PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557

กรณีคสช.เช็คIP

กูจะสอนให้ ไอ้ พวก หน่วยข่าว และ เสื้อแดง ป๊อด ๆ
ถ้ามึง ใช้ https://www.facebook. แล้วต่อ ด้ว id ของมึง มันจะบล๊อค url ไม่ได้ เพราะ มัน run และเปลี่ยนทุกวัน นอกจากมึงจะระดม รีพอร์ต ให้เพจดับ แต่เพจกู ระดับคนติดตาม 3 หมื่นดับยาก นอกจากกูจะโพสต์ภาพลามก
และการ เช็ค position โดย ip address ทำไม่ได้ถ้ามึงมใช้ โทรศัพท์เล่น เพราะ มึงจะได้ ip ใหม่ จาก isp ตลอด ที่มึงย้ายสถานที่ และ ถ้ามึงยาก ได้ ip ของ แต่ ละ id มึงต้องไป ขอ fb เพื่อหา log file เพื่อโยง มายัง mac address ของเครื่อง ที่มึงใช้
ที่ บ.ก. ลายจุดโดน ไม่ใช่เกิด จาก เช็ค ip แต่มา จากการ สืบทางข้าง คนข้างตัว ใช้ three point check จาก emie โทรศัพท์คนข้างเคียง แล้ว สะกดรอย
ถ้าแน่จริงป่านนี้เจอกูตั้งนานแล้ว กู แดกเหล้า อยู่ตรอกข้าวสาร ทุกวัน

"ยิ่งลักษณ์" เจออีก 2 เด้ง!!

"ยิ่งลักษณ์" เจออีก 2 เด้ง!!
แม้จะพ้นจากตำแหน่งนายกฯไปแล้ว แต่ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ก็ยังคงต้องเผชิญวิบากกรรมที่สืบเนื่องมาจากดำรงตำแหน่งนายกฯของตัวเอง ล่าสุด คือ การที่ ปปช.ตั้งอนุกรรมการมาตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของยิ่งลักษณ์ และ รมต.อีก 4 คน ที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าว และกรณีที่เธอถูกกล่าวหาว่าไม่ได้ยื่นแสดงทรัพย์สิน คือ นาฬิกา มูลค่า 2.5 ล้านบาท ปปช.ก็กำลังตรวจสอบอยู่ด้วย นอกเหนือจากกรณีที่ ปปช.ส่งเรื่องให้วุฒิสภาถอดถอน ซึ่งเมื่อไม่มีวุฒิสภาแล้ว ก็ต้องจับตาดูว่าเรื่องถอดถอนของเธอ จะไปที่ สนช.หรือไม่

คสช.เรียก"จรัล อัมพรกลิ่นแก้ว"รายงานตัว

·
"เจเจ สาทร" หรือ "นายจรัล อัมพรกลิ่นแก้ว" เจ้าของโรงเรียนกวดวิชาบ้านอาจารย์ ย่านถนนพุทธมณฑลสาย 4 จ.นครปฐม ก๊วนเกย์วิปริตผิดเพศกับอีเจ๊เพ็ญ จักรภพ เพ็ญแข และเป็นเจ้าของเว็บไซต์ Go6tv โกหกทีวี แกนนำไซเบอร์ที่ถนัดในเรื่องบิดเบือนและตัดต่อภาพ ถูกสั่งให้รายงานตัวกับ คสช. แล้ว

คสช. เรียกรายงานตัวเพิ่มอีก 17 คน

คสช. เรียกรายงานตัวเพิ่มอีก 17 คน
"หัวหน้า คสช." ประกาศคำสั่งฉบับ 58 เรียกบุคคลรายงานตัวเพิ่ม 17 คน ห้องจามจุรี สโมสรทหารบก
ฐานะหัวหน้า คสช. ได้ประกาศคำสั่ง ฉบับที่ 58/2557 เรื่อง ให้บุคคลมารายงานตัวเพิ่มเติม เพื่อให้การรักษาความสงบและการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง เป็นไปด้วยความเรียบร้อยจึงให้บุคคลเข้ามารายงานตัว ณ ห้องจามจุรี สโมสรทหารบก เทเวศร์ ในวันที่ 10 มิ.ย. 2557 เวลา 10.00-12.00 น. ดังนี้
1. นายชัยวัฒน์ อินทร์ชำนาญ
2. นางศรีศศิร์อร ทรัพย์เงินทอง
3. นายพงศ์ศักดิ์ ศรีบุญเพ็ง
4. นายเสน่ห์ จงจิตต์
5. นายจรัล อัมพรกลิ่นแก้ว
6. นายสรานุภล กองทอง
7. น.ส.กชพร แสงชัชวาลย์
8. นายวสันต์ งาหัตถี
9. นางกรรณิการ์ เทียนเงิน
10. นายชัยพฤกษ์ สมานรักษ์
11. น.ส.กรกนก ห่อมกระโทก
12. นายไพฑูรย์ สิงหา
13. นางอภิศรา สเวหาด
14. นายณัฐวุฒิ ด้วงนิล
15. นางพัชร์อริญ ตั้งรัตนาพิบูล
16. นายสุริยัน จันทไหว
17. น.ส.ดวงใจ พวงแก้ว
สั่ง ณ วันที่ 9 มิ.ย. 2557

โรงงานปิโตรเคมีระยองบึ้มสนั่น เพลิงโหม-ควันปกคลุมทั่ว ชาวบ้านรอบข้างอพยพหนีวุ่น ผวาสารพิษรั่วไหล ระดมดับไฟ-ไร้เจ็บ

โรงงานปิโตรเคมีระยองบึ้มสนั่น เพลิงโหม-ควันปกคลุมทั่ว ชาวบ้านรอบข้างอพยพหนีวุ่น ผวาสารพิษรั่วไหล ระดมดับไฟ-ไร้เจ็บ

