PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557

10 ข้อเสนอว่าด้วยสถานการณ์และการเคลื่อนไหวของประชาชนในปัจจุบัน

10 ข้อเสนอว่าด้วยสถานการณ์และการเคลื่อนไหวของประชาชนในปัจจุบัน

1. ว่าด้วยรัฐประหารในฐานะวิกฤตของชนชั้นนำ การรัฐประหารไม่ใช่ความพ่ายแพ้ “ถาวร” ของประชาชน แต่การรัฐประหารทุกครั้ง คือ ความพยายามรวบและกระชับอำนาจของชนชั้นนำท่ามกลาง “วิกฤตของความชอบธรรม” และรัฐประหารในปี 2549 และปี 2557 ก็เช่นเดียวกัน เกิดขึ้นจากสภาวะวิกฤตของความชอบธรรมอย่างถึงที่สุดของชนชั้นนำที่ยึดครองอำนาจรัฐ โดยคู่ขัดแย้งไม่ได้จำกัดตัวอยู่ที่ชนชั้นนำเพียง 2 กลุ่ม 2 ขั้วเท่านั้น แต่มีประชาชนนับแสนนับล้านเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งด้วย นั่นหมายความว่า วิกฤตครั้งนี้เป็นวิกฤตที่ลงลึกในทุกระดับของสังคมยิ่งกว่าวิกฤตครั้งใดๆที่ชนชั้นนำเผชิญอยู่
2. วงจรอุบาทว์ที่เวลาหดสั้นลงเรื่อยๆ นักรัฐศาสตร์เคยเสนอภาพการเมืองไทยโดยใช้โมเดล “วงจรอุบาทว์” มานานแล้ว โดยเสนอว่า พัฒนาการของการเมืองไทยมีลักษณะที่วนเป็นวงกลม คือ การเลือกตั้ง – รัฐบาลโกง – รัฐประหาร – การต่อต้านรัฐประหาร – การเลือกตั้ง -- ... ซึ่งเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ แต่หากเราพิจารณาระยะห่างในแง่ของเวลานับจากการรัฐประหารปี 2534 จนถึงรัฐประหาร 2549 กับ ระยะห่างจากรัฐประหาร 2549 จนถึง 2557 แล้ว พบว่า จาก 2534 ถึง 2549 คือ 15 ปี ส่วน 2549 ถึง 2557 คือ 8 ปี นั่นหมายความว่า หากการทำรัฐประหารคือวิธีการแก้วิกฤตความชอบธรรมของชนชั้นนำ วิกฤตของชนชั้นนำที่เกิดขึ้นก็กำลังงวดและถี่เร่งเข้ามามากขึ้นทุก จาก 15 ปี เป็น 8 ปี นี่ยังไม่นับการสังหารหมู่ในปี 2553 อีก โอกาสของการมีชีวิตอยู่ของระบอบนี้ก็หดสั้นลงอย่างที่พวกเขาไม่เคยรู้ตัว
3. ว่าด้วยท่าทีต่อพรรคเพื่อไทยและทักษิณ การรัฐประหารรอบนี้ ประชาชนต้อง “ตาสว่าง” ยกกำลังสอง โดยเฉพาะตาสว่างจากการฝากความหวังที่ชนชั้นนำอย่างทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยว่าคนเหล่านี้จะเป็นแกนนำหรือหัวหอกในการต่อต้านเผด็จการจนถึงที่สุด หากจำได้ วันที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศกฎอัยการศึก แกนนำ นปช. และพรรคเพื่อไทยต่างก็ขานรับกับการแทรกแซงทางการเมืองของประยุทธ์ทั้งสิ้น นี่ยังไม่นับการผลักดันพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมของเพื่อไทย จนทำให้ฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยลุกฮือชุมนุมกว่า 6 เดือนจนนำมาสู่รัฐประหารได้ขนาดนี้
4. ว่าด้วยวิธีคิดของฝ่ายเผด็จการ ฝ่ายทหารที่ยึดอำนาจชุดนี้เติบโตขึ้นจากการฟูมฟักของสหรัฐอเมริกาในยุคสงครามเย็น อาจกล่าวได้ว่า พวกเขาโตขึ้นมาด้วยวิธีคิดเรื่องความมั่นคงแบบสงครามเย็น ที่มุ่งเน้นการปราบปรามพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่มีการจัดตั้งแบบรวมศูนย์สั่งการจากบนลงล่างเป็นหลัก พวกเขาเชื่อว่า การจับกุมกวาดล้างขบวนการประชาธิปไตยสามารถทำได้ง่ายดายเพียงแค่เด็ดหัวแกนนำไม่กี่คน พวกเขาเชื่อว่าถ้าจัดการกับนักการเมืองและกลุ่มทุนได้ ขบวนการก็จะไม่มีท่อน้ำเลี้ยงอีกต่อไป พวกเขาเชื่อว่าถ้าไม่มีนักวิชาการ ปัญญาชน และนักกิจกรรมทางสังคม ประชาชนก็จะเคลื่อนไม่ได้ พวกเขาเชื่อว่า ถ้าจับคนทำสื่อของประชาชนและควบคุมสื่อได้ ประชาชนจะไม่มีช่องทางสื่อสารกันเอง ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เขาเชื่อ ซึ่งผิดยุคผิดสมัยอย่างยิ่งในโลกปัจจุบัน
5. ว่าด้วย “ขบวนการล้มเจ้า” ฝ่ายทหารเชื่ออย่างสนิทใจว่า “ขบวนการล้มเจ้ามีอยู่จริง และเชื่อมโยงกันแน่นหนาและเป็นระบบ” นี่เป็นความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงนับตั้งแต่ฝ่ายทหารกุเรื่อง “ผังล้มเจ้า” ขึ้นมาในปี 2553 และเห็นได้ชัดที่สุดจากการพยายามสร้าง “ภาพใหญ่” โดยต่อจิ๊กซอว์จำนวนมากว่าใครเกี่ยวข้องกับใครในขบวนการฯ และจบลงด้วยการกวาดล้าง ยัดเยียดข้อหา และจับกุมประชาชนด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพียงเพราะเชื่อว่า ขบวนการฯมีอยู่จริง ความผิดพลาดที่สำคัญที่สุดในเรื่องนี้คือ “ขบวนการล้มเจ้าไม่เคยมีอยู่และไม่ได้มีอยู่จริง” ความขัดแย้งทางการเมืองปัจจุบัน คือ ความขัดแย้งระหว่างการเอาประชาธิปไตยกับไม่เอาประชาธิปไตย ไม่ใช่ฝ่ายล้มเจ้าหรือเอาเจ้า ยิ่งฝ่ายทหารมโนมากเท่าไร และยิ่งทหารอ้างสถาบันฯเพื่อเล่นงานจับกุมฝ่ายประชาธิปไตยมากเท่าไร สถาบันจะยิ่งเป็นเป้าทางการเมืองมากขึ้นเท่านั้น การที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์สถาบันมากขึ้นไม่ใช่ผลผลิตของขบวนการฯ แต่เป็นผลผลิตจากการอ้างสถาบันของฝ่ายไม่นิยมประชาธิปไตยเองตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน
