PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

รถไฟหายเข้าไปในอุโมงค์อย่างลึกลับถึง ๔๒ ปี จู่ๆโผล่ออกมาทุกคนอายุเท่าเดิม...

รถไฟหายเข้าไปในอุโมงค์อย่างลึกลับถึง ๔๒ ปี
จู่ๆโผล่ออกมาทุกคนอายุเท่าเดิม...
(แอดมินโค้กกลับมารายงานตัวหลังดูซีรีจีนจบแล้ว)

...เรื่องประหลาดนี้เกิดขึ้นที่ประเทศอิตาลี บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐบาลพากันปิดปากเงียบ ที่ขบวนรถด่วนขบวนหนึ่งพร้อมกับผู้โดยสารหายลึกลับอย่างไร้ร่องรอย ขณะเคลื่อนเข้าไปในอุโมงค์แห่งหนึ่งเมื่อปีพ.ศ.๒๔๙๒ แล้วจู่ๆโผล่ออกมาอีกในสภาพเดิมทุกอย่าง เมื่อต้นปีนี้คือ พ.ศ.๒๕๓๕...

...ที่ประหลาดยิ่งขึ้น ผู้โดยสารจำนวน ๑๒๐ คน และพนักงานประจำรถ ๓ คน มีอายุเท่ากับวันที่หายเข้าไปในอุโมงค์ไม่มีใครแก่อายุมากขึ้นสักวันเดียว รูปร่างเหมือนเดิมทุกอย่าง และพวกเขายังเชื่อว่า..ทุกวันนี้ยังเป็น พ.ศ. ๒๔๙๒ อยู่...

...รัฐบาลอิตาลีเก็บเรื่องนี้เงียบที่จะพูดถึงขบวนรถด่วนหมายเลข เอฟ ๖๒๖ และยังไม่ยอมพูดถึงว่า...เอาขบวนรถนั้นไปไว้ที่ไหนด้วย ไม่ใช่แต่เพียงเท่านั้น ยังคอยจับตาผู้โดยสารทุกคนเว้นแต่มี ๒ คน..ที่เป็นชาวต่างประเทศหลบหนีการสอบสวนไป ส่วนพนักงานประจำรถ ๓ คน รัฐบาลได้เก็บตัวไว้ใน...สถานที่หนึ่ง ไม่ยอมเปิดเผยต่อสาธารณชน...

...ข่าวการหายไปของขบวนรถด่วน เอฟ ๖๒๖ หายลึกลับไป ๔๒ ปี และโผล่กลับมาอีกนั้น แม้ว่าทางการ พยายามปิดข่าว แต่หนังสือพิมพ์อิตาลีเกือบทุกฉบับสามารถที่จะติดตามมาเสนอได้ พยานทีได้รับทราบเหตุการณ์ครั้งนี้เผย ตั้งแต่เริ่มต้นที่ขบวนรถด่วนนี้มีด้วยกัน ๑๓ โบกี้ หายเข้าไปในอุโมงค์...รถไฟที่มีความยาว ๑ ใน ๔ ไมล์อย่างลึกลับไม่ยอมโผล่ออกไปอีกทางหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงปิดอุโมงค์ทำการค้นหา ซึ่งมีทั้งตำรวจและ นักวิทยาศาสตร์ โดยได้ค้นทุกตารางนิ้ว แต่ไม่พบร่องรอยแม้แต่น้อยว่า
มันหายไปได้อย่างไร รางถึงกับรื้อออกแล้วนำมาวางใหม่ เมื่อค้นหากันไม่พบทำให้หลายคนเชื่อว่า..มนุษย์ต่างดาวได้ทำการโจรกรรมโขมยรถด่วนนี้ไป ตามรายงานของ นสพ.อุโมงค์ได้เปิดอีกครั้งหนึ่งเมื่อปี ๒๔๙๓ ตั้งแต่นั้นมา แม้ว่าจะมีขบวนรถไฟผ่านไปมาเป็นพันขบวนก็ไม่มีอุบัติเหตุอันแปลก...ประหลาดลี้ลับนั้นเกิดขึ้นอีกเลย...

...แต่อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ก็มีคนพยายามค้นหาขบวนรถด่วน เอฟ ๖๒๖ แต่ก็พบว่า
มีแต่ความว่างเปล่า บางคนถึงกับสรุปว่า รถขบวนนี้ถูกหุ้มห่อด้วยกาลเวลาและเดินทางไปสู่อนาคตอั
ไกลพ้น...