9 มิ.ย. 57 เกิดเหตุระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานอุตสาหกรรมที่ตัวเมืองระยอง ทำให้ต้องอพยพประชาชนในชุมชนโดยรอบโรงงานออกจากพื้นที่ เพราะหวั่นอาจเกิดอันตรายจากสารพิษรั่วไหลได้ เมื่อเวลา 18.10 น.วันที่ 9 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ระยอง ว่า ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้น 2 ครั้ง ในเขตโรงงานผลิตปิโตรเคมีในเครือไออาร์พีซี ที่ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท หมู่ 5 ต.เชิงเนิน อ.เมือง จ.ระยอง และมีชุมชนตั้งอยู่โดยรอบเขตโรงงานดังกล่าว
หลังเสียงระเบิดที่ได้ยินดังสนั่นไปทั่ว ได้เกิดเพลิงไหม้และกลุ่มควันสีดำขนาดใหญ่ปกคลุมไปเป็นวงกว้าง สร้างความตื่นตกใจให้ประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงและเกรงว่าจะเกิดสารพิษรั่วไหล ต่อมารถดับเพลิงจำนวนมากได้เร่งเข้าดับเพลิงที่ลุกโหมในโรงงานดังกล่าว
เวลา 18.30 น. นาวาโทพิทักษ์รัฐ นิลพฤกษ์ ผบ.พันร.6 พ.ท.สมพงษ์ เวียงนนท์ นายทหาร มทบ.14 ชลบรี นายอาทิตย์ละเอียดดี ผอ.สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดระยอง ได้เดินทางเข้าไปที่อาคาร 10 ปีของบริษัทไออาร์พีซี จำกัด เพื่อช่วยเหลือและติดตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและติดตามความคืบหน้าเหตุดังกล่าว
มีรายงานว่า ชาวบ้านใกล้เคียงจุดเกิดเหตุต่างแตกตื่น โดยเฉพาะหวั่นเกรงเรื่องสารพิษรั่วไหลได้รีบนำครอบครัวอพยพออกนอกบ้านและชุมชน ขณะที่ศูนย์ควบคุมภาวะฉุกเฉินไออาร์พีซี รายงานว่า เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่โรงงานแปรสภาพคอมไบร์แก๊ส ในเขตประกอบการไออาร์พีซี เบื้องต้นยังไม่ได้รับรายงานว่ามีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ โดยบริษัทกำลังเร่งแก้ไขสถานการณ์
ด้านนายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยกรณีโรงงาน VGOHT (vacwm Gas Oil Hydrotreating เป็นหน่วยกำจัดกำมะถันและไนโตรเจน VOC : Volatile Organic Compounds สารอินทรีย์ระเหยง่ายที่มาของกลิ่นเหม็นต่างๆ) ในเครือไออาร์พีซี ที่จ.ระยอง เป็นโรงงานสำหรับกำจัดกำมะถันและไนโตรเจน ที่ปนเปื้อนมากับน้ำมันและก๊าซได้เกิดระเบิดขึ้น โดยได้มอบหมายให้ทีมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินสารเคมี ซึ่งได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบกรณีปัญหากลิ่นเหม็นที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 7-8 มิถุนายน ในเขต อ.บ้านฉาง พอดี โดยจะให้ไปติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้รับรายงานว่าจุดระเบิดมาจากตัวแท็งก์เก็บกักก๊าซ โดยสามารถควบคุมเพลิงได้แล้ว แต่ยังมีกลุ่มควันที่มีกลิ่นเหม็นอยู่ แต่ได้ให้อพยพชาวบ้านรอบพื้นที่ออกไปทั้งหมด เพราะเป็นก๊าซอันตรายมาก โดยเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้าตรวจสอบในตัวโรงงานได้ แต่จะมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
นายสุเมธา วิเชีรเพชร จากศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินสารเคมี กรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยว่า ตัวสารที่ต้องตรวจสอบเป็นพิเศษคือก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่เกิดจากเพลิงไหม้บ่อกำมะถัน และบ่อกักเก็บสารอินทรีย์ระเหยง่าย (วีโอซี) โดยเฉพาะสารในกลุ่มบีเท็กซ์ 3 ตัวคือ เบนซีน โทลูอีน และสไตลีน ซึ่งอยู่ในกลุ่มสารอินทรีย์ระเหยง่ายก่อมะเร็ง แต่ทั้งหมดจะไม่มีพิษเฉียบพลันหากสูดดมเข้าไป ทั้งนี้ คพ.มีสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศถาวรอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว
ต่อมา 20.00 น. บริษัทไออาร์พีซี ออกแถลงถึงเหตุการณ์เพลิงไหม้ล่าสุดตรวจสอบไม่พบผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต สำหรับ VGOH หรือ Vacwm Gas Oil Hydrotreating เป็นหน่วยกำจัดกำมะถันและไนโตรเจน VOC : Volatile Organic Compounds สารอินทรีย์ระเหยง่ายที่มาของกลิ่นเหม็นต่างๆ
ด้านนายโพธิวัฒน์ เผ่าพงศ์ช่วง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) แถลงว่า เหตุระเบิดครั้งนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บ ส่วนที่เกิดเหตุเป็นแพลนงาน DCC แปรสภาพคอมไบน์แก๊สออยล์ Vacuum Gas Oil Hydrotreating เป็นหน่วยกำจัดกำมะถันและไนโตรเจน สารอินทรีย์ระเหยง่าย ที่ต้องหยุดการผลิต แต่ขอตรวจสอบรายละเอียดก่อนโดยเจ้าหน้าที่ควบคุมเพลิงได้เรียบร้อย ส่วนสาเหตุระเบิดคาดว่าเกิดจากท่อส่งแก๊สในบริเวณแพลนงานดังกล่าว ส่วนแก๊สที่รั่วไหลฟุ้งกระจายมีคุณสมบัติเป็นแก๊สไฮโดรเจน ในด้านการเผาไหม้ค่อนข้างมีผลกระทบต่อประชาชนน้อยมาก

สั่งจารุพงศ์-ดารุณี-โกตี๋พร้อมแกนนำนปช.รวม18คนรายงานตัว

คสช.มีคำสั่งที่ 57/2557 มารายงานตัววันที่ 10 มิถุนายน 2557.สั่งจารุพงศ์-ดารุณี-โกตี๋พร้อมแกนนำนปช.รวม18คนรายงานตัว