6. ว่าด้วยแนวทางแบบ นปช. นับจากวันรัฐประหารเป็นต้นมา โมเดลของการต่อต้านรัฐประหารเปลี่ยนไปตลอดเวลา และนี่คือความสร้างสรรค์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ความจำนนของ นปช. “ก่อน” รัฐประหาร กอปรกับการที่แกนนำถูกจับ ส่งผลให้การเคลื่อนในรูปแบบขบวนการประชาชนขนาดใหญ่ที่นำโดยแกนนำเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง นี่คือสิ่งที่ฝ่ายประชาชนต้องยอมรับว่า ภายใต้สภาพที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เราไม่สามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ในรูปของขบวนการขนาดใหญ่ที่ระดมมวลชนจากจังหวัดต่างๆ เข้ามา ยึดถนน จัดเวทีแบบยาวๆ ได้อีกต่อไป นี่คือสิ่งที่ บก.ลายจุดตระหนักดีว่า เราไม่อาจเอาชนะได้ในเวลานี้ สิ่งที่ทำได้คือ รักษาสปิริตของการต่อต้านไว้ เพื่อรอเวลา
7. การทดลองรูปแบบการเคลื่อนไหวใหม่ๆ  ในสถานการณ์ที่เราเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้และบรรยากาศความกลัวปกคลุม ไม่ได้แปลว่าเราต้องเฉยหรือกลัว การแสดงความเห็นวิพากษ์อำนาจ ถ้าทำในสภาวะที่มีเสรีภาพ 100% มันก็ไม่มีความหมาย ในสภาวะที่เพดานของเสรีภาพต่ำตมแบบนี้แหละที่สังคมเราต้องการการวิพากษ์ เลาะเล็ม ชอนไช บ่อนทำลายเพดานที่ปิดกั้นเราอยู่ เสรีภาพในการแสดงความเห็นในสภาวะไร้เสรีภาพแบบนี้จึงมีความหมายมาก เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของการต่อต้านและวิพากษ์ตอนนี้ คือ 1) รักษาสปิริตของการต่อต้าน และ 2) บ่อนเซาะเพดานของความกลัว เพื่อให้คนกล้าออกมาแสดงพลังต่อต้านได้มากขึ้น ที่เรียกว่า “บ่อนเซาะ” เพดานของความกลัวก็เพราะ เราไม่มีกำลังจะทุบมันทิ้งได้ในครั้งเดียว อาจจะกินเวลานานกว่าที่ขบวนของประชาชนจะฟื้นตัว ฉะนั้น สิ่งที่เราทำได้จึงน่าจะเป็นการร่วมกันผลัก กระแทกทีละนิดละหน่อย บางทีก็วิ่งชนมันแรงๆ ถ้ามีโอกาส เพื่อให้เพดานแห่งความกลัวนี้มันขยับขึ้นไป ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ การที่ใครสักคน หรือกลุ่มคนใดที่ “กล้า” บ่อนเซาะ กระแทกเพดาน มันจะช่วยสร้างกำลังใจให้คนอื่นๆ กล้าทำเช่นนั้นด้วย ซึ่งการบ่อนเซาะทำลายก็ต้องอาศัยศิลปะของการต่อสู้ การออกแบบยุทธวิธีด้วย เพราะสิ่งที่สำคัญไม่แพ้การต่อสู้ก็คือ เราต้องปลอดภัยไม่ถูกจับไปเสียก่อน นั่นคือ ทั้งสู้และทั้งรักษาชีวิตไปพร้อมกัน
8. ความคิดสร้างสรรค์สำคัญที่สุด สิ่งแรกที่ต้องตระหนัก คือ ความคิดสร้างสรรค์ของผู้คน อันเนื่องมาจากฝ่ายทหารมีวิธีคิดชุดเดียว นั่นคือวิธีเด็ดหัวแกนนำซึ่งเป็นมรดกความคิดแบบเก่า ฝ่ายทหารพัฒนาปรับตัวเทคนิคของอำนาจ “หลัง” จากที่ฝ่ายประชาชนเปลี่ยนวิธีต่อต้าน พวกเขาคิด “ก่อน” เราไม่ได้ เพราะพวกเขาวิ่งไล่จับเราแบบแมววิ่งไล่จับหนู ยิ่งเราคิดสัญลักษณ์หรือเครื่องมือใหม่ๆได้มากเท่าไร ฝ่ายเผด็จการจะปวดหัวมากขึ้นเท่านั้น เพราะเขาต้องไล่ตามความเปลี่ยนแปลงจำนวนมากที่คนยุคไดโนเสาร์ไม่เคยเจอทุกวัน ยิ่งเราสามารถเปลี่ยนสัญญะต่างๆ ให้เป็นเครื่องมือในการต่อต้านมากเท่าไร ฝ่ายทหารจะมีความสามารถในการติดตามจับกุมลดลงเท่านั้น การสร้างเครื่องมือใหม่ๆ ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจึงสำคัญที่สุดในการใช้บ่อนเซาะอำนาจที่ตายตัวแข็งและโบราณ
9. การเคลื่อนไหวแบบเครือข่าย อันเนื่องมาจากในสถานการณ์ที่การมีศูนย์กลางหรือแกนนำมีแต่จะทำให้โดนจับและปราบ รูปแบบการต่อต้านแบบใหม่ๆ จึงต้องมีลักษณะที่ไม่มีศูนย์กลางที่ชี้นำ  หมดเวลาที่นักกิจกรรมจะจัดตั้งจากบนลงล่าง หมดเวลาที่ปัญญาชนจะลงไปสอนสั่งมวลชนที่พวกเขาเชื่อว่าโง่เขลา หมดเวลาที่ศิลปินจะอ้างว่าตัวเองพูดความจริงแทนคนอื่น ทุกคนคิดและทำเองได้ถ้าเราเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย การเคลื่อนแบบเครือข่าย คือ ทุกคนเป็น “จุด” หนึ่งที่สัมพันธ์กับจุดอื่น หน้าที่ของคนทำงานคือ สร้างเครื่องมือสื่อสาร ต่อท่อเชื่อมโยงจุดต่างๆอย่างอิสระ หลายทิศทาง และไม่สิ้นสุด ทุกๆจุดเชื่อมต่อได้ด้วยตนเองแบบไม่ตายตัว ส่วนเนื้อหาหรือสาร ให้ทุกๆจุดสร้างเอาเอง แล้วโยนเข้ามาในเครือข่าย ทุกๆจุดมีอำนาจเลือกรับปรับเปลี่ยนได้ตลอด เมื่อทุกคนเป็นจุดหนึ่งๆในเครือข่ายขนาดใหญ่ การขยับของจุดหนึ่งจะส่งผลให้เกิดพลังและแรงบันดาลใจให้จุดอื่นๆขยับต่อด้วยรูปแบบของตนเอง และการต่อสู้จะขยายออกไปอย่างไม่สิ้นสุด เดาทางไม่ได้ และเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ และนี่คือสิ่งที่ฝ่ายทหารไม่รู้จัก เรียนรู้ไม่ได้ ปรับตัวไม่ทัน
10. เราทุกคนเป็นนิรนาม ท่ามกลางการจับจ้องที่แกนนำโดยฝ่ายทหาร ท่ามกลางการไร้แกนนำแบบรวมศูนย์ของ นปช. ท่ามกลางการที่ทุกคนเป็นจุดซึ่งขยับเองได้อย่างอิสระ นั่นหมายความว่า “เราทุกคนเป็นนิรนาม” เราไม่มีชื่อ ไม่มีตัวตน เราเป็นแค่จุดเชื่อมของสรรพสิ่งที่วิ่งผ่านตัวเรา ไม่มีกิจกรรมใดที่มีแกนนำ ไม่มีใครอ้างว่ากิจกรรมไหนเป็นของตัวเอง ทุกคนเป็นเจ้าของกิจกรรมทุกอย่างตามที่ตนเองเข้าร่วมและพอใจ ทำทุกอย่างแบบรวดเร็ว รีบมารีบไป ไม่มีร่องรอย สิ่งสำคัญกว่านั้น การเป็นคนนิรนามจะลดการแบกรับความเสี่ยงให้แก่คนใดคนหนึ่ง เช่นที่ บก.ลายจุดถูกจับไป แต่การเป็นคนนิรนาม ตัวเราต้องเรียนรู้และแบกรับความเสี่ยงด้วยตนเอง ถึงเวลาแล้วที่เราต้องพิสูจน์ว่า ฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยจับใครไม่ได้ ไม่มีประสิทธิภาพ และไม่รู้จักประชาชน เพราะเราทุกคนเป็นนิรนาม

