หน้าที่ของตนคือดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เข้าใจหรือไม่
เมื่อถามว่า ช่วงวันที่ 4-8 ก.พ.นี้หากนายกฯตัดสินตอบรับพรรคการเมือง วันนั้นจะลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้าลาออกแล้วใครจะทำ ไม่ออก เป็นนายกฯอยู่อย่างนี้แหละ กฎหมายไม่ได้ให้ออก ก็ไม่ออก
เมื่อถามว่า ตำแหน่งหัวหน้าคสช.จะลาออกหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คสช.เขาต้องอยู่ถึงเมื่อไหร่ อยู่จนถึงมีรัฐบาลใหม่ใช่หรือไม่ เมื่อรู้แล้วก็ตามนั้น อย่ามาถามซ้ำ ส่วนการหารือกับฝ่ายกฎหมายและกกต. เดี๋ยวเขาก็จะหารือในวันนี้ พรุ่งนี้ จะรีบร้อนไปไหน
เมื่อถามว่า นายกฯ ต้องถามใครอีกหรือไม่ก่อนที่จะตัดสินใจ นอกจากถามตัวเอง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมมีคำตอบอยู่แล้ว จะอยู่หรือไม่อยู่ ผมมีคำตอบอยู่ในใจ อยู่ในขั้นตอนขั้นแรกแล้ว ผมบอกแล้ว ขอดูก่อน ดูนโยบายอะไรต่างๆ และจะมีปัญหากับการเป็นนายกฯ ของผมหรือเปล่า ผมคงลาออกตอนนั้นไม่ได้อยู่แล้ว การเป็นนายกฯและหัวหน้าคสช. ถ้าจะระมัดระวังตัวเอง ก็ไม่ต้องพูดอะไรเลย”
เมื่อถามว่า ครอบครัวต้องสนับสนุนด้วยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวเป็นเรื่องของตน การตัดสินใจบางอย่างตนไม่ได้ถาม เพราะทุกคนเข้าใจสถานการณ์ของตนอยู่แล้ว ให้เกียรติซึ่งกันและกัน
เมื่อถามว่า หากตัดสินใจจะเลือกอยู่ในบัญชีรายชื่อพรรคการเมืองหรือไม่นายกฯ กล่าวว่า “มันต้องอยู่มั้ง ไม่มีอย่างอื่น ถ้าอยู่คือต้องอยู่ในบัญชีนายกฯ เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวจะไปบอกว่าจะเป็นนายกฯคนใน คนนอก วุ่นวายไปหมด ถ้าอยู่ก็อยู่ในบัญชีรายชื่อนายกฯ”
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้บางพรรคการเมืองวิจารณ์กรณีมีทหารติดตามความเคลื่อนไหวขณะหาเสียง นายกฯ กล่าวว่า ตามทุกพรรค พรรคไหนทำอะไรเขารายงานหมด

เปิดแผน'พปชร.'!ชง2ทางเลือกดัน'บิ๊กตู่'ขึ้นบัญชีชิงเก้าอี้นายกฯ


เปิดแผน'พปชร.'!ชง2ทางเลือกดัน'บิ๊กตู่'ขึ้นบัญชีชิงเก้าอี้นายกฯ

"11อรหันต์พลังประชารัฐ"เคาะผู้สมัครส.ส.พลังประชารัฐ350เขตลงตัวแล้ว คาดชง"บิ๊กตู่"ยืนหนึ่งบัญชีนายกฯ จ่อทาบ1ก.พ.นี้

29 ม.ค.62 ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า คณะกรรมการสรรหา จำนวน 11 คน โดยมี นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค เป็นประธาน และนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รองหัวหน้าพรรค , นายสุพล ฟองงาม , นายสมศักดิ์ เทพสุทิน , พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล , นายอิทธิพล คุณปลื้ม ร่วมประชุมเพื่อทำการเคาะรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคครั้งสุดท้ายทั้ง 350 เขต รวมถึงรายชื่อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คน

ทั้งนี้ ยังพบว่ามีปัญหาผู้สมัครไม่ลงตัวใน 11 เขต ได้แก่ กทม.3 เขต และต่างจังหวัดอีก 8 เขต เช่น จ.ระยอง จ.เชียงใหม่ จ.ตราด เนื่องจากมีผู้สมัครที่คะแนนสูสีกัน ทำให้พรรคต้องมารีเช็คครั้งสุดท้ายเพื่อส่งผู้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

นอกจากนี้ หลังจากเคาะรายชื่อผู้สมัครแล้ว ทางคณะกรรมการสรรหาจะได้พิจารณาเรื่องการเสนอชื่อบุคคลที่เห็นสมควรจะเสนอให้รับการพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากที่ นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค ได้ออกประกาศพรรคมเมื่อวันที่ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา ให้กรรมการบริหารพรรคการเมือง กรรมการสาขาพรรคการเมือง ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด และสมาชิกพรรคการเมือง เสนอชื่อบุคคลที่สมควรจะเสนอให้รับการพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อคณะกรรมการบริหารพรรค ภายในวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยคณะกรรมการสรรหาจะทำการพิจารณาในประเด็นนี้ ก่อนที่จะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ในวันที่ 30 ม.ค.นี้ เพื่อสรุปรายชื่อบุคคลที่จะอยู่ในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับรายชื่อที่ส่งเป็นจดหมายเข้ามายังพรรค จะมี 2 รูปแบบ คือ แบบที่ 1 เสนอเพียงชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพียงคนเดียว และ 2.เสนอรายชื่อเข้ามา 3 คน คือ พล.อ.ประยุทธ์ , นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนายอุตตม หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

ทั้งนี้ คาดว่าหลังจากได้ข้อสรุปแล้วจะทาบทาม พล.อ.ประยุทธ์ ในวันที่ 1 ก.พ.นี้ ก่อนที่จะเริ่มสมัคร ส.ส.ในวันที่ 4 ก.พ.นี้

เขียน ธีระวิทย์ :"ประชาธิปไตยในความเป็นจริง".


"ประชาธิปไตยในความเป็นจริง".

นายกคนนอกเหรอ...ลองอ่านทัศนของอาจารย์เขียน ธีระวิทย์กล่าวถึงความชั่วร้ายของการปล้นประชาธิปไตยผ่านการซื้อเสียงอันสกปรกและใช้อำนาจรัฐด้วยการโกงชาติบ้านเมือง..........

“นายกฯ คนนอก” เป็นคนไทยหรือเปล่า?
เมื่อผมอายุไม่ถึง 7 ขวบ ผมชอบเอาหนังสติ๊กไปยิงนกกระจิบที่ชอบบินมาหาแมลงกินที่พุ่มไม้ใกล้บ้าน ผมเคยยิงมันตายแล้วคิดภูมิใจว่ามีฝีมือยิงแม่น ภายหลังโตเป็นผู้ใหญ่ ผมจึงสำนึกได้ว่าผมทำบาป ยิงนกตาย พรากมันจากพ่อ-แม่-ลูก-คู่รักของมันโดยไม่มีใครได้ประโยชน์อะไรเลย

เมื่อผมเรียนวิชารัฐศาสตร์จบปริญญาตรี-เอกใหม่ๆ ผมเชื่อว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตยดีเลิศ ผมไม่ได้สนใจที่จะเรียนรู้พฤติกรรมในการเลือกตั้งของไทยว่าเขาเลือกผู้แทนกันมาอย่างไร ผมเคยเขียนบทความลงในวารสารต่างๆ ยืนหยัดความเชื่อของผมว่าการทำรัฐประหารเป็นงานเลวร้ายที่จะอ้างเหตุผลใดๆ มาลบล้างไม่ได้ทั้งสิ้น

เมื่อผมเกษียณอายุราชการแล้ว ผมเห็นคนพันธุ์ทักษิณยึดอำนาจรัฐในไทย โดยผ่านการเลือกตั้งสกปรก ผมเห็นพวกเขาโกงบ้านกินเมือง ใช้อำนาจปกครองประเทศโดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์ของตนและพรรคพวก จนที่สุดผมได้ข้อสรุปว่าคนไทยจะแตกแยกกันทุกหย่อมหญ้าและประเทศชาติจะล่มจมในที่สุด ถ้าหากเราจะหวังลมๆ แล้งๆ รอคอยพระสยามเทวาธิราชมากอบกู้สถานการณ์ให้ การใช้กำลังเข้ายึดอำนาจโดยทหารเป็นทางออกที่เลวร้ายน้อยที่สุด แล้วสถานการณ์ก็บังคับให้ทหารทำรัฐประหารจริงๆ ถึง 2 ครั้ง ซึ่งผมก็เห็นชอบด้วย นั่นคือผมได้เปลี่ยนทัศนคติทางการเมืองอย่างชัดเจน จากเดิมที่ว่าทหารต้องห้ามในการทำรัฐประหาร มาเป็นทหารมีสิทธิ์ธรรมชาติที่จะทำรัฐประหารได้ ถ้าเรามีประชาธิปไตยจอมปลอมที่ไม่ยึดหลักกฎหมายในการปกครองประเทศ

สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ผมมีเวลาวิเคราะห์ปัญหาการเมืองไทยมากขึ้น ผมดูจากของจริงมากกว่าเชื่อตามตำรา ผมเห็นคนไทยในวงการวิชาการ สื่อมวลชน นักเคลื่อนไหวทางการเมืองและนักการเมืองจำนวนมาก มีทัศนคติทางการเมืองเหมือนผมสมัยมันสมองยังไม่โต ยิงนกกระจิบเล่นโดยไม่รู้จักคิดให้รอบคอบว่าแล้วใครจะได้อะไร จะเอาระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นใหญ่ แล้วได้ประชาธิปไตยจอมปลอมที่ใครเป็นใหญ่กันแน่ รณรงค์ชวนคนอื่นให้ออกเสียงไม่รับช่วงรัฐธรรมนูญโดยไม่คิดให้รอบคอบว่าถ้าไม่รับฉบับนี้แล้วผลจะเป็นอย่างไร

ปัจจุบัน มีการรณรงค์กันอย่างแพร่หลายว่านายกรัฐมนตรีจะต้องมาจากการเลือกตั้ง “ไม่เอานายกรัฐมนตรีคนนอก” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นแชมป์ล่าสุดที่ออกมาสอนคนให้เชื่อเช่นนั้น ตอนที่ผมยังเป็นหนุ่มและฟุ้งซ่านประชาธิปไตยในแผ่นกระดาษนั้น ผมตกหลุมตำราวิชาการฝรั่งไม่ลึกเท่ากับอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

เรามีตัวอย่างให้เห็นกันชัดๆ ตั้งแต่ปี 2520 เป็นต้นมา เรามีนายกรัฐมนตรี 9 คน (ไม่รวมที่เป็นไม่เกิน 2 เดือน) เป็น “คนนอก” 5 คน ได้แก่ พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ คุณอานันท์ ปันยารชุน พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่วนที่เป็น “คนใน” มี 9 คน คือ พลเอกชาติชาย ชุณหวัณ นายชวน หลีกภัย นายบรรหาร ศิลปอาชา พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายทักษิณ ชินวัตร นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงค์สวัสดิ์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เราเห็นแล้วยังว่าใครทำประโยชน์ให้แก่ชาติ ใครทำลายประเทศชาติมากกว่ากัน

มีใครมองไม่เห็นบ้าง “นายกฯ คนนอก” เช่น พลเอกเปรม และคุณอานันท์ นั้นมีคุณูปการต่อประเทศชาติมากเพียงใด พลเอกประยุทธ์ใช้เวลา 2 ปีเศษกอบกู้ประเทศเรา ซึ่งจมปลักอยู่กับกองเพลิงแห่งความขัดแย้งให้เป็นได้อย่างทุกวันนี้ เรียกว่าเป็นผู้นำที่ไม่ธรรมดา แต่อนาคตจะเป็นอย่างไรนั้นเรายังมองไม่เห็น
ส่วน “นายกฯ คนใน” นั้น ผู้ที่มีคุณสมบัติกอบกู้ชื่อเสียงของนักการเมืองในสายตาของผมมีคนเดียว คือ คุณชวน หลีกภัย

ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนั้นพูดเก่ง มีหลักการ-หลักวิชา เหมาะกับการเป็นผู้นำของประเทศประชาธิปไตยตะวันตก 

ท่านมีปัญหาเรื่องการตัดสินใจในการแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเมือง กรณีการประชุมสุดยอดอาเซียน + 6 ที่โรงแรมรอยอล