ศิษย์เก่าออสเตรเลียยื่นหนังสือสถานทูต เรียกร้องทบทวนลดระดับความสัมพันธ์ทางทหาร

ศิษย์เก่าออสเตรเลียยื่นหนังสือสถานทูต เรียกร้องทบทวนลดระดับความสัมพันธ์ทางทหาร
วันที่ 9 มิ.ย. นางพรทิพย์ อัษฎาธร และกลุ่มศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ร่วมกันยื่นหนังสือต่อสถานทูตออสเตรเลีย เพื่อขอให้ส่งหนังสือถึงรัฐบาลออสเตรเลีย โดยมีนางซูซานนาร์ แพททรู เลขานุการฑูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย เป็นตัวแทนในการรับหนังสือ ขอให้ทบทวนความสัมพันธ์ทางการทหาร ตามที่ออสเตรเลียประกาศลดความสัมพันธ์ทางการทหารกับไทย
นางพรทิพย์ กล่าวว่า ต้องการให้รัฐบาลออสเตรเลียเข้าใจสถานการณ์ในประเทศไทย ว่าการเข้าควบคุมอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. แม้จะไม่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดการนองเลือด และสถาบันการเงินต่างๆ ก็ไม่ได้ปรับลดความน่าเชื่อถือของประเทศไทยลง
จึง ขอให้ออสเตรเลียทบทวนการลดระดับความสัมพันธ์ ที่มีผลกระทบต่อภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและการศึกษา เนื่องจากชาวออสเตรเลียเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยลดลง ทั้งการติดต่อให้ครูชาวออสเตรเลียมาสอนภาษาในประเทศไทย ก็เป็นไปด้วยความยากลำบากมากขึ้น
สำหรับขั้นตอนต่อจากนี้ เลขานุการทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย จะทำหนังสือชี้แจงต่อเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย จากนั้นจะอยู่ในดุลพินิจว่าจะนำเรื่องส่งถึงรัฐบาลออสเตรเลียหรือไม่

กสท.ชง คสช.ปล่อยวอยซ์ทีวี กับ ทีนิวส์ ออกอากาศ

กสท.ชง คสช.ปล่อยวอยซ์ทีวี กับ ทีนิวส์ ออกอากาศ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์9 มิถุนายน 2557 16:34 น.
กสท.ชง คสช.ปล่อยวอยซ์ทีวี กับ ทีนิวส์ ออกอากาศ
พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกสทช. ในฐานะประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.)
       กสท.เตรียมส่งเอกสารประกอบการพิจารณาให้คสช.ปลดล็อก วอยซ์ทีวี กับ ทีนิวส์ หลังถูกสั่งห้ามออกอากาศ ส่วนอีก 12 ช่องที่เหลือ 'พ.อ.นที' ยันต้องกลับไปปรับผังรายการ พร้อมยอมรับเงื่อนไขข้อกำหนดคสช.และกสทช .ให้ได้ก่อน
      
       พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกสทช. ในฐานะประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) กล่าวว่าที่ประชุมบอร์ดกสท.เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.มีมติเห็นชอบส่งเอกสารประกอบการพิจารณาให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (VOICE TV) และสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมทีนิวส์เพื่อดำเนินการส่งต่อไปยังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พิจารณาเพื่อเพิกถอนทั้ง 2 ช่องรายการโทรทัศน์ดังกล่าวออกจาก ประกาศฉบับที่ 15 เรื่องขอให้ระงับการถ่ายทอดออกอากาศของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม เคเบิล โทรทัศน์ระบบดิจิตอล เเละสถานีวิทยุชุมชนจำนวน 14 ช่องรายการ ภายหลังทั้ง 2 ช่องรายการดังกล่าวยื่นคำร้องมายังกสทช.และคสช.โดยชี้แจงถึงการปรับผังรายการการออกอากาศ และการยอมปฏิบัติตามประกาศคสช. และเงื่อนไขต่างๆที่คสช. และกสทช.กำหนดขึ้น โดยเฉพาะประเด็นการห้ามเสนอรายการประเด็นทางการเมือง
      
       ทั้งนี้หากคสช.พิจารณาแล้วเห็นชอบให้ 2ช่องรายการดังกล่าวสามารถออกอากาศได้ตาม ปกติแล้วนั้นช่องวอยซ์ทีวี จะสามารถออกอากาศได้ตามปกติทันทีหลังมีประกาศจากคสช. ขณะที่ช่องทีนิวส์นั้นจะต้องเข้ามาปฏิบัติตามประกาศฉบับที่ 27 ของคสช.ก่อนคือการเป็นผู้ให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก และประเด็นเรื่องของเนื้อหาการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร อีกครั้งก่อนจึงจะสามารถออกอากาศได้ตามปกติ
      
       'กสท.ไม่สามารถตอบได้ว่าทั้ง2 ช่องรายการดังกล่าวจะกลับมาออกอากาศได้เมื่อไหร่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคสช.เรามีเพียงหน้าที่ส่งเอกสารประกอบการ พิจารณาไปให้คสช.เท่านั้น'
      
       อย่างไรก็ตามหากทั้ง 2 ช่องรายดังกล่าวสามารถกลับมาออกอากาศได้ตามปกติแล้วจะต้องห้ามละเมิดประกาศคสช. และ กสทช.เป็นอันขาด แต่หากมีการละเมิดใดๆเกิดขึ้นอีกจะถูกปิด และยึดใบอนุญาตทันทีโดยไม่มีการแจ้งเตือน หรืออุทธรณ์ใดๆทั้งสิ้น รวมไปถึงผู้ถือหุ้นของทั้ง2 ช่องรายการดังกล่าวห้ามดำเนินการประกอบกิจการประเภทกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์เป็นระยะเวลาประมาณ 2-3ปี
      
       ขณะที่อีก 12 ช่องรายการโทรทัศน์ (1.สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเอ็มวี 5 2.สถานี โทรทัศน์ดาวเทียมดีเอ็นเอ็น3.สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมยูดีดี 4.สถานีโทรทัศน์ ดาวเทียมเอเชียอัพเดท5.สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมพีแอนด์พี 6.สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมโฟร์แชนแนล7.สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมบลูกาย8.สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเอฟเอ็มทีวี 9.สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเอเอสทีวี 10.สถานีดาวเทียมฮอตทีวี11.สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเร็สคิ้วและ12.สถานี โทรทัศน์ดาวเทียมเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูประเทศ (คปท.) )ที่ถูกระงับการออกอากาศตามประกาศฉบับที่ 15 เช่นเดียวกันนั้น หากต้องการจะกลับมาออกอากาศได้ตามปกติอีกครั้งจะต้องดำเนินการให้ตนเองไม่อยู่ในประกาศฉบับที่ 15 ก่อนเป็นอย่างแรก โดยจะต้องดำเนินการปรับผังเนื้อหารายการเพื่อให้การเผยเเพร่ข่าวสารไปสู่ ประชาชนเป็นไปด้วยความถูกต้อง ปราศจากการบิดเบือน อันจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิด จนส่งผลกระทบต่อการรักษาความสงบเรียบร้อยก่อน และเข้าสู่กระบวนพิจารณาของกสทช.ในส่วนของคณะอนุกรรมการเนื้อหาและอนุกรรมการโฆษณาก่อนจะส่งเรื่องไปยังคสช.พิจารณาต่อไป
      