ข้อสังเกตอำนาจ คสช.ย้าย อสส.

เด้งปลัดไอซีทีเป็นอำนาจท่าน ในฐานะฝ่ายบริหาร ที่ผ่านมาหลังรัฐประหาร ปลัดก็ตัวสั่นงันงก ทำทุกอย่างปะหลกๆ น่าสมเพช เด้งไปเหอะ
เด้งเลขาสภา สมควร เพราะมีเรื่องอื้อฉาวมากมาย และไม่มีสภาแล้ว ก็เป็นอำนาจ คสช. (ที่จริงจะให้ดีต้องตั้งกรรมการสอบ แล้วเด้งตามขั้นตอนนะครับ ไม่งั้นพ้นยุคท่านเขาอาจร้องศาลปกครองกลับมาใหม่ได้)
แต่เด้งอัยการสูงสุด!!! นี่สิ มีคำถามเชิงระบบ อัยการไม่ได้เป็นกรมอัยการสังกัดมหาดไทย ไม่ได้ขึ้นต่อนายกฯ หรือรัฐมนตรีแล้วนะครับ รัฐธรรมนูญ 2550 ยกเป็นองค์กรอิิสระ ถึงแม้กระบวนการยังไม่สมบูรณ์ แต่การแต่งตั้งถอดถอน ก็ต้องผ่าน ก.อ. เหมือนประธานศาลฎีกา ต้องผ่าน ก.ต.
สมมตินะ สมมติ รัฐประหารเด้งประธานศาลฎีกาได้ไหม ได้สิ แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมี
รัฐประหารเด้งประธานกรรมการสิทธิได้ไหม ได้สิ (อยู่ในหมวด 11 ส่วนที่ 2 เหมือนอัยการ) แต่เขาไม่ทำกัน ถ้าทำ ก็ยุบทั้งคณะกรรมการ
ป.ล.ลืมไป รัฐประหาร 34 รัฐบาลอานันท์ อ.ประภาศน์ อวยชัย แทรกแซงการตั้งประธานศาลฎีกา ก็เกิดวิกฤตตุลาการ