คลิฟบิชรีสอร์ทที่พัทยา (10 เมษายน 2552) ซึ่งถูกม็อบเสื้อแดงบุกขับไล่อภิสิทธิ์และผู้นำต่างประเทศหนีกระเจิงตั้งแต่วันแรก และต้องล้มเลิกการประชุมคราวนั้น ประเทศไทยเสียหายอย่างใหญ่หลวงอย่างประเมินค่ามิได้ การประชุมที่สำคัญยิ่งครั้งนั้น นายกรัฐมนตรีผู้เป็นเจ้าภาพจะต้องมีข้อมูลที่ทันต่อเหตุการณ์ เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของฝ่าย

ต่อต้าน ถ้าไม่มีก็ต้องถือว่าบริหารงานข่าวกรองไม่เป็น ท่านน่าจะรู้ว่าลำพังกำลังตำรวจนั้นเชื่อถือไม่ได้ และงานสำคัญเช่นนั้นจะเลื่อนหรือยกเลิกก็ไม่ได้ ทำไมท่านไม่ขอกำลังทหารมาช่วย ถ้าท่านมัวกังวลใจว่าเอาทหารมาใช้งานรักษาความสงบเรียบร้อยภายในไม่เป็นประชาธิปไตย ก็หมายความว่าท่านเอาหลักวิชาประชาธิปไตยมาประยุกต์ใช้กับประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยไม่เป็น เช่นเดียวกับที่ท่านถูกม็อบเสื้อแดงไล่ต้อนซุกรถหนีออกมาจากกระทรวงมหาดไทย 2 วันต่อมาและการสลายการชุมนุมที่ยืดเยื้อของม็อบเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์ (12 มีนาคม – 19 พฤษภาคม 2553) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะท่านตัดสินใจ แก้ปัญหาไม่เป็น

สิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมเห็นภัยจากระบอบประชาธิปไตยสามานย์มากขึ้น สหรัฐฯ ได้ชื่อว่าเป็น แชมเปี้ยนของระบอบประชาธิปไตย แต่ไม่มีประเทศใดเสมอเหมือนในการทำร้ายคนบริสุทธิ์ทั่วโลก ใครเป็นผู้นำไล่ล่าสังหารซัดดัม ฮุสเซ็นของอิรัก ใครไปโค่นล้มรัฐบาลมูอัมมาร์ อัล กัดคาฟี่ของลิเบีย ทำให้ 2 ประเทศนี้ประสบภาวะสงครามแหลกลานมาจนถึงทุกวันนี้ ยังมีอัฟกานิสถาน ซีเรีย และอื่นๆ อีกมากมาย ฉะนั้น คนไทยทั้งหลายจงอย่าหลงไหลคลั่งไคล้าระบอบประชาธิปไตยให้มากนักเลย

มีคนสร้างประเด็นความขัดแย้งให้พวกเราตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่เพิ่งผ่านประชามติเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา “นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง” คนที่เล่นการเมืองเป็นอาชีพของไทยมีไม่ถึง 1% ของประชากรทั้งหมด ต้องการผูกขาดอำนาจแต่งตั้งผู้บริหารสูงสุดของประเทศก็ได้แล้ว แม้พรรคการเมืองจะคัดสรร “คนนอก” มาอยู่ในบัญชีผู้แข่งเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 158-159 ก็ไม่ยอม คนดีๆ มีความสามารถมากมายไม่อยากไปแย่งตำแหน่งนั้นกับนักการเมืองหรอก บางคนแม้ท่านจะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปเชิญก็ยังไม่ยอมรับด้วยซ้ำ คิดได้หรือไม่ว่าท่านกำลังเรียกร้องคนไทยทั่วประเทศให้ตัดสิทธิ์ของคนอาชีพอื่นมากกว่า 99% มิให้เขาได้ผู้นำที่ดีมีความสามารถ เพราะเขาไม่ยอมสมัครเลือกตั้ง ส.ส. หรือเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ที่นักการเมืองได้ทำให้สกปรกไปแล้ว

“คนนอก” เป็นคนไทยหรือเปล่า? ตอบคำถามนี้ได้ไหม? กลัวทหารมาเป็นนายกรัฐมนตรีใช่ไหม? ทหารไม่ใช่คนไทยหรือไร? ทหารรักชาติไม่เป็นหรือ? ท่านกลัวทหารเอารถถังมาหนุนหลังปกครองประเทศหรือ? ทุกวันนี้ท่านก็ด่าทหารกันอย่างเสรีอยู่แล้ว ทำไมไม่กลัวล่ะ? ถ้าไม่ทำผิดกฎหมายก็ไม่ต้องกลัวทหาร ผมกลัวนายกฯ ที่ไม่บังคับใช้กฎหมายมากกว่า เพราะคนไม่เคารพกฎหมายทำให้ผมเดือดร้อนด้วย
แทนที่จะมารณรงค์ต่อต้าน “นายกฯ คนนอก” เรามาช่วยกันรณรงค์ให้คนไทยอย่าแบ่งแยก “คนใน” “คนนอก” ดีกว่า คอยต่อต้านนายกคนต่อๆ ไป ที่ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และ/หรือ ไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งคัดด้วย

เขียน ธีระวิทย์

อย่าเร่งรัดผม ! “บิ๊กตู่” แย้มมีคำตอบอนาคตการเมืองแล้ว ลั่นยังไม่ลาออก

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงอนาคตทางการเมืองของตัวเองว่า เรื่องการตัดสินใจทางการเมือง ตนบอกแล้วว่าต้องรอให้เขามาเชิญก่อนเมื่อเชิญมาแล้วก็ต้องมีระยะเวลาที่ตนจะต้องนำนโยบายของเขามาศึกษา ว่ามีความเป็นไปได้อย่างไร ถ้าตนจะร่วมกับเขาในทางการเมือง ต้องดูหลายๆนโยบายตนรับได้หรือไม่ ในเมื่อตนทำมา 4-5 ปี ก็พอจะรู้บ้างว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ อะไรทำได้หรือไม่ได้ ขณะเดียวกัน ตนต้องศึกษากฎหมายทุกตัวทั้งระเบียบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ การหารายได้ รายจ่ายรัฐบาลในช่วง 4ปีที่ทำงบประมาณติดต่อกัน รู้ว่าจะใช้เงินอย่างไร มีสัดส่วนอยู่ในพ.ร.บ.การเงินการคลังใหม่ออกมาอย่างไร ดังนั้นต้องระมัดระวัง หากจะทำอะไรนอกเหนือจากนี้ต้องระวังข้อกฎหมายปัจจุบันซึ่ง 4-5 ปี หลายอย่างเปลี่ยนแปลงหลายท่านที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้มาอาจจะไม่ทราบ ไม่สนใจ ไม่เข้าใจ เวลาไปสร้างการรับรู้ข้างนอกมา บางทีทำไม่ได้จริง แบบนี้จะทำอย่างไร ต้องระมัดระวังและศึกษา คนที่จะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินต้องศึกษากฎหมายเหล่านี้ด้วย เพื่อทำนโยบายให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงกับประชาชนและประเทศชาติ“เมื่อเขามาเชิญผมผมก็ต้องพิจารณาอย่างที่ว่า และขอเวลาสักนิดในการพิจารณา ว่าผมควรจะอยู่หรือไม่อยู่ควรจะทำต่อหรือไม่ทำต่อ ถ้าทำต่อจะทำอะไร มากน้อยแค่ไหนอย่างไร มันมีเวลาให้ผมตัดสินใจ เพราะเขาบอกแล้วว่าถ้าจะต้องมีการเสนอรายชื่อนายกฯ ในช่วง 4-8 ก.พ.นี้ ผมก็จะพิจารณาในช่วงนั้น ก็จะรู้กันตอนนั้นว่าอยู่หรือไม่อยู่
ย่าเพิ่งเร่งรัดอะไรผมมากนักเลย รวมถึงเรื่องบทบาทของผม ได้มอบหมายในที่ประชุมวันนี้ขอให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องช่วยไปหารือฝ่ายกฎหมายของเรา กฤษฎีกาและหารือกับกกต.ให้เกิดความชัดเจน ไม่ว่าจะการเยี่ยมประชาชน การประชุมครม.นอกสถานที่ แม้กระทั่งการพูดจาในวันศุกร์ ผมก็จะถามเขาหมด ว่าทำได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทางการเมืองต่อไปในการทำผิดกฎหมาย ผมต้องรอบคอบ การตัดสินใจของผม”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวนายกฯ กล่าวอีกว่า เรื่องเฟซบุ๊กและอินสตราแกรมส่วนตัวของตนนั้น รวมถึงการจัดรายการคืนวันศุกร์คงต้องถามกกต.ว่าทำได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ตนระวังที่สุด ถ้าสมมติว่ายังอยู่ในตำแหน่งนายกฯ ยังไม่ได้เป็นอะไรเลย ก็ต้องระวังระดับหนึ่ง แต่ถ้าเกิดไปร่วมในรายชื่อของเขาขึ้นมา ตอบรับขึ้นมา ตนต้องระวังอีกขั้นหนึ่งหรือเปล่า อย่างไรก็ต้องหารือกันก็ช่วยกันมองแล้วกันว่าตนทำอะไรดีๆ บ้างหรือเปล่านายกฯ กล่าวอีกว่า ในช่วงการจัดงานพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก จะมีกิจกรรมตอดทั้งเดือนพ.ค.นี้ ขอให้เข้าใจด้วยว่าทำไมถึงต้องทำให้เดือนนี้เป็นเดือนแห่งความเรียบร้อย ช่วงนั้นการเมืองก็เดินหน้าไปสู่การเตรียมการจัดตั้งรัฐบาล เดินกันเข้าไป คงไม่วุ่นวายเท่าไหร่ ต้องขอความร่วมมือจากประชาชนตนเป็นห่วงกังวลอย่างเดียวหลังการเลือกตั้ง แต่ระหว่างนี้คงไม่น่ามีอะไร เพราะทุกคนมีบทเรียนแล้ว ทั้งนักการเมือง พรรคการเมือง ประชาชน มีบทเรียนมาเยอะแยะแล้ว ขึ้นอยู่กับประชาชนจะตัดสินใจอย่างไร ตนไปเกี่ยวข้องไม่ได้แต่หน้าที่ของตนคือดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เข้าใจหรือไม่
เมื่อถามว่า ช่วงวันที่ 4-8 ก.พ.นี้หากนายกฯตัดสินตอบรับพรรคการเมือง วันนั้นจะลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้าลาออกแล้วใครจะทำ ไม่ออก เป็นนายกฯอยู่อย่างนี้แหละ กฎหมายไม่ได้ให้ออก ก็ไม่ออกเมื่อถามว่า ตำแหน่งหัวหน้าคสช.จะลาออกหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าคสช.เขาต้องอยู่ถึงเมื่อไหร่ อยู่จนถึงมีรัฐบาลใหม่ใช่หรือไม่ เมื่อรู้แล้วก็ตามนั้น อย่ามาถามซ้ำ ส่วนการหารือกับฝ่ายกฎหมายและกกต. เดี๋ยวเขาก็จะหารือในวันนี้ พรุ่งนี้ จะรีบร้อนไปไหน
เมื่อถามว่า นายกฯ ต้องถามใครอีกหรือไม่ก่อนที่จะตัดสินใจ นอกจากถามตัวเอง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมมีคำตอบอยู่แล้ว จะอยู่หรือไม่อยู่ ผมมีคำตอบอยู่ในใจ อยู่ในขั้นตอนขั้นแรกแล้ว ผมบอกแล้วขอดูก่อน ดูนโยบายอะไรต่างๆ และจะมีปัญหากับการเป็นนายกฯ ของผมหรือเปล่า ผมคงลาออกตอนนั้นไม่ได้อยู่แล้ว การเป็นนายกฯและหัวหน้าคสช. ถ้าจะระมัดระวังตัวเอง ก็ไม่ต้องพูดอะไรเลย”เมื่อถามว่า ครอบครัวต้องสนับสนุนด้วยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวเป็นเรื่องของตน การตัดสินใจบางอย่างตนไม่ได้ถาม เพราะทุกคนเข้าใจสถานการณ์ของตนอยู่แล้ว ให้เกียรติซึ่งกันและกันเมื่อถามว่า หากตัดสินใจจะเลือกอยู่ในบัญชีรายชื่อพรรคการเมืองหรือไม่นายกฯ กล่าวว่า “มันต้องอยู่มั้ง ไม่มีอย่างอื่น ถ้าอยู่คือต้องอยู่ในบัญชีนายกฯ เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวจะไปบอกว่าจะเป็นนายกฯคนใน คนนอก วุ่นวายไปหมดถ้าอยู่ก็อยู่ในบัญชีรายชื่อนายกฯ”เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้บางพรรคการเมืองวิจารณ์กรณีมีทหารติดตามความเคลื่อนไหวขณะหาเสียง นายกฯ กล่าวว่า ตามทุกพรรค พรรคไหนทำอะไรเขารายงานหมด