       '12 ช่องรายการที่เหลือจะต้องเอาตัวเองออกจากประกาศฉบับที่ 15 ให้ได้ก่อนซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินการที่ยุ่งยาก โดยเฉาะการยอมรับเงื่อนไข และข้อกำหนดต่างๆที่คสช. และกสทช.กำหนดไว้ โดยเฉพาะเนื้อหาการเผยแพร่ออกอากาศ แต่หากสามารถดำเนินการได้กสท.ก็พร้อมที่จะดำเนินการเช่นเดียวกับวอยซ์ทีวี และทีนิวส์'
      
       นอกจากนี้ในวันพุธที่ 11 มิ.ย.2557 บอร์ดกสท.จะมีการประชุมวาระพิเศษเพื่อรองรับผลการตัดสินของศาลปกครองสูงสุด กรณีที่ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งให้เพิกถอนประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป (มัสต์แฮฟ) ที่ กสทช. บังคับใช้ให้บริษัท อาร์เอส อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง แอนด์ สปอร์ต แมเนจเม้นท์ จำกัด ในเครือ บริษัท อาร์เอส จำกัด(มหาชน)ในฐานะผู้ถือลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2014 ต้องถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกครบทั้ง 64 คู่ ในฟรีทีวี ขณะที่ อาร์เอส ต้องการถ่ายทอดสดเพียง 22 คู่เท่านั้น

“ไพศาล” แนะเพิ่มประสิทธิภาพให้ ป.ป.ช. ในการตรวจสอบทรัพย์สิน

“ไพศาล” แนะเพิ่มประสิทธิภาพให้ ป.ป.ช. ในการตรวจสอบทรัพย์สิน
นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เปิดเผยเมื่อเช้าวันนี้ แนะ คสช. เพิ่มประสิทธิภาพให้ ป.ป.ช. ในการตรวจสอบทรัพย์สิน ชี้นับตั้งแต่มี ป.ป.ช. เป็นต้นมากว่าสิบปีแล้ว ผลการตรวจสอบทรัพย์สินแทบไม่มีผลงาน สาเหตุเนื่องจากกฎหมายไร้ประสิทธิภาพ จึงทำให้การคอร์รัปชั่นเต็มไปทั้งบ้านทั้งเมือง
นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่าการตรวจสอบทรัพย์สินของ ป.ป.ช. ต้องอาศัยบทบัญญัติกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการตรวจสอบทรัพย์สินเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมีปมปัญหาอยู่สองข้อ คือ อย่างไรจึงถือว่าร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งต้องหาข้อเท็จจริงที่ซับซ้อน ยุ่งยาก และขึ้นอยู่กับดุลพินิจ จึงแทบไม่พบว่าใครร่ำรวยผิดปกติเลย นอกจากนักการเมืองหน้าใหม่ที่โง่เขลา และมีทรัพย์สินไม่มาก ในขณะที่พวกมืออาชีพไม่สามารถตรวจสอบได้เลย นอกจากนั้น กระบวนการในการตรวจสอบยืดเยื้อ ไม่มีประสิทธิภาพ จึงทำให้การคอร์รัปชั่นเต็มบ้านเต็มเมือง และยึดทรัพย์สินพวกขี้โกงได้น้อยมาก ที่สำคัญคือหลักกฎหมายที่ ป.ป.ช.ใช้ล้าสมัย คือกำหนดให้เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช. ต้องแสวงหาหลักฐานเอง และ ป.ป.ช. ต้องพิสูจน์ถึงความร่ำรวยผิดปกติ ในขณะที่หลักกฎหมายสมัยใหม่นั้นได้เปลี่ยนหลักการนี้ไปแล้ว แต่ไม่มีใครยอมแก้ไข นั่นคือต้องเปลี่ยนเป็นหลักการที่ว่า ผู้ใดครองข้อมูล ผู้นั้นต้องพิสูจน์ ดังเช่นที่บัญญัติในกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายว่าด้วยศุลกากร เป็นต้น
นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่า คสช. จึงควรถือโอกาสนี้เพิ่มประสิทธิภาพให้กับ ป.ป.ช. ในการตรวจสอบทรัพย์สิน ด้วยการออกประกาศปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติว่าด้วยการตรวจสอบทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยมีหลักการดังนี้คือ
1. ให้ยกเลิกบทบัญญัติอื่นใดที่ขัดหรือแย้งกับประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และให้ใช้ประกาศฉบับนี้แทน
2. เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดที่ร่ำรวยผิดปกติ ให้ ป.ป.ช. อายัดหรือยึดทรัพย์สินของผู้นั้นทั้งหมด ไม่ว่าจะถือกรรมสิทธิ์ หรือครอบครองโดยตนเอง หรือโดยบุคคลอื่น
“ร่ำรวยผิดปกติ” หมายความว่า มีทรัพย์สินมากกว่าจำนวนเงินได้ที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี 15 ปี ก่อนดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยไม่หักรายจ่ายหรือค่าใช้จ่าย
ทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ ที่มีทะเบียน หรือทรัพย์สินที่เป็นเงินฝากหรือตราสาร ให้ ป.ป.ช. มีคำสั่งอายัด และให้ผู้ครอบครองหลักฐานแห่งกรรมสิทธิ์ หรือหลักฐานแห่งความเป็นเจ้าของแก่ ป.ป.ช. ภายใน 7 วัน นับแต่วันมีคำสั่ง
ทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ ให้ ป.ป.ช. ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์ไว้เป็นการชั่วคราว ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
3. ให้ผู้ถูกอายัดหรือยึดทรัพย์สินมีภาระการพิสูจน์ว่าทรัพย์สินที่ถูกยึดหรืออายัดนั้นเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยสุจริตและโดยชอบ หรือได้มาก่อนการดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และต้องพิสูจน์ให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน นับแต่วันถูกอายัด ถ้าพิสูจน์ไม่ได้หรือไม่พิสูจน์ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดดังกล่าว ให้ทรัพย์สินที่ถูกยึดหรืออายัดตกเป็นของแผ่นดิน
ในกรณีที่ผู้ถูกอายัดหรือยึดทรัพย์สินพิสูจน์ตามวรรคแรก จะต้องพิสูจน์ด้วยว่าเงินหรือรายได้ที่ได้มาซึ่งทรัพย์สินที่ถูกยึดหรืออายัดนั้น ได้เสียภาษีอากรถูกต้องครบถ้วนแล้วหรือไม่ ถ้าเสียภาษีอากรไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน ให้จัดเก็บค่าภาษีอากรค้างนั้นนำส่งกรมสรรพากร และถ้ามีเงินเหลือเท่าใด ก็ให้คืนแก่ผู้ถูกยึดหรืออายัดนั้น
4. เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ให้ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะแจ้งเบาะแสทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ของรัฐต่อ ป.ป.ช. ถ้าเป็นทรัพย์สินที่ไม่มีทะเบียน หรือมีทะเบียน แต่ถือในนามของผู้อื่นและสามารถยึดเป็นของแผ่นดิน ให้จ่ายค่าสินบนแก่ผู้แจ้งเบาะแสนั้นในอัตราร้อยละ 20 และให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแก่ผู้แจ้งเบาะแส
5. ให้ ป.ป.ช. ตั้งคณะอนุกรรมการในการพิสูจน์ทรัพย์สินตามประกาศนี้ จำนวน 5 คน ประกอบด้วยกรรมการ ป.ป.ช. อย่างน้อย 1 คน และผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ร่วมเป็นกรรมการ และเมื่อผู้ถูกยึดหรืออายัดได้พิสูจน์การได้มาซึ่งทรัพย์สินแล้ว ให้อนุกรรมการดังกล่าวสรุปรายงานต่อ ป.ป.ช. ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นมีทรัพย์สินที่ต้องยึดหรืออายัดเป็นจำนวนเท่าใด มีเงินได้ในระยะเวลา 15 ปีย้อนหลังเป็นจำนวนเท่าใด และพิสูจน์การได้มาซึ่งเงินและทรัพย์สินอย่างไร ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเท่าใด และต้องคืนแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐเท่าใด เมื่อ ป.ป.ช. เห็นชอบรายงานนั้นแล้ว ให้เป็นอันเสร็จสำนวน
6. ทรัพย์สินที่ตกเป็นของแผ่นดินตามประกาศนี้
6.1 ในกรณีเป็นเงินสด ให้ถือเป็นรายได้แผ่นดินและให้นำเข้าฝากในบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ 1
6.2 ในกรณีเป็นสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพย์สินประเภทที่สูญหายหรือเสียหายได้ง่าย ให้กรมบังคับคดีดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และนำเงินรายได้จากการขายส่งคลังตาม 6.1
6.3 ในกรณีเป็นอสังหาริมทรัพย์ หรือเป็นสังหาริมทรัพย์
ประเภทมีทะเบียน ให้กรมบังคับคดีประมูลขายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และนำเงินที่ได้จากการขายส่งคลังตาม 6.1 โดยอนุโลม
7. ในกรณีที่จะต้องจ่ายเงินสินบนตามประกาศนี้ ให้จ่ายจากรายได้แผ่นดิน จากบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ 1
นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่าถ้า คสช. ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพของกฎหมาย ก็จะทำให้ ป.ป.ช. มีขีดความสามารถและมีประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และจะมีผลต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างแน่นอน.