โฆษก คสช.พบสื่อ ตปท. -ยังไม่ตอบเรื่องรูปแบบสภา ให้รอ 15 เดือนหลังปฏิรูปเสร็จ

โฆษก คสช.พบสื่อ ตปท. -ยังไม่ตอบเรื่องรูปแบบสภา ให้รอ 15 เดือนหลังปฏิรูปเสร็จ

โฆษก คสช. แถลงที่ FCCT ชี้สื่อต่างประเทศอาจจะยังไม่รู้จักหัวหน้า คสช. แต่ยืนยันว่าเป็นคนจริงใจ - ส่วนที่เรียกคนมารายงานตัวไม่ใช่ส่งเข้า "คุกมืด" แต่เป็นการเรียกมาพบเพื่อ "รับฟัง" ห้ามชูสามนิ้วเพื่อป้องกันความรุนแรง สังคมไทยต้องการความกลมเกลียว - สิ่งที่ทำไม่อยากให้เรียก "รัฐประหาร" แต่เป็นการเปลี่ยนรูปแบบการบริหาร-ขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า
พ.อ.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกกองทัพบก และทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
11 มิ.ย. 2557 - ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย ถ.เพลินจิต ช่วงค่ำวันนี้ มีการเสวนาหัวข้อ "After The Coup--What Comes Next?" โดย พ.อ.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกกองทัพบก และโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดย พ.อ.วีรชน ซึ่งวันนี้ไม่ได้สวมเครื่องแบบทหารแต่มาในชุดสูทสากล ได้ชี้แจงสาเหตุการยึดอำนาจของ คสช. โดยยืนยันว่ากองทัพไม่ได้ทำลายประชาธิปไตย แต่ทำให้ประชาธิปไตยเข้มแข็งขึ้น กำลังพลในกองทัพเป็นผู้ได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดี จึงสามารถเข้าใจความรู้สึกของนานาชาติ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสื่อมวลชนต่างประเทศอาจจะยังไม่รู้จักหัวหน้า คสช. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่เขานั้นเข้าใจดีว่า "ท่านเป็นผู้มีความจริงใจ"
ทั้งนี้โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติชี้แจงว่า การที่ คสช. เรียกบุคคลมารายงานตัวและมีขั้นตอนหลังจากนั้นที่เป็นการควบคุมตัวนั้น ไม่อยากให้สื่อมวลชนต่างประเทศเข้าใจว่าเป็น "คุกมืด" แต่สภาพของสถานที่ควบคุมตัวก็ไม่ถึงกับเป็น "ห้องแอร์" โดยสาเหตุของการเรียกคนมารายงานตัวนั้น "พวกเราเรียกเขามาพบ เพื่อรับฟังพวกเขา" โดยโฆษก คสช. ปฏิเสธด้วยว่าผู้ถูกเรียกมาควบคุมตัวไม่ใช่นักโทษการเมือง
พ.อ.วีรชน ยังได้ตอบคำถามสื่อมวลชนต่างประเทศ ซึ่งถามถึงสาเหตุที่มีประกาศของ คสช. ห้ามไม่ให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นทางการเมืองว่า เพื่อป้องกันไม่ใช่ประชาชนทะเลาะกัน
ต่อประเด็นเรื่องท่าทีของต่างประเทศนั้น พ.อ.วีรชนกล่าวว่า "แม้ว่าปฏิกิริยาของต่างประเทศบางประเทศจะรุนแรง แต่เราก็เข้าใจ เพราะว่าแต่ละประเทศก็มีระบบคุณค่าของตัวเอง มีเงื่อนไขทางการเมืองของตัวเอง และบางประเทศก็เกลียดคำว่า "Coup" ทำให้เราเองก็ไม่อยากจะใช้คำนี้เพราะสิ่งที่เราทำนั้นห่างไกลกับคำว่า "รัฐประหาร" เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงการบริหารประเทศเพื่อให้ประเทศขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้"
ตอนหนึ่ง มีผู้สื่อข่าวนักข่าวชาวนอร์เวย์ถามว่า กองทัพอยากกลับไปเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือเปล่า โฆษก คสช. ไม่ตอบคำถามดังกล่าวโดยตรง แต่ชี้แจงว่า การที่ทหารเข้ามา "แทรกแซง" ครั้งนี้เป็นไปเพื่อให้ประชาธิปไตยขับเคลื่อนได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ได้ต้องการหยุดยั้งระบอบประชาธิปไตย
จากนั้นมีผู้สื่อข่าวถามว่าทำไมการชูสามนิ้วถึงไม่ได้รับอนุญาตให้ทำได้ พ.อ.วีรชนกล่าวว่า ต้องเข้าใจสถานการณ์ของทาง คสช. ด้วย เพราะว่ากิจกรรมนี้เกิดขึ้นในภาวะที่สังคมแตกแยก เรากำลังทำหน้าที่ในการสร้าง "ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน" และ "ความกลมเกลียวปรองดอง" และการชูสามนิ้วเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อการรักษากฎหมายและระเบียบ ดังนั้นมาตรการของ คสช. จึงเป็นยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องแล้ว เพราะ คสช. ต้องการป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรง
ในช่วงท้าย พ.อ.วีรชน ตอบตำถามผู้สื่อข่าวที่ถามว่า ที่มาของสมาชิกสภาหลังจากนี้จะมาจากการเลือกตั้งทั้งหมดหรือไม่นั้น โดย พ.อ.วีรชนตอบว่า "ให้คำตอบไม่ได้ ต้องมีการปฏิรูปก่อน และน่าจะได้คำตอบหลังจาก 15 เดือนไปแล้ว ขอให้อดทน"

"บิ๊กหมู" ชื่อนี้มาเฟียหนาว!


นับแต่ได้รับแต่งตั้งให้เป็น "ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย" (ผบ.กกล.รส.) พล.ท.ธีรชัย นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 1 ก็เดินหน้าใส่เกียร์ห้า สั่งการทหารและตำรวจทั้งประเทศออกกวาดล้างผู้มีอิทธิพล และตรวจยึดอาวุธสงคราม

เฉพาะในกรุงเทพฯ "บิ๊กหมู" พล.ท.ธีรชัย ก็ดำเนินนโยบายปราบปรามอบายมุขทุกชนิด และล่าสุดเตรียม จัดระเบียบผู้ประกอบการขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง รถแท็กซี่ และรถตู้โดยสาร

เอ่ยชื่อ "บิ๊กหมู" พล.ท.ธีรชัย ถือว่ามาจากสาย "บูรพาพยัคฆ์" ของแท้ เพราะเติบโตจาก ร.2 รอ.(ค่ายจักรพงษ์) ปราจีนบุรี ตั้งแต่สมัย พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร เป็น ผบ.ร.2 รอ. และได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับ "ผู้การประจักษ์" ชุดไล่ถล่มเขมรแดงจนถึงปอยเปต เมื่อปี 2519

เมื่อ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ ข้ามห้วยจากทหารเสือราชินี มาเป็น ผบ.ร.2 รอ. ก็ได้ "บิ๊กหมู" เป็นมือขวาปราบผู้มีอิทธิพลแถวชายแดนไทย-กัมพูชาบรรดา "เจ้าพ่อชายแดน" ต่างประจักษ์ในความเป็น "นักรบใจถึงพึ่งได้" 

โดยเฉพาะคนในตระกูล "เทียนทอง" ต่างจดจำชื่อพี่ใหญ่ "บิ๊กป้อม" และน้องเล็ก "บิ๊กหมู" คู่เดือดชายแดนบูรพาได้ไม่มีวันลืม
วันนี้ พล.ท.ธีรชัย ในตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 นั้น ย่อมได้รับการสนับสนุนจาก "พี่ป้อม" อย่างสุดกำลัง
ในฐานะมือปราบผู้มีอิทธิพล พล.ท.ธีรชัย มีกองหนุนชั้นเยี่ยมในเมืองหลวงอยู่ 2 คนคือ
"ผู้การแดง" พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.พล.1 รอ. และ "ตู่น้อย" พล.ต.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผบ.พล.ร.2 รอ. ซึ่งนำกำลังมาประจำการอยู่ขอบกรุงด้านตะวันออก (รอยต่อปทุมธานี-กรุงเทพฯ)

ทั้ง "ผู้การแดง" กับ "ตู่น้อย" ล้วนเป็นยังเติร์ก ตท.20 รุ่นที่กำลังเป็น "ดาวจรัสแสง" ในกองทัพบก

แผนลู่ลมรอเลือกตั้ง



หลายคนตั้งข้อสังเกตุถึงความเคลื่อนไหวที่เงียบผิดปกติวิสัยของนักโทษชายแม้วและเหล่าแกนนำคนเสื้อแดงที่ยกธงขาวดื้อๆอย่างง่ายดายและพร้อมที่จะเข้าร่วมขบวนการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)โดยเฉพาะนายจตุพร หรพมพันธุ์ ประธานเสื้อแดง นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ อดีตรมช.พาณิชย์ เลขาธิการคนเสื้อแดง นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ อดีตประธานอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ(อพปช.) นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร หรือแม้แต่นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์และล่าสุดนายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำเสื้อแดงจังหวัดเชียงใหม่