เด้งฟ้าผ่า!'กฤษณพงศ์'เข้ากรุ เหตุไม่ค้านเปิดช่องทะเบียนผู้จำหน่ายพันธุ์ข้าว

เด้งฟ้าผ่า!'กฤษณพงศ์'เข้ากรุ เหตุไม่ค้านเปิดช่องทะเบียนผู้จำหน่ายพันธุ์ข้าว

วันอังคาร ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2562, 14.10 น.
“กฤษฏา เด้งฟ้าผ่า กฤษณพงศ์ ศรีพงษ์พันธุ์กุล  อธิบดีกรมการข้าว เข้ากรุ นั่งผู้ตรวจกระทรวง ดัน ประสงค์ ประไพพงษ์  ลูกหม้อ กรมส่งเสริมการเกษตร เสียบทันที เหตุอธิบดีกรมการข้าว  ไม่ค้านเปิดช่องจดทะเบียนผู้จำหน่ายพันธุ์ข้าว เอื้อเอกชนผูกขาด”
29 ม.ค. 62 รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่าในวันนี้นายกฤษฏา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้เสนอแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงของกระทรวงเกษตร 2 ตำแหน่ง โดยให้นายกฤษณพงศ์ ศรีพงษ์พันธุ์กุล อธิบดีกรมการข้าว มาดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯ และให้นายประสงค์ ประไพพงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตร ขึ้นเป็นอธิบดีกรมการข้าว
เนื่องจากที่ผ่านมานายกฤษณะพงษ์ มีปัญหาเรื่องการบริหารภายในกรมการข้าว ทำให้การแก้ปัญหาเรื่องข้าว ไม่สามารถพัฒนาได้ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้ติติงการทำงานของนายกฤษณพงศ์ อย่างรุนแรง ในเรื่องการขึ้นทะเบียนพันธุ์ข้าว ตามร่างพ.ร.บ.ข้าว ที่กำลังอยู่ในพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
“เรื่องการขึ้นทะเบียนพันธ์ุข้าวและผู้จำหน่ายพันธุ์ข้าว จะนำไปสู่การมีปัญหาอย่างรุนแรงระหว่างภาคเอกชน กับชาวนาไทย เพราะจะทำให้ชาวนาไม่สามารถจำหน่ายพันธ์ุข้าวระหว่างชาวนาด้วยกันได้ เนื่องจากหากมีภาคเอกชน ไปจดทะเบียนพันธุ์ข้าว อาจมีการฟ้องร้องกลุ่มชาวนาภายหลังได้ ทำให้เกิดความโกลาหลไปทั้งประเทศได้ ซึ่งได้ทำให้นายกฤษฏา ไม่พอใจอย่างมาก หลังจากได้รับรู้ว่าร่างพ.ร.บ.ข้าว กำลังเข้าสู่วาระสอง
จึงสั่งการได้ให้นายกฤษณพงศ์ ทำหนังสือชี้แจงถึงความจำเป็นอย่างไรและผลกระทบต่อชาวนาในการขึ้นทะเบียนพันธุ์และผู้จำหน่ายพันธุ์ข้าวทั้งหมดรวมทั้งทำคำชี้แจงของอธิบดีกรมการข้าว เข้าไปใหม่ที่กรมการข้าว จะต้องปกป้องวิถีชีวิตชาวนาไทย ต่อคณะกรรมาธิการยกร่าง ภายในวันศุกร์ แต่คำชี้แจงของกรมการข้าว ยังฟังไม่ขึ้น อีกทั้งหากกรมการข้าว ไม่สงวนคำแปรญัติติ จะเป็นการเอื้อให้มีการผูกขาดพันธ์ุข้าวและการจำหน่ายไว้กับภาคเอกชน ในอนาคต จึงเป็นที่มาการตัดสินใจปรับเปลี่ยนอธิบดีกรมการข้าว ให้นายประสงค์ ขึ้นแทนเพราะมีอาวุโส สูงสุด ผ่านงานมาจากกรมส่งเสริมการเกษตร ที่เข้าใจวิถีชีวิตของชาวนาและเกษตรกรไทย” แหล่งข่าว กล่าว

‘บิ๊กตู่’อวยพร‘4 รมต.’ประสบความสำเร็จ ‘สนธิรัตน์’ยกมาตรฐานเหนือกว่าพวกวิจารณ์



29 ม.ค.62 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.50 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวภายหลังเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า ตนขอแจ้งข่าวอย่างเป็นทางการว่า 4 รัฐมนตรี ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีอย่างเป็นทางการแล้ว โดยให้มีผลในวันที่ 30 ม.ค. เป็นต้นไป ซึ่งเมื่อช่วงเช้าวันเดียวกัน (29 ม.ค.) เราทั้ง 4 คน ได้เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ ตามที่ตั้งใจไว้แล้ว เพื่อกราบลาในฐานะที่มีโอกาสได้ร่วมทำงานในคณะรัฐมนตรีมา
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ 29 ก.ย.61 ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกของผู้ร่วมก่อตั้งพรรค พปชร. วันนั้นถือเป็นการเริ่มนับหนึ่ง เราทั้ง 4 คน ปรากฏตัวเป็นครั้งแรก และตนเคยพูดว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเราจะออกไปทำงานการเมืองเต็มตัว ในวันนั้นที่พูดไว้เราเป็นรัฐมนตรี มีความรับผิดชอบต่องานในหน้าที่ ได้ปฏิบัติตัวตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ และทำตามกฎเกณฑ์กติกาจนมาถึงวันนี้ ซึ่งเราได้คุยกันแล้วว่าน่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมจึงลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี เพื่อไปทำงานกับพรรค พปชร.เต็มตัว มุ่งสู่การเลือกตั้ง
นายอุตตม กล่าวว่า การที่เราปฏิบัติตัวตามนี้ อยากจะให้ถือว่าเป็นแนวความคิดของเรา สะท้อนเจตนารมณ์และความเชื่อของเราตั้งแต่ต้นว่าเราทำอย่างโปร่งใส ทำงานการเมืองอย่างมีเป้าหมาย ก้าวสู่การเมืองด้วยความมั่นใจ เป็นไปตามนั้น ไม่ได้เอาการเมืองนำ แต่ทำงานการเมืองโดยเอาประโยชน์ของประเทศชาติ ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีวันนี้ถึงเวลาแล้วที่ภารกิจเสร็จสิ้นไปได้พอสมควร เราถึงมาทำงานการเมือง
“การเข้าพบนายกฯวันนี้นั้น นายกฯก็รับทราบมาตั้งแต่ต้นว่าเราจะเดินแนวทางนี้ นายกฯได้อวยพรขอให้สิ่งที่เรามุ่งหวังจะทำงานการเมืองนั้นให้ประสบความสำเร็จและคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ส่วนตำแหน่งที่ว่างลงใครมาแทนแล้วแต่นายกฯจะพิจารณา” นายอุตตม กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า งานในตำแหน่งรัฐมนตรีสิ่งที่รับผิดชอบเสร็จหมดแล้วใช่หรือไม่ นายอุตตม กล่าวว่า ในความเห็นของเราสิ่งที่เราตั้งใจจะทำเสร็จครบถ้วน หลังจากนี้อาจจะมีการชี้แจงต่อไปอีกบ้าง ส่วนภารกิจไปโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่นกับคณะของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีนั้น พวกเรายกเลิกการเดินไปทางด้วยแล้ว 
ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เลขาธิการพรรค พปชร. กล่าวว่า โดยธรรมเนียมปฏิบัติที่ผ่านมานั้น ไม่เคยมีรัฐมนตรีที่ลาออก หลังจากมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งแล้ว แรงกดดันที่มีต่อพวกเราตลอด 3 เดือนมานี้ เรารับด้วยความอดทน เพราะเป้าหมายการเข้าสู่การเมืองของเรา คือเพื่อพี่น้องประชาชน ไม่ได้เอาการเมืองนำการทำงาน เราน้อมรับคำวิจารณ์ ทางการเมืองทั้งสิ้น โดยไม่ได้อยู่บนบนหลักการหรือเหตุผลที่เคยปฏิบัติมา แต่เมื่อเราอาสามาทำงานทางการเมือง เราก็ต้องการสร้างมาตรฐานใหม่ทางการเมือง ที่ไม่เอาความได้เปรียบทางการเมืองมาใช้ ทั้งนี้ ที่ต้องรอเวลามาถึงทุกวันนี้ก็เพราะว่าภารกิจงานด้านเศรษฐกิจนั้น ยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งสื่อมวลชนเองก็คงจะได้เห็นผลงานของพวกเรา ที่ทำงานหนักตลอด 3-4 เดือนที่ผ่านมา
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า มาตรฐานเหล่านี้เราตั้งใจทำให้เห็น เช่น เราจะไม่ทำงานการเมืองหรือไม่ให้สัมภาษณ์ทางการเมืองในช่วงเวลาราชการ นั่นเพราะเราไม่อยากเห็นประเทศไทยใช้วาทกรรมทางการเมือง เราอยากเห็นการเมืองทำเพื่อประโยชน์ประชาชน มีความรับผิดชอบ การลาออกในวันนี้นั้น ไม่เคยมีใครปฏิบัติมาก่อน นักการเมืองที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรา ไม่เคยลาออกหลังมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง สำหรับพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เราได้รวบรวมผู้ที่มีอุดมการณ์เหมือนกัน เพื่อหาทางออกของประเทศ การลาออกครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพราะการกดดันจากใครทั้งสิ้น แต่เป็นการตัดสินใจของพวกเราเอง ที่ต้องการทำงานการเมืองอย่างตรงไปตรงมา
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เมื่อมาทำงานการเมืองเต็มตัวแล้ว พวกเรามีความมั่นใจ แต่ไม่ได้มั่นใจในตัวของพวกเราทั้ง 4 คน เพราะเรามั่นใจว่าประเทศไทยต้องการการเปลี่ยนแปลง ซึ่งด้วยประสบการณ์ของพวกเราและพรรคพลังประชารัฐเรามั่นใจ ว่าตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะเดินหน้าทำงานการเมืองอย่างเต็มตัว ส่วนจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับพี่น้องประชาชน ขอให้รอดูผลการเลือกตั้งเป็นหลัก เพราะเราต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชนพรรคพลังประชารัฐ จะทำหน้าที่เต็มความสามารถ หากได้รับความไว้วางใจก็จะทำหน้าที่นั้นต่อไป

บุกทุกที่ทั่วไทย!‘4รมต.พปชร.’จัดคิวจ้อทั่วประเทศ ลั่นลุยเช้าจรดเที่ยงคืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 29 ม.ค.62 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ทยอยเก็บของใช้ส่วนตัวบางส่วนออกจากห้องทำงาน ภายหลังได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี พร้อมจุดธูปไหว้ศาลพระภูมิและศาลตาศาลยาย
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับงานการเมืองของพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ต่อไปนี้จะไม่มีวันหยุดตั้งแต่เช้าจรดเย็น ถึงเที่ยงคืน จะไปบุกทุกที่ทั่วไทย พรุ่งนี้เราทั้ง 4 คน ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีแล้วจะเดินหน้าเต็มที่ ขอให้เจอตนได้ทั้งที่พรรคและในเวทีต่างๆ ซึ่งทั้ง 4 รมต.จะแยกย้ายลงพื้นที่เพื่อพบประชาชน และนำปัญหาของประชาชนมาทำเป็นนโยบายที่ดีที่สุด สำหรับการเป็นรัฐบาลหน้า
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 30 ม.ค. พรรคพลังประชารัฐจะเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส.กทม. รวมถึงนโยบายกทม.5.0 ขณะเดียวกันกำลังหาช่วงเวลาเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส.ทั่วประเทศทั้ง 350 คนด้วย