ศาลชัยภูมิจำคุกโรงสีโกงจำนำข้าว20 ปีชาวนาอีก9 คน จำคุก6เดือน รอลงอาญา2ปี

ศาลชัยภูมิจำคุกโรงสีโกงจำนำข้าว20 ปีชาวนาอีก9 คน จำคุก6เดือน รอลงอาญา2ปี
การติดตามคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลในท้องที่ จ.ชัยภูมิ คดีเริ่มตั้งแต่วันที่ 27 มิ.ย.2556 ซึ่งจังหวัดชัยภูมิได้ระดมทุกภาคส่วนเข้าตรวจสอบโรงสีในพื้นที่ อ.บ้านเขว้า แล้วพบการทุจริตจำนวนมาก พร้อมแจ้งความดำเนินคดีกับโรงสีที่สวมสิทธิ ในใบประทวนปลอมร่วมกับชาวนาที่แอบโกงข้าวในโกดัง พล.ต.ต.พินิต มณีรัตน์ ผบก.ภ.จว.ชัยภูมิ เปิดเผยว่า มีโรงสีทำผิดถูกแจ้งดำเนินคดีคือ โรงสีนพภร อ.บ้านเขว้า ข้าวหายไปจากโรงสีขององค์การคลังสินค้า( อคส.) รวม 750 ตัน แยกเป็นข้าวเปลือก 621 ตัน ข้าวสารสีแปรแล้ว 129 ตัน รวมมูลค่ากว่า 11 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องพร้อมเจ้าของโรงสีทั้งหมดอย่างต่อเนื่องและส่งฟ้องคดีต่อศาล จ.ชัยภูมิ ศาล สั่งลงโทษ 2 ข้อหา กับเจ้าของโรงสี และผู้เกี่ยวข้องผู้เป็นชานาอีก 9 คน ที่ทำการปลอมแปลงเอกสารทางราชการ โดยสวมสิทธิ์ในประทวนข้าวเปล่า โดยไม่มีข้าวในมือจริง และนำข้าวในโกดังของรัฐ ออกมาหมุนเวียนสวมสิทธิ์ และทำข้าวของรัฐหายไปมากกว่า 750 ตัน ศาลชัยภูมิ มีคำพิพากษาสั่งลงโทษชาวนาที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 9 คน โดยสั่งให้จำคุก 6 เดือน แต่โทษเหลือรอลงอาญาไปก่อน 2 ปี ด้านเจ้าของโรงสี ศาลได้สั่งลงโทษในข้อหายักยอกทรัพย์ข้าว โดยสั่งให้จำคุก 20 ปี โดยไม่รอลงอาญา จากนั้นก็เป็นเรื่องของจำเลย ที่ยังมีสิทธิ์ที่จะยื่นขอประกันตัวและขอสู้คดีต่อไป