เรื่องราวแบบนี้เคยเกิดขึ้นในสหรัฐ เรืออินเซอร่า ซึ่งเป็นเรือคุ้มครองเรือประจัญบานของกองทัพเรือสหรัฐ
จู่ๆก็หายอย่างลึกลับจากอู่เรือที่ฟิลาเดลเฟียในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่แล้วจู่ๆก็ไปปรากฏตัวที่
ฐานทัพเรือนอร์ฟอร์ด ซึ่งทุกวันนี้ยังหาคำตอบไม่ได้...

...เมื่อรัฐบาลปิดข่าว หนังสืออิตาลีก็พยายามที่จะขุดค้นออกมา ในที่สุดหนังสือพิมพ์โรมเดลี่ที่ขายดีมาก
สามารถไปคว้าเอาเทปมาริโอ ฟรานซินี ช่างเครื่องรถไฟขบวนนี้มาตีแผ่ได้ ซึ่งมีดังนี้...

"ขณะที่ขบวนรถเคลื่อนเข้าไปในอุโมงค์นั้น ไม่นานนักก็มีหมอกสีขาวหนาลอยฟ่อง สมองรู้สึกปั่นป่วนไป
หมด จากนั้นก็หมดสติไม่รู้สึกตัว มาได้สติอีกครั้งหนึ่งเมื่อขบวนรถได้ออกจากอุโมงค์แล้ว เราคิดว่าเวลา
คงจะห่างกันไม่ถึงนาทีดี แต่ที่ไหนได้ เมื่อขบวนรถเรากลับมาถึงสถานีโบล้อคน่าถึงได้ทราบว่า ได้ห่างกัน
ถึง ๔๒ ปี นี่คือสิ่งเดียวที่เรารู้ "

...ผู้โดยสารอื่นๆก็ให้การคล้ายคลึงกันว่า มีหมอกลงจัดเมื่อเวลาเข้าอุโมงค์แล้วก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย...
...ผู้โดยสารขบวนรถด่วน เอฟ ๖๒๖ ซึ่งเป็นชาวต่างประเทศ ๒ คน ที่หลบการให้การคือ อดอล์ฟ โรเนอร์
เป็นชาวเยอรมันกับมาร์ติน บาร์ตเลตต์ ชาวแอฟริกาใต้ สำหรับโรเนอร์มีนักข่าวอิตาลีได้โทรศัพท์ไป...
หลอกถาม โดยอ้างว่าเป็นผู้โดยสารรถด่วนนั้นด้วยกัน...

...โรเนอร์ได้เล่าว่า ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปมาก ตอนที่เขาหายไปพร้อมกับขบวนรถไฟนั้นเขาอายุ ๓๐ ปี
มีลูกชายอายุ ๑๐ ขวบ " เดี๋ยวนี้ลูกชายผมอายุ ๕๒ ปีแล้ว อ้วนและเป็นโรคหัวใจ ส่วนภรรยาผมก็ย่างเข้า
๗๐ ปีแล้ว กำลังเป็นโรคเบาหวาน ส่วนผมกลับอายุเพียง ๓๐ ปี เท่านั้น เท่ากับเมื่อปี ๒๔๙๒ ...

...เรื่องราวเหล่านี้เป็นความลึกลับของโลกที่อธิบายได้ยาก ซับซ้อน น่าอัศจรรย์ใจ ต่อผู้ที่ได้รับฟัง
เป็นอย่างยิ่ง...
...และเรื่องนี้นับว่าเป็นปริศนาอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ชวนติดตาม สืบเสาะ ค้นหาที่มาความเป็นมา
เป็นไป...สวัสดีครับ...

เครดิตhttp://www.thailandsusu.com/webboard/index.php?PHPSESSID=35d82d15d825f3332207773e7d6c4cb3&topic=312042.msg6240643%3Btopicseen#new
เครดิตhttp://exastrology.blogspot.com/2013/08/blog-post.html?m=1
แอดมินโค้ก

สุริยะใส โพสFV จี้นายกฯรับผิดชอบทูลเกล้าร่าง รธน.ในหลวง

1 ก.ย. 56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุริยะใส กตะสิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน ได้โพตส์เฟซบุ๊คส่วนตัวถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม นำร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในประเด็นที่มา ส.ว. ขึ้นทูลเกล้าฯ โดยให้เหตุผลว่าเป็นสิทธิและหน้าที่

ฉะนั้นแล้วน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ต้องรับผิดชอบกับการกระทำดังกล่าวด้วย และขอให้นายกฯ ตอบคำถามต่อสังคม 5 ข้อดังต่อไปนี้

ข้อความที่นายสุริยะใสโพสต์บนเฟซบุ๊คส่วนตัว

ถ้าอ้างว่าทูลเกล้าฯ เป็นสิทธิและหน้าที่ ก็ต้องมีความรับผิดชอบด้วย!!!