ก่อนหน้าเกิดการรัฐประหารโดยคสช.เมื่อวันที่ 22 พ.ค.บรรดาแกนนำคนเสื้อแดงนำโดยนายจตุพร รวมทั้งแกนนำพรรคเพื่อไทยต่างประกาศแข้งกร้าวว่าหากมีการรัฐประหารสาวกระบอบทักษิณทั่วประเทศพร้อมลุกฮือออกมาต่อสู้ขั้นแตกหักทันที ถึงกับขู่จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธที่จะออกมาต้านการรัฐประหาร รวมทั้งแนวคิดการแยกภาคอีสานและภาคเหนือเป็นรัฐอิสระ หรือคิดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น

แต่พอเกิดรัฐประหารคสช.ได้ควบคุมตัวแกนนำเสื้อแดงหลายคนไปสงบสติอารมย์และหลังได้รับการปล่อยตัวบรรดาแกนนำเสื้อแดงกลับยอมแพ้อย่างง่ายดายผิดปกติโดยขอยุติบทบาททางการเมืองช่วงนี้และถึงกับยอมร่วมขบวนการสมานฉันท์ตามนโยบายคสช.
แม้ล่าสุดจะมีข่าวที่ถูกปล่อยออกมาว่า นักโทษชายแม้ว สั่งให้เหล่าทาสรับใช้ในพรรคเพื่อไทยยุติการเคลื่อนไหวทางการเมืองช่วงนี้เพราะเกรงจะกระทบต่อธุรกิจและคนในตระกูลชินวัตร
แต่ก็มีข่าวอีกกระแสหนึ่งจากแกนนำในพรรคเพื่อไทยบางคนระบุว่า นักโทษชายแม้ว สั่งให้บรรดาสมุนบริวารระบอบทักษิณทั้งหลายให้ยอมกลืนเลือดทำตัวลู่ตามลมยอมตามอำนาจ คสช.ไปก่อนเพื่อรอโอกาสฟื้นระบอบทักษิณกลับมายึดครองประเทศอีกครั้งโดยเป้าหมายอยู่ที่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ที่จะมีขึ้นในอีกราว 15 เดือนข้างหน้า
แผนลับลวงพลางยอมกลืนเลือดชั่วคราวของระบอบทักษิณก็ด้วยความหวังว่า ถึงอย่างไรคสช.ก็ต้องพ้นจากอำนาจและมีการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งจะเป็นโอกาสให้พรรคระบอบทักษิณรถเอาชนะการเลือกตั้งจนสามารถกลับมาเป็นรัฐบาลอย่างถูกต้องชอบธรรมอีกครั้งด้วยปัจจัยหลายประการคือ
1. อาศัยการชูประเด็นสร้างกระแสประชาธิปไตยต้านรัฐประหารเป็นจุดขายในการหาเสียงเพื่อสร้างเรียกคะแนนอย่างถล่มทลาย
2. อาศัยซากเดนระบอบทักษิณที่ยังหลงเหลืออยู่อีกไม่น้อยที่ฝังตัวในหน่วยราชการต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรสีกากี และกระทรวงมหาดไทยช่วยให้พรรคระบอบทักษิณชนะเลือกตั้ง
3. อาศัยเงินที่มีอยู่มหาศาลซื้อพรรคการเมือง กลุ่มอดีต ส.ส.ที่มีคะแนนเสียงดีให้ได้ได้มากที่สุดเพื่อเป็นหลักประกันในชัยชนะ
4. อาศัยฐานคะแนนของระบอบทักษิณและเครือข่ายคนเสื้อแดงทั้งแผ่นดินที่เชื่อว่ายังเหนียวแน่นในภาคอีสานและภาคเหนือ รวมทั้งหลายจังหวัดภาคเกลาง
เพราะฉะนั้นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้คือโอกาสสำคัญสำหรับระบอบทักษิณที่จะกลับมายึดครองประเทศอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่คสช.และประชาชนทั้งประเทศต้องรู้จักสรุปบทเรียนว่า หากระบอบธุรกิจการเมืองทุนสามานย์อันชั่วร้ายกลับมามีอำนาจอีกครั้ง ในที่สุดก็หนีไม่พ้นชนวนนำไปสู่วงจรอุบาทว์ซ้ำซากนั่นคือการลุกฮือขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณจนกลายเป็นวิกฤติสร้างความหายนะแก่ชาติบ้านเมืองและในที่สุดก็หนีไม่พ้นเกิดรัฐประหารอย่างไม่รู้จบ

คสช. เด้ง สุวิจักขณ์ เลขาธิการสภาผู้แทนฯ- อรรถพล ใหญ่สว่าง อสส.- สุรชัย ปลัดไอซีที

คสช. เด้ง สุวิจักขณ์ เลขาธิการสภาผู้แทนฯ- อรรถพล ใหญ่สว่าง อสส.- สุรชัย ปลัดไอซีที
วันนี้ 11 มิถุนายน 2557 เวลา 21.00 น. ได้มีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 62/2557
เรื่องการแต่งตั้งให้ข้าราชการปฎิบัติหน้าที่ ดังนี้
1. .ให้นายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร มาปฏิบัติหน้าที่ สำนักปลัดสำนักนายกฯโดยให้ได้รับเงินเดือนทางสังกัดเดิมไปพลางก่อน
2. ให้รองเลขาธิการสภาผู้แทน ที่มีอาวุโสสูงสุด เป็นผู้รักษาการแทน เลขาธิการสภาผู้แทน
3. ให้นายอรรถพล ใหญสว่าง อัยการสูงสุด มาปฏิบัติราชการที่สำนักงานปลัดสำนักนายกฯ โดยให้ได้รับเงินเดือนทางสังกัดเดิมไปพลางก่อน
4. ให้นายตระกูล วินิจฉัยภาค รองอัยการสูงสุด เป็นผู้รักษาการแทนอัยการสูงสุด
5. ให้นายสุรชัย ศรีสารคาม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) มาปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักปลัดสำนักนายกฯ
6. ให้นางเมธินี เทพมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงไอซีที เป็นผู้รักษาการแทน ปลัด ไอซีที