ศาลแพ่งจำคุก “อาจารย์ตุ้ม-ทนายนปช.”คนละ 1 เดือน ละเมิดอำนาจศาล

ศาลแพ่งจำคุก “อาจารย์ตุ้ม-ทนายนปช.” ละเมิดอำนาจศาล คนละ 1 เดือน โดยไม่รอลงอาญา พาผู้ชุมนุมประท้วงวางพวงหรีดหน้าศาลแพ่ง ชี้เป็นการกระทำอุกอาจและให้ออกหมายจับ"ดารณี"เบี้ยวไม่มาศาล
ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (9 มิ.ย.) ศาลนัดฟังคำสั่งไต่สวนการละเมิดอำนาจศาลในคดีที่ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการศาลแพ่ง กล่าวหา นางดารณี กฤตบุญญาลัย หรือ เจ๊ดา นักธุรกิจไฮโซ แนวร่วมกลุ่มประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นางสุดสงวน สุธีสร หรือ อาจารย์ตุ้ม อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ และ นายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความ นปช. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1-3 กรณีนำกลุ่มมวลชนที่ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีเพิกถอน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ประมาณ 130 คน มาวางพวงหรีดที่หน้าศาลแพ่ง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยทนายความแถลงว่านางดารณีกลัวอำนาจคสช. เกรงจะได้รับอันตรายจึงไม่มาศาล แต่ศาลเห็นว่ามีเจตนาหลบหนีจึงให้ออกหมายจับ และจำหน่ายคดีไว้ชั่วคราวเฉพาะในส่วนของนางดารณี
ส่วนผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 และ3 ศาลเห็นว่าผู้อำนวยศาลแพ่ง ได้กล่าวหาว่าเมื่อวันที่ 21 ก.พ.2557 จำเลยทั้งสามกับพวกประมาณ 130 คน ได้เข้ามาวางพวงหรีดเปิดเครื่องขยายเสียงและชูป้าย มีถ้อยคำเสียดสีศาลแพ่ง อันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 อนุ 1 และ มาตรา 33
ข้อเท็จจริงฟังประกอบการเปิดภาพวิดีโอเหตุการณ์ดังกล่าว มีกลุ่มคน130 คนมาชูป้ายคัดค้านและเสียดสีศาลแพ่ง กรณีเมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา นายถาวร เสนเนียม เป็นโจทก์ฟ้องนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรกับพวก ให้เพิกถอน พรก.ฉุกเฉินฯและศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ผู้ถูกล่าวหาทั้งสามกับพวกจึงมาวางพวงหรีดและใช้โทรโข่ง ตะโกนเอะอะเสียงดัง ส่งเสียงอื้ออึง มีป้ายความว่า”แด่ความอยุติธรรม” ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 และ 3 ยอมรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับคนในภาพ และแถลงขอถอนคำให้การปฏิเสธทั้งหมด กับแถลงรับสารภาพ และอ้างว่าไม่รู้จักกับหญิงชุดดำที่ถือตราชูและปลัดขิก
จึงมีคำสั่งว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 และ3 มีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ลงโทษจำคุก 2 เดือน คำรับสารภาพเป็นประโยชน์ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุกคนละ1 เดือน คดีนี้เป็นการกระทำอุกอาจ ท้าทายศาล ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย และผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 เป็นทนายความ ย่อมมีความรู้ดีว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการประพฤติไม่สมควร ทำให้ศาลได้รับความเสื่อมเสีย จึงควรลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง จึงไม่สมควรรอการลงโทษ จากนั้นผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองจึงยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัว
นายพิชา กล่าวว่า ตนยอมรับว่ามาร่วมอ่านคำแถลงหน้าศาลจริง แต่ทำไปเนื่องจากไม่เห็นด้วยคำพิพากษาศาลแพ่งที่ออกข้อกำหนด 9 ข้อคุ้มครอง กลุ่ม กปปส. อย่างไรก็ตามเมื่อศาลมีคำสั่งออกมาก็ยอมรับและจะอุทธรณ์คำสั่งต่อไป โดยได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 5 หมื่นบาทขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์สู้คดี ภายหลังศาลพิจารณาอนุญาตให้ประกันตัวได้