ผมเห็นว่าหากนายกฯ นำร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในประเด็นที่มา ส.ว.ขึ้นทูลเกล้าฯ แล้วต่อมาภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างแก้ไขฯ ขัดรัฐธรรมนูญ จะเกิดปัญหาตามมาจนอาจกลายเป็นวิกฤติการเมืองในที่สุด และนายกฯต้องตอบคำถามสังคมอย่างน้อย 5 คำถามคือ

1.นายกฯ รู้ทั้งรู้ว่ากระบวนการพิจารณาโดยเฉพาะขั้นตอนลงมติในวาระที่ 2 ส.สพรรครัฐบาลเสียบบัตรลงคะแนนแทนกันมีคลิปที่เป็นหลักฐานชัดเจนและคนในคลิปก็ออกมายอมรับ แต่นายกฯกลับนำร่างแกัไขรัฐธรรมนูญที่แปดเปื้อนมีมณฑิลขึ้นทูลเกล้าฯ ถือเป็นการกระทำระคายเคืองเบื้องยุคลละบาทหรือไม่

2.นายกฯและพรรคเพื่อไทยรู้ดีว่าร่างแก้ไขฯ รัฐธรรมนูญมีปัญหาทั้งกระบวนการพิจารณาและะเนื้อหาสาระที่ส่อว่าจะขัดรัฐธรรมนูญหบายมาตรา และถูกจับได้ว่าเป็นร่างฯปลอม ผู้รู้หลายฝ่ายออกมาทักท้วงแต่นายกฯและพรรคเพื่อไทยก็ดันทุรังจะทูลเกล้า การกระทำดังกล่าวถือเป็นการจงใจกดดันและเผชิญหน้ากับศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่

3.ที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยให้ร่างฯ พรบ.ขัดรัฐธรรมนูญ จนตัองกลายเป็นโมฆะและตกไป เพราะมีปัญหาความชอขธรรมของกระบวนการพิจารณาทั้งเรื่ององค์ประชุมและการลงคะแนน การเสียบบัตรแทนกันถือเป็นปัญหาความชอบธรรมของกระบวนการพิจารณาหรือไม่

4. ในขณะนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องคัดค้านการการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไว้แล้ว 5 คำร้อง และไม่ใช่รับไว้ในขั้นตอนธุรการเท่านั้น แต่รับไว้ในขั้นพิจารณาของที่ประชุมตุลาการ ซึ่งถือว่ามีมูลแล้ว หากนายกฯนำขึ้นทูลเกล้าถือเป็นการแทรกแซงอำนาจตุลาการหรือไม่

5. ถ้าศาลวินิจฉัยว่าร่างแกัไขฯ ขัดรัฐธรรมนูญ แล้วนายกฯ จะรับผิดชอบอย่างใรเพื่อเป็นการสร้างบรรทัดฐานความรับผิดชอบทางการเมือง เมื่ออ้างว่าการทูลเกล้าฯเป็นหน้าที่ ก็ต้องมีความรับผิดชอบตามมา ถ้าหากการทำหน้าที่นั้นแล้วผิดหรือมิชอบ

ส.ส.ปินส์ขอแต่งงานสาวกลางสภาฯ ขณะเปิดศึกอภิปรายเครียดร่างกม.งบประมาณ


ฮือฮา!ส.ส.ปินส์ขอแต่งงานสาวกลางสภาฯ ขณะเปิดศึกอภิปรายเครียดร่างกม.งบประมาณ

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ส.ส.ฟิลิปปินส์ทำฮือฮากลางสภาผู้แทนราษฎร เมื่อขอแฟนสาวแต่งงานกลางที่ประชุมสภาฯขณะที่กำลังถกอภิปรายกันอย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับร่างกฏหมายจัดสรรงบประมาณประจำปี2557เมื่อวันที่27กันยายนที่ผ่านมา