หลีกไป‘บิ๊กจิ๋ว’มาแล้ว!โผล่นั่งกุนซือพลังไทยรักไทย ชู’ธรรมรักษ์–คฑาเทพ’ชิงนายกฯ


29   ม.ค. 62 ที่สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่เลขที่ 209 หมู่ที่ 2 ต.โนนโพธิ์ อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ นายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล หัวหน้าพรรคพลังไทยรักไทย(พ.ท.ร.ท.) กล่าวถึงความคืบหน้าในการเตรียมการเลือกตั้งว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี  ได้ให้เกียรติเป็นกุนซือกับพรรคพลังไทยรักไทยเพื่อวางแผนกำหนดยุทธศาสตร์แนวทางการหาเสียงเลือกตั้งให้กับพรรค
นอกจากนี้ยังสนับสนุนนโยบายพรรคพลังไทยรักไทย โดยเน้น การช่วยเหลือเกษตรกร เป็นหลัก โดยเฉพาะปัญหาแหล่งน้ำทางการเกษตร โดยชูนโยบาย โขง ชี มูล ปิง วัง ยม น่าน เป็นหัวใจหลัก เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำทางการเกษตร ซึ่ง โครงการ โขง ชี มูล ปิง วัง ยม น่าน ก็จะสามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำทางการเกษตรได้อย่างยั่งยืน
“พล.อ.ชวลิต ยังให้การสนับสนุน พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ.อยุธยา เป็นายกรัฐมนตรีอีกด้วย ซึ่งก็ตรงกับพรรคที่วางแคนดิเดตนายกฯไว้ 2 คน คือ 1. พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ.อยุธยา และผม  ส่วนส.ส.แบบบัญชีรายชื่อเตรีมไว้แล้ว  100 คน และ ส.ส.เขต จำนวน 350 คน ครบทุกเขตทั่วประเทศ”นายคฑาเทพ กล่าว
พร้อมแสดงความมั่นใจว่า จากการลงพื้นที่ชนิดที่ว่าถี่ยิบแบบเคาะประตูบ้าน เข้าถึงทั่วทุกพื้นที่ของประเทศและทุกจังหวัด ภายใต้นโยบายพรรคที่ครอบคลุมช่วยเหลือทุกสาขาอาชีพ และสามารถจับต้องได้ เห็นผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะประเด็น ความซื่อสัตว์ ไม่ซื้อสิทธิ์ ขายเสียง และไม่โจมตีพรรคอื่น เป็นสำคัญ ทำให้พ่อแม่พี่น้องประชาชนถูกใจ พอใจมาก
“ตอนนี้ประชาชนตื่นตัวให้ความสนใจ พรรคพลังไทยรักไทย สมัครเป็นสมาชิกอย่างล้นหลาม และพร้อมให้การสนับสนุนผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคอย่างเต็มที่ จึงมั่นใจว่า จะได้ ส.ส.เขต จำนวน 127 ทั่งนั่ง และเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศต่อไป”หัวหน้าพรรคพลังไทยรักไทย กล่าว

'มาร์ค'ชี้4รัฐมนตรีลาออกเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการใช้อำนาจรัฐกับการมีตำแหน่งอยู่ในพรรคการเมือง



29 ม.ค.62- นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์กรณีที่ 4 รัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง ว่า เป็นเรื่องที่ดีเพราะทำให้ทุกฝ่ายเกิดความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่มากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมายังมีข้อกังขาระหว่างการใช้อำนาจรัฐกับการมีตำแหน่งอยู่ในพรรคการเมืองมาโดยตลอด ซึ่งการลาออกถือเป็นการแสดงออกว่าเพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับการใช้อำนาจหน้าที่ ไปในทางที่อาจทำให้การเลือกตั้งเกิดความไม่เป็นธรรม
เมื่อถามถึงการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ (รปช.)ที่จะมีการเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช. ) นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของพรรคการเมืองอื่นและเป็นเรื่องของพล.อ.ประยุทธ์ที่จะตัดสินใจ จึงไม่สามารถก้าวก่ายการตัดสินใจในแต่ละพรรคได้ และพล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะยินยอมให้เสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดว่า การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมือง ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อต้องได้รับความยินยอมด้วย แล้วพล.อ.ประยุทธ์ จะยินยอมหรือไม่ ตนไม่สามารถตอบได้ เพราะขณะนี้พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะยินยอมให้เสนอชื่อหรือไม่
ส่วนเสียงเรียกร้องจากบางฝ่าย ที่ให้พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิเสธการถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพล.อ.ประยุทธ์ ที่จะพิจารณา หาก พล.อ.ประยุทธ์ ประสงค์จะเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง ต้องแสดงออกว่าจะดำรงตำแหน่งอย่างไรไม่ให้มีการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม เช่น ในฐานะหัวหน้า คสช. ซึ่งที่ผ่านมาเคยใช้อำนาจปลดคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)และการอนุญาตให้แบ่งเขตเลือกตั้งโดยไม่เป็นไปตามกฎหมาย ดังนั้น หากประสงค์จะเข้าสู่การเลือกตั้ง ต้องทำให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่าจะไม่มีการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงต้องยอมรับกติกา วัฒนธรรมประชาธิปไตย ที่ต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ส่วนพล.อ.ประยุทธ์  จะต้องลาออกจากหัวหน้า คสช. หรือไม่ก็อยู่ที่ดุลพินิจของพล.อ.ประยุทธ์ เอง ซึ่งในการแข่งขันทางการเมืองอยากให้มีการแข่งขันกันอย่างสร้างสรรค์
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ขณะนี้ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค(กกบห.)จะเสนอชื่อตนเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวโดยอยู่ในขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นจากตัวแทนจังหวัดและหัวหน้าสาขาซึ่งตามข้อบังคับพรรคผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกฯต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมร่วมระหว่างกกบห.และ อดีต ส.ส. ในวันที่ 1 ก.พ. นี้ส่วนจะมีรายชื่อสำรองหรือไม่ อยู่ที่การรับฟังความคิดเห็น ซึ่งกกบห.จะต้องมีการพิจารณาอนุมัติต่อไป อย่างไรก็ตามที่ประชุมกกบห.ได้อนุมัติผู้สมัครครบแล้วทั้งระบบเขต และบัญชีรายชื่อ ซึ่งในส่วนของบัญชีรายชื่อ อยู่ระหว่างการจัดลำดับรายชื่อ

ลาออกแล้ว!'บิ๊กตู่'อวยพร 4 รัฐมนตรีให้ประสบความสำเร็จ

ลาออกแล้ว!'บิ๊กตู่'อวยพร 4 รัฐมนตรีให้ประสบความสำเร็จ


    
29 ม.ค.62-นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวภายหลังเข้าพบนายกฯว่า ตนขอแจ้งข่าวอย่างเป็นทางการว่า 4 รัฐมนตรี ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีอย่างเป็นทางการแล้ว โดยให้มีผลในวันที่ 30 ม.ค. เป็นต้นไป โดยช่วงเช้า เราทั้ง 4 คน ได้เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามที่ตั้งใจไว้แล้ว เพื่อกราบลาในฐานะที่มีโอกาสได้ร่วมทำงานในคณะรัฐมนตรีมา 
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ 29 ก.ย.61 ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกของผู้ร่วมก่อตั้งพรรค พปชร. วันนั้นถือเป็นการเริ่มนับหนึ่ง เราทั้ง 4 คน ปรากฏตัวเป็นครั้งแรก และตนเคยพูดว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเราจะออกไปทำงานการเมืองเต็มตัว ในวันนั้นที่พูดไว้เราเป็นรัฐมนตรี มีความรับผิดชอบต่องานในหน้าที่ ได้ปฏิบัติตัวตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ และทำตามกฎเกณฑ์กติกาจนมาถึงวันนี้ ซึ่งเราได้คุยกันแล้วว่าน่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมจึงลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี เพื่อไปทำงานกับพรรค พปชร.เต็มตัว มุ่งสู่การเลือกตั้ง
นายอุตตม กล่าวว่า การที่เราปฏิบัติตัวตามนี้ อยากจะให้ถือว่าเป็นแนวความคิดของเรา สะท้อนเจตนารมณ์และความเชื่อของเราตั้งแต่ต้นว่าเราทำอย่างโปร่งใส ทำงานการเมืองอย่างมีเป้าหมาย ก้าวสู่การเมืองด้วยความมั่นใจ เป็นไปตามนั้น ไม่ได้เอาการเมืองนำ แต่ทำงานการเมืองโดยเอาประโยชน์ของประเทศชาติ ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีวันนี้ถึงเวลาแล้วที่ภารกิจเสร็จสิ้นไปได้พอสมควร เราถึงมาทำงานการเมือง
“นายกฯก็รับทราบมาตั้งแต่ต้นว่าเราจะเดินแนวทางนี้ ในการเข้าพบนายกฯครั้งนี้ ท่านได้อวยพรขอให้สิ่งที่เรามุ่งหวังจะทำงานการเมืองนั้นให้ประสบความสำเร็จและคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ส่วนตำแหน่งที่ว่างลงใครมาแทนแล้วแต่นายกฯจะพิจารณา”นายอุตตม กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า งานในตำแหน่งรัฐมนตรี สิ่งที่รับผิดชอบเสร็จหมดแล้วใช่หรือไม่ นายอุตตม กล่าวว่า ในความเห็นของเราสิ่งที่เราตั้งใจจะทำเสร็จครบถ้วน หลังจากนี้อาจจะมีการชี้แจงต่อไปอีกบ้าง ส่วนภารกิจไปโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่นกับคณะของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีนั้น พวกเรายกเลิกการเดินไปทางด้วยแล้ว  
เมื่อถามว่า มีการทาบทาม พล.อ.ประยุทธ์ ให้มาอยู่ในบัญชีรายชื่อนายกฯ ของพรรค พปชร.แล้วหรือไม่ นายอุตตม กล่าวว่า ยังไม่ได้มีการทาบทามใครทั้งสิ้น และยังไม่ได้หารือว่าจะเชิญท่านไหนบ้าง ซึ่งจะต้องเป็นไปตามกระบวนการของพรรคที่ต้องพิจารณาและลงมติกันภายใน ตนเรียนว่าไม่ช้าแล้ว เพราะเห็นแล้วว่า 4-8 ก.พ.ต้องได้ข้อยุติ เพื่อยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้งผู้สมัคร ส.ส. และบัญชีรายชื่อนายกฯของพรรค ดังนั้น เร็วๆ นี้ไม่นานเกินรอได้เห็น
ถามว่า พรรค พปชร.จะเสนอชื่อนายกฯ เพียงคนเดียวหรือไม่ นายอุตตม กล่าวว่า ขอให้รอดูเร็วๆ นี้ เพราะเราสามารถเสนอได้ถึง 3 ชื่อ แต่ขอให้ทางสมาชิกของพรรค กรรมการบริหารพรรค และกลไกของพรรคได้มีโอกาสพิจารณา ซึ่งการประชุมกรรมการบริหารพรรคจะมีขึ้นใน 1-2 วันนี้
ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ และเลขาธิการพรรค พปชร. กล่าวว่า โดยธรรมเนียมปฏิบัติที่ผ่านมานั้น ไม่เคยมีรัฐมนตรีที่ลาออก หลังจากมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งแล้ว แรงกดดันที่มีต่อพวกเราตลอด 3 เดือนมานี้ เรารับด้วยความอดทน เพราะเป้าหมายการเข้าสู่การเมืองของเราคือ เพื่อพี่น้องประชาชน ไม่ได้เอาการเมืองนำการทำงาน เราน้อมรับคำวิจารณ์ทางการเมืองทั้งสิ้น โดยไม่ได้อยู่บนบนหลักการหรือเหตุผลที่เคยปฏิบัติมา แต่เมื่อเราอาสามาทำงานทางการเมือง เราก็ต้องการสร้างมาตรฐานใหม่ทางการเมือง ที่ไม่เอาความได้เปรียบทางการเมืองมาใช้ ที่ต้องรอเวลามาถึงทุกวันนี้ก็เพราะว่าภารกิจงานด้านเศรษฐกิจนั้น ยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งสื่อมวลชนเองก็คงจะได้เห็นผลงานของพวกเรา ที่ทำงานหนักตลอด 3-4 เดือนที่ผ่านมา
“มาตรฐานเหล่านี้เราตั้งใจทำให้เห็น เช่น เราจะไม่ทำงานการเมืองหรือไม่ให้สัมภาษณ์ทางการเมืองในช่วงเวลาราชการ นั่นเพราะเราไม่อยากเห็นประเทศไทยใช้วาทกรรมทางการเมือง เราอยากเห็นการเมืองทำเพื่อประโยชน์ประชาชน มีความรับผิดชอบ การลาออกในวันนี้นั้น ไม่เคยมีใครปฏิบัติมาก่อน นักการเมืองที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรา ไม่เคยลาออกหลังมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง สำหรับพรรค พปชร. เราได้รวบรวมผู้ที่มีอุดมการณ์เหมือนกัน เพื่อหาทางออกของประเทศ การลาออกครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพราะการกดดันจากใครทั้งสิ้น แต่เป็นการตัดสินใจของพวกเราเอง ที่ต้องการทำงานการเมืองอย่างตรงไปตรงมา”นายสนธิรัตน์ กล่าว
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เมื่อมาทำงานการเมืองเต็มตัวแล้ว พวกเรามีความมั่นใจ แต่ไม่ได้มั่นใจในตัวของพวกเราทั้ง 4 คน เพราะเรามั่นใจว่าประเทศไทยต้องการการเปลี่ยนแปลง ซึ่งด้วยประสบการณ์ของพวกเราและพรรค พปชร.เรามั่นใจ ว่าตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะเดินหน้าทำงานการเมืองอย่างเต็มตัว ส่วนจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับพี่น้องประชาชน ขอให้รอดูผลการเลือกตั้งเป็นหลัก เพราะเราต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชนพรรค พปชร.จะทำหน้าที่เต็มความสามารถ หากได้รับความไว้วางใจก็จะทำหน้าที่นั้นต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานหลังการแถลงข่าวทั้ง 4 รัฐมนตรี เดินกลับตึกไทยคู่ฟ้าอีกครั้ง เพื่อสักการะพระพรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล จากนั้นทางออกจากทำเนียบฯทันที ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้แซวท่าการโบกมือลาของ 4 รัตมนตรี ไม่ใช่ลาจากแต่จะกลับมาใหม่อีกหรือไม่ นายอุตตม ได้หันมายิ้มและชูนิ้วทำท่าถูกใจ.   