คสช.วอนประชาชนระมัดระวังการรับฟังข้อมูลข่าวสาร

คสช.วอนประชาชนระมัดระวังการรับฟังข้อมูลข่าวสาร ยันบริหารแผนโครงการและงบประมาณภายใต้ความถูกต้อง ++
วันนี้ (9 มิ.ย. 57) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พ.อ.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกกองทัพบก พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก พร้อมด้วย ร.อ.นายแพทย์ยงยุทธ มัยลาภ นางสาวปถมาภรณ์ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คณะโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฝ่ายพลเรือน ได้ร่วมกันแถลงข่าว สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก กล่าวถึงคำชี้แจงของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า ขอให้เข้าใจว่า ทุกเรื่องที่ คสช. ได้คิดและพิจารณา เกิดจากการรับฟังมาจากหลายกลุ่ม หลายฝ่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน ประกอบด้วย ประชาชน ข้าราชการ กลุ่มที่ปรึกษา รวมทั้งจากสื่อมวลชน และจากข้อร้องเรียนของประชาชน ซึ่งทั้งหมดได้ถูกรวบรวม แล้วนำไปดำเนินการแก้ไข สิ่งที่แก้ไขได้เลยโดยไม่มีผลกระทบหรือเป็นปัญหาก็จะดำเนินการทันที แต่บางอย่างที่ยังมีปัญหาเรื่องของกฎหมาย และระเบียบก็จะต้องศึกษาผลให้รอบคอบ เพราะเป็นเรื่องของโครงสร้างทั้งระบบ จะรีบดำเนินการโดยไม่ศึกษาผลกระทบก่อนไม่ได้
ซึ่งถ้าแก้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง อาจมีผลกระทบไปหลายเรื่อง บางเรื่องอาจมีผลกระทบไปถึงโครงสร้างระบบการเงินการคลังของประเทศ รายได้ของรัฐ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ผู้ลงทุน ผู้ถือหุ้น และอีกมากมาย
สำหรับการแก้โครงสร้างระบบเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังงาน เงินชดเชยต่าง ๆ เรื่องภาษี และรายได้เกษตรกร ในระยะแรกพยายามผ่อนคลายความเดือดร้อนของประชาชนเป็นลำดับแรก ระยะต่อไปเมื่อมีรัฐบาล มีคณะรัฐมนตรี จะได้นำเข้าไปดำเนินการให้ถูกต้อง จนทุกฝ่ายพึงพอใจ
รองโฆษกกองทัพบกกล่าวต่อไปว่า ขอให้มั่นใจ คสช. จะบริหารแผนโครงการและงบประมาณภายใต้ความ ถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม และมีประสิทธิภาพ สามารถตรวจสอบได้ จะไม่มีในเรื่องทุจริตหรือผลประโยชน์ทับซ้อน ระบบการจัดซื้อจัดจ้างในทุกโครงการสามารถเข้าแข่งขันกันได้อย่างเป็นธรรม ไม่มีระบบผูกขาดใดๆ
เรื่องการศึกษาหรืออะไรก็ตามบางอย่างอาจทำได้เลย บางอย่างต้องคอยให้ระบบกลไกเดิมได้ทำงาน เพราะที่ผ่านมาระบบอาจทำงานไม่สมบูรณ์ เนื่องจากเรื่องการเมือง ระบบบริหารราชการ ตัวข้าราชการ และกฎหมาย อาจมีปัญหา วันนี้ ปัญหาหรือความเดือดร้อน และข้อข้องใจ ได้รับทราบครบถ้วน เพียงแต่ต้องหาวิธีการที่เหมาะสมในการแก้ปัญหา การเร่งรัดมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อประเทศชาติในอนาคต
คสช. ต้องการแก้ปัญหาให้ทุกคนได้รับความเป็นธรรม ขจัดเรื่องผลประโยชน์ ธุรกิจทับซ้อนให้หมดไปทันที แต่เนื่องจาก ปัญหาได้สะสมมานาน มีเรื่องราวหลายอย่างที่ข้อมูลไม่ตรงกับความจริง ทำให้ประชาชนสับสน และไม่เข้าใจ
รองโฆษกกองทัพบกกล่าวต่อไปถึงกรณี ข่าวลือว่า ทาง คสช.พร้อมแต่งตั้งรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นบริหารแล้ว และดำเนินการดังต่อไปนี้ คือ 1.จัดตั้งสภาประชาชน พร้อมปฏิรูปเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทย 2.ยกเลิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด 3.คงการบริหารท้องถิ่นแบบเทศบาล/องค์การบริหารส่วนตำบลไว้ 4.ดำเนินการเลือกผู้ว่าราชการโดยตรง 5.ให้กำนันผู้ใหญ่บ้านขึ้นตรงกับผู้ว่าราชการที่มาจากการเลือกตั้ง. 6.ลดบทบาทนักการเมือง 7.เลือกตั้ง ส.ส.30% (จังหวัด1คน) คัดสรร70% (แต่งตั้ง) 8.ให้ตำรวจขึ้นตรงกับผู้ว่าราชการจังหวัดมาจากการเลือกตั้ง และ 9.แต่ละจังหวัดแบ่งโซนมีสมาชิก สภาพลวัฒน์ นั้น ขอยืนยันว่าข้อมูลดังกล่าวไม่จริง ขอให้ประชาชนระมัดระวังการรับฟังข่าวสารทาง social multimedia หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้จากทาง คสช. เบอร์โทรศัพท์ call center 094-1286273 – 9 หรือรับฟังข้อมูลโดยตรงจากการแถลงข่าวของ คสช.และบุคคลที่เกี่ยวข้องเท่านั้น.
///

ปากีฯยึดคืนสนามบินการาจีสำเร็จ

ปากีฯยึดคืนสนามบินการาจีสำเร็จ

กองทัพปากีสถานยึดคืนสนามบินการาจีสำเร็จ และปลิดชีพคนร้ายได้ทั้งหมด หลังกลุ่มติดอาวุธบุกโจมตีสนามบิน ขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตรวมกว่า 20 คน

 
                      9 มิ.ย.57 โฆษกของกองทัพปากีสถาน แถลงว่า ปฏิบัติการทางทหารเพื่อยึดคืนสนามบินที่ถูกกลุ่มค้นร้ายพร้อมอาวุธหนักจำนวน 10 คน บุกเข้าไปก่อวินาศกรรมเมื่อค่ำวันอาทิตย์ ตามเวลาท้องถิ่น และมีการยิงปะทะกันอย่างดุเดือดนาน 6 ชั่วโมง ได้สิ้นสุดลงแล้วในเช้าวันนี้ และบอกด้วยว่า ได้เข้าเคลียร์พื้นที่ทั้งหมดแล้ว และไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นกับเครื่องบินแต่อย่างใด ส่วนไฟที่เห็นลุกไหม้ในตอนแรก เป็นไฟที่ไหม้ตัวอาคารไม่ใช่เครื่องบิน และตอนนี้ดับหมดแล้ว ส่วนคนร้ายที่มีทั้งหมด 10 คน ถูกสังหารในระหว่างการปะทะกับเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคง และเจ้าหน้าที่พบหลักฐานที่มีทั้งกระสุนปืน จรวด และระเบิดขับเคลื่้อนด้วยจรวด หรือ อาร์พีจี จากตัวคนร้ายที่แต่ละคนสะพายกระเป๋าขนาดใหญ่
 
                      เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจินนาห์ เปิดเผยว่า มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 20 คน รวมทั้งคนร้าย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบิน 8 คน , พนักงาน 2 คน ของสายการบินนานาชาติปากีสถาน และทหารพราน 1 นาย ส่วนผู้บาดเจ็บมีประมาณ 15 คน
 
                      ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า กลุ่มมือปืนติดอาวุธ ปลอมตัวเป็นตำรวจรักษาความปลอดภัยและสวมเสื้อกั๊กติดระเบิด บุกเข้าโจมตีสนามบินนานาชาติจินนาห์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นสนามบินที่ใหญ่ที่สุดของปากีสถาน และตั้งอยู่ในนครการาจี ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางการพาณิชย์ เมื่อเวลา 23.30 น. ตามเวลาในท้องถิ่น เจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงได้เข้าปิดล้อมสนามบิน พร้อมกับเรียกหน่วยคอมมานโดของกองทัพเข้าไปเสริม ท่ามกลางเสียงปืนดังอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การปฏิบัติงานทุกชนิดที่เทอร์มินอลถูกระงับ ตำรวจเร่งอพยพเจ้าหน้าที่สนามบิน รวมถึงผู้โดยสารออกจากเทอร์มินอล และทุกเที่ยวบินที่มุ่งหน้ามายังสนามบินแห่งนี้ต้องเปลี่ยนเส้นทาง
 