 ข่าวแจ้งว่าในระหว่างที่ส.ส.ฟิลิปปินส์กำลังโต้เถียงกันอย่างหนักถึงการจัดสรรงบประมาณดังกล่าวที่ดำเนินมานานหลายชั่วโมงจนหลายคนต่างเหนื่อยล้านายฟรานซิสแอชลีย์อาเซดิลโลส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จากพรรคแมกดาโลวัย36 ปี ก็ได้ลุกขึ้นขออนุญาตจากประธานสภาในการหยุดพักอภิปรายถึงร่างกฎหมายดังกล่าวไว้ชั่วครู่ เพื่อตนจะขอเสนอถามคำถาม 1 คำถาม

โดยหลังจากที่ประธานสภาฯอนุญาตแล้ว ส.ส.เซดิลโลได้ขอให้เพื่อนส.ส.ช่วยพาน.ส.มาเรีย ปาซ วิคตอเรีย โอคัมโป แฟนสาววัย 28 ปี ซึ่งเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ ที่ถูกหลอกให้มานั่งร่วมฟังการอภิปรายในสภาฯด้วย เดินมายังบริเวณด้านหน้าบัลลังก์ของประธานสภา จากนั้นนายเซดิลโลได้คุกเข่าลงขอแต่งงาน เรียกเสียงฮือฮาจากส.ส.ในที่ประชุม ก่อนที่น.ส.โอคัมโปจะตอบตกลง ท่ามกลางเสียงปรบมือโห่ร้องด้วยความยินดีของส.ส.ในที่ประชุมสภาที่มีอยู่ราว 400 คน ซึ่งในการอภิปรายร่างกฎหมายฉบับนี้ยังมีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ด้วย