4 รัฐมนตรีงดประชุมครม.-ยกเลิกงาน เตรียมแถลงข่าวลาออก


4 รัฐมนตรีงดประชุมครม.-ยกเลิกงาน เตรียมแถลงข่าวลาออก


    

29 ม.ค.62-ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ล่าสุดเวลา 10.00 น. ทั้ง 4 รัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) นายอุตตม​ สาวนายน​ รมว. อุตสาหกรรม​ หัวหน้าพรรค นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รองหัวหน้าพรรค​ นายสนธิรัตน์สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์​ เลขาธิการพรรค และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจําสํานักนายกรัฐมนตรี โฆษกพรรค จะแถลงข่าวลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีเพื่อไปปฏิบัติงานการเมืองอย่างเต็มตัว​ โดยทั้งหมดลากิจไม่เข้าร่วมการประชุมครม. ก่อนที่ทั้งหมดจะเข้ากระทรวงเพื่ออำลาตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวว่าในวันที่ 1 ก.พ.ทั้ง 4 คนจะเทียบเชิญพล.อ.ประยุทธ์​ จันทร์โอชา​ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ​ (คสช.)​ เพื่อให้มาอยู่ในบัญชีรายชื่อนายกฯของพรรคพลังประชารัฐ 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การลาออกของ 4รัฐมนตรี ทำให้นายกอบศักดิ์ ต้องยกเลิกเดินทางร่วมคณะที่สำนักงานส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)ได้จัดกิจกรรมรมชักจูงการลงทุน(โรดโชว์)ระหว่างวันที่ 30ม.ค.- 2 ก.พ.ที่เมืองโอซาก้า และเกียวโต ประเทศญี่ปุ่นโดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะด้วย ซึ่งเดิมนายกอบศักดิ์มีกำหนดการขึ้นพูดบนเวทีสัมมนาเพื่อเรียกความมั่นใจนักลงทุนญี่ปุ่นมาลงทุนในไทย วันที่ 31ม.ค. ทางนายสมคิดจึงมอบหมายให้นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการสำนักงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ขึ้นพูดแทน.

อัพเดต36พรรคส่งสส.ได้ สะพัด'วงศ์สวัสดิ์'วางมือ 29 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 00:01 น.

อัพเดต36พรรคส่งสส.ได้ สะพัด'วงศ์สวัสดิ์'วางมือ  
29 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 00:01 น.

 เปิดวันแรกลงทะเบียนใช้สิทธิ์ล่วงหน้าคึกคักถึงขั้นเว็บล่ม กกต.คาดถึง 19 ก.พ.จะมียอดทะลุ 2 ล้านคน เปิดตัวเลขอัพเดต 36 พรรคการเมืองส่ง ส.ส.ได้ พร้อมวางปฏิทิน 8-21 มี.ค.พรรคการเมืองเตรียมโผล่โชว์วิสัยทัศน์ผ่านหน้าจอ ไฟเขียวจัดดีเบตแต่ต้องให้เท่าเทียม “วิชชุดา” เผยเตรียมถกปลัด กทม.จุดติดป้ายหาเสียง “หญิงหน่อย” ปลุกเร้าลูกพรรค ชู “ทักษิณ” หากินบอกผลงานพิสูจน์มาแล้วทำให้เป๋าตุง สะพัด “วงศ์สวัสดิ์” วางมือการเมือง 
    เมื่อวันจันทร์ที่ 28 ม.ค. คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เริ่มเปิดให้ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงทะเบียนขอใช้สิทธิ์เลือกตั้งนอกเขต ขอใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้าทั้งในเขต นอกเขต และนอกราชอาณาจักรทางอินเทอร์เน็ตแล้ว ทาง https://election.bora.dopa.go.th/ectoutvote/ เป็นวันแรก โดยเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 28 ม.ค.-19 ก.พ.
    โดยนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.กล่าวว่า ระยะเวลาลงทะเบียนล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 28  ม.ค.-19 ก.พ.ถือว่าไม่น้อย ซึ่งผู้ที่ลงทะเบียนนอกเขตและนอกราชอาณาจักรสามารถเข้าไปเช็กรายละเอียดได้ทาง www.khonthai.com โดยในเว็บไซต์มีรายละเอียดของแต่ละประเทศและมีขั้นตอนลงทะเบียน ส่วนถ้าผู้ใดที่ต้องการใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้าในเขตของตัวเอง ต้องยืนยันด้วยตัวเองในเขตเลือกตั้งที่ตนมีสิทธิ์ หรือยืนยันทางไปรษณีย์
    ทั้งนี้ การเปิดให้ลงทะเบียนวันแรกในหลายพื้นที่คึกคักอย่างมากจนทำให้เว็บไซต์ล่ม และกลายเป็นที่วิจารณ์อย่างมากในช่วงเช้าหลังเปิดให้ลงทะเบียนในโลกออนไลน์ รวมทั้งยังมีการติดแฮชแท็ก #เลือกตั้งล่วงหน้าติดท็อปเทนแฮชแท็กยอดนิยมประจำวันด้วย
    นายณัฏฐ์ เล่าสีห์สวกุล รองเลขาธิการ กกต.ชี้แจงเรื่องนี้ว่า ได้สอบถามสำนักบริหารการทะเบียน  กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเปิดระบบลงทะเบียนทางอินเทอร์เน็ตเมื่อช่วง 08.30 น. จนถึงช่วง 09.00 น.เศษ พบว่ามีผู้สนใจเข้าลงทะเบียนขอใช้สิทธิ์แล้วกว่าพันคน และมีบางคนเข้าระบบไปศึกษาข้อมูลก่อนทำให้ระบบรวนเกิดการขัดข้องไประยะหนึ่ง โดยเฉพาะการลงทะเบียนขอใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้านอกราชอาณาจักร แต่ขณะนี้ได้แก้ไขจนสามารถเข้าไปลงทะเบียนได้ตามปกติแล้ว
    “กกต.ประเมินว่าจะมีผู้ลงทะเบียนขอใช้สิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าในการเลือกตั้งครั้งนี้เกินกว่า 2 ล้านคน เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ทุกคะแนนมีความหมาย ซึ่งหลังปิดการลงทะเบียนขอใช้สิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าในวันที่ 19 ก.พ. กกต.จะประกาศยอดลงทะเบียนในการแต่ละประเภทให้สาธารณชนทราบตามที่กฎหมายกำหนด” นายณัฏฐ์กล่าว
    ขณะเดียวกันที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการฯ นายอิทธิพรได้มอบนโยบายการปฏิบัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ให้แก่คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง และผู้ตรวจการเลือกตั้ง โดยระบุว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีหลักเกณฑ์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ผู้ปฏิบัติหน้าที่ต้องศึกษาและความทำเข้าใจกฎหมายและระเบียบต่างๆ ตั้งแต่การรับสมัครไปจนถึงการประกาศผลการนับคะแนน เพื่อไม่ให้มีข้อผิดพลาดบกพร่องจนนำไปสู่การร้องเรียนต่างๆ โดยขอให้ยึดหลักรวดเร็วทันต่อเวลา เที่ยงตรง ไม่เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใด เพราะการปฏิบัติหน้าที่สามารถให้คุณให้โทษกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้ วางตัวเป็นกลางทางการเมือง
    “การเลือกตั้งครั้งนี้มีการแข่งขันสูง การปฏิบัติหน้าที่ของผู้อำนวยการการเลือกตั้งจึงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด อีกทั้งเราอยู่ในยุคโซเชียลมีเดียที่มีการส่งต่อข้อมูลทั้งจริงและเท็จเป็นไปอย่างรวดเร็ว  จึงขอให้ทำงานด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง นอกจากนี้ขอให้มีความเป็นจิตอาสาสาธารณะ ให้ความร่วมมือกับผู้ใช้สิทธิ์และผู้สมัครอย่างเต็มที่ เราจะดูแลทุกท่านอย่างเต็มที่ ขอให้ทำงานเต็มความสามารถเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างโปร่งใส สุจริต เที่ยงธรรม” นายอิทธิพรกล่าว
แจง 36 พรรคส่ง ส.ส.ได้
    ด้านนายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต.กล่าวถึงสถานะของพรรคการเมืองขณะนี้ว่า จากข้อมูล ณ วันที่ 25 ม.ค.มีพรรคการเมืองทั้งสิ้น 105 พรรค แต่มีพรรคที่มีคุณสมบัติสามารถส่งผู้สมัคร ส.ส.ได้แล้ว 36 พรรค แยกเป็นพรรคการเมืองที่จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.)  ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 ที่ได้ปฏิบัติตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 ใน 4 เรื่อง คือทุนประเดิม 1 ล้านบาท, จัดให้มีสมาชิก 500 คนประชุมใหญ่แก้ไขข้อบังคับพรรค และประชุมเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ครบถ้วน รวมทั้งจัดตั้งสาขาพรรค ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดแล้ว 14 พรรคประกอบด้วย พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย (รป.), พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.),  พรรคเสรีรวมไทย (สร.), พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.), พรรคเพื่อชาติ (พ.ช.), พรรคพลังท้องถิ่นไท  (พทท.),  พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.), พรรคประชาธิปไตยใหม่ (ปธม.), พรรคภูมิใจไทย (ภท), พรรคเพื่อธรรม (พธ.), พรรคเพื่อไทย (พท.), พรรคพลังไทยรักชาติ (พทรช.), พรรคชาติพัฒนา (ชพน.) และพรรคเพื่อสหกรณ์ไทย (พ.พสท.)

ขณะที่พรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นใหม่ตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 ซึ่งดำเนินการเพียงเรื่องการจัดตั้งสาขาพรรค ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดครบถ้วนก็สามารถสมัครได้มีทั้งสิ้น 22 พรรคการเมือง ได้แก่ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.), พรรคประชาชนปฏิรูป (ปชช.), พรรคอนาคตใหม่ (อนค.),  พรรคทางเลือกใหม่ (ทลม.), พรรคพลังไทสร้างชาติ (พทช), พรรคประชาภิวัฒน์ (ปชภ.), พรรคประชาชาติ (ปช.), พรรคพลังธรรมใหม่ (พธม.), พรรคเพื่อนไทย (พ), พรรครวมใจไทย (รจท), พรรคไทยธรรม  (ทธม.), พรรคเพื่อคนไทย (พคท.), พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.), พรรคแผ่นดินธรรม (ผธ.),  พรรคพลังแผ่นดินทอง (พผดท), พรรคไทยรุ่งเรือง (ทรร.), พรรคพลังชาติไทย (พพชท), พรรคพลังแรงงานไทย (พ.รง.ท.), พรรคประชานิยม (ปย.), พรรคเศรษฐกิจใหม่ (ศม), พรรคพลังปวงชนไทย (พลท.)  และพรรคประชาธรรมไทย (ปธท.)