คสช.เรียกแกนนำกปปส.รายงานตัวเพิ่ม

คสช.ออกคำสั่ง ที่ 63/2557 เรื่องให้บุคคลมารายงานตัวเพิ่มเติม ที่เป็นฝ่าย คปท. และ กองทัพโค่นล้มระบอบทักษิณ รวมทั้ง "สุดชาย"ด้วย
เพื่อให้การรักษาความสงบและการแก้ไขบ้านเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อยจึงให้บุคคลเข้ามารายงานตัว ณ ห้องจามจุรี สโมสรทหารบกเทเวศร์ ในวันพฤหัสที่ 12 มิถุนายน พุทธศักราช 2557 เวลา 10.00-12.00 น. ดังนี้
นาย อิสระ สมชัย
นายถนอม อ่อนเกตุผล
นายพิภพ ธงไชย
นายรัชต์ชยุตม์ ศิรโยธินภักดี
นายทินกร ปลอดภัย
นายนัสเซอร์ ยีหมะ
นายอุทัย ยอดมณี
นายมั่นแม่น กะการดี
พล.ต.สมเกียรติ วัฒนวิกย์กิจ
นายศิรวัฒน์ วิยะเศษ
นายกิตติไชย ใสสะอาด
นายสุดชาย บุญไชย

คสช. หารือประธาน กสทช. ให้หาแนวทางคืนความสุขประชาชน ให้ได้รับชมฟุตบอลโลก 2014 ผ่านฟรีทีวีทั้ง 64 นัด

คสช. หารือประธาน กสทช. ให้หาแนวทางคืนความสุขประชาชน ให้ได้รับชมฟุตบอลโลก 2014 ผ่านฟรีทีวีทั้ง 64 นัด และ 17.00 น. วันนี้ (11 มิ.ย. 57)สำนักงาน กสทช. เชิญอาร์เอสหารือด่วน วันพรุ่งนี้ (12 มิ.ย. 57) ประธาน กสทช. เรียกประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุน กทปส. 9.00 น. และเรียกประชุมบอร์ด กสทช. 11.00 น.
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (เลขาธิการ กสทช.) เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจาก พล.อ.อ. ธเรศ ปุณศรี ประธาน กสทช. ว่าได้รับการประสานงานจาก คสช. ในการหาแนวทางคืนความสุขให้กับประชาชนในการรับชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2014 ทั้ง 64 ผ่านฟรีทีวี ภายหลังจากศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาคดีถึงที่สุดแล้วในวันนี้ พร้อมกันนี้ สำนักงาน กสทช. ได้มีหนังสือด่วนที่สุดเชิญบริษัท อาร์เอส อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง แอนด์ สปอร์ต แมเนจเมนท์ จำกัด หารือแนวทางการดำเนินการดังกล่าว ในวันนี้ (11 มิ.ย. 2557) เวลา 17.00 น.
นอกจากนั้น ประธาน กสทช. ในฐานะประธานกรรมการบริหารกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) จะเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุน กทปส. ในวันพรุ่งนี้ (12 มิ.ย. 2557) เวลา 9.00 น. เพื่อหารือแนวทางในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนดังกล่าว และจะประชุม กสทช. ในเวลา 11.00 น. ซึ่งในการประชุมจะพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อให้ได้แนวทางที่เหมาะสม ทั้งนี้ ผลออกมาเป็นอย่างไรจะแจ้งให้สื่อมวลชนรับทราบต่อไป

ข้าหลวงใหญ่UNจี้ทหารเคารพปชต.และสิทธิมนุษยชน

ข่าววันที่ 9 มิ.ย. ระบุว่าปลัดกระทรวงการต่างประเทศจะไปคุยกับข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติที่เจนีวา เพื่อให้เข้าใจจุดยืนของไทย เนื่องจากก่อนหน้านี้นางเนวี พิลเลย์ (Navi Pillay) ข้าหลวงใหญ่ฯ ประณามการทำรัฐประหารและแสดงข้อกังวลต่อการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกในไทย
แต่เมื่อวาน 10 มิ.ย.ในการเปิดสมัยประชุมที่ 26 ของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน นางพิลเลย์กล่าวว่า “กรณีประเทศไทย ขอกระตุ้นให้ทางการทหารเคารพคุณค่าแบบประชาธิปไตย และพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศ” แสดงว่าที่ท่านสีหศักดิ์ไปพูด เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะท่านอาจพูดซ้ำด้วยเหตุผลเดิม ๆ อ้างสถานการณ์พิเศษ “บ้านเมืองเดินหน้าไม่ได้มากกว่าครึ่งปีแล้ว ทหารจึงจำเป็นต้องเข้ามายึดอำนาจ” (ดูถ้อยแถลงของตัวแทนรบ.ไทยในที่ประชุมเดียวกัน)
ครับ สิทธิมนุษยชนไม่มี “เว้นวรรค” โดยเฉพาะ “เสรีภาพในการแสดงออก” ต่อให้ท่านเอาคนเก่งภาษาอังกฤษที่สุดไปคุย เขาก็ไม่เข้าใจ

“นิพิฏฐ์” เชียร์ “ประยุทธ์” นั่งนายกฯ ใช้อำนาจเด็ดขาด แก้ปัญหาตรงใจประชาชน

“นิพิฏฐ์” เชียร์ “ประยุทธ์” นั่งนายกฯ ใช้อำนาจเด็ดขาด แก้ปัญหาตรงใจประชาชน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 มิถุนายน 2557 17:09 น.  

“นิพิฏฐ์” เชียร์ “ประยุทธ์” นั่งนายกฯ ใช้อำนาจเด็ดขาด แก้ปัญหาตรงใจประชาชน

รองหัวหน้า ปชป. ระบุ “จักรภพ” รวมหัว “จารุพงศ์” ตั้งองค์กรต่อต้านรัฐประหาร แค่พวกผู้ก่อการร้ายหนีคดี อย่าให้ความสนใจ แนะสร้างความปรองดองต่อเนื่อง แค่ 3 เดือนคงไม่ยุติ เชียร์ “ประยุทธ์” นั่งนายกฯ ใช้อำนาจเด็ดขาด ตรงปัญหาประชาชน จะมีคนยกย่อง เตือนอย่าทำตัวเป็นนักประชาธิปไตยเหมือนสมัย “สุรยุทธ์” ซึ่งที่สุดก็พัง
     
       นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีและสมาชิกผู้ก่อตั้งกลุ่มคนเสื้อแดง ให้สัมภาษณ์โทรทัศน์เอบีซีของออสเตรเลีย เตรียมจัดตั้งองค์กรต่อต้านรัฐประหาร เคลื่อนไหวทางการเมืองในต่างประเทศ โดยจะมี นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นหัวหน้าองค์กร ว่า อย่าแปลกใจ และไปให้ความสำคัญมากมายนัก เนื่องจากคนกลุ่มนี้เป็นผู้ก่อการร้ายหนีคดีที่มีอยู่เดิมในต่างประเทศอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเอานายจารุพงศ์หรือใครมาเป็นหัวหน้ากลุ่ม ก็ไม่ถูกต้องตามหลักสากล หรือเขาจะตั้ง ครม. พลัดถิ่น ก็ต้องมีหลักเกณฑ์ มีรูปแบบตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศ อีกทั้งเป็นการตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านอำนาจในประเทศขณะนี้เท่านั้น ซึ่งไม่มีผลกระทบใดภายในประเทศอยู่แล้ว ทั้งเรื่องปรองดองที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำอยู่ หรือด้านเศรษฐกิจก็ตาม
     
       ส่วนการปรองดองที่กำลังเดินหน้าจะแล้วเสร็จภายใน 3 เดือน ก่อนที่จะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ตามที่ คสช. ระบุหรือไม่ นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่เชื่อว่า ความขัดแย้งที่ผ่านมาหลายปีจะยุติในสามเดือน เพราะการปรองดองต้องทำต่อเนื่อง ทั้งก่อนมีนายกฯ และหลังมีนายกฯ แม้เลือกตั้งแล้วก็ต้องเร่งทำ แต่เงื่อนไขมีอยู่ว่า จะต้องเริ่มต้นยอมรับก่อนทุกฝ่าย และต้องไม่มีการต่อต้านโดยการใช้อาวุธทำร้ายกัน
     
       ส่วนที่มีกระแสข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และหัวหน้า คสช. จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปนั้น นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า พูดตั้งแต่ต้นแล้วว่า ท่านไม่จำเป็นต้องตั้ง ครม. และแบ่งแยกงานตามที่ทำอยู่ก็ได้ แต่ต้องใช้ความรวดเร็วเด็ดขาดในการแก้ปัญหาชาติ ที่พูดเช่นนี้เพราะเกรงว่า หากตั้ง ครม. มาแล้ว มนุษย์สายพันธุ์รัฐมนตรีจะกลายพันธุ์ทำตัวเป็นนักประชาธิปไตยเหมือนสมัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เป็นนายกฯที่มาจากการยึดอำนาจ เพราะรัฐมนตรีเหล่านั้นผิดพลาดที่กลัวจะถูกประชาชนครหาว่าเข้ามารับตำแหน่งโดยวิธีการเผด็จการ จึงไม่หนักแน่น เด็ดขาด ไม่ใช้อำนาจพิเศษที่ได้มาทำงานในสถานการณ์พิเศษ แต่พยายามใช้อำนาจธรรมดาในสถานการณ์พิเศษ แบบนั้นก็มีแต่พัง
     
       “ถ้าตั้ง ครม. ตอนนี้ เห็นด้วยที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นนายกรัฐมนตรีเอง แต่ต้องใช้อำนาจอย่างเด็ดขาด ตรงปัญหาประชาชน อย่าพยายามทำตัวเป็นนักประชาธิปไตยเหมือนสมัย พล.อ.สุรยุทธ์ เด็ดขาด และใครจะเรียกหรือครหานินทาว่าท่านมาจากรัฐประหารหรืออย่างไรก็อย่าไปสนใจ ถ้าท่านทำดี แก้ปัญหาได้ ทำประเทศปรองดองได้ จะมีคนยกย่องสรรเสริญท่านเอง”

คสช.คืนความสุขคนไทยส่งใจไปบอลโลก


บิ๊กตู่ จัดให้...!!!!!
โกยคะแนน ตรึม!! "คสช.คืนความสุขคนไทยส่งใจไปบอลโลก"...เติมเต็มคู่ที่ไม่ได้ถ่ายทอดสดทางช่อง7(ช่อง7มี22นัด)รวมเป็น64นัดระบบHD ทาง ททบ.5 แถลงข่าว12มิย.นี้ 11.00 น....งานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ผบทบ.ประธานสโมสร หุตบอล Army United จัดให้/แถลมให้ดูหนังฟรี ๑ เรื่อง สมเด็กจพระนเรศวร ๑๕ มิ.ย.นี้ /สุขเพลินเจริญใจทั่วไทย..

ภรรยา บก.ลายจุด หอบ 4 แสน ขอประกันตัวสามีที่ศาลทหาร พร้อมขอเข้าพบ หลังถูกควบคุมตัวครบ 7 วัน

ภรรยา บก.ลายจุด หอบ 4 แสน ขอประกันตัวสามีที่ศาลทหาร พร้อมขอเข้าพบ หลังถูกควบคุมตัวครบ 7 วัน
วันที่ 11 มิถุนายน 2557 พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด หลังจากที่ถูกควบคุมตัวได้ที่ จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ที่ผ่านมา ว่า ศาลทหารได้อนุมัติหมายจับ นายสมบัติ แล้วใน 2 ข้อหา คือ ยุยงปลุกปั่น ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยได้รับการประสานจากทางทหารว่า จะคุมตัวนายสมบัติ ให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. ในช่วงบ่ายวันนี้ เพื่อให้ดำเนินคดีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ซึ่งภายหลังจากที่ ปอท. ดำเนินคดี และแจ้งข้อกล่าวหากับ นายสมบัติ แล้ว กองปราบปรามเตรียมอายัดตัว เพื่อนำไปดำเนินคดีข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. พร้อมกับควบคุมตัวไว้สอบสวนตามกำหนด ก่อนที่จะนำไปฝากขังที่ศาลทหารต่อไป