หน้าผาการคลังสหรัฐ ขย่มตลาดเงิน-ทุนโลก


บารัก โอบามา
บารัก โอบามา

วิกฤติการคลังสหรัฐกำลังสร้างความวิตกให้กับตลาดเงินทั่วโลก แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ในอดีตที่ส่งผลกระทบรุนแรงที่สุดคือความขัดแย้งเรื่องเพดานหนี้ มีประเด็นดังนี้
การเผชิญหน้าระหว่างนักการเมืองสหรัฐที่ยืดเยื้อมานานหลายเดือนในเรื่องงบประมาณและเพดานหนี้ มาพร้อมกับกำหนดเส้นตาย 2 ครั้งในวิกฤติการคลังของประเทศ
เส้นตายแรก นักการเมืองสหรัฐต้องบรรลุข้อตกลงด้านงบประมาณกันให้ได้ก่อนวันที่ 30 ก.ย. 2556 หากไม่สามารถตกลงกันได้ หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐอาจต้องปิดทำการตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.
เส้นตายที่สอง สมาชิกสภาคองเกรสต้องลงมติอนุมัติการปรับเพิ่มเพดานหนี้ภายในวันที่ 17 ต.ค. 2556 เพื่อป้องกันการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ
ที่ผ่านมา สมาชิกพรรครีพับลิกันได้ท้าทายประธานาธิบดี บารัก โอบามา โดยจะยอมอนุมัติให้มีการขึ้นเพดานหนี้ของสหรัฐ แต่ต้องการให้มีการเลื่อนเวลาออกไปอีก 1 ปีในการนำกฎหมายโอบามาแคร์มาบังคับใช้อย่างเต็มที่ในสหรัฐ นอกจากนี้ ยังต้องการพ่วงมาตรการภาษี ร่างกฎหมายพลังงาน ข้อเสนอด้านกฎระเบียบ และมาตรการตัดงบรายจ่ายอื่นๆ เข้าไปในร่างกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้ด้วย
แต่ประธานาธิบดีโอบามา ยืนยันมาโดยตลอดว่าจะไม่เจรจาต่อรองใดๆ ทั้งสิ้นเกี่ยวกับการเพิ่มเพดานหนี้
ความขัดแย้งในการจัดสรรงบประมาณในครั้งนี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความขัดแย้งทางการเมืองรอบถัดไปที่จะมีความรุนแรงมากกว่า ซึ่งได้แก่การพิจารณาร่างกฎหมายเพิ่มอำนาจการกู้ยืมของรัฐบาลกลางสหรัฐ โดยถ้าหากสภาคองเกรสไม่เพิ่มเพดานหนี้สหรัฐจากระดับ 16.7 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในวันที่ 17 ต.ค. รัฐบาลสหรัฐก็จะผิดนัดชำระหนี้ในบางรายการ
เหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และสร้างความตื่นตระหนกไปทั่วโลก
อย่างไรก็ดี ทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันต่างก็ไม่ต้องการเป็นผู้ลงคะแนนเสียงในขั้นสุดท้ายที่จะนำไปสู่การปิดหน่วยงานรัฐบาล โดยผลสำรวจความเห็นประชาชนหลายฉบับแสดงให้เห็นว่าชาวสหรัฐเบื่อหน่ายกับความขัดแย้งทางการเมืองและคัดค้านการปิดหน่วยงานรัฐบาล
สภาคองเกรสและทำเนียบขาวไม่ได้ส่งสัญญาณว่าจะมีการเจรจาต่อรองกันในนาทีสุดท้ายเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งในครั้งนี้ โดยในช่วงนี้สมาชิกพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันต่างใช้เวลาไปกับการกล่าวโทษอีกฝ่ายหนึ่ง
ภาวะทางตันในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามมาเป็นเวลานาน 3 ปีของฝ่ายอนุรักษนิยมในการยกเลิกโอบามาแคร์ ซึ่งเป็นโครงการช่วยเหลือชาวสหรัฐหลายล้านคนที่ไม่มีประกันสุขภาพให้ได้ทำประกันสุขภาพ
สมาชิกพรรครีพับลิกันกล่าวว่า โอบามาแคร์ถือเป็นการแทรกแซงวงการทางการแพทย์ครั้งใหญ่โดยไม่มีความจำเป็นจากฝ่ายรัฐบาล และการแทรกแซงนี้จะส่งผลให้ค่าเบี้ยประกันพุ่งสูงขึ้น และสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การดำเนินงานส่วนสำคัญภายใต้โครงการโอบามาแคร์จะเริ่มต้นในวันที่ 1 ต.ค.นี้
ถ้าหากความขัดแย้งเรื่องโอบามาแคร์ส่งผลให้สภาคองเกรสไม่สามารถเพิ่มเพดานหนี้สหรัฐในช่วงใกล้ถึงกำหนดเส้นตายในช่วงกลางเดือนต.ค. ตลาดหุ้นสหรัฐก็อาจร่วงลงอย่างหนัก
ในช่วงที่เกิดความขัดแย้งเรื่องเพดานหนี้สหรัฐในปี 2554 นั้น ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทได้ทรุดตัวลงราว 2,100 จุดในช่วงระหว่างวันที่ 21 ก.ค.-9 ส.ค. 2554 และต้องใช้เวลาอีก 2 เดือนก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นมาได้
ถ้าหากสหรัฐเริ่มปิดหน่วยงานรัฐบาลในวันที่ 1 ต.ค. เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางกว่า 1 ล้านคนก็จะถูกสั่งพักงานชั่วคราว แต่ขนาดของผลกระทบจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการปิดหน่วยงานรัฐบาล
ถึงแม้มีการปิดหน่วยงานรัฐบาล แต่หน่วยงานที่มีความจำเป็นก็จะยังคงเปิดดำเนินการต่อไป ซึ่งรวมถึงหน่วยงานด้านความมั่นคงแห่งชาติ, หน่วยงานด้านความปลอดภัยของประชาชน, โครงการประกันสุขภาพสำหรับคนชรา (เมดิแคร์) และโครงการจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญ
อย่างไรก็ดี พนักงานจำนวนมากของรัฐบาลกลางจะต้องหยุดพักงานเป็นการชั่วคราว ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ประมวลผลแบบฟอร์ม, เจ้าหน้าที่ด้านกฎระเบียบ,เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ในกรุงวอชิงตันดีซี
รัฐบาลสหรัฐเคยปิดหน่วยงานครั้งสุดท้ายในวันที่ 16 ธ.ค. 2538-6 ม.ค. 2539 โดยเป็นผลจากความขัดแย้งด้านงบประมาณระหว่างประธานาธิบดีบิล คลินตันจากพรรคเดโมแครต กับนายนิวท์ กิงริช ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน
ในครั้งนั้น พรรครีพับลิกันได้รับผลกระทบทางการเมืองอย่างมาก เพราะประธานาธิบดีคลินตันสามารถชนะการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีต่ออีกสมัยด้วยคะแนนเสียงถล่มทลายในเดือนพ.ย. 2539

ประชาธิปัตย์เปิดช่องทางปฏิรูปประเทศ ทำพิมพ์เขียวนโยบายพรรค


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์1 ตุลาคม 2556 16:29 น.



คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น














หัวหน้าประชาธิปัตย์เปิดปฏิรูปประเทศไทย ตั้ง “คุณหญิงกัลยา” หัวหน้าทีมเดินสาย ทำนโยบายพรรค
      
       วันนี้ (1 ต.ค.) ที่ลานพระแม่ธรณีบีบมวยผม พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อเวลา 12.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานเปิดช่องทางรการสื่อสาร “การปฏิรูปประเทศไทย” ของคณะประสานงานมวลชนพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นหัวหน้าคณะ
      
       โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขณะนี้บ้านเมืองเราต้องการการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่การปฏิรูป โดยมี 3 แนวทาง คือ 1. องค์ความรู้ทางวิชาการ 2. การมีส่วนร่วมจากประชาชน และ 3. ความตั้งใจในการทำงาน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ถือว่าเป็นส่วนหนึ่ง ใน 3 แนวทางดังกล่าวจึงได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีคณะทำงานในการจัดทำพิมพ์เขียวของประเทศ และคุณหญิงกัลยาได้พบปะกับประธานคณะทำงานที่รัฐบาลชุดที่แล้วตั้งขึ้น ทั้งนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะอดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) นายคณิต ณ นคร อดีตประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) และนพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส
      
       นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้เปิดช่องทางให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมหลายช่องทาง เช่น การเปิดตู้สามัคคีเสรีชน ปฏิรูปประเทศ เพื่อให้ประชาชนส่งไปรษณียบัตรผ่านตู้ปณ.11 ปณฝ. กระทรวงการคลัง กทม. 10411 เพื่อแสดงความคิดเห็นถึงแนวทางการปฏิรูปประเทศ และยังมีการเปิดหน้าเพจ www.facebook/สามัคคีเสรีชน ปฏิรูปประเทศไทย นอกจากนี้ยังแสดงความเห็นผ่านรายการสามัคคีเสรีชน ปฏิรูปประเทศไทย ทางสถานีโทรทัศน์บลูสกายแชแนล โดยรายการนี้จะเริ่มในวันที่ 6 ต.ค. เวลา 20.00-20.45 น.เป็นต้นไป และยังมีรายการวิทยุทางสถานีวิทยุ FM101 ช่วงเวลา 20.30-21.00 น.ด้วย พร้อมกันนี้ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ยังได้ออกวารสารชื่อ “เข็มทิศสีฟ้า” เพื่อให้สมาชิกได้รับทราบข้อมูลและแสดงความคิดเห็นได้ โดยข้อมูลทั้งหมดพรรคจะรวบรวมเพื่อนำมาเป็นแนวทางในการจัดทำนโยบายพรรคเพื่อเดินหน้าปฏิรูปประเทศต่อไป

“วิชา” ติงนายกฯ ทูลเกล้า รธน.ดูความเหมาะสมด้วย


เขียนวันที่
วันจันทร์ ที่ 30 กันยายน 2556 เวลา 21:58 น.
เขียนโดย
isranews
หมวดหมู่

“วิชา” ติงนายกฯ ทูลเกล้า รธน.ดูความเหมาะสมด้วย ชี้แม้ถูกตีกลับก็ยังไม่ถึงขั้นถูกถอดถอน

vicha1

 (วิชา มหาคุณ - ภาพจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ)

เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2556 นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะอดีตรองประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550 กล่าวถึงกรณีที่มีข้อสงสัยว่า นายกรัฐมนตรีจะสามารถส่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม เรื่องที่มาของ ส.ว.ที่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ในขณะที่ร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ว่า “เรื่องนี้ไม่มีผิดไม่มีถูกแต่ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมว่านายกฯ จะดำเนินการอย่างไร เพราะคนระดับนายกฯต้องรู้ว่าอะไรควรทำและอะไรไม่ควรทำ ในอดีตก็เคยมีกรณีที่นายกฯ นำรายชื่อบุคคลซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งหนึ่งขึ้นทูลเกล้าฯ ทั้งๆ ที่ยังมีเรื่องร้องเรียนกันอยู่ว่ากระบวนการสรรหาบุคคลดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ สุดท้ายก็ถูกตีเรื่องกลับมา”