    “ข้อมูลสถานะพรรคการเมือง กกต.จะอัพเดตไปเรื่อยๆ จนกว่าถึงวันเปิดรับสมัคร โดยเชื่อว่าจะมีพรรคการเมืองที่มีความพร้อมในการส่งผู้สมัครเพิ่มมากขึ้น และ กกต.จะจัดส่งข้อมูลดังกล่าวให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตทุกเขตทั่วประเทศ เพื่อประกอบการพิจารณารับสมัคร” นายแสวงกล่าว
มีรายงานว่าใน 36 พรรคที่แจ้งการจัดตั้งสาขาพรรคและตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดมายัง กกต.นั้นยังมีเพียง 3 พรรคการเมือง คือ ปชป.,  รป. และ สร.เท่านั้น ที่มียอดรวมการจัดตั้งสาขาพรรคและตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดครบ 77 จังหวัด ซึ่งตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 มาตรา  145 กำหนดไว้ว่าพรรคการเมืองใดได้จัดตั้งสาขาพรรค หรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดให้พรรคการเมืองสามารถส่งผู้สมัครได้ทุกเขตเลือกตั้งในจังหวัดนั้น ดังนั้นถ้าพรรคการเมืองใดไม่ประสงค์ส่งผู้สมัครครบ 350 เขตใน 77 จังหวัด ก็ไม่จำเป็นต้องตั้งสาขาพรรคหรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดครบทั้ง 77 จังหวัด แต่ตั้งเฉพาะในจังหวัดที่จะส่งเท่านั้นก็ได้

    ส่วนนายอิทธิพรกล่าวถึงกรณีพรรคการเมืองที่ปฏิบัติตามกฎหมายครบถ้วนมีสิทธิ์ในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วประเทศแค่ 4 พรรคว่า ไม่กังวลใดๆ เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลช่วงประมาณวันที่ 20 ม.ค. ซึ่งเรื่องดังกล่าวพรรคการเมืองหลายพรรคกำลังเร่งอยู่ เชื่อว่าขณะนี้มีเพิ่มขึ้นอีกมาก คงไม่ได้หยุดอยู่แค่ 4 พรรค ดังนั้นเมื่อพรรคการเมืองที่ดำเนินการตามกฎหมายครบถ้วนแล้วก็เพียงแค่แจ้งให้ กกต.ทราบตามเงื่อนไข หลังจากนั้นจึงจะส่งผู้สมัครเลือกตั้ง ส.ส.ได้
ประชุมติดป้ายหาเสียง

    ขณะที่ช่วงเวลา 14.00 น. นายเขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ และ น.ส.เพชรชมพู กิจบูรณะ ทีมงานโฆษก รปช.เข้าไปยื่นเอกสารประกอบการจัดตั้งสำนักงานตัวแทนและสาขาพรรค เพื่อแสดงความพร้อมในการเลือกตั้ง โดยยืนยันว่าพรรคจะดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 4 ก.พ. ซึ่งเป็นวันเปิดรับสมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตเป็นวันแรก

    ส่วน น.ส.วิชชุดา เมฆานุวงศ์ ผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ในวันที่ 29  ม.ค.จะไปร่วมประชุมกับปลัด กทม.เพื่อหารือถึงการกำหนดจุดปิดป้ายหาเสียงเลือกตั้งของทั้ง 30 เขตของ กทม. เนื่องจากกรุงเทพฯ เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการกำหนดสถานที่ จากนั้นจึงจะนำมาประกาศจุดต่างๆ โดยพร้อมกันเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม ส่วนเรื่องการแจ้งใช้สื่อโซเชียลมีเดียของว่าที่ผู้สมัคร พรรคการเมือง รวมทั้งผู้ช่วยหาเสียงนั้น พบว่ามีว่าที่ผู้สมัครและพรรคการเมืองหลายพรรคทยอยเข้ามาแจ้งวิธีการและช่องทางหาเสียงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่ามีจำนวนมากพอสมควร โดย กกต.กทม.เปิดให้ผู้ประสงค์จะหาเสียงทางสื่อโซเชียลแจ้งได้โดยไม่เว้นวันหยุดราชการ 


    น.ส.วิชชุดายังกล่าวถึงสถานที่รับสมัคร ส.ส.กทม.แบบแบ่งเขตว่า จะใช้อาคารกีฬาเวสน์ 2 ไทย-ญี่ปุ่น (ดินแดง) ระหว่างวันที่ 4-8 ก.พ. ทั้งนี้จะใช้สถานที่สมัครรวม แต่จะจัดจุดรับสมัคร 30 เขต โดยจะมีการจับสลาก 2 ครั้งสำหรับผู้ที่มาก่อน 8.30 น.ของวันที่ 4 ก.พ. โดยครั้งแรกเป็นการจับลำดับการจับสลาก และครั้งที่สองเป็นการจับหมายเลขผู้สมัคร ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เดินทางมาถึงก่อนเวลา 8.30 น.จำนวนมาก เพราะต่างคาดว่าจะได้เลขที่จำง่าย 

ด้านนายชุมสาย ศรียาภัย คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรค พท.ได้ยื่นหนังสือของหัวหน้าพรรคต่อเลขาธิการ กกต.แจ้งการหาเสียงเลือกตั้งทางอิเล็กทรอนิกส์ของพรรค 5 ช่องทาง คือ เฟซบุ๊ก ยูทูบ ไลน์ เว็บไซต์  และทวิตเตอร์

    นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรค ชทพ.กล่าวว่า เตรียมเสนอปัญหาเกี่ยวกับบัตรเลือกตั้ง ส.ส.ต่อ กกต.ว่า หลังเห็นภาพตัวอย่างบัตรเลือกตั้ง ส.ส.ที่จะใช้ในวันที่ 24 มี.ค.62 พบว่าจะทำให้ผู้ใช้สิทธิ์เกิดความสับสน พรรคจึงเสนอให้ปรับเปลี่ยนเพื่อเรียงลำดับช่องใหม่ในบัตรเลือกตั้ง โดยเรียงจากหมายเลขผู้สมัคร ช่องกากบาทลงคะแนน ก่อนเป็นโลโก้พรรค และชื่อพรรคการเมือง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้จะไม่ทำให้ผู้ใช้สิทธิ์สับสน ง่ายต่อการลงคะแนน โดยพรรคได้ทำหนังสือด่วนที่สุดเพื่อเสนอต่อประธาน กกต.เพื่อพิจารณาแล้ว

8-21 มี.ค.พรรคออกทีวี


    ส่วน พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. และนายแสวงพร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายประชุมหารือร่วมกับผู้บริหารสถานีวิทยุโทรทัศน์ เพื่อสนับสนุนการจัดสรรเวลาออกอากาศให้แก่พรรคการเมือง  โดยนายแสวงระบุว่า กกต.อยากขอความร่วมมือกับสถานีโทรทัศน์ของรัฐ และสถานีโทรทัศน์ดิจิตอลในการจัดสรรเวลาออกอากาศ โดย 1 วันขอเวลา 60 นาที ระหว่างวันที่ 8-21 มี.ค. โดย 5 วันแรกเป็นการออกอากาศสปอตโฆษณาของพรรคการเมืองพรรคละ 10 นาที ส่วน 5 วันถัดมาเป็นการออกอากาศเทปการประชันนโยบายของพรรคการเมือง โดยการออกอากาศทั้ง 2 กรณี กกต.จะให้พรรคดำเนินการในเรื่องของการจัดทำสปอต ส่วน กกต.จะจัดทำในเรื่องของเวทีดีเบต โดยรับผิดชอบเนื้อหาและนำส่งให้สถานีไปเผยแพร่ ซึ่งสถานีสามารถเลือกเผยแพร่ได้ในช่วงเวลา 06.00-24.00 น. โดยไม่จำเป็นว่าแต่ละสถานีต้องเผยแพร่ในช่วงเวลาเดียวกันเพราะ กกต.เข้าใจถึงผังรายการ 


    “ประเด็นที่สถานีสอบถามว่าสามารถจัดเวทีดีเบตได้เอง หรือจัดรายการวิเคราะห์การเมืองได้หรือไม่นั้น ยืนยันว่าการทำหน้าที่ของสื่อยังคงทำได้ตามปกติ แต่การจะเชิญตัวแทนพรรคการเมืองมาดีเบต หรือเสนอข่าวขอให้คำนึงถึงความเท่าเทียม ไม่ใช่ให้น้ำหนักกับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง  เพราะถ้าเกิดกรณีดังกล่าวอาจทำให้สื่อถูกร้องเรียนจากพรรคการเมืองเอง” นายแสวงกล่าว


    สำหรับกรณีผลสำรวจความคิดเห็น (โพล) ที่ระบุว่าคนไทยเกือบ 80% เชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีการซื้อเสียงนั้น น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรค อนค.กล่าวว่า ไม่แปลกใจต่อเรื่องดังกล่าว ทีมหาเสียงทั้ง 77 จังหวัดรายงานเข้ามาเหมือนกันหมดว่า พรรคการเมืองหลายพรรคใช้เงินจำนวนมากในการจ่ายให้ประชาชนเพื่อไปเลือกพรรคของตัวเอง ตามลักษณะการเมืองแบบเก่าที่มีมากว่า 60 ปี และวัฎจักรเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด 


    “เราเชื่อว่าแม้ประชาชนจะเห็นคนมาให้เงินหรือรับเงิน แต่กาลเวลาที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าการใช้เงินเล่นการเมืองไม่ได้ทำให้ไทยก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้เราเชื่อว่าเงินไม่มีส่วนตัดสินใจ รับเงินแล้วจะเลือกหรือไม่นั่นเป็นเรื่องที่ประชาชนตัดสิน แต่เราเชื่อว่าประชาชนจะเลือกจากนโยบายและจุดยืนของพรรค เราเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ของไทย” น.ส.พรรณิการ์กล่าว  


    นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรค พท.กล่าวเช่นกันว่า ทราบมาว่ามีไอ้โม่งเดินเข้าไปในชุมชนของกรุงเทพฯ แล้วเสนองบประมาณในการพัฒนาพื้นที่ และรับปากว่าจะนำความเจริญมาให้ชุมชน เข้าข่ายสัญญาว่าจะให้ และถือเป็นการตกเขียวงบพัฒนาจำนวน 5 แสนบาทต่อชุมชน ส่วนในพื้นที่ต่างจังหวัดก็มีการร้องเรียนว่าข้าราชการวางตัวไม่เป็นกลาง มีการสั่งการผู้ใหญ่บ้านเอื้อประโยชน์ให้พรรคใดพรรคหนึ่ง แต่ขอเตือนว่าวันนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะประชาชนมีเครื่องมือบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ขอย้ำให้ทุกคนวางตัวเป็นกลาง ตอนนี้พรรคกำลังรวบรวมข้อมูลหลักฐานทั้งหมดเพื่อเตรียมยื่น กกต.ต่อไป


    ส่วนความเคลื่อนไหวในการหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ นั้น พรรคเพื่อไทยได้จัดสัมมนาเพื่อเตรียมความพร้อมลงสู่สนามเลือกตั้ง โดยมีแกนนำพรรค กรรมการบริหารพรรค รวมทั้งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ทั่วประเทศเข้าร่วมประชุมโดยพร้อมเพรียง โดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งกล่าวว่า กว่า 2 เดือนที่ลงพื้นที่ประชาชนต่างสะท้อนปัญหา เศรษฐกิจแย่ หนี้สินเพิ่มขึ้น 28 ปีที่ทำการเมืองมาไม่มีครั้งไหนที่ประชาชนรู้สึกว่าขาดที่พึ่ง พวกเขารอคอยให้พวกเราไปช่วยเขาออกจากความทุกข์ 

หน่อยชูแม้วหาเสียง!