บรรยากาศรายงานตัวที่ บก.ทบ.เทเวศร์

บรรยากาศรายงานตัวที่ บก.ทบ.เทเวศร์
วันพุธ 11 มิถุนายน 2557 เวลา 12:13 น.
เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. ที่หอประชุมกองทัพบก เทเวศร์ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการเรียกให้บุคคลมารายตัวเพิ่มเติมตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 61/2557 ณ ห้องจามจุรี สโมสรทหารบก เทเวศร์ ในเวลา 10.00 น.-12.00 น. รวม 4 คน ประกอบด้วย นายรังสฤษฏิ์ ธิยาโน หรือเสธ.ไก่ นายทหารนอกราชการ นายชัชชาญ บุปผาวัลย์ การ์ด นปช.ที่เคยถูกศาลออกหมายจับข้อหามีอาวุธในครอบครอง จากการขยายผลจับอาวุธสงคราม ที่ จ.ลพบุรี นายยงยุทธ บุญดี และนายวัฒนา ทรัพย์วิเชียร เจ้าของบ่อดิน ใน จ.ฉะเชิงเทรา ที่ถล่มทับคนงานขุดบ่อดินเสียชีวิต โดยนายวัฒนา ทรัพย์วิเชียร ได้เข้ารายงานตัวต่อคสช.เป็นคนแรก
จากนั้นเวลา 11.00 น. นายพงศ์พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง (คนสนิทของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง) บุคคลตามคำสั่งเรียกรายงานตัวฉบับที่ 53/2557 ลำดับที่ 11 ที่ต้องเข้ารายงานตัวเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ที่ผ่านมา แต่วันดังกล่าวนายพงศ์พิเชษฐ์ไม่สามารถมารายงานตัวได้ เนื่องจากป่วยอยู่โรงพยาบาล และได้ให้ญาตินำหนังสือมาชี้แจงแล้วนั้น ได้เดินทางมารายงานตัวในวันนี้แล้ว ซึ่งนายพงศ์พิเชษฐ์ เดินทางมายังหอประชุมด้วยรถยนต์ส่วนตัว และได้ลงจากรถพร้อมกระเป๋าสัมภาระ 1 ใบ พร้อมทั้งโบกมือทักทายสื่อมวลชนที่รอทำข่าวอีกด้วย
ต่อมาเวลา 11.45 น. นายชินวัฒน์ หาบุญพาด อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย บุคคลตามคำสั่งเรียกรายงานตัวฉบับที่ 57/2557 ก็ได้เดินทางมารายงานตัวในวันนี้เช่นกัน.

"พล.อ.ประยุทธ"เปิดใจกับ ทูตไทย 28ประเทศ ยันไม่มีใครอยากทำ รัฐประหาร แต่ Country First ประเทศชาติต้องมาก่อน


ฝาก ท่านทูต..,.
"พล.อ.ประยุทธ์"เปิดใจกับ ทูตไทย 28ประเทศ ยันไม่มีใครอยากทำ รัฐประหาร แต่ Country First ประเทศชาติต้องมาก่อน ฝากทูตช่วยแจงต่างชาติ เหตุคสช.รัฐประหาร ยันเพื่อพยุงประชาธิปไตย ยัน3 อำนาจ ใช้การไม่ได้ ดึงสถาบันฯเกี่ยวข้อง สร้างความแตกแยก ยันเป็นเพียงการหยุดชั่วคราว เพื่อจัดระเบียบ เทียบสถานการณ์ ก่อน-หลัง รัฐประหาร ยันไม่มีใครอยากทำ แต่ Country First ยัน อีก3 เดือน มีสนช. นายกฯ-ครม. ก้าวสู่ระยะ3 มีเลือกตั้ง ยัน ที่ปรึกษา คสช.ไม่เตยชี้นำ
พันเอก วินธัย สุวารี รองโฆษก คสช. กล่าวว่า. พล อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา หน.คสช. เป็นประธานการประชุม เอกอัคราชทูต และกงสุลใหญ่ไทย ในต่างประเทศ ทั้ง28 ประเทศ ในกลุ่มตะวันตก ที่ บก.ทบ.
พล.อ.ประยุทธ์ ได้ระบุ ในที่ประชุม ว่า ข้าราชการด้วยกันต้องช่วยกันทำให้ประเทศชาติเดินหน้า มุ่งมั่นสร้างความเข้าใจด้วยหลักการเหตุผล ตามข้อเท็จจริง
"เข้าใจดีว่าจะให้ทุกประเทศเห็นด้วยทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้ ถึงไม่เห็นด้วยแต่ก็ต้องทำให้เขาเข้าใจ ทำความเข้าใจตั้งแต่สาเหตุ โดยให้อธิบายในทุกมิติ"
"จุดหมายแท้จริง ของ คสช.ก็คือการรักษาระบอบประชาธิปไตย ที่ประกอบด้วยทั้ง3 อำนาจ บริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ ที่พวกเราต้องพยุงไว้ให้ได้ เป็นเพียงการหยุดชั่วคราว เพื่อจัดระเบียบ
"ถ้ากระบวนการต่างๆสมบูรณ์ตรงตามเจตนารมณ์ของระบอบประชาธิปไตยจริง คงไม่มีใครอยากทำ เชื่อว่าต่างประเทศก็มี แต่จบไปแล้วเมื่อในอดีต ต้องให้ทุกคนรู้ว่าประเทศชาติต้องมาก่อนเสมอ"(Country First)
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า เรื่องทุจริตต่างๆยังอยู่ในขั้นตอนกระบวนการพิสูจน์ คงต้องเป็นไปตามกระบวนการที่ควรจะเป็น ยอมรับว่าที่ผ่านมาบางระบบราชการทำงาน มีข้อจำกัดมากมาย ไม่ปฏิบัติก็โดนตำหนิ ปฏิบัติก็โดนตำหนิ
"ยืนยันที่จะพยายามให้เกิดการปรองดองคนในชาติ แต่ไม่ใช่ปรองดองกับคนทำผิด หลังจากนี้ไม่อยากให้มีการกล่าวหากันลอยๆ ผิดถูกอย่างไรคงต้องดูที่พยานหลักฐาน"
พล อ ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการบิดเบือนสร้างความเกลียดชังกันไปมาอย่างรุนแรง ประชาชนถูกปลุกปั่น น่าเห็นใจ
"สถาบันฯถูกดึงลงมากล่าวอ้าง ซึ่งในความเป็นจริงสถาบันญอยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง ประชาชนทุกคนคือผสกนิกรของพระองค์ท่าน กฎหมายบางมาตราจำเป็นต้องมีไว้ปกป้องสถาบัน ด้วยเหตุที่สถาบันไม่สามารถตอบแก้ใครได้เหมือนคนอื่นทั่วไป"
พล อ ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้าจะเปรียบเทียบภาพของการบริหาร. ขอให้ดูที่สถสนการณ์ก่อน และ หลัง22 พ.ค.57 โดยเฉพาะช่วงก่อน6เดือน ในทุกมิติทั้งระบบบริหารราชการ ความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชน การสัญจรบนถนน การตรวจจับอาวุธสงคราม เป็นต้น
" ยืนยันว่าการขับเคลื่อนเราใช้ระบบบริหารราชการปกติเป็นหลัก คณะที่ปรึกษาฯ คสช.เพียงให้ข้อแนะนำผ่านทางเอกสารเป็นหลักเท่านั้น ไม่ได้ชี้นำใดๆ"
พล อ ประยุทธ์ กล่าว ในที่ประชุม ว่าสำหรับแนวทางในอนาคต ในระยะที่2 อีก 3เดือน คงจะมี สภานิติบัญญัติ มี ครม.และ นรม.มีสภาปฏิรูป กำหนดรูปแบบกฎเกณฑ์กติกาเรียบร้อย ก็เข้าสู่ระยะ 3 ก็คือการเลือกตั้งดำเนินตามระบอบปกติต่อไป