อย่างไรก็ตาม นายวิชา กล่าวยอมรับว่า แม้หากนายกฯ ทูลเกล้าร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมแล้วถูกตีกลับมา ก็ยังไม่เป็นสามารถที่จะนำไปสู่การถอดถอนออกจากตำแหน่ง เพียงแต่กรณีนี้เป็นเรื่องของความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม

สื่อสังคมออนไลน์เพื่อเปลี่ยนสังคม: ตัวอย่างจากประเทศไทย


Anne Elicaño's picture

ในฐานะบรรณาธิการเว็บไซต์และผู้มีความกระตือรือร้นในเรื่องสื่อออนไลน์ ฉันเห็นเนื้อหามาทุกประเภท ตั้งแต่ภาพถ่ายใกล้ๆ ของข้าวเที่ยงของใครบางคน วีดิโอแมวร้องเพลง และภาพถ่ายตัวเองจากกล้องโทรศัพท์มือถือ และอื่นๆ

เนื้อหาเหล่านี้สามารถเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นได้ไหม? ถ้าหาก เนื้อหาเหล่านี้จะมีสาระและให้แรงบันดาลใจมากกว่านี้ จะทำให้มันมีประสิทธิภาพในการนำไปสู่เกิดการเปลี่ยนแปลงมากกว่านี้ไหม? ในขณะที่เนื้อหาก็เป็นสิ่งสำคัญ ฉันกลับคิดว่า พลังที่แท้จริงของสื่อสังคมออนไลน์คือ ความสามารถในการรวมพลังชุมชน นั่นคือ การเปลี่ยนโลกจะเกิดขึ้นได้จริงๆ เมื่อชุมชนที่รวมตัวกันจากสื่อสังคมนำสิ่งเหล่านั้นออกไปสู่โลกจริงๆ และลงมือทำ

เมื่อเร็วๆ นี้ ฉันได้มีส่วนร่วมในงาน #WBSync.Lab  ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการรวมตัวกัน (ออฟไลน์) ของเหล่าผู้ที่ทำงาน เป็นอาสาสมัคร หรือสนใจ ในองค์กรที่ใช้สื่อออนไลน์เป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม ในภาพรวม ประเทศไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 25 ล้านคน และมีผู้ใช้สื่อสังคม 18 ล้านคน มันจึงเต็มไปด้วยศักยภาพที่จะทำการณรงค์ออนไลน์ และทำให้ชุมชนออนไลน์เติบโต

เรื่องเหล่านี้คือความสำเร็จบางส่วน ของการริเริ่มในประเทศไทยที่เราได้คุยกันในเย็นวันนั้น:

ประเทศไทยอยู่ตรงไหน? คือกลุ่มที่นำข้อมูลดิบมาแปลงเป็นอินโฟกราฟฟิกเพื่อเปรียบเทียบประเทศไทยกับประเทศอื่น ประเทศไทยอยู่ตรงไหนได้ย่อยข้อมูลหลายหน้าจากรายงานของธนาคารโลกเกี่ยวกับรายจ่ายสาธารณะในจังหวัดต่างๆ ในประเทศไทยมาเป็นอินโฟกราฟฟิกที่มีพลังในภาษาไทย ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เกิดเป็นการแลกเปลี่ยนความเห็นที่น่าสนใจกว่าหลายร้อยความเห็น และอินโฟกราฟฟิกนี้ก็ถูกแบ่งปันไปกว่า 2,237 ครั้ง คุณสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความริเริ่มบนสื่อสังคม/สื่อออนไลน์ของธนาคารโลกได้จากงานนำเสนอโดย จิม โรเซนเบิร์ก ซึ่งเพื่อนร่วมงานของฉัน

ตุลย์ ปิ่นแก้ว คือ ผู้อำนวยการ Change.org ประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มการรณรงค์ออนไลน์ระดับโลก Change.org  ตุลย์เล่าถึงการรณรงค์เปลี่ยนฝาท่อตะแกรงบนถนน ที่ นนลนีย์ อึ้งวิวัฒน์กุล ผู้มีใจรักในการขี่จักรยานเริ่มต้นขึ้น การรณรงค์ดังกล่าวเรียกร้องให้กรุงเทพมหานครเปลี่ยนฝาท่อตะแกรงจากแบบเดิมที่เป็นอันตรายต่อผู้ขี่จักรยานและคนเดิมถนน เพียงแค่หนึ่งสัปดาห์หลังจากการเริ่มการณรงค์บน change.org ก็มีคนมาร่วมลงชื่อสนับสนุนการรณรงค์นี้กว่า 1,500 คน จนทำให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร รับปากอย่างเป็นทางการว่า จะเปลี่ยนฝาท่อทั่วกรุงเทพฯ