    “พรรคการเมืองเกิดขึ้นหลายพรรค แต่สุดท้ายคือ 2 ขั้วเท่านั้น คือขั้วที่ตั้งขึ้นสืบทอดอำนาจเผด็จการ และขั้วตั้งขึ้นเพื่อให้ประชาธิปไตย วันนี้เราไม่ได้อยู่ในสงครามโลกที่ใช้รถถังไปสู้กัน แต่เราอยู่สงครามการค้า เราจึงต้องออกไปแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ถ้าเราได้รัฐบาลไม่เชี่ยวชาญเศรษฐกิจคนไทยจะทุกข์มากขึ้น อยู่ที่ประชาชนว่าจะเลือกรัฐบาลที่เชี่ยวชาญด้านการทหาร หรือรัฐบาลเชี่ยวชาญแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย นายทักษิณ ชินวัตรเคยทำสำเร็จมา ทุกครั้งเราทำเศรษฐกิจดีขึ้นทุกครั้ง มีความสุข กระเป๋าตุงทุกครั้ง” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว

    คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวอีกว่า พรรคจะนำพาประเทศไทยไปสู่ความสวบสุข ไม่ใช่ความสงบสุขแบบ 4-5 ปีที่ไม่มีเสรีภาพ ความสงบสุขไร้คุณภาพกระเป๋าแฟบ พรรคจะสร้างความสงบสุขบนเศรษฐกิจที่ดี มีบางพรรคการเมืองหรือผู้มีอำนาจบอกปล่อยเลือกตั้ง เลือกพรรคการเมือง เดี๋ยวบ้านเมืองไม่สงบ ความไม่สงบที่เต็มด้วยความทุกข์กระเป๋าแฟบเป็นทุกข์ พรรคจะสร้างความสุขให้อนาคตประเทศ วันที่ 24  มี.ค.คือวันแห่งชัยชนะของประชาชน หมดเวลาแล้วสำหรับรถถัง ได้เวลาแล้วของผู้บริหารมืออาชีพ

    นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรค พท.กล่าวว่า ขณะนี้รายชื่อผู้สมัคร ส.ส.เขตของพรรคเพื่อไทยใกล้เสร็จสิ้น 100% จะประชุมเคาะรายชื่อทั้งหมดในวันที่ 31 ม.ค. ในวันที่ 1 ก.พ.พรรคจะมอบใบส่งตัวของพรรคให้แก่ว่าที่ผู้สมัครทุกคนเพื่อให้นำไปสมัคร ส.ส.วันที่ 4 ก.พ. ก่อนส่งรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อต่อ กกต.ในวันที่ 5 ก.พ. เบื้องต้นมีผู้เสนอตัวจะลง ส.ส.บัญชีรายชื่อแล้ว 108 คน  ส่วนบัญชีรายชื่อนายกฯ นั้นที่เห็นกันแล้ว 2 คน คือ คุณหญิงสุดารัตน์ และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แกนนำพรรค แต่รายชื่อที่ 3 ยังไม่ชัดเจน แต่ยืนยันว่าพรรคจะส่งครบ 3 รายชื่อ 
    มีรายงานว่า ในการเสวนาพรรคได้แจกลำโพงแบบพกพาที่ผลิตจากประเทศจีน กำลังเสียง 60 วัตต์ พร้อมไมค์ไร้สายสีทองให้แก่ว่าที่ผู้สมัครของพรรคทุกคนที่มาร่วมเสวนาเพื่อให้ไว้ใช้หาเสียง พร้อมแจกเสื้อยืดสีขาวสกรีนคำว่า “พท.พรรคเพื่อไทย หัวใจคือประชาชน” จำนวน 100 ตัวให้ว่าที่ผู้สมัครนำไปใช้ในการหาเสียงด้วย

    นายวิสิษฐ์ เตชะธีราวัฒน์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 เชียงราย พท.กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ชาวบ้านยังให้การตอบรับพรรคอย่างดี แม้นายยงยุทธ ติยะไพรัช จะไปเป็นกองเชียร์พรรคเพื่อชาติก็ไม่เป็นปัญหา กระแสพรรคยังดีอยู่ แต่กลับได้ยินมามีการไปบอกชาวบ้านว่าพรรคเพื่อไทย-เพื่อชาติฐานเดียวกัน พรรคเดียวกัน ตรงนี้กลัวจะทำให้ชาวบ้านสับสน 
    นายสุรพล เกียรติไชยากร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 8 เชียงใหม่ พท.กล่าวถึงกระแสข่าวนายยศชนัน  วงศ์สวัสดิ์ บุตรชายนายสมชายกับนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อดีตแกนนำพรรคเพื่อไทยจะมาลงสมัคร ส.ส.เชียงใหม่ ว่าเท่าที่รู้มาไม่มี เข้าใจว่าคงอยากขอเว้นการเมืองไปสักสมัย   

    นายนิกรกล่าวถึงการประสรรหาผู้สมัครพรรคของ ชทพ.ว่า จะพิจารณาในวันที่ 30 ม.ค. และจะปฐมนิเทศว่าที่ผู้สมัครของพรรคในวันที่ 1 ก.พ. เวลา 09.00 น. ที่โรงแรมเซ็นทราฯ รวมทั้งจะเปิดแผนปฏิบัติการเร่งด่วนชาติไทยพัฒนา 7 ด้านด้วย

    นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรค ชพน.กล่าวเรื่องนี้ว่า พรรคยังมีเวลาที่จะหารือถึงวันที่ 8 ก.พ.คือวันสุดท้ายที่จะส่งรายชื่อผู้ชิง ส.ส.ของพรรค ส่วนการส่งผู้สมัคร ส.ส.กทม.นั้น พรรคก็ไม่กดดันต่อการแข่งขัน เพราะพรรคเป็นน้องใหม่ในพื้นที่ กทม. โดยจะเน้นการนำเสนอนโยบายกรุงเทพฯ ไม่มีปัญหา ผ่าน 9 แนวทางสร้างกรุงเทพฯ ให้เป็นสมาร์ตซิตี ส่วนการตัดสินใจเลือกตั้งของประชาชนไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรพร้อมยอมรับ 

    ส่วนที่ห้องประชุมอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว นายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ หัวหน้าพรรคสามัญชน พร้อมกรรมการบริหารพรรคได้แถลงวิสัยทัศน์ของพรรคตามอุดมการณ์ของพรรค 3 ข้อ คือ  ประชาธิปไตยฐานราก สิทธิมนุษยชน และเท่าเทียมเป็นธรรม โดยมุ่งขจัดความเหลื่อมล้ำ 4 ด้าน คือ 1.ขจัดความเหลื่อมล้ำทางการเมือง 2.ขจัดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและแรงงาน 3.ขจัดความเหลื่อมล้ำทางสังคม วัฒนธรรม และความรู้ และ 4.ขจัดความเหลื่อมล้ำทางสิ่งแวดล้อม 

    “ในการเลือกตั้งครั้งนี้ว่ากันว่าคะแนน 9 หมื่นเสียงจะได้ ส.ส. 1 คน พรรคพร้อมส่งผู้สมัคร ส.ส.เขต  17 เขตใน จ.เชียงราย, เชียงใหม่, ลำปาง, เลย, สกลนคร, สุรินทร์, กาฬสินธุ์ และหนองบัวลำภู เป็นต้น  ซึ่งต่อให้เราแพ้เลือกตั้งครั้งหน้าต้องมีต่อ ทุกคะแนนที่เลือกมีคุณค่าในการคัดค้านกฎหมายและนโยบายที่ไม่เป็นธรรม” นายเลิศศักดิ์กล่าว.

ลุ้นบิ๊กตู่ตอบรับพปชร. กก.บห.นัดลงมติ30ม.ค.นี้ชูขึ้นบัญชีนายกฯเบอร์1

 "บิ๊กตู่" ลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.สระบุรี โวไม่มีใครแก้ปัญหาที่ดิน ส.ป.ก.ได้เหมือนรัฐบาลนี้  นักท่องเที่ยวก็มามากที่สุดเพราะบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ย้อนถามไม่มีทหารจะอยู่กันอย่างไร ขณะที่ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พปชร.ร่วมต้อนรับคึกคัก "สนธิรัตน์" เผยรอ กก.บห.พปชร.เคาะ 3 ชื่อบัญชีนายกฯ 30  ม.ค.นี้ หึ่ง! "ประยุทธ์" ยังเป็นเบอร์ 1 ตามด้วย "อุตตม-สมคิด" โฆษกเพื่อไทยจี้นายกฯ แสดงตัวให้ชัดเจนว่าอยู่พรรคไหน


    เมื่อวันจันทร์ เวลา 13.40 น. ที่สวนพฤกษศาสตร์ภาคกลาง (พุแค) ตำบลพุแค อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)  พร้อม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย, พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ และนายสมชาย หาญหิรัญ รมช.อุตสาหกรรม เดินทางลงตรวจราชการที่สวนพฤกษศาสตร์พุแค "สวนพฤกษศาสตร์แห่งแรกของประเทศไทย" ซึ่งเป็นตัวอย่างโครงการป่าในเมือง "สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย" 


    โดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธานสักขีพยานในโอกาสที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีมอบ ส.ป.ก.4-01  แก่เกษตรกรจำนวน 10 ราย และการมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชนตามนโยบายรัฐบาลในลักษณะแปลงรวม พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน  (คทช.) ให้แก่ราษฎรจำนวน 10 ราย มีประชาชนมาร่วมงานประมาณ 1,000 คน และมี ร.ต.ปรพล  อดิเรกสาร ผู้สนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ร่วมต้อนรับด้วย 


    ทั้งนี้ถือเป็นการลงพื้นที่ครั้งแรกของ พล.อ.ประยุทธ์หลังประกาศวันเลือกตั้งชัดเจน


    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวกับประชาชนว่า มาเพื่อติดตามการดำเนินงานของรัฐบาล เช่นการจัดสรรที่ดินทำกิน เพื่อมอบสิทธิในการใช้ที่ดินทั้งในส่วนของที่ดิน ส.ป.ก.เดิม ซึ่งบางส่วนออกไม่ได้ในก่อนหน้านี้  แต่รัฐบาลนี้พยายามปลดล็อกจนออกมาได้ นอกจากนี้ยังมีที่ดินของกระทรวงทรัพยากรฯ ที่รัฐบาลจำเป็นต้องปลดล็อกเพื่อให้ประชาชนมีที่ดินทำกิน ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย  เพราะถ้าปล่อยไว้เหมือนเดิมก็จะแก้ไขปัญหาไม่ได้ ไม่ว่ารัฐบาลใดก็แก้ไม่ได้ ยกเว้นรัฐบาลนี้ที่ทำให้ และจะทำต่อไป นอกจากนี้ยังมีการหารือกันว่าในอนาคตจะทำอย่างไรต่อไป โดยได้วางกฎหมายและขั้นตอนต่างๆ ไว้แล้ว ซึ่งต้องเดินหน้าทีละขั้นตอน วันนี้ที่ดินยังพอมีอยู่