                      นายอาหมัด ชินอย ผู้อำนวยการทั่วไปของคณะกรรมการประสานงานตำรวจของประชาชน ระบุว่า กลุ่มคนร้ายที่บุกเข้าไปในสนามบินผ่าน 3 ช่องทาง คนร้ายคนหนึ่งได้กดระเบิดตัวเองที่ด้านหน้ารถหุ้มเกราะคันหนึ่ง ทำให้คนที่อยู่ภายในรถได้รับบาดเจ็บสาหัส มีกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาเนื่องจากมีไฟไหม้อย่างน้อย 2 แห่ง รถพยาบาลหลายสิบคันเข้าไปยังสถานที่เกิดเหตุ โดยมีตำรวจและทหารปิดล้อมสถานที่เอาไว้ พยานที่เห็นเหตุการณ์หลายคน ระบุว่า ได้ยินเสียงระเบิดดังกว่า 10 ครั้ง รวมทั้งเสียงรัวของปืน ภาพทางโทรทัศน์ได้แสดงให้เห็นควันไฟลอยโขมงขึ้นมาจากสนามบินซึ่งนายชินอย บอกว่า มีเครื่องบินลำเลียงสินค้าลำหนึ่งได้รับความเสียหายและถูกไฟไหม้ในระหว่างการยิงปะทะกัน ส่วนบริเวณคาร์โกของสนามบิน อยู่ห่างจากบริเวณที่เครื่องบินพาณิชย์ใช้ในการเทคออฟขึ้นจากสนามบิน ราว 1 กิโลเมตร
 
                      ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า กลุ่มคนร้ายไม่ได้เข้าทางเทอร์มินอลที่ใช้โดยเที่ยวบินพาณิชย์ทั่วไป แต่ใช้เทอร์มินอลสำหรับเที่ยวบินวีไอพีและคาร์โก แต่ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงขวางเอาไว้ ทำให้เข้าไปยังเป้าหมายไม่ได้ ปฎิบัติการครั้งนี้มีกองทัพเป็นแนวหน้า เสริมด้วยหน่วยทหารพราน ตำรวจและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบิน 
 
                      เจ้าหน้าที่ได้สันนิษฐานในเบื้องต้นว่า คนร้ายอาจต้องการจี้เครื่องบิน แต่ขณะนี้ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาอ้างความรับผิดชอบ แต่คาดว่าอาจจะเป็นฝีมือกลุ่ม เตห์รีค-อี ตาลีบัน ปากีสถาน ที่รับผิดชอบต่อการก่อเหตุนองเลือดที่คร่าชีวิตประชาชนไปหลายหมื่นคน ในช่วง 7 ปี ของการก่อเหตุรุนแรงนับครั้งไม่ถ้วน
 
                      มีรายงานว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ มีกองกำลังบางส่วนเข้าไปในสนามบินโดยเฮลิคอปเตอร์ เพื่อเสริมกำลังให้กับหน่วยคอมมานโด ที่ทำให้คนร้ายต้องแยกออกเป็นสองกลุ่ม ซึ่งคนร้ายล้วนแต่มีปืน เอเค 47 และจรวดอาร์พีจี ขณะที่บางคนสวมเสื้อกั๊กติดระเบิด
 
                      นับเป็นเหตุการณ์โจมตีสนามบินที่่ร้ายแรงที่สุดอีกครั้งในนครการาจี นับตั้งแต่เกิดเหตุกลุ่มมือปืนบุกโจมตีฐานทัพเรือเมห์ราน เมื่อปี 2554 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 10 คน ทำลายเครื่องบินไป 2 ลำ สนามบินที่ถูกโจมตีล่าสุด เป็นเสมือนประตูไปสู่ปากีสถานของนักธุรกิจชาวอังกฤษและอีกหลายชาติ เนื่องจากมีเที่ยวบินเข้าทุกวัน
 
 
กต.ยันผู้โดยสารตกค้างปลอดภัยดี เหตุกลุ่มติดอาวุธบุกยึดสนามบิน
 
 
                      นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ ในฐานะโฆษกประทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า เหตุการณ์กลุ่มติดอาวุธจำนวน 10 คน เข้ายึดสนามบินการาจี ประเทศปากีสถาน ส่งผลให้เครื่องบินการบินไทย เที่ยวบินทีจี 508 ติดค้างอยู่ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. เวลา 11.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ทั้งนี้ ล่าสุดเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงของประเทศปากีสถาน สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้เรียบร้อย โดยได้สังหารกลุ่มติดอาวุธทั้ง 10 คน
 
                      อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าผู้โดยสารทั้งหมดในเที่ยวบินดังกล่าวจำนวน 296 คน โดยมีผู้โดยสารชาวไทย 3 คน และลูกเรือไทยอีก 13 คน ปลอดภัยดี โดยหลังเวลา 14.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ของวันนี้ (9 มิ.ย.) ทางสนามบินจะอนุญาตให้เครื่องบินเดินทางออกจากสนามบินได้
 
                      นายเสข กล่าวอีกว่า สำหรับการดูแลคนไทยในประเทศปากีสถานนั้น สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงอิสลามาบัด และสถานกงสุลใหญ่ไทย ณ นครการาจี ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ขณะที่สถานกงสุลใหญ่ไทยฯต้องมีการประสานกับผู้บริหารท้องถิ่นของเมืองดังกล่าวในเรื่องของการดูแลความปลอดภัยในเมืองนี้ รวมถึงมีการประชาสัมพันธ์ชุมชนชาวไทยและนักเรียนไทยมุสลิมในนครการาจีให้เขาเฝ้าระวังสถานการณ์ในเมืองดังกล่าวด้วย เพราะแม้เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นในสนามบิน แต่เราไม่แน่ใจว่าจะเกิดสิ่งใดตามมาอีกหรือไม่ ด้านสถานเอกอัครราชทูตไทยฯต้องประสานงานกับรัฐบาลปากีสถานในเรื่องของการดูแลความปลอดภัย รวมถึงประสานงานกับชุมชนชาวไทยทั้งหมดในปากีสถานเช่นกัน