อีกการณรงค์หนึ่งที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันคือ การณรงค์เพื่อพื้นที่เขียว ริเริ่มโดยเว็บดีไซเนอร์/กราฟฟิกดีไซเนอร์ จตุพร ตันศิริมาศ และ ปุณลาภ ปุณโณทก ผู้ที่ไม่ต้องการให้พื้นที่ 700 ไร่ของมักกะสันกลายเป็นห้างขนาดใหญ่ไปอีก พวกเขาคิดว่า คงจะดีกว่า ถ้าพื้นที่ตรงนี้กลายเป็นพื้นที่เขียวเพื่อให้ทุกคนมาพักผ่อนหย่อนใจ การรณรงค์ออนไลน์นี้สามารถรวบรวมผู้ลงนามได้กว่า 23,000 รายชื่อ และยังมีคอนเสิร์ตเพื่อสร้างความตระหนักรู้ ที่มีคนเข้าร่วมหลายพันคน และในที่สุด กรุงเทพมหานครก็ได้รับปากที่จะทบทวนสถานการณ์

ฉันถามตุลย์ถึงอัตราความสำเร็จของการรณรงค์ออนไลน์ ตุลย์กล่าวว่า จากข้อเรียกร้องกว่าครึ่งล้านเรื่องที่ถูกสร้างขึ้น มีเพียงไม่กี่พันที่ประสบความสำเร็จ

 “การรณรงค์ที่จะได้ผลสูง และสามารถโน้มน้าว สร้างความใส่ใจ และเพิ่มจำนวนผู้สนับสนุนหน้าใหม่ได้ คือการรณรงค์ที่สามารเล่าถึงปัญหาในเรื่องราวแบบใกล้ตัว เพราะมันจะทำให้เกิดแรงกระตุ้นให้เกิดการลงมือทำเข้าอย่างจัง” เขากล่าว “การรณรงค์แต่ละเรื่องนั้นมาจากคนธรรมดาทั่วไป สะท้อนให้เห็นสิ่งที่คนทั่วๆ ไปในสังคมอยากให้เปลี่ยนแปลง เป็นผลให้เกิดการตอบรับและการมีส่วนร่วมในวงกว้างจากสาธารณะ ยิ่งได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน จนทำให้ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจละเลยไปได้ยาก”

พลเมืองเน็ตคนหนึ่งได้ตั้งประเด็นว่า การรณรงค์เหล่านี้เป็นไปเพื่อคนในเมืองเท่านั้น ซึ่งก็อาจจะจริงในเฉพาะตอนนี้ แต่เราก็ควรคำนึงด้วยว่า สมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตก็มีราคาถูกลงเรื่อยๆ ซึ่งเปิดพื้นที่ให้คนมามีส่วนร่วมมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ชาวนาในฟิลิปปินส์รับคำแนะนำเกี่ยวกับการปลูกข้าวผ่านโทรศัพท์มือถือ

แล้วสำหรับผู้ที่เข้าไม่ถึงสื่อสังคมออนไลน์จะทำอย่างไร? ฉันคิดว่า พวกเราควรจะตระหนักว่า สื่อสังคมไม่ใช่ผงพิเศษ มันเป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือสื่อสารที่มีให้เราเลือกใช้ ยังมีวิธีการสื่อสารอีกมากมายเพื่อเข้าถึงชุมชนชนบทอันห่างไกลที่สังคมออนไลน์ไม่สามารถเข้าถึงคนกลุ่มนี้ได้ เช่น รายการวิทยุ และ การประชุมที่ศาลาว่าการของชุมชน เป็นต้น

คุณเคยมีส่วนร่วมในสื่อสังคมหรือสื่อออนไลน์สำหรับการเปลี่ยนแปลงใดบ้าง? การรณรงค์ออนไลน์แบบใดที่ประสบความสำเร็จในพื้นที่ของคุณ?

Add new comment