บ้านเมืองสงบนักท่องเที่ยวมาก

    "ปัจจุบันถือว่ามีนักท่องเที่ยวเข้ามาไทยมากที่สุดในช่วงรัฐบาลนี้ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร  แต่เข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ไม่มีปัญหาความขัดแย้งตามท้องถนน ไม่เคร่งเครียดและตีกันทุกวัน ถือเป็นเรื่องสำคัญในการเดินหน้าประเทศ"
    นายกฯ กล่าวว่า พื้นที่ที่มาวันนี้เป็นสวนพฤกษศาสตร์แห่งแรกของประเทศไทย เราต้องคำนึงถึงประวัติศาสตร์ชาติไทยที่มีมากว่า 700 ปี ที่นั่งกันอยู่วันนี้ อยู่กันมาตั้งแต่รัชกาลที่ 9 และมาต่อในรัชกาลที่ 10 จงภูมิใจที่อยู่มาถึง 2 รัชกาล วันนี้เราถือว่าร่วมกันทำ 2 อย่าง คือถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 และเรากำลังจะร่วมมือกันจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่เป็นมงคลที่สุดของประเทศไทย เราต้องทำให้ดีให้เหมือนเดิม เป็นไปตามจารีตประเพณี โดยเมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ มาทรงร่วมเป็นประธานที่ปรึกษาหารือว่าจะต้องทำอย่างไร โดยพระราชพิธีจะเริ่มมีตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.นี้ ไม่ใช่แค่เดือน พ.ค.อย่างเดียว ต้องมีพิธีตักน้ำพลีกรรม น้ำทั้งหมด 108 แห่ง นั่นคือพิธีโบราณตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ทำมาโดยตลอด และต้องทำทุกรัชกาล เพราะเป็นสิ่งที่อยู่คู่แผ่นดินไทยมายาวนาน สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ใช่หรือไม่ หรือใครคิดว่าไม่ควร เราต้องทำถวาย วันหน้าลูกหลานของเราจะอยู่ในรัชกาลที่ 10 ต่อกันไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น เพราะนี่คือประเทศไทยของเรา
    เขาบอกว่า สวนป่าสวนพฤกษชาติมีมานานแล้ว วันนี้รัฐบาลมาจัดระเบียบ หมวดหมู่ที่หลวง ที่เอกชน พื้นที่ป่า เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ ประชาชนจะอยู่กันอย่างยั่งยืนอย่างไร ตามแนวทางรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 ตนเคยตามเสด็จฯ รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระองค์โปรดต้นไม้  ใครอย่าตัดของพระองค์ หรือเผาป่าไม่ได้ พระองค์ไม่โปรดตรงนี้ พระองค์ตรัสว่าต้องดูแลกันให้ดี ฉะนั้น ในฐานะประชาชนต้องช่วยดูแลให้ดี และต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์เป็นมาอย่างไร แม้กระทั่ง อ.พุแค จ.สระบุรี ถ้าไม่มีประวัติศาสตร์ อย่างที่หลายคนบอกเลิกให้หมด ไม่ต้องไปเรียนมาก มันไม่ได้ เพราะมันจะทำให้หมดแรงที่จะดึงให้คนต่างๆ อยู่ร่วมกัน รักสามัคคีกันหายไปหมด แล้วจะทำอย่างไรกันต่อไป  หลายอย่างไม่ควรจะเลิก มันจะเป็นอันตรายต่อประเทศชาติ
    "ที่ผมพูดวันนี้เกี่ยวกับเรื่องป่า ไม่ได้พูดให้ใคร หรือการเมืองใครทั้งสิ้น ผมพูดในนามรัฐบาล พูดในนามนายกฯ ขอให้เข้าใจ ฉะนั้นใครจะไปพูดอะไรก็เรื่องของเขา คงไม่เกี่ยวกับผม ผมพูดในนามรัฐบาล  รัฐบาลต้องพูดได้ เพราะเป็นคนทำนโยบาย ทั้งไม้มีค่า ป่าชุมชน คนอยู่ร่วมกับป่า"
    นายกฯ กล่าวอีกว่า ที่ดิน ส.ป.ก.วันนี้ที่ให้เพราะพอจะให้ได้ แบ่งให้ลูกหลานได้ แต่ต้องเอาไปทำการเกษตร เอาไปจํานําจํานองไม่ได้ ดังนั้นต้องหาวิธีการจะทำอย่างไรให้ที่เหล่านี้เกิดมูลค่า ดูเรื่องของการปลดล็อกกฎหมาย ดูความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ว่าไปทำอย่างอื่นได้หรือไม่ในทำนองนี้ อย่าไปฟังว่าจะให้ที่ดินเลย อยากให้รักษาที่ไว้ให้มากที่สุด ให้มีที่ดินทำกิน ส่วนเรื่องของสินค้าโอท็อปก่อนหน้านี้มีแค่หมื่นรายการ รัฐบาลนี้มาทำเป็นแสนรายการ ขึ้นเครื่องขาย แต่ทั้งหมดต้องมีคุณภาพและมีเรื่องราว รัฐบาลนี้เข้ามา 4 ปีผลักดันเพิ่มมูลค่าหลายแสนล้านบาท นี่คือกลไกประชารัฐที่ทุกกลุ่มต้องร่วมกันทำ ซึ่งคำว่าประชารัฐเกิดขึ้นมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมี และก็ไม่ใช่ไปซ้ำกับใคร 
    "ส่วนการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม 2562 ขอให้ทุกคนไปเลือกตั้งเลือกให้ดี เป็นเรื่องของท่านไม่เกี่ยวกับผม และวันนี้ผลงานรัฐบาลยังมีถนนหลายเส้นที่เกิดในรัฐบาลนี้ เพราะความสงบเรียบร้อย ถ้าเป็นเหมือนเดิมไม่มีใครมาลงทุน ดังนั้นผมก็แค่ขอความสงบเรียบร้อยเท่านั้น เพราะจะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเรา ถ้าขัดแย้งจะทำให้ศักยภาพหายวับไปกับตา"

ไม่ชี้นำเลือกตั้ง

    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า ส่วนใครที่มาบอกว่าจะทำอะไรให้ มันก็หมดสมัยแล้ว แต่ต้องบอกว่าจะทำอย่างไร งบประมาณจากไหน อย่างบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตนก็ทำถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ใช่ให้ใครมารัก แต่เป็นหน้าที่ มีหลักมีเหตุผล เพื่ออนาคตของพวกเรา เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำในอดีต ทุกอย่างต้องไปทีละขั้นทีละตอน ลัดขั้นตอนไม่ได้ ไม่ใช่ไปกู้มาแล้วมาแจกเฉยๆ มันไม่ได้ รวมถึงเรื่องการทุจริต ทุกคนต้องมีจิตสำนึกที่ดีจะได้ไม่มีคนทุจริต ยอมรับกติกาจะได้ไม่มีใครโกง
     "รัฐบาลหน้าจะเป็นอย่างไร ผมก็ยังไม่รู้เลย อยู่ที่พวกเรา สิทธิทุกอย่างอยู่ที่พวกเราเลือกตั้ง ซึ่งผมคงไปชี้นำไม่ได้ วันนี้สิ่งที่ผมพูดคงไม่ได้มีอะไรไปข้องแวะกับนักการเมือง จะแก้ปัญหาอะไรถ้าเราไม่ร่วมมือกัน รัฐบาลไหนก็ทำให้ไม่ได้ เราต้องทำสิ่งที่ถูกต้อง อะไรที่มีกฎหมายก็ต้องทำตามกฎหมาย" 
    หัวหน้า คสช.บอกว่า "ขอให้ทุกคนยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เหมือนเพลงในความทรงจำ ที่อดีตเคยเกิดอะไรมา วันนี้ก็ทำสิ่งใหม่ ผมแต่งเพลงนี้เป็นเพลงที่ 7 แล้ว อย่างเพลงสู้เพื่อแผ่นดิน บางคนบอกว่าผมเขียนเอาตัวเองใส่เข้าไป แล้วบอกว่าผมมีบุญคุณกับประเทศไทย เรื่องนี้มันไม่ใช่  แต่เป็นการแต่งมาจากความรู้สึกของคนทุกคน ประชาชนคือคนที่อยู่ในเพลง ไม่ใช่ผม วันนี้ผมทำตามสัญญาแล้วหรือยัง ทำแล้วใช่ไหมตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นานใช่ไหม ดูกันแค่เพลงแรกเพลงเดียว ผมก็ให้ไปแล้วยังมาทวงอีก ก็ทำไปตามกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญ นี่ก็ทวงกันไม่เลิกสักที ผมก็โดนด่าทุกวัน" 
    ในช่วงท้ายนายกฯ ยังกล่าวกับประชาชนว่า อย่ารังเกียจทหารกันให้มากนักเลย เพราะถ้าไม่มีคนเหล่านี้จะอยู่กันอย่างไร ใครจะช่วยประชาชนเวลาเดือดร้อน ส่วนตำรวจไม่ดีที่ไปเรียกเงินเรียกทอง พอข่าวนี้ออกมาทุกวันก็เลยเกลียดตำรวจทั้งหมด ก็ทำให้ตำรวจบังคับใช้กฎหมายไม่ได้ ถามว่าจะแก้ปัญหาเรื่องความสงบเรียบร้อยได้หรือไม่ หากตำรวจทั้งประเทศน้อยใจหยุดไม่ทำงาน ก็ทำให้โจรเยอะขึ้นมาอีก อย่างน้อยที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เพราะยังมีตำรวจดีๆ ทำงานอยู่
    จากนั้นนายกฯ เดินชมบูธผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชน โดยนักเรียนโรงเรียนหน้าพระลาน (พิบูลสงเคราะห์) ได้มอบเสื้อสกรีนภาพนายกรัฐมนตรีแก่นายกฯ ก่อนนายกฯ จะร่วมร้องเพลงในความทรงจำร่วมกับนักเรียน
    ต่อมาเวลา 15.35 น. นายกฯ เดินเยี่ยมชมศูนย์ OTOP คอมเพล็กซ์พุแค (ศูนย์จำหน่ายและจำหน่ายสินค้า OTOP ทั่วประเทศ) และศูนย์ฝึกอาชีพ OTOP ก่อนนั่งรถรางเพื่อมาเยี่ยมชมตลาดหัวปลี "ตลาดสร้างสุข ชุมชนร่วมสร้าง" โดยมี น.ส.กัลยา รุ่งวิจิตรชัย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สระบุรี เขต 1 พรรคพปชร., นายสมบัติ อำนาคะ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สระบุรี เขต 2 พรรค พปชร. และนายปริญญา วันทา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สระบุรี เขต 3 มาต้อนรับ โดยนายกฯ ได้ชมสินค้าและผลิตภัณฑ์ชุมชน และได้ร่วมตีกลองแต๊กในบทเพลง "เพราะเธอคือประเทศไทย" ร่วมกับนักเรียนโรงเรียนเขารวก (ร่วมมิตรพัฒนา)
    ภายหลังเยี่ยมตลาดหัวปลี พล.อ.ประยุทธ์เดินผ่านการแสดงดนตรีจากนักเรียนโรงเรียนเทพศิรินทร์พุแค ซึ่งกำลังเล่นเพลง "ช้ำคือตัวเรา" ของ "นิตยา บุญสูงเนิน" จึงหันมาถามผู้สื่อข่าวว่าชื่อเพลงอะไร  เมื่อผู้สื่อข่าวบอกชื่อเพลง พล.อ.ประยุทธ์พูดอย่างอารมณ์ดีว่า "ช้ำคือตัวเรา ใครจะช้ำกับเราเท่านายกฯ"  พร้อมหัวเราะ ก่อนเดินทางกลับ

30 มค.พปชร.เคาะ 'บิ๊กตู่' เบอร์ 1

     วันเดียวกัน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.ระบบเขตและระบบปาร์ตี้ลิสต์ว่า จะมีการหารือในที่ประชุมคณะกรรมการสรรหาในวันที่ 29  ม.ค. ช่วงบ่ายเป็นรอบสุดท้าย และวันที่ 30 ม.ค. คณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) จะมีการลงมติ ซึ่งขณะนี้ยังเหลือผู้สมัครอีกเพียง 11 เขตเท่านั้นที่ยังมีปัญหา แต่คาดว่าจะเสร็จภายใน 2-3 วันนี้ รวมถึงการพิจารณาบัญชีรายชื่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย ส่วน พล.อ.ประยุทธ์จะยังเป็นเบอร์ 1 หรือไม่ ขณะนี้ต้องรอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารอีกครั้ง เพราะการคัดเลือกต้องอยู่ในกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารพรรค จะแถลงให้สื่อมวลชนทราบภายใน 2-3 วันนี้ ส่วนประเด็นการลาออกของ 4 รัฐมนตรีเมื่อถึงเวลาจะบอกเอง 

    มีรายงานข่าวจากพรรค พปชร.แจ้งว่า สำหรับบัญชีรายชื่อผู้ที่พรรคจะเสนอให้เป็นนายกฯ ซึ่งจะต้องส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ภายในวันที่ 8 ก.พ.นี้นั้น เบื้องต้นจะยังใช้โควตา 3 คน เต็มจำนวนตามกฎหมาย โดยเบอร์หนึ่งคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องผ่านกระบวนการประชุมของคณะกรรมการบริหารพรรคก่อน จากนั้นจะมีการทาบทามอย่างเป็นทางการ  ส่วนเบอร์สองจะเป็นนายอุตตม สาวนายน ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. และเบอร์สามคือ นายสมคิด  จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ที่มีภาพลักษณ์ในมิติเศรษฐกิจ และถูกวางตัวให้เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ หากพรรค พปชร.ได้เป็นรัฐบาล
     นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอความชัดเจนไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ว่า จะไปอยู่พรรคไหน หากยังอ้อมแอ้มอยู่แบบนี้ ทำให้คนคิดไปได้ว่าที่ยังไม่ประกาศตัวเพราะกลัวจะวางตัวไม่เป็นกลางใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ควรแสดงความชัดเจนได้แล้วว่าจะอยู่พรรคไหน จะได้ดูทุกย่างก้าวของ พล.อ.ประยุทธ์ว่าแต่ละวินาทีหลังจากนี้วางตัวเป็นกลางหรือไม่ ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีต้องวางตัวเป็นกลาง เป็นธรรมกับทุกพรรค ไม่ใช่เอาอำนาจรัฐมาเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น
    นายนิกร จำนง ผอ.พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ในวันที่ 29 ม.ค. พรรคชาติไทยพัฒนาจะมีการประชุมคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครพรรค ที่มีนายประภัตร โพธสุธน เป็นประธาน เพื่อพิจารณาสรุปรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบเขต ปาร์ตี้ลิสต์ และบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรคด้วย เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคพิจารณาในวันที่ 30 ม.ค.